28 มิถุนายน 2567, 22:18:20
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 201 202 [203] 204 205 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3331324 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 12 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #5050 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 17:28:21 »

พี่สิงห์

นกปากห่างจำนวนนับแสนตัวนั้น หากบริหารไม่ดี ก็อาจมีและสร้างปัญหาได้ครับ
ผมเคยเจอที่บึงบรเพ็ด ที่มีนกหนีหนาวไปพักอาศัยเป็นจำนวนมากๆ
ในส่วนข้อดีที่ให้นักท่องเที่ยวไปชมนั้น ก็มีอยู่
แต่นกจำนวนมาก กิน-ถ่ายมูลทิ้งเอาไว้มากๆ จะส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงเช่นกัน
การจะหาประโยชน์จากการท่องเที่ยวและขายสินค้า เพื่อสร้างรายได้ก็น่าทำ
คงต้องให้ชาวบ้านออกมาประชาพิจารณ์กันครับ ว่าจะทำกันอย่างไร

อย่างไรก็ตามนกนับแสนตัว ไล่ยากส์ ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5051 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 17:56:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ wannee เมื่อ 15 มกราคม 2555, 16:59:47

มาติดตามข่าวอาการของคุณแม่พี่สิงห์ค่ะ


การที่คุณแม่ไม่แสดงอาการเจ็บปวด อาจมาจากผิวหนังที่เป็นแผลไม่รับความรู้สึกแล้ว

ถ้าเป็นจริง พี่สิงห์จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงหรือเกรงว่าคุณแม่จะเจ็บแผล และต้องอดทนอย่างมากๆ

เราคนเป็นลูกก็อยากให้แม่สบายตัวมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ในยามที่แม่เจ็บป่วย

สวัสดีค่ะ คุณน้องเสียด ที่รัก

            มันคงเป็นเช่นนั้น เมื่อก่อนแม่ไม่เคยนอนทั้งวันเลย แต่วันนี้แม่นอนหลับตาทั้งวันเลย  ยกเว้นเวลาจับพลิกตัวเท่านั้นที่จะร้อง แต่ใบหน้ายังแจ่มใสสดชื่น ไม่เชื่อว่าจะเจ็บหนักเลย  เมื่อตอนบ่ายผมเรียก แม่ยังจำได้ครับ

            ขอบคุณมาก สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5052 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 18:00:55 »

อ้างถึง
ข้อความของ supapon เมื่อ 15 มกราคม 2555, 16:35:20
สวัสดีค่ะ พีี่สิงห์
         มาเป็นกำลังใจด้วยอีกคนค่ะ
เข้าใจว่าพี่และครอบครัวรู้สึกอย่างไร เพราะเพิ่งประสพมาเมื่อ มิย.-ส.ค.ปีที่ผ่านมา
พ่อป่วย และพวกเราก็ต้องนับถอยหลัง ดูความเสื่อมของสังขารมนุษย์ และก็สิ้นใจ
ในที่สุด มีสื่งหนึ่งที่คนแก่เวลาป่วยจะเหมือนกัน คืออยากกลับบ้าน เพื่อนน้องที่
เป็นพยาบาลเขาเรียนปริญญาเอก ทำวิจัยเรื่องคนชราป่วย เขาบอกว่าเป็นอย่างนั้่นจริง ๆ
และสิ่งหนึ่งที่สำคัญคืออยากให้ลูกหลานอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา จับมือหรือร่างกายท่านตลอด
แม้ยามหลับ ท่านจะรู้สึกอุ่นใจค่ะ
miew 18.


สวัสดีค่ะ คุณน้องเหมี๋ยว ที่รัก

           ขอบคุณที่แนะนำสิ่งดีๆ ให้พี่สิงห์ครับ  ผมเองก็พยายามกระทำ และน้องสาวก็พยายามกระทำ  แต่พี่สิงห์ไอตลอดเวลา ก็ไม่กล้าเข้าใกล้มากกลัวนำโรคไปติดท่าน แต่ที่จริง แม่ พี่สิงห์ และน้องสาว ก็เป็นหวัดกันทั้งสามคนพร้อมกันมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว จนแม่หายก่อน ผมคงเป็นคนสุดท้าย ครับ

           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5053 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 18:02:51 »

อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 15 มกราคม 2555, 16:54:48
สวัสดีค่ะ  พี่สิงห์ ..      sorry

สวัสดีค่ะ คุณน้องยาหยี ที่รัก

            พี่สิงห์ ต้องขอขอบคุณเธอเป็นอย่างมาก ที่คอยเป้นเพื่อนคุย ค่ะ

             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5054 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 20:12:37 »

ก็ต้องหายหวัดช้ากว่าชาวบ้านเขาเป็นธรรมดา
เพราะมุ่งเน้นแนวทางการรักษาโดยธรรมชาติบำบัด อันได้แก่โยคะ อานาปานสติ ฯลฯ
ในขณะที่คนอื่นเขายอมใช้ยาหมอฝรั่งเร่งให้หายได้ไวๆ กันทั้งนั้น
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5055 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 20:58:06 »

                 ก็ดีไปอย่าง วันอังคารที่ ๑๗ มกราคม  ๒๕๕๕  จะได้มีข้ออ้างเจ็บคอ ไม่สามารถร้องเพลงได้แน่นอน

                 ในที่สุด น้องสาวก็ต้องจำยอม ให้รถโรงพยาบาลมารับแม่ไปอยู่โรงพยาบาลเพื่อความสบายใจ และเบาคนดูแลได้บ้าง คือ ร่างกายแม่ไม่ผลิตโปรตีน ผลคือ ทำให้ในช่องท้องมีน้ำส่วนเกินออกมาอยู่ จนท้องป่อง แม่มีความรู้สึกเจ็บ  อึดอัดและเราก็กังวล เลยนำแม่ไปอยู่โรงพยาบาลดีกว่า แต่มีข้อแม้ ไม่ใส่สายอ๊อกซิเจนช่วยหายใจ  ไม่ให้น้ำเกลือ  รักษาตามอาการเท่าที่จะทำได้ ไม่ให้แม่เจ็บเท่านั้น  แต่เท่าที่ดูไปถึงโรงพยาบาลแม่ก็นอนหลับไปด้วยแรงที่อ่อนหล้า เป็นปกติด้วยใบหน้าที่สดชื่นธรรมดา

                  เมื่อตอนเย็น น้องสาวนำแม่สวดมนต์ แม่ไม่มีแรงพอที่จะสวดมนต์ได้แล้ว  ได้แต่นอนหลับตา  ไม่พูด เพราะไม่มีแรงเพียงพอ

