สวัสดีครับ ชาวเวบที่รักทุกท่าน
หลายท่านคงผิดหวัง ที่พี่สิงห์กลับมาคราวนี้ ไม่มีอะไร?มาเล่าสู่กันฟังเลยในกระทู้นี้ จึงเงียบเหงา เป็นเพราะพี่สิงห์ไม่ได้ไปไหน? และอยากจะปล่อยวางบ้าง และสิ่งที่พี่สิงห์รู้ก็ไม่มีอะไร? มาก คือ รู้เพียงว่า พี่สิงห์จะอยู่อย่างไร? ให้มีความสุข อยู่อย่างพอเพียงจะทำใจได้อย่างไร? อยู่อย่างไร? ให้ไร้โรค และวิธีเอาชนะใจตนเอง แต่ละเรื่องก็ต้องอาศัยเวลา และอีกอย่างไม่รู้ว่าจะเอามะพร้าวห้าว มาขายสวนหรือเปล่า หรือทุกท่านไม่ชอบหรือเปล่า เป็นสิ่งที่ต้องชั่งใจอย่างมาก เพราะนั่นคือสิ่งที่พี่สิงห์รู้และปฏิบัติมาตลอด อยู่ ครับ ขณะนี้
แต่อย่างไรก็ตามไม่อยากให้แฟนๆกระทู้นี้เงียบเหงา ก็จะขอเอาหัวข้อเรื่องที่พี่สิงห์เรียนรู้จากการเอา "สติ"เฝ้าดูใจตัวเองมาระยะหนึ่งนั้น ว่าใจพี่สิงห์คิด ว่าคิดอย่างไร? และได้อะไร? มาบ้างจากการปฏิบัติธรรมมาเขียนให้ทราบก็แล้วกันครับ เชิญติดตาม แต่ขอให้ใช้หลักตาม "กาลามสูตร" ครับ สวัสดี
บทนำ
สิ่งที่ได้จากการเจริญสติ
จากการปฏิบัติธรรมเจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวทาง ของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ มาระยะหนึ่งนั้นผมพอที่จะเข้าใจและได้อะไรจากการปฏิบัติธรรมมาบ้าง พอสรุปได้คือ
๑. อย่างแรกเลย คือได้รู้ “รูป-นาม” หรือเบญจขันต์จากการปฏิบัติสามารถเข้าใจได้อย่างง่าย ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอ่านเรื่องนี้มาก็มากแต่ก็ไม่เข้าใจอย่างแท้จริงสักทีว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แท้จริงมันคืออะไร? การทำงานของมันเป็นอย่างไร? แต่ภายหลังพอเกิดขึ้นจริงจากการปฏิบัติธรรม เราเข้าใจมันได้ลึกซึ้งแบบง่ายๆ อย่างนี้นี่เอง
๒. การจะเข้าใจอะไรอย่างแท้จริงนั้น ไม่สามารถเข้าใจได้จากการฟัง การอ่าน การได้ยิน ถึงแม้เราจะกระทำหลาย ๆ ครั้งมันก็ไม่สามารถที่จะจำได้ดีและเข้าใจ(หรือว่าหัวสมองเราโง่ เป็นบัวใต้น้ำก็ไม่รู้ จึงเข้าใจอยาก) แต่การรู้ด้วยปัญญาจากการปฏิบัตินั้นเมื่อรู้และเข้าใจแล้วเพียงเกิดขึ้นครั้งเดียวก็จำไปจนตาย คือเป็นอาสวะกิเลส(ในทางที่ดี) ที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาลหรือจิตใจของเรา แต่เจ้าอาสวะกิเลส(ในทางที่ดีนั้น)เวลาที่จะเรียกใช้นั้นมันจะอยากเย็นแสนเข็นมาก คือนึกขึ้นมาไม่ค่อยได้ ต้องใช้ปัญญานึกคิด ถึงจะดึงออกมาได้ เพราะมันเป็นกิเลสอย่างละเอียดในส่วนที่ดี จึงต้องใช้ปัญญาในการมานึกมาคิดเอาออกมาทั้งๆ ที่เราก็เป็นคนคิดขึ้นมาเอง ส่วนอาสวะกิเลส(ในส่วนที่ไม่ดี คือ ความโลภ(รวมราคะ) ความโกรธ ความหลง นี้ เมื่อประสพเหตุการนั้นอีกครั้ง จะโพรงออกมาเองชนิดที่เราไม่สามารถไปปิดกันมันได้เลย ยกเว้นผู้ที่ปฏิบัติธรรมเจริญสติมานาน ๆ เท่านั้นจึงจะสามารถไปมีสติมายับยั้งมันได้ทันด้วยปัญญาและเหตุผลทางปรมัตถ์เท่านั้น ก่อนที่จะแสดงอาการออกไปภายนอกทางกายหรือรูป ซึ่งจะก่อความทุกข์ให้กับเรา หรือผู้อื่น)
๓. อาสวะกิเลส เกิดขึ้นและจะแสดงออกมาทางรูปในภายหลังได้อย่างไร? และเราจะระงับมันได้อย่างไร? (ยังหาวิธีดับให้สนิทไม่ได้ในในตอนนี้)
๔. “ธรรม” คือ อะไร? ศาสนาคืออะไร?
