02 กรกฎาคม 2567, 05:12:43
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 234 235 [236] 237 238 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3340240 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 24 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5875 เมื่อ: 06 เมษายน 2555, 11:26:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 06 เมษายน 2555, 03:50:25
ตามดูด้วยความรู้สึกคุ้นเคย .. เพราะสถานที่เหล่านี้ ยังไม่เลือนหายไปจากความจำ
เสียดายที่มีฝนนะคะ
ทำให้ความสนุก ลดหายไปนิดหน่อย

ขอบคุณพี่สิงห์ที่นำภาพมาฝากกันชื่นชมค่ะ
    บ่ฮู้บ่หัน

สวัสดีค่ะ คุณน้องยาหยี ที่รัก

                              สงสัยเธอรู้ได้อย่างไรว่า พี่สิงห์เจอฝน ประปราย นิดหน่อย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนให้ทราบ ดร.สุริยา  อาจจะให้คำตอบได้ คือดูที่รถม้า  โดยเฉพาะผ้าใบที่ห่มม้า และคนกางร่ม  ถ้าสังเกตุแบบคุณน้องยาหยีสามารถจะทราบได้

                              พี่สิงห์ อยู่นครศรีธรรมราช  เมื่อเช้ามีแต่ทุกข์ คือความเดือดร้อน ขาดความสะดวกสะบาย ภายหลังจากลงเครื่องบิน  ได้แต่ดูใจตนเอง  ยังสามารถรักษากาย  วาจา  ใจ  ให้เป็นปกติได้ คือ

                              พณฯ ท่านรัฐมนตรีช่วยเกษตรหัวหน้าคนเสื้อแดง เดินทางมาด้วย มีผู้ติดตามบนเครื่องสิบกว่าคน จึงวุ่นวาย  ยิ่งที่สนามบิน มีผู้มาต้อนรับมากกว่าร้อยคน มีรถขบวนยี่สิบกว่าคัน มีตำรวจทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบมายืนอารักขา อัดกันแน่นจนผู้โดยสารได้รับความลำบากในห้องโดยสารขาเข้า  แออัดสนามบินไปหมด  ผมดูแล้วเกือบเท่าขบวนเสด็จ คือมีรถตำรวจนำหน้าสองคัน ตามหลังหนึ่งคัน ขาดแต่เพียงกองทหารเกียรติยศที่คอยยืนต้อนรับเท่านั้น  มันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนกันเชียว จากไพร่มาเป็นขุนนาง(ทำตัวใหญ่ยิ่งกว่าขุนนางอีก)(พวกเสื้อแดงเคยเปรียบตัวเองเป็นไพร่)  ว่าแต่เขาอีเหนาเป็นเอง

                               ดูๆ  แล้วได้แต่ปลงตัวเอง ทำไมคนเราต้องการเกียรติยศ  คนต้อนรับ  ความยิ่งใหญ่ แบบนี้ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่า สิ่งที่เห็นนั้นมันเป็นภาพลวงตา  เพราะเวลาไม่มีอำนาจแล้วจะรู้ได้ทันที มันก็เหมือนหมาเดินกลางถนน ไม่มีใครสนใจ แล้วเราทำไม่  ไม่อยู่อย่างง่ายๆ  จะไปไหน  ไม่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน ดีกว่าไหนๆ ใครมันจะฆ่าจะแกงก็ปล่อยเขา เพราะว่าเราคงทำกับเขามาก่อน

                                เป็นคนธรรมดาแบบผมนี่ดีกว่าไหนๆ ไม่ขอสร้างความเดือดร้อนให้ใคร  ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาทำร้าย ไปไหนก็ได้ทั้งนั้น  สุขกว่ากันแยะเลย

                                นี่ละจิตมนุษย์ มีแต่ความอยาก  ความต้องการ  ไม่รู้จบ

                                เธออย่าเอาเป็นตัวอย่างเลยนะ  ไม่ดีเลย

                                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5876 เมื่อ: 06 เมษายน 2555, 11:48:12 »






































                              วันนี้ผมขอนำทุกท่านมาชมศิลปของชาวโรมันที่ยังหลงเหลืออยู่ครับ

                              สนามโคลิเซี่ยม เป็นสนามต่อสู้ระหว่างคนกับคน และคนกับสัตว์

                              โรมันฟอรั่ม ลานชุมนุมของนักปราชญ์  พ่อค้าวานิช  นักการเมือง ที่ตั้งของศาสนสถานของชาวโรมัน  ซึ่งครั้งหนึ่งจะเต็มไปด้วยผู้คน และร้านค้าขายของ  แต่ปัจจุบันจะเห็นเศษอิฐ  ก็รู้ได้ว่าเป็นชุมชนใหญ่ แน่นไปหมด

                               เชิญชมภาพ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5877 เมื่อ: 06 เมษายน 2555, 12:09:52 »



































คุณเจี๊ยบเล็ก พนักงานขาย SIW ลูกศิษย์อาจารย์มานพ

ผมมีหน้าที่ให้ความรัก  ความเมตตา ความอบอุ่น ให้ความรู้  แนะนำ  เป็นที่ปรึกษาในทุกด้านของ SIW

                   
                                ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนเป็นไปตามกฏ "อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา" เสมอ ไม่ยกเว้นแม้กระทั่งอาณาจักรโรมันที่ยิ่งใหญ่  คนชนชาติโรมันที่ปราชย์เปรื่อง  ฉลาด  แข็งแกร่ง เป็นนักต่อสู้  ก็ล่มสลายมีให้เห็น

                                ท่านเชื่อหรือไม่ คนอิตาลี ปัจจุบันนั้น ไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากชาวโรมัน แต่เป็นชนกลุ่มน้อยในสมัยโรมัน ที่หลงเหลือเท่านั้นเอง

                                แล้วท่านละ ยังต้องการอะไรอีกในชีวิตนี้

                                สวัสดี  สำหรับอิตาลี  ถ้ามีโอกาสจะไปอีกครับ

                                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5878 เมื่อ: 06 เมษายน 2555, 13:05:34 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                             ช่วงก่อนถึงสงกรานต์นี้  พี่สิงห์ มีหลายสิ่งที่ต้องกระทำ ขอแจ้งให้ทราบ  จะได้หาตัวกันได้ครับ


วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน  

                              เช้าพี่สิงห์ไปเยี่ยมแม่ ที่สิงห์บุรี  

                              บ่ายเข้าโรงงาน PSTC สระบุรีไปดูการผลิตคอนสะปัน

วันอังคารที่ ๑๐ เมษายน

                              เช้าไปตีกอล์ฟกับคุณดิเรก MD ของ PSTC คุณอ้วนผู้จัดการฝ่ายผลิต และคุณโน๊ต ผู้จัดการฝ่ายเตรียมแบบ หรือ

                              งดตีกอล์ฟ รดน้ำดำหัวพี่พงษ์ศักดิ์ และให้พนักงาน PSTC รดน้ำดำหัว ไปฉลองวันเกิดให้พี่พงษ์ศักดิ์( ๑๓ เมษายน) รับประทานอาหารกลางวันที่ร้านชาบูผัก ที่สระบุรี บ่ายสองขับรถกลับ กทม.

