03 กรกฎาคม 2567, 01:28:06
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 205 206 [207] 208 209 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3343137 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 10 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #5150 เมื่อ: 20 มกราคม 2555, 08:54:25 »

ถึงน้องหนิง
พี่เก็บหนังสือที่หนิงอยากได้ไว้ให้แล้ว
หนามากเพราะเป็นงานวิจัย แต่มีคุณค่าสูง
หนิงไปเมืองไทยบอกด้วย พี่จะได้นำไปให้

สำหรับบรรยากาศในงานพี่ป๋องที่พี่ยินดีเพราะ
น้องตุ๊กและน้องทิปปี้ร้องเพลงให้พี่ป๋อง
แต่ยืนห่างกันมาก
พี่ต้องเข้าไปเบียดเพื่อให้เขายืนชิดๆกัน
ภาพจึงปรากฏดังที่เห็น คิกๆๆๆ
      บันทึกการเข้า
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #5151 เมื่อ: 20 มกราคม 2555, 09:09:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ KUSON เมื่อ 20 มกราคม 2555, 08:47:42
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 19 มกราคม 2555, 20:59:14
               
                เช้าวันเสาร์ ที่นครศรีธรรมราช ผมคงมีโอกาสไปช่วย ดร.กุศล  บรรจุกระดูกพ่อ  ที่ฐานพระด้าน  ที่วัดพระธาตุ ก่อนกลับ กทม. ครับ
                 พรุ่งนี้ ผมต้องเดินทางไปนครศรีธรรมราช Boarding 06:00 น. ที่สุวรรณภูมิ
                /size]
ขอบคุณครับพี่สิงห์ ที่กรุณาช่วยผมอีกครั้ง ที่นครศรี
ผมออกเดินทางวันที่20 มก 55 เวลา15.10
สำหรับกำหนดการวันที่21 มกราคม55
ถึงวัดพระมหาธาตุเวลา 9.30 น.
ทำพิธีบรรจุอัฐิ เสร็จแล้วถวายสังฆทาน
พระ บังสกุล 4 รูป ถวายอาหารเป็นชุด เสร็จพิธีคิดว่าไม่เกิน10.30น.
ผมติดต่อช่างช่วยนิมนต์พระเรียบร้อยแล้วครับ 
ส่งใจไปร่วมพิธีด้วยน่ะคะพี่กุศล & พี่สิงห์
      บันทึกการเข้า
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #5152 เมื่อ: 20 มกราคม 2555, 10:03:41 »

อ้างถึง
ข้อความของ KUSON เมื่อ 20 มกราคม 2555, 08:54:25

สำหรับบรรยากาศในงานพี่ป๋องที่พี่ยินดีเพราะ
น้องตุ๊กและน้องทิปปี้ร้องเพลงให้พี่ป๋อง
แต่ยืนห่างกันมาก
พี่ต้องเข้าไปเบียดเพื่อให้เขายืนชิดๆกัน
ภาพจึงปรากฏดังที่เห็น คิกๆๆๆ

ผมก็เก็บความสงสัยไว้ตั้งนาน ... ว่าเกิดอะไรขึ้น กับพี่ กุศล ของกระผม ^_^
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5153 เมื่อ: 20 มกราคม 2555, 10:32:46 »

อ้างถึง
ข้อความของ KUSON เมื่อ 20 มกราคม 2555, 08:47:42
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 19 มกราคม 2555, 20:59:14
               
                เช้าวันเสาร์ ที่นครศรีธรรมราช ผมคงมีโอกาสไปช่วย ดร.กุศล  บรรจุกระดูกพ่อ  ที่ฐานพระด้าน  ที่วัดพระธาตุ ก่อนกลับ กทม. ครับ

                 พรุ่งนี้ ผมต้องเดินทางไปนครศรีธรรมราช Boarding 06:00 น. ที่สุวรรณภูมิ

                /size]

ขอบคุณครับพี่สิงห์ ที่กรุณาช่วยผมอีกครั้ง ที่นครศรี
ผมออกเดินทางวันที่20 มก 55 เวลา15.10
สำหรับกำหนดการวันที่21 มกราคม55
ถึงวัดพระมหาธาตุเวลา 9.30 น.
ทำพิธีบรรจุอัฐิ เสร็จแล้วถวายสังฆทาน
พระ บังสกุล 4 รูป ถวายอาหารเป็นชุด เสร็จพิธีคิดว่าไม่เกิน10.30น.
ผมติดต่อช่างช่วยนิมนต์พระเรียบร้อยแล้วครับ 


                 ได้สั่งให้รถที่โรงแรมไปรับที่สนามบิน ให้แล้ว วันนี้
                 พรุ่งนี้ รถจะมารับที่โรงแรม 08:30 น. เพื่อไปวัดพระธาตุ ครับ

                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5154 เมื่อ: 20 มกราคม 2555, 20:53:22 »

                     
                       ที่นครศรีธรรมราช เช้าฝนตก บ่ายฝนตก สลับกันเป็นช่วงๆ เวลาฝนมาจะมืดแบบพายุ ดำไปหมด แต่ลมไม่แรงครับ มืดมาทางทะเล เป็นแบบนี้ในหน้าฝน ปีนี้ฝนตากค่อนข้างมากกว่าทุกปี

                       สภาพทั่วไปก็เงียบเหงา แต่ในตัวเมืองมีการประดับโคมไฟต้อนรับตรุษจีนพอสมควร เพื่อให้รู้ว่าตรุษจีนมาถึงแล้ว เพราะคนในตัวเทศบาลก็เป็นคนจีนเสียส่วนใหญ่ครับ

                       พรุ่งนี้ได้เลิกงามยามดี มีโอกาสไปไหว้พระธาตุเสียทีหนึ่ง ปีที่ผ่านมาไม่ได้ไปไหวเลย  ส่วนพระพุทธสิหิงค์ คงไม่ได้ไหว้ เพราะเขาจะเปิดให้ประชานไปกราบเฉพาะเวลาราชการเท่านั้น ครับ

                       นัด ดร.กุศลไว้ 08:30 น. เดินทางไปวัดพระธาตุ

                       ได้โทรศัพท์ ไปถามคนดูแลแม่แล้ว  อาการยังทรงๆ เมื่อคืนแม่ไม่ได้นอนเลย ท้องมีอาการบวมมากขึ้น

                       วันนี้ผมได้บอกหลานชายไปว่า ให้ไปบอกพ่อด้วย "แม่กำลังรอคอยลูกชายคนกลางที่เป็นหมออยู่ ถ้าไม่ได้พบลูกๆ ครบทุกคน ท่านคงตายตาไม่หลับ ให้ไปบอกพ่อแบบนี้" แล้วแต่พ่อ  ปรากฏว่าหลายชายก็ไม่เข้าใจพ่อของเขาเหมือนกัน  หลายชายคนนี้ผมเป็นคนส่งเรียนจนจบบัญชี จุฬาฯ ส่วนศศินนั้นเขารับทุนเรียน  ปัจจุบันเขาออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาทางด้านการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ มีสำนักงานที่ตึกจามจุรีสะแควร์ สามย่าน

                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ

                 
      บันทึกการเข้า
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369

« ตอบ #5155 เมื่อ: 20 มกราคม 2555, 21:03:08 »


ยังติดตามข่าวอยู่ค่ะ  พี่สิงห์
   
      บันทึกการเข้า

.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5156 เมื่อ: 21 มกราคม 2555, 10:26:55 »










สวัสดีครับ คุณน้องยาหยี และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

              หกโมงเช้าที่พี่สิงห์ ไปเดินจงกรม รำชิกง และโยคะ อากาศกำลังดี มีเมฆมาก แต่ฝนยังไม่ตก  แต่เวลา 08:30 น. ที่จะต้องพา ดร.กุศล และพี่สาวไปวัดพระธาตุ ฝนตกหนัก แต่พอเดินทางไปถึงวัดพระธาตุ ฝนหยุดตก

              ได้ไปไหว้พระธาตู  ตรงกับวันไหว้ของชาวจีนพอดี  เช้านี้คนยังมาไม่มากเพราะฝนเพิ่งหยุดตก

               เสร็จแล้วได้ไปทำพิธี ไหว้พระ รับศีล  ฟังพระสวดมาติกา  บังสกุล  ถวายอาหาร  ผ้าบังสกุล ปัจจัย  พระให้พร เป็นเสร็จพิธี  หลังจากนั้นทางช่าง จะนำกระดูก คุณพ่อบัญญัติ   อิสดุลย์  พร้อมทั้งกระดูก หญ้า-ปู่ ตา-ยาย แม่ บรรจุ แต่ต้องทำช่องให้กว้างขึ้นใหม่ ดร.กุศล  จึงต้องอยู่รอจนเสร็จ  ส่วนพี่สิงห์ต้องไปสนามบิน กลับ กทม. Boarding 11:20 น. ครับ

