20 มิถุนายน 2567, 18:17:35
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 241 242 [243] 244 245 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3313495 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6050 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2555, 13:40:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ Dtoy16 เมื่อ 07 พฤษภาคม 2555, 13:33:26
                 ขอบคุณค่ะพี่สิงห์ ต้องฝึกปฎิบัติเองค่ะบางข้อก็ไม่ค่อยเชื่อในยุคสมัยนี้เล้ย(อันนี้บ่น)ยังอธิบาย
                ตัวอย่างประกอบไม่ได้ตอนนี้ ขอผลัดเมื่อสัมผัสได้กับตัวเองจะมาเล่าให้พี่ฟังค่ะ


                  ข้อไหนที่ไม่เชื่อในยุคสมัยนี้  วานบอก หรือยกตัวอย่าง ให้ทราบด้วย จักขอบพระคุณยิ่ง

                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6051 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555, 11:53:49 »

ธรรมทั้งหลายเป็น "อนัตตา"

                             คุณน้องต้อย  ยังไม่ได้ยกธรรมนั้นที่มีปัญหา  คงกลัว มากกว่า เลยไม่อยากเข้ามาบ่งบอก  พี่สิงห์เข้าใจ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาของจิต ที่ยังยึดมั่นถือมั่น อยู่นั่นเอง ไม่ปล่อยวาง

                             ผมขึ้นหัวข้อว่า ธรรมทั้งหลายเป็น "อนัตตา" มันก็เป็นความจริง ตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน ธรรมในที่นี้เป็นทั้งธรรมที่เกิดจากเหตุ-ปัจจัย และรวมทั้งธรรมที่ไม่ได้เกิดจากเหตุ-ปัจจัย คือเป็นตามธรรมชาติที่มีที่เป็น  ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ควรยึดมั่น ถือมั่นทั้งสิ้น

                             ข้อธรรมะ ของพระพุทธองค์ก็เช่นกัน มันเป็นเพียงอักษร ที่มาจากคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ทรงสอนมนุษย์ที่ยังหลงติดอยู่กับ ตา หู จมูก  ลิ้น กาย ใจ ยังติดใจอยากได้เสมอ ให้คลายกำหนัด โดยปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ แล้ว จะทราบด้วยตนเอง คำสอนนั้น เป็นการแนะนำ ปฏิบัติบัติให้คนเป็นคนดี ในสังคม อยู่ในกุศลธรรม ที่จะอยู่รวมกันได้  แต่ถ้าไม่มีกรอบ หรือคำสอนของพระพุทธองค์ มนุษย์ก็จะกลายเป็นสัตว์เดรฉาน เพราะไม่มีใครยอมใคร ต้องใข้กำลัง อาวุธ แย่งชิง เพราะไม่มีซึ่งศิลธรรม เป็นเครื่องปฏิบัติ จะมีแต่ความโกราหล เห็นแก่ตัว

                              จริงอยู่เรามักบ่นว่า ทำไม? คนทำชั่วจึงได้ดี  ทำไมกรรมตามไม่ทัน  อันนั้นเราอย่าไปสนใจเลย มันเป็นเรื่องของเขาทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องของเรา ถ้าเรามัวไปติในสิ่งที่เรารับรู้ด้วย ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ ตลอดเวลาแล้วมีแต่ทุกข์ทั้งสิ้น  เราต้องเข้าใจในคำสอนแล้วเอามาปฏิบัติให้เกิดผลกับตัวเรา เราจะเพียงรับรู้ แต่ไม่คิดตาม ได้  นี่ละคำสอนของพระพุทธองค์ที่แท้จริง

                               พระพุทธองค์ก็ทรงบอกไว้แล้ว แม้แต่คำสอนของพระองค์ ก็ไม่ให้ไปยึดมั่นถือมั่นกับมัน ขอเพียงเราเข้าใจไปในทางกุศลกรรม  คอยรักษากาย วาจา ใจ ของเรา ดูจิตดูใจของเรา จนเกิดปัญญาได้  คำสอนนั้นก็ไม่มีค่าเลยทั้งสิ้น

                               ดังนั้น เมื่อเห็นใครที่ทำชั่ว ไครกระทำไม่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธศาสนา ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่ของเรา  อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าคำสอนนั้น ไม่เป็นจริงเลย เพราะคำสอนนั้นมันจะเป็นจริงได้ เมื่อมีผู้ประพฤติตามและเห็นจริงตามนั้น  คำสอนนั้มันเป็นเพียงตัวหนังสือในพระไตรปิฎก มันคงลงโทษใครก็ไม่ได้ แต่มันจะมีประโยชน์กับผู้ประพฤติตามเท่านั้น  ปล่อยมันไปเถอะครับ อย่าไปยึดติดกับมันเลย ระวังตัวเราตามคำสอนของพระพุทธองค์นี่ละ

                                ผมเองเวลาขับรถไปสิงห์บุรี  ชอบเปิดฟังธรรมะเป็นเพื่อนแก้เหงา โดยเฉพาะสถานีของวัดป่าบ้านตาด ของหลวงตามหาบัว มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเอาเทปหลวงตามาเปิดให้ฟัง วันนั้นสงสัยหลวงตาพยายามอธิบายให้ทราบว่าอย่าไปยึดติดกับตำแหน่งทางพระมันเลย แต่ท่านตั้งใจดี แต่ออกจะไม่ระวังวาจามากเกินไป กลายไปดาว่าเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่พระยังอยากได้ตำแหน่งหัวโขนต่างๆ ตามยศ คือติดลาภสักการะ เป็นเพียงต้องการหาแก่นไม้ แต่ไปติดเพียงกิ่ง ใบ เสียสิ้น

                                 ผมฟังไปก็เกิดปัญญา ว่าเราเองก็แย่เหมือนกัน มันเป็นเรื่องของหลวงตาท่านเทศน์  ท่านจะเทศน์อย่างไรก็เป็นเรื่องของหลวงตาท่าน มันไม่เกี่ยวกับเรา ทำไมเราต้องไปคิดปรุงแต่งขึ้นมาด้วยเรานี่ก็โง่อีกแล้ว มันควรจะฟังปล่อยไป ไม่ยึดติดกับมัน ฟังเป็นเพื่อนเท่านั้นเป็นพอ

                                 ส่วนหลวงตานั้น ควรที่จะต้องปล่อยเช่นเดียวกับเรา ใครอยากได้ยศ ได้ตำแหน่งก็ปล่อยเขาไป  ไม่ต้องไปวิจารย์ ว่าเขาต่างๆ นาๆ ว่าโง่สิ้นดี หลงทาง เพราะไม่ใช่หลวงตา หลวงตาไม่อยากได้  ไม่ต้องไปว่ากล่าวใดๆ ทั้งสิ้น

                                 จิตของพระอรหันต์นั้น ท่านตัดกิเลศ อยู่เหนือกิเลศหมดแล้ว  ท่านไม่ยินดี  ยินร้ายใดๆที่มากระทบ ทั้งสิ้น แม้แต่ความตายก็ตาม  ยกเว้นเห็นคนจะตกน้ำตายท่านต้องช่วย ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับตัวท่าน ท่านจะปล่อยไป เพราะเป็นเรื่องของคนอื่น ท่านระวังเพียง กาย วาจา ใจ ของท่านให้เป็นปกติเท่านั้น