                              ตอนเย็น ไปร่วมงานสงกรานต์ที่สมาคมซีมะโด่งฯ

วันพุธที่ ๑๑ เมษายน

                              Boarding 06:00 น. เดินทางไปสนามบินจังหวัดอุบลราชธานี และต่อไปที่จังหวัดสุรินทร์ ไปดูสถานที่ก่อสร้างโรงงาน ค้างคืนที่สุรินทร์ ช่วงบ่ายจะไปวัดของหลวงปู่ดุลย์  อตุโล  ไปหาซื้อหนังสือ

วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ เมษายน

                              ช่วงเช้าอยู่ที่สุรินทร์ และกลับ กทม. Boarding 13:30 น. ที่สนามบินจังหวัดอุบลราชธานี

วันที่ ๑๓-๑๔-๑๕ เมษายน

                              อยู่สิงห์บุรีทำบุญ  ปฏิบัตฺธรรม สลับกับ กทม. ครับ

                              คงไม่มีโอกาสติดต่ออะไรกับใคร ช่วงสงกรานต์

                              สวัสดี

    
      บันทึกการเข้า
jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #5879 เมื่อ: 06 เมษายน 2555, 15:02:30 »

สวัสดีค่ะพี่สิงห์.  ขณะนี้ตาอยู่กับกุศลที่เกาะลันตาน้อย. ฟังกุศลพูดเวียนหัวจังเลย.
      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5880 เมื่อ: 06 เมษายน 2555, 18:28:49 »

อ้างถึง
ข้อความของ jamsai เมื่อ 06 เมษายน 2555, 15:02:30
สวัสดีค่ะพี่สิงห์.  ขณะนี้ตาอยู่กับกุศลที่เกาะลันตาน้อย. ฟังกุศลพูดเวียนหัวจังเลย.
โสน๊าน่า คุณนายแววตา
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369

« ตอบ #5881 เมื่อ: 06 เมษายน 2555, 19:49:44 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 06 เมษายน 2555, 11:26:16
อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 06 เมษายน 2555, 03:50:25
ตามดูด้วยความรู้สึกคุ้นเคย .. เพราะสถานที่เหล่านี้ ยังไม่เลือนหายไปจากความจำ
เสียดายที่มีฝนนะคะ
ทำให้ความสนุก ลดหายไปนิดหน่อย

ขอบคุณพี่สิงห์ที่นำภาพมาฝากกันชื่นชมค่ะ
     บ่ฮู้บ่หัน

สวัสดีค่ะ คุณน้องยาหยี ที่รัก

                              สงสัยเธอรู้ได้อย่างไรว่า พี่สิงห์เจอฝน ประปราย นิดหน่อย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนให้ทราบ ดร.สุริยา  อาจจะให้คำตอบได้ คือดูที่รถม้า  โดยเฉพาะผ้าใบที่ห่มม้า และคนกางร่ม  ถ้าสังเกตุแบบคุณน้องยาหยีสามารถจะทราบได้



สวัสดีค่ะ  พี่สิงห์    หึหึ

หยีดูภาพแต่ละภาพ ค่อนข้างละเอียดค่ะ
มองตัว subject ก่อน  แล้วค่อยมองส่วนประกอบอื่นของภาพเป็นลำดับต่อไป

เห็นผ้าใบที่ห่มม้า เห็นคนกางร่ม คนใส่ฮู้ด จึงพอเดาได้ว่า .. ฝนพรำ ๆ ..
      บันทึกการเข้า

.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5882 เมื่อ: 07 เมษายน 2555, 09:55:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 06 เมษายน 2555, 19:49:44
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 06 เมษายน 2555, 11:26:16
อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 06 เมษายน 2555, 03:50:25
ตามดูด้วยความรู้สึกคุ้นเคย .. เพราะสถานที่เหล่านี้ ยังไม่เลือนหายไปจากความจำ
เสียดายที่มีฝนนะคะ
ทำให้ความสนุก ลดหายไปนิดหน่อย

ขอบคุณพี่สิงห์ที่นำภาพมาฝากกันชื่นชมค่ะ
     บ่ฮู้บ่หัน

สวัสดีค่ะ คุณน้องยาหยี ที่รัก

                              สงสัยเธอรู้ได้อย่างไรว่า พี่สิงห์เจอฝน ประปราย นิดหน่อย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนให้ทราบ ดร.สุริยา  อาจจะให้คำตอบได้ คือดูที่รถม้า  โดยเฉพาะผ้าใบที่ห่มม้า และคนกางร่ม  ถ้าสังเกตุแบบคุณน้องยาหยีสามารถจะทราบได้



สวัสดีค่ะ  พี่สิงห์    หึหึ

หยีดูภาพแต่ละภาพ ค่อนข้างละเอียดค่ะ
มองตัว subject ก่อน  แล้วค่อยมองส่วนประกอบอื่นของภาพเป็นลำดับต่อไป

เห็นผ้าใบที่ห่มม้า เห็นคนกางร่ม คนใส่ฮู้ด จึงพอเดาได้ว่า .. ฝนพรำ ๆ ..


สวัสดีค่ะ คุณน้องยาหยี ที่รัก

                              การเป็นคนช่างสังเกตุ  รอบครอบ  ละเอียด คือพิจารณาด้วยโยนิโสมานะสิการนั้น เป็นคุณสมบัติที่ดี  ที่พึงรักษาเอาไว้และปฏิบัติให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จะเป็นประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัวมหาศาล

                              ขออนุโมทนา

                              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5883 เมื่อ: 07 เมษายน 2555, 10:02:49 »

อ้างถึง
ข้อความของ jamsai เมื่อ 06 เมษายน 2555, 15:02:30
สวัสดีค่ะพี่สิงห์.  ขณะนี้ตาอยู่กับกุศลที่เกาะลันตาน้อย. ฟังกุศลพูดเวียนหัวจังเลย.

