03 กรกฎาคม 2567, 01:16:40
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 121 122 [123] 124 125 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3343084 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 18 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3050 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 20:18:42 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และผู้ที่ผ่านมาศึกษา ที่รักทุกท่าน

                      ผมได้รับธรรมะจากคุณกิตติมา  ส่งมาให้ อ่านแล้ว จึงนำมาแบ่งปันให้ทุกท่านได้อ่าน และพิจารณาด้วยปัญญาครับ

                      สวัสดี



รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

บ้านที่แท้จริง

ธรรมะจาก หลวงปู่ชา สุภัทโท   วัดหนองป่าพง

                        บัดนี้ให้โยมยายจงตั้งใจฟังธรรมะ ซึ่งเป็นโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเคารพ ต่อไปให้โยมตั้งใจว่า ในเวลานี้ ปัจจุบันนี้ ซึ่งให้โยมตั้งใจเสมือนว่าอาตมาให้ธรรมะในเวลานี้ พระพุทธเจ้าของเรานั้นตั้งอยู่ในเฉพาะหน้าของโยม จงตั้งใจกำหนดจิตให้เป็นหนึ่งหลับตา โดยเฉพาะน้อมเอาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาไว้ที่ใจ เพื่อจะเคารพต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

                        บัดนี้ อาตมาไม่มีอะไรจะฝากโยม ซึ่งเป็นของที่จะเป็นแก่นสาร นอกจากธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ฉะนั้นเป็นของฝากชิ้นสุดท้าย ดังนั้น ขอโยมจงรับ

                        ให้โยมทำความเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าของเรานั้น เป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีมาก ก็ทนต่อความทุพพลภาพไม่ได้ อายุถึงวัยนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ท่านก็ปลงอายุสังขาร

                        คำที่ว่า “ปลง” นั้นก็คือวางลง อย่าไปหอบไว้ อย่าไปหิ้วมันไว้ อย่าไปแบกมันไว้

                        สังขาร คือ ร่างกายนี้ให้โยมยอมรับเสียว่า สังขารร่างกายนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นยังไงๆ ก็ตามมันเถอะ เราก็ได้อาศัยสกลร่างกายนี้มาตั้งแต่กำเนิดเกิดขึ้นมาก็พอแล้ว จนถึงเฒ่าชะแรแก่ชราบัดนี้ เหมือนเปรียบประหนึ่งว่า เครื่องใช้ไม้สอยของเราต่างๆ ที่อยู่ในบ้าน ซึ่งเราเก็บงำไว้นมนานมาแล้ว เช่น ถ้วยโถโอชาม บ้านช่องของเรานี้เบื้องแรกมันก็สดใสใหม่สะอาดดี เมื่อเราใช้มันมาตลอดกาลนาน บัดนี้สิ่งทั้งหลายนั้นมันก็ทรุดไปโทรมไป บางวัตถุก็แตกไปบ้าง หายไปบ้าง ชิ้นที่มันเหลืออยู่นี้ก็แปรไปเปลี่ยนไปไม่คงที่ มันก็เป็นอย่างนั้น

                        ฉะนั้น ถึงแม้ว่าอวัยวะร่างกายของเรานี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ตั้งแต่เริ่มเกิดมาเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม มันก็แปรมา เปลี่ยนมาเรื่อยมาอย่างนี้ ถึงบัดนี้ก็เรียกว่า “แก่” นี่ก็คือให้เรายอมรับเสีย พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า สังขารนี้ไม่ใช่ตัวของเราและไม่ใช่ของของเรา ทั้งในตัวเรานี้ก็ดี กายเรานี้ก็ดี นอกกายเรานี้ก็ดี มันก็เปลี่ยนไปอยู่อย่างนั้นให้โยมพินิจพิจารณาดูให้มันชัดเจน อันนี้แหละทั้งก่อนที่เรานั่งอยู่นี้ ที่เรานอนอยู่นี้ กำลังมันทรุดโทรมอยู่นี้ นี่แหละคือ สัจธรรม

                        สัจธรรมคือ ความจริง ความจริงอันนี้เป็นสัจธรรม เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แน่นอนอย่างนั้น

                        ท่านจึงให้มอง ให้พิจารณาดู ยอมรับมันเสีย ก็เป็นสิ่งที่ควรจะยอมรับ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอะไรอย่างไรก็ตามทีเถอะ

                        พระพุทธองค์ท่านสอนว่า เมื่อเราถูกคุมขังในตะรางก็ดี ก็ให้ถูกคุมขังเฉพาะกายอวัยวะอันจิตใจอย่าให้ถูกคุมขัง อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น เมื่อร่างกายมันทรุดโทรมไปตามวัย โยมก็ยอมรับเสีย ให้มันที่ทรุดไป ให้มันโทรมไปเฉพาะร่างกายเท่านั้น

                        เรื่องจิตใจของเรานั้นเป็นคนละอย่างกับร่างกาย ก็ทำจิตใจให้มีพลัง ให้มีกำลังเพราะเราเข้าไปเห็นธรรมว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันก็เป็นอย่างนั้น มันจะต้องเป็นอย่างนั้น พระพุทธรูปองค์ท่านก็สอนว่า ร่างกายจิตใจนี้มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันจะไม่เป็นอย่างอื่น คือเริ่มเกิดขึ้นมาแล้วก็คือเริ่มแก่ แก่มาแล้วก็เจ็บ เจ็บมาแล้วก็ตาย อันนี้เป็นความจริงเหลือเกิน ซึ่งคุณยายได้พบอยู่ในวันนี้ปัจจุบันนี้ มันก็เป็นสัจธรรมอยู่แล้ว ก็มองดูด้วยปัญญาของเราให้เห็นเสีย ถึงแม้ว่าไฟมันจะไหม้บ้านเราก็ตาม ถึงแม้ว่าน้ำมันจะท่วมบ้านเราก็ตาม ถึงแม้ว่าภัยอะไรต่างๆ มันจะมาเป็นอันตรายต่อบ้านต่อเรือนเราก็ตาม ให้มันเป็นเฉพาะบ้าน เฉพาะเรือน อย่าให้มันไหม้หัวใจเรา

