07 กรกฎาคม 2567, 20:48:45
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 124 125 [126] 127 128 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3358319 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 12 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3125 เมื่อ: 14 กันยายน 2554, 17:11:38 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jintana Yhoung-aree เมื่อ 14 กันยายน 2554, 13:56:40
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 14 กันยายน 2554, 13:02:31
อ้างถึง
ข้อความของ Jintana Yhoung-aree เมื่อ 14 กันยายน 2554, 08:45:20
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 13 กันยายน 2554, 20:13:36
สวัสดีค่ะ คุณน้องทราย ที่รัก

                       เธอมีความรู้มากกว่าพี่สิงห์แยะ  มาปล่อยให้วิศวฯ อย่างพี่สิงห์นำสาระทางสุขภาพมาให้อ่านอยู่ได้ เธอควรที่จะนำเอามาเผยแพร่ครับ

 พี่สิงห์พุงไม่มีหรอกครับเดี๋ยวนี้ ตอนนี้น้ำหนักเหลือ ๗๗ กิโลกรัม  สูง ๑๗๒ cm.  พี่ติ๋วบอกว่าผอมเกินไปแล้ว  แต่พี่สิงห์ตั้งใจว่าจะให้เหลือ ๗๕-๗๗ อยู่ช่วงนี้ละครับ

                        สวัสดีค่ะ


พี่สิงห์คะ
ใช้ดัชนีมวลกายในการกำกับ
น้ำหนักตัวค่ะ คำนวนจาก ...
ดัชนีมวลกาย คำนวนจาก น้ำหนักตัว (กก)
หารด้วย ส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง
ค่าปกติ 18.5-23.0 กก/ตร.ม.

พี่สิงห์มีส่วนสูง 172 ซม. น้ำหนัก 77 กก.
ค่าดัชนีมวลกายของพี่สิงห์ = (77)/[(1.72)(1.72)]
= 26 กก/ตร.ม แปลว่า ท้วมแล้วค่ะ

ผู้สูงอายุตั้งเป้าเอาแค่ค่าระหว่าง
20-23 กก/ตร.ม. ก็พอ
น้ำหนักที่ควรจะเป็นคือ 60-68 กก.
จึงจะได้หุ่นดีค่ะ
ทราย 16

                 พี่สิงห์หูตาไม่ดี  มองเลข 6 เป็น 7 ครับ [ น้ำหนักที่แท้จริงคือ 66 - 67  กิโลกรัมครับ ตั้งใจเหลือ 65 - 66 กิโลกรัม แต่ตอนนี้พี่ติ๋วบอกว่าผอมไปแล้วครับ
                  สวัสดีค่ะ

พี่สิงห์ค่ะ
น้ำหนักตัวอยู่ในช่วงที่เหมาะสมแล้ว
เอาแค่ให้กาย-ใจเฟริมก็พอค่ะ
ทราย16

สวัสดีค่ะ คุณน้อง ดร.ทราย ที่รัก

                        พี่สิงห์คงรักษาน้ำหนักอยู่ที่ 66 - 67 กิโลกรัม ครับ เพราะคล่องตัวดี  ยังสามารถตีกอล์ฟได้ดี ไกล ถ้าผอมกว่านี้กลัวไม่มีแรงตีกอล์ฟไม่ได้ไกล  บางทีกล้ามเนื้อมันหายไปทำให้วงสวิงไม่สามารถยืนระยะยาวแข่งขันครบสามวันได้ ครับ
  
                        จริงๆ แล้วพี่สิงห์รับประทานอาหารสามมื้อครบ ตรงเวลา เพียงแต่มื้อเย็นงดแป้ง และไม่กินขนม  น้ำอัดลม กาแฟ (ยกเว้นขับรถไกล และหลังเล่นกอล์ฟ กลัวหลับในขณะกลับรถ  แต่ก็รู้วิธีแล้ว คือมีสติตื่นตัวอยู่เสมอมันจะไม่หลับใน ยกเว้นเผลอ เพราะการหลับในนั้นเกิดจาก เราเผลอ หลงอยู่ในความคิดตัวเองจนลืมตัวเคลิมติดอยู่ในความคิดลอยลมนั้น จึงหลับใน)เท่านั้น  และตอนนี้รู้โทษของขนมปังและนม ที่ทำให้ตัวเองแพ้อากาศ และภูมิแพ้ตัวเอง  คงงดเพิ่มไปอีกสองอย่าง เพื่อว่าอะไรๆ จะดีขึ้น

                         อย่าลืมมีอะไรที่เป็นธรรมชาติ  เรียนเชิญแนะนำมาบ้างจักขอบคุณมากๆ ครับ

                         สวัสดีค่ะ


หมายเหตุ
                         พี่สิงห์อยู่นครศรีธรรมราช  วันนี้อากาศมีเมฆมากเครื่องบินต้องบินวนอยู่ในอากาศเสียเวลาไป ๒๐ นาที ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3126 เมื่อ: 14 กันยายน 2554, 17:32:22 »

หลักในการดูแลสุขภาพ

คัดลอกจากหนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ

นายเริ่ม   งามขำ

ตอนที่ ๒๒

กระเจี๋ยบ + พุทราจีน.....


              คือ การนำเอากระเจี๊ยบแดงแห้งหรือสดก็ได้  มาต้มรวมกับพุทราแห้ง  ใช้พุทราจีน  หรือพุทราป่า (พุทราไทย) ก็ได้  เพื่อทำเครื่องดื่ม

ประโยชน์...

             ช่วยล้างไขมันในเลือดที่มีมากเกินไป  เมื่อไขมันถูกล้างออกไปเรื่อยๆ  โดยการดื่มน้ำกระเจี๊ยบ + พุทราจีน  ผนังหลอดเลือดก็จะยืดหยุ่น  บีบตัวและขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจให้สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย  โดยไม่มีไขมันมาขัดชวาง  พวกเส้นเลือดขอดก็จะพอทุเลาลงได้  แล้วยังช่วยให้เส้นเลือดแข็งแรง  ไม่เปราะแตกง่าย

                            • ไม่ควรต้มน้ำกระเจี๊ยบกินเดี่ยวๆ เป็นเวลานานๆ เพราะจะทำให้ไตเสื่อม  จึงต้องมีพุทราจีนตากแห้งผสมลงไปเป็นตัวแก้  และยังช่วยบำรุงไตไปพร้อมๆกัน

                            • ไม่ควรเติมน้ำตาล  หรือเติมน้ำตาลมากเกินไป (แนะนำให้เติมน้ำผึ่งป่า)

วิธีทำ...
             เตรียมกระเจี๊ยบ     ๑  กำมือ

             พุทราจีนตากแห้ง   ๑  กำมือ

             ล้างน้ำให้สะอาด  บีบพุทราจีนให้แตก  ใส่รวมกันลงภาชนะเติมน้ำเปล่า ๒ ลิตร  ต้มให้เดือดสักพักหนึ่งแล้วยกลง  เทกรองเนื้อออกให้เหลือแต่น้ำ  เติมน้ำผึ้งแล้วชิม  ถ้าไม่มีน้ำผึ้งใช้ใบหญ้าหวาน (หาซื้อที่ร้านเขาค้อทะเลภู) หรือลำไยตากแห้งแทนน้ำผึ้งได้  จะได้ความหวานจากธรรมชาติที่ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง
  
                              ทำเก็บใส่ขวดแช่เย็นเอาไว้ดื่มได้หลายวัน
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #3127 เมื่อ: 14 กันยายน 2554, 18:33:08 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 14 กันยายน 2554, 13:18:36
                      วันนี้ฟังข่าววิทยุ ประตูระบายน้ำฝั่งตะวันออกที่วัดโฉมศรี  ตรงข้ามบ้านผม ประตูระบายน้ำได้พังลงแล้ว ผลคือ น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาทะลักเข้าท้วมทุ่งตะวันออก ไหลทะลักเข้าอำเภอบ้านหมี่  อำเภอท่าวุ้งเรียบร้อยแล้วครับ  เพราะกรมชลประทานผิด ตรงที่ไปกักน้ำจำนวนมหาศาลไว้ในลำแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ค่อยๆระบายลงทุ่งหรือแม่น้ำสายลอง ผลคือ ทุกอย่างพังพินาศหมดแทนที่จะพังเป็นพื้นที่ๆ ไป เพราะไปกักน้ำเอาไว้ เขื่อกันดิน  คอสะพาน  ถนน แนวป้องกันก็เอาไม่อยู่หรอกครับ เวลาน้ำมันกระหน่ำลงมาเมื่อไปกั้นมันไว้ ด้วยแรงดันของน้ำและปริมาณที่มาก มันจึงทำลายถนน คอสะพาน เขื่อนกันดิน ประตูระบายน้ำพังเสียหายหมดคราวนี้ละหมดทุกสิ่งทุกอย่างเลย  เพราะปล่อยให้กรมชลประทานตัดสินใจฝ่ายเดียว  รัฐบาลไม่ได้ดูแลเลย  มัวแต่จะไปเขมร  หาทางให้ทักาษิณกลับบ้าน  ระวังให้ดี กรุงเทพฯ น้ำท้วมแน่ๆ ปีนี้ ถึงแม้จะปล่อยลงทุ่งแล้วก็เถอะ  ผมเชื่อว่าข้อมูลทางน้ำไม่ชัดเจน  แล้วจะตกม้าตาย ครับ

                         ฝั่งตะวันตกถนนหลังบ้านผมก็พังไปแล้วน้ำไหลทะลักท้วมทุ่งตะวันตกแล้ว  อนิจจา ชาวนาภาคกลางเหลือแต่ตัวทุกปีๆ ครับ
                     
                         ใครมีเส้นดี  ปีหน้าผมขออาสาเป็นกรรมการภาคประชาชน ขอมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของกรมชลประทานในการเปิด-ปิดน้ำเขื่อนเจ้าพระยาครับ เพราไม่งั้นชาวนาบ้านผมหมดตัวทุกปี  ขอบคุณมาก

                          ผมอยู่สนามบินดอนเมือง เพื่อเดินทางไปนครศรีธรรมราช ครับ

                         สวัสดี


ดูสถานการณ์น้ำของจังหวัดนครสวรรค์ได้ที่นี่ครับ...คลิ๊กเลย

http://nsm.go.th/b/ch1b.html

คุณภาพและความคมชัด จะแปรเปลี่ยนไปตามความเร็วของอินเตอร์เน็ต และจำนวนผู้ใช้งาน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3128 เมื่อ: 14 กันยายน 2554, 20:07:55 »

ขอวิงวอนพระสยามเทวาธิราชอันศักดิ์สิทธิ์


                       - ขอบพระคุณมากครับ คุณเหยง ที่กรุณา

                      - เมื่อสักครู่ ผมได้โทรศัพท์ไปหาหลายชายที่เป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลท่าวุ้ง ลพบุรี นายแพทย์พีร์ บอกว่าน้ำยังไม่ท้วมโรงพยาบาล แต่ได้เตรียมการไว้แล้ว และแจ้งว่า โรงพยาบาลอินทร์บุรี  คือที่บ้านผมนั้น น้ำได้ทะลักพ้นถนนที่ทำเป็นเขื่อนกั้นน้ำสูงสองเมตรกว่าเข้าไปท้วมโรงพยาบาลทำให้ทางโรงพยาบาลอินทร์บุรีต้องหยุดให้บริการคนไข้ OPD ชั้นล่าง

                       - และผมได้โทรศัพท์ไปหาพี่สาวเพื่อสอบถามสถานการน้ำท้วม ปรากฏว่าน้ำได้ท้วมถึงพื้นบ้านแล้ว ซึ่งโดยปกติเวลาผมยืนแล้วชูแขนสุดจะยังไม่ถึงพื้นบ้าน  จึงนับได้ว่าเป็นระดับน้ำที่สูงที่สุดที่เคยท้วมมาตั้งแต่ผมเกิดมาโดยทีเดียว

                       - เดชะบุญที่พระสยามเทวาธิราช  คงจะมีจริง ท่านคงรู้ว่าน้ำต้องท้วมกรุงเทพฯ แน่ๆ ปีนี้ ท่านจึงบันดาลให้ ประตูระบายน้ำที่บางโฉมศรี ฝั่งตะวันออกพัง ทำให้น้ำที่กรมชลประทานกักเอาไว้อยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างความเสียหายอย่างหนักนั้น ทะลักเข้าทุ่งตะวันออก ผลคือทำให้ระดับน้ำทรงตัว ไม่ขึ้นเพราะถ้าน้ำไม่เข้าทุ่ง รับรอง โรงพยาบาลสิงห์บุรี  อ่างทอง กรุงเทพฯท้วมหมดแน่นอน  และต้องขอบคุณพระสยามเทวธิราชที่ทำให้ถนนกั้นน้ำหลังบ้านผม คือสายสิงห์บุรี-ชัยนาท ฝั่งตะวันตก พังลงบางช่วง ทำให้น้ำทะลักเข้าทุ่งตะวันตก ก็เป็นสาเหตุให้น้ำไม่ท้วมโรงพยาบาลสิงห์บุรี และกรุงเทพฯ  แต่อย่าเพิ่งกังวลใจนี่เพิ่งเป็นกองทัพหน้า  ถ้ากรมชลประทานไม่รีบปล่อยน้ำลงทุ่งทั้งสอง ไปปิดกั้นไว้  ผมคาดว่ากรุงเทพฯ ก็ไม่เหลือแน่นอน  รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ไม่สนใจที่จะแก้  หรือแก้ไม่เป็นก็ไม่รู้ ไม่ได้มาทำอะไรเลยกับระดับน้ำที่ท้วมสูงสุดอยู่ในขณะนี้  ไม่เอะใจเลย  ถ้าปล่อยอย่างนี้  น้ำท้วมกรุงเทพฯแน่ๆ