สวัสดีครับ อาจารย์แจ่มใส คุณแววตา และทุกท่านที่ไปพักผ่อนในทริปนี้

                                  ต้องฉลาดทำใจ ครับ คือวางจิตขอเราให้ถูกที่  สิ่งไหนที่ ดร.กุศล  พูดออกมาเป็นประโยชน์ต่อเราก็รับฟังเอาไปเป็นประโยชน์  และทำให้เราไม่ง่วงเหงาหาวนอน สิ่งใดไร้สาระก็ปล่อยให้มันผ่านไป  อย่าไปปรุงแต่งมัน และเอามันมาเป็นอาจารย์สอนตัวเราเองว่า เราเองยังไม่ชอบแล้ว  เราอย่าทำตัวของเราแบบนั้นให้คนใกล้ตัวหรือเพื่อนฝูงให้รำคาญเราเลย  สู้สำรวมกาย วาจา ใจ ดีกว่า ทุกข์ก็ไม่มาเยือน  หรือ เพียงแต่รับทราบไม่คิดตาม สิ่งที่ได้ยิน  ได้เห็น  ได้รู้  มันก็ดับไปของมันเอง  ขอเพียงฉลาดวางใจ และรู้จักควบคุมจิตตนเอง  ปล่อยวางเท่านั้นครับ

                                  ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบ  พักผ่อนให่สนุกครับ

                                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5884 เมื่อ: 07 เมษายน 2555, 14:45:52 »

พระพุทธองค์ตรัสว่า "ผู้มีปัญญาที่ชอบชี้โทษหรือตำหนิเราคือผู้ชี้ขุมทรัพย์"


                             สำหรับเรื่องชมรม หรือสมาคมซีมะโด่งฯ นั้น ผมเองเคยได้รับคำตำหนิมาครั้งหนึ่งแล้ว ว่ามันหมดสมัยผมแล้ว ควรปล่อยวาง  ผมไม่ควรไปยึดติด ในห้องประชุมกรรมการชมรมฯ  ผมต้องกราบพระคุณท่านผู้นั้นเป็นอย่างยิ่งที่ตำหนิผมในตอนนั้น  เพราะมันทำให้ผมได้คิดว่า เรายังหลงตัวเองว่าเราเป็นประธานชมรมฯ อยู่ เราจึงไม่ได้ปล่อยวาง  ทั้งๆ ที่เราเป็นเพียงผู้ที่เข้าประชุมเท่านั้น  แต่กับแสดงเกินขอบเขตหน้าที่ไป  ซึ่งคนอื่นเขาทำงานไม่เหมือนเรา  เขาเตือนเราก็ดีแล้ว  เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ถอยออกมาเสียที  เขาจะได้ทำงานตามที่เขาอยากจะทำ

                             นั่นเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ผมถอยออกมาจากชมรมฯ  เพราะผมถือว่าท่านผู้นั้นเป็นผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้ผม  มีบุญคุณต่อผม  สอนผมในสิ่งที่ผมมองไม่เห็นในเวลานั้น  ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "ผู้ที่มีปัญญาที่ชอบชี้โทษหรือตำหนิเราคือผู้ชี้ขุมทรัพย์"

                            ดังนั้น  ใครจะตำหนิเรา  ติเตียนเรา  ด่าเรา ว่ากล่าวตักเตือนเรานั้น เราต้องคิดว่าเขาคือครู อาจารย์ของเรา ที่สามารถมองเห็นสิ่งผิดในอัตตา หรือเจตสิก หรือสันดานของเรา  ที่เรามองไม่เห็น เพราะว่าคนทุกคนนั้น  จะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ และถือว่าถูกต้องเสมอ เพราะมันทำอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดจนติดเป็นนิสัย  สันดาน  จนมองไม่เห็น

                            เมื่อมีคนมาชี้ให้เห็นเราก็พิจารณาของเรา ว่าสิ่งที่เขาด่า  ติเตียน ตักเตือน กระแนะกระแหนต่างๆ นาๆ นั้นมันเป็นจริงไหม?  ถ้ามันเป็นจริงดังเขาว่า เราก็เอามาปรับปรุงตัวเราเองเสียใหม่  ไม่เห็นจะต้องกลัวเสียหน้า  เสียศักดิ์ศรีแต่ประการใด  มีแต่ได้ประโยชน์ทั้งสิ้น  กลับจะต้องกราบขอบคุณเขาเสียด้วยที่ชี้จุดอ่อนให้เราทราบ  ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว

                            แต่ถ้าสิ่งที่เขาติเตียน  ด่า  ว่ากล่าว ตักเตือนนั้น มันไม่เป็นความจริงที่เราพิจารณาด้วยสติ ปัญญาของเราแล้ว  เราก็นิ่งเสียปล่อยให้มันผ่านไป เราก็ไม่ทุกข์ร้อนทั้งสิ้น  และเราเองก็จะได้ทราบนิสัยใจคอของผู้ที่ติเตียนเรานั้นเป็นอย่างดี  เราจะได้วางตัว  วางจิตของเราได้ถูกต้องในเมื่อต้องทำงานหรือเกี่ยวข้องกับเขา

                            สรุปแล้วใครว่ากล่าวตักเตือนเรา ดีทั้งนั้น  ถ้าเราวางใจของเราให้ถูกต้อง  ถูกที่ถูกทาง  เราก็ไม่ทุกข์ เขาเรียกว่า "ฉลาดทำใจ" ครับ

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5885 เมื่อ: 07 เมษายน 2555, 15:04:52 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 เมษายน 2555, 10:02:49
อ้างถึง
ข้อความของ jamsai เมื่อ 06 เมษายน 2555, 15:02:30
สวัสดีค่ะพี่สิงห์.  ขณะนี้ตาอยู่กับกุศลที่เกาะลันตาน้อย. ฟังกุศลพูดเวียนหัวจังเลย.

สวัสดีครับ อาจารย์แจ่มใส คุณแววตา และทุกท่านที่ไปพักผ่อนในทริปนี้

                                  ต้องฉลาดทำใจ ครับ คือวางจิตขอเราให้ถูกที่  สิ่งไหนที่ ดร.กุศล  พูดออกมาเป็นประโยชน์ต่อเราก็รับฟังเอาไปเป็นประโยชน์  และทำให้เราไม่ง่วงเหงาหาวนอน สิ่งใดไร้สาระก็ปล่อยให้มันผ่านไป  อย่าไปปรุงแต่งมัน และเอามันมาเป็นอาจารย์สอนตัวเราเองว่า เราเองยังไม่ชอบแล้ว  เราอย่าทำตัวของเราแบบนั้นให้คนใกล้ตัวหรือเพื่อนฝูงให้รำคาญเราเลย  สู้สำรวมกาย วาจา ใจ ดีกว่า ทุกข์ก็ไม่มาเยือน  หรือ เพียงแต่รับทราบไม่คิดตาม สิ่งที่ได้ยิน  ได้เห็น  ได้รู้  มันก็ดับไปของมันเอง  ขอเพียงฉลาดวางใจ และรู้จักควบคุมจิตตนเอง  ปล่อยวางเท่านั้นครับ

                                  ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบ  พักผ่อนให่สนุกครับ

                                  สวัสดี

มันมีด้วยหรือครับ สิ่งที่ ดร.กุศลพูดออกมาแล้วเป็นประโยชน์ต่อใครๆ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5886 เมื่อ: 07 เมษายน 2555, 20:29:01 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 07 เมษายน 2555, 15:04:52
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 เมษายน 2555, 10:02:49
อ้างถึง
ข้อความของ jamsai เมื่อ 06 เมษายน 2555, 15:02:30
สวัสดีค่ะพี่สิงห์.  ขณะนี้ตาอยู่กับกุศลที่เกาะลันตาน้อย. ฟังกุศลพูดเวียนหัวจังเลย.