               เชิญชมภาพ

               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5157 เมื่อ: 21 มกราคม 2555, 10:51:58 »

                       
                        ผมนั่งรอขึ้นเครื่องบิน จึงขอนำ "ธรรมะหลับสบาย" ของท่าน  ว.  วชิรเมธี คัดลอกมาให้อ่านครับ

                        สวัสดี




ศิลปะการหลอกใช้ความโกรธ


ปราณ
      ความโกรธ ก็เหมือนพลังงานไฟฟ้าที่มีอยู่ในอากาศ  เธอเคยสังเกตไหมล่ะ  ทำไมตามสิ่งก่อสร้างทั้งหลายอย่างโบสถ์  วิหาร  ปราสาทราชวัง  ทำเนียบรัฐบาล  อาคารสูง ๆ ตามเมืองใหญ่ ๆ จึงต้องมี “สายล่อฟ้า”  ก็เพราะเจ้าของเขาตระหนักว่า  ถ้าไม่มีสายล่อฟ้าติดเอาไว้ก็อาจจะถูกฟ้าผ่าให้เสียหายวอดวายเป็นจุณได้ง่าย ๆ ภายในพริบตา  แต่ถ้าตึกหรืออาคารสูงและปราสาทหลังใดก็ตามมีสายล่อฟ้าติดอยุ่ตรงจุดใดจุดหนึ่ง  ซึ่งโดยมากก็ต้องเป็นจุดที่สูงที่สุดหรือเด่นที่สุด  เมื่อพลังงานไฟฟ้ามาบรรจบกับสายล่อฟ้าแล้ว  พลังงานอันมหาศาลนั้นก็จะถูกผ่องถ่ายย้ายที่ลงไปไว้ในแผ่นดินโดยที่ไม่มีใครได้รับอันตราย

      โบสถ์  วิหาร  ปราสาท  ตึกราม  ซึ่งมียอดโดมสูง ๆ ทั้งหลายที่ยังสามารถทรงตัวตั้งตระหง่านอยู่ได้โดยไม่เป็นอันตรายจากฟ้าผ่า  ก็เพราะได้อาศัยเทคนิคการลดทอนพลังงานไฟฟ้าให้เคลื่อนย้ายถ่ายเทลงไปอยู่ในดินดังกล่าวมาแล้วนี่เอง

      ปราณ  ครูเชื่อว่า  ถ้าเธอรู้จักยักย้ายถ่ายเทความโกรธของเธอให้เหมือนกับที่นักวิทยาศาสตร์แนะนำให้คนทั่วไปเขารู้จักยักย้ายถ่ายเทพลังงานไฟฟ้าให้ลงไปอยู่ใต้ดินได้บ้างละก็  คราวนี้เธอจะได้ประโยชน์จากความโกรธมากทีเดียว  หรือบางทีแทนที่เธอจะเป็นฝ่ายถูกความโกรธมัน “กระทำ”  เอาแทบล้มประดาตาย  ความโกรธก็จะกลายเป็นฝ่ายถูกเธอ “กระทำ”  คืนเอาบ้างได้เหมือนกัน

      ครูอยากเรียกวิธีการยักย้ายถ่ายเทพลังงานความโกรธให้ลดความเกรี้ยวกราดลงไปนี้ว่าเป็น “ศิลปะการหลอกใช้ความโกรธ”  หรือไม่ก็เป็น “ศิลปะการแปรความโกรธให้เป็นพลังในทางสร้างสรรค์”  เธอชอบชื่อไหนก็เลือกใช้ชื่อนั้นตามใจชอบก็แล้วกัน

      ครูสอนวิปัสสนาของครูคนหนึ่ง  ท่านมักจะเล่าประสบการณ์ช่วงเวลาที่ท่านยังบุกป่าผ่าดงกิเลสในยุคแรก ๆ ให้ครูฟังหลังจากการทำวัตรสวดมนต์ตอนเย็นอยู่ประจำ  มีอยู่วันหนึ่งครูของครูเล่าให้ฟังว่า  ตัวท่านเองตอนที่ยังไม่ได้บวชเคยเป็นคนขี้โกรธถึงขั้นโมโหร้ายมาก่อน  จนเพื่อน ๆ หรือญาติ ๆ แอบให้ฉายาว่า “ขุนเดชดับดาว”  ซึ่งมีความนัยระหว่างบรรทัดว่า  ท่านเป็นดุจพระอาทิตย์ที่มีตบะเดชะร้อนแรงจนบรรดาดาวทั้งหลายไม่กล้ามาห้อมล้อมเป็นบริวารอยู่ใกล้ ๆ  ท่านอยู่ที่ไหนก็เลยมักจะได้อยู่คนเดียวไม่ค่อยมีใครไปมาหาสู่  แม้มีข้าวของเงินทองมากมาย  สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีมนต์ขลังมากพอที่จะดึงดูดผู้คน  ลูกหลาน  ญาติมิตรให้เข้ามาหา  ทุกคนพากันหลีกห่างจากตัวท่าน  เสมือนกับว่าท่านเป็นเสือร้ายตัวหนึ่งก็มิปาน

      ครั้นเมื่อได้มาบวชแล้ว  ท่านจึงเริ่มเห็นโทษของการเป็นคนขี้โกรธอย่างชัดเจนจากการฝึกนั่งสมาธิ  ท่านเล่าต่อว่า  หลังจากฝึกสมาธิแล้ว  หากมีความโกรธขึ้นมา  สติก็สอนให้เรียนรู้ที่จะจัดการกับความโกรธได้อย่างแนบเนียนยิ่งขึ้นทุกที  แต่กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ก็ต้องใช้เวลาเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกันอยู่ไม่รู้กี่ปี  ครูของครูยกตัวอย่างประสบการณ์ของตนให้ฟังอีกว่า

      ตอนบวชใหม่ ๆ วันใดก็ตามที่นั่งสมาธิแล้วจิตไม่สงบ  ท่านก็โกรธตัวเอง  ยิ่งโกรธก็ยิ่งลงโทษตัวเองด้วยการนั่งนิ่งเป็นเวลานาน ๆ  การณ์เลยกลายเป็นว่า  ยิ่งนั่งนานยิ่งเครียดหนักขึ้นไปอีก  เย็นวันหนึ่งพอเครียดหนักจากการที่จิตไม่ยอมนิ่งเสียที  ท่านก็เลยผลุนผลันเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแล้วถือโอกาสซักผ้าไปด้วย  พอซักเสร็จไปสองสามผืน  ท่านค้นพบว่า  ความโกรธอันตรธานหายไปหมดอย่างหน้าอัศจรรย์  รู้สึกเนื้อตัวสดชื่น  เบาหวิวเหมือนจะลอย

      จากนั้นเป็นต้นมา  ทุกครั้งที่ครูของครูโกรธตัวเองหรือโกรธใครก็ตาม  ท่านจะพาตัวเองเข้าห้องน้ำแล้วลงมือซักผ้าเสมอ  พอความโกรธสงบ  ผ้าของท่านก็สะอาดพร้อม ๆ กับที่จิตใจของท่านก็สะอาดผ่องแผ้วตามไปด้วย

      ทำไมความโกรธจึงหายไปในขณะที่ครูของครูลงมือซักผ้า  ท่านอธิบายว่า  เพราะที่กำลังซักผ้านั้น  จิตไม่เกาะเกี่ยวกับ “อารมณ์โกรธ”  แต่มาเกาะเกี่ยวอยู่ที่การซักผ้าแทน  การซักผ้าจึงเป็นกุศโลบายในการ “ยักย้ายถ่ายเทอารมณ์โกรธ”  ที่ชาญฉลาดมาก  และใช้ค่อนข้างได้ผลทุกครั้งไป  ครูเองเมื่อลองนำวิธีนี้มาใช้ก็พบว่าคำแนะนำของครูนั้นเป็นความจริงที่ทนทานต่อการพิสูจน์มากเลยทีเดียว

      จากคำแนะนำของครูที่กล่าวมาข้างต้น  ครูลองนำมาประยุกต์เป็นวิธียักย้ายเทพลังความโกรธ  ซึ่งเป็นพลังงานทางลบให้กลับกลายเป็นพลังงานทางบวกได้อีกมากมายหลายวิธี  และขอแนะนำให้เธอลองนำไปประยุกต์ใช้ดูบ้าง เช่น

