02 กรกฎาคม 2567, 10:23:04
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 327 328 [329] 330 331 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3340866 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 25 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8200 เมื่อ: 31 มกราคม 2556, 19:45:51 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 31 มกราคม 2556, 15:36:51

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ติดตามกระทู้ค่ะ...

...รองอธิการบดีจุฬา...ท่านชื่ออะไรเหรอคะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                            พี่สิงห์ ไม่ได้ไปร่วมประชุมด้วย  จึงไม่รู้จักชื่อ ต้องให้ ดร.สุริยา เป็นผู้ตอบ

                            อากาศ ที่นครศรีธรรมราชเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมาดีมาก ๆ ฝนไม่ตก มีลมเย็นๆ พัด มีแสงแดดอ่อน  เหมาะแก่การเดินจงกรมออกกำลังกาย  ฝึกชิกง และโยคะมาก  พี่สิงห์ใช้เวลาไปประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง และไปอบซาวน่าเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว

                             วันนี้ เครื่องบินนกแอร์ มี สส. พรรคประชาธิปัติ นั่งมาหลายคน มากกว่ายี่สิบท่าน  สอบถามได้ความว่าไปร่วมงานศพ คุณแม่ของคุณวิทยา  แก้วภาราได  

                             พี่สิงห์ นั่งแถวหน้าติดกับ สส.ตรัง เป็นนายแพทย์ จบจาก จุฬาฯ รุ่น 2516  จำชื่อไม่ได้ แต่เห็นใครผ่านมาก็ยกมือไหว้ตลอด และมีคุณหญิงอีกหนึ่งคน น่าจะเป็นคุณหญิงกัลญา  โสภณพานิช

                             จริง ๆ พี่สิงห์ก็รู้จักทั้งคุณวิทยา และ พี่สาวคุณวิทยา  ที่จบบัญชีจุฬาฯ รุ่นเดียวกัน  แต่ไม่รู้จักบ้าน ไม่มีเสื้อผ้าชุดดำ จึงไม่ได้ไปร่วมงาน

                              อาทิตย์นี้ โรงแรมคึกคัก แขกมาก มีสัมมนากลุ่มใหญ่

                              พรุ่งนี้ก็เดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนแห่งความรักแล้ว นับไปอีก 16 วัน พี่สิงห์ - ดร.กุศล ก็ไปอินเดีย ไประลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไป ๔ สังเวชนีย์ ตามที่พระพุทธองค์ได้ตอบคำถามของพระอานนท์ ที่ถามหลังจากที่พระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว พระองค์ให้กุลบุตร กุลธิดาในพุทธศาสนา ในชีวิตสักครั้งหนึ่ง ให้มาที่ ๔ สังเวชนีย์ จะได้ไม่ตกไปอยู่ในนรกภูมิ เมื่อตายไปแล้ว

                              ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ ขอให้หลับอย่างมีสติ ครับ

                            
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8201 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2556, 08:15:20 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง แขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                          อากาศยามเช้าที่นครศรีธรรมราชดีมาก ๆ ฝนไม่ตก  ท้องฟ้าแทบจะไม่มีเมฆ เมฆมีแต่ที่ระยะขอบฟ้า ดาวประจำเมือง อยู่สูงกว่าเมฆขอบฟ้าไม่มาก ขอบฟ้ามีแสงเงินแสงทอง มีลมเย็น ๆ พัดเหมาะอย่างยิ่งสำหรับเดินจงกรมออกกำลังกาย ฝึกชิกง และโยคะ พี่สิงห์ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมง

                          อาหารเช้ารับประทานเสร็จแล้วเป็นข้าวต้มกล้อง ผักสด ผักสดถั่วสดแบบสลัด และถั่วลิสง

                          เดินผ่าน computer ของโรงแรม เลยแวะเข้ามาทักทายกับทุกท่านยามเช้า

                          ช่วงนี้อากาศนครศรีธรรมราชกำลังดี  ฝนไม่มีแล้ว  จะต้องหาโอกาสไปดูนก ชทดอกบัวหลวงบาน ที่ทะเลทราบพัทลุง บ้างแล้วครับ  จะได้มีภาพสวย ๆ เรื่องดี ๆ มาเล่าสู่กันฟัง ครับ

                          เช้านี้เอาธรรมะอะไรดี ล่ะเรา !

                          สวัสดี


จิต อยู่ที่ไหน !

                          จิต อยู่ที่ไหน !  จิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ เขาแปลกันเอาไว้แบบนั้น เท่าที่จำได้และสังเกตพบ รู้ด้วยตนเอง มันเป็นนาม คือไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน ไม่มีที่อยู่ตายตัว แล้วมันอยู่ที่ไหน  เกิดขึ้นอย่างไร และดับไปอย่างไร กันล่ะ

                          จิตคนไม่ใช่เป็นดวง หรือเป็นดวงวิญญาณ อย่างที่เราเข้าใจกัน

                           ตอนที่แม่จากไปผมจับข้อมือท่าน ก็ไม่เห็นดวงวิญญาณลอยจากร่างท่านไปเลย มีแต่ชีพจรค่อย ๆ เต้นช้าลง ๆ ๆ ๆ และหยุดไปด้วยไม่มีแรง เพียงแค่นั้นเอง  ไม่แสดงอาการอะไรเลย มีเพียงมือขยับนิดหนึ่งพอให้รู้สึกได้ ในช่วงที่จิตจะดับเท่านั้น

                           หลายคนพยายามหาว่าจิตเราอยู่ที่ไหน กลางกระหม่อม  ท้ายทอย  หรือที่หัวใจ  ก็ไม่สามารถระบุได้ชัดเจน

                           จิตคนเรานั้น พระพุทธองค์เปรียบให้ฟังว่า เหมือนกับลิงจับกิ่งไม้ กลางวันก็จับกิ่งอันนี้ ละอันนั้น  อยู่ไม่เป็นที่ กลางคืนก็จับกิ่งนั้น ละกิ่งนี้ ไปจับกิ่งนั้น อยู่ไม่เป็นที่

                           จิตคนก็เช่นกันอยู่ไม่เป็นที่ ไม่ตายตัว เกิด - ดับ ๆ เป็นอย่างนี้ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ไม่เหมือนกันเลย

                           คำโบราณว่า "ให้รู้ตนไม่ลืมตัว" มันหมายความว่าอะไร ?

                           หมายความว่า ถ้าเราไม่หลงตน  ลืมตัว  ไม่ปล่อยให้จิตใจ คิดล่องลอยไปตามยถากรรม จนลืมกายไปสิ้น มันจะมีแต่หลงอยู่ในโลกของความคิด เป็นทาสความคิด เมื่อคิดก็ทำตามความคิดตนเอง และคิดว่าดี  ว่าเหมาะสม  จิตตนเองชอบ

                           แต่ถ้าเราไม่ลืมตน  คือไม่ลืมติดตามจิตของตนเอง จิตเกิดขึ้นที่ไหน  จิตไปที่ไหนก็ตามรู้  ตามเจอ  รู้ว่าจิตของเราอยู่ที่ไหน  การติดตามจิตของตนเองเจอว่ามันอยู่ที่ไหน นั่นละไม่หลงตน ลืมตัว  ถ้าท่านสังเกตให้ดีจะเห็นว่า ถ้าเราไม่หลงตนลืมตัว  รู้ว่า ณ ปัจจุบันจิตของเราอยู่ที่ไหนละก็ ท่านจะพบว่า เออมันดีแท้จริง ๆ ที่รู้จิตตนเองว่าอยู่ที่ไหน เพราะอะไร ? เพราะมันไม่คิดไง ! เมื่อไม่คิด มันก็อยู่เหนือนาม(เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ) เมื่อไม่คิดก็ง่ายๆ คือไม่ทุกข์ เพราะคนเราทุกข์เพราะคิดเป็นส่วนใหญ่  นอกจากนี้จะพบว่า สภาวะธรรม(ความโลภ  ความโกรธ ความหลง นิวรณ์ ความสุข  ความทุกข์ เป็นต้น) มันก็ไม่เกิดขึ้นถ้าเรารู้ว่าจิตเราอยู่ที่ไหน

                           เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจิตเราอยู่ที่ไหนกันล่ะ ?

                            ท่านลองสังเกตดู เมื่อไรท่านมีความระลึกได้ที่กายของท่าน(อวัยยวะ แม้กระทั่งพฤติกรรมของร่างกายท่าน เช่น หายใจเข้า-ออก ดื่ม กิน ถ่าย อะไรมาสัมผัสร่างกาย) หรือพระพุทธองค์ท่านเรียกว่ามีสติ ที่รูป หรือที่อวัยยวะของร่างกาย จิตเราก็จะวิ่งไปอยู่ตรงนั้น เช่น ท่านมีความระลึกได้ที่ลมหายใจเข้า-ออก จิตท่านก็ไปอยู่ที่ลมหายใจผ่านเข้ามา-ออกทางจมูก ท่านก็จะรู้ได้ว่าจิตท่านอยู่ตรงนั้น

                           เมื่อใดท่านนั่ง ท่านระลึกได้ว่าท่านนั่น จิตท่านก็อยู่ในท่านั่ง ทำนองเดียวกัน การยืน  การเดิน การนอน การหยุด การเคลื่อนไหว ท่านก็จะรู้ว่าจิตท่านอยู่ ณ ที่ใดในขณะนั้น ที่ท่านระลึกได้ ในร่างกายของท่าน

                            ท่านหยิบของ ท่านรู้ว่าท่านกำลังหยิบของ จิตท่านก็อยู่ที่มือ ท่านก้าวขาเดิน ท่านรู้ว่าท่านกำลังยกก้าวขาเดิน จิตท่านก็อยู่ที่ขา เป็นต้น

                            ท่านกำลังคิด  ท่านรู้ตัวว่าท่านคิด  จิตท่านก็อยู่ในสมอง (การคิดแบบรู้ตัว มันต่างกับการคิดที่ไม่รู้ตัว มันคิดแบบคนใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว)

                             ขอพักรบครับ ได้เวลาอาบน้ำ ไปโรงงานแล้ว ขอค้างเอาไว้ก่อนเช้านี้

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8202 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2556, 13:09:23 »

สวัสดียามเที่ยงครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                          วันนี้รับประทานข้าวเสร็จก่อนเที่ยงมีข้าวกล้อง ผักสด ใบเหลียงผัดไข่ และปลาซาบะอย่างซีอิ้ว ตามด้วยข้ามต้มแบบชาวใต้ที่ใช้ใบอ้อห่อเป็นรูปกระจับ

                          ลืมไปแล้วว่าเมื่อเช้าเขียนไปถึงไหน  คนแก่มันก็อย่างนี้ละขี้ลืม  เขียนต่ออย่างไรดี  นึกก่อน

                          สวัสดี


จิตคน อยู่ที่ไหน?