สวัสดีครับ อาจารย์แจ่มใส คุณแววตา และทุกท่านที่ไปพักผ่อนในทริปนี้

                                  ต้องฉลาดทำใจ ครับ คือวางจิตขอเราให้ถูกที่  สิ่งไหนที่ ดร.กุศล  พูดออกมาเป็นประโยชน์ต่อเราก็รับฟังเอาไปเป็นประโยชน์  และทำให้เราไม่ง่วงเหงาหาวนอน สิ่งใดไร้สาระก็ปล่อยให้มันผ่านไป  อย่าไปปรุงแต่งมัน และเอามันมาเป็นอาจารย์สอนตัวเราเองว่า เราเองยังไม่ชอบแล้ว  เราอย่าทำตัวของเราแบบนั้นให้คนใกล้ตัวหรือเพื่อนฝูงให้รำคาญเราเลย  สู้สำรวมกาย วาจา ใจ ดีกว่า ทุกข์ก็ไม่มาเยือน  หรือ เพียงแต่รับทราบไม่คิดตาม สิ่งที่ได้ยิน  ได้เห็น  ได้รู้  มันก็ดับไปของมันเอง  ขอเพียงฉลาดวางใจ และรู้จักควบคุมจิตตนเอง  ปล่อยวางเท่านั้นครับ

                                  ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบ  พักผ่อนให่สนุกครับ

                                  สวัสดี

มันมีด้วยหรือครับ สิ่งที่ ดร.กุศลพูดออกมาแล้วเป็นประโยชน์ต่อใครๆ

                     คนเราเวลาพูดอะไรออกไปมันต้องมีสาระ ประโยชน์บ้าง ไม่มาก ก็น้อย

                     โดยเฉพาะคนที่เป็นครูบาอาจารย์ มันควรจะมีสัญชาติญาณความเป็นครู หลงเหลืออยู่บ้าง

                      อย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไป  มันแสดงถึงจิตของเราให้คนอื่นเขารู้ 

                      ดร.สุริยา  อาจจะเป็นผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้ ดร.กุศล ก็ได้  ถ้า ดร.กุศล  วางจิตถูกที่

                      สวัสดี
       
       
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5887 เมื่อ: 07 เมษายน 2555, 20:53:13 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               วันนี้ผมนั่งเครื่องบินกลับ กทม. พร้อมด้วย พณฯท่านณัฐวุฒิ  ใสเกื้อ  รมช.เกษตร  พลตรีสนั่น  ขจรประศาสตร์ โดยผมนั่งเก้าอี้ข้างหลังท่านทั้งสองคน

                                พณฯท่านณัฐวุฒิ ไพร่เสื้อแดงที่เป็นขุนนาง มาทั้งครอบครัวมีลูกสองคนเด็กชาย-เด็กหญิง  ติดตามด้วยบริวารห้อมล้อมและพกอาวุธ(ผมเห็นเขาทำเอกสารฝากปืน หลายคน) จำนวนสิบกว่าท่านจากกระทรวงเกษตร เลยทำให้บริเวณหน้าห้องรับรองก่อน X-Ray แน่นขนัดเป็นที่เดือดร้อนของผู้ใช้บริการสนามบินนครศรีธรรมราช ที่จะต้องเดินผ่าน เพราะเขาเรียกขึ้นเครื่องแล้ว แต่บรรดา VIP ยังรำลากันไม่เสร็จ

                                ปรากฏว่ามีครอบครัวหนึ่งบ่น ด่า เป็นหมีกินผึ้งขณะเดินขึ้นเครื่องบิน  สุภาพสตรีอายุสักห้าสิบ  ลูกสาวอายุประมาณ ๒๕ และลูกน้อย พูดเสียงดังบนเครื่องบินจงใจให้ทุกคนได้ยินไปทั่ว  พณฯท่านณัฐวุฒิ ยังมาไม่ถึงเครื่องบิน ส่วนผมนั่งเรียบร้อยแล้ว " มันจะยิ่งใหญ่มาจากไหน มันก็คนเหมือนกัน  เสียเงินเหมือนกัน  แต่ทำไมต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อน  มีผู้โดยสารค้างมาไม่ได้อีกมาก เพราะไอ้ผู้ยิ่งใหญ่   VIP ทั้งหลายมันขวางทางชาวบ้านจนเดินไม่ได้ที่หน้าประตู X-Ray "

                                ส่วนผมนั้นหลังจากเครื่องบิน บินขึ้นเรียบร้อยแล้วก็ได้เจริญสติแผ่ส่วนกุศลให้ พณฯท่านณัฐวุฒิ  ขอให้กุศลนี้จงดลบันดาลให้ พณฯท่านณัฐวุฒิ  ใช้สติปัญญาไปในทางที่ถูกต้อง ในการนำพาประเทศชาติ  ไม่หลงอยู่กับคำสั่งของ ดร.ทักษิณ"

                                ผมสังเกตุกิริยา ของพลตรีสนั่น  ที่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ผมก็รู้แล้วว่า  ผู้ที่รับคำสั่งจาก ดร.ทักษิณ  ที่แท้จริงหรือหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตัวจริง ก็คือ พณฯท่านณัฐวุฒิ  ใสเกื้อ นี่ละ มิใช่ใครอื่นเลย  ยังคงมีความคิดแข็งกร้าว  ผมไม่รู้ว่าขณะนี้การเมืองมีปัญหาอะไร  เท่าที่จับใจความได้ พณฯท่านณัฐวุฒิ  จะให้ประชาชนตัดสิน ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าสามารถชนะได้เพราะรากหญ้าที่สามารถซื้อได้ด้วยเงินและนโยบาย  กรรมของประเทศไทยจริงๆ

                                ผมจึงต้องเจริญสติแผ่ส่วนกุศลให้ พณฯท่านณัฐวุฒิ เพื่อให้ได้คิดว่าอะไรผิด - ถูก ที่สมควรกว่ากัน

                                ผมก็ช่วยได้เพียงนี้ครับ สำหรับประเทศไทยอันเป็นที่รักของผม

                                สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5888 เมื่อ: 07 เมษายน 2555, 20:59:50 »


                              ชาวซีมะโด่งทุกท่านอย่าลืมครับ วันที่ ๘-๙-๑๐ เมษายนนี้  ทางรัฐบาลท่านให้แต่งตัวไว้ทุกข์  ไม่ใส่เสื้อสีชูดชาด  ผมเองนั้นปฏิบัติตั้งแต่วันนี้แล้วครับ  แต่ไม่ใช่เพื่อรัฐบาล  แต่ผมทำเพื่อในหลวงของผม และราชวงศ์จักรกรี ครับ

