26 พฤศจิกายน 2567, 13:53:14
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 185 186 [187] 188 189 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3581318 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 40 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4650 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2554, 08:17:44 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

              วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมอยู่บ้าน จึงได้มีโอกาสตื่นมาปฏิบัติธรรมยามเช้ามืด หุงข้าวเตรียมใส่บาต เดินจงกรมออกกำลังกายหน้าบ้าน เดินไปซื้อกับข้าวใส่บาตและเป็นอาหารเช้า

              เดี๋ยวนี้จิตมันค่อนข้างที่จะเลือกอยู่บ้าน เพราะได้มีโอกาสกระทำหลายๆอย่าง โดยเฉพาะได้ใส่บาตพระ-เณรตอนเช้า มากกว่า ที่จะไปตีกอล์ฟยามเช้าตรู่ที่สนามกอล์ฟ President Country Club

              ขณะเดินจงกรมหน้าบ้าน ก็ได้น้อมนำเอาธัมมะวิจัยเรื่อง กามโยคะ หรือกามตัณหา และภวโยคะ หรือภวตัณหา มาพิจารณา เพื่อให้เกิดปัญญา น้อมนำเอาไปปฏิบัติ

              กามโยคะ คือความใคร่ (กามตัณหา คือความอยาก) เมื่อวิญญาณได้รับรู้หรือสัมผัสจาก ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่ม ลิ้นได้สัมผัส และกายได้สัมผัส เมื่อวิญญาณรับรู้แล้ว สัญญามันเกิดขึ้นคืนกลับมาทันทีทันใด เพราะเคยได้รู้สึก(เวทนา) มาก่อน รู้สึกติดใจ พอใจ อยากได้อีกครั้งหรือไม่อยากได้อีกครั้ง เกิดเป็น ภวโยคะ หรือภวตัณหา ตามมาทันที เมื่อเป็นอย่างนี้ ถ้าเราไม่มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เพียงพอแล้ว อุเบกขาก็ไม่เกิด ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ จิตมันก็จะสั่งให้รูปกระทำตามในสิ่งที่อย่ากนั้น คือรูปตกเป็นทาษของจิตทันทีโดยที่เราไม่รู้ตัว

               พระพุทธองค์ท่านจึงทรงสั่งสอนย้ำอยู่เสมอ คือ ให้สำรวมอินทรีย์อยู่เป็นนิจ หรือให้รักษากาย วาจา ใจ ให้อยู่ในทางที่สุจริต หรือ ให้อยู่ในศีล ๕ นั้นเสมอ เพราะมันจะทำให้จิตใจเราไม่ปรุงแต่ง หรือฟุ้งซ่าน เมื่อเกิดวิญญาณ(รับรู้)จากอายตนะ ๖ เพื่อให้จิตเป็นอุเบกขา คือจิตอยู่เหนือสิ่งที่รับรู้จากอายตนะ ๖ นั้น คือ เมื่อเห็นสักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เมื่อได้ดมกลิ่นสักแต่ว่าดมกลิ่น เมื่อไดลิ้มรสสักแต่ว่าได้ลิ้มรส เมื่อกายสัมผัสสักแต่ว่าได้สัมผัส และสุดท้ายสำคัญมาก คือ จิตไม่คิดปรุงแต่ง หรือฟุ้งซ่านคิดนอกกายในสิ่งที่เกิดวิญญาณ(รับรู้จากอายตนะ ๕ นั้น)

               ผมเองนั้น อยู่บ้านประสพกับสิ่งที่ไม่ปราถนาทุกวัน ทุกคืน คือเสียงที่เกิดจากวงเหล้าข้างบ้านตั้งแต่ค่ำจนดึกทุกวันและเสียงดังมาก  ถ้าผมไปปรุงแต่งตามก็ไม่สามารถที่จะทนรับฟังอยู่ได้ นอนไม่หลับ จึงต้องคิดในทางตรงกันข้ามแทน คือฝึกจิตของเราไม่ให้ได้ยินเสียง ด้วยการมีสติอยู่กับอิริยาบถกาย ไม่ปรุงแต่งในสิ่งที่ได้ยินนั้น มันก็ไม่ได้ยินเสียงนั้น สามารถปฏิบัติธรรม และหลับได้สบายโดยไม่รู้ว่าพวกวงเหล้าเขาคุยเรื่องอะไรกัน ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็คงต้องผิดใจกันสักวันเพราะเราทนไม่ได้ก็จะต้องไปต่อว่า ก่อทุกข์ภัยตามมาแน่ๆ แต่ถ้าเราเอาชนะด้วยจิตที่ไม่ปรุงแต่งแล้ว เราก็ทนอยู่ได้ ไม่ทุกข์ เพราะไม่ได้ยินเสียง(ไม่ได้คิดตาม ได้ยิน แต่ไม่รู้เรื่องว่าเขาคุยเรื่องอะไรกัน)นั้น เป็นการเอาชนะจิตเราได้อีกทางหนึ่งครับ

                สำหรับวงเหล้านั้น คงอีกไม่นานก็คงเลิกเพราะ ไม่มีเงิน และสุขภาพจะไม่ไหว ตับ ไต จะทนไม่ได้แล้วเพราะดื่มทุกวัน ไม่ยกเว้น ยิ่งวันหยุดตั้งวงตั้งแต่เที่ยงเลย ร่างกายมันทนไม่ไหวหรอกครับ ปล่อยเขาไปอย่างนั้น เราเตือนอะไรเขาไม่ได้ เราก็อยู่ของเราได้ ทั้งๆที่เขามาอาศัยซอยข้างบ้านเราทำอู่ซ่อมรถฟรี เขาไม่เกรงใจเราบ้างก็ปล่อยเขาไป เราเอาชนะจิตของเราให้ได้ก็อยู่ด้วยกันได้ ครับ

                สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4651 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2554, 08:28:42 »

                และวันนี้มีเวลา ได้กำหนดต้องทำ Detox พอดี หลังจากว่างเว้นมาสองอาทิตย์แล้ว และวันนี้ผมต้องเดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมาช boarding 14:15 น. โดย Nok Air คุณน้องสุภา(เปียก) ได้เอาปฏิทินการบินไทย มามอบให้โดยฝากไว้ที่โรงแรมทวินโลตัส ครับ

                 อากาศกรุงเทพฯ ไม่หนาววันนี้ ดังนั้น วันนี้ที่นครศรีธรรมราช คงไม่มีฝนและทัศนะวิสัยหน้าที่จะดี เครื่องบินสามารถลงจอดได้ ครับ

                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4652 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2554, 08:29:28 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 15 ธันวาคม 2554, 07:40:52
รู้ประวัติพุทธสาวก ภิกษุณี อรหันต์ เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๓

พระอุบลวรรณาเถรี

เอตทัคคะในฝ่ายผู้มีฤทธิ์


                พระอุบลวรรณาเถรี เกิดในตระกูลเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี บิดามารดาได้ตั้งชื่อให้นางว่า “อุบลวรรณา” ตามนิมิตลักษณะที่นางมีผิวพรรณเหมือนกลับดอกอุบลเขียว