ถ้าไฟไหม้บ้าน อย่าให้มันไหม้หัวใจเรา

                        ถ้าน้ำมันท่วมบ้านก็อย่าให้มันท่วมหัวใจเรา ให้มันท่วมแต่บ้าน ให้มันไหม้แต่บ้าน สิ่งซึ่งเป็นของนอกกายของเรา ส่วนจิตใจเรานั้นให้เรามีการปล่อยวาง เพราะในเวลานี้ก็สมควรแล้ว สมควรที่จะปล่อยวางแล้ว
             
                        ที่โยมเกิดมานี้ก็นานแล้วใช่ไหม ตาก็ได้ดูรูปสีแสงต่างๆ ตลอดหมดแล้ว อวัยวะทุกชิ้นส่วนหูได้ฟังเสียงอะไรทุกๆ อย่างมากแล้ว อะไรทุกอย่างก็ได้รับมามากๆ ทั้งนั้นแหละ มันก็เท่านั้นแหละ จะรับประทานอาหารที่อร่อยๆ มันก็เท่านั้นแหละ ที่ไม่อร่อยๆ มันก็เท่านั้นแหละ ตาจะดูรูปสวยๆ มันก็เท่านั้นแหละ รูปที่ไม่สวยมันก็เท่านั้นแหละ หูได้ฟังเสียงที่มันไพเราะเสนาะโสตจับอกจับใจมันก็เท่านั้นแหละ จะได้ฟังเสียงที่ไม่ไพเราะไม่จับอกจับใจมันก็เท่านั้นแหละ

                        อย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงบอกว่า ทั้งคนร่ำรวย ทั้งคนทุกข์จน ทั้งผู้ใหญ่และก็ทั้งเด็กตลอดทั้งเดียรัจฉานทั้งหมดด้วย ซึ่งเกิดมาในสกลโลกนี้ ไม่มีอะไรจะยั่งยืนอยู่ในโลกนี้ จะต้องผลัดไปเปลี่ยนไปตามสภาวะของมัน อันนี้เป็นสภาวะความจริงที่เราจะแก้ไขอย่างใดที่ไม่ถูกทางมันไม่ได้ แต่ว่ามีทางแก้ไขได้ พระพุทธองค์ท่านให้พิจารณาสังขารร่างกายนี้เท่านั้น จิตใจนี้มันไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา เป็นของสมมติ เช่นว่า บ้านของคุณยายก็เป็นของสมมติว่าเป็นบ้านของคุณยายเท่านั้น จะเอาติดตามไปที่ไหนก็ไม่ได้ สมบัติพัสถานซึ่งเรียกว่าสมมติเป็นของคุณยายนี้ ก็เป็นเรื่องสมมติเท่านั้น มันก็ตั้งอยู่อย่างนั้น จะเอาไปที่ไหนก็ไม่ได้ ลูกหลาน บุตรธิดาทั้งหลายทั้งปวงนั้น ซึ่งเขาสมมติว่าเป็นลูกเป็นหลานของคุณยายนั้น มันก็เรื่องสมมติทั้งนั้น

                        มันก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่ใช่ว่าเป็นเราคนเดียว เป็นกันทั้งโลก ถึงแม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เป็นอย่างนี้ พระอรหันตสาวกทั้งหลายทั้งปวงท่านก็เป็นอย่างนี้ แต่ท่านแปลกกว่าพวกเราทั้งหลาย แปลกโดยประการอย่างไรคือ ท่านยอมรับ ยอมรับว่าสกลร่างกายสังขารนี้มันเป็นอย่างนั้นเองของมัน จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ มันก็ต้องเป็นอย่างนี้อย่างนั้น

                        พระพุทธเจ้าท่านจึงให้พิจารณาดูสกลร่างกาย ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาหาบนศีรษะตั้งแต่ศีรษะลงไปหาปลายเท้า อันนี้เรียกว่าส่วนอวัยวะร่างกายของเรา ดูสิว่ามันมีอะไรบ้าง อะไรเป็นของสะอาดไหม อะไรเป็นของเป็นแก่นเป็นสารไหม นับวันมันที่ทรุดมาเรื่อยๆ มาอย่างนี้ อันนี้พระพุทธเจ้าจึงให้เห็นสังขารว่า ของไม่ใช่ของเรา มันก็เป็นอย่างนี้ จะให้มันเป็นอย่างไรล่ะ อันนี้มันถูกแล้ว

                        ถ้าโยมมีความทุกข์ โยมก็คิดผิดเท่านั้นแหละ ไปเห็นสิ่งที่มันถูกอยู่โยมเห็นผิด มันก็ขวางใจเช่นนั้น เหมือนน้ำในแม่น้ำที่มันไหลลงไปในทางที่ลุ่ม มันก็ไหลไปตามสภาพอย่างนั้น อย่าง แม่น้ำอยุธยา แม่น้ำมูล แม่น้ำที่ไหนก็ตามเถอะ มันก็ต้องมีการไหลวนไปทางใต้ทั้งนั้นแหละ มันไม่ไหลขึ้นไปทางเหนือหรอก ธรรมดามันเป็นอย่างนั้น