                       - ตอนนี้ผมเองไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธ์ แต่ก็จำเป็นจะต้องขอวิงวอนพระสยามเทวาธิราช จงดลบันดาลให้ถนนกั้นน้ำทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ให้พังลงเป็นช่วงๆ เช่น ที่สรรพยา  อินทร์บุรี อำเภอเมือง อ่างทอง จะได้ระบายน้ำเข้าทุ่งเสียแต่เนิ่นๆ ไม่อั้นเอาไว้อย่างที่กรมชลประทานกำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้  ถ้าถนนไม่พัง ผมรับรองชาวบ้านสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาลำบากกว่านี้ คือไม่มีที่นอน เพราะถนนที่ไม่ใช่สายหลักจะท้วมหมด บ้านชั้นสองก็ท้วมหมด แล้วคนจะไปนอนที่ไหน ครับ  โรงพยาบาลอินทร์บุรีน้ำไม่เคยท้วมมาก่อนเลย แสดงว่าระดับน้ำปีนี้สูงจริงๆ เพราะทุกคนสร้างเขื่อนกั้นน้ำถมถนนสูงกว่าเดิม ระดับน้ำเลยสูงตาม  ดังนั้นของให้สิ่งที่ผมวิงวอนจงสำฤทธิ์ผลด้วยเทอญ กรุงเทพฯจะได้พ้นภัย และชาวบ้านยังมีที่นอนบนชั้นสอง  วัวควาย  สัตว์เลี้ยงยังมีถนนเป็นที่ผึ่งได้

                       - สาเหตุที่ถนน และประตูระบายน้ำพัง ดร.สุริยา คงนึกภาพออก คือทั้งสองด้านมันต่างระดับกันมาก แรงดันน้ำสูงมากเกินที่ประตูระบายน้ำเป็นประตูเหล็ก ยังต้านแรงดันไม่ไหว แสดงว่าระดับต่างกันมาก จริงๆ ถนนก็เหมือนกันเมื่อระดับต่างกันมากๆ และน้ำบางส่วนสามารถซึมผ่านถนนได้  ถนนแช่น้ำอยู่นานๆ รับรองได้พังแน่ๆ เพราะถนนไม่ได้ทำแบบเขื่อoศรีนครินทร์ที่มีแกนกลางเป็นดินเหนียว ถนนสมัยใหม่จะถมด้วยทรายเป็นส่วนใหญ่ น้ำซึมผ่านได้แน่ๆ ไม่เชื่อลองดูกัน จะต้องมีข่าวเพิ่มขึ้นว่า ถนนถูกน้ำพัดขาด น้ำทะลักไหลเข้าทุ่ง  เพราะมนุษย์กรมชลประทานไปทำให้มันพังเพราะกั้นน้ำไว้แต่ในลำน้ำเจ้าพระยา  ยังไม่ยอมปล่อยน้ำลงทุ่งเจ้าพระยาครับ

                         - วันนี้ผมได้ไปซื้อน้ำผึ้ง กระชาย มะนาว มาทำน้ำกระชายเอาไว้ดื่มครับ

                         - ลืมบอกไปศาลาวัดพระนอน โบสถ์  จมน้ำหมดแล้วครับ  รวมทั้งยังไม่รู้ว่าอนุสาวรีย์พ่อที่บรรจุ กระดูกจะต้านกระแสน้ำไหวไหม?  ถ้าไม่ไหวก็ต้องปล่อยให้ไปกับสายน้ำเป็นไปตามธรรมชาติ ครับ

                          -  อย่าลืมใครมีเส้นใหญ่ในรัฐบาล  ปีหน้าผมขอมีส่วนรวมในฐานะประชาชนที่ทนเห็นน้ำท้วมซ้ำซากต่อไปไม่ไหวแล้ว (เพราะมันสร้างทุกข์ให้กับประชาชนมหันต์นัก  ปฏิบัติธรรมมากขนาดไหนก็ช่วยชาวบ้านให้พ้นทุกข์ไม่ไดครับ มันไม่ได้เกิดจากธรรมชาติล้วนๆ แต่มนุษย์มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ประชาชนเกิดทุกข์จากน้ำท้วมซ้ำซาก)  ในการเปิด - ปิด บริหารน้ำภาคกลาง โดยเฉพาะเขื่อนเจ้าพระยา ครับ

                           - รับรองไม่ช้าไม่นาน ไม่ต้องรอน้ำแข็งขั้วโลกละลาย แต่กรุงเทพฯ  สมุทรปราการ จะอยู่ไม่ได้เพราะ น้ำท้วมประจำปีนี่ละครับ  ถ้าไม่เปลี่ยนความคิดกรมชลประทาน ที่ไปกังน้ำไว้ในลำเจ้าพระยาอย่างเดียว สมัยผมยังเรียนหนังสืออยู่ที่บ้าน น้ำท้วมทุกปี เป็นเรื่องปกติ แต่ระดับไม่สูงอย่างมากแค่เอว เพราะน้ำกระจายเติมทั้งทุ่ง ไม่มีการกักน้ำด้วยถนนที่เป็นตาหมากรุกแบบทุกวันนี้ น้ำกระจายไปเป็นธรรมชาติของมัน คน สัตว์เลี้ยง ข้าว มันก็อยู่ของมันได้ตามปกติ เพราะ คนปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ  ไม่รังแกธรรมชาติ  แต่เพราะคนไปเอาเปรียบธรรมชาติ  สร้างความสะดวกสบายให้กับตนเอง ดังนั้นคนจึงต้องรับกรรมจากธรรมชาติ ผสมกับความคิดมนุษย์ ครับ

                           ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ


ช่วงนี้เจ้าตัวกิเลส "โมหะ" กระหน่ำใหญ่ครับ ทำให้หลงอยู่ในความคิดตัวเองนานมาก กว่าสติจะกลับคืนมา (อารมณ์)

จะเป็นวิปัสสนู หรือไรก็ไม่รู้ จิตแพ้ทุกข์ทีกว่าจะรู้สึกตัว ไม่รวดเร็วเหมือน ความโกรธ  ความโลภ เลย

ต้องให้ ดร.สุริยา  คุณรุ่งศักดิื และท่านขุนช่วยแล้ว

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #3129 เมื่อ: 14 กันยายน 2554, 23:52:47 »

อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 13 กันยายน 2554, 07:36:28
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 13 กันยายน 2554, 06:12:58









พี่ป้อมไม่ยอมมองกล้องเลย สักภาพ ..
   ปิ๊งๆ

ก็ดีเหมือนกันนะหะยี เป็นธรรมชาติดี
อาหารอร่อย เลยมัวแต่กิน ha ha
ขอบคุณเจ้าภาพและขอบพระคุณพี่ๆและอาจารย์ที่กรุณามารับประทานข้าวด้วยค่ะ
ยินดีที่อาจารย์และพี่ๆน้องๆสุขภาพดีกันทุกคนค่ะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3130 เมื่อ: 15 กันยายน 2554, 08:02:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 13 กันยายน 2554, 20:37:20
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 13 กันยายน 2554, 07:56:49
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง แลผู้สนใจดุแลสุขภาพผ่านมาอ่าน ที่รักทุกท่าน

                       วันนี้ผมนำเรื่องการทำ "น้ำกระชายปั่น" และประโยชน์ของน้ำกระชาย  มานำเสนอให้ทุกท่านได้รับทราบและนำกลับเอาไปลองทำที่บ้านครับ  ส่วนประโยชน์ของน้ำกระชายนั้นมหาศาล "กระชาย คือโสมเมืองไทย" จำไว้ให้มั่นนะครับ

                       เรียนเชิญคุณสมชาย  เสรีรัฐ  ผู้ซึ่งดื่มน้ำกระชาย มามากกว่าสามปีแล้ว มาบรรยายสรรพคุณที่ตัวเองค้นพบ และรสชาด มาบอกกล่าวกับพวกเราให้รับทราบ ด้วยครับ

                       สำหรับผมนั้น ยังไม่มีเครื่องปั่นน้ำผลไม้เลย  เพราะมันแพง  ต้องหาโอกาสไปซื้อแล้วครับ เพื่อเอามาทำน้ำกระชายปั่น บ้างครับ

                       สวัสดีครับ   อย่าลืมเช้านี้ทำจิตให้ผ่องใสนะครับ  อารมณ์จะดี



หลักในการดูแลสุขภาพ

คัดลอกจากหนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ

นายเริ่ม   งามขำ

ตอนที่ ๒๑

กระชาย.....

(บทความนี้ จะกล่าวถึงกระชายเหลืองเพียงอย่างเดียว)

“เปรียบเทียบ กระชาย คือ โสมของไทย คือ ราชาแห่งสมุนไพร”


กระชายปั่นคั้นน้ำ...

           น้ำกระชายมีวิตามิน C, B1, B3, B6 และแคลเซี่ยม

 
                       •   ช่วยบำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง  กระดูกไม่เปราะบาง

                       •   ช่วยบำรุงตับ  ไตให้แข็งแรง  ดูแลระบบมดลูก  รังไข่  กระเพาะปัสสาวะ  ดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง

                       •   ช่วยบำรุงหัวใจ  เช่น  ต่อมไธรอยด์  ต่อมใต้สมอง  ต่อมหมวกไต และตับอ่อน  เมื่อต่อมไธรอยด์ปกติดี  จะไม่เป็นโรคคอพอก  และยังมีส่วนในการช่วยลดกรดยูริค

                       •   ช่วยปรับสมดุลย์ของฮอร์โมนเพศหญิง  คือเอสโตรเจน  และฮอร์โมนเพศชาย  คือเทสโทสเตอโรน  ซึ่งมีอยู่ในร่างกายของทุกๆ คน  ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง  ถ้าผู้หญิงมีฮอร์โมนเพศหญิงในตัวมากเกินไปก็อาจจะเป็นมะเร็งเต้านม  หรือมีน้อยเกินไปก็อาจเป็นมะเร็งปากมดลูก  ส่วนผู้ชายนั้น  น้ำกระชายจะช่วยคุมไม่ให้ต้อมลูกหมากโต

                       •   ช่วยบำรุงสมอง  ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองส่วนกลางดีขึ้น  ถ้ากินคู่กับใบบัวบก  จะบำรุงสมองได้โดยตรง  ต้องกินเป็นประจำเพื่อป้องกันความจำเสื่อม

                       •   ปรับความดันโลหิตให้พอดี  ไม่ให้สูงมากหรือต่ำมากเกินไป

                       •   กินน้ำกระชายเป็นประจำ  ช่วยให้เส้นผมไม่หงอกก่อนวัยย์  เล็บมือ  เล็บเท้าแข็งแรง

                       •   ช่วยขับน้ำคาวปลา  สตรีหลังคลอดบุตร

ในกระชายมีอาหารอยู่ ๒ กลุ่ม...

                       1.   กลุ่มละลายในน้ำ
                       2.   กลุ่มที่ละลายในไขมัน


                        เมื่อกินน้ำกระชายเข้าไปแล้ว  ในกระเพาะเรามีน้ำ  มีไขมัน  และจุลินทรีย์  สองกลุ่มจะแยกกันทำหน้าที่ของมันเอง  ตัวจุลินทรีย์ในกระเพาะจะทำให้เกิดแอลกอฮอลล์ขึ้นมา  เพื่อทำหน้าที่สกัดตัวยากลุ่มที่ละลายน้ำ  ออกมาจากน้ำกระชายได้เอง  ส่วนกลุ่มที่ละลายในไขมันก็ทำงานของมันเอง

                        คนปกติควรกินน้ำกระชายเพื่อบำรุงเอาไว้  จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคไต  ผู้ชายช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากโต

                        ในน้ำกระชาย ๑ แก้ว  มีคุณค่าสูงกว่านม ๑ แก้ว หลายเท่า  ถ้าให้เด็กกินเป็นประจำ  จะช่วยสร้างกระดูกให้มีโครงสร้างแข็งแรง  กินคู่กับมะม่วงสุกแล้วปั่นก็ดี  ต้องการให้หวานก็เติมน้ำผึ้งก็ได้  ปั่นกระชายแล้วเก็บน้ำกระชายใส่ขวดแช่เย็นไว้เป็นหัวเชื้อได้หลายวัน  เวลาจะทำเครื่องดื่ม  ก็นำหัวเชื้อน้ำกระชายมาเจือจางในน้ำ  แล้วจะเติมน้ำดอกอัญชัญก็ได้  หรือเติมน้ำผลไม้ปั่นอื่นๆ อีกหลายอย่างแล้วแต่จะดัดแปลง  ไม่มีอะไรตายตัว  ขอให้ทำให้อร่อยและกินได้

วิธีทำ...