                          ถ้าเราระลึกได้ว่าจิตของเราอยู่ที่ไหน แสดงว่าเรามีสติ อยู่กับปัจจุบันเราจะละเรื่องการคิด ละจากสภาวะธรรม มันก็ไม่ทุกข์เท่านั้นเอง เพราะเราทุกเพราะเราคิด เวลาคิดเรามีแต่ใส่ความยึดมั่นในตนเองทั้งนั้น  เพราะจิตชอบคิดเข้าข้างตนเอง และอยากไม่มีที่สิ้นสุด  เราจึงต้องตามจิตของเราให้พบเสมอ

                          จิตของคนเรานั้น อยู่ในทุกส่วนของร่างกาย วนเวียนไปมาเสมอ เมื่อเราระลึกขึ้นได้ทั่วทั้งร่างกาย คือมันเกิดขึ้น เมื่อเรานึกได้เป็นปัจจุบันจากอะไร จากตา หู  จมูก ลิ้น กาย ใจ  แต่พระพุทธองค์ให้มันนึกอยู่ที่กาย และใจ  คือถ้าระลึกได้ว่าจิตอยู่ที่กาย ที่ใจ เป็นปัจจุบัน เราก็จะได้รู้กาย  รู้ใจ  เอากายของเรา  ใจของเราเป็นครู  ศึกษามันให้เห็นความจริง  ให้จิตที่แท้จริงมันเห็นความจริงของธรรมชาติ  มันก็จะละความยึดถือในตัวตนลงได้

                          แต่เนื่องจากวันหนึ่ง ๆ เราตามหาจิตของเราไม่ทันเลย ดังนั้นการศึกษากาย-ใจ ของเรามันจึงไปไม่ถึงไหน ย่ำอยู่กับที่  บางครั้งถอยหลังเสียด้วยซ้ำ

                           ลองตามหาจิตของท่านให้พบ  ให้ทัน  ให้ระลึกอยู่ที่กาย-ใจ ระลึกได้ตรงไหนในร่างกายจิตมันก็อยู่ตรงนั้น ระลึกได้ จิตมันก็เกิด ระลึกไม่ได้จิตมันก็หาย จิตมันก็ดับ เกิด/ดับ ๆๆ ระลึกได้ จิตอยู่นี่ ระลึกไม่ได้ จิตอยู่ไหนหว่า  อยู่อย่างนี้ละ ทุกนาที  ทุกชั่วโมง ไล่กันไม่จนสักที

                            เวลาเดิน เรายกเท้า เราก้าวเท้า  เราเหยียบฝ่าเท้าลงพื้น เราก็ระลึกได้ว่าเราเดิน เรายกเท้า เราก้าวเท้า เราเหยียบฝ่าเท้าลงพื้น เราจะรู้ว่าจิตเราอยู่ตรงนั้น  ในขณะที่รู้ว่าจิตอยู่ตรงไหน มันสุข  สุขเพราะไม่คิด เป็นสุขที่ปราศจากการปรุงแต่ง ที่แท้จริง  แต่เสียดาย มันไม่อยู่คงที่นาน เพราะจิตมันเผลอวิ่งไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว  เมื่อเราระลึกไม่ทัน คือเผลอ หลงไปในความคิด จนกายเป็นส่วนหนึ่งของความคิด แยกไม่ออก

                            เราต้องประคองจิตตั้งไว้ที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หามันให้พบโดยเร็ว  อยู่อย่างนี้ละ

                            สรุป ท่านก็รู้แล้วนะครับว่า วันหนึ่ง ๆ จิตเราอยู่ที่ไหน  จิตมันท่องเที่ยวอยู่ในร่างกาย  จิตมันท่องเที่ยวไปนอกกายที่เกิดจาก ตา หู  จมูก ลิ้น กาย ใจ ปรุงแต่งไปเรื่อย ๆ  แต่ถ้าเราไม่ปรุงแต่งตาม ใช้คำว่าสักแต่ว่า... เราก็สามารถรักาษจิตของเราให้อยู่กับร่างกายได้

                            มันง่ายจัง  แต่ทำไมทำไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะเราคอยจะเผลอ คอยจะหลง ตามระลึกจิตของเราไม่ทันไงล่ะ หาจิตของเราไม่พบ  มันก็เป็นอย่างนี้ละ

                            จิตคนไม่มีที่อยู่แน่นอน  อยู่ทั้งในร่างกาย และออกไปท่องเที่ยวข้างนอก

                             จิตจะอยู่ในร่างกายเมื่อเราระลึกได้ที่กาย

                             จิตออกไปนอกร่างกาย เมื่อเรารู้ว่าเราปล่อยจิตคิดนอกกาย

                             ส่วนที่เราไม่รู้ว่าจิตอยู่ไหน นั้นอันตรายมาก ๆ เพราะเป็นทาสของความคิด หลงตนลืมกาย

                              ผมก็พยายามอธิบายแล้วนา  หวังว่าทุกท่านคงตามทัน  ถ้าไม่ทันก็ถามมาก็แล้วกัน

                             หมดเวลาแล้วครับ ขอลาไปก่อน

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8203 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2556, 07:57:56 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง แขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                           วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่อากาศยามเช้าที่เทอเรสชั้นสามดีมาก ท้องฟ้าไร้เมฆ มีลมเย็นพัดผ่านนิดหน่อยไม่มาก ได้เห็นแสงเงินแสงทองจับขอบฟ้า ไก้เดินจงกรมออกกำลังกาย ฝึกชิกง และโยคะ

                           เช้านี้ที่ห้องรับประทานอาหารได้พบเพื่อนนักกอล์ฟ ที่กรุงเทพฯ มาร่วมงานฟังพระสวดพระอภิธรรม และฌาปนกิจศพ คุณแม่ของคุณทิพย์วรรณ และคุณวิทยา  แก้วภาราได ที่วัดพระมหาธาตุ

                           อย่าลืมครับ วันนี้มีการประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ ๑ ของสมาคมฯ

                           วันนี้บ่ายมีฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ - ธรรมศาสตร์  ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งสมัยที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1-3 เวลามีการแข่งขันฟุตบอลประเพณ๊จุฬาฯ - ธรรมศาสตร์ ผมก็จะฟังทางวิทยุถ่ายทอดสด เพราะทีวีไม่มี  ไฟฟ้าไม่มี ขณะนั้นผมจะกำลังต้มข้าวเลี้ยงหมู ได้ยินชื่อ ดร.วิชิต  แย้มบุญเรือง  พี่สัณฐาน  สุริยะคำ พี่อนันต์ และก็พี่ที่ทำงานอยู่กรมทาง(ลืมชื่อแล้วนอนนี้นึกไม่ออก รุ่น 2509)  ที่ผมรู้จักดีภายหลัง  ฟุตบอลประเพณี ครั้งนี้ผมคงไม่ได้ดู เพราะเวลาบอลแข่ง ผมคงอยู่บนเครื่องบิน  กำลังเดินทางจากนครศรีธรรมราช กลับ กทม.

                            ฝาก ดร.สุริยา  อย่าลืมเอาเสื้อที่คุณกนกวรรณ และจ่ายเงินค่าเสื้อให้ไปก่อน เอาไปไว้บ้านคุณรองรัตน์ ให้ด้วย  ขอบคุณมาก

                            เช้านี้มีเวลาน้อย ยังไม่รู้จะสอนธรรมะ เรื่องอะไรดี

                            อย่าลืมตามจิตของท่านให้ทัน  ประคองตั้งจิตไว้อย่าให้มันออกท่องเที่ยวนอกกาย ตามหามันให้พบทุกวินาที ด้วยการระลึกหามันที่กาย  ถ้าจิตมันท่องเที่ยวออกไปนอกกาย ก็คอยตามมันไป  เรียนรู้มันไป  อย่าให้คลาดกัน

                             และอย่าลืมเฝ้าตามจิตผู้อื่นด้วย (ดูพฤติกรรมของเขานั่นเอง) เหตุที่ต้องเฝ้าดูจิตผู้อื่นนั้น เพราะเรายังต้องทำงาน  อยู่ในสังคม  การเรียนรู้จิตคนอื่น  จะทำให้เราระวังจิตของตนเองยิ่ง ๆ ขึ้นไป  ความสงบ  สันติ ก็จะบังเกิดขึ้นกับเรา

                             ข้อสำมะคัญคือ อย่าปล่อยให้จิตของเราล่องลอยออกไปจากตัวของเรา  และเราก็หาจิตของเราไม่พบ เป็นพวก "หลงตนลืมตัว" ไปเสียสิ้น  อย่างนั้นไม่ดี เป็นอันตราย  จะมีแต่ทุกข์ตามมา  บางทีจิตออกไปแล้วไม่กลับมาเลยก็มี ต้องรีะวังจงหนัก

