05 ตุลาคม 2567, 16:06:59
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 226 227 [228] 229 230 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3482302 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 54 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #5675 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 08:11:41 »


  มาส่งพี่สิงห์ไปเที่ยวมิลานค่ะ....

     ขอให้มีความสุข สนุกสนานปลอดภัยตลอดการเดินทางนะคะ

     เรื่องนกพิราบ นั้น ไม่อยากให้ใกล้ชิดมันมากนัก เพราะมันอาจมีเชื้อโรคร้ายแรงอยู่ที่ตัวและอึ
 
     เคยมีคนขี้สงสารเอามันมาเลี้ยงในบ้าน แล้วติดเชื้อ  ถึงตายนะคะ..

    ทำเอาไม่ชอบนกนี้เลย แถวบ้านมีเยอะ...ทำบ้านสกปรกประจำ น่ารำคาญมากๆ.......

    .............รอชมภาพอิตาลีนะคะ...............
     

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5676 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 08:25:55 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                        ปกติเวลา 06:45 น. ผมจะเตรียมข้าว กับข้าว ขนม น้ำดื่มใส่ภาชนะพร้อมแล้วสำหรับการใสบาตร แต่พระ - เณร ท่านจะมาประมาณ 07:00 น. ไม่เกิน 07:10 น. ผมจะใช้เวลาที่รอคอยไปกับการเดินจงกรม ที่หน้าบ้าน (ต้องระวังให้มีความรู้สึกตัวว่าเรากำลังเดินจงกรม อย่าปล่อยให้จิตไปจมอยู่ในความคิด ในสิ่งที่เราพิจารณานั้น)

                        ขณะเดินจงกรมก็จะพิจารณา ตัวเราประกอบไปด้วย รูป - นาม รูปก็ประกอบด้วย ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมรวมกันด้วยเหตุ - ปัจจัย ประกอบขึ้นด้วยอวัยยวะ ๓๒ ประการ เป็นรูปแบบที่เราสมมติเรียกกันว่า "มนุษย์" และมีจิต หรืออารมณ์ที่เรียกว่า นาม ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  ไม่มีสิ่งใดที่แสดงว่าเป็นตัวตนของเราเลย(เพราะเราไม่สามารถสั่งการ ควบคุม รูป - นามของเราได้) มีแต่สิ่งที่แสดงเป็นอัตตาคือ สันดาน หรือเจตสิก เท่านั้น ซึ่งก็ไม่มีตัวตนเช่นกัน ดังนั้น อย่าไปยึดมั่นถือมั่นอะไรเลย ทุกอย่างที่ปรากฏเป็นเพียงอารมณ์จากเจตสิกเท่านั้น

                        นอกจากนี้จะพิจารณาว่า การเกิด  แก่  เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องธรรมดาที่พึงเกิดขึ้นด้วยเหตุ - ปัจจัย ที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มันย่อมเกิดกับเราได้ไม่ช้าก็เร็ว  ดังนั้นต้องอยู่ด้วยความไม่ประมาท ชีวิตที่เกิดในชาตินี้จะได้ไม่เป็นหมันตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน ถ้าเราระวังเหตุ - ปัจจัย นั้นด้วยความไม่ประมาท เราจะมีชีวิตที่ดียืนยาว สงบพอสมควร

                        นอกจากนี้จะพิจารณาว่า ทุกสิ่งทีรับรู้ด้วยอารมณ์(จิต) นั้น มันเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง(อนิจจัง) เป็นทุกข์(ทนอยู่ไม่ได้) และมันไม่มีตัวตนเป็นอนัตตา ความคิดปรุงแต่งจากเจตสิกนั้น มันเกิดขึ้น  ตั้งอยู่  ดับไปของมันเองขอเพียงเรามีขันติอยู่กับอุเบกขา เท่านั้น

                        นอกจากนี้ก็พิจารณาว่า เราหนีกรรม(การกระทำ)ของตนเองไปไม่พ้น เราทำกรรมอะไรไว้ ย่อมได้ผลรับแห่งกรรมนั้นเสมอ ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว  เรายังต้องชดใช้กรรมที่เคยได้กระทำเอาไว้ในชาติที่ผ่านมา  ชาตินี้ยังต้องรับกรรมนั้นให้หมดไป

                        และเพิ่มมรณสติ ว่าความตายย่อมบังเกิดกับเราเสมอ ได้ทุกวินาที พึงเตรียมพร้อมด้วยความไม่ประมาท หมดกังวล มีสติ พร้อมที่จะตายได้ทุกเมื่อ

                        พระ - เณร จะมาให้ใส่บาตรพอดี  นอกจากนี้ร่างกายก็ได้รับอนิสงฆ์ คือ แข็งแรง

                        อย่าลืมเช้านี้ ทำจิตให้ขาวรอบ ปราศจากธุลี ครับ

                        "ไม่มีต้นโพธิ์  ไม่มีกระจก  แล้วฝุ่นมันจะเกาะได้อย่างไร !"

                        สวัสดี

                        

  
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5677 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 08:30:56 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 15 มีนาคม 2555, 08:11:41

  มาส่งพี่สิงห์ไปเที่ยวมิลานค่ะ....

     ขอให้มีความสุข สนุกสนานปลอดภัยตลอดการเดินทางนะคะ

     เรื่องนกพิราบ นั้น ไม่อยากให้ใกล้ชิดมันมากนัก เพราะมันอาจมีเชื้อโรคร้ายแรงอยู่ที่ตัวและอึ
 
     เคยมีคนขี้สงสารเอามันมาเลี้ยงในบ้าน แล้วติดเชื้อ  ถึงตายนะคะ..

    ทำเอาไม่ชอบนกนี้เลย แถวบ้านมีเยอะ...ทำบ้านสกปรกประจำ น่ารำคาญมากๆ.......

    .............รอชมภาพอิตาลีนะคะ...............
     



สวัสดีค่ะ คุณน้องอ้อย ที่รัก

                             นกพิราบนั้น พี่สิงหืก็คิดเช่นเดียวกับเธอ ครับ

                             กรรมการวัดพระนอนเคยถามผมว่าจะทำอย่างไรดีกับนกพิราบ  ผมก้บอกว่า ฆ่ากฌบาป เอาอย่างนี้ จากการที่ดูสารคดีต่างประเทศ ทดลองแล้วได้ผล  คือทำบ้านให้มันอยู่อย่างปลอดภัย และดีด้วยปัจจัยต่าง ๆ ที่มันชอบ แต่ต้องเก็บไข่มันทุกวันเอาไปทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องฟัก มันก็จะสูญพันธ์ไปเอง

                             ขอบคุณมากที่มาส่ง พี่สิงห์ยังต้องไปทำงานที่นครศรีธรรมราชอยู่ครับ ไปอิตาลีวันอาทิตย์ค่ำ  พี่สิงห์ ยังเก็บหลวงพ่อทวด ที่เอาติดตัวไปจาริกแสวงบุญที่อินเดียที่ผ่านมา เอาไว้ให้ เจอหน้าให้ทวง ครับ