                       •   นำกระชายมาล้างน้ำเกลือหลายๆ ครั้ง  ให้สะอาดประมาณ ๑ ขีด (ไม่ต้องปอกเปลือก)

                       •   หั่นกระชายเป็นแว่นเล็กๆ ใส่เครื่องปั่นแล้วเติมน้ำ ๓ แก้ว

                       •   ปั่นให้ละเอียดแล้วกรองเอาแต่น้ำ  ทิ้งกากไป (ห้ามกินกาก)

                       •   ใช้น้ำเป็นหัวเชื้อใส่ขวดเก็บในตู้เย็นได้หลายวัน

                       •   เวลาจะใช้ดื่มก็เทใส่แก้วแล้วเติมน้ำสะอาดให้เจือจาง

                       •   เติมน้ำผึ้ง  เกลือ  ปรับรสชาดตามใจชอบ


   
น้ำกระชายทำง่าย  ดีอย่างนี้  ต้องทดลองดื่มชงกับน้ำผึ้ง เป็นประจำแล้วครับ ที่รัก


แต่ก่อนแม่ยายผมจะปั่นน้ำกระชายให้ทานประจำ
โดยผสมน้ำผึ้งและมะนาวด้วยครับ

น้าสาวแฟนผมอายุประมาณ 70 ปีแล้ว ทำทานประจำ ผมยังดกดำเหมือนสาวๆ เลยครับ


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และผู้สนใจดูแลสุขภาพ ที่รักทุกท่าน

                               ผมได้ทำน้ำประชายปั่น เอาไว้ดื่มดูแล้วครับ ผมผสมกับน้ำผึ่ง รับประทานได้ดีทีเดียว ไม่ลำบากในการดื่ม  อาจจะเป็นเพราะผมไม่สนใจรสชาดแล้วก็ได้  จึงดื่มสบาย แต่อย่าลืมดื่มเวลา 15:00 - 17:00 น. นะครับเป็นช่วงที่ดีที่สุดของวันครับ

                               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3131 เมื่อ: 15 กันยายน 2554, 08:07:32 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 10 กันยายน 2554, 20:49:26
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และผู้ที่สนใจดูแลสุขภาพ ที่รักทุกท่าน

                       วันอาทิตย์เช้าผมไปตีกอล์ฟ เลยต้องรีบมาทำหน้าที่เรื่องสุขภาพต่อครับ คือการกินขมิ้นชัน  ยาสารพัดประโยชน์ เพื่อให้สมจริง ผมทดลองไปซื้อขมิ้นชันชนิดแคปซูล มารับประทานไปแล้วสองวัน รับประทานหลังอาหารสามมื้อครั้งละ ๒ แคปซูล และจะรับประทานตอน 04:00 น.อีก ๑ แคปซูล เพราะโพรงจะมูกผมบวมเนื่องจากแพ้อากาศ เพราะผมตื่นมาเจริญสติพอดีอยู่ในช่วงเวลา 03:00-05:00 น. ได้ผลอย่างไรจะเรียนให้ทราบ
                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ



หลักในการดูแลสุขภาพ

คัดลอกจากหนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ

นายเริ่ม   งามขำ

ตอนที่ ๑๙

ขมิ้นชัน.....


          ใช้กินเหง้าของขมิ้นชัน  โดยการปอกเปลือก  หรือตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง  และแบบผงบรรจุแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การกิน

ขมิ้นชันมีประโยชน์และสรรพคุณหลายประการดังนี้...
            ขมิ้นชันมีวิตามิน A, C, E ที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานพร้อมกันทั้ง ๓ ตัว  จึงมีผลทำให้ช่วยลดไขมันในตับ – สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร – ช่วยย่อยอาหาร – ทำความสะอาดลำไส้ – เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ – ต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็งตับ – สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง – กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่กินเข้าไปแล้วสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง – ช่วยขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังการคลอดบุตรได้ดี  รองลงมาจากการกินหัวปลี

กินขมิ้นชันให้ตรงเวลา...
            กินขมิ้นชันให้ตรงเวลาที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเปิดการทำงานในช่วงเวลานั้น  จะได้ผลตรงกับประเด็นที่ต้องการจะบำรุง  หรือแก้ไขฟื้นฟูระบบของอวัยวะ  กินเพียง ๑ แคปซูลเท่านั้น  จะออกฤทธิ์มากกว่าเวลาอื่นถึง ๔๐ เท่าตัว  แต่ถ้ามีปัญหาหลายอย่างก็กินครั้งละ ๑ แคปซูลทุกๆ ๒ ชั่วโมง  ถ้ากินขมิ้นชันจำนวนมาก  ส่วนที่เหลือจะไปขับไขมันในตับ

กินขมิ้นชันให้เป็นอาหาร..
            กินขมิ้นชันให้เป็นอาหาร  ไม่ใช่กินเป็นยา  ต้องกินให้สนุก  ใช้ปรุงอาหาร  กินบ้าง  หุงข้าวก็ใส่ขมิ้นชันได้  ทอดปลาคลุกขมิ้นชันก็ดี  ทำให้หอมน่ากินและยังได้ประโยชน์อีกด้วย  เพราะตัวขมิ้นชันจะช่วยย่อยไขมันจากน้ำมันที่ใช้ทอดปลาได้บางส่วน
กินขมิ้นชันตามเวลาต่อไปนี้จะได้ผลโดยตรงกับอวัยวะส่วนนั้น...

เวลา  03:00 – 05:00 น.
             ช่วยบำรุง  ป้องกันการเป็นมะเร็งปอด  ช่วยทำให้ปอดแข็งแรง  ช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก  และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง

เวลา  05:00 – 07:00 น.
              ช่วยแก้ปัญหาลำไส้ใหญ่  ถ้าเคยกินยาถ่ายเป็นเวลานาน  ให้กินขมิ้นชันเวลานี้  ขมิ้นชันจะช่วยฟื้นฟูปลายประสาทของลำไส้ใหญ่  ต้องกินเป็นประจำ  ถึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัว  เพื่อขับถ่ายอย่างปกติ  แก้ปัญหาลำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็ก  หรือลำไส้ใหญ่มีปัญหาขับถ่ายมากเกินไป  หรือถ่ายน้อยเกินไป
            ถ้าลำไส้ใหญ่ไม่มีปัญหา  ให้กินขมิ้นชันพร้อมสูตร โยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว หรือน้ำอุ่นก็ได้  จะไปช่วยล้างผนังลำไส้ที่มีหนวดเป็นขนเล็กๆ อยู่เป็นล้านๆ เส้น  ซึ่งขนเหล่านี้มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเพื่อไปสร้างเม็ดเลือด  ขมิ้นชันจะช่วยล้างให้สะอาดได้  ก็จะไม่ค่อยมีขยะตกค้าง  จึงไม่เกิดแก๊สพิษที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว  และจะไม่ค่อยเป็นริดสีดวงทวาร  ไม่เป็นมะเร็งลำไส้

เวลา  07:00 – 09:00 น.
             ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร  เกิดจากการกินข้าวไม่เป็นเวลา  ท้องอืดจุกแน่น  ปวดเข่า  ขาตึง  ช่วยบำรุงสมอง  ป้องกันความจำเสื่อม

เวลา  09:00 – 11:00 น.
             ช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย  มีแผลในปาก  อ้วนเกินไป  ผอมเกินไป  ที่เกี่ยวข้องกับม้าม  ลดอาการเป็นเก๊าต์  ลดอาการเบาหวาน

เวลา  11:00 - 13:00 น.
             ใครมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ  มีหรือไม่มี  ก็กินขมิ้นชันเวลานี้  จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง  ถ้าเลย 11:00 น. ไปแล้ว  ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับแล้วตับจะส่งมาที่ปอด  ปอดจะส่งไปที่ผิวหนัง  แต่ส่วนมากมาไม่ถึงเพราะกินขมิ้นชันน้อยเกินไป  อวัยวะส่วนอื่นจะดึงไปใช้งานก่อนเลยมาไม่ถึงผิวหนัง  จึงต้องลงขมิ้นชันทางผิวช่วยอีกทางหนึ่งด้วย

เวลา  13:00 – 15:00 น.
                        ช่วยแก้ปัญหาเรื่องปวดท้องบ่อย  เพราะมีไขมันเกาะลำไส้เล็ก  ไขมันที่เคลือบลำไส้จะเคลือบขยะเอาไว้ด้วยแล้วสะสมตัวกัน  ทำให้เกิดแก๊สและมีอาการปวดท้องตอนบ่ายในช่วงเวลานี้  ถ้ากินสูตร โยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว  และขมิ้นชัน  จะช่วยล้างลำไส้เล็กได้ดีที่สุด  สูตรโยเกิตนี้ตัวจุลินทรีย์จะช่วยเปลี่ยนขยะในลำไส้เล็กให้เป็นวิตามิน B 12 เพื่อส่งไปเลี้ยงสมองต่อไป

เวลา 15:00 – 17:00 น.
              ช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง  แก้ปัญหาเรื่องตกขาวของสตรีและควรกินน้ำกระชายเวลานี้ด้วย  จะช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง  ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออกจะดีมาก  เพราะร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุดในเวลานี้
            กินเหลือเลยเวลาจากช่วงนี้  จนไปถึงการกินก่อนนอน  ขมิ้นชันจะไปช่วยเรื่องความจำให้ความจำดี  ช่วยขับไขมันในตับระหว่างเวลา 01:00 – 03:00 น.  ตื่นนอนตอนเช้าจะไม่ค่อยเพลีย  และช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น  กินขมิ้นชันมากจะช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ผิวหนังไม่เป็นผดผื่นคันง่ายๆ
            กินขมิ้นชัน   แบบผงหรือบรรจุแคปซูล  ควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานและสะอาดเชื่อถือได้  ไร้สารเคมี  ไม่มีสเตรอย์ที่เกิดจากการอบแห้งด้วยความร้อนเกิน ๖๕ องศา  ควรตัดสินใจเอง  เพราะเราจะต้องกินทุกวัน  ก็ควรกินให้ปลอดภัยและสบายใจ (สมุนไพรปัญจะศรี  02-8808112-5)
            ถ้ากินขมิ้นชัน  แบบผง ๑ ช้อนชา  ใช้ผสมน้ำ ๑ แก้ว (ไม่เต็ม)  ขมิ้นชันจะไหลผ่านส่วนต่างๆ ตั้งแต่
                       • ผ่านลำคอ  ช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ลำคอ  ช่วยดูแลปอดให้หายใจดีขึ้น  ลดความชื้นของปอด
                       • ผ่านลำไส้  ก็สมานแผลในลำไส้
                       • ผ่านตับ  ก็ไปบำรุงตับ  ล้างไขมันในตับ
                       ขมิ้นชันยังช่วยดูแลเซลล์ต่างๆ ที่ฉีกขาด  ก็จะไปเชื่อมให้  และไปกวาดขยะ  กวาดไขมันมากองไว้  ถ้าจะอุ้มขยะไปทิ้งโดยการขับถ่ายก็กินอาหารปกติ  เช่น  พืช  ผัก  ผลไม้  ที่มีกากใย  หรือกินน้ำลูกสำรอง (พุงทลาย) เพื่ออุ้มไขมัน  อุ้มแก๊สไปทิ้ง
                       • คนธาตุเบา  แสดงว่ามีการระคายเคือง  อักเสบ  เป็นแผลเรื้อรังบางอย่างที่ผนังลำไส้เป็นอาจิณ
                       • คนธาตุหนัก  แสดงว่าปลายประสาทลำไส้ใหญ่เสื่อม  อาจเกิดจากการกินยาถ่ายเป็นประจำ  หรือกินน้ำน้อย  ทั้งธาตุเบาและธาตุหนักไม่ดีทั้งคู่  ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่ามีปัญหาที่ลำไส้  และปลายประสาทลำไส้ใหญ่ผิดปกติ  หากปล่อยไว้วันข้างหน้าจะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้  ควรกินขมิ้นชันเป็นประจำ  เพื่อค่อยๆปรับให้เข้าที่  แล้วกลับมาถ่ายอย่างปกติ

                        สำหรับขมิ้นชันนั้น ผมรับประทานหลังอาหาร วันละสามมื้อ ครั้งละ ๒ แคปซูล  รู้สึกว่าระบบย่อยอาหาร  กระเพาะอาหารจะดีขึ้น  แต่ทั้งขมิ้นชัน และน้ำกระชาย  รู้สึกว่าจะมีแก๊สมากไปหน่อย แต่ไม่มีกลิ่น เวลาเผยลมออกมาครับ แต่อย่าลืม กินขมิ้นชันช่วงเวลา 03:00-05:00 น.อีก ๑ แคปซุูล  สำหระบผู้แพ้อากาศ  เยื่อโพรงจมูกบวมหานใจไม่ออกแบบผม นะครับ

                           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3132 เมื่อ: 15 กันยายน 2554, 08:13:56 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 กันยายน 2554, 08:27:45
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และผู้ที่สนใจดูแลสุขภาพที่ผ่านเข้ามาอ่าน ที่รักทุกท่าน

                       วันนี้พี่สิงห์อยู่บ้าน 14:15 น. Boarding เดินทางไปนครศรีธรรมราชครับ จึงขอแถมหลักการดูแลสุขภาพล้างลำไส้ ด้วยสูตร โยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว ปรุงรสตามใจชอบ และผู้ที่จะกินเป็นอาหารเช้าประจำวันเพื่อลดความอ้วน ก็รับประทานกล้วยน้ำหว้าสุกเพิ่มไปอีกหนึ่งผล คู่ไปด้วยนะครับ

                       เช้านี้อย่าลืม ทำจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ จะไร้โรค และโลกจะหน้าอยู่ขึ้น ครับ

                       สวัสดี   



หลักในการดูแลสุขภาพ

คัดลอกจากหนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ

นายเริ่ม   งามขำ

ตอนที่ ๑๕

โยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว   ล้างลำไส้.....