      ๑.ซักผ้า  ล้างห้องน้ำ  (ผ้าสะอาด  ห้องน้ำสะอาด  =  ใจสะอาด)

      ๒. เข้าครัวทำกับข้าว (พัฒนาฝีมือ  มีอาหารอร่อยรับประทาน)

      ๓. อ่านหนังสือ (วิธีนี้นอกจากหายโกรธแล้ว  ยังได้ความรู้เป็นของแถม)

      ๔. เล่นกับหมา  (หมาทุกตัวมีเยาวภาพและความซื่อใส  เล่นกับหมาทำให้ใจบริสุทธิ์ง่าย  ผ่อนคลายเร็ว  เหมือนเล่นกับเด็กอ่อน  ที่เราก็พลอยทำตัวเป็นเด็กใสซื่อไปด้วย)

      ๕. ต่อจิ๊กซอว์  (ย้ายความสนใจออกจากเรื่องที่กำลังโกรธมาจดจ่ออยู่ที่จิ๊กซอว์แต่ละชิ้นแทน  ความโกรธหาย  ได้จิ๊กซอว์สวย ๆ ประดับบ้าน  จิตมีสมาธิ  สติเพิ่มพูน)

      ๖. ค้นอัลบั้มเก่า ๆ มาเปิดดู  (รำลึกความหลังอันงดงาม  ย้อนทรงจำเก่า ๆ  ทำให้เราเดินทางเข้าไปสู่อดีต  ความโกรธซึ่งเป็นอารมณ์ปัจจุบันถูกทอดทิ้งไป)

      ๗. จัดห้องใหม่ (กิจกรรมนี้แม้ไม่โกรธก็ยังให้ความรื่นรมย์ได้เป็นอย่างดี  จัดเสร็จก็ได้ห้องใหม่ที่สะอาด  รื่นรมย์  พร้อมกับจิตใจที่มีระเบียบ  สงบและสะอาดไม่น้อยไปกว่าห้อง)

      ๘. คุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิท  (ต้องเพื่อนสนิทเท่านั้น  ถ้าเป็นคนอื่นเป็นเรื่องอันตรายมาก  เพราะในขณะที่เธอโกรธ  เรื่องที่ไม่ควรพูดอาจหลุดออกไปจากปากเธอได้อย่างง่ายดาย  เพื่อนสนิทจะช่วยเปิดโอกาสให้ได้พูดได้ระบาย  ไฟแห่งความโกรธที่อัดแน่นในใจจะลดความร้อนแรงลงจนอาจหายเป็นปลิดทิ้งได้)

      ๙. เล่นกีฬา  (แต่อย่ามีการพนันเข้ามาเกี่ยงข้องเด็ดขาด  ไม่งั้นจะเครียดหนักกว่าเดิม  เช่น  บางคนหนีไปเล่นกอล์ฟเพื่ออยากให้ลืมเรื่องที่โกรธ  แต่แทนที่จะเล่นธรรมดา ๆ  กลับพนันขันต่อกับเพื่อน  พอแพ้พนัน  ความโกรธเลยเพิ่มเป็นทวีคูณ  กลายเป็นความโกรธคูณสอง  คือ  ความโกรธเดิมบวกกับความโกรธใหม่  ซึ่งอาจทำให้กลายเป็น คนล้มละลายทางอารมณ์ ได้ง่ายมาก  จึงไม่ขอแนะนำ  การเล่นกีฬาจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย  การได้ยืดเส้นยืดสายจะทำให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟิน  ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขออกมา  ทำให้ร่างกายสดชื่น  เกิดปีติสุข  ผ่อนคลาย  เบาเนื้อเบาตัว)

      ๑๐. เดินจงกรม  (คือ เดินกลับไปกลับมาตั้งแต่ค่อย ๆ เดิน  แล้วก็เพิ่มความเร็วมากขึ้นก็ได้  ถ้ายังไม่หายจะวิ่งเลยก็ได้  ทำไปสักพักหนึ่ง  ความโกรธจะหายไปเอง  นอกจากหายโกรธแล้ว  ยังได้สมาธิจิตและสติเพิ่มขึ้นเป็นของแถมอีกด้วย  จากคนขาดสติเลยกลายเป็นคนมีสติ  ซึ่งเจ้าตัวโกรธมันกลัวหนักหนา)

      ความจริงยังมีศิลปการหลอกใช้ความโกรธอีกมากมายกว่านี้  นี่เอาเฉพาะที่ครูเคยใช้ได้ผลมาแล้ว  และลองแนะนำให้คนอื่นทำตามก็ปรากฏว่า  ได้ผลกันถ้วนหน้า  เธอเห็นวิธีไหนน่าทดลองก็เลือกเอาวิธีนั้นไปลองทำดูก่อนก็ได้  แต่ว่าที่ให้ทดลองทำเนี่ย  ไม่ได้หมายความว่าให้เธอต้องทดลองโกรธเสียก่อนนะ  ความโกรธน่ะอย่าทดลองเป็นอันขาด  ปล่อยให้มันเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติน่ะดีแล้ว  พอเกิดขึ้นมาเมื่อไรค่อยนำเอาคำแนะนำของครูไปทดลองใช้ดู  ได้ผลอย่างไร  อย่าลืมเขียนมาเล่าให้ครูฟังเป็นการแลกเปลี่ยนบ้างล่ะ

                                                                                                                      ครูเอง
      บันทึกการเข้า
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #5158 เมื่อ: 21 มกราคม 2555, 10:58:45 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 มกราคม 2555, 10:26:55









สวัสดีครับ คุณน้องยาหยี และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

              หกโมงเช้าที่พี่สิงห์ ไปเดินจงกรม รำชิกง และโยคะ อากาศกำลังดี มีเมฆมาก แต่ฝนยังไม่ตก  แต่เวลา 08:30 น. ที่จะต้องพา ดร.กุศล และพี่สาวไปวัดพระธาตุ ฝนตกหนัก แต่พอเดินทางไปถึงวัดพระธาตุ ฝนหยุดตก

              ได้ไปไหว้พระธาตู  ตรงกับวันไหว้ของชาวจีนพอดี  เช้านี้คนยังมาไม่มากเพราะฝนเพิ่งหยุดตก

               เสร็จแล้วได้ไปทำพิธี ไหว้พระ รับศีล  ฟังพระสวดมาติกา  บังสกุล  ถวายอาหาร  ผ้าบังสกุล ปัจจัย  พระให้พร เป็นเสร็จพิธี  หลังจากนั้นทางช่าง จะนำกระดูก คุณพ่อบัญญัติ   อิสดุลย์  พร้อมทั้งกระดูก หญ้า-ปู่ ตา-ยาย แม่ บรรจุ แต่ต้องทำช่องให้กว้างขึ้นใหม่ ดร.กุศล  จึงต้องอยู่รอจนเสร็จ  ส่วนพี่สิงห์ต้องไปสนามบิน กัลบ กทม. Boarding 11:20 น. ครับ

               เชิญชมภาพ

               สวัสดี


สาธุ ... ครับ

มุมนี้ แลดู งดงาม เป็นอมตะ ... ครับ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5159 เมื่อ: 21 มกราคม 2555, 20:01:23 »

             

 
               ดร.มนตรี  อย่ายอเลย  พี่สิงห์ ถ่ายส่งเดช  พอเดินออกมา ก็ถ่ายปุ๊บ  ไม่ได้พิถีพิถันอะไรเลยทั้งสิ้น

               วันนี้พี่สิงห์ ยังไม่ได้ไปเยี่ยมแม่ ที่สิงห์บุรี  ได้สอบถามแล้ว อาการโดยรวมแม่ดีขึ้นมาก  แผลก็ดีขึ้น  แต่อาการบวมจากการขาดโปรตีน หรือสาเหตุอื่น  ยังคงมีอยู่ หายใจได้ดี  ไข้ไม่มี วันนี้แม่นอนทั้งวันเลย

               สาเหตุที่ผมยังไม่ไป เพราะวันเสาร์ อาทิตย์  พี่สาวคนโต  หลาน  ก็มาเยี่ยม  มีคนมากแล้ว  อบอุ่น  พรุ่งนี้บ่ายวันอาทิตย์ ถึงจะไปเยี่ยมแม่  และค้างคืนที่บ้านน้องสาว เพราะวันจันทร์ เป็นวันพระ คงลุกขึ้นมาหุงข้าว และเอาข้าวไปให้แม่จบ  สาธุ และก็ไปทำบุญให้แม่ที่วัดพระนอน ส่วนกับข้าว  คงหาซื้อที่ร้านข้าวแกง หน้าโรงพยาบาล  หลังจากนั้นก็มาเฝ้าแม่ตอนกลางวัน  เพื่อให้คนดูแลประจำได้เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง ครับ