                  ได้แต่รอเท่านั้น  ถ้าคิดมันก็กังวล  ถ้าไม่คิดมันก็เฉยๆ ผมขอเลือกการมีสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่คิดมันเสีย มันก็ไม่ห่วงไปเอง  และผมก็เป็นส่วนเกิน ยังมีอาการไอ  ส่วนสะเหรดไม่เป็นสีเขียวแล้ว  น้ำมูกไม่มี  พูดเสียงชัดเจนขึ้น จึงต้องมานอนเฝ้าบ้าน  อยู่โรงพยาบาลมีคนช่วยดูแลแยะ ไม่เหงา สบายกว่าอยู่บ้านมาก

                   ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
แจง-24
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 10,028

« ตอบ #5056 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 21:11:09 »

มาติดตามข่าว และขอเป็นกำลังใจให้พี่ิสิงห์และครอบครัวด้วยค่ะ

 sorry
      บันทึกการเข้า

   อยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูง
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #5057 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 23:00:18 »

สวัสดีครับพี่สิงห์
เข้ามาติดตามข่าวคุณแม่พี่สิงห์ ได้รับรู้สิ่งที่พี่สิงห์และพี่น้องของพี่ปฏิบัติต่อคุณแม่แล้ว
เป็นสิ่งที่ประเสริฐและเป็นแบบอย่างแก่น้องๆ และคนทั่วไปได้อย่างดีที่สุดเลยครับ
พี่น้องทุกคนทำอย่างดีที่สุดเท่าที่ลูกจะสามารถทำได้โดยมีพี่สิงห็เป็นหลัก
ขอเป็นกำลังใจให้กับพี่สิงห์และครอบครัวม่ด้วยครับ



 sorry sorry
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5058 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 11:00:42 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

              ขอบคุณ คุณน้องแจง 24 คุณหนุ๋น และน้องๆ ทุกท่านที่เป็นห่วง

              แม่เป้นโรคสภาวะขาดโปรตีนในกระแสเลือด ภายหลังจากมาอยู่โรงพยาบาล ให้ยาฆ่าเชื้อ และน้ำเกลือ ทำให้อาการบวมลดลง  แม่สบายเพิ่มขึ้น  รู้สึกตัว แต่เนื่องจากอ่อนเพลีย  จึงนอนหลับเป็นส่วนใหญ่  ไม่ค่อยพูด  แต่อาการช้ำเกิดจากการขาดเลือดเพิ่มขึ้น กับแผลที่หลัง  ถึงแม้จะนอนบนที่นอนเฉพาะ ผู้ป่วยช่วยตัวเองไม่ได้ที่ผมซื้อมาให้นอน แล้วก็ตาม  ธรรมชาติลักษณะผู้ป่วยลักษณะนี้มันเป็นอย่างนี้  ต้องเอามาเป็นบทเรียน ทำอย่างไรเราที่จะต้องมีชีวิตอยู่ จะห่างไกลโรคเรื้อรัง คือ เบาหวาน  ความดัน  หัวใจ  หลอดเลือดตีบ-ตัน อำมพฤกษ์  อำมพาต  ที่ต้องนอนอย่างเดียว

              วิธีง่ายๆ ที่จะป้องกันคือ ควบคุมอาหาร กินอย่าตามใจปาก  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  นอนหัวค่ำ  ทำจิตให้ผ่องใสด้วยการรักษากาย วาจา ใจ ให้เป็นปกติอยู่เป็นนิจ  ใครสามารถกระทำได้ตามนี้ โอกาสห่างไกลโรคเรื่อรังเมื่อแก่เฒ่า  ก็จะลดน้อยลง เท่านั้น  เราจงมาป้องกันตัวเราเองกันดีกว่าครับ

               เมื่อเช้าผมลุกขึ้นมาหุงข้าว  เอาข้าวใส่ขันเอาไปให้แม่อนุโมทนา  จบสาธุ แล้วผมก็ไปซื้อกับข้าว เป็นแกงไก่  ต้มพะโล้ ขนมจีน และขนมครก เอาไปทำบุญที่วัดพระนอน เพราะวันนี้เป็นวันพระครับ  สิ่งที่เห็นคือ จากสภาวะน้ำท้วมที่เกิดขึ้นนานสามเดือน  ชาวบ้านมาทำบุญน้อย ข้อสังเกตุ คือ จะเป็นผู้สูงอายุ ที่ลูกหลาน เป็นมนุษย์เงินเดือน หรือเป็นข้าราชการบำนาญ และมีไม่มาก  นี่แสดงถึงอิทธิพลจากน้ำท้วม ความเป็นอยู่ของประชาชน แย่ลง นั่นเอง  และจะเพิ่มขึ้นเมื่อทางรัฐบาลปรับค่าแรงขั้นต่ำ เพราะค่าของเงินจะลดลงจากเดิม สินค้าแพงขึ้น  ความเป็นอยู่ของประชาชนจะแย่ลง เพราะรายได้เท่าเดิมหรือลดลง  นี่คือความจริงที่ต้องประสพ

                ผมดูแล้ว บวชเป็นพระที่ต้องพึ่งอาหารจากชาวบ้านก็ลำบาก เพราะชาวบ้านก็ไม่มีกินเหมือนกัน เป็นภาระ ขนาดเป็นวันพระแท้ๆ ถ้าเป็นวันธรรมดาแล้วยิ่งแย่  ทางวัดต้องทำอาหารเพิ่มทุกวัน  เป็นภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องมีกับทางวัด   ความพอดีมันไม่มีเลย  ลำบากทั้งชาวบ้าน และพระที่วัดที่ต้องพึ่งชาวบ้าน ครับ

               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5059 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 11:19:06 »

               เมื่อคืน อาการไอของผมลดลงมากๆ ครับ สะเหรดไม่เป็นสีเขียวแล้ว  คงใกล้หายแล้วครับ  ตอนนี้ผมมาอยู่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนแม่  เพื่อให้คนดูแลกลับไปบ้านเก็บสิ่งของที่บ้าน และเปลี่ยนอิริยาบถ บ้าง

                แม่นอนหลับ แต่ก็มีอาการไอเป็นระยะ ขึ้นอยู่ว่ามีแรงหรือไม่เท่านั้น ต้องพลิกตัวทุกครึ่งชั่วโมง เพื่อให้แผลมีโอกาสดีขึ้น  อยู่โรงพยาบาลก็ดีเหมือนกัน เพราะมีพยาบาลคอดูแลเพิ่มขึ้น มีการรักษาที่ดีขึ้น  แม่ก็ดีขึ้น  สบายขึ้น ก็ดีเหมือนกัน แม่คงอยู่โรงพยาบาลตลอดไป ดีกว่า ในความเห็นของผม เพื่อให้แม่สบายเท่าที่จะพึงมีได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต

                ต้องขอขอบคุณ คุณอดิสร - ธวัชชัย  ที่เป็นธุระที่พี่สิงห์จะทำหนังสือสวดมนต์ ครับ

                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #5060 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 13:43:51 »

มาให้กำลังใจพี่สิงห์ค่ะ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #5061 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 13:47:31 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 14 มกราคม 2555, 20:19:19
อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 14 มกราคม 2555, 19:26:03
สวัสดีค่ะพี่สิงห์
    ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนพี่สิงห์หลายวัน
ได้ทราบวว่าคุณแม่สุขภาพแย่ลง
มาเป็นกำลังใจให้พี่สิงห์อีกคนค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