ประโยชน์ของโยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว  คือ...

                        • ล้างไขมันในลำไส้เล็ก  ทำให้ระบบดูดซึมดี  ตัวจุลินทรีย์ที่เกิดในโยเกิตจะช่วยย่อยไขมันจากนม  และกินความหวานจากน้ำผึ้ง  เพื่อสร้างและเลี้ยงตัวจุลินทรีย์เองให้เติบโต  เมื่อกินโยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว  เข้าไป   นอกจากจะล้างลำไส้แล้ว  ยังมีไขมันฝ่ายดีและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  ถ้ากินเวลา 13:00-15:00 น. จะไปช่วยย่อยขยะในลำไส้เล็ก  เพื่อเปลี่ยนขยะให้เป็นวิตามิน B12  ส่งไปเลี้ยงสมองได้ดีมาก  กินตอนเช้าจะลดความอ้วน  กินตอนบ่ายล้างลำไส้เล็ก  กินตอนเย็นจะอ้วน (หรือเวลาไหนก็ได้แล้วแต่ความสะดวก  ขอให้กินเท่านั้นเป็นพอ)

                        • ถ้าไม่มีน้ำผึ้ง  ก็ใช้น้ำอ้อยแทนก็ได้  และถ้าไม่มีมะนาวก็ใช้น้ำส้มคั้น หรือน้ำส้มจี๊ดแทน  จะได้วิตามิน C  จากผลไม้โดยตรง

                        • คนที่เป็นเบาหวานก็กินได้  เพราะจุลินทรีย์จะกินความหวานจากน้ำผึ้งก่อน เมื่อผสมโยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว เสร็จแล้ว  ควรตั้งทิ้งไว้ซักพักหนึ่ง ( ๑๕-๓๐ นาที) เพื่อให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ขยายตัวก่อนแล้วจึงดื่ม  ถ้ากินในปริมาณ ๕๐๐ cc. จะช่วยล้างลำไส้ใหญ่ได้

                        • เด็กกินแล้วจะช่วยย่อย  ทำให้อารมณ์ดี  บำรุงสมองดี

สูตร...

      โยเกิตธรรมชาติ       ครึ่งถ้วย
      นมสด         ๑ แก้ว ( ๑ กล่อง = 250 cc.)
      น้ำผึ้ง          ๑-๒ ช้อนโต๊ะ
      มะนาว         ครึ่งลูก (รสชาติปรับได้ตามใจชอบ)
      สูตรไม่ตายตัว  ปรับได้  ขอให้ทำได้อร่อยแล้วกินได้ก็พอ

                          สำหรับโยเกิต + นมสด + น้ำผึ่ง + มะนาว นั้นเท่าที่ทดลองดื่มมาหนึ่งอาทิตย์ หลังอาหารเช้านั้น ปรากฏว่า เศษอุจจาระ น้อยลงกว่าเดิมที่เคยถ่ายประจำตอนเช้าของทุกวัน  ทั้งที่รับประทานอาหารในปริมาณที่เท่าเดิม อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ  แสดงว่าระบบดูดซึมในลำไส้เล็กได้รับการล้างบ้างแล้ว จึงดูดซึมสารอาหารไปใช้มากเลยเหลือกากน้อย

                          ที่แรกกังวลว่าน้ำหนักจะขึ้น เพราะนม แต่เมื่อเช้าชั่งดูปรากฏว่าอาทิคย์นี้มานครศรีธรรมราชย้ำหนักหายไปครึ่งกิโลกรัม เหลือ ๖๖ กิโลกรัม ครับ กำลังดีเลย อย่าลืมรับประทานตอนเช้า ลดความอ้วน

                           สวัสด
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3133 เมื่อ: 15 กันยายน 2554, 09:58:00 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และผู้ที่สนใจดูแลสุขภาพ ที่รักทุกท่าน

                       ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายที่ผมได้นำเสนอให้ทุกท่านอ่าน และนำไปปฏิบัติกัน  ผมเองได้ทดลองเอาไปใช้เพื่อปรับวิถีชีวิตตัวเองให้มีสุขภาพที่ดีกว่าเดิม ไม่ลองไม่รู้  ทดลองดุก็ไม่เสียหายอะไรครับ

                       วันนี้เป็นเรื่องของการใส่แหวน ครับ ลองพิจารณาดูด้วยปัญญาครับ

                       สวัสดี



หลักในการดูแลสุขภาพ
คัดลอกจากหนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ
นายเริ่ม   งามขำ
ตอนที่ ๒๓
การใส่แหวน (โลหะบำบัด).....


นิ้วโป้ง...

                        1.   ใส่แหวนเงิน  ช่วยให้ปอดแข็งแรง  หายใจเต็มอิ่ม  ดูดสารพิษที่ปอด

                        2.   ใส่แหวนทอง  ช่วยลำไส้ใหญ่ให้ขับถ่ายสะดวก

นิ้วชี้...

                        1.   ใส่แหวนเงิน  ช่วยลดความอ้วน  แก้โรคเก้าต์  เบาหวาน  น้ำเหลืองเสีย  ขจัดพิษที่ม้าม

                        2.   ใส่แหวนทอง  ช่วยให้กระเพาะอาหารแข็งแรง  กับปวดเข่า

นิ้วกลาง...

                        1.   ใส่แหวนเงิน  ช่วยกรองเลือดที่ผ่านหัวใจให้สะอาด  ป้องกันหัวใจวาย

                        2.   ใส่แหวนทอง  ปรับความร้อนในร่างกาย  แก้ปัสสาวะบ่อย

นิ้วนาง...

                        1.   ใส่แหวนเงิน  ช่วยล้างไขมัน  ล้างสารพิษในตับ

                        2.   ใส่แหวนทอง  แก้ไมแกรน  แก้นอนไม่หลับ

นิ้วก้อย...

                        1.   ใส่แหวนเงิน  ช่วยชำระไต  ขจัดสารพิษที่ไต  มือซ้ายหรือขวาก็ได้  หรือใส่ทั้งสองข้างก็ได้  เพราะเรามีไตซ้ายไตขวา

                        2.   ใส่แหวนทอง  ช่วยดูแลเรื่อง  กระเพาะปัสสาวะ  มดลูก  รังไข่  ปีกมดลูก  อัณฑะ  ไส้เลื่อน
                         
                        การใส่แหวนเป็นการใช้โลหะบำบัด  ช่วยได้เล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่ทดลองทำดู  ควรดูแลเรื่องอาหารการกิน  เป็นเรื่องหลักจะดีที่สุด  โดยเฉพาะอาหารมื้อเช้า  และออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3134 เมื่อ: 15 กันยายน 2554, 12:22:18 »


                       เพื่อเป็นการเรียนรู้ของจริง วันนี้ข้าวมื้อกลางวันผมรับประทานข้าวกับต้มยำปลากระพงน้ำลึก และใบมะยม ครับรู้สึกเข้ากันได้ดี คือต้มยำไม่มีผัก  จึงต้องอาศัยผักใบเขียวจากใบมะยม เด็ดมาจำนวนสามก้าน ได้ใบตามที่เห็น โดยใช้ใบมะยมเป็นเครื่องเคียง อร่อยดีได้รสชาดไปอีกอย่าง เป็นการล้างน้ำตาลในเส้นเลือดด้วยการกินใบมะยมสดครับ

                       ต้มยำจานนี้ราคา 150 บาท ซื้อจากร้านท่าศาลาซีฟู๊ด ผมจะตักเอาเพียงแค่นี้ ที่เหลือเอาไปให้พนักงานบริษัท รับประทานกัน ครับ

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3135 เมื่อ: 15 กันยายน 2554, 20:27:53 »

สงสัยพระสยามเทวาธิราช ท่านคงจะไม่เห็นใจชาวบ้านที่ถูกน้ำท้วม !


                      วันนี้น้ำที่ท้วมบ้านพี่สาวที่อินทร์บุรี  ระดับน้ำได้ท้วมชั้นสองเรียบร้อยแล้ว ต้องยอมปล่อยข้าวของให้น้ำท้วมเพราะไม่รู้จะขนย้ายไปไว้ที่ไหน ได้แต่วางบนเตียงเอาเท่านั้น  ดีที่ว่ายังมีบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ที่สูงกว่า จึงย้ายไปอยู่  และเพื่อนบ้านหลายครอบครัว ต้องนอนบนเตียงชั้นสองที่พื้นก็น้ำท้วม  ถ้าน้ำขึ้นอีกซึ่งขึ้นอยู่เรื่อยๆ จะไปนอนที่ไหนกัน  ในเมื่อกรมชลไม่ยอมปล่อยน้ำเข้าทุ่งนา โดยการถมถนนให้สูงขึ้นอีก เพื่อรักษานาข้าว

                       แต่ผลสุดท้ายเชื่อเถอะนาข้าวก็เอาไม่อยู่ และน้ำก็จะท้วมกรุงเทพฯ แน่ๆ ถ้าปล่อยไว่อย่างนี้  สู้ระบายน้ำเข่านาทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา  เปิดเข้าหลายๆ จุด  ไม่ใช่เวลาเอาไม่ไหวจริงก็ปล่อยน้ำเข้านาตั้งแต่นต้นทาง มันก็ฉิบหายกันหมดทั้งนาข้าว (เมื่อปีที่แล้วนาข้าวฝั่งตะวันตกเสียหมด  แต่ฝั่งตะวันออกอยู่  แต่ถ้าปล่อยทั้งสองฝั่ง นาจะอยู่ทั้งคู่เพราะน้ำจะเฉลี่ยกันไประดับไม่สูงมาก) คนไม่มีที่นอน  กรุงเทพฯน้ำก็ท้วมแน่ๆ  ซึ่งรัฐบาลไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด  ไม่รู้ทำอะไรกัน ภัยกำลังจะมาถึงตัวแล้วหนอคนกรุงเทพฯ  ไม่เกินหนึ่งเดือนข้างหน้านี้

                       สำหรับท่านที่มีรถต้องเล็งหาที่จอดแล้วครับกรณีน้ำท้วมกรุงเทพฯ  อย่างไรเตรียมอาหารสำรองเอาไว้บ้างครับ

                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #3136 เมื่อ: 15 กันยายน 2554, 20:36:37 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
ตอนนี้ก็มีข่าวให้เฝ้าระวังน้ำไหลลงมาแล้วค่ะ
คนที่บ้านอยู่ใกล้น้ำก็ใจไม่ดีกันค่ะ
เหมือนวันนี้ที่อ่างทอง เด็กนักเรียนหนีกันแทบไม่ทัน
เพราะน้ำพังมาท่วมโรงเรียนอย่างกระทันหัน
น่าเป็นห่วงค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3137 เมื่อ: 15 กันยายน 2554, 20:49:09 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 15 กันยายน 2554, 20:36:37
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
ตอนนี้ก็มีข่าวให้เฝ้าระวังน้ำไหลลงมาแล้วค่ะ
คนที่บ้านอยู่ใกล้น้ำก็ใจไม่ดีกันค่ะ
เหมือนวันนี้ที่อ่างทอง เด็กนักเรียนหนีกันแทบไม่ทัน
เพราะน้ำพังมาท่วมโรงเรียนอย่างกระทันหัน
น่าเป็นห่วงค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

            นั่นละผลของการไปกักน้ำเอาไว้  ถึงอย่างไรก็เอาไม่อยู่  อย่าไปกักมันเลยครับ สู้กระจายความเดือดร้อน ยอมรับชะตากรรมไปปีนี้ ปีหน้าค่อยเอาใหม่  ถ้าพี่สิงห์สามารถไปเป็นตัวแทนฝ่ายประชาชน ที่รับทุกข์เพราะน้ำท้วมได้

            พี่สิงห์ว่ากรุงเทพฯ  รับมือไม่ไหวหรอกครับ โดยเฉพาะที่ติดกับแม่น้ำ ท้วมแน่ๆ  ถ้ายังเฉยกันอยู่อย่างนี้ ลักษณะมันเป็นแบบน้ำที่มากัยสายยางที่พุ่งเข้าสู่กรุงเทพฯ โดยตรง แรง เร็ว ความดันสูง เพราะไปบีบมันไว้ อยู่แต่ในลำแม่น้ำเจ้าพระยาครับ
           
             ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3138 เมื่อ: 15 กันยายน 2554, 21:02:03 »

มะรุม
                                
ใบมะรุมมีประโยชน์มากมาย



                                   ลองเอามาทำน้ำชาดูรสชาติไม่ไหว เหมือนกินน้ำต้มผัก เลยได้ไอเดียเอามาผสมอย่างอื่นก็ไม่อร่อยและดับกลิ่นได้เท่าผสมกับมะนาวและน้ำผึ้ง และดื่มแล้วสดชื่นมากเลย

                                            เลยเอาสูตรมาเผยแพร่เผื่อเพื่อนอยากทำดื่มเพื่อสุขภาพ






เครื่องปรุง
                                - ชามะรุม 1 ช้อนโต๊ะ
                                - น้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะ
                                - มะนาว ครึ่งลูก