                        สมมติว่าบุรุษคนหนึ่งซึ่งไปยืนอยู่บนฝั่งของแม่น้ำ แล้วก็ไปมองดูกระแสของแม่น้ำ มันก็ไหลเชี่ยวไปทางใต้ แต่บุรุษคนนั้นมีความคิดผิด อยากจะให้น้ำนั้นมันไหลขึ้นไปทางทิศเหนือ อย่างนี้มันก็เป็นทุกข์ บุรุษคนนั้นจะไม่มีความสงบเลย ถึงแม้จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ก็ไม่มีความสงบ เพราะอะไร เพราะบุรุษคนนั้นคิดผิด คิดทวนกระแสน้ำ คิดอยากจะให้น้ำไหลขึ้นไปทางเหนือ ความเป็นจริงนั้นน้ำจะไหลขึ้นไปทางเหนือนั้นไม่ได้ ไม่สมควรแล้ว มันก็ต้องไหลไปตามกระแสของน้ำ เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น

                         เมื่อมันเป็นอย่างนี้บุรุษนั้นก็ไม่สบายใจ ทำไมถึงไม่สบายใจ เพราะบุรุษนั้นคิดไม่ถูก พิจารณาไม่ถูก ดำริไม่ถูก พิจารณาไม่ถูกเพราะว่าความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิแล้วก็ต้องเห็นว่าน้ำมันก็ต้องไหลไปตามกระแสของน้ำทางใต้จะให้น้ำไหลไปทางเหนือมันไปไม่ได้ ที่จะให้น้ำไหลไปทางเหนือนั้นมีความเห็นผิด มันก็กระทบกระทั่งตะขิดตะขวงในใจอยู่อย่างนั้น จนกว่าว่าบุรุษคนนั้นจะมาพิจารณาคิดกลับเห็นแล้วว่า น้ำธรรมดามันก็ต้องไหลไปอย่างนั้น มันก็ต้องไหลไปทางใต้อย่างนี้ เป็นเรื่องของมันอยู่อย่างนี้

                        อันนี้เป็นสัจธรรมอันหนึ่ง ซึ่งเราจะเอามาพิจารณาว่า เออ...อันนี้ก็เป็นความจริง อย่างนั้นเมื่อหากว่าเห็นความจริงอย่างนั้น บุรุษคนนั้นก็ปล่อย บุรุษคนนั้นก็วาง วางน้ำให้มันเชี่ยว ให้มันไหลไปตามกระแสของมันอย่างนั้น ปัญหาที่ตะขิดตะขวงของโยม ของบุรุษคนนั้นก็หายไป เมื่อปัญหาหายไป ก็ไม่มีปัญหา เมื่อไม่มีปัญหาก็ไม่ต้องเป็นทุกข์

                        อันนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แม่น้ำที่มันไหลไปทิศใต้ มันก็เหมือนชีวิตร่างกายของยายอยู่เดี๋ยวนี้แหละ เมื่อมันหนุ่มแล้วมันก็แก่ เมื่อมันแก่แล้วก็วนไปตามเรื่องมัน อันนี้เป็นสัจธรรม อย่าไปคิดว่าไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น อย่าไปคิดอย่างนั้น ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น อย่าไปคิดอย่างนั้น เรื่องอันนี้ไม่ใช่เราจะมีอำนาจไปแก้ไขมัน

                        พระพุทธเจ้าให้มองตามรูปมัน มองตามเรื่องของมัน เห็นตามสภาพของมันเสียว่า มันเป็นอย่างนั้นเท่านั้น เราก็ปล่อยมันเสีย เราก็วางมันเสีย เอาความรู้สึกนี้เองเป็นตนเป็นที่พึ่ง ให้ภาวนาว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ

                        ถึงแม้ว่าจะเหน็ดจะเหนื่อยก็จริงเถอะ ให้โยมทำจิตให้อยู่กับลมหายใจ หายใจออกยาวๆ สูดลมเข้ามายาวๆ หายใจออกไปยาวๆ แล้วก็ตั้งจิตขึ้นใหม่ กำหนดลมหายใจ พุทโธ พุทโธ โดยปกติถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยมากเท่าไร ก็ยิ่งกำหนดจิตกำหนดอารมณ์ของเราให้ละเอียดเข้าไป ให้ละเอียดเข้าไปเท่านั้นทุกครั้ง

เพื่ออะไร

                       เพื่อจะต่อสู้กับเวทนา เมื่อกำลังมันเหน็ดมันเหนื่อยให้โยมหยุดคิดทั้งหลาย ให้โยมหยุดคิดอะไรทั้งปวงเสีย ให้เอาจิตมารวมอยู่ที่จิต แล้วเอาจิตกับลม รู้จักลม ภาวนา พุทโธ พุทโธ ปล่อยวางข้างนอกให้หมด อย่าไปเกาะกับลูก อย่าไปเกาะกับหลาน อย่าไปเกาะกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงทั้งนั้น ให้ปล่อยให้เป็นอันเดียว รวมจิตลงที่อันเดียว ให้ดูลม กำหนดลม เอาจิตนั่นแหละไปรวมอยู่ที่ลม คือให้รู้ที่ลมในเวลานั้นไม่ต้องให้รู้อะไรมากมาย กำหนดให้จิตมันน้อยไปๆ ละเอียดไปๆ เรื่อยๆ จนกว่าจะมีความรู้สึกน้อยๆ แต่มีความตื่นอยู่ในใจมากที่สุด เป็นต้น

                       อันนี้เวทนาที่มันเกิดขึ้นมันจะค่อยๆ ระงับไปๆ ผลที่สุดเราก็ดูลมเหมือนกับญาติมาเยี่ยมบ้านเรา เราจะตามไปส่งญาติขึ้นรถลงเรือ เราก็ตามไปถึงท่าเรือ ตามไปถึงรถ เราก็ส่งญาติเราขึ้นบนรถ เราก็ส่งญาติเราลงเรือ เขาก็ติดเครื่องเรือเครื่องรถไปลิ่วเท่านั้นแหละ เราก็มองไปเถอะญาติเราก็ไปแล้ว เราก็กลับบ้านเรา เราดูลมก็เหมือนกันฉันนั้น