            ณ วันนี้เธอสามารถเข้าไปนอนที่บ้านได้แล้วหรือยัง  พี่สิงห์หวังว่าเธอคงจะสามารถนอนได้แล้วนะ  อะไรๆ ที่มันเสียหายจากน้ำท้วมก็ให้มันไปกับสายน้ำที่แห้งหมดแล้ว ทรัพย์สินนอกกายนั้น สามารถหามาทดแทนได้ใหม่ครับ แต่จิตใจของเราอย่าให้มันหายไปกับสายน้ำ มีสติอยู่เสมอ เราต้องก้าวต่อไปเพราะเธอยังมีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ  ไม่เหมือนพี่สิงห์ ไม่มีเลย  ความกังวลมันหายไปแยะ และก็ไม่คิดทั้งนั้น

             สวัสดีค่ะ

ขอบคุณค่ะ พี่สิงห์ ที่เป็นห่วง เสมอมา
 ยังเข้าไปอยู่ไม่ได้ค่ะ
 กำลังทำประตู  รอคิวช่างค่ะ คิวยาวมาก
 แล้วจึงต้องถอดประตุเหล้กออกไปยิงทราย แล้วทาสีใหม่
แล้วจึงทาสีผนังและเฟอร์นิเจอร์ใหม่ค่ะ
คาดว่า น่าจะประมาณ ก.พ. ค่ะจึงกลับไปอยู่บ้านได้ค่ะ
ทำใจแล้วค่ะ พี่สิงห์ ค่อยๆทำไปค่ะ
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5062 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 13:50:20 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 16 มกราคม 2555, 13:43:51
มาให้กำลังใจพี่สิงห์ค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

            แม่มาอยู่โรงพยาบาล ให้น้ำเกลือ ยาแก้อักเสบแผล แล้ว  ทำให้อาการต่างๆดีขึ้น  ได้รับสารอาหารเพิ่ม  ทำให้มีแรง สามารถกลับมาพุดได้  ยกแขนได้ ไม่นอนซึมอีกครั้งหนึ่ง  แต่ปัญหาอยู่ที่แผล ครับ

            ขอบคุณเธอมาก และสวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5063 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 13:57:33 »

สวัสดีค่ะ คุณน้อง Tippy ที่รัก

           ตกลงตอนนี้ มีกี่คนแล้วที่จะไปร่วมงานฉลองแซยิด ดร.สุริยา  ทัศนียานนท์ ที่ร้าน Par 3 ซอยเสือใหญ่  ลาดพร้าวในวันอังคารที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๕ เริ่มตั้งแต่เวลา ๐๖:๐๐ น. จนกว่าทางร้านจะปิด

           ตอนเช้าพี่สิงห์ มีนัดทำฟันที่คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ เวลา 08:30 น. คงเสร็จประมาณไม่เกิน ๑๐:๐๐ น. หลังจากนั้นมีนัดกับ คุณอดิสร ครับ เรื่องทำหนังสือสวดมนต์

           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #5064 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 13:57:47 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 16 มกราคม 2555, 13:50:20
อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 16 มกราคม 2555, 13:43:51
มาให้กำลังใจพี่สิงห์ค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

            แม่มาอยู่โรงพยาบาล ให้น้ำเกลือ ยาแก้อักเสบแผล แล้ว  ทำให้อาการต่างๆดีขึ้น  ได้รับสารอาหารเพิ่ม  ทำให้มีแรง สามารถกลับมาพุดได้  ยกแขนได้ ไม่นอนซึมอีกครั้งหนึ่ง  แต่ปัญหาอยู่ที่แผล ครับ

            ขอบคุณเธอมาก และสวัสดีค่ะ


 ดีใจด้วยอย่างมากมากจริงๆค่ะ
 ได้รับการดูแลอย่างดี
แม่คงดีขึ้นเป็นลำดับค่ะพี่สิงห์
พี่คงคลายกังวลได้บ้างนะคะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5065 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 15:43:08 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 15 มกราคม 2555, 15:02:09
                ผมพิมพ์มาจากหนีงสือ "ธรรมะหลับสบาย" เขียนโดย ว.วชิรเมธี  เพราะอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรทำครับ

รากแก้วของความโกรธ


ปราณ
   ครูขอบใจมากสำหรับจดหมายที่ส่งตรงมาจากลอนดอนตามที่เคยสัญญาเอาไว้  ตอนนี้เมืองไทยของเราอากาศกำลังอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาวพอดี  ครูเองก็กำลังง่วนอยู่กับการเขียนตำราและนำภาวนาบ้างในบางวัน  ซึ่งเท่าที่ครูลองสังเกตดูสองสามปีมานี้มีคนรุ่นใหม่หันมาสนใจการบำเพ็ญจิตภาวนาเพิ่มขึ้น  เอาไว้วันหลังมีโอกาสเหมาะๆ ครูจะขยายความเรื่องนี้ให้ฟังอีกที

   วันวานมีลูกศิษย์ของครูคนหนึ่งโทรศัพท์ทางไกลมาหาครู  เท่าที่ฟังจากปลายสาย  ครูรู้ว่าเขากำลังทุกข์มาก  ประโยคแรกที่เขาขอร้องกับครูก็คือ  เขาขอให้ครูช่วยทำให้หายโกรธด้วย  เธอเชื่อไหมว่า  คนที่เป็นนายคนไม่น้อยกว่าห้าสิบคนในบรษัทแห่งหนึ่ง  สำเร็จการศึกษามาจากเมืองนอก  บริหารธุรกิจนับร้อยล้าน  แต่ไม่สามารถบริหาร “อารมณ์โกรธ” ของตนเองได้

   คนอย่างนี้ควรจะเรียกว่าประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวดี

   อย่างไรก็ตาม  ครูได้เตือนให้เขาสงบจิตใจและฟังครู  เขาทำตามอย่างว่าง่าย  เพราะคบหากับครูมานานแล้ว  ครูบอกให้เขาชูมือของตัวเองขึ้นมาแล้วลองพิจารณาดูว่า  นิ้วแต่ละนิ้วนั้นสั้นยาวเท่ากันหรือเปล่า  ครูบอกเขาว่า  ถ้าเธออยากให้นิ้วโป้งยาวเท่านิ้วกลาง  อยากให้นิ้วนางยาวเท่านิ้วชี้  เธอก็จะทุกข์ทันที  เขาถามว่าทำไม  ครูตอบว่า  เพราะความอยากที่สวนทางกับธรรมชาติของความเป็นจริงเช่นนั้น  ไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้เลย