            • เพราะสวยบาดใจจึงต้องให้บวช

                เมื่อนางเจริญวัยเข้าสู่วัยสาว นอกจากจะมีผิวงามแล้วรูปร่างลักษณะยังงดงามสุดเท่าที่จะหาหญิงอื่นทัดเทียมได้ จึงเป็นที่หมายปองต้องการของพระราชาและมหาเศรษฐีทั่วทั้งชมพูทวีป ซึ่งต่างก็ส่งเครื่องบรรณาการอันมีค่า ไปมอบให้พร้อมกับสู่ขอเพื่ออภิเษกสมรสด้วย
                ฝ่ายเศรษฐีผู้บิดาของนางรู้สึกลำบากใจด้วยคิดว่า
               “เราไม่สามารถที่จะรักษาน้ำใจของคนทั้งหมดเหล่านี้ได้ เราควรจะหาอุบายทางออกสักอย่างหนึ่ง”
                แล้วจึงเรียกลูกสาวมาถามว่า:-
               “แม่อุบลวรรณา เจ้าจะสามารถบวชได้ไหม ?”
                นางได้ฟังคำของบิดาแล้วรูสึกร้อนทั่วสรรพางค์กายเหมือนกับมีคนนำเอาน้ำมันที่เคี่ยวให้เดือด ๑๐๐ ครั้ง ราดลงบนศีรษะของนาง ด้วยว่านางได้สั่งสมบุญมาแต่อดีตชาติ และการเกิดในชาตินี้ก็เป็นชาติสุดท้ายของนาง
                ดังนั้น นางจึงรับคำของบิดาด้วยความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เศรษฐีผู้บิดาจึงพานางไปยังสำนักของภิกษุสงฆ์แล้วให้บวชเป็นที่เรียบร้อย

                เมื่อนางอุบลวรรณาบวชได้ไม่นาน ก็ถึงสาระที่จะต้องไปทำความสะอาดโรงอุโบสถ เธอได้จุดประทีปเพื่อขจัดความมืดแล้วกวาดโรงอุโบสถ เห็นเปลวไฟที่ดวงประทีปแล้วยึดถือเอาเป็นนิมิตร ขณะที่กำลังยืนอยู่นั้นได้เข้าฌานมีเตโช กสิณเป็นอารมณ์ แล้วกระทำฌานนั้นให้เป็นฐานเจริญวิปัสสนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาและอภิญญาทั้งหลาย ณ ที่นั้นนั่นเอง

                เมื่อพระเถรีสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้เที่ยวจาริกไปยังชนบทต่าง ๆ แล้วกลับมาพักที่ป่าอันธวัน
                สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคยังมิได้ทรงบัญญัติห้ามภิกษุณีอยู่ในป่าเพียงลำพัง ประชาชนได้ช่วยกันปลูกกระท่อมไว้ในป่าพร้อมทั้งเตียงตั่งกั้นม่านแล้วถวายเป็นที่พักแก่พระเถรีนั้น

           • บวชแล้วยังถูกข่มขืน

               ฝ่ายนันทมาณพ ผู้เป็นลูกชายของลุงของพระเถรีนั้น มีจิตหลงรักนางตั้งแต่ยังไม่บวชเมื่อทราบข่าวว่าพระเถรีมาพักที่ป่าอันธวันใกล้เมืองสาวัตถี จึงได้ถือโอกาสขณะที่พระเถรีเข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถีนั้น ได้เข้าไปในกระท่อมหลบซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง เมื่อพระเถรีกลับมาแล้ว เข้าไปในกระท่อมปิดประตูแล้วนั่งลงบนเตียง ขณะที่สายตายังไม่ปรับเข้ากับความมืดในกระท่อม นันทมาณพก็ออกมาจากใต้เตียงตรงเข้าปลุกปล้ำข่มขืนพระเถรี ถึงแม้พระเถรีจะร้องห้ามว่า:-

              “เจ้าคนพาล เจ้าอย่าพินาศฉิบหายเลย เจ้าคนพาล เจ้าอย่าพินาศฉิบหายเลย”

               นันทมาณพ ก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ได้ทำการข่มขืนพระเถรีสมปรารถนาแล้วก็หลีกหนีไป พอเขาหลบหนีไปได้ไม่ไกล แผ่นดินใหญ่ก็มีอาการประหนึ่งว่าไม่สามารถจะรองรับน้ำหนักของเขาเอาไว้ได้ จึงอ่อนตัวยุบลงแล้วนันทมาณพก็จมดิ่งลงในแผ่นดิน ไปเกิดในอเวจีมหานรก
               ฝ่ายพระอุบลวรรณาเถรี ก็มิได้ปิดบังเรื่องราวที่เกิดขึ้น ได้บอกแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นกับตนนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ต่อจากนั้นเรื่องราวของพระเถรีก็ทราบถึงพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ได้ตรัสพระคาถาภาษิตว่า:-

              “คนพาล ย่อมร่าเริงยินดีในบาปกรรม ลามกที่ตนกระทำ ประดุจว่าดื่มน้ำผึ้งที่มีรสหวาน จนกว่าบาปกรรมนั้นจะให้ผลจึงจะได้ประสบกับความทุกข์ เพราะกรรมนั้น”

           • พระขีณาสพเหมือนไม้แห้งไม้ผุ

               เมื่อกาลเวลาล่วงไป ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรม เกี่ยวกับเหตุการณ์ของพระอุบลวรรณาเถรี นั้นว่า:-

              “ท่านทั้งหลาย เห็นทีพระขีณาสพทั้งหลาย คงจะยังมีความยินดีในกามสุข คงจะยังจะพอใจในการเสพกาม ก็ทำไมจะไม่เสพเล่า เพราะท่านเหล่านั้นมิใช่ไม้ผุ มิใช่จอมปลวก อีกทั้งเนื้อหนังร่างกายทั่วทั้งสรีระก็ยังสดอยู่ ดังนั้น แม้จะเป็นพระขีณาสพก็ชื่อว่ายังยินดีในการเสพกาม”

                พระบรมศาสดา เสด็จมาแล้วตรัสถาม ทรงทราบเนื้อความที่พวกภิกษุเหล่านั้นสนทนากัน แล้วจึงตรัสว่า:-

               “ภิกษุทั้งหลาย พระขีณาสพทั้งหลายนั้นไม่ยินดีในกามสุข ไม่เสพกามเปรียบเสมือนหยาดน้ำตกลงในใบบัวแล้วไม่ติดอยู่ ย่อมกลิ้งตกลงไป และเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ผักกาด ย่อมไม่ติดตั้งอยู่บนปลายเหล็กแหลม ฉันใด ขึ้นชื่อว่ากามก็ย่อมไม่ซึมซาบ ไม่ติดอยู่ในจิตของพระขีณาสพ ฉันนั้น”

           • ห้ามภิกษุณีอยู่ป่า

               ต่อมาพระบรมศาสดา ทรงพิจารณาเห็นภัยอันจะเกิดแก่กุลธิดาผู้เข้ามาบวชแล้วพักอาศัยอยู่ในป่า อาจจะถูกคนพาลลามกเบียดเบียนประทุษร้าย ทำอันตรายต่อพรหมจรรย์ได้ จึงรับสั่งให้เชิญพระเจ้าปเสนทิโกศลมาเฝ้า ตรัสให้ทราบพระดำริแล้ว ขอให้สร้างที่อยู่อาศัยเพื่อนางภิกษุณีสงฆ์ในที่บริเวณใกล้ ๆ พระนคร และตั้งแต่นั้นมา ภิกษุณีก็มีอาวาสอยู่ในบ้านในเมืองเท่านั้น
               
               พระอุบลวรรณาเถรี ปรากฏว่าเป็นผู้ชำนาญในการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ดังจะเห็นได้ในวันที่ พระบรมศาสดาทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์นั้น พระเถรีก็กราบทูลอาสาขอแสดงฤทธิ์เพื่อต่อสู้กับพวกเดียรถีย์แทนพระพุทธองค์ด้วย และทรงอาศัยเหตุนี้จึงได้ทรงสถาปนาพระอุบลวรรณาเถรี นี้ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้มีฤทธิ์ และเป็นอัครสาวิการฝ่ายซ้าย

                อยากให้อ่านครับ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4653 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2554, 19:22:21 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 15 ธันวาคม 2554, 08:28:42
                และวันนี้มีเวลา ได้กำหนดต้องทำ Detox พอดี หลังจากว่างเว้นมาสองอาทิตย์แล้ว และวันนี้ผมต้องเดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมาช boarding 14:15 น. โดย Nok Air คุณน้องสุภา(เปียก) ได้เอาปฏิทินการบินไทย มามอบให้โดยฝากไว้ที่โรงแรมทวินโลตัส ครับ

                 อากาศกรุงเทพฯ ไม่หนาววันนี้ ดังนั้น วันนี้ที่นครศรีธรรมราช คงไม่มีฝนและทัศนะวิสัยหน้าที่จะดี เครื่องบินสามารถลงจอดได้ ครับ

                 สวัสดี


พี่สิงห์คะ,
วันนี้บ้านหนิงเค้าเตือนพายุลมแรง
แรงเร็ว 120 km /h ร้ายแรงเหมือนที่
เคยเกิดเมื่อ 12 ปีก่อน..พายุโรธาร์
ตั้งแต่16.00 น.เป็นต้นไป
ให้เก็บข้าวของข้างนอกที่อาจปลิวว่อนได้
ความแรงระดับนี้...หลังคา/กระเบื้องปลิวกันได้พี่.