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5678 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 08:33:32 »



ตอนที่ ๑

ระลึกถึงความตายสบายนัก

            สำหรับคนทั่วไป  ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับความตาย  เพราะความตายไม่เพียงพรากเราไปจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารักและหวงแหนเท่านั้น  หากยังนำมาซึ่งความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างยิ่งยวดก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดไป  ความตายที่ไม่เจ็บปวดจึงเป็นยอดปราถนาของทุกคนรองลงมาจากความปราถนาที่จะเป็นอมตะ  แต่ความจริงที่เที่ยงแท้แน่นอนก็คือเราทุกคนต้องตาย

            ความตายเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็จริง  แต่ใครบ้างที่ยอมรับความจริงข้อนี้ได้  ด้วยเหตุนี้ผู้คนเป็นอันมากจึงพยายามหนีความตายออกไปให้ไกลที่สุด  ขณะเดียวกันก็พยายามไม่นึกถึงมัน  โดยทำตัวให้วุ่น  หาไม่ก็ปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับความสุขและการเสพ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือมีชีวิตราวกับลืมตาย  ดังนั้นจึงไม่พอใจหากมีใครพูดถึงความตายให้ได้ยิน  ถือว่าเป็นอัปมงคล คำว่า “ความตาย” กลายเป็นคำอุจาดที่แสลงหู  ต้องเปลี่ยนไปใช้คำอื่นที่ฟังดูนุ่มนวล เช่น  “จากไป”  หรือ  “สิ้นลม”

            ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะต้องตายไม่ช้าก็เร็ว  แต่แทนที่จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า  คนส่วนใหญ่เลือกที่จะ   “ไปตายเอาดาบหน้า”  คือ  ความตายมาถึงเมื่อไร  ค่อยว่ากันอีกที  แต่วันนี้ขอสนุกหรือขอหาเงินก่อน  ผลก็คือเมื่อความตายมาปรากฏอยู่เบื้องหน้า  จึงตื่นตระหนก  ร่ำร้อง  ทุรนทุราย  ต่อรอง  ผัดผ่อน  ปฏิเสธ  ผลักไสไขว่คว้าขอความช่วยเหลือ  แต่ถึงตอนนั้นก็ยากที่จะมีใครช่วยเหลือได้  เตรียมตัวเตรียมใจเพียงใด  ก็ได้รับผลเพียงนั้น  ถ้าเตรียมมามากก็ผ่านความตายได้อย่างสงบราบรื่น  ถ้าเตรียมมาน้อยก็ทุกข์ทรมานแสนสาหัสกว่าจะหมดลม  หากความตายเปรียบเสมือนการสอบ  ก็เป็นการสอบที่ยุติธรรมอย่างยิ่ง

            จะว่าไปชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็คือโอกาสสำหรับการเตรียมตัวสอบครั้งสำคัญนี้  สิ่งที่เราทำมาตลอดชีวิตล้วนมีผลต่อการสอบดังกล่าว  ไม่ว่าการคิด  พูด  หรือทำดีก็ตาม  ชั่วก็ตาม  การกระทำแม้เพียงเล็กน้อยไม่เคยสูญเปล่าหรือเป็นโมฆะ  ที่สำคัญก็คือการสอบดังกล่าวมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น  ไม่มีการแก้ตัวหรือสอบซ่อม  หากสอบพลาดก็มีความทุกข์ทรมานเป็นผลพวงจนสิ้นลม

            ความตายเป็นสิ่งหน้ากลัวสำหรับผู้ใช้ชีวิตอย่างลืมตายหรือคิดแต่จะไปตายเอาดาบหน้า  แต่จะไม่น่ากลัวเลยสำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมมาอย่างดี  อันที่จริงถ้ารู้จักความตายอยู่บ้าง  ก็จะรู้ว่าความตายนั้นมิใช่เป็นแค่  “วิกฤต”  เท่านั้น  แต่ยังเป็น  “โอกาส”  อีกด้วย  กล่าวคือเป็นวิกฤตในทางกาย  แต่เป็นโอกาสในทางจิตวิญญาณ  ในขณะที่ร่างกายกำลังแตกดับ  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  กำลังเสื่อมสลาย  หากวางใจได้อย่างถูกต้อง  ก็สามารถพบกับความสงบ  ทุกขเวทนาทางกายมิอาจบีบคั้นบั่นทอนจิตใจได้  มีผู้คนเป็นจำนวนมากได้สัมผัสกับความสุขและรู้สึกโปร่งเบาอย่างยิ่งเมื่อป่วยหนักในระยะสุดท้าย  เพราะความตายมาเตือนให้เขาปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ  ที่เคยแบกยึดเอาไว้  หลายคนหันเข้าหาธรรมะจนค้นพบความหมายของชีวิตและความสุขที่แท้  ขณะที่อีกหลายคนเมื่อรู้ว่าเวลาเหลือน้อยแล้วก็หันมาคืนดีกับคนรักจนไม่เหลือสิ่งค้างคาใจใด ๆ  และเมื่อความตายมาถึง  มีคนจำนวนไม่น้อยที่จากไปอย่างสงบ  โดยมีสติรู้ตัวกระทั่งนาทีสุดท้าย  ยิ่งไปกว่านั้น  มีบางท่านที่เห็นแจ้งในสัจธรรมจากทุกขเวทนาอันแรงกล้าที่ปรากฏเฉพาะหน้า  จนเกิดปัญญาสว่างไสว  และปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง  บรรลุธรรมขั้นสูงได้ในขณะที่หมดลมนั้นเอง

            สำหรับผู้ใฝ่ธรรม  ความตายจึงมิใช่ศัตรู  หากคือครูที่เคี่ยวเข็ญให้เราดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง  คอยกระตุ้นเตือนให้เราอยู่อย่างไม่ประมาท  และไม่หลงเพลิดเพลินกับสิ่งที่มิใช่สาระของชีวิต  ขณะเดียวกันก็สอนแล้วสอนเล่าให้เราเห็นแจ้งในสัจธรรมของชีวิต  ว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้  ไม่มีอะไรน่ายึดถือ  และไม่มีอะไรที่ยึดถือเป็นของเราได้เลยแม้แต่อย่างเดียว  ยิ่งใกล้ความตายมากเท่าไร  คำสอนของครูก็ยิ่งแจ่มชัดและเข้มข้นมากเท่านั้น  หากเราสลัดความดื้อดึงได้ทันท่วงที  นาทีสุดท้ายของเราจะเป็นนาทีที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง  เพราะสามารถนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้  ท่านพุทธทาสภิกขุเรียกนาทีนั้นว่า  “นาทีทอง”
   
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5679 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 09:23:11 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               มีอยู่ ๕ ประการที่บังเกิดขึ้นกับผมเสมอ จนเป็นเรื่องปกติสำหรับผม คือ