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5160 เมื่อ: 21 มกราคม 2555, 20:13:11 »

สวัสดีท่านขุน 28

                       วันนี้พี่สิงห์ ทำหน้าที่มัคคาทายกวัด  บกพร่อง มาก คือ หลงๆ ลืมๆ นำกล่าวถวาย อาหาร-ผ้าบังสกุลกับพระสงฆ์ จนพระท่านต้องบอกก่อนครับ อายจริงๆ เสียชื่อมัคคทายกวัดในอนาคต หมด

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #5161 เมื่อ: 21 มกราคม 2555, 20:14:30 »

เข้ามาแอบอ่านเงียบๆ โดนพี่สิงห์จับได้ทุกที

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5162 เมื่อ: 21 มกราคม 2555, 20:19:37 »

สวัสดี ท่านขุน 28

                        พี่สิงห์ ถาม ดร. สุริยาแล้ว แต่เขาไม่ตอบ  ท่านขุนช่วยตอบให้ที อยากทราบจริง ๆ
                        
                        "ทำไม? เขมานันทะ ท่านจึงลาสิกขา  ออกมาเป็นฆาราวาส"

                        ขอบคุณมาก
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #5163 เมื่อ: 21 มกราคม 2555, 20:33:57 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 มกราคม 2555, 20:19:37
สวัสดี ท่านขุน 28

                        พี่สิงห์ ถาม ดร. สุริยาแล้ว แต่เขาไม่ตอบ  ท่านขุนช่วยตอบให้ที อยากทราบจริง ๆ
                         
                        "ทำไม? เขมานันทะ ท่านจึงลาสิกขา  ออกมาเป็นฆาราวาส"

                        ขอบคุณมาก

ผมก็ไม่กล้าตอบแทนท่าน เขมานันทะ ครับ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5164 เมื่อ: 21 มกราคม 2555, 22:29:44 »

พ้มก็ไม่กล้า
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5165 เมื่อ: 22 มกราคม 2555, 07:52:45 »



新正如意 新年發財 / 新正如意 新年发财

แต้จิ๋ว: ซิงเจี่ยยู้อี่ ซิงนี้หวกไช้

จีนกลาง: ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาฉาย

ฮกเกี้ยน:ซินเจี่ยหยู่อี่ ซินนี่ฮวดจ๋าย

แปลว่า ขอให้ประสบโชคดี ขอให้มั่งมีปีใหม่



สวัสดีปีใหม่จีนหรือวันตรุษจีน ครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       วันนี้ปีใหม่จีน หรือวันตรุษจีน ผมไม่ได้ไปตีกอล์ฟ เช้าวันอาทิตย์  แต่ตื่นเช้ามาหุงข้าว ไปซื้อกับข้าว ใส่บาตรเณรที่หน้าบ้าน ใส่เสื้อสีแดง ของสนามกอล์ฟเซนแอนดรูส์ ที่อาจารย์ถาวร  โชติชื่น  ซื้อมาให้จากเมื่อคราวไปเที่ยวอังกฤษ ใส่เป็นครั้งแรก ครับ

                       เนื่องในวันตรุษจีน ผมขอให้ทุกท่านประสพ ปรารถนาสิ่งใดก็ขอให้ได้สิ่งนั้น ตามคำอวยพร ที่ผมได้ ขึ้นต้นไว้ครับ

                     新正如意 新年發財 / 新正如意 新年发财
              
                         "ซิงเจี่ยยู้อี่ ซิงนี้หวกไช้ "


                         สวัสดี

                      

ตรุษจีน

                      
                       ตรุษจีน หรือ เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ (ตัวเต็ม: 春節, ตัวย่อ: 春节, พินอิน: Chūnjíe ชุนเจี๋ย) หรือ ขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ (ตัวเต็ม: 農曆新年, ตัวย่อ: 农历新年, พินอิน: Nónglì Xīnnián หนงลี่ ซินเหนียน) และยังรู้จักกันในนาม วันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีของชาวจีนในจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก เทศกาลนี้เริ่มต้นในวันที่ 1 เดือน 1 ของปีตามจันทรคติ (正月 พินอิน: zhèng yuè เจิ้งเยฺว่) และสิ้นสุดในวันที่ 15 ซึ่งจะเป็นเทศกาลโคมไฟ (ตัวเต็ม: 元宵節, ตัวย่อ: 元宵节, พินอิน: yuán xiāo jié หยวนเซียวเจี๋ย)

                        คืนก่อนวันตรุษจีน ตามภาษาจีนกลางเรียกว่า 除夕 (พินอิน: Chúxī ฉูซี่) หมายถึงการผลัดเปลี่ยนยามค่ำคืน

                        ในวันตรุษจีนจะมีการเฉลิมฉลองทั่วโลกโดยเฉพาะชุมชนเชื้อสายจีนขนาดใหญ่ และนับเป็นช่วงวันหยุดช่วงสำคัญช่วงหนึ่งของชาวจีน เทศกาลนี้ยังแผ่อิทธิพลไปยังชนชาติรายรอบ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี เมี่ยน ม้ง มองโกเลีย เวียดนาม ทิเบต เนปาล และภูฐาน ให้จัดงานขึ้นปีใหม่ทำนองเดียวกัน สำหรับวิธีเฉลิมฉลองตรุษจีนนั้นแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น


ตรุษจีนในประเทศไทย

ชาวไทยเชื้อสายจีนจะถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน คือวันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยว

             •   วันจ่าย คือวันก่อนวันสิ้นปี เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปซื้ออาหารผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าทั้งหลายจะปิดร้านหยุดพักผ่อนยาว ไม่จำเป็นจะต้องมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ (地主爺 / 地主爷 ตี่จู้เอี๊ย) ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการบูชาของเจ้าบ้าน หลังจากที่ได้ไหว้อัญเชิญขึ้นสวรรค์เมื่อ 4 วันที่แล้วเพราะว่าเจ้าที่ไม่ได้ไปไหนเมื่อสี่วันที่แล้ว ตัวเราส่งแต่ เจ้าซิ้ง หรือเจ้าเตา

             •   วันไหว้

                       o   ตอนเช้ามืดจะไหว้ "ป้ายเล่าเอี๊ย" (拜老爺 / 拜老爷) เป็นการไหว้เทพเจ้าต่างๆ เครื่องไหว้คือ เนื้อสัตว์สามอย่าง (ซาแซ ซำเช้ง) ได้แก่ หมู เป็ด ไก่ หรือเพิ่มตับ ปลา เป็นเนื้อสัตว์ห้าอย่าง (โหงวแซ) เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง

                       o   ตอนสาย จะไหว้ "ป้ายแป๋บ้อ" (拜父母) คือการไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูตามคติจีน การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เกินเที่ยง เครื่องไหว้จะประกอบด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน (ส่วนมากจะทำตามที่ผู้ที่ล่วงลับเคยชอบ) รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ หลังจากนั้น ญาติพี่น้องจะมารวมกันรับประทานอาหารที่ได้เซ่นไหว้ไปเป็นสิริมงคล และถือเป็นเวลาที่ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลจะรวมตัวกันได้มากที่สุด จะแลกเปลี่ยนอั่งเปาหลังจากรับประทานอาหารร่วมกันแล้ว

                       o   ตอนบ่าย จะไหว้ "ป้ายฮ่อเฮียตี๋" (拜好兄弟) เป็นการไหว้ผีพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เครื่องไหว้จะเป็นพวกขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล กระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมทั้งมีการจุดประทัดเพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายและเพื่อเป็นสิริมงคล

             •   วันเที่ยว หรือ วันถือ คือวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันที่หนึ่ง (初一 ชิวอิก) ของเดือนที่หนึ่งของปี วันนี้ชาวจีนจะถือธรรมเนียมโบราณที่ยังปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงปัจจุบันคือ "ป้ายเจีย" เป็นการไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพรัก โดยนำส้มสีทองไปมอบให้ เหตุที่ให้ส้มก็เพราะส้มออกเสียงภาษาแต้จิ๋วว่า "กิก" หรือ ภาษาฮกเกี้ยน "ก้าม"(橘) ซึ่งไปพ้องกับคำว่าความสุขหรือโชคลาภ (吉) [1] เพราะฉะนั้นการให้ส้มจึงเหมือนนำความสุขหรือโชคลาภไปให้ จะมอบส้มจำนวน 4 ผล ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าของผู้ชาย เหตุที่เรียกวันนี้ว่าวันถือคือ เป็นวันที่ชาวจีนถือว่าเป็นสิริมงคล งดการทำบาป จะมีคติถือบางอย่าง เช่น ไม่พูดจาไม่ดีต่อกัน ไม่ทวงหนี้กัน ไม่จับไม้กวาด และจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่แล้วออกเยี่ยมอวยพรและพักผ่อนนอกบ้าน เป็นต้น