ตอนนี้,บ่ายโมงกว่า เงียบสงบ
นกหนูหมูหมากาไก่..เงียบจนผิดปกติ
เป็นความเงียบที่น่ากลัวคะ.

บ่าย4โมงหนิงต้องไปหาหมอฟันด้วยพี่
ไม่รู้พายุมาตามที่พยากรณ์เพ๊ะมั้ยว่า..ตั้งแต่16.00น
แคว้นนี้ลมตะวันตกเฉียงใต้จะกวาดเรียบ
เรี่ยร่ายรายทาง...
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4654 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2554, 20:22:49 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

           - พี่สิงห์ อยู่นครศรีธรรมราช เรียบร้อย ฝนไม่ตกตามคาด อากาศดี เลยสามารถไปออกกำลังกายเทอเรสชั้นสามได้สบายมากเมื่อเย็นที่ผ่านมา

           - เดี๋ยวนี้การพยากรณ์อากาศค่อนข้างที่จะเที่ยงตรง เพราะใช้ดาวเทียมเป็นหลัก เธอควรระวังไว้ดีแล้ว ยิ่งลมสงบนั่นละพายุมาแน่ๆ เพราะ ความสงบของอากาศนั้น เป็นการบอกให้เรารู้ล่วงหน้า ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ครับ

            - หน้านี้ทางนครศรีธรรมราช แขกโรงแรมน้อย รายการสัมมนาที่เคยมีชุกชุม ปรากฏว่าไม่ค่อยมีเลย คงโดนตัดงบประมารไปช่วยน้ำท้วมทั้งหมด มันก็ดีเพราะการสัมมนาเมืองไทยนั้นมีแยะมาก แต่มันจบในห้องไม่นำไปปฏิบัติ ครับ แขกโรงแรมเลยมีแต่พนักงานบริษัท เชฟล่อน ที่มานอนรอขึ้นเครื่องบินปีกหมุนไปที่แท่นขุดเจาะในทะเล ครับ

            - และก็มีครอบครัวฝรั่งที่แต่งงานกับคนนครศรีธรรมราช หนีหนาว มาอยู่ที่โรงแรม มาเยี่ยมบ้านตัวเอง หลายครอบครัวเหมือนกันครับ

            - อาหารเย็นของพี่สิงห์ เป็นส้มตำไทย กับหมูน้ำตก ครับ เย็นที่ผ่านมา

              สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4655 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2554, 20:35:26 »

พี่สิงห์คะ,
ปีนี้พี่ไม่ไปล้างพิษที่จอมทองเหรอคะ?
เผอิญช่วงนี้หนิงได้ยินข่าวงานราชพฤกษ์
ที่เชียงใหม่...ยินว่าจัดหรู หะรูหะราให้คน
ทั่วประเทศมาเที่ยว...มาชม? ชมต้นไม้และสวน?
ปล่าวคะ!คณะจัดงาน เข้ารกเข้าพง
งานพืชสวนควรหาไม้หาพันธุ์แปลกๆร่มรื่นแบบสวน
ให้คนมาเดิน...ไม่เน้น!!ไปเน้นแสงสีและไฟคะ
มาติดตั้งกี่ล้านดวงน่ะ สิ้นเปลืองงบ
แทนที่จะไปหาไม้ใหญ่มาปลูกให้ร่มให้เงา
ผู้คนที่มาเดินกลางแดดเปรี้ยงๆนั่นดูจะไม่สำคัญ!
ไปให้ความสำคัญกะไฟ ไฟกระพริบ


งั้นเปลี่ยนชื่อซะเลยก็หมดเรื่อง
"งานไฟฤดูหนาวที่สวน..."
ว่ากันไป
อะไรก็ไม่รู้
เห่ยจริงแล้ว


เอ๊ะ,ปากจัดตั้งแต่เมื่อไหร่นี่
นั่นไม่ไช่หนิงคะพี่สิงห์
วิญญาณต้นไม้สวนราชพฤกษ์
ดลใจให้มาพูดแทนคะ.
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4656 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2554, 21:13:47 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

             - โรงพยาบาลจอมทอง ก็ยังอยู่ในโครงการ แต่พับเก็บอยู่บนโตีะ เพราะยังไม่ได้ตัดสินใจ และอยากจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสุคะโต แทนเพราะได้ทั้งสุขภาพ และจิต (ที่วัดป่าสุคะโต อาหารแบบชาวบ้าน และผักสดที่ทางวัดปลูกเอง รับประทานสองมื้อ ได้คุณค่าเท่าโรงพยาบาล แต่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และได้ทำบุญ) เวลาตรงกันเลยในเดือนธันวาคม ๒๕-๒๙  แนวโน้มไปปฏิบัติธรรมดีกว่าเพราะต้องไปอวยพรวันเกิดพรรคพวกที่สูงเนินอยู่แล้ว และให้เขาไปส่งที่วัดได้ครับ

              - พืชสวนโลก คิดว่าจะไปเดือนมกราคม ไปเยี่ยมโรงงานคอนกรีตอัดแรงพรรคพวกที่เชียงใหม่และเชียงราย ยังจัดวันกับทาง SIW อยู่ คือหาสปอนเซอร์ช่วยค่าใช้จ่าย ครับ

              - กุมภาพันธ์ ๒๐-๒๙ พี่สิงห์ กับ ดร.กุศล ไปอินเดีย

              - มีนาคม ต้นเดือน ทาง SIW พาไปมิลานและสวิส

                สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4657 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2554, 21:20:07 »

เอ๊ะ,พี่สิงห์จะไปอินเดียอีกรอบเหรอคะ?
คราวนี้เส้นทางไหนคะ?
คนละที่กะกุมภาปีนี้นะคะ?

แต่อิตาลี-สวิส พี่ตรง Karnevalแน่ๆ
หนิงค่อนข้างแน่ใจ.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4658 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 05:42:41 »

พี่สิงห์,
ได้ยินมาอีกแหล่ว
ว่างานพืชสวน...งานไฟราชพฤกษ์
เค้าลดราคาวันละ1จังหวัด
วันนี้เริ่มวันแรกของชาวถิ่นVenue
ชาวเชียงใหม่จ่ายค่าเข้าชมถูก

มกราที่พี่จะไปชม,ตรงกะ
เอ๊ะ,แล้วสำมโนครัวพี่อยู่ไหนคะนี่?
สิงห์บุรีรึกรุงเทพ?
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4659 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 06:16:49 »

พี่สิงห์ไปมารึปล่าวคะกะชาวหอเมื่อ
งานพืชสวนโลก 2549?
Jan 2007หนิงเพิ่งเข้าเวบคะ
จำได้.