                               ประการที่ ๑ เวลาประสพกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ จากผลของการกระทำจากคนอื่น ที่จะทำให้เรา โกรธ  จิตหวั่นไหวจะแสดงออก นั้น จะมีสิ่งที่เกิดขึ้นทันทีมาเตือนผมคือ การมีสติ(รู้สึกตัว) ว่า คนเรานั้นคิดไม่เหมือนกัน เขาไม่คิด-ทำแบบเรา เราก็ไม่คิด-ทำแบบเขา จงปล่อยวางมันเถิด เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง มันเป็นเพียงอารมณ์ของเราที่แปรปรวนไปจากตาเห็นรูป  หูได้ยิน  จมูกได้ดมกลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้สัมผัส ปล่อยใจนึกคิด เท่านั้น ขันติดีที่สุด ไม่มีใครเดือดร้อนแม้แต่ตัวเรา คือสำรวมกาย วาจา ใจ ให้เป็นปกติอยู่เป็นนิจ

                               ประการที่ ๒ ทุกขณะที่ตื่น จะเตือน ตัวเองเสมอว่า จะต้องสร้างความรู้สึกตัว  ระลึกได้เสมอว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ในอิริยาบถขณะนั้น ไม่ปล่อยใจนึกคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ถ้าจะคิดต้องคิดด้วยความรู้สึกตัวในอิริยาบถที่กำลังกระทำ  ไม่ปล่อยจิตคิดกังวลไปในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ไม่ปล่อยจิตคิดไปในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว มันไม่มีประโยชน์ไม่สามารถเรียกเวลาย้อนกลับได้  ผมถึงบอกว่า การมีสติรู้ตัวตลอดเวลานั้น ยากก็ยาก  ง่ายก็ง่าย ครับ

                               ประการที่ ๓ ทุกขณะเมื่อประสพกับสิ่งที่ไม่รัก ไม่ชอบ ผมจะคิดเสมอว่า ทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุ - ปัจจัย ทั้งสิ้น มันไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้  ต้องหาสาเหตุนั้นให้พบ และแก้ด้วยการกระทำที่ตรงกันข้ามกับสาเหตุนั้นเสมอ

                               ประการที่ ๔ ทุกขณะ จะพิจารณาเสมอเมื่อประสพกับทุกข์(สิ่งที่ทนไม่ได้  ตนเองไม่ชอบ มันเป็นอารมณ์ของเราที่จะปรุงแต่ง และให้รูปกระทำตามที่จิตนึกคิด) ว่าทุกข์นั้น พระพุทธองค์ท่านทรงสอนให้มีไว้ให้เห็น ให้รับรู้ มันเป็นเพียงอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเราทางกาย จิต แต่อย่าไปเป็นทุกข์เสียเอง  หาเหตุ - ปัจจัยที่เกิดนั้นให้พบ แล้วแก้ที่ต้นเหตุแห่งการเกิดทุกข์นั้น

                               ประการที่ ๕  เรื่องของคนอื่น จงอย่าไปรับรู้ รับทราบเลย ทุกข์เปล่า ๆ ยกเว้นเรื่องที่มีผลกระทบกับตัวเรา  จงระวังรักษากาย วาจา ใจ  ของเราเอาไว้ให้ดีอยู่เป็นนิจเท่านั้นเป็นพอ  เรื่องไม่ดีก็จะไม่บังเกิดขึ้นกับเรา

                               การระลึกตัวได้ในอิริยาบถทุกลมหายใจนั้น เป็นสิ่งที่ดี  จิตปกติ  ไม่คิด  เวลามันจะหายไปอย่างรวดเร็วไม่รู้ตัวเลย และที่สำคัญเอาความระลึกได้นั้น มาพิจารณาธรรมชาติแห่งกาย - ใจ ของเรา ด้วยเหตุ - ปัจจัย นี่ละ จะพบความจริงแห่งธรรม ที่เราต้องการ

                               สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #5680 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 09:38:53 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 15 มีนาคม 2555, 08:30:56
อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 15 มีนาคม 2555, 08:11:41

  มาส่งพี่สิงห์ไปเที่ยวมิลานค่ะ....

     ขอให้มีความสุข สนุกสนานปลอดภัยตลอดการเดินทางนะคะ

     เรื่องนกพิราบ นั้น ไม่อยากให้ใกล้ชิดมันมากนัก เพราะมันอาจมีเชื้อโรคร้ายแรงอยู่ที่ตัวและอึ
 
     เคยมีคนขี้สงสารเอามันมาเลี้ยงในบ้าน แล้วติดเชื้อ  ถึงตายนะคะ..

    ทำเอาไม่ชอบนกนี้เลย แถวบ้านมีเยอะ...ทำบ้านสกปรกประจำ น่ารำคาญมากๆ.......

    .............รอชมภาพอิตาลีนะคะ...............
     



สวัสดีค่ะ คุณน้องอ้อย ที่รัก

                             นกพิราบนั้น พี่สิงหืก็คิดเช่นเดียวกับเธอ ครับ

                             กรรมการวัดพระนอนเคยถามผมว่าจะทำอย่างไรดีกับนกพิราบ  ผมก้บอกว่า ฆ่ากฌบาป เอาอย่างนี้ จากการที่ดูสารคดีต่างประเทศ ทดลองแล้วได้ผล  คือทำบ้านให้มันอยู่อย่างปลอดภัย และดีด้วยปัจจัยต่าง ๆ ที่มันชอบ แต่ต้องเก็บไข่มันทุกวันเอาไปทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องฟัก มันก็จะสูญพันธ์ไปเอง

                             ขอบคุณมากที่มาส่ง พี่สิงห์ยังต้องไปทำงานที่นครศรีธรรมราชอยู่ครับ ไปอิตาลีวันอาทิตย์ค่ำ  พี่สิงห์ ยังเก็บหลวงพ่อทวด ที่เอาติดตัวไปจาริกแสวงบุญที่อินเดียที่ผ่านมา เอาไว้ให้ เจอหน้าให้ทวง ครับ

                             สวัสดี



     ขอบคุณค่ะ...เจอหน้าพี่สิงห์จะไม่ลืมทวงแน่ๆค่ะ....

     ขอให้เดินทางอย่างสนุกและปลอดภัยนะคะ......