                              และวันที่ ๑๐ เมษายน  ทุกท่านอย่าลืมไปรดน้ำดำหัวอาจารย์  พี่ผู้อาวุโสของสมาคมซีมะโด่งฯ เวลาห้าโมงเย็นที่สำนักงานหอพักนิสิต จุฬาฯ ครับ

                               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5889 เมื่อ: 07 เมษายน 2555, 21:12:39 »




ตัวกู - ตัวสู


                                                             อันความจริง : "ตัวกู"  มิได้มี

                                                แต่พอเผลอ     มันเป็นผี      โผล่มาได้

                                                พอหายเผลอ   "ตัวกู"          ก็หายไป

                                                หมด "ตัวกู"    เสียได้          เป็นเรื่องดี

                                                             สหายเอ๋ย   จงถอน   ซึ่ง "ตัวกู"

                                                และถอนทั้ง    "ตัวสู"          อย่างเต็มที่

                                                มีกันแต่          ปัญญา        และปรานี

                                                หน้าที่ใคร       ทำให้ดี       เท่านี้เอย  ฯ

                                                                                    พุทธทาส  อินฺทปญฺโญ


                    จากหนังสือ  ๑๐๕ ปี ชาตกาลพุทธทาสภิกขุ  ที่ผมได้รับแจกมาจากงานฌาปนกิจพี่กุ้ง ครับ

                                    ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5890 เมื่อ: 08 เมษายน 2555, 12:45:35 »




                               กว่า ๑๐๐ ปีที่ล่วงมาแล้ว ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ บ้านเมืองสยามในยุคนั้น กำลังเผชิญกับกระแสความเปลี่ยนแปลงทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ความสงบสุขมั่นคงภายในราชอาณาจักร จึงเป็นสิ่งที่อยู่ในพระราชหฤทัยของพระประมุขอยู่ตลอดเวลา ทรงอาศัยพระราชอัจฉริยภาพหลายประการที่เป็นพระคุณสมบัติประจำพระองค์ในการดำเนินพระบรมราโชบาย ทั้งด้านการเมืองการปกครอง ด้านการทหาร ด้านอักษรศาสตร์ และด้านศิลปวัฒนธรรม นำพาสยามประเทศให้ก้าวหน้าทัดเทียมชาติอารยะ ทรงเป็นจอมปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ กระทั่งในกาลต่อมา ทรงได้รับพระราชสมัญญาว่า "สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า"

                                อย่างไรก็ตาม จวบจนปลายรัชสมัย ยังคงมีพระปริวิตกประการหนึ่ง นั่นคือ ยังไม่มีพระราชโอรส เป็นพระรัชทายาทที่จะสืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ เมื่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตราบจน พ.ศ. ๒๔๖๗ เจ้าจอมสุวัทนา (นามเดิมว่า เครือแก้ว อภัยวงศ์) พระสนมเอก ได้ตั้งครรภ์และเป็นที่คาดหมายได้ว่าจะมีพระประสูติกาล จึงทรงสถาปนาเจ้าจอมขึ้นเป็น "พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี" เพื่อผดุงพระอิสริยยศพระราชกุมารที่จะประสูตินั้น ให้ทรงเป็น "สมเด็จเจ้าฟ้า" นับแต่แรกประสูติ เพราะหากพระชนนีเป็นเพียงเจ้าจอมสามัญชน พระราชกุมารที่ประสูตินั้นจะทรงเป็นเพียง "พระองค์เจ้า"
      
                                 อีกทั้งยังเสด็จพระราชดำเนินเข้าไปประทับ ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ติดกับพระที่นั่งเทพสถานพิลาส ทรงรอฟังข่าวพระประสูติกาลอย่างจดจ่อ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรหนักอย่างกะทันหัน ด้วยโรคพระอันตะ (ลำไส้) มีพระอาการรุนแรงทวีมากขึ้นทุกขณะ นับแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน อันเป็นวันฉัตรมงคลในรัชกาลของพระองค์เป็นต้นมา

                                 เดือนตุลาคม ๒๔๖๘ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี มีพระครรภ์แก่ใกล้ประสูติ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยิ่งทรงพระโสมนัส โปรดเกล้าฯ ให้พระนางเจ้าสุวัทนาฯ เสด็จไปประทับ ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ในหมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง เพื่อ "สมเด็จเจ้าฟ้า" พระองค์แรก จะได้ประสูติในพระมหามณเฑียร ตามโบราณราชประเพณี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5891 เมื่อ: 08 เมษายน 2555, 13:16:57 »





                            สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติเมื่อวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ในหมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง ก่อนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จสวรรคตเพียงวันเดียว

                             พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สถาปนานางสาวสุวัทนา อภัยวงศ์ ขึ้นเป็นเจ้าจอมสุวัทนา และในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นเองก็ได้มีการสถาปนาเจ้าจอมสุวัทนาซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะประสูติกาลพระบุตรในไม่ช้า ขึ้นเป็น พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เพื่อ "...ผดุงพระราชอิศริยยศแห่งพระกุมารที่จะมีพระประสูติการในเบื้องหน้า"

                             เมื่อครั้งที่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวียังทรงพระครรภ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระปีติโสมนัสเป็นอย่างพ้นประมาณ ทรงเฝ้ารอพระประสูติการของพระหน่อพระองค์แรกอย่างจดจ่อ ด้วยทรงคาดหวังว่าจะประสูติกาลพระโอรส ซึ่งพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ได้มีพระดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ความว่า "...เมื่อฉันตั้งครรภ์เจ้าฟ้า ล้นเกล้าฯ ก็ทรงโสมนัส ทรงคาดคิดว่าจะได้เป็นชาย ได้ราชสมบัติสืบต่อจากพระองค์ เมื่อยังมีพระอนามัยดีอยู่ ก็มีรับสั่งอย่างสนิทเสน่หาทรงกะแผนการชื่นชมต่อ พระเจ้าลูกยาเธอที่จะเกิดใหม่..." อีกทั้งยังทรงพระราชนิพนธ์บทกล่อมบรรทมสำหรับสมโภชเดือนพระราชกุมารประกอบเพลงปลาทองไว้ล่วงหน้า ความว่า

                                                พระเอยพระหน่อนาถ   งามพิลาสดั่งดวงมณีใส
                                      พระเสด็จจากฟากฟ้าสุราลัย   มาเพื่อให้ฝูงชนกมลปรีดิ์
                                      ดอกเอยดอกจัมปา   หอมชื่นจิตติดนาสา
                                                ยิ่งดมยิ่งพาให้ดมเอยฯ   
                                      หอมพระเดชทรงยศโอรสราช   แผ่เผยผงาดในแดนไกล
                                      พึ่งเดชพระหน่อไท   เป็นสุขสมใจไม่วางวายฯ
                                      รูปละม้ายคล้ายพระบิตุราช   ผิวผุดผาดเพียงชนนีศรี
                                      ขอพระจงทรงคุณวิบุลย์ทวี   เพื่อเป็นที่ร่มเกล้าข้าเฝ้าเทอญฯ
                                                ดอกเอยดอกพุทธิชาต   หอมเย็นใจใสสะอาด
                                                หอมบมิขาดสุคนธ์เอยฯ   
                                      หอมพระคุณการุณเป็นประถม   เย็นเกล้าเหมือนร่มโพธิ์ทอง
                                      เหล่าข้าทูลละออง   ภักดีสนองพระคุณไทฯ   
                    