                             เช้านี้ตามจิตท่านให้พบให้ทันตลอดเวลาครับ

                             ลืมบอกไป  บางคน  หรือส่วนมาก  ตามจิตตนเองไม่พบ  เพราะแยกไม่ออกระหว่างความรู้สึกตัว กับความคิด เพราะมัวไปหลงอยู่แต่ในความคิดอย่างเดียว  ท่านต้องภาวนาแล้วครับ

                             สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8204 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2556, 15:15:18 »

ศีล  สมาธิ  ปัญญา

                          ภายหลังจากที่พระพุทธองค์ ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ทรงใช้เวลา ๗ วันแรก ทรงทบทวนสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ คือปฏิจจสมุปาบาท หรือวงจรทุกข์ จนทรงพุทธอุทานว่า ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ-ปัจจัย เกิดขึ้นเองไม่ได้  ถ้าเหตุดับเสียได้  ปัจจัยตามมาก็ไม่มี (ธรรม ในที่นี้คือ สิ่งที่รู้ด้วยใจ)

                          แต่เวลาที่พระองค์ทรงสอนให้กับปัญจวัคคีย์ ในปฐมเทศนานั้น พระพุทธองค์ทรงสอนให้ดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลาง ทรงสอนอริยสัจ ๔ ให้รู้ทุกข์  เหตุแห่งทุกข์  วิธีปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์ คือ ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘

               แต่ครั้งพระองค์ทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ แด่พระภิกษุ ๑๒๕๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ พระองค์ ก็ขมวดธรรมของพระองค์ให้สั้นเข้า เพื่อให้ท่องจำและเข้าใจง่าย ๆ เหลือเพียง ศีล  สมาธิ  ปัญญา เท่านั้น

               วันนี้เรามาทบทวนเรื่อง ศีล   สมาธิ  ปัญญา กันครับ

               ศีล  สมาธิ  ปัญญา เราอาจจะเขียนได้อีกแบบหนึ่งคือ ศีลสิกขา(การศึกษาเรื่องศีล)  จิตสิกขา(การศึกษาเรื่องจิต)  ปัญญาสิกขา(การศึกษาเรื่องปัญญา)

               ศีล  สมาธิ  ปัญญา  เราอาจจะหมายถึง ศีล คือข้อปฏิบัติเพื่อการละกิเลสอย่างหยาบ  สมาธิ คือข้อปฏิบัติเพื่อการละกิเลสอย่างกลาง และปัญญา คือข้อปฏิบัติเพื่อการละกิเลสอย่างละเอียด ก็ได้   ถูกต้องหมด เพราะมันเป็นเรื่องเดียวกัน แล้วแต่จะอธิบายแบบไหน

ศีล  หรือศีลสิกขา หรือ ข้อปฏิบัติเพื่อการละกิเลสอย่างหยาบ

               ศีล แปลว่า ความปกติ

               ศีลสิกขา คือการศึกษาถึงข้อปฏิบัติที่จะทำให้คนอยู่อย่างปกติ  สันติสุข ไม่เบียดเบียนหรือวิวาทกัน สามารถอยู่ร่วมกันได้สันติสุข

               กิเลสอย่างหยาบ คือ กิเลสที่เกิดจากความอยากของมนุษย์ ที่เกิดจากการประพฤติผิดทางกาย  การประพฤติผิดทางวาจา

               การประพฤติผิดทางกายประกอบไปด้วย การเบียดเบียนสัตว์  การฆ่าสัตว์  การลักทรัพย์ของผู้อื่นที่เจ้าของเขาไม่ยินยอม และการประพฤติผิดในกาม(แย่งลูก-เมีย-ผัวของคนอื่น มาเป็นของตน) การประพฤติผิดทางกายเหล่านี้สามารถละได้  ด้วยข้อปฏิบัติ คือศีล นั่นเอง

               การประพฤติผิดทางวาจา ประกอบด้วย การพูดส่อเสียด  การพูดคำหยาบ  การพูดเพ้อเจ่อ  การพูดยุยงให้คนวิวาทกัน และการพูดเท็จ การพูดจาด้วยถ้อยคำเหล่านี้ นอกจากจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนแล้ว ตัวเองก็ได้รับความเดือดร้อนด้วย เป็นกิเลสอย่างหยาบที่สามารถละได้  ด้วยข้อปฏิบัติ คือศีล นั่นเอง

                สรุป จะเห็นได้ว่า กิเลสอย่างหยาบนั้นเกิดจากการประพฤติผิดทางกาย และการประพฤคิผิดทางวาจา เราสามารถป้องกันได้ง่าย ๆ  โดยปฏิบัติตามข้อห้ามนั้น ๆ ซึ่งก็คือ การรักษาศีล นั่นเอง ในที่นี้หมายถึงศีล ๕ ที่เป็นมหาศีล  ถ้าใครสามารถกระทำได้ ก็จะมีชีวิตที่สงบ  สุข  สามารถยับยั้งชั่งใจตนเองไม่ให้ประพฤติผิดในทางอกุศลได้

               ศีล ๕ ประกอบด้วย

               ๑.   ละเว้นจากการฆ่าทรัพย์

               ๒.   ละเว้นจากการลักทรัพย์

               ๓.   ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

               ๔.   ละเว้นจากการพูดเท็จ

               ๕.   ละเว้นจากการดื่มสุรา ของมึนเมา สิ่งเสพติดอันเป็นเหตุให้ละเมิดศีล

                              อานิสสง อย่าน้อยไม่ตกอยู่ในนรกภูมิเมื่อตายไปแล้ว

                              นอกจากนี้คนที่มีศีล ๕ จะเป็นคนที่มีพรหมวิหาร ๔ คือมีเมตตา  กรุณา  มุฑิตา อุเบกขา ได้รับการเคารพ  เชื่อฟัง และเกรงใจจากคนอื่น เรียกได้ว่ามีเกราะป้องกันตัวเป็นอย่างดีที่สังคมยอมรับ

สมาธิ หรือจิตศึกษา หรือข้อปฏิบัติเพื่อละกิเลสอย่างกลาง

                   สมาธิ แปลว่าความตั้งใจมั่น ในที่นี้ต้องสอดคล้องกับมรรค ๘ คือเพียรตั้งใจมั่นในการเจริญสติ เพียรตั้งใจมั่นในการละอกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดขึ้น  เพียรตั้งใจมั่นในการละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป เพียรตั้งใจมั่นในการสร้างกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น  เพียรตั้งใจมั่นในการสร้างกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

                   จิตศึกษาคือ การตั้งใจมั่นในการศึกษาจิตตนเอง เพราะจิตทุกจิตมีพฤติกรรมที่คล้ายกัน แต่คิดต่างกัน

                   กิเลสอย่างกลาง คือกิเลสที่เกิดจากใจที่คิดในทางอกุศล คือ คิดเบียดเบียนสัตว์  คิดมุ่งร้ายสัตว์ คิดอยากได้ของผู้อื่น คิดประพฤติผิดในกาม หรือคิดอยากได้อยากเอา เมื่อตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่น  ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้สัมผัส และปล่อยใจนึกคิดแบบลืมตน

                               จิตมนุษย์นั้น อยากได้เสมอ อยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่รู้จักพอ ในสิ่งที่ตนรัก ในสิ่งที่ตนชอบ ในสิ่งที่ตนพอใจ  ในสิ่งที่สร้างความสุขให้ และในสิ่งที่ตนหลง

                    กิเลสประเภทนี้ ต้องเริ่มต้นด้วยการภาวนา เจริญสติให้จิตตั้งมั่น  ศึกษาจิตตนเอง ด้วยการให้มีสติ – สัมปชัญญะ อยู่ที่กาย  เวทนา  จิต และธรรม ซึ่งถ้าจิตมีสติ คือการระลึกได้ที่กาย เวทนา จิต ธรรม จิตมันจะไม่มีการปรุงแต่ง หรือคิด เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์

ปัญญา หรือปัญญาศึกษา หรือ ข้อปฏิบัติเพื่อละกิเลสอย่างละเอียด

                    ปัญญา โดยปกติแบ่งออกเป็นสองประการคือ ปัญญาที่เกิดจากการฟัง ปัญญาที่เกิดจากการคิด  ปัญญาที่เกิดจากการดู  ปัญญาที่เกิดจากการทำ ประการหนึ่ง กับ

                                ปัญญาที่เกิดจากจิตที่มันเห็นหรือมันรู้ความจริงด้วยตนเอง  จนจิตมันยอมรับในความจริงนั้น  ซึ่งก็ได้แก่รูป-นาม  ความเป็นไตรลักษณ์ และความไม่ยึดมั่นถือมั่น ในตนเองลงได้ อีกประการหนึ่ง

                     ปัญญาศึกษา ในที่นี้คือการศึกษาจิตตนเอง จนจิตมันเกิดปัญญาที่จิตมันสามารถรู้ความจริงด้วยตัวของมันเอง เกิดจากการเจริญสติ  เป็นสมาธิในกาย  เวทนา  จิต และธรรม  จนจิตปราศจากความยินดี  ยินร้าย ละสุข  ละทุกข์เสียได้ เพราะละความยึดมั่นถือมั่นในตนเองลงได้

                     กิเลสอย่างละเอียด คือกิเลสที่จิตมันไม่ต้องการหลุดพ้น แต่ผู้ภาวนาเจริญสติอยากหลุดพ้น เป็นกิเลสที่ขจัดยากที่สุด คือการเอาชนะใจตนเองโดยสิ้นเชิง  ต้องใช้ปัญญาที่จิตมันเห็นความจริง จนสามารถละสุข  ละทุกข์ หมดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนลงได้เสียสิ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

                     ศีล  สมาธิ  ปัญญา  จะให้มันเกิดแบบนึกเอา  จำเอา  เรียนรู้เอา บังคับตนเองเอาไม่ได้ ท่านต้องภาวนาเจริญสติ ให้เป็นสมาธิ ด้วยการพิจารณากาย เวทนา จิต และธรรม จนจิตมันเห็นความจริงด้วยจิตเอง เพราะจิตนั้นมันเป็นอนัตตา บังคับ หรือมีอำนาจเหนือมันไม่ได้