วิธีทำ

                                - ใบมะรุมตากในร่มแดดอย่าให้โดนแดด สัก 2 แดด ตากให้แห้งกรอบ แล้วบดกับตะแกรง กระชอน หรือตำให้ละเอียด
                                - เก็บใส่ขวดไว้ปิดฝาให้สนิทเป็นชามะรุม
                                - หรือจะเอาใส่แคปซูลไว้ทานก็ได้

                                   ชามะรุมชงในน้ำร้อน จะได้สีสวยใสเหมือนน้ำชา
                                   ใส่น้ำผึ้งคนๆให้ละลายเข้ากัน
                                   หั่นมะนาวเป็นแว่นๆเพิ่มความกลมกล่อมและหอมดับกลิ่น

                                   จะดื่มแบบร้อน
                                   หรือใส่น้ำแข็งแบบเย็นชื่นใจก็ได้จ๊ะ

                        ชาวอินเดียเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคต่างๆได้ถึง300ชนิด
                        ในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค
                         องค์การสหประชาชาติได้ให้การสนับสนุนในการค้นคว้าและวิจัยอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในการรักษาโรคขาดอาหารและอา การตาบอด


1. ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิด ถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอด ได้เป็นอย่างดี
2. ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ ทำให้สามารถลดการใช้ยาลง
3. รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4. ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายถ้าแม้ทานผลิตผ ลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเ องถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง
5. ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
6. ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง
การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7. ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊า โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8. รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้นถ้ารับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9. รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง โรคพยาธิในลำไส้ เป็นต้น
10. รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ

                       ญี่ปุ่นใช้รักษาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก
                       ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก
                       แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก "มาลังเก") เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย

ชะลอความแก่

                         กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ ชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย  ฆ่าจุลินทรีย์ ใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู

ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเตอรอล

                         ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม
 
ฤทธิ์ป้องกันตับ

                         จากการวิจัย มะรุมสามารถขับไขมันในเส้นเลือด ในตับและในไตได้ แต่ไม่เป็นตัวขับนำ หากจะรักษาอาการบวมจากโรคไต ควรรับประทาน ตะไคร้ แกนสับประรด อ้อยแดง หรือหญ้าคา ต้มเอานำดื่ม จะใช้ตัวเดียวหรือหลายตัวผสมได้ ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้จะออกฤทธิ์ในการขับนำปัสสาวะ และรักษาอาการอักเสบทางเดินปัสสาวะได้ดีกว่า อีกทั้งไม่มีผลข้างเคียงเหมือนยาขับปัสสาวะแผนปัจจุบันที่จะทำให้หูอื้อได้

                         ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า
                         วิตามินเอบำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า
                         วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
                         แคลเซียมบำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
                         โพแทสเซียมบำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
                         ใยอาหารและพลังงานไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
                         น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุมมีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภ าพอย่างยิ่ง


วิธีใช้

                        ใบสด ควรรับประทานใบสดที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไปนัก เพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่
                        เด็กแรกเกิด -1 ปี คั้นน้ำจากใบเพียง 1 หยด ผสมกับนมให้ดื่มเพียง 1 หยด ต่อ 1-2 วัน ใบมะรุมนี้มีธาตุเหล็กสูงมาก ฉะนั้นทารกในวัยเจริญเติบโต - 2 ขวบ จึงไม่ควรทานมาก
                         เด็กที่เริ่มทานอาหารได้ถึง 3-4 ขวบ ควรทานวันละไม่เกิน 2 ใบ เพิ่มจำนวนขึ้นทีละใบตามอายุ จนถึง 10 ขวบ
                         เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ รับประทานวันละ 1 กิ่ง จะทานสดหรือประกอบอาหารก็ได้ ถ้าจะให้ได้ผลรวดเร็ว ควรคั้นน้ำดื่มประมาณวันละ 1 ช้อนโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่ หรือ 1 ช้อนชาสำหรับเด็ก

                          การรับประทานสุกควรลวกแต่พอควรเพราะการถูกความร้อนนานเกินไปจะท ำให้สารอาหารหลายชนิดเสื่อมคุณภาพลงไปมาก ถ้าสามารถรับประทานสดได้จะดีมาก ใช้ทำสลัดรวมกับผักสด หรือวางบนแซนวิช


ฝัก ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ไข้หัวลม
ผล รับประทานได้ทั้งฝักอ่อนและฝักแก่ ใช้แกงส้มหรือขูดเอาแต่เนื้อใน มาทำแกงกะหรี่
ฝักอ่อนขนาดถั่วฝักยาวสามารถนำมาทำอาหารได้มากมายหลายชนิด อาทิ เช่น แกงส้มฝักมะรุม ฝักมะรุมอ่อนผัดน้ำมันหอย ยำฝักมะรุมอ่อน (เหมือนยำถั่วพลู) แกงจืดใบมะรุมอ่อนเต้าหู้
สลัดสดใบมะรุมผักรวม ทอดมันปลากับฝักมะรุมอ่อน แกงเลียงฝักมะรุมอ่อนและใบมะรุม
แกงเผ็ดฝักมะรุมอ่อน ไข่ยัดไส้ใบมะรุมหมูสับ ต้มจืดหมูสับใบมะรุมอ่อนหนู แกงจืดวุ้นเส้นใบมะรุมอ่อนใส่เห็ดสด ผัดพริกขิงฝักมะรุมอ่อน ผัดจืดฝักมะรุมอ่อนใส่ไข่และกุ้ง ผัดเผ็ดฝักมะรุมอ่อนยอดพริกไทยกับไก่
ฝักมะรุมอ่อนผัดขี้เมา ไก่อบฝักมะรุมอ่อน
ผัดฝักมะรุมอ่อนกับเห็ดสดต่างๆ ราดหน้าฝักและใบมะรุมอ่อนไก่/หมู
ผัดฝักมะรุมอ่อนกับเห็ดหู
แกงเขียวหวานหรือแกงแดงฝักมะรุมอ่อน (จะใส่เนื้อ หรือไก่ก็ได้ตามแต่ชอบ)

ยอด ดอก และฝักมะรุมอ่อนชุบแป้งเทมปุระทอด
ดอกมะรุมชุบไข่ทอด
ยอด ดอก และฝักมะรุมอ่อนจิ้มน้ำพริก

เมล็ด สามารถนำเมล็ดมะรุมมาสกัดน้ำมันเพื่อใช้ประโยชน์ได้มากมายเช่นใ ช้ทำอาหารได้
รักษาโรคปวดตามข้อ โรคเก๊า รักษาโรครูมาติซั่ม และรักษาโรคผิวหนัง แก้ผิวแห้ง ใช้แทนยารักษาผิวให้ชุ่มชื้น รักษาโรคอันเกิดจากเชื้อรา เอาฝักแก่แล้วแกะเมล็ดเอาแต่เม็ดข้างในสีขาวมา อม ๆ เคี้ยว ๆ แก้ไอ พอกินแล้วเออ หวานชุ่มคอดี ตอนแรกก็ขม แต่ ซักพักก็จะชุ่มคอ
เนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้
ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก

ทำน้ำมันมะรุมไว้ใช้ที่บ้าน

เอา เมล็ดแห้งกระเทาะเปลือกออกใช้ครกบทยาตำละเอียดให้ต้มไฟอ่อน ๆ จนน้ำระเหยออกแล้วจะมีน้ำมันลอยอยู่แล้วซ้อนเอาส่วนเป็นน้ำมันออกเก็บใส่ขวด ควรเป็นขวดสีชาหรือทึบเพื่อรักษาคุณภาพ วิธีนี้อาจจะขาดสารบางส่วนไปมากกว่าวิธีบีบเย็น ข้อดีน้ำมันไม่มีกลิ่น วิธีบีบเย็นจะมีกลิ่นหื่น ๆ นิดหน่อย


เปลือกจากลำต้น จะมีรสร้อน ช่วยขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก)
แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
นำมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆใส่ผ้าห่อทำเป็นลูกประคบนึ่งให้ร้อนนำม าใช้ประคบ แก้โรคปวดหลัง ปวดตามข้อได้เป็นอย่างดี
ชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย


กากของเมล็ดกากที่เหลือจากการทำน้ำมันสามารถนำมาใช้ในการกรองหร ือทำน้ำให้บริสุทธิ์เป็นน้ำดื่มได้กากของเมล็ดมีคุณสมบัติเป็นย าฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นนำมาทำปุ๋ยต่อได้

ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้
ใช้ต้มทำน้ำชาใช้ดื่มช่วยให้นอนหลับสบาย


ราก มีรสเผ็ด หวานขม แก้บวม บำรุงไฟธาตุ มีคุณเสมอกับกุ่มบก

ใบตากแห้ง สามารถนำใบมาตากแห้งโดยการตากในที่ร่มอย่าให้โดนแดดเมื่อแห้งสน ิทดีแล้วนำมาป่นเป็นผงบรรจุในหลอดแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การพกพาใน กรณีที่เดินทางและหาใบสดไม่ได้ใช้ทำเป็นน้ำชาไว้ดื่มได้ตลอดวัน
เก็บผงมะรุมไว้ในที่มืดเช่นขว ดพลาสติกชนิดทึบเพื่อกันการเสื่อมคุณภาพ


ให้กินใบมะรุมสดจะช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับโลหิตจาง
ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้
ประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุง เข้าเครื่อง "ผงนัว" กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก


ต่างประเทศใช้ใบและยอดอ่อนปรุงรสเป็นน้ำซุป
ในอินเดียใบอ่อนฝักดอกใช้เป็นอาหารทุกส่วน ของมะรุมใช้เป็นยาเช่นใช้บำบัดโรคท้องมานปวดบวมตามข้อ บำรุงหัวใจ
ใบอุดมด้วยไวตามินเอและซีใช้ในโรคลักปิดลักเปิดและโรคเยื่อ เมือกอักเสบ
ใบตำเป็นยาพอกแผลดอกเป็นยาบำรุงขับน้ำตาลและขับปัสสาวะเมล็ดมีรสขมใช้เป็นยาแก้ไข้
น้ำมันจากเมล็ดทาแก้โรคปวด
เอาใบคลุกกับดินแก้โรคราในพืชได้ด้วย

มีคนรู้จักเล่าให้ฟังเมือนว่าเอาใบมาตากแห้งแล้วบดละเอียด
ชงกินเช้าเย็น ลุงเป็นอัมพาตจากที่เดินไม่ได้ก็เริ่มเดินได้แล้ว

จากคุณ : penoo


เป็นมะเร็งถุงนำดีระยะ ๓ กินมะรุมมา ๒ เดือน
คุณ หมอบอกเชื้อมะเร็งในเลือดลดลง
แข็งแรงดี งดอาหาร หวาน มัน เค็ม กินแต่เนื้อปลา กุ้งนิดหน่อย
กินผักมากขึ้นและก็กินหญ้าปักกิ่งทุกวัน

มะรุมเป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดและการปักชำ


มะรุม เป็น 1 ในสุดยอดวัตถุอาถรรพย์ที่คนโบราณ เอามาแกะลงยันต์พกพาติดตัวไปมีแต่คนมารุมหลงรัก คนค้าขายพกไปด้วยมีแต่คนมารุมซื้อจนไม่พอขาย ปลูกไว้กับบ้านมีแต่คนมารุมคบหา ชุมนุมสังสรรค์ อุดหนุนช่วยเหลือเกื้อกูล ใบมะรุมเป็นหนึ่งใน 9 วัตถุอาถรรพย์ที่ใช้ในการทำเสน่ห์ยาแฝด และใช้ทำผงอิธิเจ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #3139 เมื่อ: 16 กันยายน 2554, 09:19:26 »

ฝนยังคงมากในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่น้ำท่วมจากน้ำท่า-น้ำป่าไหลหลาก ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง


                                       กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.  
ร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของประเทศไทยเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุม ทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย แต่ยังคงทำให้บริเวณภาคเหนือและ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนยังมีฝนเกือบทั่วไปและมีฝนตกหนักบางพื้นที่ สำหรับคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ

                              พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้

ภาคเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา น่าน และตาก อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดเลย บึงกาฬ หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี นครพนม สกลนคร และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 28-32 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ลพบุรี กาญจนบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครนายก ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง มีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
 


      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3140 เมื่อ: 16 กันยายน 2554, 12:12:12 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       วันนี้บ่ายๆ ผมต้องเดินทางไปสุราษฎ์ธานี เพื่อไปพบกับลูกค้าของ SIW ซึ่งนัดไว้ตอนเช้าวันเสาร์ 09:00 น. คืนนี้ผมพักที่สุราษฎ์ และวันเสาร์เที่ยงต้องไปร่วมเล่นกอล์ฟ กับกลุ่มลูกค้าผู้แทนจำหน่ายของ SCG ซีเมนต์ไทย ที่สนามกอล์ฟเขื่อนเชี่ยวหลาน และกลับกรุงเทพฯ Boarding 20:30 น. ที่สนามบินสุราษฎ์ ครับ