 ตรุษจีนในภูเก็ต

              ชาวภูเก็ตเชื้อสายจีน โดยส่วนมากเป็นชาวจีนฮกเกี้ยนและจีนช่องแคบ(เปอรานากัน) จะมีระยะวันตรุษจีนทั้งสิ้นรวม 9 วันนับตั้งแต่ขึ้นปีใหม่จะต่างกับชาวจีนแต้จิ๋ว ซึ่งวันตรุษจีนจะสิ้นสุดลงในวันที่ 7 โดยวันตรุษจีนของชาวภูเก็ตจะสิ้นสุดลงเมื่อหลังเที่ยงคืนของวันที่ 9 หรือ วันป่ายทีก้องไหว้เทวดา และ จะถือประเพณีปฏิบัติไหว้อยู่ 6 วัน ได้แก่ก่อนตรุษจีนไหว้ 2 วัน และ หลังตรุษจีนไหว้ 4 วัน คือ

             •   วันส่งเทพเจ้าเตาไฟขึ้นสวรรค์

                       o   ในวันที่ 24 ค่ำ เดือน 12 จ้าวฮุ่นกงเสด็จขึ้นสวรรค์เพื่อเข้าเฝ้าหยกอ๋องซ่งเต้ เพื่อกราบทูลเรื่องราวต่างๆภายในหนึ่งปีของเจ้าบ้านทั้งดีและชั่วจามบัญชีที่ได้จดบันทึก
                                      ภาคเช้า เจ้าบ้านเตรียมผลไม้ 3 -7 อย่าง เพื่อสักการะเทพเจ้าทั้งสามแห่งโดยเฉพาะหน้าเตาไฟในครัวเรือนจ้าวฮุ่นกง

             •   วันไหว้บรรพชน

                       o   คือวันสุดท้ายของเดือน 12 บางตำนานกล่าวว่าเทพเจ้าทั้งปวงจะเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ในช่วง วันที่ 28 -30 จะจัดเครื่องเซ่นไหว้ตามจุดดังนี่
                                      ทีก้อง หรือ หยกอ๋องซ่งเต้ และเทพเจ้าทั้งบ้าน บ้านของคนจีนฮกเกี้ยนภูเก็ต จะมีป้ายและที่ปักธูปเทียนอยู่ทางซ้ายมือของหน้าบ้าน
                                      เทพเจ้าประจำบ้าน หรือ เทพเจ้าประจำตระกูล ส่วนใหญ่จะอยู่ตรงห้องโถ่งของหน้าบ้าน เป็นเทพเจ้าประจำบ้านที่นับถือกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
                                      บรรพชน จ้อกง จ้อม่า จ้อกงโป๋ บรพพบุรุษที่ล่วงลับ
                                      จ้าวอ๋อง หรือ จ้าวฮุ่นก้อง คือเ เทพเจ้าครัวหรือ เทพเจ้าเตาไฟ
                                      โฮ่เฮียตี่ คือ ไหว้บรรดาวิญญาณผีไม่มีญาติ
                                      หมึงสิน คือ ไหว้เทพเจ้าประจำประตูบ้าน หรือ ทวารบาล บ้าน

                       o   ช่วงเวลาจะเซ่นไหว้ มี 3 เวลาคือ
                                      เวลาเช้า ประมาณ 7 - 8 นาฬิกา ไหว้ทีก้อง เทพเจ้าบ้าน และจ้าวฮุ่นก้อง (ป่ายสินเทียนก๊วน/拜神天官)
                                      เวลา ประมาณ 11 นาฬิกา ถึง ก่อนเทียงวัน ไหว้บรรพบุรุษ จ้อกง จ้อม่า และบรรพชน (ป่ายจ้อกง/拜祖公)
                                      เวลา ประมาณ 15 -16 นาฬิกา ไหว้โฮ่เฮียตี่ บรรดาผีไม่มีญาติ (ป่ายโฮ่เฮียตี่/拜好兄弟)

                       o   เครื่องเซ่นไหว้ตามแบบของชาวจีนฮกเกี้ยน
                                      เวลาเช้าไหว้ทั้ง 3 แห่งดั้งนี้
                                      ทีก้อง
                                      หมูต้ม 1 ชิ้น
                                      หมี่เหลืองดิบ
                                      ปูต้ม
                                      กุ้งต้ม
                                      หมึกแห้ง
                                      สุราขาวจีน
                                      เทียนก้องกิม(กระดาษทองฮกเกี้ยนแผ่นใหญ่)
                                      เทพเจ้าประจำบ้าน หรือ ประจำตระกูล
                                      หัวหมู 1 หัว
                                      หมี่เหลืองดิบ
                                      ปูต้ม
                                      กุ้งต้ม
                                      หมึกแห้ง
                                      สุราขาวจีน
                                      ไก่ต้มมีหัว
                                      เทพเจ้าเตาไฟ หรือ จ้าวฮุ่นก้อง
                                      หมี่เหลืองดิบ
                                      ปูต้ม
                                      กุ้งต้ม
                                      หมึกแห้ง
                                      สุราขาวจีน
                                      อาหารที่ไหว้เสร็จจากช่วงเช้าทุกชนิดนำไปประกอบอาหารเพื่อนไหว้ในช่วง บ่าย และเย็นต่อไป
                                      เวลาบ่ายไหว้ จ้อกง จ้อม่า บรรพชน
                                      ผลไม้ 3 - 7 ชนิด
                                      องุ่น (ภาษาฮกเกี้ยน โป่โต๋)
                                      แอปเปิล (ภาษาฮกเกี้ยน เป่งโก้)
                                      สับปะรด (ภาษาฮกเกี้ยน อ่องหลาย)
                                      ส้ม (ภาษาฮกเกี้ยน ก้าม)
                                      เงาะ (ภาษาฮกเกี้ยน มอต่าน)
                                      ลำไย (ภาษาฮกเกี้ยน เหล้งเต๋)
                                      ขนมหวาน
                                      ตี่โก้ย (ขนมเข่ง )
                                      ฮวดโก้ย (ขนมถ้วยฟู)
                                      อั้งกู้โก้ย (ขนมเต่า)
                                      บีโก้ (ข้าวเหนียวดำกวน)
                                      แป๊ะทงโก๊
                                      ก่าวเตี่ยนโก้ย (ขนมชั้น)
                                      อาหารคาว
                                      ผัดบังกวน (ผัดมันแกว)
                                      โอต้าว (หอยทอดฮกเกี้ยน หารับประทานได้ที่ภูเก็ต)
                                      ผัดบีฮุยะ (ข้าวเหนียวผัดกับเลือดหมูและกุ้ยช่าย)
                                      ปลาทอดมีหัวมีหาง 1 ตัว
                                      ต้าวอิ่วบ๊ะ (หมูผัดซีอิ๋ว)
                                      ทึ่งบะกู๊ดเกี่ยมฉ่าย (ต้มจืดผักกาดดองซี่โคร่งหมู)
                                      แกงเผ็ดไก้ใส่มันฝรั่ง
                                      ผัดผัก ประกอบด้วย ซวนน่า กะหล่ำปลี ก่าเป๊ก
                                      โปเปี๊ยะสด
                                      โลบะ พร้อมน้ำจิ้ม
                                      ซำเซ่ง;หง่อเซ่ง (เนื้อสัตว์ 3-5 ชนิด)
                                      ข้าวสวย 5 ถ้วย พร้อมตะเกียบ
                                      เต๋ (น้ำชา) 5 จอก
                                      จุ๊ย (น้ำเปล่า) 1 แก้ว
                                      สุราขาว 5 จอก
                                      เวลาเย็นไหว้ โฮ่เฮียตี่
                                      องุ่น (ภาษาฮกเกี้ยน โป่โต๋)
                                      แอปเปิล (ภาษาฮกเกี้ยน เป่งโก้)
                                      สับปะรด (ภาษาฮกเกี้ยน อ่องหลาย)
                                      ของไหว้จากช่วงเช้าแล้วแต่เจ้าบ้านจะนำไปทำเป็นอะไร