                                 ลองพิจารณาด้วยปัญญา ครับ  ผมมีความรู้เพียงหางอึ่ง ก็แจกแจงได้เพียงเท่านี้  ในขณะนี้

                                 ดร.สุริยา  อาจารย์รุ่งศักดิ์  และผู้รู้ทั้งหลาย  ท่านก็ไม่ยอมแสดงตนเอง  

                                 ปล่อยผมแสดงอยู่คนเดียว  ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้อะไรมากมายนัก  ผมยังละสุขไม่ได้  ผมยังละทุกข์ไม่ได้  ผมยังยึดมั่นในตนเองอยู่บ้าง  ผมยังมีอารมณ์โกรธอยู่บ้าง(แต่สามารถระงับลงได้ทันทีเมื่อรู้ตัว ได้แต่รู้ในจิต ไม่ได้แสดงออกมาทางกาย วาจา)  ผมยังหลงอยู่ในความคิดอยู่บ้าง(เวลาเผลอ ซึ่งไม่มากนัก) และผมยังมีความโลภอยู่บ้าง ยังเป็นปุถุชนม์ธรรมดา เหมือนกับท่านครับ

                                 สวัสดี


      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8205 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2556, 15:40:52 »


                  อยากทราบ ฟุตบอลประเพณี ใครชนะ ครับ

                  ขอบคุณมาก

                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #8206 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2556, 20:47:12 »


สวัสดีครับพี่สิงห์
จุฬาฯเราชนะ 1:0 ครับ








 win รักนะ win
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8207 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2556, 20:49:47 »

สวัสดีครับ คุณน้องหนุ๋น

                       ขอบคุณมากที่แจ้งให้ทราบว่า จุฬาฯ ชนะ ธรรมศาสตร์ 1:0 ในปีนี้

                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8208 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2556, 08:20:15 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 03 กุมภาพันธ์ 2556, 15:15:18
ศีล  สมาธิ  ปัญญา

                          ภายหลังจากที่พระพุทธองค์ ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ทรงใช้เวลา ๗ วันแรก ทรงทบทวนสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ คือปฏิจจสมุปาบาท หรือวงจรทุกข์ จนทรงพุทธอุทานว่า ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ-ปัจจัย เกิดขึ้นเองไม่ได้  ถ้าเหตุดับเสียได้  ปัจจัยตามมาก็ไม่มี (ธรรม ในที่นี้คือ สิ่งที่รู้ด้วยใจ)

                          แต่เวลาที่พระองค์ทรงสอนให้กับปัญจวัคคีย์ ในปฐมเทศนานั้น พระพุทธองค์ทรงสอนให้ดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลาง ทรงสอนอริยสัจ ๔ ให้รู้ทุกข์  เหตุแห่งทุกข์  วิธีปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์ คือ ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘

               แต่ครั้งพระองค์ทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ แด่พระภิกษุ ๑๒๕๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ พระองค์ ก็ขมวดธรรมของพระองค์ให้สั้นเข้า เพื่อให้ท่องจำและเข้าใจง่าย ๆ เหลือเพียง ศีล  สมาธิ  ปัญญา เท่านั้น

               วันนี้เรามาทบทวนเรื่อง ศีล   สมาธิ  ปัญญา กันครับ

               ศีล  สมาธิ  ปัญญา เราอาจจะเขียนได้อีกแบบหนึ่งคือ ศีลสิกขา(การศึกษาเรื่องศีล)  จิตสิกขา(การศึกษาเรื่องจิต)  ปัญญาสิกขา(การศึกษาเรื่องปัญญา)

               ศีล  สมาธิ  ปัญญา  เราอาจจะหมายถึง ศีล คือข้อปฏิบัติเพื่อการละกิเลสอย่างหยาบ  สมาธิ คือข้อปฏิบัติเพื่อการละกิเลสอย่างกลาง และปัญญา คือข้อปฏิบัติเพื่อการละกิเลสอย่างละเอียด ก็ได้   ถูกต้องหมด เพราะมันเป็นเรื่องเดียวกัน แล้วแต่จะอธิบายแบบไหน

ศีล  หรือศีลสิกขา หรือ ข้อปฏิบัติเพื่อการละกิเลสอย่างหยาบ

               ศีล แปลว่า ความปกติ

               ศีลสิกขา คือการศึกษาถึงข้อปฏิบัติที่จะทำให้คนอยู่อย่างปกติ  สันติสุข ไม่เบียดเบียนหรือวิวาทกัน สามารถอยู่ร่วมกันได้สันติสุข

               กิเลสอย่างหยาบ คือ กิเลสที่เกิดจากความอยากของมนุษย์ ที่เกิดจากการประพฤติผิดทางกาย  การประพฤติผิดทางวาจา

               การประพฤติผิดทางกายประกอบไปด้วย การเบียดเบียนสัตว์  การฆ่าสัตว์  การลักทรัพย์ของผู้อื่นที่เจ้าของเขาไม่ยินยอม และการประพฤติผิดในกาม(แย่งลูก-เมีย-ผัวของคนอื่น มาเป็นของตน) การประพฤติผิดทางกายเหล่านี้สามารถละได้  ด้วยข้อปฏิบัติ คือศีล นั่นเอง

               การประพฤติผิดทางวาจา ประกอบด้วย การพูดส่อเสียด  การพูดคำหยาบ  การพูดเพ้อเจ่อ  การพูดยุยงให้คนวิวาทกัน และการพูดเท็จ การพูดจาด้วยถ้อยคำเหล่านี้ นอกจากจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนแล้ว ตัวเองก็ได้รับความเดือดร้อนด้วย เป็นกิเลสอย่างหยาบที่สามารถละได้  ด้วยข้อปฏิบัติ คือศีล นั่นเอง

                สรุป จะเห็นได้ว่า กิเลสอย่างหยาบนั้นเกิดจากการประพฤติผิดทางกาย และการประพฤคิผิดทางวาจา เราสามารถป้องกันได้ง่าย ๆ  โดยปฏิบัติตามข้อห้ามนั้น ๆ ซึ่งก็คือ การรักษาศีล นั่นเอง ในที่นี้หมายถึงศีล ๕ ที่เป็นมหาศีล  ถ้าใครสามารถกระทำได้ ก็จะมีชีวิตที่สงบ  สุข  สามารถยับยั้งชั่งใจตนเองไม่ให้ประพฤติผิดในทางอกุศลได้

               ศีล ๕ ประกอบด้วย

               ๑.   ละเว้นจากการฆ่าทรัพย์

               ๒.   ละเว้นจากการลักทรัพย์

               ๓.   ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

               ๔.   ละเว้นจากการพูดเท็จ

               ๕.   ละเว้นจากการดื่มสุรา ของมึนเมา สิ่งเสพติดอันเป็นเหตุให้ละเมิดศีล

                              อานิสสง อย่าน้อยไม่ตกอยู่ในนรกภูมิเมื่อตายไปแล้ว

                              นอกจากนี้คนที่มีศีล ๕ จะเป็นคนที่มีพรหมวิหาร ๔ คือมีเมตตา  กรุณา  มุฑิตา อุเบกขา ได้รับการเคารพ  เชื่อฟัง และเกรงใจจากคนอื่น เรียกได้ว่ามีเกราะป้องกันตัวเป็นอย่างดีที่สังคมยอมรับ

สมาธิ หรือจิตศึกษา หรือข้อปฏิบัติเพื่อละกิเลสอย่างกลาง

                   สมาธิ แปลว่าความตั้งใจมั่น ในที่นี้ต้องสอดคล้องกับมรรค ๘ คือเพียรตั้งใจมั่นในการเจริญสติ เพียรตั้งใจมั่นในการละอกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดขึ้น  เพียรตั้งใจมั่นในการละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป เพียรตั้งใจมั่นในการสร้างกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น  เพียรตั้งใจมั่นในการสร้างกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

                   จิตศึกษาคือ การตั้งใจมั่นในการศึกษาจิตตนเอง เพราะจิตทุกจิตมีพฤติกรรมที่คล้ายกัน แต่คิดต่างกัน

                   กิเลสอย่างกลาง คือกิเลสที่เกิดจากใจที่คิดในทางอกุศล คือ คิดเบียดเบียนสัตว์  คิดมุ่งร้ายสัตว์ คิดอยากได้ของผู้อื่น คิดประพฤติผิดในกาม หรือคิดอยากได้อยากเอา เมื่อตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่น  ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้สัมผัส และปล่อยใจนึกคิดแบบลืมตน

                               จิตมนุษย์นั้น อยากได้เสมอ อยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่รู้จักพอ ในสิ่งที่ตนรัก ในสิ่งที่ตนชอบ ในสิ่งที่ตนพอใจ  ในสิ่งที่สร้างความสุขให้ และในสิ่งที่ตนหลง

                    กิเลสประเภทนี้ ต้องเริ่มต้นด้วยการภาวนา เจริญสติให้จิตตั้งมั่น  ศึกษาจิตตนเอง ด้วยการให้มีสติ – สัมปชัญญะ อยู่ที่กาย  เวทนา  จิต และธรรม ซึ่งถ้าจิตมีสติ คือการระลึกได้ที่กาย เวทนา จิต ธรรม จิตมันจะไม่มีการปรุงแต่ง หรือคิด เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์

ปัญญา หรือปัญญาศึกษา หรือ ข้อปฏิบัติเพื่อละกิเลสอย่างละเอียด

                    ปัญญา โดยปกติแบ่งออกเป็นสองประการคือ ปัญญาที่เกิดจากการฟัง ปัญญาที่เกิดจากการคิด  ปัญญาที่เกิดจากการดู  ปัญญาที่เกิดจากการทำ ประการหนึ่ง กับ

                                ปัญญาที่เกิดจากจิตที่มันเห็นหรือมันรู้ความจริงด้วยตนเอง  จนจิตมันยอมรับในความจริงนั้น  ซึ่งก็ได้แก่รูป-นาม  ความเป็นไตรลักษณ์ และความไม่ยึดมั่นถือมั่น ในตนเองลงได้ อีกประการหนึ่ง