มีเสียงกระซิบ,ตอนนั้นที่เตรียมงาน
เค้าโค่นไม้ใหญ่สวนเดิมที่เป็นสวน
วรรณคดีร่มรื่น...ซะเหี้ยนเตียนเพื่อ
เพื่อปลูกไม้ดอกไม้พุ่ม...ในงานเลย
เดินกันกลางแดดเปรี้ยงๆ...แล้วไงคะ?




พี่สิงห์รึพี่น้องท่านไหนไป
ฝากหาต้นไม้ราคาเป็นแสน
ห้าต้นนี้ให้ด้วยคะ...ว่ายังอยู่มั้ย??
"ปาล์มขวด"..หายากและแพง
เมื่อ 5 ปีก่อนมีคะ

แว่วๆว่ามีคนมาขนไปให้ท่าน
ท่านไหนก็ไม่รู้ค่ะ

      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4660 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 06:34:21 »

ซีมะโด่งราชพฤกษ์ทัวร์ 2007
พี่สิงห์ก็ไป หนิงมีหลักฐาน.




      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4661 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 06:42:17 »

พี่สิงห์เดี๋ยวชมพู
เดี๋ยวเหลือง...
แต่เด่นคะ หาเจอทันที.




      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4662 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 07:07:00 »

ทุ่มสี่สิบ ศุกร์ 12  มกราคม 2550 รถไฟเคลื่อนขบวน
ออกจากสถานีหัวลำโพง  สมาชิกรวม 84 คน  
รถนอนแอร์  2  โบกี้



เมนูอาหารตอนเช้า



สิบโมงเช้าได้เวลารถไฟเทียบท่าเข้าสถานีเชียงใหม่  
มีรถทัวร์ 2  คันมาจอดรอพวกเราอยู่แล้ว



รถคันที่ 1  มีพี่สิงห์13  เป็นหัวหน้าคอยให้ข้อมูลและเกร็ดความความรู้ต่างๆ




 


Quelle: น้องลูกพิ้ง!
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4663 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 08:34:13 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

              วันนี้นครศรีธรรมราชฝนตก ไม่เห็นแสงตะวันเลยครับ

               ผมโชคดี ที่เมื่อเริ่มศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจังนั้น เนื่องจากผู้ไม่ชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ จึงไม่ได้อ่านหนังสือธรรมะจากหลวงพ่อองค์ใดเลย ไม่เคยไปปฏิบัติธรรมที่ไหนเลย ไม่รู้เรื่องการนั่งสมาธิด้วยซ้ำไปว่า ทำไปทำไม ผมรู้เพียงเปลือกของศาสนาพุทธ ตามที่ได้เล่าเรียนมาจากชั้นมัะยมต้น และธรรมะศึกษาตรี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพุทธประวัติ และคติธรรม และเป็นชาวพุทธตามที่บรรพบุรุษปฏิบัติตามๆ กันมาเท่านั้น คือทางศาสนะพิธี ไปทำบุญใส่บาต บริจาคเงิน และเคยบวชพระมา เท่านั้น

                ผมโชคดี ที่เริ่มต้นศึกษาศาสนาพุทธจาก พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน ที่วางไว้หัวที่นอนโรงแรมทวินโลตัส อ่านจบครั้งแรก ไม่เข้าใจ แต่ชอบ อ่านจบเที่ยวที่สอง รู้ว่ามีอะไรดีๆ แยะและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการทำงาน ในการดำรงชีวิตในสังคม อ่านจบครั้งที่สาม เลยรู้ว่าแก่นของศาสนาพุทธ จุดประสงค์ของพุทธเจ้า และหลักของศาสนาพุทธคืออะไรที่แท้จริง และภายหลังจากการปฏิบัติธรรม สามารถอ่านเข้าใจความหมายในหลักคำสอนของพระพุทธองค์ สามารถจำหลักธรรมนั้นได้ดี เข้าใจในสิ่งที่พระสวดมนต์สาธยายพระสูตร เป็นอย่างดี จากความรู้ที่ได้ เมื่อไปอ่านหนังสือของพระอาจารย์ต่างๆ ที่เขียนขึ้นมานั้น สามารถแยกแยะออกได้ว่าอันไหนตรงกับพระสูตร อันไหนไม่ใช่ อันไหนคือหลักพุทธศาสนาที่แท้จริงได้ โดยยึดถือพระไตรปิฎกเป็นหลัก ตามที่พระพรหมคุณาภรณ์ ให้ยึดถือ เพราะนั่นคือพระสูตรที่ใกล้เคียงคำสอนของพระพุทธองค์ที่สุด คือพระไตรปิฎกของฝ่ายหินยาน นิกายเถรวาท ที่ผ่านการสังคายนามาครั้งที่ ๑ หลังสิ้นพุทธกาล โดยตรง ฉบับบาลี ที่แปลออกมาเป็นภาษาไทยนี่ละ

                 ศัพท์บางคำ เมื่อก่อนไม่เข้าใจ แต่ปัจจุบันสามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ไม่ต้องแปลกลับไปมาก็รู้และเข้าใจดี เพียงแค่นี้ ก็เป็นกุศลสำหรับผม ที่จะนำเอาไปปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน แล้วครับ

                  สวัสดี


๑. อะไรเป็นแก่นสารในพระพุทธศาสนา
                 
                   สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี มีพราหมณ์ผู้หนึ่ง ปิงคลโกจฉะ เข้าไปเฝ้า เมื่อได้กล่าวทักทายปราสรัยพอสมควรแล้ว พราหมณ์นั้นจึงกราบทูลว่า

                  "พระโคดมผู้เจริญ ! สมณพราหมณ์ที่เป็นเจ้าหมู่คณะเป็นคณาจารย์ มีคนรู้จักมาก มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ อันชนหมู่มากเข้าใจกันว่าเป็นคนดี เช่น ปูรณะ  กัสสปะ, มักขลิ โคสาล , อชิตะ เกสกัมพล , ปกุธะ กัจจายนะ , สัญชัย เวลัฏฐบุตรและนิครนถนาฏบุตร. สมณพราหมณ์ทั้งหมดนั้น รู้แจ้งเห็นจริงตามปฏิญญาของตน หรือว่าไม่รู้แจ้งเห็นจริงเลย หรือบางพวกรู้ บางพวกไม่รู้"

                   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "อย่าเลยพราหมณ์ ! ข้อที่สมณพราหมณ์ทั้งหมดนั้นรู้แจ้งเห็ยจริงตามปฏิญญาของตน หรือไม่รู้แจ้งเห็นจริงเลยเป็นต้นนั้น จงยกไว้ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงตั้งใจฟังให้ดีเถิด"

                   เมื่อพราหมณ์ทูลรับคำแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า "ดุก่อนพราหมณ์ ! มีข้ออุปมาว่า บุรุษผู้ต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อมีต้นไม้ใหญ่มีแก่นยืนต้นอยู่ ละเลยแก่น, กระพี้, เปลือก, และสะเก้ดไม้เสีย ตัดเอาแต่กิ่งและใบไม้ไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น คนที่รู้เรื่องดีเห็นเข้า ก็จะพึงกล่าวว่า บุรุษผู้นี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกะพี้, เปลือก, สะเก็ด , กิ่งและใบไม้ เมื่อต้องการแก่นไม้ จึงละเลยแก่นเป็นต้น ตัดเอาแต่กิ่งและใบไม้ไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น ทั้งจะไม่ได้รับประโยชน์จากกิ่งและใบไม้นั้นด้วย"


สรุปความ

                     ๑. ลาภสักการะชื่อเสียง เปรียบเหมือนกิ่งไม้ใบไม้
                     ๒. ความสมบูรณ์ด้วยศีล เปรียบเหมือนสะเกิดไม้
                     ๓. ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ เปรียบเหมือนเปลือกไม้
                     ๔. ญาณทัสสนะ หรือปัญญา เปรียบเหมือนกะพี้ไม้
                     ๕. ความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบ ซึ่งใช้คำภาษาบาลี "อกุปฺปา  เจโตวิมุตฺติ" เปรียบเหมือนแก่นไม้


๑๕. ผู้กล่าวตู่พระตถาคต

                    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! บุคคล ๒ ประเภทเหล่านี้ ย่อมกล่าวตู่ (หาความ) ตถาคต คือบุคคลผู้คิดประทุษร้าย มีโทสะในภายใน ๑  ผู้มีศรัทธา  กล่าวตู่ด้วยถือเอาความหมายผิด ๑ (แสดงให้เห็นว่า ผู้ให้ร้ายพระพุทธเจ้า ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่โกรธ หรือเกลียดชังเท่านั้น ผู้เคารพนับถือ มีศรัทธานั่นแหละ ถ้าเรียนผิด ทรงจำผิด หรือเข้าใจผิด ก็อาจพูดด้วยความเข้าใจผิดนั้น เป็นไปในทางให้ร้ายได้เหมือนกัน)  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๒ ประเภทเหล่านี้แล ย่อมกล่าวตู่ตถาคต."  