             •   ไหว้วันขึ้นปีใหม่

                       o   วันที่ 1 ค่ำ เดือน 1 เป็นวันขึ้นปีใหม่ ช่วงเช้าเรียกว่า ป้ายเฉ่งเต๋ ด้วยการนำผลไม่มาไหว้เทพเจ้าประจำบ้าน

             •   วันรับเสด็จจ้าวฮุ่นก้องเทพเจ้าเตาไฟ

                       o   ในที่ 4 ค่ำ เดือน 1 จะทำการ เชี้ยสิน เชิญพระจ้าวฮุ่นก้องกลับมาอยู่ยังบ้านในครัวเช่นเดิม โดยไหว้ตอนเช้า ของเซ่นไหว้ดังนี่
                                     ผลไม้
                                     เต่เหลี่ยว (จันอับ ของฮกเกี้ยนกับแต้จิ๋วจะมีเครื่องประกอบไม่เหมือนกัน)
                                     โอต้าว (เพื่อเป็นกาวติดเงินติดทองที่จ้าวฮุ่นก้องนำมาให้จากสวรรค์)
                                     น้ำชา
                                     กระดาษไหว้เจ้า

             •   วันป้ายจ่ายสินเอี๋ย หรือ วันไหว้เทพเจ้าไฉสิ่งเอี้ย

                           o   วันที่ 5 ค่ำ เดือน 1 เทพเจ้าแห่งโชคลาภจะเสด็จจากสวรรค์ตามฤกษ์ยามของแต่ละปี เพื่อลงมาประทานโชคลาภ

             •   วันป่ายทีก้องแซ (拜天公) ไหว้เทวดา วันประสูติหยกอ๋องซ่งเต้

                           o   วันไหว้เทวดา ซึ่งเป็นวันที่สืบเนื่องต่อจากวันตรุษจีนเพียง 8 วัน หรือที่ชาวจีนเรียกว่า เก้าโหง็ย-โช่ยเก้า ถี่ก้งแซ้ซ่ง ซึ่งชาวจีนถือว่าเป็นวันเกิดของ หยกอ๋องซ่งเต้ เทพผู้เป็นใหญ่บนสรวงสวรรค์ที่ชาวจีนให้ความเคารพบูชาซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้ กัน โดยในวันไหว้เทวดาของชาวจีนจะนิยมถือปฏิบัติกันในวันขึ้น 9 ค่ำ และสิ่งที่ขาดมิได้ในวันนั้น คือเครื่องเซ่นไหว้ที่นำมาประกอบในพิธีบูชาเทวดา หยกอ๋องซ่งเต้ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ หง่อซิ่ว หรือ เครื่องน้ำตาลทำเป็นรูป 5 ชนิด และ ต้นอ้อย มีความเชื่อว่ามีครั้งหนึ่งในสมัยราชวงศ์หมิงชาวฮกเกี้ยนทุกรุกรานจากญี่ปุ่นจึงพากันไปหลบแอบในดงอ้อย จนญี่ปุ่นกลับไป และตรงกับวันป่ายทีก้องพอดีชาวฮกเกี้ยนเลยเชื่อว่าเป็นเพราะหยกอ๋องซ่งเต้ช่วยชีวิตเอาไหว้จึงนำอ้อยมาไหว้ด้วย

ประเพณีปฏิบัติ

             •   สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของตรุษจีน คือ อั่งเปา (ซองแดง) คือ ซองใส่เงินที่ผู้ใหญ่แล้วจะมอบให้ผู้น้อย และมีการแลกเปลี่ยนกันเอง หรือ หรือจะใช้คำว่า แต๊ะเอีย (ผูกเอว) ที่มาคือในสมัยก่อน เหรียญจะมีรูตรงกลาง ผู้ใหญ่จะร้อยด้วยเชือกสีแดงเป็นพวงๆ และนำมามอบให้เด็ก ๆ ซึ่งจะนำมาผูกเก็บไว้ที่เอว

คำอวยพร

             ในตรุษจีน ชาวจีนจะกล่าวคำ ห่ออ่วย หรือคำอวยพรภาษาจีนให้กัน หรือมีการติดห่ออ่วยไว้ตามสถานที่ต่างๆ คำที่นิยมใช้กัน ได้แก่

             •   新年快樂 / 新年快乐 (จีนกลาง: ซินเหนียนไคว่เล่อ) นิยมใช้ในประเทศจีน

             •   過年好 / 过年好 (จีนกลาง: กั้วเหนียนห่าว) ใช้โดยชนพื้นเมืองทางภาคเหนือของประเทศจีน วลีนี้ยังหมายถึงวันที่หนึ่งถึงวันที่ห้าของปีใหม่ด้วย

             •   新正如意 新年發財 / 新正如意 新年发财 (แต้จิ๋ว: ซิงเจี่ยยู้อี่ ซิงนี้หวกไช้ จีนกลาง: ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาฉาย ฮกเกี้ยน:ซินเจี่ยหยู่อี่ ซินนี่ฮวดจ๋าย) แปลว่า ขอให้ประสบโชคดี ขอให้มั่งมีปีใหม่

             •   恭喜發財 / 恭喜发财 (จีนกลาง: กงฉี่ฟาฉาย ฮกเกี้ยน: หย่งฮี้ฮวดจ๋าย )

             •   大吉大利 (ฮกเกี้ยน:ตั่วเก็ตตั่วลี่ ) แปลว่า ความมงคลอันยิ่งใหญ่ หรือ ค่าขายได้กำไร

             •   招财进宝 (ฮกเกี้ยน:จ่ายหงวนก้องกิม ) แปลว่า เงินทองไหลมา

             •   金玉满堂 (ฮกเกี้ยน:กิ้มหยกมมั่วต๋อง ) แปลว่า ทองหยกเต็มบ้าน

             •   万事如意 (ฮกเกี้ยน:บ่านสู่หยู่อี่ ) แปลว่า ทุกเรื่องสมปรารถนา

             •   福壽萬萬年/ 福寿万万年 (ฮกเกี้ยน:ฮกซิ่วบันบั่นนี่ จีนกลาง: ฝูเชี่ยวหวันวันเลี่ยน แปลว่า อายุยืนพันๆปี )

             •   家好運氣 / 家好运气(ฮกเกี้ยน:เก่โฮ่อุ๊นคิ จีนกลาง:จาร์ห่าวเยียนชี แปลว่า โชคดีเข้าบ้าน )

             •   เกียโฮ่ซินนี้ ซินนี้ตั้วถั่น แปลว่า สวัสดีปีใหม่ ขอให้ร่ำรวยๆ อีกฝ่ายก็จะกล่าวตอบว่า ตั่งตังยู่อี่ แปลว่า ขอให้สุขสมหวังเช่นกัน

             •   年年大赚钱 (ฮกเกี้ยน:หนีนี้ตั๊วถั่นฉี่) แปลว่า ปีนี้ร่ำรวยมหาศาล

             •   เป๋งอิ่วเตียวคิ ในภาษาฮกเกี้ยน แปลว่า เพื่อนมิตรมีสุข
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5166 เมื่อ: 22 มกราคม 2555, 07:58:31 »


"ซิงเจี่ยยู้อี่ ซิงนี้หวกไช้ " ค่ะ คุณน้องยาหยี  ที่รัก

 "ขอให้ประสบโชคดี ขอให้มั่งมีปีใหม่"

 ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5167 เมื่อ: 22 มกราคม 2555, 08:02:08 »




新正如意 新年發財 / 新正如意 新年发财

ซิงเจี่ยยู้อี่ ซิงนี้หวกไช้

ขอให้ประสบโชคดี ขอให้มั่งมีปีใหม่

ครับ คุณเหยง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5168 เมื่อ: 22 มกราคม 2555, 12:24:22 »

                              

                       วันนี้อาจารย์ถาวร      โชติชื่น     มีธรรมะมาฝาก ครับ

     
                                                   มีกายอย่าได้หมายว่ามีสุข

                                                   กลับมีทุกข์มากมายหลายสถาน

                                                   จะหาสุขที่กายจนวายปราณ

                                                   คงไม่พานพบแท้เป็นแน่นอน


                                                                        เพราะหลงจึงเป็นสุข

                                                                        เพราะรู้จึงเห็นทุกข์
      บันทึกการเข้า
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #5169 เมื่อ: 22 มกราคม 2555, 13:28:07 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 มกราคม 2555, 20:01:23


               วันนี้พี่สิงห์ ยังไม่ได้ไปเยี่ยมแม่ ที่สิงห์บุรี  ได้สอบถามแล้ว อาการโดยรวมแม่ดีขึ้นมาก  แผลก็ดีขึ้น  แต่อาการบวมจากการขาดโปรตีน

                        สวัสด

พี่สิงห์ ครับ...