                     ปัญญาศึกษา ในที่นี้คือการศึกษาจิตตนเอง จนจิตมันเกิดปัญญาที่จิตมันสามารถรู้ความจริงด้วยตัวของมันเอง เกิดจากการเจริญสติ  เป็นสมาธิในกาย  เวทนา  จิต และธรรม  จนจิตปราศจากความยินดี  ยินร้าย ละสุข  ละทุกข์เสียได้ เพราะละความยึดมั่นถือมั่นในตนเองลงได้

                     กิเลสอย่างละเอียด คือกิเลสที่จิตมันไม่ต้องการหลุดพ้น แต่ผู้ภาวนาเจริญสติอยากหลุดพ้น เป็นกิเลสที่ขจัดยากที่สุด คือการเอาชนะใจตนเองโดยสิ้นเชิง  ต้องใช้ปัญญาที่จิตมันเห็นความจริง จนสามารถละสุข  ละทุกข์ หมดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนลงได้เสียสิ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

                     ศีล  สมาธิ  ปัญญา  จะให้มันเกิดแบบนึกเอา  จำเอา  เรียนรู้เอา บังคับตนเองเอาไม่ได้ ท่านต้องภาวนาเจริญสติ ให้เป็นสมาธิ ด้วยการพิจารณากาย เวทนา จิต และธรรม จนจิตมันเห็นความจริงด้วยจิตเอง เพราะจิตนั้นมันเป็นอนัตตา บังคับ หรือมีอำนาจเหนือมันไม่ได้

                                 ลองพิจารณาด้วยปัญญา ครับ  ผมมีความรู้เพียงหางอึ่ง ก็แจกแจงได้เพียงเท่านี้  ในขณะนี้

                                 ดร.สุริยา  อาจารย์รุ่งศักดิ์  และผู้รู้ทั้งหลาย  ท่านก็ไม่ยอมแสดงตนเอง  

                                 ปล่อยผมแสดงอยู่คนเดียว  ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้อะไรมากมายนัก  ผมยังละสุขไม่ได้  ผมยังละทุกข์ไม่ได้  ผมยังยึดมั่นในตนเองอยู่บ้าง  ผมยังมีอารมณ์โกรธอยู่บ้าง(แต่สามารถระงับลงได้ทันทีเมื่อรู้ตัว ได้แต่รู้ในจิต ไม่ได้แสดงออกมาทางกาย วาจา)  ผมยังหลงอยู่ในความคิดอยู่บ้าง(เวลาเผลอ ซึ่งไม่มากนัก) และผมยังมีความโลภอยู่บ้าง ยังเป็นปุถุชนม์ธรรมดา เหมือนกับท่านครับ

                                 สวัสดี



สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                        วันนี้พี่สิงห์ อยู่บ้าน ได้หุงข้าวใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน  

                        ทำจิตให้ขาวรอบด้วยการระลึกได้ที่กาย ที่ใจ ความสุขเกิดขึ้นก็รู้ ความทุกข์เกิดขึ้นก็รู้ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้ คิดก็รู้ว่าคิด ไม่คิดก็รู้ว่าไม่คิด และใช้กรรมฐานของเณรที่สอนพระใบลานมาปฏิบัติ เห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็นรูป ได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยินเสียง ได้ดมกลิ่นก็สักแต่ว่าดมกลิ่น  ได้ลิ้มรสก็สักแต่ว่าได้ลิ้มรส ได้สัมผัสก็สักแต่ว่าได้สัมผัส  

                         แต่ใจตนเองนี่ซิ ยังเผลอหลงอยู่ในความคิดอยู่บ้าง  ยังอยากอยู่บ้าง  เวลาประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบก็ยังมีอารมณ์หงุดหงิดอยู่บ้างแต่อยู่ภายในเท่านั้น  ก็ต้องภาวนากันต่อไป

                        ช่วงนี้ไม่ใคร่อยากที่จะไปไหน  อยากอยู่บ้าน เช้านี้เลยเอาผ้าห่ม  ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน  มาซักและเอาหมอนตากแดด  ผ้าห่มซับในเอาตากแดด  เย็น ๆ ค่อยทำความสะอาดบ้าน เป็นการออกกำลังกาย หรือปฏิบัติธรรมไปในตัว

                        ชีวิตมันก็มีเพียงแค่นี้  หาเงินได้มาก  แต่ร่างกายเจ็บป่วย เต็มไปด้วยโรคเรื้อรัง มันก็ไร้ค่าสิ้นในสิ่งที่เราหลงกระทำ

                        การอยู่แบบพอเพียงเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่สามารถอยู่ได้  ถึงจะไม่มีเงินมาก แต่ก็สุขใจ  ไร้ซึ่งโรคเรื้อรัง

                         อยู่กับความเป็นจริงในธรรมชาติทั้งกาย และจิต ความปรุงแต่งมันก็น้อยลง ก็เพียงพอแล้วครับ ชีวิต

                         เมื่อเช้าสุธีเอา อุปกรณ์ Detox ที่ผมซื้อมาจากโรงพยาบาลจอมทองเอามาให้  จะได้ทำ Detox เสียทีเพราะว่างเว้นมานานเนื่องจาก กาแฟ-อุปกรณ์เก่าหมดไปนานแล้ว

                        สวัสดี


การอยู่แบบพอเพียงนั้น ต้องอยู่ในโลกของความมีสติ รู้ตัว ไม่หลงอยู่ในความคิด จนเป็นทาสของความคิด

 การหลงอยู่ในความคิด  ไม่ทำอะไรเลย  จนตัวเองเดือดร้อน  ครอบครัวเดือดร้อน จงละเสีย

เราต้องปฏิบัติตาม มรรค มีองค์ ๘ ให้เกิดขึ้น  จึงจะถูกต้อง
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #8209 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2556, 11:00:37 »


...พี่สิงห์ไม่ยอมไปเชียร์บอล...

...กุศลเลยต้องขาดคู่หูและไปกับพวกหอ...

...หมอโบกมือให้กุศลแล้ว...แต่ทำยังไงกุศลก็มองไม่เห็น...

...ตู่และหมอนั่งอยู่แถวแรกของราวกั้นจากที่นั่งที่เค้ากันไว้ให้พี่เก่าจุฬาค่ะ...

...ได้เจอพี่ปิ้งด้วยนั่งอยู่ข้างหน้าตู่...

...เสียดายที่พี่สิงห์ไม่ได้ไป...เชียร์บอลสนุกมากค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8210 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2556, 11:34:30 »

กินเพื่ออยู่ และประหยัดเงิน


สวัสดีครับ คุณน้องตู่ ที่รัก

                           อย่าไปเสียดายมันเลย

                           พี่สิงห์ ต้องทำงาน เราสอนให้คนรับผิดชอบ แล้วเราหนีไปดูบอล  ใครไม่รู้  แต่เราก็รู้  ขอทำงานดีกว่า

                           ได้เวลารับประทานอาหารกลางวันแล้ว

                           วันนี้เป็นจั๊งฟู๊ด ตามเคย พึ่งร้านขายข้าวแกง ร้านอิ่มอร่อย ตลาดลุงเพิ่ม หลังการบินไทย

                           โดยมีผักสด เป็นเครื่องเคียง  ก็อยู่ได้

                            ข้าว นั้นจะรับประทานจนหมด ไม่เหลือสักเม็ด มันเป็นความเคยชิน (สงสารคนที่ไม่มีข้าวกิน  จะว่าเราได้)

                            ผักสดนั้น เหลือกินพรุ่งนี้ได้อีกหนึงวัน

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #8211 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2556, 12:59:22 »


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ติดตามกระทู้ค่ะ...

...เมื่อวันเชียร์บอลตู่ก็เอาแกแล็คซี่ลองไปใช้งานค่ะ...

...ถ่ายรูปได้แต่ส่งไม่ได้...

...สัญญานอ่อนมากๆค่ะ...

...ตู่รับโปรเล่นแบบไม่จำกัดชั่วโมงนะคะและโทรฟรี 350 นาทีของเอไอเอส...

...แต่รู้สึกว่าเค้าก็จำกัดไม่ให้เล่นมากค่ะ...เพราะถ้าเล่นจนถึงขีดจำกัดสัญญานก็จะอ่อนมากๆค่ะ...

...แต่เวลาอยู่บ้านใช้WIFI ของทีทีแอนด์ทีและที่สนามก็ใช้แบบเหมาเป็นเดือน...

...ถ้าเล่นได้จำกัดแบบนี้ต่อไปคงยกเลิกค่ะ...

...และเวลาไปต่างจังหวัดก็ใช้WIFIของที่นั้นๆน่าจะคุ้มค่ากว่านะคะ...