                                  เราเองคนธรรมดาก็กระทำอย่างพระอรหันต์ท่านได้  อย่าไปยินดี ยินร้าย รับรู้ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเลย มีอุเบกขาเข้าไว้  ยกเว้นว่ามันมีผลกระทบกับเราโดยตรง แต่ถ้าจิตเราอยู่เหนือมันได้ ก็ปล่อยมันไปเถอะ

                                   ธรรมของพระพุทธองค์เป็นจริงเสมอ  เพียงแต่ต้องเห็น ต้องใช้ด้วยปัญญา สมดังที่พระพุทธองค์บอกเอาไว้ ธรรมนั้น มันมีอยู่แล้วไม่ว่าพระพุทธองค์จะเกิด หรือไม่ก็ตาม พระองค์นำสิ่งที่มีอยู่แล้ว มาบอกกล่าว เป็นหมวดหมู่เพื่อให้เข้าใจได้เท่านั้น  ใครประพฤติตามจะเห็นตามทั้งสิ้น

                                   อย่าลืม ธรรมทั้งหลายล้วนเป็น "อนัตตา"

                                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #6052 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555, 18:05:11 »

              สวัสดีค่ะพี่สิงห์  ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาจริงแท้แน่นอนและไม่มีกาลเวลา
              แต่ที่ต้อยคิดว่าบางข้อที่ทำได้มาก น้อย  หรือไม่ได้เลยเพราะเราอยู่ในยุคที่
             ให้เวลากับงานตลอดเวลาแม้เราจะมีอิทธิบาท4 อย่างคนงานระดับรากหญ้า
              ก็หมดเวลากับการทำมาหากิน ถือศีลห้าได้ครบก็ยังต้องมีตัวสมาธิ ปัญญามากพอ
             จึงจะเกิดพลังกาย ใจในการปฎิบัติขั้นต่อๆไป
                                   
      บันทึกการเข้า

Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6053 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555, 21:42:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ Dtoy16 เมื่อ 09 พฤษภาคม 2555, 18:05:11
              สวัสดีค่ะพี่สิงห์  ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาจริงแท้แน่นอนและไม่มีกาลเวลา
              แต่ที่ต้อยคิดว่าบางข้อที่ทำได้มาก น้อย  หรือไม่ได้เลยเพราะเราอยู่ในยุคที่
             ให้เวลากับงานตลอดเวลาแม้เราจะมีอิทธิบาท4 อย่างคนงานระดับรากหญ้า
              ก็หมดเวลากับการทำมาหากิน ถือศีลห้าได้ครบก็ยังต้องมีตัวสมาธิ ปัญญามากพอ
             จึงจะเกิดพลังกาย ใจในการปฎิบัติขั้นต่อๆไป
                                   
สวัสดีค่ะ คุณน้องต้อย ที่รัก

                             ถึงแม้จะเป็นกรรมกร หาเช้ากินค่ำ หรืออย่างเราก็ตามที่คิดว่าตัวเองไม่มีเวลาในการปฏิบัติธรรม !

                             อย่าลืมว่าการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่ไปเสียเวลานั่ง อยู่ที่สงบเช่นที่วัด จนเสียงานเสียการไป ไม่ใช่เช่นนั้น เพราะการไปกระทำอย่างนั้น จะได้แต่สมถะ คือได้แต่ความสงบเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี ที่จะทำจิตใจให้คลายกำหนัด เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นในจิต เป็นเบื้องต้น

                             วิปัสสนานั้น คือสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง ตัววิปัสสนาจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเรามีสติ คือต้องสร้างความรู้สึกตัว อยู่กัยอิริยาบถหลัก-ย่อย ที่เราทำมาหากินอยู่นี่ละ เพราะเมื่อเรามีความรู้สึกตัวอยู่  จิตมันจะหยุดคิด  เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์ เพราะคนเรานั้นทุกข์เพราะคิด แต่ต้องรู้สึกตัวเสมอว่าเรากำลังกระทำอะไรอยู่ ไม่ปล่อยจิตให้คิดนอกจากการกระทำของเรา และถ้าแยกจิต - สติ ได้ ก็เอาสติมาคอยดูจิต - กาย ของเราเพียงเท่านี้ ปัญญา จากวิปัสนาญาณจะเกิดขึ้นเอง หมายความว่า เราจะสามารถรู้พฤติกรรมของจิต ที่จะเป็นรากฐานในการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น นั่นเอง และถ้าโชคดีเราก็จะสามารถรู้ ได้ก่อนที่เราจะคิด คือ เห็นความคิดของเรา เราก็จะมีเวลาใช้ปัญญา ว่าจะกระทำตามที่จิตมันคิดหรือไม่

                                หรือปฏิบัติตามมรรค ๘ คือคอยระวังรักษากาย  วาจา  ใจ  ของเราเท่านั้น และพยายามไม่ยินดียินร้าย ในการรับรู้จาก ตา หู จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ เพียงเท่านี้เราก็จะเห็นธรรม ทราบได้ด้วยตัวเอง ทีละขั้นๆ ไปเรื่อยๆ เพราะปัญญามันจะเกิดครับ

                               อย่าลืมพระพุทธองค์ ถึงกำหนด  อาชีพชอบ อยู่ในมรรค ๘ เพื่อให้เรายังสามารถทำมาหากินได้ แต่กระทำโดยสุจริต เพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ในเมื่อเรายังต้องรับผิดชอบอยู่

                               ท่านเว่ยหลาง ก็บรรลุธรรม จากการทำงานในห้องครัว แต่ท่านมีสติ รู้ตัวเสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่  ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้รับการสอนจากสังคปรินายกเลย

                               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6054 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555, 22:02:42 »




สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               วันนี้เช้าผมไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี แม่มีสติรู้ตัวดีมาก ผมได้คุยกับแม่อยู่นาน ได้ถามท่านหลายเรื่อง ท่านสามารถตอบได้ดี  ตามความคิดของแม่

                                ยกตัวอย่าง แม่บอกว่าอยากกลับบ้าน  ผมถามแม่ว่า บ้านแม่อยู่ที่ไหน  แม่บอกว่าอยู่อำเภออินทร์ ผมก็บอกแม่ว่า ที่อินทร์บุรี ไม่มีบ้านของเราแล้ว เพราะแม่ลืมไปแล้วว่า แม่ได้รื้อบ้านทิ้งเมื่อพ่อตาย มีแต่บ้านพี่เกิดเท่านั้น  ผมก็ถามแม่ว่า จะไปอยู่บ้านพี่เกิดไหม  แม่บอกว่าไม่ไป  ผมก็ถามว่าทำไม่ไม่ไปล่ะ แม่บอกว่าเขาดุ  อย่างนั้นแม่ไปอยู่บ้านม้วยไหม แม่บอกว่าไป