                               วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2468 แต่แล้วเมื่อใกล้พระประสูติการ ความชื่นบานทั้งหลายกลับกลายเป็นความกังวล เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรหนักด้วยโรคพระอันตะ มีพระอาการรุนแรงขึ้นอย่างมิคาดฝัน ในยามนั้น พระองค์ประทับ ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ประทับ ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ซึ่งติดกับพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เพื่อทรงรอฟังข่าวพระประสูติการอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งพระนางเจ้าสุวัทนาฯ มีพระประสูติการเจ้าฟ้าหญิงในวันที่ 24 พฤศจิกายน จากนั้นในเวลาบ่าย เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ได้เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ประสูติ “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ” เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว มีพระราชดำรัสว่า “ก็ดีเหมือนกัน” จนรุ่งขึ้นในวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน เจ้าพระยารามราฆพ เชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์น้อยไปเฝ้าฯ สมเด็จพระบรมชนกนาถผู้ทรงพระประชวรหนักบนพระแท่น เมื่อทอดพระเนตรแล้ว ทรงพยายามยกพระหัตถ์ขึ้นสัมผัสพระราชธิดา แต่ก็ทรงอ่อนพระกำลังมากจนไม่สามารถจะทรงยกพระหัตถ์ได้เนื่องจากขณะนั้นมีพระอาการประชวรอยู่ในขั้นวิกฤต เจ้าพระยารามราฆพจึงเชิญพระหัตถ์ขึ้นสัมผัสพระราชธิดา เมื่อจะเชิญเสด็จพระราชกุมารีกลับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงโบกพระหัตถ์แสดงพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรพระราชธิดาอีกครั้ง จึงเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอมาเฝ้าฯ เป็นครั้งที่สอง และเป็นครั้งสุดท้ายแห่งพระชนมชีพจนกลางดึกคืนนั้นเองก็เสด็จสวรรคต

                          พระนม (แม่นม) ของสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 คือ คุณบุปผา พนมวัน ณ อยุธยา ซึ่งเป็นพระนมโดยตำแหน่ง เพราะสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชธิดาในรัชกาลที่ 6 เสวยพระกษิรธาราจากพระชนนี มีคณะพยาบาลจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ถวายอภิบาลในเบื้องต้น จากนั้นจึงมีคณะพระอภิบาลจำนวน 12 คน ซึ่งเป็นอดีตคุณพนักงานในรัชกาลที่ 6 โดยผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าอภิบาลจนทรงเจริญพระวัยพอสมควร
 
 

                           พระนามของสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 นั้นได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2468 และมีคำนำพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ (ภาติกา หมายถึง หลานสาวที่เป็นลูกสาวของพี่ชาย) โดยก่อนหน้านี้มีการสมโภชได้มีการคิดพระนามไว้ 3 พระนาม ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชอรสา สิริโสภาพัณณวดี, สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนจุฬิน สิริโสภิณพัณณวดี และสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ท้ายที่สุด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเลือกพระนามสุดท้ายพระราชทาน

                            ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ได้เสด็จผ่านพิภพขึ้นสืบสนองพระองค์ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีประกาศเปลี่ยนคำนำพระนามสมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ผู้เป็นพระขนิษฐภคินีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็น สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ

                             จากนั้นในปี พ.ศ. 2489 เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบแทน ก็ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คงคำนำพระนามของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ ว่า สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ แม้ว่าสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ จะเป็นพระเชษฐภคินีผู้ทรงเจริญพระชนมายุสูงกว่า เนื่องจากคำว่า ภคินี แปลได้ทั้งน้องหญิงและพี่หญิง ดุจเดียวกัน จึงทรงพระนามตามพระฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ดังปรากฏในปัจจุบันว่า สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ส่วนพระนามในภาษาอังกฤษตามทางราชการใช้ว่า "Her Royal Highness Princess Bejaratana"

                              หลังจากประสูติแล้วไม่นาน สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอฯ และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ได้ทรงย้ายไปประทับ ณ ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อทรงเจริญวัยขึ้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นห่วงว่าสมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอฯ จะไม่มีสถานที่ทรงวิ่งเล่นเพราะในพระบรมมหาราชวังมีบริเวณคับแคบ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายออกมาประทับ ณ พระตำหนักสวนหงษ์ พระราชวังดุสิต ตามพระประสงค์ของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า ซึ่งเป็นที่กว้างขวางร่มรื่น แวดล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่เหมาะแก่การสำราญพระอิริยาบถของสมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอฯ

                               ขณะสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ยังทรงพระเยาว์ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า ทรงพระเมตตาเอาพระราชหฤทัยใส่ดูแลทั้งด้านพระอนามัยและความเป็นอยู่มาโดยตลอด ด้วยเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงพระประชวรหนักนั้น ได้มีพระราชดำรัสกับสมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าว่า “ขอฝากลูกด้วย” ต่อมา สมเด็จพระพันวัสสามาตุจฉาเจ้ายังได้มีพระราชกระแสถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “เจ้าฟ้านี่ ฉันตายก็นอนตาไม่หลับ พระมงกุฎฝากฝังเอาไว้”

                                ระหว่างทรงพระเยาว์ มีเหตุการณ์ผันผวนทางการเมืองหลายครั้ง เช่น การเปลี่ยนแปลงการปกครอง และกบฎบวรเดช ทำให้ต้องทรงย้ายที่ประทับอยู่ตลอดเวลา เช่น ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี ในพระบรมมหาราชวัง, พระตำหนักสวนหงส์ พระราชวังดุสิต, ตำหนักเขาน้อย จังหวัดสงขลา, พระตำหนักสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ในสวนสุนันทา และพระตำหนักเขียว วังสระปทุม
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5892 เมื่อ: 08 เมษายน 2555, 13:33:41 »

 

                               จนกระทั่งพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี โปรดให้สร้างตำหนักใหม่ขึ้นเป็นส่วนพระองค์บนที่ดินหัวมุมถนนราชสีมาตัดกับถนนสุโขทัยซึ่งเป็นที่ดินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งแต่คราวอภิเษกสมรส ตำหนักแห่งนี้ประทานนามว่า สวนรื่นฤดี มีนายหมิว อภัยวงศ์เป็นสถาปนิก และพลโท พระยาศัลวิธานนิเทศ (แอบ รักตะประจิต)เป็นวิศวกร (ต่อมาได้ทรงขายให้แก่ทางราชการขณะเสด็จไปประทับ ณ ประเทศอังกฤษ และปัจจุบันเป็นส่วนราชการของกองทัพบก)