                       เมื่อลมมันหยาบเราก็รู้จัก เมื่อลมมันละเอียดเราก็รู้จัก เมื่อมันละเอียดไปเรื่อยๆ เราก็มองไปๆตามไปๆน้อยไปๆทำจิตให้มันตื่นขึ้น ทำลมให้มันละเอียด เข้าไปเรื่อยๆผลที่สุดแล้วจนกว่าลมหายใจมันน้อยลงๆจนกว่าลมหายใจไม่มี มีแต่ความรู้สึกเท่านั้นที่ตื่นอยู่ นั่นก็เรียกว่าเราพบพระพุทธเจ้าแล้ว"


หลวงปู่ชา สุภัทโท
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3051 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 20:31:22 »

รู้พุทธประวัติสาวก อรหันต์ เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๑๒

พระอานนท์เถระ

เอตทัคคะในทางผู้เป็นพหูสูตร


                         พระอานนท์ เป็นพระราชโอรสของพระสุกโกทนะ ผู้เป็นพระกนิษฐาของพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดานามว่า พระนางกีสาโคตมี มีศักดิ์เป็นพระอนุชาของพระบรมศาสดา(พระราชโอรสของพระเจ้าอา) ออกบวชพร้อมกับเจ้าชายอนุรุทธะและอุบาลี (ศึกษาประวัติเบื้องต้นในประวัติของพระอนุรุทธเถระ) เมื่อท่านบวชแล้ว ได้ฟังโอวาทจากพระปุณณมันตานี ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน
 
                        • ได้รับเลือกเป็นพุทธอุปัฎฐาก

                        ในช่วงปฐมโพธิกาลหลังจากตรัสรู้แล้ว ๒๐ พรรษานั้น ยังไม่มีพระภิกษุใดปฏิบัติรับใช้พระพุทธองค์เป็นประจำ มีแต่พระภิกษุผลัดเปลี่ยนวาระกันปฏิบัติ เช่น พระนาคสมาละ พระนาคิตะ พระอุปวาณะ พระสาคตะ และพระเมฆิยะ เป็นต้น บางคราวการผลัดเปลี่ยนบกพร่ององค์ที่ปฏิบัติอยู่ออกไป แต่องค์ใหม่ยังไม่มาแทน ทำให้พระพุทธองค์ต้องประทับอยู่ตามลำพังขาดผู้ปฏิบัติ บางครั้งพระภิกษุผู้ปฏิบัติ ก็ดื้อดึงขัดรับสั่งของพระพุทธองค์ เช่น ครั้งหนึ่ง เป็นวาระของพระนาคสมาลเถระ ท่านได้ตามเสด็จพระพุทธองค์ไปทางไกล พอถึงทาง ๒ แพร่ง พระเถระทราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์เสด็จไปทางนี้เถิด พระเจ้าข้า” “อย่าเลย นาคสมาละ ไปอีกทางหนึ่งจะดีกว่า” พระนาคสมาละ ไม่ยอมเชื่อฟังพระดำรัส ขอแยกทางกับพระพุทธองค์ ทำท่าจะวางบาตรและจีวรของพระผู้มีพระภาคที่พื้นดิน พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “นาคสมาละ เธอจงส่งบาตรและจีวรมาให้ตถาคตเถิด” พระนาคสมาละ ถวายบาตรและจีวรแด่พระพุทธองค์แล้วแยกทางเดินไปตามที่ตนต้องการ ไปได้ไม่ไกลนักก็ถูกพวกโจรทำร้ายจนศีรษะแตกแล้วแย่งชิงเอาบาตรและจีวรไป ทั้งที่เลือดอาบหน้ารีบกลับมาเฝ้าพระบรมศาสดา กราบทูลเล่าเรื่องให้ทรงทราบ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “อย่าเสียใจไปเลย นาคสมาละ ตถาคตห้ามเธอก็เพราะเหตุนี้”
                         พระพุทธองค์ ได้รับความลำบากพระวรกายเพราะถูกปล่อยให้ประทับอยู่ตามลำพังหลายครั้ง จึงมีพระดำรัสรับสั่งให้ภิกษุสงฆ์เลือกสรรภิกษุทำหน้าที่ปฏิบัติพระองค์เป็นประจำ ภิกษุทั้งหลายมีฉันทามติมอบหมายให้พระอานนท์เถระรับหน้าที่เป็นพุทธอุปัฏฐากตลอดกาลเป็นนิตย์ ด้วยเห็นว่าท่านเป็นผู้มีสติปัญญา ขยัน อดทน รอบคอบ และเป็นพระญาติใกล้ชิด ย่อมจะทราบพระอัธยาศัยเป็นอย่างดี

                         • พระเถระทูลขอพร ๘ ประการ

                         แต่ก่อนที่พระเถระจะตอบรับทำหน้าที่เป็นพุทธอุปัฏฐากนั้น ท่านได้กราบทูลขอพร ๘ ประการ ดังนี้:-
                         ๑ ขออย่าประทานจีวรอันประณีตแก่ข้าพระองค์
                         ๒ ขออย่าประทานบิณฑบาตอันประณีตแก่ข้าพระองค์
                         ๓ ขอได้โปรดอย่าให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระองค์
                         ๔ ขอได้โปรดอย่าพาข้าพระองค์ไปในที่นิมนต์
                         ๕ ขอพระองค์จงเสด็จไปสู่ที่นิมนต์ ที่ข้าพระองค์รับไว้
                         ๖ ขอให้ข้าพระองค์พาบริษัทที่มาจากแดนไกลเข้าเฝ้าพระองค์ได้ในขณะที่มาถึงแล้ว
                         ๗ ถ้าข้าพระองค์เกิดความสงสัยขึ้นเมื่อใดขอให้ข้าพระองค์เข้าเฝ้าทูลถามความสงสัยได้เมื่อนั้น
                         ๘ ถ้าพระองค์แสดงพระธรรมเทศนาเรื่องใด ในที่ลับหลังข้าพระองค์ขอได้โปรดตรัสพระธรรมเทศนาเรื่องนั้น แก่ข้าพระองค์อีกครั้ง