                                ผมได้คุยกับท่านหลายเรื่อง สุดท้ายผมบอกว่าจะต้องไปประชุมแล้ว แม่ก็บอกว่าไปเถอะ ผมก็เอาเงินให้ท่าน ๑๐๐๐ บาท เพื่อให้คนดูแลเอาไว่ใช้ประจำอาทิตย์ ท่านก็รับและพูดว่า โอ้โฮ ให้เงินตั้งเยอะ เอาเก็บใส่ไว้ในกระเป๋า เดี๋ยวหาย

                                และผมได้บอกแม่ว่า ถ้าจะตายอย่าตายเดือนนี้นะ เพราะยายเป๋า ลูกสะไภ้แม่ เขาไปดูหมอดูมาว่าเดือนนี้ญาติผู้ใหญ่ต้องตาย เขาหมายถึงแม่  แม่ต้องไม่ตายนะ  แม่บอกว่าไม่ตาย จะอยู่ต่อไป

                                วันนี้แม่กลับไปอยู่บ้าน เพราะหายเป็นปกติของแม่ดีแล้ว แผลที่เกิดจากการทับ หายไปเหลือเพียงนิดหน่อย ทำให้คอยดูแลแม่สามารถพาแม่นั่งรถเข็น เที่ยวภายในโรงพยาบาลได้  ทำให้แม่ดีใจมากที่สามารถนั่งรถเข็นได้ เพราะท่านก็เบื่อ ที่นอนอยู่แต่ในห้อง  ถ้าไม่ติดเรื่องอาหารที่แม่ต้องกินแล้ว อยากจะพาท่านเที่ยว  พาไปพบหลานๆ ที่ตลาดปากบาง พรหมบุรีบ้าง ในอาทิตย์หน้า

                                สวัสดี และราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6055 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555, 22:23:22 »

อาจารย์มานพ ขาดสติ !

                              วันนี้ผมขับรถขับมาถึงบ้านตอนสามทุ่ม จากสระบุรี ปรากฏว่า ซองจดหมายใส่เงินที่คุณดิเรก  มอบให้ หาย กลับลงไปดูในรถก็ไม่มี  จึงพูดกับตัวเองว่า เรานี้ขาดสติ ที่ทำเงินหาย จำนวนมากด้วย แต่ดูจิตตัวเองแล้ว ก็ไม่ได้เสียดายกับมัน เพราะเราขาดสติไปเอง จนลืมเป็นความผิดของเราเองแท้ๆ  ปล่อยมันไป

                               ได้ทบทวนว่ามันหายตรงไหน ก็คิดว่าหายตอนหยิบกุญแจรถมาเปิดประตูรถที่ร้านอาหารริมแม่น้ำป่าสัก ร้านต้อยที่กินข้าวกับคุณดิเรก เมื่อตอนเย็น  จึงได้โทรศัพท์ไปเล่าให้คุณดิเรก ฟัง  คุณดิเรกก็ได้ขับรถไปที่ร้านอาหารไปถามเจ้าของร้านที่ รู้จักกันเป็นอย่างดี  ได้ไปดูบริเวณรถ และสอบถามเด็กเสริฟก็ไม่พบทั้งสิ้น

                                คุณดิเรก ได้โทรศัพท์มาว่า ไปหาแล้วไม่พบ  ผมก็บอกว่าปล่อยมันไปเถอะ เพราะความขาดสติไปชั่วครู่  เงินจึงหายไม่เป็นไร ไม่ได้เสียดายอะไรมันเลย  เพียงแต่จิตมันเสียดายแวบขึ้นมาก็เป็นปกติ ไม่พรุ่งพล่านเพราะเราควบคุมมันได้

                                 ผมก็บอกกับคุณดิเรกว่า  ดีแล้ว เราจะได้ศึกษาจิตของเราเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ที่สูญเสียเงินไป มันก็เฉยๆ

                                 ผมก็บอกคุณดิเรกว่า ขอบคุณที่ช่วยติดตาม แต่บางทีอาจตกหล่นอยู่ในห้องทำงานก็ได้นะ  คุณดิเรกก็บอกผม ตามมาว่า พบซองเงินพับไว่อยู่บนโต๊ะ ดีว่าผมล๊อกห้องทำงานไว้ จึงไม่มีใครมาเห็น  แสดงว่า อาจารย์มานพ ขาดสติไป  จึงลืมซองเงินไว้บนโต๊ะโดยไม่รู้ตัว

                                 ผมก็บอกว่า มันก็เป็นความจริง  เดี๋ยวนี้ขาดสติมากขึ้น ในหนึ่งวันเหลือเพียง 70% เท่านั้น อาจจะเป็นเพราะแก่ขึ้น หรือมีเรื่องต้องคิดมากหลายเรื่อง เลยหลงลืมไปชั่วขณะ สติไม่อยู่ในอิริยาบถของตัวเอง  มันส่งจิตออกนอกไปคิดนอกตัว มันก็เลยขาดสติลืมการกระทำของตัวเองไปเสียสิ้น  หมดเลยการปฏิบัติธรรม ที่ทำมา ต้องเริ่มต้นใหม่อีกแล้ว

                                 นับว่าเป็นบทเรียนล้ำค่าสำหรับผม  ที่จะต้องมีสติ ให้มากกว่านี้ ผิดเป็นครู ครับ

                                 ราตรีสวัสดิ์
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6056 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2555, 04:41:12 »

พี่สิงห์ที่เคารพ,
ตกใจ สติแตกคะ มือทาบอก
ใจหายวาบ...(จะบอก"เสียดายเงิน"
เดี๋ยวกลัวจาผิดscene!) ...เอาใจช่วยพี่
ตามไปด้วยว่าตกลงหาเจอมั้ย?
เพราะนึกภาพออกคะ เวลาอะไรหาไม่เจอ
จิตจะคิดไปมากมาย คิดไม่พอ แรงขับที่จะหาให้เจอ
ก็มากพอๆกัน ยิ่งเป็นเงินเป็นทองที่มาจากการทำมา
หาได้..คุณค่าก็มากเพิ่มขึ้นทวีคูณ...คงเผลอไปชั่วขณะคะ
โชคพี่ดีคะที่ไม่ได้ไปหลงลืมตกหล่นนอกสถานที่...

ดีใจด้วยค่ะพี่ ขอให้ขวัญมานะคะ.


nn.
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6057 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2555, 07:41:59 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 10 พฤษภาคม 2555, 04:41:12
พี่สิงห์ที่เคารพ,
ตกใจ สติแตกคะ มือทาบอก
ใจหายวาบ...(จะบอก"เสียดายเงิน"
เดี๋ยวกลัวจาผิดscene!) ...เอาใจช่วยพี่
ตามไปด้วยว่าตกลงหาเจอมั้ย?
เพราะนึกภาพออกคะ เวลาอะไรหาไม่เจอ
จิตจะคิดไปมากมาย คิดไม่พอ แรงขับที่จะหาให้เจอ
ก็มากพอๆกัน ยิ่งเป็นเงินเป็นทองที่มาจากการทำมา
หาได้..คุณค่าก็มากเพิ่มขึ้นทวีคูณ...คงเผลอไปชั่วขณะคะ
โชคพี่ดีคะที่ไม่ได้ไปหลงลืมตกหล่นนอกสถานที่...

ดีใจด้วยค่ะพี่ ขอให้ขวัญมานะคะ.


nn.



สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุงหนิง ที่รัก และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                                   เงินหาเจอ วางอยู่บนโต๊ะ ทำงานที่ห้องคุณดิเรก ความผิดคือ ขาดสติ เผลอคิ ดว่าเอาซองใส่เงิน ใส่กระเป็ากางเกงเรียบร้อยแล้ว จึงรีบออกไปยังร้านอาหาร คือคิดสั่งการ แต่กายลืมกระทำตามขั้นตอนที่เคยปฏิบัติ เพราะขาดสติ กำลังคิดว่าจะกินข้าวเย็นหรือไม่ เพราะถ้ากินคงกลับถึงบ้านดึก จึงเกิดปัญหา คือลืมซองจดหมายใส่เงินยัดลงในกระเป๋า

                                   ทางแก้ไข คือ ต้องแก้ที่สาเหตุ

                                    ๑. สาเหตุเกิดจากการขาดสติ ไม่อยู่กับกาย-ใจ ก้ต้องแก้ให้มีสติอยู่กับกาย-ใจ ตนเอง
                           
                                    ๒. ในทางปฏิบัติ ใช้ 5 ส. คือ ต้องสร้างส.สะดวก คือสร้างขั้นตอนให้กับตัวเอง ว่า ต่อไปนี้เวลารับเงินแล้ว ต้องน้ำซองเงินนั้น บรรจุลงในกระเป๋า ให้เรียบร้อยก่อนทุกครั้ง เสมอ จนรับรู้ได้

                                    ๓. วิธีตรวจสอบว่า จะกระทำหรือไม่ ใช้ระบบ check list มาควบคุม คือ สร้างขั้นตอนการตรวจสอบให้กับตัวเอง ว่าเมื่องรับเงินแล้ว ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างไร เราต้องมีจิตนึก ระบบตรวจสอบภายในมากำกับทุกครั้งให้ได้เป็นนิจ

                                   เมื่อกระทำดังนี้แล้ว คงไม่ผิดพลาดอีกเป็นแน่ และที่สำคัญ ต้องปฏิบัติแบบนี้อย่างสม่ำเสมอ ทุกครั้ง จนเป็นนิสัย อย่าละเลยเด็ดขาด เสียเวลาเพียงนิด แม่ไม่ผิดพลาด ครับ

                                   ดังนั้น วันนี้เลยเตรียมหุงข้าว ไปซื้อแกงสัปรดกับหอย  ขนมหม้อแกง น้ำดื่ม ใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน  เพื่อสร้างคุณสมบัติที่ดีของพุทธบริษัท ที่จะปฏิบัติธรรม คือการรักษากาย วาจา ใจ ให้เป็นปกติ หรืออยู่ในกรอบศีล ๕  ด้วยการปฏิบัติตาม สังคหวัตถุ ๔ คือ การให้ทาน ปิยวาจา  การอนุเคราะห์ และความสม่ำเสมอในการกระทำความดี

                                    พร้อมกันนั้น คุณดิเรก  ก็ได้มอบหนังสือ เจริญสตอ ของหลวงพ่อเทียนมาหนึ่งเล่ม เพื่อเพตือนเราว่า "อาจารย์มานพ  กลับดี ขาดสติ" มากขึ้นแล้วนะ ! ต้องทบทวนตัวเองใหม่แล้ว ว่าประมาท เกินไปแล้ว

                                    สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6058 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2555, 08:26:14 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                              ไหนๆ คุณดิเรก  ก็ได้ให้หนังสือของหลวงพ่อเทียน  จิตตฺสุโภ   มาหนึ่งเล่ม  เรียบเรียงโดย ดร.ทวีวัฒน์  ปุณฑริกวิวัฒน์  ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา  มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก  ขอเรียนเชิญทุกท่านมาอ่านพร้อมพี่สิงห์ เลย อ่านไปทีละตอน ไม่ช้าคงจบครับ

                              สวัสดี




๑. ชีวิตและงานของ

หลวงพ่อเทียน  จิตตฺสุโภ

                                    หลวงพ่อเทียน  จิตตฺสุโภ (พ.ศ. ๒๔๕๔ - ๒๕๓๑) ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น "ปรมาจารย์แห่งการเจริญสติ" นับเป็นวิปัสสนาจารย์ ที่มีความสำคัญยิ่งรูปหนึ่งในโลกของพุทธศาสนา   ท่านได้เสนอวิธีการเจริญสติแบบ "เคลื่อนไหว" (Dynamic) ซึ่งแตกต่างไปจากการปฏิบัติแบบ "นั่งนิ่ง" (Static) ตามธรรมเนียมส่วนใหญ่  และแสดงจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนาอย่างมีชีวิตชีวา จากประสบการณ์ที่เป็นจริง  วิถีแห่งการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวของท่านมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว  เมื่อเปรียบเทียบกับแนวทางการปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนาต่างๆ ในโลกปัจจุบัน

                                     การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว (Dynamic Meditation) เป็นวิธีการเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อให้เกิดความรู้สึกตัว หรือ "สติ" ซึ่งสามารถเห็นความคิดปรุงแต่ง อันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ของมนุษย์ (ความคิดผุดขึ้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจคิดนี้  ในพุทธศาสนาบางครั้งเรียกว่า "ความคิดปรุงแต่ง") ส่วนความคิดด้วยสติปัญญา จะไม่ทำให้เกิดทุกข์  เพราะเรารู้มัน  เห็นมัน  หลวงพ่อเทียน ชี้ว่า  วิถีแห่งการเจริญสติสามารถตัดและหยุดความคิดปรุงแต่งได้  เมื่อสติมีอำนาจเหนือความคิด  มนุษย์ก็จะอยู่เหนือความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  และความทุกข์ทั้งปวง

                                     เรื่องราวชีวิตของหลวงพ่อเทียน มีความน่าสนใจอยู่ในตัว  ท่านเล่าว่า ได้บรรลุธรรมขณะที่ยังเป็นฆาราวาส  ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา (และบางครั้งก็ยากแก่การยอมรับ) ในโลกแห่งพุทธศาสนาของไทยซึ่งมีวัดเป็นศูนย์กลาง  

                                     ประสบการณ์การรู้ธรรมของท่านเป็นไปอย่างฉับพลัน  ซึ่งเป็นเรื่องที่รู้จักกันดีในพุทธศาสนานิกายฌาน (Ch'an Buddhism) ในประเทศจีน หรือนิกายเซน (Zen) ในญี่ปุ่น (คำว่า ฌาน ในภาษาจีนมาจากคำว่า ฌาน ในภาษาบาลีซึ่งตรงกับคำว่า ธฺยานะ ในภาษาสันสกฤต  มีความหมายว่า "สมาธิภาวนา" (Meditation) ญี่ปุ่นออกเสียงอักษรจีนตัวเดียวกันว่า เซน)

                                     ในเชิงวิชาการอาจตีความได้ว่า หลวงพ่อเทียน เป็นอาจารย์แห่ง "การตรัสรู้อย่างฉับพลัน" (Sudden Enlightenment) ภายในบริบทของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท

                                     ในเชิงประวัติศาสตร์แล้ว ชีวิตของท่านคล้ายคลึงกับท่าน ฮุย-เน้ง (Hui-neng , พ.ศ. ๑๑๘๑ - ๑๒๕๖) พระสังฆปริณายกองค์ที่หก แห่งพุทธศาสนานิกานฌานในประเทศจีน  ผู้ซึ่งได้บรรลุธรรมอย่างฉับพลันในขณะที่ยังเป็นฆราวาสมาก่อน
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #6059 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2555, 09:39:33 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
 อ่านตามค่ะ
 กำกับสติเป็นเรื่องยากมาก
การหลงลืมเพราะสติไม่อยุ่กับตัว
เกิดกับหลายๆคน หรือเกือบทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ค่ะ พี่สิงห์
เป็นบ่อยมาก
กุญแจวางไว้แล้วลืม บางทีหายทั้งพวงค่ะ
ไม่มีสติค่ะ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #6060 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2555, 10:30:50 »

เสี่ยมิ๊งค์ RCU2517 อ่านเรื่องอาจารย์มานพ เผลอวางเงินไว้
แล้วทำให้เสี่ยมิ๊งค์อยากรู้ว่า เงินในซองนั้นมีจำนวนเท่าไหร่
จึงทำให้ผู้ทรงศีลอย่างอาจารย์มานพ เกิดขาดสติ เพราะเสียดายสตางค์ไปได้
กรุณาตอบด้วย จะเป็นประโยน์ในการกำหนดลิมิตของความเสียดายได้
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6061 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2555, 14:30:53 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 10 พฤษภาคม 2555, 10:30:50
เสี่ยมิ๊งค์ RCU2517 อ่านเรื่องอาจารย์มานพ เผลอวางเงินไว้
แล้วทำให้เสี่ยมิ๊งค์อยากรู้ว่า เงินในซองนั้นมีจำนวนเท่าไหร่
จึงทำให้ผู้ทรงศีลอย่างอาจารย์มานพ เกิดขาดสติ เพราะเสียดายสตางค์ไปได้
กรุณาตอบด้วย จะเป็นประโยน์ในการกำหนดลิมิตของความเสียดายได้


                      อาจารย์มานพ  พิจารณาดูจิต ตัวเองแล้ว รู้สึกว่าเฉยๆ กับเงินที่จะหายไป ในครั้งนี้ครับ ไม่มากมายอะไรเลยเพียง 15,000 บาท เท่านั้น เป็นการทดสอบจิตตนเอง ว่าจะหวั่นไหว  รู้สึกเสียดายอย่างแรงไหม?

                      ทุกครั้งที่พี่สิงห์เดินทางไปทำงานที่ PSTC จะได้ค่าแรง 10,000 บาท หรือ 15,000 บาท ต่อครั้ง เป็นวิศวกรผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ด้วย   ไม่ได้เป็นพนักงานประจำ บริษัท ปีนี้มียอดขาย 350-400 บาท เงินที่ได้นั้น น้อยนิด เมื่อเทียบกันสิ่งที่ให้  นึกเสียว่า ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ก็พอใจแล้ว มันเป็นเรื่องความผูกพันธ์กันมากกว่าครับ ไม่เหมือนญาติก็เหมือนญาติ ครับ

                      โดยส่วนใหญ่พรรคพวกจะให้เงิน 10,000 บาท ไม่รวมค่าที่พัก และเดินทาง  หรือ 20,000 บาท รวมค่าเดินทาง ไม่ได้มากมายอะไรเลย ประโยชน์ที่ได้รับจากอาจารย์มานพ  มากมายนัก ทำให้เขาร่ำรวยเพราะไปให้อาชีพเขา ให้เขาทำเป็น  ส่วนอาจารย์มานพ นั้นได้ทำงานในสิ่งที่ตนรัก และพอมีรายได้ให้สามารถอยู่ได้ ก็เพียงพอแล้ว  ไม่ได้มีเงินทองอะไรมากมายนัก แต่มีความหมายมากกว่า ที่จะเป็นผู้ให้ความรู้  ถ้าเขาอยากรู้และนับถือเราเป็นอาจารย์ ด้วยความจริงใจ  เราจะไปเอาทำไมมากมายนัก กินก็นิดเดียวเท่านั้น

                       แม้แต่ค่าออกแบบโรงงานแต่ละครั้ง ไม่เคยได้เกินสองหมื่นบาท ต่อหนึ่งโรงงานเลย  สู้ ดร.สุริยา  ไม่ได้

                       นี่ละถึงต้องปฏิบัติธรรม ให้ละทุกอย่าง ที่จะสามารถอยู่อย่างพอเพียงได้  ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไร้เกียรติศักดิ์  เราก็อยู่ได้ ขอเพียงมีข้าวกิน ไปวันหนึ่งๆ ก็พอ ไม่เอาอะไรๆ อีกแล้ว

                        พี่สิงห์ พูดความจริง แต่ชาวซีมะโด่ง  ไม่เคยเชื่อ คิดว่าร่ำรวย  เมื่อไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร  เราก็ถอยห่างออกมา อยู่ของเราอย่างนี้ละ เพราะไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนทั้งสิ้น

                        ตอบตามความจริง ทุกประการ ไม่มีมุสา  ทั้งสิ้น

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6062 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2555, 14:39:09 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 10 พฤษภาคม 2555, 09:39:33
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
 อ่านตามค่ะ
 กำกับสติเป็นเรื่องยากมาก
การหลงลืมเพราะสติไม่อยุ่กับตัว
เกิดกับหลายๆคน หรือเกือบทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ค่ะ พี่สิงห์
เป็นบ่อยมาก
กุญแจวางไว้แล้วลืม บางทีหายทั้งพวงค่ะ
ไม่มีสติค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

                               สำหรับพวงกุญแจพี่สิงห์ นั้น ใช้ริบบิ่นผูกให้ยาวสองสาย สายละ ๓๐ ซม. เป็นสี และแขวนอยู่ที่เดิม ทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ในยามฉุกเฉิน เวลาใช้เสร็จแขวนที่เดิม ทั้งกุญแจรถ และกุญแจบ้าน เวลาเดินทาง ต้องใส่กระเป๋าทันที ทำอย่างนี้ และต้องนึก check list ด้วย กันลืมก่อนออกจากบ้านเสมอ เนื่องจากต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด

                               สร้อยคอ แหวน นาฬิกา  แว่นตา  พี่สิงห์ จะวางที่เดิมเสมอ และนึก Check list เสมอ ฝึกให้เป็นนิสัย ถ้าจะเดินทางไปต่างจังหวัดจะจัดกระเป๋าก่อนหนึ่งคืนเสมอ รวมทั้งการไปตีกอล์ฟด้วย กันลืม ครับ

                               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6063 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2555, 15:04:36 »