...ของพี่สิงห์ใช้โปรแบบไหนคะ...ดีมั้ยคะ...เผื่อเปลี่ยนค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #8212 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2556, 14:12:43 »

สวัสดีครับพี่สิงห์และชาวหอ
     ไปอินเดียคราวนี้ผมได้เตรียมมุ้งเล็กนอนคนเดียวใว้ 2 หลัง  ของผมเองและของพี่สิงห์คนละหลัง
      คราวที่แล้ว ที่วัดไทยพุทธวิปัสนาผมไปนอนชั้นสาม ยุงชุมมาก ขนาดทายากันยุงก็เอาไม่อยู่
      ครั้งนี้เราไปพักถึง 3 คืน   ผมจึงต้องเตรียมมุ้งเอาไปด้วย
       ผมทราบว่า ชั้นล่างๆเขาต้องใช้มุ้งกันทั้งนั้น  แต่ชั้นที่ผมอยู่สร้างเสร็จใหม่อุปกรณ์ยังไม่พร้อม
       ถ้าปีนี้เขาพร้อมก็ไม่เป็นไร  เราถวายให้กับทางวัดเสียเลย
       ส่วนมุ้งกระโจมผมยังไม่เห็น  ถ้าเจอจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งครับ
        ขอบใจนองอ้อยที่เป็นธุระสำหรับพี่ๆครับ
-
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #8213 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2556, 14:33:03 »

อ้างถึง
ข้อความของ KUSON เมื่อ 04 กุมภาพันธ์ 2556, 14:12:43
สวัสดีครับพี่สิงห์และชาวหอ
     ไปอินเดียคราวนี้ผมได้เตรียมมุ้งเล็กนอนคนเดียวใว้ 2 หลัง  ของผมเองและของพี่สิงห์คนละหลัง
      คราวที่แล้ว ที่วัดไทยพุทธวิปัสนาผมไปนอนชั้นสาม ยุงชุมมาก ขนาดทายากันยุงก็เอาไม่อยู่
      ครั้งนี้เราไปพักถึง 3 คืน   ผมจึงต้องเตรียมมุ้งเอาไปด้วย
       ผมทราบว่า ชั้นล่างๆเขาต้องใช้มุ้งกันทั้งนั้น  แต่ชั้นที่ผมอยู่สร้างเสร็จใหม่อุปกรณ์ยังไม่พร้อม
       ถ้าปีนี้เขาพร้อมก็ไม่เป็นไร  เราถวายให้กับทางวัดเสียเลย
       ส่วนมุ้งกระโจมผมยังไม่เห็น  ถ้าเจอจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งครับ
        ขอบใจนองอ้อยที่เป็นธุระสำหรับพี่ๆครับ
-
กุศลตกข่าวหรือเปล่า พี่สิงห์ ฝากซื้อ มุ้งที่งานเกษตร ผ่าน น้องอ้อย 17แล้ว สวยหรู รุ่นกุมารวิ่งรอบได้ ขณะ นั่งสมาธิ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8214 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2556, 21:22:59 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 04 กุมภาพันธ์ 2556, 12:59:22

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ติดตามกระทู้ค่ะ...

...เมื่อวันเชียร์บอลตู่ก็เอาแกแล็คซี่ลองไปใช้งานค่ะ...

...ถ่ายรูปได้แต่ส่งไม่ได้...

...สัญญานอ่อนมากๆค่ะ...

...ตู่รับโปรเล่นแบบไม่จำกัดชั่วโมงนะคะและโทรฟรี 350 นาทีของเอไอเอส...

...แต่รู้สึกว่าเค้าก็จำกัดไม่ให้เล่นมากค่ะ...เพราะถ้าเล่นจนถึงขีดจำกัดสัญญานก็จะอ่อนมากๆค่ะ...

...แต่เวลาอยู่บ้านใช้WIFI ของทีทีแอนด์ทีและที่สนามก็ใช้แบบเหมาเป็นเดือน...

...ถ้าเล่นได้จำกัดแบบนี้ต่อไปคงยกเลิกค่ะ...

...และเวลาไปต่างจังหวัดก็ใช้WIFIของที่นั้นๆน่าจะคุ้มค่ากว่านะคะ...

...ของพี่สิงห์ใช้โปรแบบไหนคะ...ดีมั้ยคะ...เผื่อเปลี่ยนค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         พี่สิงห์ ใช้ไม่มาก ขอใช้ของ TOT 99 บาท  ดีที่สุด เร็วดี  ถ้ามีสัญญาณ เพราะคนใช้ไม่มากเท่า AIS หรือ DTAC และ True ซึ่งโปรโมชั่นพี่สิงห์ ไม่นิยม ไม่แน่ใจในระบบ  

                          กำลังพิจารณา โทรศัพท์ ตัวเองใช้ก็น้อย บุคคลที่พี่สิงห์ โทรหา มีแต่ ดร.สุริยา  ดร.กุศล  ส่ง SMS จองตั๋วเครื่องบิน และเวลาไปตีกอล์ฟ น้อยมาก แต่ทำไม ต้องจ่ายเพิ่มทุกครั้ง ปกติในแต่ละวัน โทรศัพท์ ไม่เกินหนึ่งหรือสองครั้ง ส่ง SMS ก็อาทิตย์ละสอง-สามครั้ง แค่นี้เอง

                           งานส่วนใหญ่เขาเป็นผู้โทรศัพท์ มาหาทั้งนั้น ซึ่งก็ไม่มาก  สงสัยเป็นอย่างมาก จริง ๆ  จะดูช่วงไปอินเดีย ไม่ได้ใช้โทรศัพท์ ๑๓ วันปิดเครื่อง มันจะเกินไหม? ค่าโทรศัพท์  ถ้าเกินย้ายค่าย หรือ เลิกใช้

                           อย่างเดินทางไปนครศรีธรรมราช ไปวันพฤหัสบดี  กลับวันเสาร์เย็น แบตเตอรี่โทรศัพท์ ไม่ต้องชาร์จไฟฟ้า ใช้ได้สบายเพราะใช้นิดหน่อยหรือไม่ได้ใช้เลย เอาไว้เป็นเพื่อนเวลาฉุกเฉินเท่านั้น

                           หรือไม่ใช้แบบเติมเงินดีกว่า net ก็ไม่มี

                            รายได้มีไม่มาก  ต้องประหยัด  จึงต้องเตรียมจิตตนเองไว่รอท่า ห่างไกลความฟุ่มเฟือยให้มากไว้

                           สวัสดี
                         
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8215 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2556, 07:52:24 »


สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                        เช้านี้อยู่บ้าน ได้หุงข้าว ใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน เพื่อให้จิตเป็นกุศล มีเมตตา  กรุณา  มุฑิตา และอุเบกขา

                        กรรม คือการกระทำ ใครทำกรรมดีก็ตาม ใครทำกรรมชั่วก็ตาม ย่อมได้ผลของกรรมนั้นเสมอไม่ละเว้น

                        ใครอยากทำบุญใส่บาตรพระ ท่านต้องกระทำเอง  จะให้ลูกหลานทำบุญให้เมื่อท่านตายไปแล้ว  อย่าพึงหวังเลย  มันกระทำได้ยาก เพราะทุกคนจะลืม  ไม่ให้ความสำคัญ  ไม่มีเวลา การทำบุญให้ท่านเมื่อท่านตายไปแล้ว จะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น  ดูตัวอย่างได้จาก ดร.กุศล  และ ดร.สุริยา หรือตัวท่านเอง เป็นตัวอย่าง

                         วันนี้ผมต้องเดินทางไปสระบุรี และเลยไปที่โคราชครับ  มีเวลาน้อย ยังไม่รู้จะเขียนอะไรดีเลย

                         สวัสดีครับ


อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์

                         มนุษย์ที่เกิดมานั้น พระพุทธองค์ท่านทรงสอนต่างจาก เจ้าลัทธิอื่น คือ มนุษย์นั้น ต้องคิดว่า ไม่มีตัวตน  ความเป็นตัวตนหมายความว่า ถ้าเรามีตัวตนที่แท้จริง  เราต้องมีอำนาจเหนือมัน สามารถบังคับบัญชาตัวเราเองได้  แต่ความเป็นจริงแล้ว เราบังคับบัญชาตัวของเราไม่ได้เลย  อยากให้ตัวเราเป็นนั่นเป็นนี่  อย่าให้ป่วย  ก็ทำไม่ได้เลย เมื่อเราบังคับไม่ได้ ก็จงเห็นตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ใน อนันตลักษขณสูตร ในการเทศนาครั้งที่สอง

                         พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่า ร่างกายมนุษย์นั้น ประกอบไปด้วย รูป-นาม

                         รูป คือสิ่งที่มองเห็นได้ ประกอบขึ้นด้วย ธาตุดิน  น้ำ  ไฟ  ลม  มาประชุมรวมกัน มีอวัยยวะ ๓๒ ประการ

                         นาม หรือจิต หรือใจ  คือ สิ่งที่มองไม่เห็น ไม่มีตัวตน แต่ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ทั้งหมด ประกอบด้วย เวทนา สังขาร สัญญา และวิญญาณ   นาม หรือจิต ไม่มีที่อยู่แน่นอน เมื่อใดท่านระลึกได้ที่ส่วนใดของร่างกาย จิตก็อยู่ตรงนั้น  จิตท่องเที่ยวไปทั้งภายในร่างกายและภายนอกร่างกาย  ไม่หยุดนิ่ง  จนกว่าร่างกายจะหมดการรับรู้ คือ ตาย           

                         รูป เป็น อนัตตา เพราะเราบังคับรูปของเราไม่ได้เลย อยากให้รูปเป็นอย่างนั้น ก็บังคับไม่ได้

                         เวทนา เป็นอนัตตา เพราะเรา ไม่สามารถบังคับความสุข ความทุกข์ให้มีขึ้น ให้หายไปไม่ได้เลย เวทนาล้วนเกิดจากเหตุปัจจัย

                         สัญญา เป็นอนัตตา เพราะเราไม่สามารถที่จะให้ลืม หรือให้จำ ในสิ่งที่เราประสบ หรือนึกคิดขึ้นมาได้เลย

                         สังขาร เป็นอนัตตา เพราะเราไม่สามารถสั่งให้หยุดคิด  เลิกคิด  ตามใจเราได้เลย

                         วิญญาณ เป็นอนัตตา เพราะเราไม่สามารถสั่งให้ไม่รับรู้เมื่อตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง......และปล่อยใจนึกคิด ได้เลย

                          เมื่อ รูป เวทนา สัญญา  สังขาร วิญญาณ เป็นอนัตตา  มันก็ไม่สามารถที่จะอยู่อย่างจิรังยั่งยืนได้ หรือไม่เที่ยงนั่นเอง มันย่อมเสื่อสลายได้เป็นธรรมดา  อะไรที่มันไม่เที่ยงมันย่อมเป็นทุกข์ ไปตามกาล ไปตามเหตุปัจจัย ทั้งสิ้น