                       เมื่อเช้าสมาธิไม่ค่อยดีเลย นั่งเจริญสติไปได้หนึ่งชั่วโมงจากตีสี่ ถึง ตีห้า ง่วงนอนจัดๆ เลย จนต้องหยุดมาชงน้ำกระชายร้อนๆผสมน้ำผึ่งดื่ม เข้าเวบให้คลายง่วงนอน จึงกลับไปนั่งเจริญสติต่อ จนถึงหกโมงเช้า จึงไปออกกำลังกายด้วยการเดินจงกรมเร็วๆ หนึ่งชั่วโมง รำมวยจีน และโยคะเสร็จประมาณ 07:20 น.จึงลงไปรับประทานอาหารเช้า และทำ โยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว รับประทานหลังอาหารเช้าเสียหนึ่งถ้วยใหญ่ๆ ครับ

                       เช้านี้ผมสอนหนังสือให้กับพนักงานฝ่ายขายคนใหม่ เรื่องการขายแผ่นพื้นสำเร็จรูป และ 5ส. จนเจ็บคอเลย โดยมีข้อแม้ว่า คิดค่าสอนเป็น "บ้านเธอมีมะรุม อาจารย์ให้เธอไปทำชามะรุม มาให้อาจารย์ ตามวิธีการทำที่ได้แนะนำไป   เอามาให้อาจารย์อาทิตย์หน้า"

                       ดังนั้นอาทิตย์ หน้าผมมีชามะรุมชงดื่มแทนกาแฟ แล้วครับ (ผมไม่ดื่มกาแฟแล้ว ยกเว้นมันง่วงจริงๆ เวลาขับรถกลับบ้าน และตอนนี้ดื่มกาแฟเข้าไปทีไร มึนหัวทุกที ด้วยฤทธิ์ของคาเฟอีน ครับ)

                       มื้อกลางวันวันนี้ผมรับประทานข้าวกับแกงส้มปลากระพงน้ำลึก และใบมะยมสด ครับ

                        ผมมาอยู่นคร ฝนไม่ตกเลยครับ

                       สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3141 เมื่อ: 16 กันยายน 2554, 19:51:09 »

รู้ประวัติ พุทธสาวก อรหันต์ เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๑๖

พระสีวลีเถระ

เอตทัคคะในทางผู้มีลาภมาก

                        พระสีวลี เป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา ราชธิดาแห่งโกลิยนคร ตั้งแต่ท่านจุติลงถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระมารดา ได้ทำให้ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระมารดาเป็นอันมาก ท่านอาศัยอยู่ในครรภ์ของพระมารดา นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ครั้นเมื่อใกล้เวลาจะประสูติพระมารดาได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า พระนางจึงขอให้พระสวามีไปกราบบังคมทูลขอพรจากพระบรมศาสดาและพระพุทธองค์ตรัสประทานพรแก่พระนางว่า:- “ขอพระนางสุปปวาสา พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ จงเป็นหญิงมีความสุขปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชโอรสผู้หาโรคมิได้เถิด” ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทุกขเวทนาของพระนางก็อันตรธานไปพระนางประสูติพระราชโอรสอย่างง่ายดาย ดุจน้ำไหลออกจากหม้อ พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนานพระนามพระราชโอรสของพระนางสุปปวาสาว่า “สีวลีกุมาร” เมื่อพระนางมีพระวรกายแข็งแรงดีแล้ว มีพระประสงค์ที่จะถวายมหาทานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน จึงความประสงค์แก่พระสวามีให้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ มารับมหาทานอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวสน์ ตลอด ๗ วัน ในวันถวายมหาทานนั้น สีวลีกุมาร มีพระวรกายเข้มแข็งดุจกุมารผู้มีพระชนม์ ๗ พรรษา ได้ช่วยพระบิดาและพระมารดาจัดแจงกิจต่าง ๆ มีการนำธมกรก (ธะมะกะหรก = กระบอกกรองน้ำ) มากรองน้ำดื่มและอังคาสพระบรมศาสดาและหมู่พระภิกษุสงฆ์ ในขณะที่สีวลีกุมาร ช่วยพระบิดาและพระมารดาอยู่นั้น ท่านพระสารีบุตรเถระได้สังเกตดูอยู่ตลอดเวลาและเกิดความรู้สึกพอใจในพระราชกุมารน้อยเป็นอย่างมาก ครั้นถึงวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายพระเถระได้สนทนากับสีวลีกุมารแล้วชักชวนให้มาบวช สีวลีกุมาร ผู้มีจิตน้อมไปในการบวชอยู่แล้ว เมื่อพระเถระชักชวน จึงกราบทูลขออนุญาตจากพระบิดาและพระมารดา เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงติดตามพระเถระไปยังพระอาราม

                        พระสารีบุตรเถระ ผู้รับภาระเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น คือตจปัญจกกรรมฐานทั้ง ๕ ได้แก่ เกสา(ผม) โลมา(ขน) นขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตโจ (หนัง) ให้พิจารณาของทั้ง ๕ เหล่านี้ว่าเป็นของไม่งานเป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไปยึดติดหลงใหลในสิ่งเหล่านี้ สีวลีกุมาร ได้สดับพระกรรมฐานนั้นแล้วนำไปพิจารณาในขณะที่กำลังจรดมีดโกนเพื่อโกนผม ครั้งแรกนั้นท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๓ ท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี และเมื่อโกนผมเสร็จท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
เมื่อท่านอุปสมบทแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพุทธสาวกที่มีลาภสักการะมากมาย ด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านที่สั่งสมมา ลาภสักการะเหล่านี้ได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์สาวกท่านอื่น ๆ ด้วย แม้พระบรมศาสดาเมื่อทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จทางไกลกันดาร ถ้ามี พระสีวลี ร่วมเดินทางไปด้วย ความขาดแคลนอาหารและที่พักอาศัยในระหว่างทางก็จะไม่เกิดขึ้นแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เลย เช่น....

                       •    พระพุทธองค์และหมู่ภิกษุอาศัยบุญพระสีวลี

                       สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จำนวน ๕๐๐ รูปไปเยี่ยมพระเรวตะ ผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน เมื่อเสด็จมาถึงทาง ๒ แพร่ง พระอานนท์เถระได้กราบทูลสภาพหนทางว่า..... “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล ๖๐ โยชน์ มีประชาชนอยู่อาศัยมาก พระภิกษุไม่ลำบากด้วยภิกขาจาร แต่ถ้าเสด็จไปทางลัดระยะทางประมาณ ๓๐ โยชน์ ไม่มีประชาชนอยู่อาศัย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์อยู่อาศัย พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วยภิกขาจาร” พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า:- “ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่?” “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเสวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์ ตรัสว่า:- “ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลด้วยอาหารบิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหารบิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลีผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของพระสีวลี นั้นด้วย”

                        • ได้รับยกย่องในทางผู้มีลาภมาก

                            ด้วยอำนาจบุญที่ท่านพระสีวลี ได้บำเพ็ญสั่งสมอบรมมาตั้งแต่อดีตชาติ เป็นปัจจัยส่งผลให้ท่านเจริญด้วยลาภสักการะ โดยมีเทพยาดา นาค ครุฑ และมนุษย์ทั้งหลาย นำมาถวายโดยมิขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใด ๆ ในป่า ในบ้าน ในน้ำ หรือบนบก เป็นต้น

                            ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์ จึงทรงประกาศให้ปรากฏในหมู่พุทธบริษัทตรัสยกย่องท่านในตำแหน่ง เอคทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้มีลาภมากนับว่าท่านพระสีวลีเถระเป็นพระมหาสาวกอีกรูปหนึ่งที่ได้ช่วยกิจการ พระศาสนา แบ่งเบาภาระของพระบรมศาสดาเป็นอย่างมาก ท่านดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #3142 เมื่อ: 16 กันยายน 2554, 20:39:45 »

ขอน้ำสิงห์ สีอำพันขวด
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3143 เมื่อ: 16 กันยายน 2554, 20:42:16 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                      เย็นวันนี้ผมได้ไปแวะรับประทานอาหารเย็นที่ริมทะเล อำเภอกาญจนดิษฐ์ สุราษฎร์ธานี บริเวณที่ชาวประมงเลี้ยงหอยนางลม คือ "หอยใหญ่ต้องที่อำเภอกาญจนดิษฐ์" ครับ จึงขอนำภาพมาให้ทุกท่านได้ชม ครับ

                       สวัสดี























      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3144 เมื่อ: 16 กันยายน 2554, 21:05:03 »

                       ไม่ได้เห็นบรรยากาศริมทะเลแบบนี้มานานแล้วครับ รู้สึกสดชื่นมากครับ ยามเย็นริมทะเลกาญจนดิษฐ์

                       เชิญชมภาพ และราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ


































      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3145 เมื่อ: 17 กันยายน 2554, 06:39:16 »


อรุณสวัสดิ์ครับ ชาวซีมมะโด่งและผู้ที่สนใจดูแลสุขภาพ ที่รักทุกท่าน

                         เนำเอาเรื่องน้ำผึ้งมาฝากทุกท่านครับ  แม่ผมป่วยเป็นเส้นโลหิตฝอยในสมองตีบ มาตั้งแต่ผมยังเรียนไม่จบครับ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ท่านรับประทานประจำคือ น้ำผึ้งผสมน้ำร้อนชงดื่มทุกวัน  ระยะหลังๆ คุณหมอวิทิต  ก็เป็นห่วงว่าจะเป็นเบาหวานจึงให้หยุด  แต่ก็ไม่เห็นแม่เป็นเบาหวานเลย ผมจึงให้รับประทานต่อ จากการสังเกตุของคนดูแล คือ น้ำผึ้งทำให้ความจำดีขึ้น ประสาทดีขึ้นเพราะสามารถขยับขาได้ ซึ่งเมื่อก่อนขยับไม่ได้ ปัจจุบันแม่รับประทานอาการทางสายยาง หลานสาวคือแพรว ก็ยังบังคับให้คนดูแลแม่ใสาน้ำผึ้งผสมลงไปในอาหารทางสายยางตลอด คุณหมอวิทิต ก็ไม่ว่าอะไร เพราะรู้แล้วว่า น้ำผึ้งไม่เป็นโรคเบาหวาน

                          ดังนั้นผมจึงอยากให้พวกเรา ลองชงน้ำผึ้งรับประทานกันบ้างครับ  ถ้ากลัวก็ยึดทางสายกลาง หรือเวลาชงเครื่องดื่มก็ใส่น้ำผึ้งแทนน้ำตาลครับ  สำหรับท่านที่กังวลวาวจะหาน้ำผึ้งป่าจริงๆ ได้ที่ไหน ผมแนะนำที่ร้านเขาค้อทะเลภู  ของคุณสนธิ์  ชมดี ที่ผมซื้อเป็นประจำไปให้แม่  ผมเคยถามคุณสนธิ์ แล้ว เขายืนยันกับผมเป็นมั่นเหมาะว่า ของเขารับซื้อรังผึ้งจากชาวบ้านเอามาส่ง และกรองเอาเศษออก แล้วจึงบรรจุขวด  แต่จะไม่มีตลอดปี เพราะเอามาจากรังผึ้งตามธรรมชาติที่เขาค้อครับ

                          ผมเองตอนนี้ก็ชงดื่มเป็นประจำเกือบทุกวันครับ โดยผสมลงไปในเครื่องดื่ม ที่ดื่มตลอด เช่น มะนาว หลังออกกำลังกายเสร็จ

                          วันนี้ผมต้องไปพบกับลูกค้าของ SIW และต้องไปตีกอล์ฟกับผู้แทนจำหน่ายของ SCG ซีเมนต์ไทย ที่เขื่อนเชี่ยวหลาน ทั้งวันครับ

                          สวัสดี อย่าลืมทำจิตให้ผ่องใสเข้าไว้นะครับเช้านี้  ทุกสิ่งรอบๆตัวเราจะดีเองครับ



น้ำผึ้งผสมอบเชย

Honey and Cinnamon


                       น้ำผึ้งเป็นอาหารเพียงชนิดเดียวในโลกนี้ที่ไม่เสียหรือบูดเน่า จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล แท้จริงแล้วน้ำผึ้งแท้ก็คือน้ำผึ้งแท้อยู่วันยังค่ำ อย่างไรก็ตามถ้าปล่อยทิ้งไว้ในที่มืดนานๆมันจะตกผลึก ถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ให้นำขวดน้ำผึ้งแช่ในน้ำร้อน ปล่อยให้ค่อยๆเย็นลงจนกลายเป็นของเหลว มันก็จะกลับคืนสู้สภาพเดิม อย่านำเข้าตู้ไมโครเวฟเด็ดขาด เพราะจะทำลายเอ็มไซม์ในน้ำผึ้ง

                       น้ำผึ้งกับอบเชย

                       กล้ากล่าวได้ว่าบริษัทยาทั้งหลายไม่ชอบใจแน่ๆ การค้นพบข้อเท็จจริงของส่วนผสมน้ำผึ้งกับอบเชยสามารถรักษาโรคได้เป็นส่วนมาก น้ำผึ้งสามารถผลิตได้ทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังยอมรับว่าเป็น “Ram Ban” (มีประสิทธิผลมาก)ในการรักษาโรคนานาชนิด น้ำผึ้งสามารถใช้ได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