                                สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ได้ทรงพระอักษรเบื้องต้นโดยพระอาจารย์จากโรงเรียนราชินี เช่น หม่อมเจ้าหญิงพิจิตรจิราภา เทวกุล, หม่อมเจ้าหญิงเสมอภาค โสณกุล, ครูพิศ ภูมิรัตน ฯลฯ จากนั้น ได้เสด็จไปทรงศึกษา ณ โรงเรียนราชินี (หมายเลขประจำพระองค์ 1847) แล้วจึงทรงศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการกับท่านผู้หญิงศรีนาถ สุริยะ อาจารย์จากโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ณ ตำหนักสวนรื่นฤดี ถนนราชสีมา

                                ต่อมาใน พ.ศ. 2480 พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ผู้เป็นพระชนนีทรงเห็นว่าพระพลานมัยของพระธิดาไม่สู้สมบูรณ์นักจึงนำพระธิดาไปทรงพระอักษรและประทับรักษาพระอนามัย ณ ประเทศอังกฤษ ซึ่งในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงเสด็จไปประทับอยู่ก่อนการสละราชสมบัติแล้ว ทรงย้ายที่ประทับหลายแห่งตามลำดับ กล่าวคือ ตำหนักแฟร์ฮิลล์ เมืองแคมเบอร์เลย์ มณฑลเซอร์เรย์, ตำหนักหลุยส์เครสเซนต์ เมืองไบรตัน มณฑลซัสเซค และตำหนักไดก์โรด (บ้านรื่นฤดี) เมืองไบรตัน มณฑลซัสเซค ทั้งสองพระองค์ต้องประสบความยากลำบากนานับประการอันเนื่องมาจากเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองในช่วงภาวะสงครามจึงทรงประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงการทำงานบ้านเองเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างข้าหลวงชาวต่างประเทศ โดยผู้ที่รับใช้ภายในพระตำหนักจะเป็นสตรีทั้งหมด

                          สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอได้ทรงศึกษาวิชาภาษาอังกฤษ, ภาษาฝรั่งเศส และเปียโนกับพระอาจารย์ชาวต่างประเทศ และได้เสด็จไปทรงศึกษาในโรงเรียนประจำสตรีชื่อโรงเรียนเซเครดฮาร์ต แคว้นเวลส์ ครั้นในช่วงเสด็จลี้ภัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งนี้ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่พระองค์ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ พระองค์และพระชนนีมีพระรุณาต่อชาวไทยในประเทศอังกฤษ โดยทรงโปรดให้เข้าเฝ้า และจัดประทานเลี้ยงให้อยู่เสม
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #5893 เมื่อ: 08 เมษายน 2555, 21:00:56 »

พี่สิงห์

ย้ายตำรวจเที่ยวนี้ มีชาวหอ 3 คน (เท่าที่ทราบ) ที่มีรายชื่อครับ

1.พ.ต.อ. พนม เหลืองอ่อน รอง ผบก.ภ.จว.พิจิตร เป็น รอง ผบก.ภ.จว.สุโขทัย

2.พ.ต.อ. อร่าม ขาวสะอาด ผกก.สภ.อ.หนองไผ่ จว.เพชรบูรณ์ เป็น รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบูรณ์

3.พ.ต.อ. ราชันย์ อินทร์สิงห์ ผกก.สภ.อ.ชุมแสง จว.นครสวรรค์ เป็น ผกก.สภ.อ.โพทะเล จว.พิจิตร
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5894 เมื่อ: 08 เมษายน 2555, 21:07:31 »

       
           
         

                            สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอได้ทรงศึกษาวิชาภาษาอังกฤษ, ภาษาฝรั่งเศส และเปียโนกับพระอาจารย์ชาวต่างประเทศ และได้เสด็จไปทรงศึกษาในโรงเรียนประจำสตรีชื่อโรงเรียนเซเครดฮาร์ต แคว้นเวลส์ ครั้นในช่วงเสด็จลี้ภัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งนี้ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่พระองค์ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ พระองค์และพระชนนีมีพระรุณาต่อชาวไทยในประเทศอังกฤษ โดยทรงโปรดให้เข้าเฝ้า และจัดประทานเลี้ยงให้อยู่เสมอ และพระราชทานพระกรุณาแก่กิจการต่างๆ ของชาวไทยอยู่เสมอ ทรงร่วมงานของสามัคคีสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นสมาคมนักเรียนไทยในสหราชอาณาจักร เป็นประจำ นอกจากนี้ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ยังทรงอุทิศพระองค์ช่วยเหลือกิจการสภากาชาดอังกฤษ ประทานแก่ทหารและผู้ประสบภัยสงครามด้วยการเสด็จไปทรงบำเพ็ญประโยชน์ เช่น ม้วนผ้าพันแผล จัดยา และเวชภัณฑ์ สภากาชาดอังกฤษจึงได้ถวายถวายเกียรติบัตรประกาศพระกรุณา และในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมีพระชนมชีพหลังการสละราชสมบัติแล้ว พระองค์และพระชนนีได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่เสมอ

                 เสด็จกลับประเทศไทยเป็นการชั่วคราวเมื่อปี พ.ศ. 2500 ทรงพระกรุณาโปรดให้สร้างวังในซอยสุขุมวิท 38 (ซอยสันติสุข) โดยมีพลเรือตรีสมภพ ภิรมย์ ศิลปินแห่งชาติ เป็นสถาปนิก แล้วเสด็จไปประเทศอังกฤษอีกในปี พ.ศ. 2501 เพื่อทรงเตรียมพระองค์เสด็จกลับประเทศไทยเป็นการถาวร จากนั้นจึงได้เสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นการถาวรในปี พ.ศ. 2502 ประทับ ณ วังแห่งใหม่ จึงได้ขนานนามวังดังกล่าวว่า วังรื่นฤดี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 69 ซอยสุขุมวิท 38 กรุงเทพมหานคร และพระองค์ได้ประทับอยู่ตราบกระทั่งสิ้นพระชนม์ ส่วนในช่วงฤดูร้อนพระองค์จะเสด็จแปรที่ประทับไปยังตำหนักพัชราลัย ถนนเพชรเกษม อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