   เมื่อความอยากเดินสวนทางกับความเป็นจริง  มีหรือที่เธอจะไม่ทุกข์

   เธอคงเริ่มสงสัยว่า  แล้วนิ้วทั้งห้าเกี่ยวกับอะไรกับเรื่องนี้  ครูจะขยายความให้ทราบอยู่เดี๋ยวนี้แหละ  เพราะต้นตอแห่งความโกรธของลูกศิษย์ของครูคนนั้นมาจากการที่ลูกน้องของเขาคนหนึ่งทำงานชิ้นสำคัญไม่เสร็จตามเป้าหมายจึงเกิดการ “เทศน์นอกธรรมมาสน์” กันขึ้น

   เมื่อต่างฝ่ายต่างก็แรงเข้าหากันเพราะถือว่าต่างก็มีดีด้วยกันทั้งคู่(อหังการ/ฉันแน่)  สุดท้ายลูกน้องคนนั้นซึ่งเป็นคนสำคัญของบรษัทเป็นฝ่ายหมดความอดทนก่อน  เขาจึงประกาศขอลาออกและให้สัตย์สาบานว่าจะไม่มาเหยียบที่บริษัทนั้นอีก  ซ้ำยังท้าทายด้วยว่า  ถ้าขาดเขาเสียคนหนึ่ง  บริษัทจะไปไม่รอด  เพียงเท่านี้แหละเธอเอ๋ย  ลูกศิษย์ของครูซึ่งเป็นผู้บริหารโกรธจนตัวสั่นที่ถูกท้าทาย  แต่พอลูกน้องเดินลับสายตาออกไปแล้ว  ความเสียใจอย่างลึกซึ้งก็เคลื่อนตัวเข้ามาแทนที่ความโกรธ  คราวนี้ไม่โกรธลูกน้องแล้วแต่เป็นการโกรธตัวเอง  ที่ไม่รู้จักหักห้ามใจตนจนทำให้คนของตัวเองซึ่งคบหาพึ่งพากันมานานต้องมาเลิกร้างห่างเหินกันไปอย่างไม่ไยดี

   เธอลองคิดดูสิว่า  หากเธอเป็นนายคนแล้วเสียลูกน้องมือดีไปแบบกู่ไม่กลับอีกแล้ว  เธอจะโกรธตัวเองไหม  หากเป็นครู  ครูก็คงเสียใจไม่น้อย

   แต่ที่ครูเสียใจไม่ใช่เพราะเสียดายเขา  แต่เสียใจที่ครูปล่อยให้เขากับครูเกิดความบาดหมางระหว่างกันขึ้นมาจนได้

   ครูถือคติว่า  เกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหนึ่ง  ไม่ควรโกรธหรือเป็นศัตรูกับใคร  และไม่ควรสร้างเงื่อนไขให้ใครต้องมาเป็นศัตรูกับเรา  คนจีนเขาสอนลูกสอนหลานกันมานานหลายชั่วคนแล้วว่า  “มีมิตร ๕๐๐ คนยังน้อยไป มีศัตรู ๑ คนก็นับว่ามากเกินพอ”

   คนเรากว่าจะคบกัน  เรียนรู้กัน  เชื่อใจกัน  และร่วมมือร่วมใจกันลงหลักปักฐานทำงานอะไรสักอย่างหนึ่งจนเติบโตมาด้วยกัน  ทั้งความสัมพันธ์และความสำเร็จทางธุรกิจ  ต้องใช้เวลาเรียนรู้กันนานเหลือเกิน  แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดีก็กลับมาแตกคอกันเอง  กลายเป็นน้ำแยกสายไผ่แยกกอ  เพียงเพราะตกเป็นทาสของความโกรธชั่ววูบเดียว

   เรื่องอย่างนี้เป็นใครก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดา  ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปเราได้ค้นพบว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด  ความเสียใจซึ่งมันควรจะจบไปแล้วในอดีตก็จะวกกลับมาทำร้ายเราซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้กี่ครั้งกี่หน  เพราะเหตุนี้เอง  ครูถึงได้บอกว่า  เกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหนึ่งแล้ว  อย่าได้เป็นศัตรูกับใครเขาเลย  เพราะไม่เพียงแต่เราจะต้องเจ็บปวดจากการทำร้ายของศัตรูเท่านั้น  หากเราเองยังจะต้องเจ็บปวดเพราะการทำร้ายตัวเองด้วย  “ความทรงจำอันเลวร้าย”  ที่แทรกตัวอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราเองอีกต่างหาก

   ครูบอกเขาว่า  นิ้วทั้งห้าของคนเรานั้นสั้นยาวไม่เท่ากันฉันใด  คนทุกคนต่างก็มีศักยภาพทางสติปัญญาไม่เท่ากันฉันนั้น  ก่อนที่เราจะดุใคร  หรือโกรธใคร  ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง  เพื่อน  คนรัก  หรือลูกศิษย์ของเราก็ตาม  จึงควรถามตัวเองก่อนว่า  เราใช้เขาสอดคล้องกับศักยภาพอันแท้จริงของเขาหรือไม่  เพียงไร  (Put the right man on the right job) หากเราคิดเช่นนี้ทุกครั้งก่อนที่จะดุหรือตำหนิคนอื่น  เราจะพบว่าแท้ที่จริงแล้ว  คนที่ควรตำหนิมากที่สุดก็คือตัวของเรานั่นเอง  เขียนมาถึงตรงนี้ทำให้ครูนึกถึงกวีนิพนธ์บทหนึ่งว่า

      “เมื่อพูดไป เขาไม่รู้ กลับขู่เขา         ว่าโง่เง่า งมเงอะ เซอะนักหนา
      ตัวของตัว ทำไม ไม่โกรธา         ว่าพูดจา ให้เขา ไม่เข้าใจ”
   
เมื่อครูพูดมาถึงตอนนี้  ครูสังเกตเห็นว่าเสียงของคู่สนทนาค่อยแจ่มใสขึ้น  และสุดท้ายเขาก็สามารถหัวเราะเยาะความโง่เขลาของตัวเองได้อย่างอาจหาญ  เขาสัญญากับครูว่า  เหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก  และครูเองก็ดีใจที่วันรุ่งขึ้นเขาโทรศัพท์มาบอกครูว่า เขา “เคลียร์” ทุกอย่างให้จบลงด้วยดีแล้ว  ครูถามเขาว่าได้อย่างไร

   “ขอโทษครับ  ผมผิดเอง”

   คือคำตอบที่เขาใช้กับลูกน้องคนสำคัญของตัวเอง  และด้วยถ้อยคำง่ายๆ เพียงไม่กี่คำนี้เอง  ฟ้าหลังฝนก็กลับมาสดใสเหมือนเดิม

   ปราณ   เธอคงงงมากซินะ  คำว่า “ขอโทษครับ  ผมผิดเอง”  มีปฏิหาริย์มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ

   ตามหลักทางจิตวิทยาเธอคงรู้ดีว่า  มนุษย์ทุกคนล้วนอยากให้คนอื่นมองเห็นตนว่าเป็นคนสำคัญและต่างก็มี “ปม" ด้วยกันทั้งนั้น  มากบ้างน้อยบ้างตามแต่ภูมิหลังของใครของมัน  คนบางคนก็มีปมอยากเด่น  บางคนก็มีปมด้อยที่อยากปกปิด  บางคนก็มีปมที่อยากชดเชยให้กับตัวเอง  แต่ปมทั้งหมดนั้น  พระพุทธเจ้าของเราทรงใช้คำสั้นๆ เรียกมันว่า “ตัวกู” และเรื่อง “ของกู” เท่านั้นเอง

   โดยเฉพาะเรื่อง “ตัวกู” นั้นสำคัญกว่า “ของกู” อีกหลายเท่าตัวทีเดียว เพราะถ้าไม่มี “ตัวกู”  ความรู้สึกว่า “ของกู”  ก็ไม่เกิดตามมา

   ที่ลูกน้องระดับ “มืออาชีพ”  ของเขารีบหายโกรธเจ้านายทันทีหลังจากที่ได้ยินคำว่า “ขอโทษครับ  ผมผิดเอง”  นั้น  ก็เป็นเพราะเขาซึ่งเป็นผู้ฟังอยู่ รู้สึกว่า “ตัวกู” ของเขาไม่ผิด  “ตัวกู” ของเจ้านายต่างหากที่ผิด  เมื่อผลักความรู้สึกผิดออกไปจากอกของตัวเองเสียได้ และมีคนมารับช่วงเป็นเจ้าของความผิดแทน  “ตัวกู” ของเขาก็เป็นไทและพ้นจากความผิด  ส่วนการที่เจ้านายขอให้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่งนั้น  ก็เป็นเพราะผู้ฟังรู้สึกว่าตัวกูของเขาได้รับการเชิดชูให้ลอยเด่นขึ้นมา  โดยผู้ที่ยกให้ลอยนั้นเป็นเจ้านายของเขาเสียดาย  เขาจึงยอม

   เรื่องนี้ฟังดูก็เหมือนง่าย  แต่ความจริงมันยากมากทีเดียวที่จะทำให้เป็นจริงในทางปฏิบัติ  เพราะคงจะมีคนที่เป็นนายคนไม่กี่คนเท่านั้น  ที่ยอมลด “ตัวกู”  ของตนเองให้อยู่ต่ำกว่า “ตัวกู” ของลูกน้อง

   ตรงนี้แหละที่ครูถือว่าเป็นเคล็ดลับของการบริหาร “ตัวกู” ละ

   ถ้าเธอเข้าใจเรื่อง “ตัวกู” ทั้งของตนและของคนอื่น  เธอก็ควรจะรู้ว่า  ถ้าเธออยากอยู่กับคนทั้งโลกอย่างมีความสุขก็จงถือคติ
               ๑. อย่าดูหมิ่น “ตัวกู” ของใคร
               ๒. อย่าอวด “ตัวกู” ข่มใคร  เพราะจะทำให้เกิดการปะทะกันระหว่าง “ตัวกู”
               ๓. อย่าขโมย “ตัวกู” ของใครมาเป็น “ตัวกู” ของตัวเอง (อันเดียวกับขโมยลิขสิทธิ์นั่นเอง)
               ๔. อย่ามี “ตัวกู” แทรกอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออก

               คนเราทุกคนรัก “ตัวกู” ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด  ที่โกรธ  เกลียด  ชิงชังทำลายล้างกันอย่างมโหฬารอยู่ทุกวันนี้  ล้วนมีที่มาจากเจ้า “ตัวกู” นี้ทั้งนั้น เจ้า “ตัวกู”  นี้ถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะกำจัดมัน  บางทีมันก็ขยายตัวจนกลายเป็น “ตัวกู” ระดับประเทศหรือระดับโลก  อย่าง “ตัวกู” ของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งใครๆ แตะไม่ได้เลย

   “ตัวกู” จึงเป็นรากฐานที่ตั้ง  ที่เกิดของความโกรธทุกระดับชั้น  ตั้งแต่ความโกรธของปัจเจกชนไปจนถึงความโกรธของคนทั้งประเทศและของโลก  ถ้าเราหมด “ตัวกู” ได้เมื่อไร  ก็หมดความโกรธ  หมดปัญหา  และหมดทุกข์  เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ผู้หมด “ตัวกู” แล้ว  ท่านถึงไม่เคยต่อล้อต่อเถียง หรือโกรธกับใครเขาทั้งโลกเลยยังไงล่ะ

                                                                                                                ครูเอง


             "ตัวกู" ในที่นี้ตามความคิดเห็นของผมคือ สันดาน หรือ อัตตา หรือเจตสิก ของตนเองที่ปรุงแต่ง  ซึ่งล้วนเป็น "อนัตตา"  ทั้งสิ้น แต่หลงไปว่าเป็น "ตัวกู" เป็น "อัตตา" ไปเสียฉิบ



วิธีปฐมพยาบาลความโกรธ


ปราณ
   ฉบับที่แล้วครูเล่าถึงรากแก้วของความโกรธว่ามาจากการยึดติดถือมั่นในตัวกู  เธออาจรู้สึกว่าเข้าใจยากอยู่สักหน่อย  หรือบางทีเธออาจนึกเอาเถิด  เรื่องนี้เราค่อยอภิปรายไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน  หากเธอไม่เบื่อที่จะอ่านจดหมายของครูเสียก่อน  ครูสัญญาว่าเธอจะหายข้องใจชนิดแจ้งจางปางอย่างแน่นอน

   ไม่กี่วันก่อน  ครูไปบรรยายธรรมะที่ศูนย์สุขภาพแห่งหนึ่ง  เขาขอให้ครูพูดถึงวิธีคลายโกรธอย่างง่ายๆ ที่ไม่ลึกซึ้งมาก  ครูจึงเตรียมเรื่องไปบรรยายสั้นๆ ราวครึ่งชั่วโมง  จากนั้นจึงเป็นการตอบคำถามไขข้อข้องใจ  ครูใช้เวลาครึ่งชั่วโมงอธิบายถึงวิธีง่ายๆ ที่จะใช้สำหรับรับมือกับความโกรธรวมทั้งหมด ๙ วิธีด้วยกัน  ปรากฏว่า เมื่อบรรยายเสร็จแล้ว  ที่ประชุมแสดงความชื่นชมกันพอสมควร  ครูไม่อยากให้สิ่งที่ครูพูดถึงนั้นหายไปในอากาศ  จึงขอคัดมาให้เธออ่านพร้อมจดหมายฉบับนี้ทีเดียว  ลองอ่านดูนะ

    ยามใดก็ตามที่เธอรู้สึกตัวว่า  เริ่มถูกความโกรธเข้าครอบงำแล้ว  ครูขอแนะนำให้เธอปฏิบัติตามกุศโลบายคลายโกรธเบื้องต้น ๙ ประการ  อันเป็นวิธีอภิบาลตัวเองขั้นพื้นฐานก่อนที่จะจัดการกับความโกรธอย่างเป็นระบบอีกทีหนึ่ง นั่นคือ