     ข่าวความเป็นมือกาวของคนอิตาลีนี่มันดังมากๆเลยนะคะ

      พี่สิงห์ควรหากระเป๋าเป้ แบบที่สะพายไว้ข้างหน้าได้นะคะ จะได้อุ่นใจ..
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5681 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 10:51:48 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องต้อย ที่รัก

                            เรื่องการพิจารณาปล่อยวางนั้น  ไม่ต้องไปกังวลกับมัน เพราะมันไม่มีตัวตน  หาไม่พบ  ขอเพียงมีสติระลึกได้เสมอ และถ้าจะให้ดีให้พิจารณาทั้ง ๕ ประการที่พี่สิงห์กล่าวมาข้างต้นนั้น ให้มันเกิดขึ้นเป็นปกติอยู่กับเรา การปล่อยวางมันเกิดขึ้นของมันเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเรียกหาทั้งสิ้น

                           ช่วยนำสิ่งนี้ไปบอกพี่สาว  บอกคุณแม่ จะเป็นมงคลอย่างยิ่งครับ

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5682 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 11:04:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 15 มีนาคม 2555, 09:38:53
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 15 มีนาคม 2555, 08:30:56
อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 15 มีนาคม 2555, 08:11:41

  มาส่งพี่สิงห์ไปเที่ยวมิลานค่ะ....

     ขอให้มีความสุข สนุกสนานปลอดภัยตลอดการเดินทางนะคะ

     เรื่องนกพิราบ นั้น ไม่อยากให้ใกล้ชิดมันมากนัก เพราะมันอาจมีเชื้อโรคร้ายแรงอยู่ที่ตัวและอึ
 
     เคยมีคนขี้สงสารเอามันมาเลี้ยงในบ้าน แล้วติดเชื้อ  ถึงตายนะคะ..

    ทำเอาไม่ชอบนกนี้เลย แถวบ้านมีเยอะ...ทำบ้านสกปรกประจำ น่ารำคาญมากๆ.......

    .............รอชมภาพอิตาลีนะคะ...............
     



สวัสดีค่ะ คุณน้องอ้อย ที่รัก

                             นกพิราบนั้น พี่สิงหืก็คิดเช่นเดียวกับเธอ ครับ

                             กรรมการวัดพระนอนเคยถามผมว่าจะทำอย่างไรดีกับนกพิราบ  ผมก้บอกว่า ฆ่ากฌบาป เอาอย่างนี้ จากการที่ดูสารคดีต่างประเทศ ทดลองแล้วได้ผล  คือทำบ้านให้มันอยู่อย่างปลอดภัย และดีด้วยปัจจัยต่าง ๆ ที่มันชอบ แต่ต้องเก็บไข่มันทุกวันเอาไปทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องฟัก มันก็จะสูญพันธ์ไปเอง

                             ขอบคุณมากที่มาส่ง พี่สิงห์ยังต้องไปทำงานที่นครศรีธรรมราชอยู่ครับ ไปอิตาลีวันอาทิตย์ค่ำ  พี่สิงห์ ยังเก็บหลวงพ่อทวด ที่เอาติดตัวไปจาริกแสวงบุญที่อินเดียที่ผ่านมา เอาไว้ให้ เจอหน้าให้ทวง ครับ

                             สวัสดี



     ขอบคุณค่ะ...เจอหน้าพี่สิงห์จะไม่ลืมทวงแน่ๆค่ะ....

     ขอให้เดินทางอย่างสนุกและปลอดภัยนะคะ......

     ข่าวความเป็นมือกาวของคนอิตาลีนี่มันดังมากๆเลยนะคะ

      พี่สิงห์ควรหากระเป๋าเป้ แบบที่สะพายไว้ข้างหน้าได้นะคะ จะได้อุ่นใจ..


                     
                       วันนี้พี่สิงห์ ไปแลกเงิน URO เพียง ๔๐๐ ยูโร เอาไว้ติดกระเป๋า

                      ไม่ซื้ออะไรทั้งสิ้น จะกิน ซื้อนิด ๆหน่อยๆ นั้นทาง SIW จะออกให้ทั้งหมด

                       นอกจากกระเป๋าลองชอม มาฝากหลานสักสองใบ 

                       ตัวเองคงหาเสื้อ AC Milan สักตัว

                       และไวน์ดี ๆ มาฝากพี่วิชัย  คุณสุดสาคร และคุณพอล ก้วนกอล์ฟวันอาทิตย์

                       จะระวังตัวเรื่องกระเป๋าเงิน ตามที่เตือน

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5683 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 11:20:23 »


                             สำหรับหัวใจของพุทธศาสนา แก่นพระพุทธศาสนา พุทธพจน์ หลักธรรมต่าง ๆ พุทธประวัติ ประวัติพุทธสาวกพระอรหันต์ ที่กล่าวไว้ในประไตรปิฎก ฉบับประชาชนนั้น มันอยู่ในสายเลือด และเอาออกมาใช้งานเสมอ เวลาที่จำเป็นต้องใช้ และทบทวนอยู่เป็นนิจ

                             นั่นแหละชีวิตของผม ที่อยู่ ณ ปัจจุบัน เรื่องอื่น ๆ เป็นเรื่องรอง  ไม่มีอะไรต้องกระทำ ไม่มีอะไรต้องกังวล หรือแบกไว้ แบบ ดร.สุริยา  อีกแล้ว ทำเพียงเพื่อให้มีอะไรทำ  มีรายได้พออยู่ได้แบบพอเพียง เท่านั้น

                             ผมไม่ต้องการอะไรมากกว่าที่เป็นอยู่อีกแล้ว  จะตายเมื่อไรก็ได้ หมดกังวล หมดห่วง  ยกเว้นแม่ที่เป็นความรับผิดชอบ ที่ต้องดูแลท่าน  จนกว่าท่านจะจากไป

                            ขออยู่อย่างไม่ประมาท  ไม่ทำความเดือดร้อนกับใคร  ระวังตัวเองเป็นหลักในกาย วาจา  ใจ  ระลึกอยู่เสมอ มันก็ไม่คิด เมื่อไม่คิด มีแต่ความปกติ  ก็ไม่ทุกข์  ฆ่าเวลาไปวันหนึ่ง ๆ

                            เรื่องไปอิตาลี ก็ถือว่าไปทำงานคอยช่วยดูแลลูกค้า ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ที่พนักงานให้ความเคารพ ไม่ไปเขาก็จะว่าได้  แต่ถ้าเลือกได้ ปีหน้าคงขอไม่ไปครับ  พอไม่ไปก็จะมีบรรดาลูกค้าถามทาง SIW ว่าอาจารย์มานพ  ไปไหน  ดังนั้น ครั้งนี้ ไปให้เห็นหน้า

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #5684 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 14:06:39 »


    พี่สิงห์คะ......