                 หลังการสิ้นพระชนม์ของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้องคมนตรีผลัดเปลี่ยนกันอัญเชิญดอกไม้และผลไม้ และสังเกตพระอนามัยของพระองค์เป็นประจำทุก 2 สัปดาห์ มีการจัดตำรวจคอยอารักขาตลอดเวลา และทรงโปรดฯให้ห้องเครื่องสวนจิตรลดาจัดเครื่องเสวยมาทุกวัน นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลขาธิการพระราชวังจัดกรมวัง และสารถีมาปฏิบัติหน้าที่ประจำทั้งภายในวังที่ประทับ และจัดเจ้าหน้าที่มาตกแต่งสถานที่ และปฏิบัติในเวลาที่มีงานพิเศษ เช่น งานวันคล้ายวันประสูติ และการทรงบำเพ็ญพระกุศลอย่างสมพระเกียรติยศทุกประการ ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเองก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงนราวดี ชัยเฉนียน มาเฝ้าและคอยติดตามพระอนามัย และใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยเช่น คลุมพระบรรทมและปลอกพระเขนยที่สวยงาม รวมไปถึงการจัดดอกไม้ที่พระองค์ทรงโปรดมาไว้ที่ห้องพระบรรทม เพื่อให้ทรงชื่นพระทัย

                              สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ได้เสด็จประทับรักษาพระอาการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ณ ตึก 84 ปี ชั้น 5 ด้านตะวันออก โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ และสิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 16 นาฬิกา 37 นาที วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 รวมพระชันษา 85 ปี

                             พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สำนักพระราชวังจัดการพระศพถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ มีกำหนด 100 วัน ตั้งแต่วันสิ้นพระชนม์เป็นต้นไป

                             อนึ่ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายน้ำสรงพระศพหน้าพระฉายาลักษณ์ ซึ่งประดิษฐาน ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 13 นาฬิกา ถึง 16 นาฬิกา วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สำนักพระราชวัง 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

                             นอกจากนี้ สำนักนายกรัฐมนตรียังได้มีประกาศให้สถานที่ราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และสถานศึกษาทุกแห่งลดธงครึ่งเสา กับทั้งให้ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจไว้ทุกข์ ทั้งนี้มีกำหนด 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เป็นต้นไป (ยกเว้นวันที่ 12 สิงหาคม เนื่องจาก เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ) ซึ่งพระราชพิธีพระศพจะจัดให้สมพระเกียรติเช่นเดียวพระราชพิธีพระศพของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5895 เมื่อ: 08 เมษายน 2555, 21:13:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 08 เมษายน 2555, 21:00:56
พี่สิงห์

ย้ายตำรวจเที่ยวนี้ มีชาวหอ 3 คน (เท่าที่ทราบ) ที่มีรายชื่อครับ

1.พ.ต.อ. พนม เหลืองอ่อน รอง ผบก.ภ.จว.พิจิตร เป็น รอง ผบก.ภ.จว.สุโขทัย

2.พ.ต.อ. อร่าม ขาวสะอาด ผกก.สภ.อ.หนองไผ่ จว.เพชรบูรณ์ เป็น รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบูรณ์

3.พ.ต.อ. ราชันย์ อินทร์สิงห์ ผกก.สภ.อ.ชุมแสง จว.นครสวรรค์ เป็น ผกก.สภ.อ.โพทะเล จว.พิจิตร


สวัสดีครับ คุณเหยง

                            ผมได้แต่รับทราบเท่านั้น  ว่ามีชาวหอมีตำแหน่งใหญ่ขึ้น  ก็ยินดีด้วย  คงไม่มีผลกับผมใดๆ ทั้งสิ้น เพราะหมดภาระใดๆ  ที่จะไปเกี่ยวข้องแล้ว

                            ผมขออยู่แบบพอเพียง  เกี่ยวข้องกับบุคคลให้น้องลง

                            กำลังคิดเพื่อไม่ให้ยุ่งอยากใดๆ  ผมจะอุทิศร่างของผมภายหลังจากเสียชีวิตให้ โรงพยาบาลจุฬาฯ และบริจาคเงินสมทบเอาไว้ให้ด้วย  จะได้ไม่เดือดร้อนใครทั้งสิ้น  รวมทั้ง ดร.สุริยา  จะได้ไม่เหนื่อย

                            สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5896 เมื่อ: 08 เมษายน 2555, 21:29:12 »

สวัสดียามค่ำครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                           เย็นวันนี้ที่ผ่านมา ผมได้นั่งดู TV ถ่ายทอดสดงานบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ จนจบรายการ

                           พรุ่งนี้ช่วงเช้าคงได้ติดตามรายการถ่ายทอดสดต่อ  แต่คงไม่มาก เพราะจะต้องไปสิงห์บุรี ภายหลังจากใสาบาตรพระที่หน้าบ้านเสร็จ และตอนบ่ายมีนัดเพื่อไปควบคุมการทำคอนสะปันที่โรงงาน PSTC ซึ่งนัดกับคุณดิเรกเอาไว้แล้ว  ตอนนัดนั้น ลืมสนิทเลยว่ามีงานพระราชพิธีออกพระเมรุ  ไม่เป็นไรคงติดตามฟังรายงานสดจากทางวิทยุแทน ขณะขับรถ   เพราะนัดกันเอาไว้แล้ว  คงจะต้องหาเทปดูเอาภายหลังครับ

                           ผมคิดเอาเองว่างานรดน้ำดำหัวที่หอพักยังคงจัดตามเดิม เพราะ รศ.ประกายแก้ว  ไม่ได้โทรศัพท์มายกเลิก 

                           ส่วนผมนั้นต้องรดน้ำดำหัวพี่พงษ์ศักดิ์ และฉลองวันเกิดพี่พงษ์ศักดิ์ ที่โรงงาน PSTC ก่อนจึงจะกลับ กทม.ไปร่วมงานที่หอพักตอนเย็นได้ครับ

                            อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่ผมต้องเดินทางไกลอีกอาทิตย์หนึ่ง  ตอนนี้ร่างกายเป็นปกติดี  คงไม่เป็นอะไรเพียงแต่นอนน้อยไปหน่อยเท่านั้น  ทำอย่างไรได้จิตมาตื่นให้ปฏิบัติธรรม

                            ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5897 เมื่อ: 08 เมษายน 2555, 21:32:53 »






                            พรุ่งนี้ตั้งแต่เวลา 07:00 น. เป็นต้นไป ทุกท่านที่มีเวลาอย่าลืมดู TV งานออกพระเมรู ครับ

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #5898 เมื่อ: 08 เมษายน 2555, 21:35:35 »

พี่สิงห์ครับ

ใหญ่โตแค่ไหน วันที่อายุครบ 60 ก็ต้องถูกคัดออก(กำหนดที่ 30 ก.ย.) เพราะหมดอายุขัยทางราชการ
คิดเพียงว่า หากได้ผ่านไป คงมีโอกาสแวะเยี่ยมเยียน ทักทายกัน ตามประสาเพื่อน คนรู้จักกันครับ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5899 เมื่อ: 08 เมษายน 2555, 21:44:26 »

คนเก่งจึงมุ่งเข้าเรียนนิติกันมาก เพราะเกษียณ 70
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
  หน้า: 1 ... 234 235 [236] 237 238 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><