ช่วงที่คุณพ่อผมป่วย และมีอาการบวมจากการขาดโปรตีน  ผมจะต้มไข่แล้วแกะเฉพาะไข่ขาวให้ทาน จะช่วยเรื่องอาการบวม เนื่องจากไข่ขาวจะมี อัลบลูมิน โปรตีน

พี่สิงห์ ลองปรึกษาคุณหมอ ว่าในเคส คุณแม่ สามารถให้ไข่ขาวได้หรือไม่ นะครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5170 เมื่อ: 22 มกราคม 2555, 13:49:45 »

อ้างถึง
ข้อความของ ดร.มนตรี เมื่อ 22 มกราคม 2555, 13:28:07
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 มกราคม 2555, 20:01:23


               วันนี้พี่สิงห์ ยังไม่ได้ไปเยี่ยมแม่ ที่สิงห์บุรี  ได้สอบถามแล้ว อาการโดยรวมแม่ดีขึ้นมาก  แผลก็ดีขึ้น  แต่อาการบวมจากการขาดโปรตีน

                        สวัสด

พี่สิงห์ ครับ...

ช่วงที่คุณพ่อผมป่วย และมีอาการบวมจากการขาดโปรตีน  ผมจะต้มไข่แล้วแกะเฉพาะไข่ขาวให้ทาน จะช่วยเรื่องอาการบวม เนื่องจากไข่ขาวจะมี อัลบลูมิน โปรตีน

พี่สิงห์ ลองปรึกษาคุณหมอ ว่าในเคส คุณแม่ สามารถให้ไข่ขาวได้หรือไม่ นะครับ
                  ขอบคุณมาก คุณหมอเขารู้แล้ว  ว่าจะต้องใช้ไข่ขาวในกรณีที่ยังกินข้าวได้เอง  ส่วนอาหารทางสายยาง  ต้องระวังเรื่องไตด้วย  พรุ่งนี้เขาจะคุยกันระหว่าง คุณหมอ  นักโภชนาการ และเภสัชกร ครับ

                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #5171 เมื่อ: 22 มกราคม 2555, 19:10:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 22 มกราคม 2555, 13:49:45
อ้างถึง
ข้อความของ ดร.มนตรี เมื่อ 22 มกราคม 2555, 13:28:07
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 มกราคม 2555, 20:01:23


               วันนี้พี่สิงห์ ยังไม่ได้ไปเยี่ยมแม่ ที่สิงห์บุรี  ได้สอบถามแล้ว อาการโดยรวมแม่ดีขึ้นมาก  แผลก็ดีขึ้น  แต่อาการบวมจากการขาดโปรตีน

                        สวัสด

พี่สิงห์ ครับ...

ช่วงที่คุณพ่อผมป่วย และมีอาการบวมจากการขาดโปรตีน  ผมจะต้มไข่แล้วแกะเฉพาะไข่ขาวให้ทาน จะช่วยเรื่องอาการบวม เนื่องจากไข่ขาวจะมี อัลบลูมิน โปรตีน

พี่สิงห์ ลองปรึกษาคุณหมอ ว่าในเคส คุณแม่ สามารถให้ไข่ขาวได้หรือไม่ นะครับ
                  ขอบคุณมาก คุณหมอเขารู้แล้ว  ว่าจะต้องใช้ไข่ขาวในกรณีที่ยังกินข้าวได้เอง  ส่วนอาหารทางสายยาง  ต้องระวังเรื่องไตด้วย  พรุ่งนี้เขาจะคุยกันระหว่าง คุณหมอ  นักโภชนาการ และเภสัชกร ครับ

                   สวัสดี


ครับพี่ ...  รักนะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5172 เมื่อ: 22 มกราคม 2555, 20:30:46 »



อาจารย์ถาวร   โชติชื่น  ตั้งหัวข้อธรรม ว่า


เพราะหลงจึงเป็นสุข

เพราะรู้จึงเห็นทุกข์


                      ผมขอขยายความสั้น ๆ  ที่อาจารย์ถาวร  โชติชื่น ได้ตั้งหัวข้อเรื่องไว้ดังนี้ :-

เพราะหลงจึงเป็นสุข

                       คำว่า "หลง" ในที่นี้หมายความว่า จิตตกอยู่ในความคิดของตัวเอง หรือ คิดภายใต้โมหะ  นั่นเอง จนเกิด "อวิชชา" มาบังไม่เห็นธรรมชาติของจิตที่แท้จริง  เลยทำให้ เจตสิกแสดงเป็นอัตตาออกมา  ทั้งๆ ที่เจตสิกนั้นเป็นอนัตตา ที่ประกอบไปด้วย เวทนา  สัญญา และสังขาร ผลที่ตามมาก็คือ จิต ชอบ หรือ เพลิน และติดใจอยากได้อีกเสมอ ไปกับ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง  จมูกได้ดมกลิ่น  ลิ้นได้ลิ้มรส  กายได้สัมผัส  และปล่อยใจให้นึกคิด  และคิดว่าสิ่งที่ตัวเองได้รับนั้น คือความสุขที่แท้จริง

                       ทั้ง ๆ ที่มีความสุขที่ดีกว่า ปราณีตกว่า กันมากมายนัก กลับมองข้ามไปเสียฉิบ

เพราะรู้จึงเห็นทุกข์

                        คำว่า "รู้" ในที่นี้แปลออกได้สองความหมาย คือ

                                     ประการที่ ๑ "รู้" จากการที่ตนเองได้ ตั้งสติปัฏฐาน ๔ จนสามารถเห็น จิตของตนเอง  ในการคิด นึก  ตรึก  ตรอง เห็นความคิดที่เกิดขึ้น  ดำรงอยู่ชั่วขณะ และดับไปเอง ตลอดเวลา รู้ เห็นข้อเท็จจริงๆ ที่ว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นเพียง จิตมันคิดปรุงแต่ง ขึ้นมาเองทั้งนั้น ไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริงเลย  เป็นเพราะสิ่งที่คิดนั้น  จิตมันไม่รักไม่ชอบ  ก็เลยเป็นทุกข์  ไม่อยากประสบอีก  แต่ถ้าจิตมันชอบก็คิดว่าเป็นสุขที่แท้จริงที่ต้องการ

                                      ประการที่ ๒ "รู้" หลักแห่งการดำรงอยู่ของธรรมชาติ หรือ รู้ "อริยสัจ ๔"  จนสามารถเข้าใจ เหตุเกิดแห่งทุกข์  วิธีดับทุกข์  ต้องดับที่เหตุ คือ ตัณหา และรู้หลักปฏิบัติในการพ้นทุกข์ คือ "มรรค ๘" นั่นเอง

                        เมื่อรู้เห็นความจริงนี้แล้ว  ทำให้เกิดสังเวช ที่ไปหลงอยู่กับ ตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง  จมูกได้ดมกลิ่น  ลิ้นได้ลิ้มรส  กายได้สัมผัส  และปล่อยใจนึกคิด  จนก่อความทุกข์ให้กับตัวเอง ไม่หยุดหย่อน  เมื่อเกิดสังเวชแล้วก็เกิดความเบื่อหน่าย  หาทางที่จะให้หลุดพ้นพันธนั้นเสีย ด้วยการสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖  อยู่เป็นนิจ  ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ที่จะบำเพ็ญเพียรทางจิต คือตั้งสติ  จนเป็นสมาธิ  ดำรงตนอยู่ใน มรรค ๘  หรือ ศ๊ล  สมาธิ  ปัญญา  จนความทุกข์ลดน้อยลง หรือพ้นทุกข์ไปในที่สุด

                         ถ้าจิตของอาจารย์ถาวร   โชติชื่น  เบื่อหน่าย คลายกำหนดได้  ผมก็ขออนุโมทนา เป็นอย่างยิ่ง

                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5173 เมื่อ: 23 มกราคม 2555, 10:33:46 »












                     
                        วันนี้เป็นวันพระ ผมจึงถือโอกาสไปทำบุญที่วัดพระนอน ก่อนไปก็เอาข้าว กับข้าว  ขนม ผลไม้ ให้แม่สาธุ และขอพร  ผมพาพี่สาวไปทำบุญด้วยครับ  เนื่องจากเป็นวันธรรมดา คนมาทำบุญไม่มาก และมีบางส่วนที่มาใส่บาตรเสร็จแล้วก็ไปทำงาน หรือต้องไปเฝ้าบ้าน  อาหารมีพอสำหรับพระ-เณรฉันทั้งมื้อเช้า และมือกลางวัน