   อย่างพี่สิงห์ไม่ใช่แค่พอเพียงค่ะ...พี่น่ะมีเกินพอแล้วด้วยซ้ำ

   น่าจะมีพอดูแลพี่ป๋องได้ด้วยซ้ำไป....นะ...อ้อยว่า...อิอิ........
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5685 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 14:27:37 »

ท่านประธานครับ ผมถูกพาดพิง
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369

« ตอบ #5686 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 19:03:37 »

ท่านประธานไม่แข็ง .. อิฉันไม่ยอม (จำมาจากรัฐสภาไทย)    เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า

.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5687 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 20:02:19 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 15 มีนาคม 2555, 14:27:37
ท่านประธานครับ ผมถูกพาดพิง

ดร.สุริยา

                    สงกรานต์นี้ อย่าลืม ทำบุญกระดูกให้คุณพ่อ - คุณแม่ มันเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่ดีของไทยมาแต่โบราณ กาลสมควรที่เราจะได้รักษาเอาไว้  ให้คนรุ่นหลังได้เอาเยี่ยงอย่าง และเป็นการระลึกถึงบุญคุณของท่านที่เลี้ยงเรามา  ถึงท่านจะจากไปนานแล้ว แต่ท่านก็ยังอยู่ในใจเรา เสมอ

                    และปีนี้ผมขอเป็นเจ้าภาพก็แล้วกัน  ปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ไปร่วมงานมาครั้งหนึ่งแล้ว  เอาเป็นวันอาทิตย์ตอนเพล  กำหนดวันมาก็แล้วกัน

                    สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5688 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 20:12:29 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 15 มีนาคม 2555, 14:06:39

    พี่สิงห์คะ......

   อย่างพี่สิงห์ไม่ใช่แค่พอเพียงค่ะ...พี่น่ะมีเกินพอแล้วด้วยซ้ำ

   น่าจะมีพอดูแลพี่ป๋องได้ด้วยซ้ำไป....นะ...อ้อยว่า...อิอิ........

                  
                      ดร.สุริยา  มีที่นาสามสิบกว่าไร่  มีงานออกแบบจนทำไม่ทันมาหลายปีแล้ว  สำหรับพี่สิงห์  มีแต่รายจ่าย มากกว่ารายรับที่ต้องดูแล เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่จบแล้ว เป็นมนุษย์เงินเดือน เป็นแต่ผู้ให้  ถึงมันจะสายก็ไม่ได้กังวลทั้งสิ้น  คนเราตัวคนเดียวในชีวิตที่เหลือจะกินอะไรหนักหนา  พูดความจริงไม่มีใครเชื้อทั้งๆ ที่ถือศีล ๕ และ ๘ ก็ไม่เป็นไร เรารู้ตัวของเราดี  การอยู่อย่างพอเพียง  ไม่ได้ทำให้เราด้อยลงไปเลย  จิตใจเรากลับดีขึ้นด้วยซ้ำ  ไม่หลงอยู่กับบริโภคนิยม  ตามที่หลวงพ่อไพศาล  ท่านชอบเอามาอ้างสำหรับคนรุ่นใหม่

                       ได้บอกพี่สาวมาหลายปีแล้วว่าให้เก็บเงินเอาไว้บ้าง  ถ้าบวชคงไม่ได้ให้อีกแล้ว

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5689 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 20:17:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 15 มีนาคม 2555, 19:03:37
ท่านประธานไม่แข็ง .. อิฉันไม่ยอม (จำมาจากรัฐสภาไทย)    เหอๆๆ

สวัสดีค่ะ คุณน้องยาหยี ที่รัก

                              ศัพท์คำนี้ สำหรับพี่สิงห์ ไม่รู้เรื่องเลย เพราะไม่ได้ติดตามอะไรทั้งสิ้น ลอยแพมันไปหมดแล้ว  ขออยู่กับเรื่องของตัวเอง ตามหน้าที่  และสิ่งที่อยากจะกระทำเท่านั้น

                              เรียนอาจารย์ถาวร  โชติชื่น  ช่วยจัดการให้ด้วยก็แล้วกัน

                              ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5690 เมื่อ: 15 มีนาคม 2555, 21:16:59 »

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=e4vqZcIPVYk" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=e4vqZcIPVYk</a>

อุบาสกปี๊ด ให้คะแนน 10 จาก 10 / มัคนายกสิงห์ ว่าไง รบกวนวิจารณ์หน่อยครับ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5691 เมื่อ: 16 มีนาคม 2555, 07:51:47 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               ผมลืมไปเรื่องหนึ่งที่จะเรียนให้ทราบคือ สนามบินดอนเมืองถึงแม้จะเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ ๖ มีนาคม ที่ผ่านมาก็ตาม แต่ตัวทางวิ่งนั้นของสนามบินดอนเมืองกำลังบูรณะซ่อมแซมทั้งทางวิ่งและไฟฟ้า ยังใช้กสารไม่ได้ แต่ทางวิ่งที่เครื่องบินพาณิชย์ใช้อยู่นั้น ใช้ทางวิ่งของทหารอากาศ(บน. ๖) ซึ่งเขาซ่อมแซมเสร็จแล้ว เพราะถ้าไม่ซ่อม ทหารอากาศก็เป็นทหารที่ไม่มีที่ทำงาน คือสนามบิน ครับ

                               อากาศที่นครศรีธรรมราช แดดจัด ร้อน  อบอ้าว  ฝนไม่ตก  ลมไม่แรง  ไม่เหมาะกับผมเลย  ต้องระวังเป็นหวัดแดด  ถึงอย่างไรผมก็จำเป็นต้องออกกำลังกายทั้งเช้า - เย็น

                               อาทิตย์นี้แขกที่มาพักโรงแรม ไม่มากเท่าไร กำลังพอดี สำหรับผม คือไม่พลุกพล่าน

                               เมื่อเช้ามีเพื่อนมาเดินออกกำลังกาย วิ่ง สามท่าน  ผมเห็นตั้งใจจะมาออกกำลังกาย ทาน้ำมันกันปวดเหมื่อย ท่าทางดี แต่ผลคือ วิ่ง เดิน เพียงสอง สามรอบก็เลิก เอาชนะใจตัวเองไม่ได้ มันเป็นอย่างนี้ แต่สำหรับผมประจำคือเช้า ๓๐ รอบ ต่อด้วย ชิกง โยคะ ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงสิบนาที เมื่อเย็นวานนั้น ๔๐ รอบ ต่อด้วย ชิกง โยคะ นั่งเจริญสติให้เหงื่อแห้ง  และซาวน่า  ใช้เวลาสองชั่วโมงสิบห้านาที

                                ผมถึงเคยเรียนให้ทราบมาแล้ว บุคคลที่จะออกกำลังกายได้สม่ำเสมอนั้น ต้องปฏิบัติธรรมมาก่อนแล้วหนึ่งถึงจะกระทำได้ หรือเพราะกลัวตายเป็นคำสั่งจากแพทย์ต้องออกกำลังกายหนึ่ง นอกนั้นรับรองทำไม่ได้ อย่างตัวอย่างที่เห็นเมื่อเช้านั้น ไม่ถึงห้า หรือสิบนาที มันเลยไม่ได้อะไรเลย  ทั้งๆที่มีเจตนาที่ดี

                                สำหรับผมเองยังสู้คุณดลนภา  ไม่ได้เลย ทุกครั้งที่ผมเห็นเธอจะวิ่งไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงต่อเนื่อง และออกกำลังยืดกล้าวเนื้อตามเครื่องเล่นต่าง ๆ อีกครึ่งชั่วโมง เธอจะมาก่อนหกโมงเช้า อาทิตย์ละไม่ต่ำกว่า ๓ วันที่ผมเห็น ครับ