                         • พระพุทธองค์ตรัสถามคุณและโทษของพร ๘ ประการ

                         พระบรมศาสดา ได้สดับคำกราบทูลขอพรของพระอานนท์เถระแล้ว ได้ตรัสถามถึงคุณและโทษของพร ๘ ประการว่า:-
“ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นคุณและโทษอย่างไร จึงขออย่างนั้น ?” “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ถ้าข้าพระองค์ไม่ได้รับพรข้อที่ ๑-๔ ข้างต้น ก็จะมีคนพูดติฉินนินทา ได้ว่า พระอานนท์ ปฏิบัติบำรุงอุปัฏฐากพระบรมศาสดา จึงได้ลาภสักการะมากมายอย่างนี้ การปฏิบัติอุปัฏฐากมิได้หนักหนาอะไรเลยและถ้าข้าพระองค์ไม่ได้รับพรข้อที่ ๕-๗ ก็จะมีคนพูดได้อีกว่าพระอานนท์ จะบำรุงอุปัฏฐากพระบรมศาสดาไปทำไม แม้กิจเพียงเท่านี้ พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงอนุเคราะห์อนึ่ง โดยเฉพาะถ้าข้าพระองค์ไม่ได้รับพรข้อสุดท้ายแล้ว หากมีผู้มาถามข้าพระองค์ว่า ธรรมข้อนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงที่ไหน ถ้าข้าพระองค์ไม่ทราบ เขาก็จะตำหนิได้ว่าพระอานนท์ ติดตามพระบรมศาสดาไปทุกหนแห่ง ดุจเงาตามพระองค์ แต่เหตุไฉนจึงไม่รู้แม้แต่เรื่องเพียงเท่านี้
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เห็นคุณและโทษ ดังกล่าวมานี้ จึงได้กราบทูลขอพรทั้ง ๘ ประการนั้น พระเจ้าข้า”
                          พระบรมศาสดา เมื่อได้สดับคำชี้แจงของพระอานนท์แล้ว จึงประทานสาธุการ และพระราชทานอนุญาตให้ตามที่ขอทุกประการ ตั้งแต่นั้นมา ท่านพระเถระก็ปฏิบัติหน้าที่บำรุงอุปัฏฐากพระพุทธองค์ตลอดมา ตราบเท่าถึงเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน

                        • ยอมสละชีวิตแทนพระพุทธองค์

                        พระเถระ ได้ปฏิบัติหน้าที่อุปัฏฐากพระบรมศาสดาด้วยความอุตสาหะมิได้บกพร่อง อีกทั้งมีความจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ชีวิตของตนก็ยอมสละแทนพระพุทธองค์ได้ เช่น ในคราวที่พระเทวทัตยุยงให้พระเจ้าอชาตศัตรูปล่อยช้างนาฬาคีรี ด้วยหวังจะให้ทำอันตรายพระพุทธองค์ ขณะเสด็จออกบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ในขณะที่ช้างนาฬาคีรีวิ่งตรงเข้าหาพระพุทธองค์นั้น พระอานนท์เถระผู้เปี่ยมล้นด้วยความกตัญญูและความจงรักภักดี ได้ยอมมอบกายถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา ได้ออกไปยืนขวางหน้าช้างไว้ หวังจะให้ทำอันตรายตนแทน แต่พระพุทธองค์ได้ทรงแผ่พระเมตตาไปยังช้างนาฬาคีรี ด้วยอำนาจแห่งพระเมตตาบารมี ทำให้ช้างสร่างเมาหมดพยศลดความดุร้ายยอมหมอบถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้วลุกขึ้นเดินกลับเข้าสู่โรงช้าง ด้วยอาการอันสงบ

                         • ได้รับยกย่องหลายตำแหน่ง

                        พระอานนท์เถระ ได้ปฏิบัติพระพุทธองค์อย่างใกล้ชิด มิได้ประมาทพลาดพลั้ง ได้ฟังระธรรมเทศนาทั้งที่ทรงแสดงแก่ตนและผู้อื่น ทั้งที่แสดงต่อหน้าและลับหลัง อีกทั้งท่านเป็นผู้มีสติปัญญาทรงจำไว้ได้มาก จึงเป็นผู้ฉลาดในการแสดงธรรม พระบรมศาสดาทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งปวง ถึง ๕ ประการ คือ เป็นพหูสูต เป็นผู้มีสติ เป็นผู้มีคติ เป็นผู้มีความเพียร และเป็นพุทธอุปัฏฐาก