สวัสดีครับ คุณมิ้ง

                            อย่างเมื่อวาน คุณนา  น้องชาวซีมะโด่ง ที่เชียงคำ ได้โทรศัพท์มาคุย เพราะพี่สิงห์ จะออกแบบโรงงานให้ ในที่ใหม่  พี่สิงห์จะคิดเงินอย่างไร  ในเมื่อเป็นน้องหอซีมะโด่ง  พี่สิงห์ไม่ได้ลงทุนอะไร แบบก็มีอยู่เดิม เพียงแต่ต้องปรับปรุงให้เข้ากับพื้นที่ เท่านั้น  เหนื่อยเพียงสองวัน จ้างเด็กเขียน นิดหน่อย เพราะพี่สิงห์ก็บอกกับเด็กว่า ได้ค่าจ้างเท่าไร หรือไม่ได้เลย แต่เราใช้เขาทำ เราก็ต้องให้เขาบ้างพอสมควร ครับ

                            ยกเว้น ขอร้องให้ ดร.สุริยา  ช่วยบ้างเป็นบางครั้ง ก็ไม่ให้ครับ เพราะถือว่าเพื่อนกัน

                            นี่ละถึงต้องอยู่คนเดียว  ถ้าไม่ตีกอล์ฟ อยู่ได้สบายเลย

                            ถ้าไม่อยู่กรุงเทพฯ  จะไปปลูกกระต๊อบอยู่ในสวน ที่อินทร์บุรี ปลูกผักเอาไว้รับประทาน เลี้ยงไก่ เป็ด เอาไว้เป็นเพื่อนและกินไข่ เลี้ยงห่านเอาไว้กันขโมย  ขุดสระน้ำให้เป็ด ห่านได้อาศัย เช้า-เย็น ปลูกผัก เท่าที่จะทำได้เพราะเคยทำมาก่อนแล้วสมัยเป็นเด็ก พ่อฝึกมาทั้งสิ้น  กลางวันปฏิบัติธรรม วันพระอยู่วัด  จะไปไหนขี่จักรยาน  ข้าวหุงกินเอง คงมีหลานๆ เมตตาแกงเผื่อบ้างในบางวัน  รายได้ไม่มี แต่รายจ่ายก็ไม่มี อยู่ได้แน่นอน เพราะฝึกจิตไว้ให้ยอมรับสะภาพแล้ว  ไม่มีใครคบก็ช่างเขา เราระวังกาย วาจา ใจ  ของเราให้ดี  ไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร  ไม่พูดกับใคร  ไม่ไปหาใครก็ทำได้  ตอนนี้ก็ไม่ได้ไปไหนทั้งสิ้น (เพื่อนฝูงแจกก๊าดแต่งงาน ถ้าไม่ใช่ชาวหอ หรือคนที่ให้เกียรติเราจริงๆ ไม่ไปทั้งสิ้น  จะว่าก็บอกเขาตรงๆ ไม่มีเงิน  ไม่มีสูตรสากล  ขอไม่ไปดีกว่า  ดังนั้นใครแจกก๊าดพี่สิงห์ ก็ต้องเตรียมใจว่า มีโอกาสไม่ไปครับ แต่ถ้าเป็นงานศพ จะไปหมด เพราะไปหาความรู้ด้วย) อยู่บ้าน หุงข้าวกิน  ใส่บาตร ทำบุญ  ไปตีกอล์ฟ และไปทำงานช่วยเพื่อฝูงที่เขายังเมตตาให้เงินเราอยู่ครับ  ถ้าเขาไม่จ้างเมื่อไร  กลับอินทร์บุรทันที เพราะไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้วใน กทม. มีแต่รายจ่ายทั้งสิ้น

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6064 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2555, 15:15:44 »

                           
                             วันนี้เย็น พี่สิงห์ ต้องเดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช แล้ว Boarding 17:35 น. โดย Nok Air

                             เย็นวันศุกร์ ที่โรงแรมทวินโลตัส มีสอน ชิกง และโยคะ (ฟรี)

                             กลับเย็นวันเสาร์

                             อยู่โรงแรมไม่มีอินเตอร์เนต จะมีเฉพาะที่โรงงาน ครับ

                             Air card ไม่ใช้แล้ว ไม่อยากให้ เสียเงิน ถึงแม้จะไม่เกิน ๓๐๐ บาท ต่อเดือน ก็ตาม เพราะไม่เร่งด่วน รอได้เมื่ออยู่บ้านและโรงงาน  ขาวซีมะโด่ง ทุกท่านคงไม่ว่า มือถือก็ไม่มี inter net เพราะไม่จำเป็น

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6065 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2555, 18:44:43 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 10 พฤษภาคม 2555, 07:41:59


สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุงหนิง ที่รัก และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

...
                                    พร้อมกันนั้น คุณดิเรก  ก็ได้มอบหนังสือ เจริญสตอ ของหลวงพ่อเทียนมาหนึ่งเล่ม เพื่อเพตือนเราว่า "อาจารย์มานพ  กลับดี ขาดสติ" มากขึ้นแล้วนะ ! ต้องทบทวนตัวเองใหม่แล้ว ว่าประมาท เกินไปแล้ว

                                    สวัสดีค่ะ


พี่สิงห์กำลังอยู่บนฟ้า
เหินฟ้าโดยสวัสดิภาพ
เข้าสอนชิกงตรงเวลาคะ
สาวๆจะได้ไม่ต้องรอแย่.

ว่าแต่,สตอ(สะตอ!)ออกแล้วเหรอคะ?
ชักอยากกินสะตอผัดกุ้ง!
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6066 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2555, 18:52:09 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 10 พฤษภาคม 2555, 15:04:36
สวัสดีครับ
                            ...ถ้าไม่อยู่กรุงเทพฯ  จะไปปลูกกระต๊อบอยู่ในสวน ที่อินทร์บุรี ปลูกผักเอาไว้รับประทาน เลี้ยงไก่ เป็ด เอาไว้เป็นเพื่อนและกินไข่ เลี้ยงห่านเอาไว้กันขโมย  ขุดสระน้ำให้เป็ด ห่านได้อาศัย เช้า-เย็น ปลูกผัก เท่าที่จะทำได้เพราะเคยทำมาก่อนแล้วสมัยเป็นเด็ก พ่อฝึกมาทั้งสิ้น  กลางวันปฏิบัติธรรม วันพระอยู่วัด  จะไปไหนขี่จักรยาน  ข้าวหุงกินเอง คงมีหลานๆ เมตตาแกงเผื่อบ้างในบางวัน  รายได้ไม่มี แต่รายจ่ายก็ไม่มี อยู่ได้แน่นอน เพราะฝึกจิตไว้ให้ยอมรับสะภาพแล้ว  ไม่มีใครคบก็ช่างเขา เราระวังกาย วาจา ใจ  ของเราให้ดี  ไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร  ไม่พูดกับใคร  ไม่ไปหาใครก็ทำได้  ตอนนี้ก็ไม่ได้ไปไหนทั้งสิ้น (เพื่อนฝูงแจกก๊าดแต่งงาน ถ้าไม่ใช่ชาวหอ หรือคนที่ให้เกียรติเราจริงๆ ไม่ไปทั้งสิ้น  จะว่าก็บอกเขาตรงๆ ไม่มีเงิน  ไม่มีสูตรสากล  ขอไม่ไปดีกว่า  ดังนั้นใครแจกก๊าดพี่สิงห์ ก็ต้องเตรียมใจว่า มีโอกาสไม่ไปครับ แต่ถ้าเป็นงานศพ จะไปหมด เพราะไปหาความรู้ด้วย) อยู่บ้าน หุงข้าวกิน  ใส่บาตร ทำบุญ  ไปตีกอล์ฟ และไปทำงานช่วยเพื่อฝูงที่เขายังเมตตาให้เงินเราอยู่ครับ  ถ้าเขาไม่จ้างเมื่อไร  กลับอินทร์บุรทันที เพราะไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้วใน กทม. มีแต่รายจ่ายทั้งสิ้น