                        สำหรับผมนั้น รู้ดีว่าเณร ชอบฉันข้าวเหนี๋ยว  จึงซื้อข้าวเหนี๋ยว หมูปิ้ง ไปเพิ่มอีก ทุกสำรับ ครับ ปรากฏว่าเป็นไปตามคาดการณ์ เณร ฉันหมดเลย  ไม่มีเหลือ

                        หลังจากทำบุญที่วัดเสร็จ ก็ไปกินข้าวเช้าที่บ้านพี่สาว มีแกงมะขามเทศกับปลาย่าง  น้ำพริกเผา  ผักต้ม และปลาป่น

                        จากนั้นก็มาเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล น้องสาวมาบอกว่า  อาการแม่นั้น ซึมน่าเป็นห่วงเราอาจจะดูว่าดี แผลค่อยๆ หาย  ไม่มีไข้  แต่จริงๆ แล้ว อ่อนหล้ามาก คงต้องดูต่อไปอีกสอง สามวัน ครับ

                        ผมลืมหนังสือ "ธรรมะหลับสบาย" เอาไว้ที่ กทม. ช่วงนี้คงไม่ได้เอามาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านต่อ รอไว้อีกสอวันพุธ กลับ กทม. จะเขียนให้อ่านต่อได้ ครับ

                         ผมนั่งเฝ้าแม่  โดยคนดูแลประจำ กลับไปที่บ้านเพื่อไปทำธุระส่วนตัวกับพี่สาว

                         สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5174 เมื่อ: 23 มกราคม 2555, 10:58:49 »



                       คุณกิตติมา  ได้ส่งยาตำราจีน แบบไม่ต้องชงดื่ม  เพียงแต่ท่านอ่านอย่างมีสติ  จะรู้ได้ ครับ

                        สวัสดี             
         


                       
                        ๑  " ชมคนด้วยวาจา...มีค่ายิ่งกว่ามอบไข่มุกให้เป็นของขวัญ  ทำร้ายคนด้วยวาจา...สาหัสยิ่งกว่าทิ่มแทงด้วยหอกดาบ.."
                                     "ซุนวู"
 
                        ๒ " คนอื่นช่วยเรา...เราจะจำไว้ชั่วชีวิต เราช่วยคนอื่น...จงอย่าจำใส่ใจ "
                                     "ฮั่วหลัวเกิง"
 
                        ๓  " มีชีวิตอย่างไร้คุณธรรม มิสู้ตายอย่างมีคุณธรรม ได้มาด้วยความคดโกง มิสู้ยอมเสียอย่างซื่อตรง..."
                                     "หวังติ้งเป่า"
 
                        ๔   " น้ำใสสะอาดเกินไป...ย่อมไร้ซึ่งมัจฉา  คนที่เข้มงวดเกินไป......ย่อมไร้ซึ่งบริวาร "
                                     "ปันกู้"
 
                        ๕   " ความไม่พอใจ...ความกลัดกลุ้มหงุดหงิด ควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราฮึดสู้มากยิ่งขึ้น ไม่ควรเป็นสิ่งที่ทำให้เราท้อแท้ ..ห่อเหี่ยว   ยอมจำนน ต่ออุปสรรค์..."
                                     "หลี่ต้าเจา"

                        ๖   " ในชีวิตของเรา..มิตรภาพเปรียบเสมือนโคมส่องสว่าง ดวงหนึ่ง....ซึ่งสาดส่องจิตวิญญาณของเราให้สว่างไสว ทำให้ชีวิตของเรามีแสงสีอันงดงาม.."
                                     "ปาจิน"
 
                        ๗.   " ตัวสกปรกก็คิดจะอาบน้ำ เท้าสกปรกก็คิดจะล้างเท้า แต่ใจสกปรก กลับไม่คิดที่จะชำระใจ..."
                                     "หยางว่านหลี่"
 
                        ๘.  " สุขสบายเกินไป..เส้นสายก็พลอยหย่อนยาน  จิตใจก็พลอยขลาดกลัว"
                                     "หูหลินอี้"
 
                        ๙.   " พูดน้อย กลุ้มน้อย ตัณหาน้อย นอนน้อย... ....ถ้าสี่อย่างนี้น้อย ก็ใกล้จะเป็นเซียนแล้ว"
                                     "ซุนซือเหมี่ยว"
 
                       ๑๐. " คนที่เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป... เป็นคนที่โดดเดี่ยวอ้างว้างที่สุด!"
                                     "ลู่ซู"
 
                       ๑๑.  " ไม่มีอะไรแย่เท่ากับความเย่อหยิ่งอวดดี.... ผู้ที่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ คือ คนที่ดีพอ... ผู้ที่คิดว่าตัวเองดีแล้ว คือ ผู้ที่ดีไม่พอ...!"
                                     "ฟังเสี้ยวหยู"
 
                       ๑๒. " ต้องกล้าที่จะมองความจริง... แม้ว่าความจริงอาจจะทำให้เราเจ็บปวดมากๆ"
                                     "จางจื้อซิน"

                       ๑๓. " ความอิจฉา เป็นอุปสรรคต่อมิตรภาพ... ความระแวงสงสัย..เป็นศัตรูตัวร้ายกาจของความรัก... ...ความรักถ้าปราศจากความ  ซื่อสัตย์จริงใจต่อกันเสียแล้ว ก็ไม่อาจเชื่อถือซึ่งกันและกันได้"
                                    "ซุนยาง"
 
                        ๑๔  " ยามมีควรคิดถึงความจน... ....ยามจนไม่ควรคิดถึงยามมี..!"
                                    "เจิงก่วงเสียนเหวิน"
 
                        ๑๕ " อย่าทำความชั่ว เพราะคิดว่าผิดนิดเดียว... อย่าละเว้นการทำความดี... เพราะคิดว่าได้บุญกุศลแค่นิดเดียว..."
                                    "เผยสงจือ"
 
                        ๑๖ " รู้เหตุผลไม่อับจน รู้กาละไม่ถูกด่า รู้ประหยัดไม่ขัดสน "
                                    "ซูลิน"
 
                        ๑๗ " ใช้จิตใจที่ชอบตำหนิผู้อื่น...มาตำหนิตัวเอง..... ใช้จิตใจที่ชอบให้อภัยตัวเอง...ให้อภัยผู้อื่น.."
                                    "เจิงจิ้นเสียนเหวิน"
 
                        ๑๘ " ขี้เกียจแล้วยังฟุ่มเฟือย...ย่อมยากจน ขยันและประหยัด..ย่อมร่ำรวย.."
                                    "ก่วนจ้ง"

                        ๑๙ "…สูงส่งแต่ไม่เย่อหยิ่ง ชนะแต่ไม่ลำพอง ปราดเปรื่องแต่รู้จักลงเวที เข้มแข็งแต่มีความอดกลั้น.."
                                    "ขงเบ้ง"
 
                        ๒๐ "..ก่อนที่จะเอาชนะคนอื่น...จักต้องเอาชนะตัวเอง ให้ได้เสียก่อน ก่อนที่จะว่าคนอื่น...ควรพิจารณาดูตัวเองเสียก่อน ก่อนหน้าที่จะรู้จักคนอื่น...ควรจะรู้จักตัวเองเสียก่อน.."
                                    "หลี่ปุ๊เหว่ย"
 
                        ๒๑ " ผู้ที่รู้จักคนอื่นเป็นคนฉลาด..... ผู้ที่รู้จักตัวเอง เป็นคนมีสติ.."
                                    "เล่าจื้อ"
 
                        ๒๒ " การตกระกำลำบากเป็นมหาวิทยาลัยชั้นสูงในการฝึกฝนยอดคน..!!"
                                    "เหลียงฉี่เชา"
 
                        ๒๓ " สิ่งที่ตัวเราไม่ชอบ ...จงอย่าทำกับคนอื่น.."
                                     "ขงจื้อ"
 
                        ๒๔. " คนที่ทำได้อาจพูดไม่ได้...คนที่พูดได้อาจทำไม่ได้.!!"
                                     "ซือหม่าเชียน"
 
                        ๒๕. " คนเราหนีไม่พ้นความตาย...แต่ความหมายการตายนั้น ไม่เหมือนกัน... บ้างมีค่าหนักกว่าขุนเขา...บ้างไร้ค่าเบากว่าขนนก...!"
                                     "ซือหม่าเชียน"
 
                      ตำรับยาจีน ที่ปรุงพร้อมดื่ม โดยไม่ต้องชิม ที่เชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนสร้างคนให้มีคุณค่าในตัวเอง นำมาแจกจ่ายเผื่อได้นึกถึงเพื่อนที่ห่างไกล
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 205 206 [207] 208 209 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><