                         • ปฐมสังคายนารับหน้าที่สำคัญ

                         ในกาลที่พระพุทธองค์ใกล้ปรินิพพาน พระอานนท์เถระมีความน้อยเนื้อต่ำใจที่ตนยัง เป็นพระโสดาบันอยู่ อีกทั้งพระบรมศาสดาบรมครูก็จะเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานในอีกไม่ช้า จึงหลีกออกไปยืนร้องไห้แต่เพียงผู้เดียวข้างนอก พระพุทธองค์รับสั่งให้ภิกษุไปเรียกเธอมาแล้ว ตรัสเตือนให้เธอคลายทุกข์โทมนัสพร้อมทั้งตรัสพยากรณ์ว่า....
                          “อานนท์ เธอจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ในวันทำปฐมสังคายนา”
                          เมื่อพระบรมศาสดาปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปเถระได้นัดประชุมพระอรหันต์ขีณาสพ จำนวน ๕๐๐ องค์ เพื่อทำปฐมสังคายนา โดยมอบให้พระอานนท์รับหน้าที่วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม แต่เนื่องจากพระอานนท์ยังเป็นพระโสดาบันอยู่ ท่านจึงเร่งทำความเพียรอย่างหนักแต่ก็ยังไม่สำเร็จจนเกิดความอ่อนเพลีย ท่านจึงปรารภที่จะพักผ่อนอิริยาบถสักครู่ จึงเอนกายลงบนเตียง ในขณะที่เท้าพ้นจากพื้น ศีรษะกำลังจะถึงหมอน ท่านก็สำเร็จเป็นพะอรหันต์ ในระหว่างอิริยาบถทั้ง ๔ คือ ไม่ได้อยู่ในอิริยาบถอย่างใดอย่างหนึ่งทั้ง ๔ อย่าง คือ อิริยาบถยืน เดิน นั่ง หรือนอน นับว่าท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แปลกกว่าพระเถระรูปอื่น ๆ

                        • ปรินิพพานกลางอากาศ

                        พระอานนท์เถระ ดำรงอายุสังขารอยู่นานถึง ๑๒๐ ปี พิจารณาเห็นว่าสมควรที่จะปรินิพพานได้แล้ว ท่านจึงเชิญญาติทั้งฝ่ายศากยะและฝ่ายโกลิยะ ไปที่ริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี ซึ่งกั้นเขตแดนระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ และกรุงเทวทหะ ก่อนที่จะปรินิพพาน ท่านเหาะขึ้นไปบนอากาศได้แสดงธรรมสั่งสอนเทวดาและพระประยูรญาติทั้งสองฝ่าย ตลอดทั้งพุทธบริษัทอื่น ๆ เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้วท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า....
                        “เมื่ออาตมานิพพานแล้ว ขอให้อัฐิธาตุของอาตมานี้จงแยกออกเป็น ๒ ส่วน จงตกลงที่ฝั่งกรุงกบิลพัสดุ์ ของพระประยูรญาติฝ่ายศากยวงศ์ ส่วนหนึ่ง และจงตกที่ฝังกรุงเทวทหะของพระประยูรญาติฝ่ายโกลิยวงศ์ส่วนหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้พระประยูรญาติทั้งสองฝ่ายทะเลาะวิวาทกันเพราะแย่งอัฐิธาตุ”
                         ครั้นอธิษฐานเสร็จแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ณ เบื้องบนอากาศ ในท่ามกลางแม่น้ำโรหิณี นั้น เตโชธาตุก็เกิดขึ้น เผาสรีระของท่านเหลือแต่กระดูกและแยกออกเป็น ๒ ส่วน แล้วตกลงบนพื้นดินของ ๒ ฝั่งแม่น้ำโรหิณีนั้นสมดังที่ท่านอธิษฐานไว้ทุกประการท่านได้ชื่อว่าเป็นพุทธสาวกที่ได้บรรลุกิเลสนิพพาน และขันธนิพพานแปลกกว่าพระสาวกรูปอื่น ๆ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3052 เมื่อ: 08 กันยายน 2554, 05:59:07 »

อรุณสวัสดิ์ ทุกท่านที่รักครับ

                      ผมตื่นนอนมานั่งเจริญสติตั้งแต่ช่วงเวลาอมฤติกาล คือตีสี่ที่ปกติพวกฤษีอินเดียโบราณ หรือนักปฏฺบัติทางจิตเพื่อการหลุดพ้นตื่นขึ้นมาเพื่อเอาชนะจิตตนเอง เพื่อหาทางพ้นทุกข์ในพุทธศาสนา ต้องตื่นมาปฏิบัติกันครับ
                      การตื่นตีสี่นี้เมื่อตื่นขึ้นมายึดเส้นแบบโยคะท่าง่ายๆ บนที่นอนเสร็จก็แปรงฟัน ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น จะรู้สึกสดชื่น หลังจากนั้นก็นั่งเจริญสติไปสักหนึ่งชั่วโมงก็เปลี่ยนอิริยาบถเป็นเดินจงกรมสักยี่สิบนาทีก็เปลี่ยนอิริยาบถกลับมาเป็นการนั่งเจริญสติต่อ
                      สำหรับการดูความคิดทั้งกาย-ใจนั้น ปล่อยมันมันอาจจะคิด หรืออยู่เฉยๆ ก็ปล่อยมัน ถ้ามันคิดเราห้ามไม่ได้ วิธีที่จะหยุดมันก็คือ เราต้องมีสติกลับมาที่การสร้างความรู้สึกตัว การเคลื่อนไหวของเรา ความคิดมันจะหยุดทันที คือเรากลับมามีสติล้วนๆ อย่าลืมครับความคิดเราหยุดมันไม่ได้ แต่สามารถตัดมันทิ้งไปได้ไม่ให้คิดด้วยการมีสติอยู่กับอิริยาบถที่เรากำลังกระทำสร้างความรู้สึกตัวอยู่นั้น
                      เช้านี้ไม่ง่วงนอนเลยครับ จิตใจผ่องใสตลอดสามารถกระทำได้ตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อได้เวลาพอสมควรที่จะต้องออกไปเดินจงกรมออกกำลังกายตอนเช้าต่อ จึงรับประทานเสาวรสไปหนึ่งผลและน้ำอุ่นหนึ่งถ้วยครับเพื่อให้ร่างกายมีทั้งวิตามินซีและน้ำไปเลี้ยงร่างกาย
                      สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3053 เมื่อ: 08 กันยายน 2554, 08:07:02 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และผู้ที่สนใจผ่านเข้ามาอ่าน ที่รักทุกท่านครับ