                ๑. รีบออกมาจากสภาพแวดล้อมที่ทำให้เธอโกรธโดยการเดินออกมาจากคู่กรณีที่ทำให้โกรธ  หรือเดินออกมาเสียจากห้องประชุม  ห้องเจรจา  ห้องสัมมนา  หรือจากโต๊ะรับประทานอาหาร  จากงานเลี้ยง  หรือกล่าวโดยสรุปก็คือ  จงออกมาเสียจากสถานการณ์ที่คุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งความโกรธให้เร็วที่สุด

                หลังจากนั้นควรไปหาที่ที่จะทำให้ตัวเองผ่อนคลายและสบายใจ  เช่นเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า  อาบน้ำ  ขัดห้องน้ำ  หรือทำงานอย่างอื่นที่จะช่วยให้ผ่อนคลาย  คุยกับพระสงฆ์องค์เจ้าเพื่อให้อารมณ์สงบลง  หรือระบายกับเพื่อนที่รักและไว้ใจได้  ซึ่งจะช่วยให้ความกดดันในจิตใจลดระดับความเข้มข้นลง
หรือไม่เช่นนั้นก็ควรไปเล่นกีฬา  รดน้ำต้นไม้  ฟังเพลงที่เธอโปรด  ดูหนังที่มีดาราซึ่งเธอชื่นชอบ  แต่ไม่ขอแนะนำให้ไปขับรถเล่น  หรือไปเดินทอดน่องตามชายหาดหรือริมฝั่งแม่น้ำอย่างเด็ดขาด  เพราะหากขาดสติขึ้นมา  จะทำให้เกิดโศกนาฏกรรมได้ง่าย  และไม่ควรหันหน้าเข้าหาอบายมุขหรือสุรายาเสพติดอย่างเด็ดขาดเช่นกัน  เพราะจะทำให้ขาดสติและสถานการณ์จะเลวร้ายหนักข้อลงไปยิ่งกว่าเดิม

                ๒. งดการติดต่อ  การพูด  การตกปากรับคำ  การเซ็นสัญญา  การอนุมัติ  และการเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ ทุกคน  จนกว่าจะหายโกรธหรือจนกว่าอารมณ์โกรธเริ่มเย็นลงจนเข้าสู่ภาวะ “รู้เนื้อรู้ตัว” แล้ว  เพราะการกระทำการใดๆก็ตามในระหว่างที่ถูกความโกรธเข้าครอบงำนั้น  จะทำให้ขาดความรอบคอบขาดคุณภาพ  และจะก่อให้เกิดความเสียหายได้อย่างมหาศาลตามมาในภายหลัง

                ๓. อย่าคะนองกาย  โดยการทุบตีทำร้ายตัวเอง  ทำร้ายคนอื่น  ซึ่งเป็นต้นตอแห่งความโกรธ  หรือทุบ  ตี  ต่อย  ทิ้ง  ทำลายสิ่งของที่อยู่ใกล้หรือไกลตัว  ควรกันตัวเองให้ออกมาเสียให้ห่างจากของมีคม  เช่น  มีด  กรรไกร  เข็ม  ปากกา  ไขควง  หรืออาวุธร้าย  เช่น  ปืน  ยาพิษ  เชือก  ยานอนหลับ  ยากล่อมประสาท  ยาฆ่าแมลง  เป็นต้น

                ๔. อย่าคะนองวาจา  โดยการโวยวายใช้ถ้อยคำหยาบคายขึ้นมึงกู หรือด่าว่าคนที่ตนโกรธทั้งโดยตรงคือต่อหน้า  หรือโดยอ้อมเช่นว่าเปรียบเปรย  กระทบกระทั่งมารดาบิดา หรือปมด้อยของฝ่ายที่ทำให้ตนโกรธ  เพราะวิธีนี้จะเป็นการกระตุ้นไฟแห่งความโกรธให้ลุกโชนและจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงหนักกว่าเดิมหลายเท่าตัวทั้งสองฝ่าย

                ๕. อย่าคะนองใจ  โดยนึกหาวิธีการท้าทายคนที่ตนโกรธ  หรือรีบตัดสินใจทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในขณะที่กำลังถูกความโกรธครอบงำ  เพื่อแสดงอาการประชดคู่กรณี  หรือแสดงท่าทียั่วยวนให้เขาเห็นว่าตนไม่ผิดไม่กลัว  ไม่สะทกสะท้าน  หรือไม่สนใจ  ไม่ให้ความสำคัญ  หรือไม่แม้แต่จะแสดงตัวให้คนอื่นเห็นว่าตนเองไม่โกรธทั้งๆ ที่กำลังโกรธจนหน้าแดง  หูแดง  ตัวสั่น  หัวใจเต้นแรง  หรือกำลังพูดไม่เป็นประโยค

                ๖. อย่าเข้าใกล้คนโง่หรือคนประเภท “นายว่าขี้ข้าพลอย” เป็นอันขาดเพราะเมื่อกำลังโกรธและต้องการที่ปรึกษาซึ่งควรจะมีความรอบครอบ คนประเภทนี้จะเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้ไม่ได้  มีแต่จะเออออห่อหมกไปตาม  สุดท้ายอาจลงเอยด้วยการสนับสนุนให้นายหรือคนที่มาปรึกษาทำการที่ร้ายแรงแฝงโทษหนักข้อยิ่งขึ้นไปอีก

                การที่เราโกรธแล้วหันหน้าไปปรึกษาคนโง่นั้น  ก็เหมือนกับคนป่วยหนักแล้วไปขอยาจากหมอเถื่อนมารับประทาน  โอกาสหายย่อมมีน้อย  แต่โอกาสตายเพราะรับประทานยาผิดขนาดนั้นมีมาก  ถ้าจะปรึกษาใครสักคนหนึ่งควรเลือกคนที่ฉลาด  มีสติ  มีวุฒิภาวะพอสมควรไว้ก่อนจะดีที่สุด
                ๗. เตือนตนเองตามหลักที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “จงเตือนตน ด้วยตนเอง” หมายความว่า  เมื่อเธอรู้สึกตัวว่ากำลังตกอยู่ในความโกรธ  หากสติยังไม่ขาดผึงลงในทันที  เธอควรมองเข้ามาภายในตัวเองแล้วเริ่มสอนตัวเองว่า “ดูสิเออ  สถานภาพของเธอในตอนนี้เป็นพ่อ  แม่  ครูบาอาจารย์  ผู้ใหญ่  ผู้บริหาร  ประธานกรรมการ  ตัวแทนของประเทศ  สมาคม  มหาวิทยาลัย ฯลฯ เธอมีสถานภาพสำคัญถึงเพียงนี้  แล้วดูเอาเถิด  มาปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในความโกรธเช่นนี้  ช่างน่าละอายเหลือเกิน  นี่ยังดีนะที่ยังพอมีสติ  มิเช่นนั้นแล้ว  หากพลาดพลั้งทำอะไรตามความโกรธมิเสียหายกันไปหมดทั้งครอบครัว  สถาบัน  องค์การ  บรัษัท  ประเทศ ฯลฯ หรือ พอเสียเถิดพ่อคุณแม่คุณ  อย่าให้ความโกรธสนตะพายให้วุ่นวายไปยิ่งกว่านี้เลย”