                                เช้านี้อย่างลืมทำจิตให้ขาวรอบ สำรวมกาย วาจา  ใจ ให้เป็นปกติ ครับ

                                สวัสดี                       
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5692 เมื่อ: 16 มีนาคม 2555, 07:57:23 »




ตอนที่ ๒

ทำไมถึงกลัวตาย


              ความตายไม่ว่าจะหน้ากลัวอย่างไรในสายตาของคนทั่วไปก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวตาย  ความตายหากวัดที่การหมดลมหรือหัวใจหยุดเต้น  ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์  แต่ความกลัวตายนั้นสามารถหลอกหลอนคุกคามผู้คนนานนับปีหรือยิ่งกว่านั้น  ความกลัวเกิดขึ้นเมื่อไร  ก็ทุกข์เมื่อนั้น  จึงมีภาษิตว่า  “คนกล้าตายครั้งเดียว  แต่คนขลาดตายหลายครั้ง”  ความกลัวตายยังน่ากลัวตรงที่เป็นแรงผลักดันให้เราพยายามผลักไสความตายออกไปให้ไกลที่สุด  จนแม้แต่จะคิดถึง  เรียนรู้  หรือทำความรู้จักกับมัน  ก็ยังไม่กล้าทำ  เพราะเห็นความทุกข์เป็นศัตรู  ยิ่งเมื่อความตายมาอยู่ต่อหน้า  แทนที่จะยอมรับ  กลับปฏิเสธผลักไสสุดแรง  แต่เมื่อไม่สมหวังก็ยิ่งทุกข์  ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งผลักไส  ยิ่งผลักไสก็ยิ่งผิดหวัง  ผลคือความทุกข์เพิ่มพูนเป็นทวีคูณ  หารู้ไม่ว่า หากยอมรับความตาย  ความทุกข์ก็จะน้อยลงไปมาก  บางคนที่รู้ว่าเครื่องบินกำลังจะตก  รถกำลังพุ่งชนคันหน้าในชั่วไม่กี่วินาทีที่เหลืออยู่  ทำใจพร้อมรับความตายโดยดุษฎี ไม่คิดต่อสู้ขัดขืน  ปล่อยวางทุกอย่าง  กลับพบว่าจิตใจนิ่งสงบอย่างยิ่ง

              คนเรากลัวตายด้วยหลายสาเหตุ  กล่าวคือ  ความตายนอกจากจะมาพร้อมกับความเจ็บปวด  และทำให้เราพลัดพรากไปตลอดกาลจากบุคคลและสิ่งอันเป็นที่รักแล้ว  ความตายยังหมายถึงการสิ้นสุดโอกาสที่จะได้เสพสุข  ในยุคบริโภคนิยมซึ่งถือว่าการเสพสุขเป็นสุดยอดปราถนาของชีวิต  อย่าว่าแต่การหมดโอกาสที่จะได้ทำเช่นนั้นเลย  แม้เพียงการไม่สามารถที่จะเสพสุขอย่างเต็มที่  จะเป็นเพราะความชรา  ความเจ็บป่วย  ความพิการ  หรือความผันแปรของร่างกาย  (เช่น  เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ) ก็ตาม  ถือว่าเป็นทุกข์มหันต์อันยากจะทำใจได้

               อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า  แม้คนที่ไร้ญาติขาดมิตร  ยากจนแสนเข็ญ  และกำลังประสบทุกขเวทนาอย่างแรงกล้าเพราะป่วยหนักในระยะสุดท้าย จำนวนมากก็ยังกลัวตาย  ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นโอกาสเสพสุขแทบจะไม่มีเลย  ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ  ยังมีความหวังว่าจะหายป่วยและกลับไปเสพสุขใหม่  แต่อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะยังมีความหวงแหนในชีวิต  แม้สิ้นไร้ไม้ตอกเพียงใดก็ยังมีชีวิตเป็นสมบัติสุดท้ายที่อยากยึดเอาไว้อยู่

               มองให้ลึกกว่านั้นก็คือยังมีความยึดติดในตัวตน  แม้ไม่มีอะไรหลงเหลือในชีวิต  แต่ก็ยังมีตัวตนให้ยึดถือ  หากตัวตนดับสูญเสียแล้ว  จะมีอะไรทุกข์ไปกว่านี้  ในอดีตอิทธิพลทางศาสนาทำให้ผู้คนเชื่อว่าแม้หมดลมแล้ว  ตัวตนยังไม่ดับสูญ  หากยังสืบต่อในโลกหน้า  หรือมีสวรรค์เป็นที่รองรับ  จึงไม่หวาดกลัวความตายมากนัก  ตรงข้ามกับคนสมัยนี้  ซึ่งไม่ค่อยเชื่อในโลกหน้าหรือชีวิตหน้าแล้ว  ความตายจึงหมายถึงการดับสูญของตัวตนอย่างสิ้นเชิง  ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง  แต่สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่ามีอะไรหลังความตาย  ความตายก็ยังน่ากลัวอยู่นั่นเอง  เพราะไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน  อะไรที่เราไม่รู้  ดำมืด  ย่อมเป็นสิ่งที่น่ากลัวอยู่เสมอ

                ความไม่คุ้นชินเป็นสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผู้คนกลัวความตายกันมาก  ในปัจจุบันความตายถูกแยกออกไปจากชีวิตประจำวันจนแทบจะกลายเป็นสิ่งลี้ลับไป  ยามเจ็บป่วยก็เข้าโรงพยาบาล  และเมื่อป่วยหนักใกล้ตายก็ถูกพาเข้าห้องไอซียู  ผู้คนนับวันจะตายในที่มิดชิดโดยมีคนรับรู้เพียงไม่กี่คน  เมื่อตายแล้วก็ตั้งศพและทำพิธีกันในวัด  ซึ่งไกลหูไกลตาของผู้คนโดยเฉพาะในเมือง  ผิดกับในอดีตผู้คนเมื่อเจ็บป่วยก็รักษาพยาบาลกันที่บ้าน  เมื่อใกล้ตายก็มีเพื่อนบ้านมาดูใจกัน  ความตายเป็นเหตุการณ์สาธารณะที่คนทั้งชุมชนรับรู้ร่วมกัน  ครั้นตายแล้วก็ตั้งศพที่บ้าน  คนทั้งชุมชนมาช่วยงานกันขวักไขว่  ต่อเมื่อจะปลงศพ  จึงหามไปวัดหรือป่าช้า  มีคนทั้งชุมชนมาร่วมงานโดยพร้อมเพรียง  ก่อนเผายังมักมีการเปิดฝาโลงให้ผู้คนได้ดูและล้างหน้าศพเป็นครั้งสุดท้าย  สำหรับผู้คนที่เติบโตมาในวัฒนธรรมดังกล่าว  ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต  ที่รับรู้รับเห็นเป็นอาจิณตั้งแต่เกิดจนโต  จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัวมากนัก  ตรงข้ามกับวัฒนธรรมปัจจุบันซึ่งเห็นความตายเป็นปฏิปักษ์กับชีวิต  จึงพยายามปกปิดไม่ให้ผู้คนรู้เห็นมากนัก  ยกเว้นความตายของคนไกลตัวมาก ๆ  หากเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ  ก็อาจถูกแปรสภาพเป็น  “สินค้า”  เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของผู้คน  ดังที่มักปรากฏตามสื่อต่าง ๆ แต่สิ่งที่เห็นก็ยังเป็นแค่ภาพมากกว่าที่จะเป็นเหตุการณ์ที่ตนได้ร่วมรับรู้รับเห็นจริง ๆ