                    

                      สำหรับกรณีของวัดธรรมกาย นั้น เท่าที่อ่านดูหนึ่งในสี่ เป็นการ "กล่าวตู่พระพุทธเจ้า" ในกรณีที่ ๒ คือ มีศรัทธา บวชอยู่ในพุทธศาสนา แต่ตีความหมายหลักการของพระพุทธศาสนา ตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนเอาไว้ เรื่อง อนัตตา การทำบุญ และอิทธิฤทธิ ผิดไปจากพระสูตร ที่มีในพระไตรปิฎก  เป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย จะเป็นจุดเสื่อมของศาสนาพุทธ ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงทำนายไว้

                     ถ้ามีความเห็นแตกต่างไปจากพระพุทธองค์ ก็ควรที่จะสึกออกไปตั้งเป็นนิกายใหม่ ตามนิกายมหายาน หรือพระญี่ปุ่น ที่สามารถมีเมีย มีลูกได้แบบ นั้น ไม่มีใครว่ากัน เมื่อมีศรัทธา บวชอยู่ในศาสนาพุทธก็ไม่ควร "กล่าวตู่ตถาคต" ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสเอาไว้ก่อนแล้ว
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4664 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 10:20:23 »

รู้ประวัติพุทธสาวก ภิกษุณี อรหันต์ เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๔

พระปฏาจาราเถรี

เอตทัคคะในฝ่ายผู้ทรงพระวินัย


                  พระปฏาจาราเถรี เป็นธิดาของมหาเศรษฐีในเมืองสัตถี เมื่ออายุย่างได้ ๑๖ ปี เป็นหญิงมีความงดงามมาก บิดามารดาทะนุถนอมห่วงใยให้อยู่บนปราสาท ชั้น ๗ เพื่อป้องกันการคบหากับชายหนุ่ม

            • ดอกฟ้าได้ยาจก

                 แม้กระนั้น เพราะนางเป็นหญิงโลเลในบุรุษ จึงได้คบหาเป็นภรรยาคนรับใช้ในบ้านของตน ต่อมาบิดามารดาของนางได้ตกลงยกนางให้แก่ชายคนหนึ่ง ที่มีชาติสกุลและทรัพย์เสมอกันเมื่อใกล้กำหนดวันวิวาห์ นางได้พูดกับคนรับใช้ผู้เป็นสามีว่า:-

               “ได้ทราบว่า บิดามารดาได้ยกฉันให้กับลูกชายสกุลโน้น ต่อไปท่านก็จะไม่ได้พบกับฉันอีก ถ้าท่านรักฉันจริง ท่านก็จงพาฉันหนีไปจากที่นี่แล้วไปอยู่ร่วมกันที่อื่นเถิด”

                 เมื่อตกลงนัดหมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วชายคนรับใช้ผู้เปลี่ยนฐานะมาเป็นสามีนั้น ได้ไปรออยู่ข้างนอกแล้วนางก็หนีบิดามารดาออกจากบ้าน ไปร่วมครองรักครองเรือนกันในบ้านตำบลหนึ่งซึ่งไม่มีคนรู้จัก ช่วยกันทำไร่ ไถนา เข้าป่าเก็บผักหักฟืนหาเลี้ยงกันไปตามอัตภาพนางต้องตักน้ำตำข้าวหุ้งต้มด้วยมือของตนเอง ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส เพราะตนไม่เคยทำมาก่อน

            • คลอดลูกกลางทาง

                 กาลเวลาผ่านไป นางได้ตั้งครรภ์บุตรคนแรก เมื่อครรภ์แก่ขึ้นนางจึงอ้อนวอนสามีให้พานางกลับไปยังบ้านของบิดามารดาเพื่อคลอดบุตร เพราะการคลอดบุตรในที่ไกลจากบิดามารดาและญาตินั้นเป็นอันตราย แต่สามีของนางก็ไม่กล้าพากลับไปเพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง จึงพยายามพูดจาหน่วงเหนี่ยวเธอไว้ จนนางเห็นว่าสามีไม่พาไปแน่ วันหนึ่ง เมื่อสามีออกไปทำงานนอกบ้าน นางจึงสั่งเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันให้บอกกับสามีด้วยว่านางไปบ้านของบิดามารดาแล้วนางก็ออกเดินทางไปตามลำพัง เมื่อสามีกลับมาทราบความจากเพื่อนบ้านแล้ว ด้วยความห่วงใยภรรยาจึงรีบออกติดตามไปทันพบนางในระหว่างทาง แม้จะอ้อนวอนอย่างไรนางก็ไม่ยอมกลับ ทันใดนั้น ลมกัมมัชวาต คือ อาการปวดท้องใกล้คลอด ก็เกิดขึ้นแก่นาง จึงพากันเข้าไปใต้ร่มริมทาง นางนอนกลิ้งเกลือกทุรนทุรายเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างหนัก ในที่สุดก็คลอดบุตรออกมาด้วยความยากลำบากเมื่อคลอดบุตรโดยปลอดภัยแล้ว ก็ปรึกษากันว่า “กิจที่ต้องการไปคลอดที่เรือนของบิดามารดานั้นก็สำเร็จแล้ว จะเดินทางต่อไปก็ไม่มีประโยชน์” จึงพากันกลับบ้านเรือนของตน อยู่รวมกันต่อไป

             • สามีถูกงูกัดตาย

                 ต่อมาไม่นานนักนางก็ตั้งครรภ์อีก เมื่อครรภ์แก่ขึ้นตามลำดับนางจึงอ้อนวอนสามีเหมือนครั้งก่อน แต่สามีก็ยังคงไม่ยินยอมเช่นเดิม นางจึงอุ้มลูกคนแรกหนีออกจากบ้านไป แม้สามีจะตามมาทันชักชวนให้กลับก็ไม่ยอมกลับ จึงเดินทางร่วมกันไป เมื่อเดินทางมาได้อีกไม่ไกลนักเกิดลมพายุพัดอย่างแรงและฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก พร้อมกันนั้นนางก็ปวดท้องใกล้จะคลอดขึ้นมาอีก จึงพากันแวะลงข้างทาง ฝ่ายสามีได้ไปหาตัดกิ่งไม้เพื่อมาทำเป็นที่กำบังลมและฝน แต่เคราะห์ร้ายถูกงูพิษกัดตายในป่านั้น นางทั้งปวดท้องทั้งหนาวเย็น ลมฝนก็ยังคงตกลงมาอย่างหนัก สามีก็หายไปไม่กลับมา ในที่สุดนางก็คลอดบุตรคนที่สองอย่างนาสังเวช  ลูกของนางทั้งสองคนทนกำลังลมและฝนไม่ไหว ต่างก็ร้องไห้กันเสียงดังลั่นแข่งกับลมฝน นางต้องเอาลูกทั้งสองมาอยู่ใต้ท้อง โดยนางใช้มือและเข่ายืนบนพื้นดินในท่าคลาน ได้รับทุขเวทนาอย่างมหันต์สุดจะรำพันได้ เมื่อรุ่งอรุณแล้วสามีก็ยังไม่กลับมาจึงอุ้มลูกคนเล็กซึ่งเนื้อหนังยังแดง ๆ อยู่จูงลูกคนโตออกตามหาสามี เห็นสามีนอนตายอยู่ข้างจอมปลวกจึงร้องไห้รำพันว่าสามีตายก็เพราะนางเป็นเหตุ เมื่อสามีตายแล้ว ครั้นจะกลับไปที่บ้านทุ่งนาก็ไม่มีประโยชน์ จึงตัดสินใจไปหาบิดามารดาของตนที่เมืองสาวัตถี โดยอุ้มลูกคนเล็ก และจูงลูกคนโตเดินไปด้วยความทุลักทุเลเพราะความเหนื่อยอ่อนอย่างหนักดูน่าสังเวชยิ่งนัก