                          ดังนั้น ตัวทุกข์ คือ รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร และวิญญาณ

                          ประตูแห่งการเกิดทุกข์ คือ ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  และใจ

                          เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ คือ ตัณหา ความอยากมี  อยากเป็น  อยากได้  อยากเอา ไม่มีที่สิ้นสุด

                          สาเหตุที่ทำให้คนเราอยาก คือ ความยึดมั่นในตัวตน นี่เอง เป็นต้นตอแห่งความอยากทั้งหลาย เพราะจิตคนปราถนาความสุข ความสำเร็จ ไม่มีที่สิ้นสุด

                          ดังนั้น สิ่งแรกที่เราต้องทำลาย คือทำลายความยึดมั่น หรือความเชื่อมั่นว่า เราไม่มีตัวตนที่แท้จริงเลย เรามีแต่รูป และนาม  ตัวทุกข์ที่เกิดขึ้นก็เกิดจาก รูป-นาม ตามเหตุปัจจัยและเวลาทั้งสิ้น

                          จะทำลายความยึดมั่นในตัวตนได้ ท่านต้องภาวนา มีสติอยู่ที่ กาย เวทนา จิต และธรรม ศึกษารูป-นาม ในตัวของท่าน ให้จิตของท่านเห็นความจริงนั้นเอง คือเห็นรูป-นาม ในตัวท่าน เห็นความเป็นไตรลักษณ์ในรูป-นามในตัวท่าน เอาเอง ด้วยความมีวิริยะ ตามสัมมัปทาน ๔ ดังที่เคยได้กล่าวเอาไว้แล้ว

                          สวัสดี

                         
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8216 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2556, 20:47:50 »

สวัสดียามค่ำครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                       พี่สิงห์ อยู่ กทม. เพราะพรุ่งนี้ต้องเอารถเข้าศูนย์ Honda บางชัน เพราะวันนี้ได้ให้ช่างที่โรงงาน PSTC ดูให้แล้วพบรอยรั่วของน้ำมันพาวเวอร์พวงมาลัยรถ แล้ว เลยต้องนำรถกลับไปให้ช่างของ Honda ทำให้ใหม่เพราะอยู่ในระยะประกัน มันเป็นการผิดพลาดที่ซ่อมแบบไม่เรียบร้อย ขาดการเอาใจใส่  ต้องยอมรับความจริง เราอุตส่าห์ไว้ใจซ่อมที่นี่มาตลอดสิบปี  รถคันนี้ ทุกหนึ่งหมื่อนกิโลเมตร

                        วันนี้สอนทั้งธรรมะ และสอนทั้งงานให้พนักงาน PSTC เจอผู้ปฏิบัติธรรมที่ดื้อแพ่ง ดันทุรังจะทำต่อให้ได้ ในสิ่งที่เรารู้คำตอบแล้ว เสียเวลา  เสียเงิน  เสียโอกาส มันควรจะยุติโครงการได้แล้วในการทดลอง  เขาก็ไม่ยอม เลยต้องงัดไม้ตายออกมาใช้คือ ต้องเทศนา ศีล  สมาธิ  ปัญญา ให้ฟัง ว่าศีล คือเครื่องมือกำจัดกิเลสอย่างหยาบที่เกิดจากกาย และวาจา  สมาธิ คือเครื่องมือกำจัดกิเลสอย่างกลางที่เกิดจากใจ และปัญญา คือเครื่องมือกำจัดกิเลสอย่างละเอียด ซึ่งได้แก่ความยึดมั่น ถือมั่น หรือทิฏฐิของตนเองนั่นเอง   จึงยอมรับที่จะล้มเลิกโครงการเสีย แต่ผมก็ได้พยายามอธิบายจนเขายอมรับ และให้ทำโครงการใหม่ทดแทนในการทดลองเพื่อไม่ให้เขาเสียหน้า คือให้ทดลองทำแบบหล่อผนังแบบแบตเตอรี่ ได้อธิบายหลักการให้ฟัง และให้ลงมือทันที มันจะเป็นประโยชน์ต่อโรงงานเป็นอย่างมาก ไม่เสียเนื้อที่ในการผลิต และสามารถเพิ่มผลผลิตด้วย

                         นอกจากนี้ผมได้ตอบคำถามของเขาทุกข้อที่สงสัย ดังตัวอย่าง

                         เขาบอกว่าได้ยิน ได้ฟังมาจากวิทยุว่า ผู้ที่พิจารณาธรรมในหัวข้อ อิทธิบาท ๔ แล้วจะมีอายุยืน เกิน ๑๐๐ ปี  อาจารย์ว่าอย่างไร ?

                         ผมก็ตอบว่า อิทธิบาท ๔ คือธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จในงานทำงานทุกงาน  ถ้าปฏิบัติตามนั้น  แต่ถ้าเพียงท่องบ่นทุกวัน แล้วไม่ปฏิบัติตามนั้น ไม่มีทางที่อายุจะเกิน ๑๐๐ ปี  การที่เราจะให้มีอายุเกิน ๑๐๐ ปีได้ เราต้องรู้เรื่องการดูแลสุขภาพ คืออย่างน้อย นอนแต่หัวค่ำ กินอาหารให้ครบหมู่ในปริมาณพอดี  ออกกำลังกายเสม่ำเสมอ ทำจิตให้ขาวรอบ  เมื่อเราทราบแล้วก็เอาอิทธิบาทมาใช้ในการกระทำตามที่รู้เรื่องการดูแลสุขภาพ  คือ
                          มีฉันทะ คือ รักตัวเอง พร้อมที่จะปฏิบัติตามที่ต้องกระทำในการดูแลตนเอง และรักในการที่จะกระทำตามนั้นจนสำเร็จ

                          มีวิริยะ คือ ต้องมีความพากเพียร ไม่ย่อท้อในการกระทำ เอาชนะจิตตนเอง และคิดว่าสามารถทำได้จริง

                          มีจิตตะ คือ กระทำด้วยจิตที่ตั้งมั่น มุ่งมั่น และต่อเนื่อง จนสำเร็จ

                          มีปัญญา คือ ใช้ปัญญาในการทำงานทุกครั้งที่จิตอ่อนแอหมดกำลังที่จะกระทำ หรือเกียจคร้าน ต้องใช้ปัญญาเข้าช่วย ไตร่ตรองให้รอบครอบ เอาชนะปัญหาต่าง ๆ ให้ได้ด้วยปัญญา

                         การงานเรานั้นขอให้นำอิทธิบาทไปใช้ในการปฏิบัติ สำเร็จแน่นอน  ไม่ใช่เอามาพิจารณาเฉยๆ แล้วไม่ทำอะไรเลย มันไม่ถูกต้องทั้งสิ้น

                          ผมก็ตอบไปตามนั้น ส่วนเขานั้น อิทธิบาท ๔ ยังจำไม่ได้ว่าประกอบไปด้วยอะไร แล้วมันจะอายุเกิน ๑๐๐ ปีได้อย่างไร  คนเราก็ชอบแบบนี้ละ คือหลงอยู่เรื่อย ไม่ใช้ปัญญาเลย

                          หมดเวลาแล้วครับ ได้เวลาทำวัตรเย็นแล้ว

                          ราตรีสวัสดิ์ครับ

                          
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8217 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2556, 11:47:45 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รัก

                     พี่สิงห์ อยู่ที่ Honda บางชัน ยังรอที่จะรับรถอยู่ มีปัญหาคือ เจ้าหน้าที่บอกว่า ผมต้องเปลี่ยนสายน้ำมันสี่สายด้วยกัน และไม่มีอะไหล่ ต้องรอถึงพรุ่งนี้ อย่างเดียว ผมเลยขอผมได้พบผู้จัดการ

                      เมื่อผู้จัดการมา ผมก็บอกว่าผมเป็นลูกค้ามากว่าสิบปี การซ่อมเรื่องน้ำมันรั่วที่สายพาวเวอร์นี่ มาเป็นครั้งที่สามแล้ว ไม่เคยเกี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายเลย ผมจำเป็นต้องเสร็จวันนี้เพราะ พรุ่งนี้เที่ยงต้องไปนครศรีธรรมราช กลับเย็นวันเสาร์ เช้าวันอาทิตย์ต้องไปสุรินทร์ กลับเย็นวันจันทร์ วันอังคารต้องไปสระบุรี วันพุธ-พฤหัสอดี ต้องไปนครศรีธรรมราช และวันเสาร์เช้ามืดต้องไปอินเดีย  ผมไม่มีเวลาจริง ๆ ขอความกรุณาได้พิจารณาซ่อมให้เสร็จด้วย  เพราะผมไม่เชื่อว่าการหาอะไหล่มันจะต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ แบบนี้ ผมจำเป็นจริง ๆ ไม่เช่นนั้นผมต้องทิ้งรถเอาไว้และวันที่ ๑ เดือนมีนาคม จึงจะมาเอารถไปได้

                        ผู้จัดการบอกว่า การตัดสินใจของพนักงานมีจำกัด  ต้องขออภัย  ผมจะจัดการหาอะไหล่ให้เดี๋ยวนี้

                       ก็ต้องขอขอบพระคุณ ที่กรุณา เพราะผมไม่มีเวลาจริง ๆ

                       ผมก้เลยต้องรอ  จนกว่ารถจะสร็จคงไม่เกินบ่ายสองโมงครับ

                       ผมเองก็ไม่ชอบวิธีการแบบนี้  แต่มันจำเป็นจริง ๆ ในครั้งนี้ 

                       ผมเองยังกังวลอยู่เลย เดินทางแบบนี้กลัวว่าจะไม่สบายเสียก่อนที่จะไปอินเดีย  ก็ได้แต่พยายามดูแลร่างกาย  ออกกำลังกายทุกวัน  พักผ่อนให้เพียงพอ  ทำจิตให้ผ่องใสอยู่ด้วยการมีสติ

                       เดี๋ยวนี้ ไม่มีใครมาพูดจาด้วย  มันเหงาเหมือนกัน  จะเลิกเขียน ก็กระไรอยู่ คนจะว่าเอาได้

                       การตบมือข้างเดียวไม่ดีเลย  หรือเราทำตัวไม่ดี  คนเลยไม่เข้ามาคุย

                       ช่วยบอกด้วยจักขอบคุณมาก  จะได้รู้ตัว หรือได้เวลาปิดกระทู้นี้เสียที

                       สวัสดี

                     
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #8218 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2556, 12:58:39 »


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ยังตามอ่านอยู่เสมอๆค่ะ...