      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5693 เมื่อ: 16 มีนาคม 2555, 10:11:02 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 15 มีนาคม 2555, 21:16:59
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=e4vqZcIPVYk" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=e4vqZcIPVYk</a>

อุบาสกปี๊ด ให้คะแนน 10 จาก 10 / มัคนายกสิงห์ ว่าไง รบกวนวิจารณ์หน่อยครับ

เรียน ดร.สุริยา

                      ถ้าจะให้แสดงความเห็นนั้น

                      มันไม่ได้เข้าใจง่ายตามที่ได้ Presentation หรอก มันลึกซึ้งกว่านั้นมาก ขนาดพระพุทธองค์ยังทรงเตือนพระอานนท์ว่า อย่าอานนท์ ปฏิจจสมุปาบาท มันไม่ได้เข้าใจง่ายเพียงนั้น เวลาสอนพระพุทธองค์ยังต้องสอนออกมาในรูปของอริยสัจจ์ ๔ และ ศีล  สมาธิ  ปัญญา เลย

                      แสง เสียง ภาพ คงเป็นคนรุ่นใหม่คิด เน้นมากไป จนน่ารำคาญ ว่าที่จริงเน้นที่แสง เสียง หรือภาพ มากกว่าข้อธรรมะ ที่ต้องการสื่อให้ทราบกันแน่

                      ถ้านำไปเสนอให้คนที่ไม่เข้าใจปฏิจจสมุปาบาท ก็คงเป็นทำนองคุณรองรัตน์ แต่ไม่เข้าใจ  แต่สำหรับผมไม่มีอะไรใหม่ทั้งสิ้น และรู้สึกเฉยๆ เพราะเน้นเสียง แสง ภาพ เกินไป

                      จุดสุดท้ายของชีวิตในการปฏิบัติธรรม คือการปล่อยวาง  ไม่ยึดติดกับอะไรทั้งสิ้น แม้กระทั้งธรรมะ

                      สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5694 เมื่อ: 16 มีนาคม 2555, 10:20:34 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               เมื่อเช้า รศ.ประกายแก้ว  ได้โทรศัพท์มาถามว่า อยู่ที่ไหน ? ก็ได้ตอบไปว่าอยู่นครศรีธรรมราช  รศ.ประกายแก้ว บอกว่านึกว่าอยู่กรุงเทพฯ จะได้เรียนเชิญให้ไปร่วมงานของชมรมฯ ที่จะมีการส่งมอบงานจากประธานชมรมฯคุณวัฒนา ให้กับนายกสมาคมฯคนใหม่คุณราเมศวร์

                               รศ.ประกายแก้ว  ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น เพราะเข้าใจดีในเรื่องหน้าที่การทำงานของผม ไม่รบเร้าเพราะ รศ.ประกายแก้ว - คุณวัฒนา ปฏิบัติธรรม ไม่ยึดติดอะไรอยู่แล้ว และรู้ว่าจะทำอย่างไร  ไม่เคยบังคับอะไรผมเลยทั้งสิ้น

                               ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเงื่อนเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง  ถึงจุดหนึ่งก็ต้องปล่อยวาง ให้คนรุ่นใหม่ได้ทำ  ได้คิด  ตามความคิดของเขา  เราผู้เฒ่า  ได้แต่ติดตาม  สนับสนุน  ให้กำลังใจ  และช่วยเหลือบางโอกาสที่สามารถกระทำให้ได้  อย่าไปยึดติดอะไรเลย เหมือนกับสายน้ำ ความคิด มันมาถึงแล้วก็ผ่านไป เรียกกลับคืนมาก็ไม่ได้ธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งเป็นอดีตทันทีเมื่อคิดเสร็จ อย่าไปยึดติดมันเลย

                               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #5695 เมื่อ: 16 มีนาคม 2555, 11:22:01 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 16 มีนาคม 2555, 10:11:02
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 15 มีนาคม 2555, 21:16:59
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=e4vqZcIPVYk" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=e4vqZcIPVYk</a>

อุบาสกปี๊ด ให้คะแนน 10 จาก 10 / มัคนายกสิงห์ ว่าไง รบกวนวิจารณ์หน่อยครับ

เรียน ดร.สุริยา

                      ถ้าจะให้แสดงความเห็นนั้น

                      มันไม่ได้เข้าใจง่ายตามที่ได้ Presentation หรอก มันลึกซึ้งกว่านั้นมาก ขนาดพระพุทธองค์ยังทรงเตือนพระอานนท์ว่า อย่าอานนท์ ปฏิจจสมุปาบาท มันไม่ได้เข้าใจง่ายเพียงนั้น เวลาสอนพระพุทธองค์ยังต้องสอนออกมาในรูปของอริยสัจจ์ ๔ และ ศีล  สมาธิ  ปัญญา เลย

                      แสง เสียง ภาพ คงเป็นคนรุ่นใหม่คิด เน้นมากไป จนน่ารำคาญ ว่าที่จริงเน้นที่แสง เสียง หรือภาพ มากกว่าข้อธรรมะ ที่ต้องการสื่อให้ทราบกันแน่

                      ถ้านำไปเสนอให้คนที่ไม่เข้าใจปฏิจจสมุปาบาท ก็คงเป็นทำนองคุณรองรัตน์ แต่ไม่เข้าใจ  แต่สำหรับผมไม่มีอะไรใหม่ทั้งสิ้น และรู้สึกเฉยๆ เพราะเน้นเสียง แสง ภาพ เกินไป

                      จุดสุดท้ายของชีวิตในการปฏิบัติธรรม คือการปล่อยวาง  ไม่ยึดติดกับอะไรทั้งสิ้น แม้กระทั้งธรรมะ