                            สวัสดี


พี่สิงห์คะ,
ชีวิตพี่..หรูสุดๆแล้วคะ!
เที่ยวบินพี่น่ะ นำมากางวัด
สงสัยได้รอบโลกคะ

ชีวิตในแบบที่พี่บรรยาย...
ฟังแล้ว..idyllischจังคะ
แต่ contrastกะชีวิตปัจจุบันพี่
ยังไงๆไม่รุ

ขอหนิงอ่านอีกรอบค่ะ
เพื่อดื่มด่ำว่า..ที่ได้นั่งpostสบายแฮ
ข้ามโลกกะพี่นี่น่ะ...ไปนั่งที่กระต๊อบ
คงทำไม่ได้ค่ะ


ลงชื่อ

น้องสะตอ(ผู้ชอบขัดใจพี่สิงห์!)
      บันทึกการเข้า


Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #6067 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2555, 08:43:43 »

                   สวัสดีค่ะพี่สิงห์ น้องหนิง เช้านี้เดินไปเก็บมะลิก่อนจะรดน้ำเดี๋ยวจะไม่หอม
                   เลยเอามาฝากคุณยายแม่พี่สิงห์ด้วย แล้วจะย้อนไปอ่านโพธิปักขิยธรรมให้ละเอียดค่ะ
                 
      บันทึกการเข้า

Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6068 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2555, 10:22:56 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 10 พฤษภาคม 2555, 18:44:43
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 10 พฤษภาคม 2555, 07:41:59


สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุงหนิง ที่รัก และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

...
                                    พร้อมกันนั้น คุณดิเรก  ก็ได้มอบหนังสือ เจริญสตอ ของหลวงพ่อเทียนมาหนึ่งเล่ม เพื่อเพตือนเราว่า "อาจารย์มานพ  กลับดี ขาดสติ" มากขึ้นแล้วนะ ! ต้องทบทวนตัวเองใหม่แล้ว ว่าประมาท เกินไปแล้ว

                                    สวัสดีค่ะ


พี่สิงห์กำลังอยู่บนฟ้า
เหินฟ้าโดยสวัสดิภาพ
เข้าสอนชิกงตรงเวลาคะ
สาวๆจะได้ไม่ต้องรอแย่.

ว่าแต่,สตอ(สะตอ!)ออกแล้วเหรอคะ?
ชักอยากกินสะตอผัดกุ้ง!


สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิง ที่รัก

                          เครื่อง computer พี่สิงห์ เวลากดแป้น มันไม่ค่อยเป็นตามนั้น ถ้ามีเวลาแก้ ก็จะแก้ บางครั้งแก้ไม่ทัน หรือตรวจไม่พบ มันก็ผิดพลาด ไม่ใช่ว่า ไม่มีสติ ในการพิมพ์ แต่มันกดไปแล้วไม่เป็นตามที่กด นี่ละเครื่องจักร

                          เมื่อวานพี่สิงห์ ถึงโรงแรม หนึ่งทุ่ม ครึ่ง จึงไปซาวน่า เสร็จเดินมาที่ เค้าเตอร์ มีสาวหุ่นนางแบบคนหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นดาราแน่ๆ แต่พี่สิงห์ ไม่ได้ใส่แว่นเลยดูไม่ชัด มาถามที่จะเรียนโยคะ  เด็กก็ชี้มาที่พี่สิงห์ ทันทีนี่ละครูโยคะ

                          พี่สิงห์ จะบอกเธอว่า เขาหุ่นแบบนางเอกหนังไทยเรื่อง... ที่สติไม่สมบูรณ์ อ๋อจำได้แล้ว ที่พระเอกชื่อฟัก ต้องถาม ดร.สุริยา  ตอบได้ว่าใคร แบบนั้นเลย จะมาเรียนโยคะกับพี่สิงห์ วันนี้ ครับ

                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6069 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2555, 10:43:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ Dtoy16 เมื่อ 11 พฤษภาคม 2555, 08:43:43
                   สวัสดีค่ะพี่สิงห์ น้องหนิง เช้านี้เดินไปเก็บมะลิก่อนจะรดน้ำเดี๋ยวจะไม่หอม
                   เลยเอามาฝากคุณยายแม่พี่สิงห์ด้วย แล้วจะย้อนไปอ่านโพธิปักขิยธรรมให้ละเอียดค่ะ
                 

สวัสดีค่ะ คุณน้องต้อย ที่รัก

                             โพธิปักขิยะธรรม ๓๗ ประการนั้น พี่สิงห์สรุปให้ตรงนี้ก็ได้

                             โพธิปักขิยะธรรม คือ ธรรมที่นำไปสู่การสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ประกอบด้วย

                             ๑. อิทธิบาท ๔ คือ ธรรมแห่งความสำเร็จในการกระทำทุกชนิด
                                                      - ฉันทะ
                                                      - วิริยะ
                                                      - จิตตะ
                                                      - วิมังสา

                             ๒. สติปัฏฐาน ๔ คือการตั้งสติ (ความระลึกได้ ให้รู้สึกตัวในกาย ในใจ(ตั้งใจ)) ประกอบด้วย
                                                      - พิจารณากาย ในกาย
                                                      - พิจารณาเวทนา ในเวทนา
                                                      - พิจารณาจิต ในจิต
                                                      - พิจารณาธรรม

                              ๓. สัมมัปปธาน ๔ คือการตั้งความเพียรในการกระทำ ประกอบด้วย
                                                      - การทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
                                                      - การละอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น
                                                      - การละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ให้สิ้นไป
                                                      - การทำกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

                              ๔. อินทรีย์ ๕ คือธรรมแห่งการเป็นใหญ่ ประกอบด้วย
                                                      - ศรัทธา
                                                      - วิริยะ
                                                      - สติ
                                                      - สมาธิ
                                                      - ปัญญา

                                 ๕. พละ ๕ คือธรรมแห่งการมีกำลัง ประกอบด้วย
                                                      - ศรัทธา
                                                      - วิริยะ
                                                      - สติ
                                                      - สมาธิ
                                                      - ปัญญา

                                 ๖. โพชฌงค์ ๗ คือองค์ธรรมแห่งการนำไปสู่การตรัสรู้ ประกอบด้วย
                                                      - สติ
                                                      - ธรรมะวิจัย
                                                      - วิริยะ
                                                      - ปีติ
                                                      - ปัสสัทธิ
                                                      - สมาธิ
                                                      - อุเบกขา

                                ๗. มรรค ๘ คือทางแห่งการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ประกอบด้วย
                                                      - สัมมาทิฏฐิ
                                                      - สัมมาสังกัปปะ
                                                      - สัมมาวาจา
                                                      - สัมมากัมมันตะ
                                                      - สัมมาอาชีวะ
                                                      - สัมมาวายามะ
                                                      - สัมมาสติ