                       เช้านี้อากาศที่นครศรีธรรมราชแสงแดดจ้า ร้อน ท้องฟ้ามีเมฆนิดหน่อย ครับ

                       สงสัยวันนี้เรื่องการดูแลสุขภาพร่างกาย ผมต้องโดนท่านสุภาพสตรีที่รักสวย รักงามทั้งหลายต่อว่าเอาแน่นอน ครับ ไม่เป็นไร ผมไม่ได้ยินอยู่แล้ว ลองใช้ปัญญาของท่านพิจารณาเอาเองก็แล้วกันครับ

                       สวัสดี



หลักในการดูแลสุขภาพ

คัดลอกจากหนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ

นายเริ่ม   งามขำ

ตอนที่ ๑๖

เส้นผมบนศรีษะ.....


                                   เส้นผมบนศรีษะ  ควรเป็นสีดำตามเผ่าพันธุ์ของคนไทย  ถ้าโกรกผม  ย้อมผม  เปลี่ยนเป็นสีอื่น  จะมีผลต่อหัวใจ  ทำให้หัวใจไม่แข็งแรง  เพราะสีดำจะช่วยกรองคลื่นความถี่ที่ทำร้ายหัวใจ  และถ้าใช้ยาสระผม  ยาย้อมผม  รวมถึงการทาปาก  การเขียนคิ้ว  การทาเล็บ  ที่มีสารเคมีเจือปนอยู่  สารเคมีเหล่านี้จะซึมผ่านเข้าชั้นผิวหนังไปถึงเส้นเลือดฝอย  แล้วส่งไปสะสมอยู่ที่ตับได้โดยตรง

                                    ควรทาน้ำยาที่เป็นสมุนไพรที่ไร้สารเคมี  มาใช้กับผิวหนังจะดีที่สุด  ถ้าใช้สารเคมีบ่อย  ตับก็จะสะสมสารเคมีไปตลอดชีวิต  เป็นเหตุให้เจ็บป่วยได้หลายประการ เช่น  ปวดใต้เข่าร้าวไปถึงส้นเท้า  ขาไม่มีแรง  ปวดน่องร้าวไปถึงฝ่าเท้า  ผมร่วง

                                    เมื่อสารเคมีตกค้าง  มันจะส่งผลโดยตรงกับสมองส่วนหลัง  ซึ่งมีหน้าที่คุม  แขน-ขา

                                    เมื่อมีสารเคมีตกค้างที่สมองส่วนกลาง  แถวๆ กระหม่อม  จะมีผลต่อสมองส่วนที่เก็บความจำ  มีผลต่อการย่อยอาหาร  ท้องจะอืด  ท้องเฟ้อ  ง่วงนอนบ่อย  หาวนอน  นั่งรถก็หลับ  ป่ายเรื้อรัง

                                    • ควรจะทำ  การดึงสารพิษที่หนังศรีษะและใบหน้า

                                    • กินเห็ดสามอย่าง  ปรุงอาหาร  ขับสารพิษที่ตับเป็นประจำ  และกินขมิ้นชันก่อนนอน (ขับไขมันในตับ)

                                    • กินหัวไชเท้า  ปรุงอาหาร  เพื่อล้างสารพิษในกระแสเลือด

                                    • ใช้แชมพูสมุนไพรใบบัวบก


ใช้ยาสระผม ยาย้อมผม  ที่มีสารเคมีกับหนังศรีษะ  ก็เท่ากับทำร้ายตับ  โดยตรง

สุขภาพดี  ดีกว่าสวยแล้วสุขภาพไม่ดี  มีแต่โรคภัยไข้เจ็บ


ถ้าจะสวยต้องมี เรือน ๓ น้ำ ๔ ...

                      เรือน ๓ ได้แก่

                                    1. เรือนผม   สวยงาม  สะอาด

                                    2. เรือนร่าง   เรือนกาย  ดูแลรูปร่างไม่ให้เป็นพะโล้  ผิวพรรณไม่เศร้าหมอง

                                    3. เรือนชาน   จัดบ้าน  ทำความสะอาด  จัดระเบียบบ้านให้ดี

                       น้ำ ๔  ได้แก่

                                    1. น้ำใจ  มีน้ำใจที่อยากจะเห็นคนอื่นพ้นทุกข์  อยากให้มีแต่ความสุข  เอื้ออาทร  คิดเรื่องดีๆ

                                    2. น้ำคำ  พูดจาอ่อนหวาน  จริงใจ  ไม่เพ้อเจ้อ  ไม่พูดล่อลวง

                                    3. น้ำมือ   ทำอาหารให้อร่อย  รวมถึงขยันทำงาน  ไม่คิดแต่จะสวยแล้วไม่ทำงาน

                                    4. น้ำอดน้ำทน   ทั้งผู้ชาย  และผู้หญิง  ต้องอดทนต่อความเหน็ดเหนื่อยต่อการทำงาน  เมื่อกลับมาบ้านก็ไม่เอาความเครียดจากงานมาทะเลาะกัน ต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3054 เมื่อ: 08 กันยายน 2554, 12:07:37 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       เมื่อวานผมได้โทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือจากคุณกนกวรรณ(นก) เรื่องจองที่พักที่เขื่อนเชี่ยวหลานเนื่องจากทาง SIW ส่งผมและพนักงาน SIW ไปสังสรรค์กับลูกค้าปูนซิเมนต์ไทยภาคใต้ คือไปตีกอล์ฟกันที่สนามเขื่อนเชี่ยวหลานนั่นเอง ในวัน 16-17 กันยายน