            • หัวใจสลายเพราสูญเสียลูกน้อยทั้งสอง

                นางเดินทางมาถึงริมฝั่งแม่น้ำจิรวดี มีน้ำเกือบเต็มฝั่งเนื่องจากฝนตกหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา นางไม่สามารถจะนำลูกน้อยทั้งสองข้ามแม่น้ำไปพร้อมกันได้เพราะนางเองก็ว่ายน้ำไม่เป็นแต่อาศัยที่น้ำไม่ลึกนักพอที่เดินลุยข้ามไปได้ จึงสั่งให้ลูกคนโตรออยู่ก่อนแล้ว อุ้มลูกคนเล็กข้ามแม่น้ำไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อถึงฝั่งแล้วได้นำใบไม้มาปูรองพื้นให้ลูกคนเล็กนอนที่ชายหาดแล้วกลับไปรับลูกคนโตด้วยความห่วงใยลูกคนเล็ก นางจึงเดินพลางหันกลับมาดูลูกคนเล็กพลาง ขณะที่มีถึงกลางแม่น้ำนั้น มีนกเหยี่ยวตัวหนึ่งบินวนไปมาอยู่บนอากาศ มันเห็นเด็กน้อยนอนอยู่มีลักษณะเหมือนก้อนเนื้อ จึงบินโฉบลงมาแล้เฉี่ยวเอาเด็กน้อยไป นางตกใจสุดขีดไม่รู้จะทำอย่างไรได้ จึงได้แต่โบกมือร้องไล่ตามเหยี่ยวไป แต่ก็ไม่เป็นผล เหยี่ยวพาลูกน้อยของนางไปเป็นอาหาร ส่วนลูกคนโตยืนรอแม่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เห็นแม่โบกมือทั้งสองตะโกนร้องอยู่กลางแม่น้ำ ก็เข้าใจว่าแม่เรียกให้ตามลงไป จึงวิ่งลงไปในน้ำด้วยความไร้เดียงสา ถูกกระแสน้ำพัดพาจมหายไป

           • ทราบข่าวการตายของบิดามารดาถึงกับเสียสติ

               เมื่อสามีและลูกน้อยทั้งสองตายจากนางไปหมดแล้วเหลือแต่นางคนเดียวนางจึงเดินทางมุ่งหน้าสู่บ้านเรือนของบิดามารดา ทั้งหิวทั้งเหนื่อยล้า ได้รับความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ รู้สึกเศร้าโศกเสียใจสุดประมาณ พลางเดินบ่นรำพึงรำพันไปว่า:-

              “บุตรคนหนึ่งของเราถูกเหยี่ยวเฉี่ยวเอาไป บุตรอีกคนหนึ่งถูกน้ำพัดไปสามีก็ตายในป่าเปลี่ยว”

               นางเดินไปก็บ่นไปแต่ก็ยังพอมีสติอยู่บ้างได้พบชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา สอบถามทราบว่ามาจากเมืองสาวัตถี จึงถามถึงบิดามารดาของตนที่อยู่ในเมืองนั้น ชายคนนั้นตอบว่า:-

              “น้องหญิงเมื่อคืนนี้เกิดลมพายุและฝนตกอย่างหนักเศรษฐีสองสามีภรรยาและลูกชายอีกคนหนึ่ง ถูกปราสาทของตนพังล้มทับตายพร้อมกันทั้งครอบครัวเธอจงมองดูควันไฟที่เห็นอยู่โน่น ประชาชนร่วมกันทำการเผาทั้ง ๓ พ่อ แม่ และลูกบนเชิงตะกอนเดียวกัน”

               นางปฏาจารา พอชายคนนั้นกล่าวจบลงแล้วก็ขาดสิตสัมปชัญญะไม่รู้สึกตัวว่าผ้านุ่งผ้าห่มที่นางสวมใส่อยู่หลุดลุ่ยลงไป เดินเปลือยกายเป็นคนวิกลจริตร้องไห้บ่นเพื่อรำพันเซซวนคร่ำครวญว่า:-

              “บุตรสองคนของเราตายแล้ว สามีของเราก็ตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายของเราก็ถูกเผาบนเชิงตะกินเดียวกัน”

                นางเดินไปบ่นไปอย่างนี้ คนทั่วไปเห็นแล้วคิดว่า “นางเป็นบ้า” พากันขว้างปาด้วยก้อนดินบ้าง โรยฝุ่นลงบนศีรษะนางบ้าง และนางยังคงเดินต่อเรื่อยไปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง

           • หายบ้าแล้วได้บวช

                ขณะนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท ทรงทราบด้วยพระฌาณว่านางปฏาจารามีอุปนิสัยแห่งพระอรหัต จึงบันดาลให้นางเดินทางมายังวัดพระเชตวัน นางได้เดินมายืนเสาศาลาโรงธรรมอยู่ท้ายสุดพุทธบริษัทหมู่คนทั้งหลายพากันขับไล่นางให้ออกไป แต่พระบรมศาสดาตรัสห้ามไว้แล้วตรับกับนางว่า

               “จงกลับได้สติเถิด น้องหญิง”

                ด้วยพุทธานุภาพ นางกลับได้สติในขณะนั้นเอง มองดูตัวเองเปลือยกายอยู่ รู้สึกอายจึงนั่งลง อุบาสกคนหนึ่งโยนฝ้าให้นางนุ่งห่ม นางเข้าไปกราบถวายบังคมพระศาสดาที่พระบาท แล้วกราบทูลเคราะห์กรรมของนางให้ทรงทราบโดยลำดับ พระพุทธองค์ได้ตรัสพระดำรัสว่า:-

               “แม่น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ก็ยังน้อยกว่าน้ำตาของคนที่ถูกความทุกข์ความเศร้าโศกครอบงำ ปฏาจารา เพราะเหตุไร เธอจึงยังประมาทอยู่”

                ปฏาจารา ฟังพระดำรัสนี้แล้วก็คลายความเศร้าโศกลง พระบรมศาสดา ทรงทราบว่านางหายจากความเศร้าโศกลงแล้ว จึงตรัสต่อไปว่า:-

               “ปฎาจารา ขึ้นชื่อว่าบุตรสุดที่รัก ไม่อาจเป็นที่พึ่ง เป็นที่ต้านทานหรือเป็นที่ป้องกันแก่ผู้ไปสู่ปรโลกได้ บุตรเหล่านั้น ถึงจะมีอยู่ก็เหมือนไม่มี ส่วนผู้รู้ทั้งหลายรักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้วควรชำระทางไปสู่พระนิพพานของตนเท่านั้น”

                เมื่อจบพระธรรมเทศนา นางปฏาจาราดำรงอยู่ในโสดาปัตผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบันแล้ว กราบทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ทรงอนุญาตแล้วจึงบวชเป็นภิกษุณี ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผล

                เมื่อนางปฏาจาราได้อุปสมบทแล้ว ปรากฏว่าเป็นพระเถรีผู้มีความรอบรู้ในเรื่องพระวินัยเป็นอย่างดี อาศัยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องเธอไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้ทรงพระวินัย
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4665 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 10:40:02 »

                
                 ผมเองต้องขอบคุณ

                 - กระทรวงวัฒนธรรม สมัยที่ พล อ. สุรยุทธ เป็นรัฐมนตรี ที่ได้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับประชาชน ที่รวบรวมพระสูตร ที่สำคัญ เอาไปไว้ตามห้องโรงแรมทุกโรงแรม จนผมสามารถได้อ่าน ได้ศึกษาพระไตรปิฎก ถึงแม้จะเป็นบางส่วน แต่ประกอบไปด้วยพระสูตร ทั้งสิ้น และเป็นแก่นแท้จริงของศาสนา สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง

                 - ขอบคุณ รศ.ประกายแก้ว  ที่พยายามบังคับให้ผมต้องไปเรียนนักธรรม จนผมพยายามเอาชนะ ด้วยการศึกษาธรรมะ เองจากพระไตรปิฎก

                 - ขอบคุณ คุณวัฒนา  โอภานนท์อมตะ ที่เอาหนังสือ "พุทธธรรม" ของพระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. ปยุตฺโต) มาให้ ทิ้งเอาไว้หลายปี แต่เมื่ออ่านพระไตรปิฎกจบแล้ว มาเปิดพุทะธรรมอ่าน จึงรู้ว่า พุทธธรรมนั้น ควรศึกษาอย่างยิ่ง เพราะได้ใช้ภาษาสมัยใหม่ในการอธิบายขยายความจากพระสูตร และพระไตรปิฎก

                 - ขอขอบคุณอาจารย์ถาวร  โชติชื่น  ที่แนะนำผม เมื่อผมรู้จัก การตั้งสติปัฏฐาน ๔ ทื่จำเป็นจะต้องหา ครู-อาจารย์ ยุคปัจจุบัน อาจารย์ถาวร ได้แนะนำให้ลองอ่านหนังสือของหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ และทดลองปฏิบัติดูด้วยตัวเอง จนสามารถรู้เห็นจิตตัวเองได้พอสมควร

                 - ขอขอบคุณ ดร.สุริยา และคุณรุ่งศักดิ์ ที่ได้แนะนำ เมื่อผมตัดสินใจว่า จะต้องไปศึกษาจากอาจารย์แล้ว ที่ผมไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสุคะโต ได้กราบหลวงพ่อคำเขียน และได้ฟังธรรมจากท่าน ด้วยการมีสติ-สัมปชัญญะสมบูรณ์ จนสามารถเข้าใจในธรรม อย่างแท้จริง สามารถอ่านพระไตรปิฎก พุทธธรรม ได้เข้าใจถึงแก่นศาสนาพุทธ และจดจำได้เป็นอันมาก ไม่มีข้อกังขาในพระสูตรใดๆ ทั้งสิ้น เป็นประโยชน์โดยตรงในการดำรงชีวิต ช่วงที่เหลือนี้ ของผม จนกว่าจะตายลงในอนาคตกาล

                    สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4666 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 10:48:10 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

            ขอบคุณมากที่เอารูปเก่าๆ มารำลึกถึงคราวที่ผ่านมาของงาน "พืชสวนโลก" ที่เชียงใหม่  ครั้งนี้ก็ตั้งใจว่าจะไปเหมือนกัน แต่คงไปคนเดียว มันง่ายดี แต่มันอาจจะไม่สนุก แต่มันอย่างไรก็ได้ทั้งนั้นสำหรับพี่สิงห์ เวลานี้ ไปคนเดียวก็ดี ไปเป็นหมู่คณะก็ดี ครับ

             เมื่อสักครู่ คุณสาคร จากโรงพยาบาลจอมทอง ก็โทรศัพท์ มาบอกว่า การอบรมดูแลสุขภาพ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๙ ธันวาคม ยังมีที่ว่าง ๔ ที่ อาจารย์มานพ และคณะ สนใจที่จะไปไหม?

             ทำให้ผมต้องคิดหนักทันทีครับ กำลังหาเหตุ-ผล มาพิจารณาอยู่เหมือนกัน ในตอนนี้

             ถ้าจะไปกับทาง SIW คงต้องไปกลางเดือนกุมภาพันธิ์ ก่อนที่จะไปอินเดียกับ ดร.กุศล  เพราะไปกับ SIW สะดวกในหลายประการ ครับ

             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4667 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 11:13:30 »

ส.ว.(สูงวัย) ควรอ่าน

 ดร.สุริยา  ส่งมาให้ เห็นว่าเป็นประโยชน์
  
                - ผมเองก็ลืมไปแล้ว ยังไม่ได้ไปลงทะเบียนเลย เป็นสิทธิ คงต้องรีบดำเนินการไปลงทะเบียบ้างครับ              

                - ผู้ที่มีสิทธิ์ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้อาวุโส คือ ผู้ที่จะมีอายุครบ 60 ภายในเดือนกันยายน 2555 ครับ

                - ลงทะเบียนแล้ว ก็ต้องรอไปตรวจสอบความถูกต้องตามวันที่ที่ได้กำหนดไว้อีกครั้ง

                - ถ้าเรียบร้อย ก็พร้อมรับเบี้ยรายเดือนได้ตั้งแต่ เดือนตุลาคม 2555

                - หลักฐาน ก็ สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัญชีออมทรัพย์ หน้าที่เป็นข้อมูล ธนาคาร สาขา เลขที่บัญชี ชื่อ นามสกุล (ของผู้ลงทะเบียน)บัญชีออมทรัพย์  ธนาคารใดก็ได้  (หลายๆเขตบังคับต้องเป็นธนาคารกรุงไทย)

                - เป็นสิทธิ์ของส.ว. (สูงวัย) ทุกท่าน ไม่ควรนอนหลับทับสิทธิ์
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4668 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 11:20:01 »

เพื่อนส่งมาให้อ่าน เห็นว่ามีประโยชน์ครับ

หลักง่ายๆ ในการดูแลและรักสมองตัวเอง



1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์

                 เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การ ส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ ( อืมม …. มิน่า กินน้ำน้อย รู้สึกโง่ๆ)

2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน

                ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที

                เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)

4. ใส่ความตั้งใจ

                การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ

                 ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน

                สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน

               ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ

              ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ

            ! สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอด ขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #4669 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 15:30:06 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
   จากคนที่กำลังจะสุงวัยเช่นกันค่ะ อ่านไว้ได้ประโยชน์ก่อนสูงวัยด้วยค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4670 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 19:55:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 16 ธันวาคม 2554, 15:30:06
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
   จากคนที่กำลังจะสุงวัยเช่นกันค่ะ อ่านไว้ได้ประโยชน์ก่อนสูงวัยด้วยค่ะ


สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

            - เรื่องเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุนั้น มันเป็นสิทธิของเรา ที่พึงได้โดยชอบ และเราก็เสียภาษีให้รัฐมามากตลอดระยะเวลาการทำงานที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันก็ยังเสียภาษีอยู่ รวมทั้งเงินหักค่าประกันสังคม ปัจจุบันก็ยังเสียอยู่ (คนรวยกว่าเรา เขายังแจ้งขอรับเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุเลย  นับประสาอะไรกับคนอย่างพี่สิงห์ )

             - เธอกลับบ้านได้หรือยัง คุณอิทธิ ที่พี่สิงห์ใช้บริการจัดกอล์ฟการกุศล บ้านอยู่บางบัวทองเหมือนกัน เมื่อสองวันก่อนพี่สิงห์ติดต่อไปให้มาจัดกอล์ฟการกุศลของ วศ. ๑๓ บอกว่าน้ำยังท้วมบ้านอยู่เลย เหลือประมาณ ๔๐ ซม. พี่สิงห์หวังว่าเธอคงสามารถเข้าบ้านได้แล้ว