                       ปัจจุบันวิทยาศาสตร์กล่าวว่าแม้น้ำผึ้งจะมีรสหวาน ถ้ารับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็จะเป็นยาชนิดหนึ่ง ไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ป่วยเบาหวาน หนังสือ World Weekly News ของแคนนาดา ประจำวันที่ 17 มกราคม 1995 ได้บอกถึงสรรพคุณของน้ำผึ้งกับอบเชยว่ารักษาโรคใดได้บ้าง ซึ่งเป็นผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาติตะวันตกดังนี้:


                       1. โรคหัวใจ (Heart Diseases)

                              เอาน้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยแล้วป้ายขนมปังแทนเยลลีและแยม ทานเป็นประจำเป็นอาหารเช้าจะช่วยลดคอเรสเตอรัลในเส้นเลือดและช่วยลดอาการหัวใจวาย สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ถ้ารับประทานตามที่แนะนำมานี้เป็นประจำ ก็จะทำให้อาการเจ็บกล้ามเนื้อหัวใจทุเลา ถ้าคนปกติรับประทานเป็นประจำดังกล่าวมาก็จะทำให้ระบบหายใจดีขึ้น การเต้นหัวใจแข็งแรงขึ้น ในสหรัฐอเมริกาและแคนนาดาสถานดูแลผู้ป่วยหลายแห่งใช้วิธีนี้บำบัดคนไข้ผลดี และค้นพบต่อไปอีกว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น เส้นโลหิตแดงและโลหิตดำขาดความยืดหยุ่นและอุดตันได้ง่าย น้ำผึ้งกับอบเชยสามารถฟื้นฟูเส้นโลหิตทั้งสองชนิดได้

                       2. โรคปวดข้อปวดกระดูก (Arthritis)

                             ผู้ป่วยโรคปวดข้อปวดกระดูกอาจจะรับประทานเป็นประจำโดย    ชงน้ำผึ้ง 2 ช้อนกับผงอบเชย 1 ช้อนชาในน้ำร้อนขนาดถ้วย
กาแฟทุกเช้าและเย็น ก็จะทำให้อาการปวดทรมานหายได้ จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยโคเปนฮาเกน พบว่าหมอให้คนไข้รับประทานน้ำผึ้งขนาด 2 ช้อนโต๊ะกับผงอบเชยขนาด ครึ่งช้อนชาก่อนอาหารเช้า พบว่าในเวลา 1 สัปดาห์คนไข้จำนวน 73 คนจากจำนวนทั้งหมด 200 คนที่เข้าร่วมโครงการทดลองมีอาการปวดลดลง เมื่อทดลองต่อไปจนครบ 1 เดือนปรากฏว่าคนไข้ส่วนใหญ่ที่เดินไม่ได้สามารถเดินได้เองโดยไม่มีอาการปวดแต่อย่างใด

                       3. โรคกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ (Bladder Infections)

                             ให้ใช้ผงอบเชย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาชงในน้ำอุ่น 1 แก้วแล้วดื่ม มันจะไปฆ่าเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ

                       4. คลอเลสเตอรอล (Cholesterol)

                             ชงน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะกับผงอบเชย 3 ช้อนชาในน้ำชาขนาด 16  ออนซ์ให้คนไข้ที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงดื่ม ปรากฏว่าภายใน
เวลา 2 ชั่วโมงระดับคลอเลสเตอรอลลดลง 10 เปอร์เซ็นต์ ดังที่ได้ กล่าวถึงคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคปวดข้อ ถ้าให้คนไข้ดื่มวันละ 3 เวลาก็คลอเลสเตอรอลจะหายเป็นปกติได้ ตามข้อมูลที่อ่านจากนิตยสารนี้กล่าวว่า การดื่มน้ำผึ้งบริสุทธิพร้อมอาหารเป็นประจำทุกวันช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้

                       5. ไข้หวัด(Colds)

                              สำหรับผู้ที่มีอาการทรมานจากไข้หวัดหวัดทั่วไปหรือไข้หนักควรชงน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะกับผงอบเชย ¼ ช้อนทุกวันเป็นเวลา 3 วันก็จะช่วยลดอาการไอรุนแรงและจมูกโล่ง

                       6. อาการท้องอืด( Upset Stomach)

                             ให้รับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยจะช่วยให้อาการปวดท้องทุเลา    และยังช่วยลดอาการแผลในกระเพราะอาหารได้ด้วย

                       7. ลมในกระเพราะ (Gas)

                             ผลการศึกษาในอินเดียและญี่ปุ่นพบว่า ถ้ารับประทานน้ำผึ้งกับผงอบเชยจะช่วยลดลมภายในกระเพราะอาหารลงได้

                       8. ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย( Immune System)

                             การรับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยประจำวันจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายให้เข้มแข็ง ช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นักวิทยาศาสตร์พบว่าในน้ำผึ้งมีวิตามินหลายชนิดและธาตุเหล็กเป็นจำนวนมาก การรับประทานน้ำผึ้งประจำยังเพิ่มเม็ดเลือดขาว เพื่อต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้
  
                       9. อาหารไม่ย่อย(Indigestion)

                             โรยผงอบเชยลงบนน้ำผึ้งขนาด 2 ช้อนโต๊ะก่อนอาหารจะช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารและช่วยให้การย่อยอาหารเมื้อหนักได้ดี

                       10. ไข้หวัดใหญ่( Influenza)

                              นักวิทยาศาสตร์สเปนได้พิสูจน์น้ำผึ้งประกอบด้วยสารอาหารธรรมชาติที่ทำลายเชื้อไข้หวัดใหญ่และช่วยให้ผู้ป่วยให้ปลอดภัยจากไข้หวัดใหญ่

                       11. ยาอายุวัฒนะ(Longevity)

                             การดื่มชาที่ผสมน้ำผึ้งกับผงอบเชยเป็นประจำช่วยชะลอความชรา วิธีการทำคือ ใช้น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ ผงอบเชย 1 ช้อน น้ำเปล่า 3 ถ้วย แล้วน้าไปต้มเหมือนชา ให้ดื่ม ¼ ถ้วยวันละ 3-4 เวลา จะช่วยให้ผิวหนังเปล่งปลั่ง นุ่มมีน้ำมีนวล ช่วยทำให้อายุยืน อาจถึง 100 ปี
ให้เริ่มต้นตั้งแต่อายุราว 20 ปี

                       12. แก้สิว (Pimple)

                              ผสมน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะกับผงอบเชย 1 ช้อนชาให้เข้ากัน แล้วป้ายบนหัวสิวก่อนนอนและล้างออกในวันรุ่งขึ้นด้วยน้ำอุ่น ถ้าปฏิบัติติดต่อกัน 2 สัปดาห์ก็จะสามารถกำจัดหัวสิวได้

                       13. ผิวหนังติดเชื้อ(Skin Infections)

                             ใช้น้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยปริมาณเท่าๆกันทาบริเวณที่ติดเชื้อ จะช่วยรักษาเรื้อนกวาง (eczema) กลากและโรคผิวหนังชนิดต่างๆได้

                       14. ลดน้ำหนัก (Weight Loss)

                             ดื่มน้ำผึ้งผสมผงอบเชยในน้ำร้อน ทุกๆเช้าก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง ขณะท้องว่าง และก่อนนอนทุกคืน ถ้าทำเป็นประจำจะช่วยลดน้ำหนักแม้คนที่อ้วนมากๆ  เช่นเดียวกัน ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่กล่าวมานี้จะช่วยไม่ให้ไขมันสะสมในร่างกายแม้กระทั่งในคนที่รับประทานอาหารทีมีพลังงานสูง

                       15. โรคมะเร็ง(Cancer)

                             ผลการวิจัยในญี่ปุ่นและออสเตรเลียเมื่อไม่นานมานี้พบว่า ผู้ทีเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารและมะเร็งกระดูกในขั้นมากๆแล้วสามารถรักษาได้สำเร็จ  ผู้ป่วยที่ได้รับความทรมานจากมะเร็งดังกล่าวควรดื่มน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมผงอบเชย 1 ช้อนชาเป็นประจำ 3 เวลาประมาณ 1 เดือน

                       16. แก้อาการอ่อนเพลีย(Fatigue)
 
                             ผลการศึกษาเมื่อเร็วๆนี้แสดงให้เห็นว่าน้ำตาลในน้ำผึ้งมีประโยชน์มากในการเพิ่มพลังให้แก่ร่างกาย ในผู้สูงวัยทีรับประทานน้าผึ้งกับผงอบเชยในปริมาณเท่าๆกัน ช่วยให้กระปลี้กระเปล่าและมีร่างกายที่ยืดหยุ่น ดร. มิลตันที่ศึกษาเรื่องนี้กล่าวว่า การดื่มน้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะในแก้วหนึ่งแก้วโรยด้วยผงอบเชยเป็นประจำหลังแปรงฟันและตอนบ่ายราวๆ 15.00 น.เมื่อร่างกายเริ่มล้า จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงมีชีวิตชีวาใน 1 สัปดาห์

                       17. ขจัดลมหายใจมีกลิ่น (Bad Breath)

                            ชาวอเมริกาใต้ ตื่นนอนตอนเช้า สิ่งที่เขาทำอันดับแรกคือ กลั้วคอด้วยส่วนผสมของน้ำผึ้ง 1 ช้อนชากับผงอบเชยในน้ำร้อน เพื่อให้ลมหายใจสดชื่นตลอดวัน

                       18. ช่วยการได้ยิน (Hearing Loss)

                             การรับประทานน้ำผึ้งและผงอบเชยผสมกันในปริมาณเท่าๆกันเป็นประจำทุกเช้าและก่อนนอนจะช่วยให้การได้ยินกลับมาเหมือนเดิม จำได้ไหมเมื่อครั้งเป็นเด็ก? เรากินขนมปังทาเนยโรยด้วยผงอบเชย


      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3146 เมื่อ: 17 กันยายน 2554, 19:37:40 »






สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                        ขณะนี้ผมอยู่ที่สนามบันสุราษฎร์ธานี เพื่อรอกลับกรุงเทพฯ ระหว่างทางจากเชื่อนเชี่ยวหลาน มาสนามบิน คุณวิทิดา(เป้า) ได้โทรศัพท์มาถามข่าวเรื่องน้ำท้วมที่สิงห์บุรี ผมได้เรียนให้ทราบว่า ปีนี้ระดับน้ำสูงสุด จริงๆ ศาลาที่คุณเป้าไปทำบุญนั้นระดับน้ำท้วมจากพื้นศาลาเลยหัวเข่าครับ คือประมาณระดับมากกว่า 3.00 เมตร ระดับพื้นดิน ครับ

                         ที่สุราษฎร์ ฝนไม่ตกครับ สนามกอล์ฟสวยมากๆ ครับ

                         ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #3147 เมื่อ: 17 กันยายน 2554, 19:44:41 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
ปกติชอบทานอบเชยอยู่แล้วโดยเฉพาะขนมปังอบเชย ชนิดต่างๆ
นำมาผสมน้ำผึ้งทาคงอร่อยมาก จะลองค่ะ ขอบคุณค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3148 เมื่อ: 18 กันยายน 2554, 20:25:50 »

รู้ประวัติพุทธสาวก อรพันต์ เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๑๗

พระโสณกุฎิกัณณเถระ

เอตทัคคะในทางผู้มีวาจาไพเราะ


                       พระโสณกุฎิกัณณเถระ เป็นบุตรของอุบาสิกาชื่อว่า “กาฬี” ในเมืองราชคฤห์ เดิมชื่อว่า “โสณะ” แต่เพราะท่านชอบประดับหูของท่านด้วยเครื่องประดับมีมูลค่ามากถึง ๑ โกฎิ จึงได้นามว่า “กุฎิกัณณะ” เติมเข้ามาข้างหลังชื่อ ดังนั้นท่านจึงมีชื่อว่า “โสณกุฎิกัณณะ”

                        สมัยที่พระมหากัจจายนเถระ พักอาศัยอยู่ที่ภูเขาปวัตตะ แขวงเมืองกุรุรฆระ ในอวันตีทักขิณาปถชนบท มารดาของโสณกุฎิกัณณะ เป็นอุบาสิกาให้การบำรุงอุปัฏฐากท่าน เมื่อโสณกุฎิกัณณกุมารเจริญเติบโตขึ้นได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระเถระอยู่บ่อย ๆ แล้วเกิดศรัทธาแสดงตนเป็นอุบาสก ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก และปวารณาตัวเป็นอุปัฏฐากของท่านด้วย
 
                        • อยู่ชนบทบวชพระยาก

                        ต่อมาโสณกุฎิกัณณอุบาสก มีศรัทธาปรารถนาจะบวช แต่พระเถระได้แนะนำให้เขาปฏิบัติตนบำเพ็ญกุศล ในเพศฆราวาสจะสะดวกกว่า เพราะชีวิตพระสงฆ์ต้องประพฤติพรหมจรรย์นั้นเป็นเรื่องยากลำบาก แต่ โสณกุฎิกัณณะ ก็ยังยืนยันมั่นคงว่า ถึงจะลำบากอย่างไรก็ยินดีที่จะปฏิบัติกิจของพระสงฆ์ อย่างดีที่สุด เฝ้าอ้อนวอนพระเถระอยู่หลายครั้ง ในที่สุดพระเถระก็ให้บวชเป็นสามเณร ไว้ก่อนเนื่องจากอวันตีทักขิณาปถชนบทนั้นหาภิกษุได้ยาก การบวชพระ จะต้องมีภิกษุร่วมประชุมสังฆกรรมให้การอุปสมบทอย่างน้อย ๑๐ รูป เรียกว่า ทสวรรคท่านจึงเป็นสามเณรอยู่นานถึง ๓ ปี กว่าที่จะมีภิกษุครบจำนวนทำการอุปสมบทให้ท่านได้