                ตอนที่ครูบวชเป็นเณรน้อยมีโอกาสไปเรียนวิปัสสนากรรมฐานกับอาจารย์ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง  อาจารย์ของครูเคยให้อุบายแก้ความโกรธว่า “ถ้าเธอโกรธขึ้นมาให้เธอลองเอามือลูบศรีษะของเธอดู  เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว  จิตสำนึกว่าตัวเธอเองเป็นสมณะซึ่งเป็นเพศภาวะที่ไม่เหมาะสมกับความโกรธจะกลับคืนมา”

                 ครูลองจำเอาวิธีนี้มาใช้  มันทำให้ครูเรียกสติกลับมาได้ทุกครั้งและบรรเทาความโกรธได้ทุกทีเช่นกัน  ถ้าเธอเป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นครูบาอาจารย์  หรืออยู่ในสถานภาพไหนก็ตาม  เธอก็ควรจะใช้วิธีนี้แหละเตือนตัวเอง  “นี่พ่อคุณแม่คุณเอ๋ย  มามัวโกรธอยู่อย่างนี้  เดี๋ยวเจ้านายไล่ออกจะว่าอย่างไร  ทีนี้ละ  จะเอาเงินที่ไหนใช้  จะเอาข้าวสารที่ไหนมากรอกหม้อ...” ถ้าเตือนตัวเองถึงขั้นนี้แล้ว  ยังไม่หายโกรธละก็  ลองข้อต่อไปเลย

               ๘. ควรอาบน้ำชำระกายให้สะอาด  ผ่อนคลาย  แล้วพาตัวเองไปนั่งสวดมนต์อยู่ในที่นอน  หรือไม่ก็ในห้องพระ  หรือไม่ก็เปิดเทปธรรมะฟังเบาๆ และ / หรือเปิดเพลงบรรเลงคลาสสิกฟังเบาๆ ก็ได้  การทำเช่นนี้จะเป็นการเรียกสติที่หายไปกลับคืนมา  เหมือนคนที่คิดจะทำชั่วพอปรายตาเห็นพระที่ห้อยคอตนอยู่  สติก็เตือนให้ถอยห่างออกมาจากความชั่ว ความเสื่อมได้ทันท่วงที

               ๙. อย่าดันทุรังพาตัวเองนั่งสมาธิทั้งๆ ที่กำลังโกรธอย่างแรง  เพราะยิ่งนั่งสมาธิจะยิ่งเครียดจัด  ทั้งนี้เพราะว่าในสภาพอารมณ์ที่ไม่ปกติเช่นนั้น  ถึงพยายามนั่งสมาธิก็ยากที่จะทำให้ใจสงบนิ่งได้  เหมือนรถที่กำลังวิ่งมาโดยเร็วหากคนขับรีบแตะห้ามล้อหรือเบรกอย่างจัง  จะทำให้รถพลิกคว่ำได้ทันที  ซึ่งเป็นอันตรายมากกว่าจะเกิดผลดี

                คนที่โกรธอย่างแรงแล้วพยายามหยุดตัวเองด้วยการบังคับให้ตัวเองนั่งสมาธิมีโอกาสเป็นมากกว่าจะคืนสู่ปกติภาพ

                ครูคิดว่า “บัญญัติ ๙ ประการสำหรับปฐมพยาบาลความโกรธ” ขั้นพื้นฐานเท่าที่ครูนึกได้ในตอนนี้น่าเป็นการเพียงพอที่จะทำให้เธอจัดการกับความโกรธได้อย่างค่อนข้างแน่นอนในระดับหนึ่ง  อย่างน้อยๆ ก็คงไม่ทำให้เธอเต้นไปตามความโกรธอย่างขาดสติได้อย่างแน่นอน

                ฉบับหน้าและฉบับต่อๆ ไป ครูจะเล่าให้เธอฟังว่า เมื่อเราจัดการกับความโกรธในขั้นพื้นฐานได้อยู่หมัดแล้ว  เราจะมีวิธีการอย่างไรอีกที่จะจัดการกับความโกรธให้อันตรธานไปจากใจของเราได้อย่างถาวรตลอดกาล
                                                                   
                                                                                                             ครูเอง   


                
                 ลองอ่านดูนะครับ  อาจมีประโยชน์  ผมไม่มีอะไรทำขณะนั่งเฝ้าแม่ จึงนั่งเขียนสู่กันฟังครับ  แม่ดีขึ้น

                 ความกังวลสำหรับพี่สิงห์ ไม่มี  หรือมีน้อยเต็มทีแล้ว  เพราะพี่สิงห์ ไม่ปรุงแต่งในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง  ทำไปตามหน้าที่ ที่สมควรกระทำ เพื่อความสบายใจของน้องสาว

                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5066 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 15:50:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 16 มกราคม 2555, 13:57:33
สวัสดีค่ะ คุณน้อง Tippy ที่รัก

           ตกลงตอนนี้ มีกี่คนแล้วที่จะไปร่วมงานฉลองแซยิด ดร.สุริยา  ทัศนียานนท์ ที่ร้าน Par 3 ซอยเสือใหญ่  ลาดพร้าวในวันอังคารที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๕ เริ่มตั้งแต่เวลา ๐๖:๐๐ น. จนกว่าทางร้านจะปิด

           ตอนเช้าพี่สิงห์ มีนัดทำฟันที่คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ เวลา 08:30 น. คงเสร็จประมาณไม่เกิน ๑๐:๐๐ น. หลังจากนั้นมีนัดกับ คุณอดิสร ครับ เรื่องทำหนังสือสวดมนต์

           สวัสดี

โทร.ไปถามที่สนามแล้ว เขาบอกว่า ๐๖:๐๐ พนักงานเปิดประตูยังไม่มาทำงาน
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5067 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 15:53:03 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 16 มกราคม 2555, 15:50:27
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 16 มกราคม 2555, 13:57:33
สวัสดีค่ะ คุณน้อง Tippy ที่รัก

           ตกลงตอนนี้ มีกี่คนแล้วที่จะไปร่วมงานฉลองแซยิด ดร.สุริยา  ทัศนียานนท์ ที่ร้าน Par 3 ซอยเสือใหญ่  ลาดพร้าวในวันอังคารที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๕ เริ่มตั้งแต่เวลา ๐๖:๐๐ น. จนกว่าทางร้านจะปิด