             - จะให้พี่สิงห์ช่วยเหลืออะไรก็บอกมา ทำให้ได้ยินดีเสมอ ครับ เธอคงหมดเงินมากในการทำความสะอาดและซ่อมบ้านครั้งนี้ ถือเสียว่า ชาติก่อนเราทำกรรมเอาไว้มาก ชาตินี้ได้ชดใช้กรรมนั้นไปแล้วกับน้ำท้วมบ้าน หมดกรรมไปแล้ว ตั้งต้นใหม่ ครับ

             - ปีใหม่นี้ พี่สิงห์ขอให้เธอและครอบครัว ประสพแต่สิ่งที่ดีๆ มีสติ - เกิดปัญญา เสมอ และให้พ้นจากทุกข์ โรค ภัยทั้งปวง มีแต่ความสุข ตลอดปี ๒๕๕๕ ครับ

               สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4671 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 19:57:19 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 16 ธันวาคม 2554, 15:30:06
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
   จากคนที่กำลังจะสุงวัยเช่นกันค่ะ อ่านไว้ได้ประโยชน์ก่อนสูงวัยด้วยค่ะ

พี่เอมอรอีกหลายปีอยู่นี่!
เดี๋ยว,ขอหนิงนับนิ้วก่อน..
น่าจะอีก2ปี??
ab 60ไช่มั้ยคะ??
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4672 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 20:02:10 »



พี่สิงห์ขา,
บทความดูแลรักษาอ็องออข้างบน
เยี่ยมเลยค่ะ...

แม้หนิงจะแปลกๆตรงที่การกินfat
เพื่อมาซ่อมแซมตัวสมอง...ที่เป็น
ส่วนประกอบfatจะไช่ที่อ่านๆมาว่า
cellสมอง ยิ่งใช้ยิ่งconnectกันและกัน

ไม่ไช่เหรอพี่?
สมองต้องใช้ ต้องบริหารสม่ำเสมอ
ไม่ไช่ด้วยการบำรุงด้วยอาหาร
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4673 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 20:21:25 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
     
              ผมเองมีสิ่งทีอยากจะเรียนให้ทราบคือ
 
                - จาการที่ได้ทดลองตัวเองมา ๓ เดือน ในการรับประทานขมิ้นชันแบบแคปซูล ทุกวัน นั้น สิ่งที่พบกับตัวเอง คือ สามารถถ่ายอุจจาระได้ เกือบทุกวัน ก่อนเจ็ดโมงเช้า ถ่ายอุจาระได้ทุกวัน(ถึงแม้เมื่อว่าจะทำ Detox ก็ตาม) อุจจาระไม่ข้น ไม่เหลว ถ่ายได้ดี สะดวก เสมือนกับทำ Detox เลย คือสีของอุจจาระไม่ดำ(แสดงว่าไม่หมักหมมอยู่ในลำไส้ใหญ่)เหมือนกับสีของอาหารที่กิน ไม่แข็ง ถ่ายไม่ยาก ถ่ายหมดแล้วหมดเลยวันต่อวัน และรู้สึกว่ากระเพาะโล่ง ระบบย่อยอาหารดี ท้องไม่เสีย  ไม่ปวดท้องเลย ครับ

                - ชามะรุม ผมยังชงดื่มเป็นประจำ เวลาที่อยู่บ้าน สามารถดื่มได้แบบไม่ต้องใส่น้ำผึ่ง ยังสังเกตุผลไม่ออก ครับ

                - โยเกิต + น้ำผึ้ง + นมสด + มะนาว จะรับประทานตอนเช้าเฉพาะวันที่ไปตีกอล์ฟเช้า คือ ดื่มแทนอาหารเช้าชงดื่มก่อนออกจากบ้าน พร้อมด้วยแซนวิสและกล้วยหอม(ในสนามกอล์ฟ) เพราะวันนั้นจะไม่ได้กินข้าวเช้า (ออกจากบ้านตีห้า ถึงสนามกอล์ฟ หกโมง ตีกอล์ฟ)  ยังสังเกตุผลไม่ออกเช่นกัน ครับ

                - ส่วนน้ำกระชายนั้น ไม่ได้ดื่มต่อเนื่อง  เนื่องจาก ไม่มีที่ปั่นที่บ้าน และต้องหากระชายจากสิงห์บุรี จะดื่มเฉพาะที่อยู่โรงแรม คือให้พนักงานโรงแรมปั่นให้ แต่ก็ถือว่าได้ดื่มพอสมควร แต่ยังดูผลไม่ออก (กำลังเห็นเครื่องทีฟา ที่เขาโฆษณา กำลังพิจารณาว่า วื้อแล้วจะคุ้มหรือไม่)

                - กระเทียมสด จะรับประทานเฉพาะที่อยู่โรงแรม เวลากอนข้าวมื้อเย็นเป็นหลัก เพราะสามารถขอเอามาได้หนึ่งถ้วยเล็กและกินหมดเลย ไม่สนใจรสชาด ความเผ็ดทั้งสิ้น หรือเวลากินเนื้อ และสามารถขอเขาได้เพิ่ม

                   ดังนั้น ท่านใดที่เป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารไม่ย่อย ปวดท้อง ถ่ายอุจาระมีปัญหามาก ไม่เป็นเวลา ไม่ทุกวัน ผมแนะนำให้กินขมิ้นชัน หรือกินทั้งหมดตามที่ผมได้ปฏิบัติกับตัวเองมาสามเดือน จะแก้ปัญหาได้  ผมเชื่อว่าทดแทนการทำ Detox ได้ครับ สำหรับผู้ที่ไม่กล้าทำ Detox ด้วยการสวนน้ำกาแฟทางทวารหนัก

                   ราตรีสวัสดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4674 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 20:36:40 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

            - ลืมตอบไป ทะเบียนบ้านพี่สิงห์ อยู่ กทม.

            - ไปอินเดีย ไปเส้นทางเดิมทั้งหมด แต่สะดวกกว่า ในหลายประการ ตกลงไปวันที่ ๒๐-๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ คราวนี้ คงสามารถให้เวลาปฏิบัติธรรมกับตัวเอง ได้มากขึ้นในทุกพุทธสถาน ไม่ต้องเดินตาม หรือถ่ายรูปอีกแล้ว ครับ

            - สำหรับวิธีดูแลสมองนั้น พี่สิงห์ทำไปได้เกือบหมด ยกเว้นหัวเราะน้อยไป กับเป็นคนไม่โน๊ตอะไรเลย ชอบที่จะจำมากกว่าเพราะเป็นคนจำแม่น แต่สิ่งไหนไม่ควรจำลืมหมดเลย เช่น เพลงลืมหมดแล้ว เป็นต้น

            - วันนี้นครศรีธรรมราช ฝนตกทั้งวันแต่ไม่แรง ไม่เห็นดวงตะวันเลย

            - และวันนี้ได้ช่วย ดร.กุศล เรื่องจะเอากระดูกพ่อไปบรรจุใต้ฐานพระพุทธรูปที่อยู่ระเบียงรอบพระธาตุ และบูรณะพระพุทธรูป โดยเอาเงินที่เพื่อนฝูงทำบุญไปทำที่วัดพระมหาธาตุนครศรีธรรมราช  บังเอิญรู้จักกับผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ ที่ดูแลวัดพระมหาธาตุ ท่านได้แนะนำกับ ดร.กุศล ไปแล้ว ทำให้ ดร.กุศล ไม่ต้อเดินทางไปติดต่อกับเจ้าอาวาสที่นครศรีธรรมราช

               ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 185 186 [187] 188 189 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><