                        • เฝ้าพระผู้มีพระภาค

                        เมื่อท่านได้อุปสมบทแล้ว ได้เรียนพระกรรมฐานจากพระอุปัชฌาย์ ปลีกตัวหาสถานที่สงบสงัด ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ สิ้นกิเลสอาสวะทั้งปวงในพรรษานั้นครั้นออกพรรษาแล้ว ท่านมีความประสงค์จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค เพราะท่านยังไม่เคยเห็นพระองค์เลย ท่านจึงกราบลาพระมหากัจจายนเถระ ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเถระก็อนุญาต และได้ฝากความไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคเพื่อขอแก้ไขพระวินัยอันเป็นพุทธบัญญัติบางประการ ซึ่งไม่สะดวกแก่พระสงฆ์ผู้อยู่ในเมืองกุรุรฆระ แคว้นอวันตีชนบาท รวมทั้งหมด ๕ ประการ (เหมือนในประวัติพระมหากัจจายนเถระ ดังกล่าวแล้วข้างต้น)

                        • ถวายพระธรรมเทศนา

                        พระโสณกุฎิกัณณะ เดินทางมาถึงพระเชตะวันมหาวิหารแล้ว เข้าเฝ้ากราบถวายบังคมพระบรมศาสนาแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรแก่ตนส่วนข้างหนึ่ง เมื่อพระพุทธองค์ทรงปฏิสันถารทักทายกับเธอโดยสมควรแล้ว เธอได้กราบทูลความตามที่พระอุปัชฌาย์สั่งมา เมื่อพระพุทธองค์ทรงสดับรับทราบความลำบากของหมู่ภิกษุสงฆ์ ในชนบทแล้ว พระองค์ทรงประทานอนุญาตตามที่ขอมานั้นทุกประการ

                        • ได้รับยกย่องในทางผู้มีวาจาไพเราะ

                        พระผู้มีพระภาค มีดำรัสสั่งให้พระอานนท์เถระจัดสถานที่ ให้ท่านพักค้างแรมในพระคันธกุฎีร่วมกับพระองค์ ในเวลาใกล้รุ่งของราตรีนั้น พระบรมศาสดารับสั่งให้ท่านแสดงธรรมให้พระองค์ได้สดับ พระโสณกุฎิกัณณเถระ จึงน้อมรับสนองพุทธดำรัสด้วยการแสดงพระสูตรอันแสดงถึงวัตถุ ๘ ประการด้วยเสียงอันไพเราะ เมื่อจบเทศนาพระสูตรนั้นแล้ว พระพุทธองค์ตรัสอนุโมทนา สาธุการชมเชยในความสามารถของท่านและได้ทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางผู้มีวาจาไพเราะ, ผู้แสดงธรรมด้วยถ้อยคำไพเราะ

                        ท่านพระโสณกุฎิกัณณเถระ พักอาศัยอยู่ในสำนักของพระผู้มีพระภาค พอสมควรแก่ เวลาแล้ว ได้กราบทูลลากลับมายังสำนักของพระมหากัจจายนเถระ ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ในอวันตีชนบท กราบเรียนรายงานผลการเข้าเฝ้าให้ได้รับทราบทุกประการ และท่านยังได้แสดงเทศนาที่แสดงถวายพระพุทธองค์ให้ โดยมีมารดาของท่านรับฟัง เป็นการเพิ่มพูนศรัทธาความเชื่อและปสาทะความเลื่อมใสแก่โยมมารดาของท่านอีกด้วย
ท่านพระโสณกุฎิกัณณเถระ ดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนาโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3149 เมื่อ: 18 กันยายน 2554, 20:41:39 »

มะรุม

สรรพคุณ “มะรุม“

                       1. ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิด ถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอด ได้เป็นอย่างดี

                       2. ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ ทำให้สามารถลดการใช้ยาลง
 
                       3. รักษาโรคความดันโลหิตสูง

                       4. ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายถ้าแม้ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อ HIV นอกจากนี้ยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง

                       5. ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้

                       6. ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง

                       7. ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊า โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
 
                       8. รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้นถ้ารับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
 
                       9. รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง โรคพยาธิในลำไส้ เป็นต้น

                      10. รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ

                        ญี่ปุ่น ใช้รักษาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก

                        อินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก มีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม

มีฤทธิ์ป้องกันตับ

                       ฟิลิปปินส์และบอสวานา หญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก "มาลังเก") เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย ชะลอความแก่ กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ ชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกายฆ่าจุลินทรีย์ ใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู
 
ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเตอรอล
 
                        จากการวิจัย มะรุมสามารถขับไขมันในเส้นเลือด ในตับและในไตได้ แต่ไม่เป็นตัวขับนำ หากจะรักษาอาการบวมจากโรคไต ควรรับประทาน ตะไคร้ แกนสับประรด อ้อยแดง หรือหญ้าคา ต้มเอานำดื่ม จะใช้ตัวเดียวหรือหลายตัวผสมได้ ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้จะออกฤทธิ์ในการขับนำปัสสาวะ และรักษาอาการอักเสบทางเดินปัสสาวะได้ดีกว่า อีกทั้งไม่มีผลข้างเคียงเหมือนยาขับปัสสาวะแผนปัจจุบันที่จะทำให้หูอื้อได้

                        ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า
 
                        วิตามินเอบำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า

                        วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม

                        แคลเซียมบำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
 
                        โพแทสเซียมบำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย

                        ใยอาหารและพลังงานไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย

                        น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุมมีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภ าพอย่างยิ่ง

วิธีใช้
                       ใบสด ควรรับประทานใบสดที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไปนัก เพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่
 
                        เด็กแรกเกิด -1 ปี คั้นน้ำจากใบเพียง 1 หยด ผสมกับนมให้ดื่มเพียง 1 หยด ต่อ 1-2 วัน ใบมะรุมนี้มีธาตุเหล็กสูงมาก ฉะนั้นทารกในวัยเจริญเติบโต - 2 ขวบ จึงไม่ควรทานมาก

                        เด็กที่เริ่มทานอาหารได้ถึง 3-4 ขวบ ควรทานวันละไม่เกิน 2 ใบ เพิ่มจำนวนขึ้นทีละใบตามอายุ จนถึง 10 ขวบ
 
                        เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ รับประทานวันละ 1 กิ่ง จะทานสดหรือประกอบอาหารก็ได้ ถ้าจะให้ได้ผลรวดเร็ว ควรคั้นน้ำดื่มประมาณวันละ 1 ช้อนโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่ หรือ 1 ช้อนชาสำหรับเด็ก

                        การรับประทานสุกควรลวกแต่พอควรเพราะการถูกความร้อนนานเกินไปจะทำให้สารอาหารหลายชนิดเสื่อมคุณภาพลงไปมาก ถ้าสามารถรับประทานสดได้จะดีมาก ใช้ทำสลัดรวมกับผักสด หรือวางบนแซนวิช

                       ฝัก ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ไข้หัวลม รับประทานได้ทั้งฝักอ่อนและฝักแก่ ใช้แกงส้มหรือขูดเอาแต่เนื้อใน มาทำแกงกะหรี่ ฝักอ่อนขนาดถั่วฝักยาวสามารถนำมาทำอาหารได้มากมายหลายชนิด อาทิ เช่น แกงส้มฝักมะรุม ฝักมะรุมอ่อนผัดน้ำมันหอย ยำฝักมะรุมอ่อน (เหมือนยำถั่วพลู) แกงจืดใบมะรุมอ่อนเต้าหู้ สลัดสดใบมะรุมผักรวม ทอดมันปลากับฝักมะรุมอ่อน แกงเลียงฝักมะรุมอ่อนและใบมะรุม แกงเผ็ดฝักมะรุมอ่อน ไข่ยัดไส้ใบมะรุมหมูสับ ต้มจืดหมูสับใบมะรุมอ่อนหนู แกงจืดวุ้นเส้นใบมะรุมอ่อนใส่เห็ดสด ผัดพริกขิงฝักมะรุมอ่อน ผัดจืดฝักมะรุมอ่อนใส่ไข่และกุ้ง ผัดเผ็ดฝักมะรุมอ่อนยอด  พริกไทยกับไก่ ฝักมะรุมอ่อนผัดขี้เมา ไก่อบฝักมะรุมอ่อน

                       ผัดฝักมะรุมอ่อนกับเห็ดสดต่างๆ ราดหน้าฝักและใบมะรุมอ่อนไก่/หมู ผัดฝักมะรุมอ่อนกับเห็ดหู แกงเขียวหวานหรือแกงแดงฝักมะรุมอ่อน (จะใส่เนื้อ หรือไก่ก็ได้ตามแต่ชอบ)
                       ยอด ดอก และฝักมะรุมอ่อน ชุบแป้งเทมปุระทอด ดอกมะรุมชุบไข่ทอด ยอด ดอก และฝักมะรุมอ่อนจิ้มน้ำพริก

                       เมล็ด สามารถนำเมล็ดมะรุมมาสกัดน้ำมันเพื่อใช้ประโยชน์ได้มากมายเช่นใช้ทำอาหารได้ รักษาโรคปวดตามข้อ โรคเก๊า รักษาโรครูมาติซั่ม และรักษาโรคผิวหนัง แก้ผิวแห้ง ใช้แทนยารักษาผิวให้ชุ่มชื้น รักษาโรคอันเกิดจากเชื้อรา เอาฝักแก่แล้วแกะเมล็ดเอาแต่เม็ดข้างในสีขาวมา อม ๆ เคี้ยว ๆ แก้ไอ พอกินแล้วเออ หวานชุ่มคอดี ตอนแรกก็ขม แต่ ซักพักก็จะชุ่มคอ เนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้

                       ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก

                       ทำน้ำมันมะรุมไว้ใช้ที่บ้าน

                      เอา เมล็ดแห้งกระเทาะเปลือกออกใช้ครกบทยาตำละเอียดให้ต้มไฟอ่อน ๆ จนน้ำระเหยออกแล้วจะมีน้ำมันลอยอยู่แล้วซ้อนเอาส่วนเป็นน้ำมันออกเก็บใส่ขวด ควรเป็นขวดสีชาหรือทึบเพื่อรักษาคุณภาพ วิธีนี้อาจจะขาดสารบางส่วนไปมากกว่าวิธีบีบเย็น ข้อดีน้ำมันไม่มีกลิ่น วิธีบีบเย็นจะมีกลิ่นหื่น ๆ นิดหน่อย

                       เปลือกจากลำต้น จะมีรสร้อน ช่วยขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก)แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
                       นำมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆใส่ผ้าห่อทำเป็นลูกประคบนึ่งให้ร้อนนำมาใช้ประคบ แก้โรคปวดหลัง ปวดตามข้อได้เป็นอย่างดี ชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย

                       กากของเมล็ด กากที่เหลือจากการทำน้ำมันสามารถนำมาใช้ในการกรองหร ือทำน้ำให้บริสุทธิ์เป็นน้ำดื่มได้กากของเมล็ดมีคุณสมบัติเป็นย าฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นนำมาทำปุ๋ยต่อได้

                       ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้ ใช้ต้มทำน้ำชาใช้ดื่มช่วยให้นอนหลับสบาย

                       ราก มีรสเผ็ด หวานขม แก้บวม บำรุงไฟธาตุ มีคุณเสมอกับกุ่มบก

                       ใบตากแห้ง สามารถนำใบมาตากแห้งโดยการตากในที่ร่มอย่าให้โดนแดดเมื่อแห้งสนิทดีแล้วนำมาป่นเป็นผงบรรจุในหลอดแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การพกพาใน กรณีที่เดินทางและหาใบสดไม่ได้ใช้ทำเป็นน้ำชาไว้ดื่มได้ตลอดวัน เก็บผงมะรุมไว้ในที่มืดเช่นขว ดพลาสติกชนิดทึบเพื่อกันการเสื่อมคุณภาพ ให้กินใบมะรุมสดจะช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับโลหิตจาง

                       ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้
ประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุง เข้าเครื่อง "ผงนัว" กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก

                        ต่างประเทศใช้ใบ และยอดอ่อนปรุงรสเป็นน้ำซุป ในอินเดียใบอ่อนฝักดอกใช้เป็นอาหารทุกส่วน ของมะรุมใช้เป็นยาเช่นใช้บำบัดโรคท้องมานปวด บวมตามข้อ บำรุงหัวใจ ใบอุดมด้วยไวตามินเอและซีใช้ในโรคลักปิดลักเปิดและโรคเยื่อ เมือกอักเสบ ใบตำเป็นยาพอกแผลดอกเป็นยาบำรุงขับน้ำตาลและขับปัสสาวะเมล็ดมีรสขมใช้เป็นยาแก้ไข้ น้ำมันจากเมล็ดทาแก้โรคปวด  

อ้างอิงhttp://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2008/01/J6210140/J6210140.html
http://thaiherbclinic.com/node/141
นิตยสารหมอชาวบ้านปีที่ 29 ฉบับที่ 338 มิถุนายน 2550
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 124 125 [126] 127 128 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><