           ตอนเช้าพี่สิงห์ มีนัดทำฟันที่คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ เวลา 08:30 น. คงเสร็จประมาณไม่เกิน ๑๐:๐๐ น. หลังจากนั้นมีนัดกับ คุณอดิสร ครับ เรื่องทำหนังสือสวดมนต์

           สวัสดี

โทร.ไปถามที่สนามแล้ว เขาบอกว่า ๐๖:๐๐ พนักงานเปิดประตูยังไม่มาทำงาน
                  ยังไม่มา  ก็ไปตอน ๑๘:๐๐ น. ก็แล้วกัน เลิกงานแล้วพอดี

                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369

« ตอบ #5068 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 18:12:32 »

เป็นความยินดีที่ทราบว่าคุณแม่สบายขึ้น พูดคุยได้ ยกแขนได้ค่ะ พี่สิงห์ ..     บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
Thippy
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 377

« ตอบ #5069 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 19:23:33 »

เรียน พี่สิงห์

ดีใจมากค่ะ ที่คุณแม่พี่สิงห์ ดีขึ้นมากแล้ว คงได้กำลังใจจากพี่สิงห์ คุณแม่จึงสดใสขึ้นนะคะ

สำหรับจำนวนคน น้องเองก็ตอบไม่ได้ค่ะ ว่ากี่คนแล้ว นับไม่ได้จริงๆ เพราะพี่ป่องมีคนรักเยอะ

บอกต่อกันไป ก็ว่าจะมาร่วมงานกันหมดเลย สงสัยห้องแทบแตกแน่นอน...พรุ่งนี้ 18.00 น.

คงรู้กัน  แล้วพบกันนะคะ


น้อง Tippy
      บันทึกการเข้า
wannee
Global Moderator
Cmadong พันธุ์แท้
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: จุฬาฯรุ่นประวัติศาสตร์ 2516
คณะ: ทันตแพทยศาสตร์
กระทู้: 4,806

« ตอบ #5070 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 19:43:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ Thippy เมื่อ 16 มกราคม 2555, 19:23:33
..... สงสัยห้องแทบแตกแน่นอน...พรุ่งนี้ 18.00 น.

คงรู้กัน  แล้วพบกันนะคะ


น้อง Tippy

จะพยายามตามไปดูค่ะทิปปี้  อิ อิ
      บันทึกการเข้า

"เสียด" ภาษาจีนฮากกา แปลว่า หิมะ
wannee
Global Moderator
Cmadong พันธุ์แท้
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: จุฬาฯรุ่นประวัติศาสตร์ 2516
คณะ: ทันตแพทยศาสตร์
กระทู้: 4,806

« ตอบ #5071 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 19:51:17 »


ตอนนี้คุณแม่อยู่ที่ร.พ.  ก็มีข้อดีหลายประการค่ะพี่สิงห์ 

คุณแม่ก็สบายตัวขึ้น มีเรี่ยวแรงขึ้น  ญาติพี่น้องก็เบาใจ   พี่สาวที่อยู่อเมริกาก็กำลังเดินทางมา  จะได้มีโอกาสพูดคุยกับแม่

ไม่งั้นใจคอก็จะไม่ค่อยดีกัน   เอิ่มม

      บันทึกการเข้า

"เสียด" ภาษาจีนฮากกา แปลว่า หิมะ
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5072 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 20:16:23 »

อ้างถึง
ข้อความของ wannee เมื่อ 16 มกราคม 2555, 19:51:17

ตอนนี้คุณแม่อยู่ที่ร.พ.  ก็มีข้อดีหลายประการค่ะพี่สิงห์ 

คุณแม่ก็สบายตัวขึ้น มีเรี่ยวแรงขึ้น  ญาติพี่น้องก็เบาใจ   พี่สาวที่อยู่อเมริกาก็กำลังเดินทางมา  จะได้มีโอกาสพูดคุยกับแม่

ไม่งั้นใจคอก็จะไม่ค่อยดีกัน   เอิ่มม


สวัสดีค่ะ คุณน้องเสียด ที่รัก

            พี่สิงห์ ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด เป็นการยื้อชีวิตหรือไม่ ตอนน้องสาวถามผมว่า พี่ช่วยตัดสินใจที ว่าจะเอาแม่ไปโรงพยาบาลดีหรือไม่ เพราะเท่าที่เห็นแม่ลำบาก ลำไส้ใหญ่บวมมากจนท้องป่อง  เหตุผลที่เอาไปโรงพยาบาลก็เพื่อให้ท่านไปอย่างสงบ สบายขึ้น  จึงตัดสินใจเอาแม่ไปโรงพยาบาล จะได้มีผู้ช่วยทางวิชาการเพิ่ม เท่านั้น  แต่พอคุณหมอวิทิต  ให้น้ำเกลือ และให้ยาแก้อักเสบเพิ่ม  ผ่านไปหนึ่งคืนกับวันแม่สามารถกลับมาพูดได้ดังเดิม  ขยับแขนได้เหมือนเดิม  มีสติ รู้ตัวเวลาไม่พอใจเวลามีคนไปแกล้งแกมากขึ้น ไม่หลับอย่างเดียว  อาการบวมลดลง แต่แผล และรอยช้ำเพิ่มขึ้น ใบหน้าสดใสขึ้น

                ก็ไม่รู้ว่าตัดสินใจถูก-ผิด  แต่มันเลยไปแล้วไม่คิดทั้งนั้น แต่แม่ดีขึ้น

                ดร.สุริยา  ผมมองไม่ออกเลยถ้าคุณวิทิดา  เป็นอย่างแม่ผม อะไรจะเกิดขึ้น  เวลาคนดูแลพลิกแม่ทุกชั่วโมงนั้น ท่านรู้สึกเจ็บ เพราะกล้ามเนื้ออ่อนหล้า แต่ก็ต้องพลิกเพื่อให้บากแผลดีขึ้น และกล้ามเนื้อไม่กดทับนานเกินไป  เหมือนพลิกกระดานแบบนั้น นี่ละรูปที่เสื่อมสภาพ ย่อมเกิดเวทนาแน่นอน เราหลีกเลี่ยงได้ ด้วยการควบคุมอาหาร  พักผ่อน  ออกกำลังกาย และรักษากาย วาจา ใจ ให้สำรวมอยู่เป็นนิจ

                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5073 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 20:18:01 »

อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 16 มกราคม 2555, 18:12:32
เป็นความยินดีที่ทราบว่าคุณแม่สบายขึ้น พูดคุยได้ ยกแขนได้ค่ะ พี่สิงห์ ..    บ่ฮู้บ่หัน

            
               ขอบคุณมากค่ะ ที่ติดตามคอยเป็นกำลังใจให้กับพี่สิงห์

               สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5074 เมื่อ: 16 มกราคม 2555, 20:20:21 »

อ้าว หญิงเป้าอยู่ดีๆ ทำไมโดนหางเลขเล่าครับ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
  หน้า: 1 ... 201 202 [203] 204 205 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><