                      สวัสดี

สวัสดี ครับ พี่สิงห์ และ สมาชิกทุกท่าน
ถูกพาด และ ถูกพิง เลย ต้องออกมาขยายความ พี่ป๋อง จั่วหัวข้อประหยัด คำ ไปนิด ความจริง 10 เต็ม 10 คือเนื้อหา ไม่ใช่
Presentation ได้คุยกับพี่ป๋อง ว่า " คนทั่วไป เข้าใจอยาก เพราะท่านเทศน์ เป็นขั้น Advance.... เป็นการสรุป /ในรายละเอียด
ของแต่ละ wording(หมวด) ต้องไปศึกษาขยายความเอาเอง แต่ ท่าน ครอบคลุม ตั้งแต่ ต้น จนจบ แล้ว ฟังได้ สบายๆ สำหรับ
ท่านที่ ได้ศึกษาธรรมะ มาที่ระดับหนึ่ง(วัดระดับยากเป็นส่วนบุคคล) ถ้าท่านไม่ประสงค์ที่จะไป สอน หรือ ไปบอกต่อ  กุญแจ
ประการสำคัญ คือ การพัฒนาจิตของตน ไปสู่  วิถีของการปล่อยวาง เท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่ว่างเปล่า.....สาธุ
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #5696 เมื่อ: 16 มีนาคม 2555, 11:53:46 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 15 มีนาคม 2555, 20:12:29
อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 15 มีนาคม 2555, 14:06:39

    พี่สิงห์คะ......

   อย่างพี่สิงห์ไม่ใช่แค่พอเพียงค่ะ...พี่น่ะมีเกินพอแล้วด้วยซ้ำ

   น่าจะมีพอดูแลพี่ป๋องได้ด้วยซ้ำไป....นะ...อ้อยว่า...อิอิ........

                  
                      ดร.สุริยา  มีที่นาสามสิบกว่าไร่  มีงานออกแบบจนทำไม่ทันมาหลายปีแล้ว  สำหรับพี่สิงห์  มีแต่รายจ่าย มากกว่ารายรับที่ต้องดูแล เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่จบแล้ว เป็นมนุษย์เงินเดือน เป็นแต่ผู้ให้  ถึงมันจะสายก็ไม่ได้กังวลทั้งสิ้น  คนเราตัวคนเดียวในชีวิตที่เหลือจะกินอะไรหนักหนา  พูดความจริงไม่มีใครเชื้อทั้งๆ ที่ถือศีล ๕ และ ๘ ก็ไม่เป็นไร เรารู้ตัวของเราดี  การอยู่อย่างพอเพียง  ไม่ได้ทำให้เราด้อยลงไปเลย  จิตใจเรากลับดีขึ้นด้วยซ้ำ  ไม่หลงอยู่กับบริโภคนิยม  ตามที่หลวงพ่อไพศาล  ท่านชอบเอามาอ้างสำหรับคนรุ่นใหม่

                       ได้บอกพี่สาวมาหลายปีแล้วว่าให้เก็บเงินเอาไว้บ้าง  ถ้าบวชคงไม่ได้ให้อีกแล้ว

                        สวัสดี


   พี่สิงห์คะ............


      พี่สิงห์ไม่ได้ไม่มีนะคะ....หลักทรัพย์เยอะแยะ  ทำบุญทำทานอีกตั้งเยอะ
      และยังมีบริจาคอีกมาก ..แถมไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ
      มนุษย์เงินเดือนอีกหลายสิบล้านคนยังไม่มีโอกาสเช่นพี่เลยนะคะ
      เชื่อเถิดว่า ถึงพี่บวช พี่ก็จะยังมีทรัพย์บริจาคอีกมาก ก็...พี่ทำบุญมาเยอะ บุญเก่าก็ไม่น้อย
      พี่ต้องไม่ลำบากแน่ๆ.....เชื่อหัวไอ้เรืองสิ...................อิอิ
     
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5697 เมื่อ: 16 มีนาคม 2555, 12:16:00 »

โปรแกรมทัวร์






      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5698 เมื่อ: 16 มีนาคม 2555, 12:29:38 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 16 มีนาคม 2555, 11:53:46
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 15 มีนาคม 2555, 20:12:29
อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 15 มีนาคม 2555, 14:06:39

    พี่สิงห์คะ......

   อย่างพี่สิงห์ไม่ใช่แค่พอเพียงค่ะ...พี่น่ะมีเกินพอแล้วด้วยซ้ำ

   น่าจะมีพอดูแลพี่ป๋องได้ด้วยซ้ำไป....นะ...อ้อยว่า...อิอิ........

                  
                      ดร.สุริยา  มีที่นาสามสิบกว่าไร่  มีงานออกแบบจนทำไม่ทันมาหลายปีแล้ว  สำหรับพี่สิงห์  มีแต่รายจ่าย มากกว่ารายรับที่ต้องดูแล เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่จบแล้ว เป็นมนุษย์เงินเดือน เป็นแต่ผู้ให้  ถึงมันจะสายก็ไม่ได้กังวลทั้งสิ้น  คนเราตัวคนเดียวในชีวิตที่เหลือจะกินอะไรหนักหนา  พูดความจริงไม่มีใครเชื้อทั้งๆ ที่ถือศีล ๕ และ ๘ ก็ไม่เป็นไร เรารู้ตัวของเราดี  การอยู่อย่างพอเพียง  ไม่ได้ทำให้เราด้อยลงไปเลย  จิตใจเรากลับดีขึ้นด้วยซ้ำ  ไม่หลงอยู่กับบริโภคนิยม  ตามที่หลวงพ่อไพศาล  ท่านชอบเอามาอ้างสำหรับคนรุ่นใหม่

                       ได้บอกพี่สาวมาหลายปีแล้วว่าให้เก็บเงินเอาไว้บ้าง  ถ้าบวชคงไม่ได้ให้อีกแล้ว

                        สวัสดี


   พี่สิงห์คะ............


      พี่สิงห์ไม่ได้ไม่มีนะคะ....หลักทรัพย์เยอะแยะ  ทำบุญทำทานอีกตั้งเยอะ
      และยังมีบริจาคอีกมาก ..แถมไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ
      มนุษย์เงินเดือนอีกหลายสิบล้านคนยังไม่มีโอกาสเช่นพี่เลยนะคะ
      เชื่อเถิดว่า ถึงพี่บวช พี่ก็จะยังมีทรัพย์บริจาคอีกมาก ก็...พี่ทำบุญมาเยอะ บุญเก่าก็ไม่น้อย
      พี่ต้องไม่ลำบากแน่ๆ.....เชื่อหัวไอ้เรืองสิ...................อิอิ
     
             
                        เชื่อก็เชื่อ !
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #5699 เมื่อ: 16 มีนาคม 2555, 13:58:06 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
 พอหรือเกินพอ หรือขาด
อยุ่ที่ need หรือ want รวมทั้งใจของเราค่ะ
ส่วนมากที่ไม่พอ เพราะ want ค่ะ
คนที่พอ need ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตค่ะ
 อย่างที่อร ซ่อมบ้านหมดไปหลายตังก็เพราะ want  ค่ะ
 ถ้าแค่ need ก็ไม่ต้องปูกระเบื้อง ล้างๆ ก็อยู่ได้ค่ะ
 
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 226 227 [228] 229 230 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><