...แต่บางทีไม่มีเวลาโพสท์ตอบ...

...ตอนนี้ตู่ก็ทำงานตัวเป็นเกลียวเลยอ่ะ...อิอิ...

...ตามอ่านทั้งเว็บซีมะโด่งและเฟสบุ๊คค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #8219 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2556, 15:05:24 »

หนูก็อ่านอยู่ค่ะ ตกลงเผือกกรอบอร่อยมั๊ยคะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #8220 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2556, 20:27:21 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
ตามอ่านอยู่เสมอค่ะ แต่ไม่ได้เข้ามาเขียนอะไร
เพราะชอบอ่านที่พี่สิงห์เขียนมากกว่าค่ะ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8221 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2556, 21:28:12 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 06 กุมภาพันธ์ 2556, 15:05:24
หนูก็อ่านอยู่ค่ะ ตกลงเผือกกรอบอร่อยมั๊ยคะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

                     สำหรับพี่สิงห์ แล้วรสชาดมันหายไปแยะ เป็นว่า อย่างนั้น ๆ ก็แล้วกัน พอเผือกไม่มีน้ำ ความอร่อยมันหายไป พี่สิงห์ รู้สึกเฉย ๆ ต้องไปถามแพรว เพราะพี่สิงห์ รับประทานไปนิดเดียวพอรู้รส เท่านั้น ที่เหลือแพรว รับประทานหมดเลย

                     เดือนมีนาคม  มีโอกาสขึ้นไปอีกครับ  ต้องไปสอนลูกชายคุณประพันธ์ ให้รู้เรื่องคอนกรีตผสมเสร็จ อย่างน้อยต้องออกแบบส่วนผสมเป็น ครับ

                     ขอบคุณมาก ที่เข้ามาทักทาย คิดถึง

                     สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8222 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2556, 21:33:47 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 06 กุมภาพันธ์ 2556, 12:58:39

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ยังตามอ่านอยู่เสมอๆค่ะ...

...แต่บางทีไม่มีเวลาโพสท์ตอบ...

...ตอนนี้ตู่ก็ทำงานตัวเป็นเกลียวเลยอ่ะ...อิอิ...

...ตามอ่านทั้งเว็บซีมะโด่งและเฟสบุ๊คค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         พรุ่งนี้เช้า พี่สิงห์ ตั้งใจว่าหลังจากใส่บาตรพระที่หน้าบ้านแล้ว จะไหว้แม่-พ่อ แบบจีน เพราะสมัยเด็กแม่เคยไหว้เจ้าทุกปี  มาระยะหลังตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้าน ณ ปัจจุบัน แม่ไม่ได้ไหว้เจ้าอีกเลย  ตรุษจีนปีนี้ พี่สิงห์ เลยจะไหว้สักครั้งให้แม่ ยังไม่รู้ว่าจะมีขนมเทียนขายหรือไม่  ถ้าไม่มีก็ ส้ม ๔ ผล ขนมหม้อแกงที่แม่ชอบ

                        เหตุที่ต้องไหว้ก่อนเพราะ อยู่นครศรีธรรมราช  พี่ตุ๊ บอกว่าให้ไหว้ก่อน ตามประเพณี

                        ขอบคุณมาก เขียนคนเดียวชักเบื่อตัวเอง  หลอกล่อ ดร.สุริยา  อาจารย์รุ่งศักดิ์ ก็ไม่ยอมแสดงตน  แสดงว่า ทั้งสองท่าน จิตแข็งมาก !

                        สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8223 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2556, 21:46:39 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 06 กุมภาพันธ์ 2556, 20:27:21
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
ตามอ่านอยู่เสมอค่ะ แต่ไม่ได้เข้ามาเขียนอะไร
เพราะชอบอ่านที่พี่สิงห์เขียนมากกว่าค่ะ



สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร  ที่รัก

                        พี่สิงห์ เขียน ตามที่จิตมันระลึกได้เรื่องนั้น  เรื่องนี้ เวลาเดินจงกรมนั้น ถ้าเดินแบบมีสติเฉย ๆ มันมีแต่ความสงบ อย่างเดียว  พี่สิงห์  เลยปล่อยมันคิด  ได้แต่ตามดูมันคิด  คิดเรื่องอะไรก็นำมาเขียน ไปวันหนึ่ง ๆ บางทีก็คิดหลายเรื่อง แต่เลือกเอาเรื่องเดียว  ข้อสำคัญ เวลาคิดต้องไม่ใจลอยจนลืมตนลืมตัว ต้องเป็นแบบรู้ คิด รู้ คิด ไปเรื่อย ๆ เราต้องรู้ตัวเองว่าเวลาเดินจงกรม จิตเราระลึกได้ที่การยก ย่าง เหยีบไหม ! และเวลาคิดก็รู้ได้  อย่าหลงในความคิด  จนแยกไม่ออก มันก็เสร็จเท่านั้นเอง คือลืมกายไปเสียสิ้น

                          หลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้น  มีไม่มาก ในสิ่งที่เป็นหัวใจ  แต่คำสอนของท่านมีมาก ถึง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์

                          พี่สิงห์ ไม่รู้ว่าเขียนถูกใจหรือไม่  แต่เขียนเพื่อเตือนตนเอง เป็นการสร้างจิต  ย้ำอยู่เสมอ ๆ ให้มันจำยอม
 
                          ทุกวันเห็นจิตมันพัฒนารู้เพิ่มขึ้นในสิ่งที่พี่สิงห์ ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ  ไม่ได้หยุดนิ่งเลย เพียงแต่ว่าพี่สิงห์  เป็นคนไม่จดบันทึก มันก็ลืมเป็นบ้างครั้ง  แต่ถ้าบันทึกไว้ป่านี้ คนหนามาก และมีอะไรดี ๆ ที่น่ารู้แยะ ที่หาไม่ได้จากหนังสือ เพราะพระท่านไม่ยอมกล้าที่จะเขียน กลัวผิดหลักการ

                           เธอเป็นอย่างไรบ้าง  สบายดีหรือไม่  พยายามรักษาศีล ๕ เอาไว้บ้าง  จิตจะได้มีเกราะป้องกันตัว

                           ขอบคุณมาก

                           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8224 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2556, 22:04:20 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รัก

                              วันนี้หมดค่าเปลี่ยนสายพาวเวอร์  สายน้ำมัน ซีลน้ำมันเครื่องไป สามพันกว่าบาท  ยังไม่รู้เลยว่าจะได้ผลหรือไม่ กลับมาถึงบ้านก็เกือบห้าโมงเย็นครับ  วันนี้ดีที่ แวะซื้อไก่ย่างข้าวเหนี๋ยวจากร้านไก้ย่างวิเชียรบุรี  เลยมีอาหารกลางวันรับประทานที่ Honda บางชัน

                              วันก่อน ได้บอกคุณภูดิษย์ ไปว่า สำหรับอาจารย์ ไม่ได้หวังอะไรจากการปฏิบัติธรรมมากนัก ขอเพียงให้จิตอยู่แบบพอเพียงได้  นำสิ่งที่ได้จากการศึกษาจิตตนเอง มาใช้ในการทำงาน ทำกิจวัตรประจำวัน  ให้สามารถทำงานดีขึ้น เป็นสุขจากการไม่ปรุงแต่ง   ไม่หลงอยู่ในความคิด เพียงแค่นี้เพียงพอแล้ว  อาจารย์ยังไม่เห็นผลร้ายของการปฏิบัติธรรมเลย  อาจารย์ไม่ได้ไปเสียเวลาอยู่วัด โดยไม่ได้อะไรเลย  อาจารย์ยังทำงาน  เดินทาง  การปฏิบัติธรรม เป็นสิ่งที่เสริมให้อาจารย์ทำงานดีขึ้น  มีสุขภาพดีขึ้น  ปล่อยวางได้มากขึ้น  อยู่แบบพอเพียงได้ ยอมรับความจริง อยู่ดีกว่าเดิมมาก  มันก็พอใจแล้ว

                               การบรรลุธรรมนั้น มันเป็นเรื่องของวาสนา และการกระทำในชาติก่อนที่ได้กระทำสะสมเอาไว้  ซึ่งอาจารย์ไม่ทราบว่า ชาติก่อนสะสมอะไรเอาไว้บ้าง  ตายไปจะไปเกิดที่ไหนก็ไม่ทราบทั้งสิ้น 

                               แต่ชาติปัจจุบันที่เหลือ ก็ขอปฏิบัติธรรมไปอย่างนี้  รักษาศีล ๘ ไปอย่างนี้  ยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ ไม่คลอนแคลน ไปอย่างนี้ ไม่หวังผลใด ๆ ก็เพียงพอแล้ว

                               เพราะรู้ว่าทางนี้เป็นทางเอก เดินมาถูกทางแล้ว  สามารถเข้าใจธรรมะของพระพุทธองค์ได้พอสมควร คือได้ทำปริวัต ๒ รอบแล้ว คือได้เรียนรู้  ได้ทดลองปฏิบัติ แต่ผลที่ได้รับยังไม่สมบูรณ์  แต่ก็รู้ว่าปฏิบัติถูกต้อง

                                ได้เวลาทำวัตรเย็นก่อนนอนแล้วครับ เลยเวลาที่ขีดเส้นใต้มามากแล้ว

                                 ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
   
                             
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 327 328 [329] 330 331 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><