                                 ขอบคุณสำหรับดอกมะลิ ครับ

                                 สวัสดี
                               
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6070 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2555, 10:59:28 »

สวัสดีครับ คุณมิ้ง

                             พี่สิงห์ มีความปราถนาดี ต่อเธอด้วยความจริงใจ อยากจะให้เธอพิจารณาด้วยปัญญตัวเอง ตามที่ ดร.อภิวัฒน์ ได้บอกว่า พ่อได้สอนว่า คนเรานั้นต้องได้ปริญญา ๒ ใบ คือ
                             ๑. ปริญญาวิชาชีพ เราต้องสำเร็จในการทำมาหากิน คือกินอิ่ม นอนอุ่น เอามือล้วงไปในกระเป็ามีเงิน
                             ๒. ปริญญาชีวิต เราต้องมีชีวิต ที่จะเป็นร่มโพธิ ร่มไทร ให้กับลูกและเมีย ให้มีอายุยืนนานเห็นความสำเร็จของลูก ไม่ตายก่อน หรือ ไม่พิการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังให้เป็นภาระของลูก

                              พี่สิงห์จึงอยากที่จะเห็นเธอ ได้ปริญญาทั้ง ๒ ใบ  ตอนนี้เธอได้ปริญญาวิชาชีพ แล้วในระดับปริญญาโท ด้วยเพราะมีความสำเร็จสูงกว่าพี่สิงห์  แต่ปริญญาชีวิต ของเธอนั้น เพิ่งจบ ปวส. ยังไม่ได้เรียนปริญาตรีเลย และน่าเป็นห่วงยิ่ง

                               ดร.สุริยา เองเพียงผ่านปริญญาตรี(เริ่มเข้าใจแล้วว่าต้องออกกำลังกาย และกระทำตาม)

                               พี่สิงห์ สำเร็จปริญญาโท (ปฏิบัติตาม  อาหาร ออกกำลังกาย พักผ่อน นอนหัวค่ำ ทำจิตให้ขาวรอบ) ยังไม่จบปริญญาเอก

                                ดังนั้นพี่สิงห์ ขอหักดิบแนะนำเลย ๒ อาทิตย์ ให้เธอไป ปฏิบัติธรรม ที่วัดป่าสุคะโต  อำเภอแกร่งค้อ  จังหวัดชัยภูมิ เพื่อเอาชนะใจตนเองให้ได้ ที่เหลือพี่สิงห์ จะสอนให้ หรือถ้าเธอมีปัญญา จะทราบได้เองจากวัดป่าสุคะโตทั้งสิ้น รายละเอียดเพียงพิมพ์วัดป่าสุคะโตลงในกรูเกิล เท่านั้น หรือจอคำแนะนำจากอาจารย์ รุ่งศักดิ์  บุญชู

                                รับรองเพียงสองอาทิตย์ เธอมีโอกาส สอบปริญญาชีวิตผ่าน ครับ

                                แต่ตอนนี้ขอแนะนำ รักษาศีล ๕ ให้มั่นไว้ และรู้จักประมาณในการบริโภค ครับ

                                ต้องกราบขอโทษ ที่พี่สิงห์ บังอาจสอนสั่ง ขี้แนะ เพราะมันอาจจะไม่รัก ไม่ชอบ ที่มีใครมาว่ากล่าวตักเตือน แต่อย่าลืม พระพุทธองค์ ทรงสอนว่า ผู้ที่มาด่าเรา ชี้แนะเรา นั้น เขากำลังชี้ขุมทรัพย์ให้เรา เพราะเราดูจิตของเราไม่เห็น

                                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #6071 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2555, 12:03:39 »

           ฮ้า...พี่สิงห์จะสอนโยคะให้ ตั๊ก บงกช หรือค่ะ เรื่องคำพิพากษา พระเอกคนใต้แสดง นึกชื่อไม่ออก
                  (น้องบอก เรื่องอย่างนี้ไม่เข้าหัวค่ะ) ชื่อเต้...?กิตติศักดิ์  เยาวนานนท์
                  พี่สิงห์ลงรูปให้ดูด้วยนะค่ะ 
      บันทึกการเข้า

Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6072 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2555, 12:26:22 »

อ้างถึง
ข้อความของ Dtoy16 เมื่อ 11 พฤษภาคม 2555, 12:03:39
          ฮ้า...พี่สิงห์จะสอนโยคะให้ ตั๊ก บงกช หรือค่ะ เรื่องคำพิพากษา พระเอกคนใต้แสดง นึกชื่อไม่ออก
                  (น้องบอก เรื่องอย่างนี้ไม่เข้าหัวค่ะ) ชื่อเต้...?กิตติศักดิ์  เยาวนานนท์
                  พี่สิงห์ลงรูปให้ดูด้วยนะค่ะ  

สวัสดีค่ะ คุณน้องต้อย ที่รัก

                             ไม่ใช่ตัวคุณตั๊ก บงกช  คงมาลัยหรอก แต่เท่าที่ดูรูปร่าง(ไม่ได้ใส่แว่น เลยไม่รู้ว่าสวยหรือไม่) แต่ดูท่าทางการแต่งตัว นุ่งกางเกงขาสั้น การเดิน  รูปร่าง เหมือนดารา พิมพ์เดียวกับ คุณตั๊ก เลย จะมาเรียนโยคะ

                             เขามาสวัสดี พี่สิงห์ก็บอกว่า ผมสอนแบบเล่นๆ แต่เอาจริง เพื่อสุขภาพของคุณ  แต่เขาคงผิดหวังที่คนสอน ไม่ใช่สาวๆ หุ่นดี  แต่เป็นคนแก่ผู้ชาย อายุย่าง ๖๒ ปี แทน  คงไม่เรียนดีกว่า

                             แต่ละวันจะมีสาวๆ มาขอเรียนโยคะชั้น ๓ ฟิตเนสเสมอ  แต่เอาเข้าจริง ไม่มีทุกที ไม่รู้เป็นอะไร คือวันศุกร์ ผมมาสอน แต่เขาเป็นวันหยุดกัน ไม่มาออกกำลังกายกัน  จะมาวันอื่น  ผมเลยไปสอนหัวหน้าพนักงานสปา ไว้ท่านหนึ่งกะว่าจะให้มาสอนแทนผม ดีกว่า เพราะเป็นพนักงานโรงแรมด้วย

                             กรรมของผมจริงๆ  

                              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6073 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2555, 12:31:13 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                                  ตอนนี้สะตอ ยังไม่ออก แต่กำลังจะออกแล้ว มีแต่ลูกเนียง ครับ

                                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6074 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2555, 12:39:59 »









คุณรองรัตน์

                         สนใจจะมาเหมาผลิตแผ่นพื้นโรงงานนี้ไหม ครับ   อยู่สุราษฎร์

                         ถ้าเป็นมืออาชีพ  สามารถผลิตได้วันละ ๔ เลน แต่ประมาณการเอาไว้ วันละ ๓ เลน

                         โรงงานในภาพ

                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 241 242 [243] 244 245 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><