๕. ทำไม?หลวงพ่อเทียน และหลวงพ่อชา จึงให้เราเอา “สติ” มาดูสิ่งที่ใจมันคิด มาดูกายของเราว่าเกิดอะไรขึ้นมา คือทำไม? พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงสอนให้มี “สติ”ตลอดเวลาในทุกอิริยาบถ บัดนี้เรารู้แล้วจากการปฏิบัติธรรม
๖. วิธีที่เราจะเอาสติมาดูสิ่งที่เป็นต้นเหตุ(มูลฐานของความคิด)นั้นทำได้อย่างไร? เรารู้และเราเข้าใจแล้ว
๗. ทำไม?ความโลภ(รวมราคะ) ความโกรธ ความหลง มันจึงเกิดขึ้นกับเรา และทำไม? เราไม่สามารถบังคับมันได้ หรือควบคุมมันได้ เพราะมันโพรงออกมาเร็วมาก จนเราไม่สามารถมี “สติ” มาระงับได้ทันนอกเสียจากว่าเราต้องปฏิบัติธรรมให้มากกว่านี้มากๆ “สติ” ถึงจะโพรงออกมาเหมือนกับความโกรธ ความโลภ ความหลง ให้ทันกันเหมือน แมวจับหนูฉันใดฉันนั้น
๘. ต้นเหตุแห่งความโลภ(รวมราคะ) ความโกรธ ความหลง มันคืออย่างนี้นี่เอง เรารู้ต้นเหตุมันแล้วจากการมีสติและใช้ปัญญาขคิดใคร่ครวญหาเหตุผลทางปรมัตถ์มาเอาชนะใจตนเองขณะที่ความโลภ(รวมราคะ) ความโกรธ ความหลง กำลังจะเกิดขึ้นกับเราได้ทันทีจากที่เราประสพมา
๙. “มาร” ที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าท่านเอ่ยถึงนั้น มันคืออย่างนี้นี่เองหนอ เราเข้าใจมันแล้ว
๑๐. เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่าต้องมี “สติ” จึงจะเอาชนะกิเลสอย่างหยาบ คือความโลภ(รวมราคา) ความโกรธ ความหลงได้
๑๑. เข้าใจความหมายต้องมี “สมาธิ” จึงจะเอาชนะกิเลสอย่างกลาง คือสิ่งที่ทำให้ใจเราวุ่นวายใจให้สงบลงได้
๑๒. เข้าใจความหมายต้องใช้ “ปัญญา” จึงจะเอาชนะกิเลสอย่างละเอียด คือเอาชนะใจเราได้
๑๓. ค้นพบวิธีที่เราสามารถจะเอาชนะใจของเราได้ คือ “การปล่อยวาง” และ “อย่ายึดมั่นถือมั่น” เพราะทุกอย่างที่เราสัมผัสได้ทางอายตนะ ๖ นั้น มันเป็นสิ่งสมมติขึ้นทั้งนั้น แท้จริงมันไม่มีตัวตนอยู่ก่อนแล้ว
๑๔. เข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อเทียนท่านให้กระทำ คือ “สติ” สมมติให้เป็น “แมว” สิ่งที่ “ใจ”มันคิด สมมติว่ามันคือ “หนู” แมวเจอหนูปั๊ป ก็ต้องตระครุบหนูปุ๊ป ว่าในทางธรรมนั้นมันคืออะไร ทำไมเราต้องเลี้ยงแมวให้ตัวโต จึงจะตะครุ๊ปหนูได้
๑๕. เข้าใจคำว่า “ทุกข์” อริยสัจคืออะไร? และอุปทานทุกข์ คืออะไร? และทำไมถ้าจะให้พ้นทุกข์ต้องตัดที่ตัณหาในวงจรทุกข์
๑๖. เข้าใจคำว่าปรุงแต่งอารมณ์ คือ สังขาร และการปล่อยวางอารมณ์เพื่อไม่ให้เกิดอุปาทานทุกข์ขึ้นมาภายหลัง
๑๗. เข้าใจสิ่งที่ใจมันชอบคิด และเราไม่สามารถไปยับยั้งมันได้ แต่สามารถบังคับทิศทางในสิ่งที่มันจะคิดได้
๑๘. “นิพพาน” คือความสงบ เราไม่ต้องรอจนเราบรรลุโสดาบัน อนาคามี หรืออรหันต์ เราก็สามารถถึง “นิพพาน” ได้ ณ ปัจจุบันมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
๑๙. ความสุขที่แท้จริง คือปีติที่เกิดจากปัญญา มันเป็นเช่นนี้นี่เอง คือความปีติจากการว่างเปล่า หรือปีติจากจิตที่ว่างเปล่า มันเป็นความสุขเช่นนี้นี่เอง
๒๐. สามารถนำสิ่งที่เราฝึกการ “เจริญสติ” มาใช้กับการทำงานของเราได้ มาคอยดูความคิดของตัวเอง หรือบังคับใจของตัวเองให้คิดในทางธรรมให้ได้
ผมเองยังมีความโลภ(รวมราคะ) ความโกรธ ความหลง ยังไม่สามารถบรรลุโสดาบัน อนาคามี หรืออรหันต์ ทั้งนั้น แต่ในบางเวลาถ้ามี “สติ” สามารถที่จะ ปล่อยวางลงได้ และ “สติ” สามารถโพรงออกมาก่อนได้ทัน ทำให้มีปัญญา หาเหตุผลมาเชนะใจตนเองได้ ทำให้ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง แต่มันเป็นได้บางครั้งบางคราวเท่านั้น ครับ ซึ่งรายละเอียดต่าง ๆ นั้นจะเล่าให้ฟังเปนตอน ๆ ไปจากการปฏิบัติธรรม “เจริญสติ”