                        คุณกนกวรรณ บอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีใครจัดทัวร์เลย  พี่สิงห์ก็ล้างมือจากอ่างทองคำแล้วไม่จัด  ที่จริงผมไม่ได้ล้างมือเพียงแต่มันหมดยุคของผมไปแล้วครับ  แต่ถ้าทุกท่านต้องการจะไปทัวร์ผมยินดีจัดให้เสมอครับ มีทางเลือกอยู่ก็คือ ในช่วง 23 ตุลาคม มีวันหยุด ถ้าพวกเราสนใจผมยินดีจัดทัวร์ให้ครับ คือ
                        -ไปนอนเขื่อนภูมิพล แวะเยี่ยมผู้ว่าปรีชาที่พิษณุโลก และให้คุณเหยงเลี้ยงข้าว หรือ
                        -ไปนอนเขื่อนสิริกิตย์ เยี่ยมผู้ว่า ปรีชา ผู้ว่าชวน และผู้ว่าที่จังหวัดน่าน ครับ
                        ลองแสดงความจำนงค์มาซิครับ มีจำนวนมากพอคันรถ ผมจะจัดให้ คุณกนกวรรณ ยินดีที่จะจองที่พักให้ครับ

                        สำหรับผมนั้น ความอยากในการท่องเที่ยวมันไม่ค่อยมีแล้ว ครับเที่ยวก็ได้  ไม่เที่ยวก็ได้ พอแล้ว

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
supanee
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 605

« ตอบ #3055 เมื่อ: 08 กันยายน 2554, 12:09:16 »

เรียนพี่สิงห์
วันนี้ฟังรายการวิทยุจุฬาฯ จึงมีข่าวเส้นทางธรรมมาบอกผ่านทางพี่สิงห์ค่ะ
จะมีการจัดวิปัสสนาเจริญสติตามแนวหลวงพ่อเทียน หาสติเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ให้การใช้ชีวิตทุกวันกับครอบครัวมีความทุกข์

จัดวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ 10-11 กันยา.นี้ เวลา 8.00-17.00น.
ที่ หอจดหมายเหตุพุทธทาสอินทปัญโญ สวนรถไฟ จตุจักร
ขอเชิญได้ที่นั่น แต่งกายลุกนั่งสบาย ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องจอง ฝึกในห้องแอร์
ควรไปก่อน 8 โมง
จะมี เช่น ทำวัตรเช้า เดินจงกรม กินแบบมีสติ ฯ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3056 เมื่อ: 08 กันยายน 2554, 12:13:01 »

อ้างถึง
ข้อความของ supanee เมื่อ 08 กันยายน 2554, 12:09:16
เรียนพี่สิงห์
วันนี้ฟังรายการวิทยุจุฬาฯ จึงมีข่าวเส้นทางธรรมมาบอกผ่านทางพี่สิงห์ค่ะ
จะมีการจัดวิปัสสนาเจริญสติตามแนวหลวงพ่อเทียน หาสติเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ให้การใช้ชีวิตทุกวันกับครอบครัวมีความทุกข์

จัดวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ 10-11 กันยา.นี้ เวลา 8.00-17.00น.
ที่ หอจดหมายเหตุพุทธทาสอินทปัญโญ สวนรถไฟ จตุจักร
ขอเชิญได้ที่นั่น แต่งกายลุกนั่งสบาย ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องจอง ฝึกในห้องแอร์
ควรไปก่อน 8 โมง
จะมี เช่น ทำวัตรเช้า เดินจงกรม กินแบบมีสติ ฯ

สวัสดีค่ะ คุณสุภาณี ที่รัก

                  คงต้องเป็นบุคคลที่ยังไม่เคยเจริญสติครับ  อย่างผมมันเลยขั้นพื้นฐานไปแล้วครับ  ที่เหลือต้องหาด้วยตัวเองเท่านั้น  ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ครับ  แต่อย่างไรก็ขอบคุณมากที่แจ้งให้ทราบครับ

                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3057 เมื่อ: 08 กันยายน 2554, 19:53:32 »

สวัสดี ดร.สุริยา และ ดร.กุศล

                        วันนี้ผมนั่งอ่านบทสัมภาษย์ พลอากาศตรีนายแพทย์ ขวัญชัย  เศรษฐนันท์ เนื้อหาสอดคล้องกับของ ดร.หน่อย  คุณหมอสูญเสียบิดา มารดา และพี่เขยที่เป็นหมอ  ทั้งๆที่ทุกอย่างดีหมดแต่ก็เสียชีวิต จึงมาสนใจแพทย์ทางเลือก เพื่อจะได้ดูแลตนเองเสียใหม่โดยเแพาะ "ต้องปรับวิถีชีวิตเสียใหม่" คือ ควบคุมเรื่องอาหารกินแต่ผักสด  ไม่กินนม เนย ขนมปัง  น้ำตาล และเนื้อสัตว์ งดน้ำเต้าหู้โดยเด็ดขาด  ปรับพฤติกรรมการถ่าย ต้องถ่ายอุจจาระก่อน 07:00 น. กินอาหารมื้อเช้า ออกกำลังกาย และสำคัญที่สุดคือ การเจริญสติ สมาธิ เพราะถ้าจิตไม่กังวล ไม่เครียดเสียอย่าง จะห่างไกลโรคครับ

                         ดังนั้นผมขอวิงวอน  ขอร้อง  ให้ทั้งสองท่านจงปรับวิถีชีวิตเสียใหม่  จะได้อยู่เป็นเพื่อนกันนานๆ ครับ

                         ราตรีสวัสดิ์

หมายเหตุ   จบการดูแลร่างกายของ ดร.หน่อย  แล้วจะนำเอามาเสนอให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ จะได้ปรับวิถีชีวิตเสียใหม่ ให้ห่างไกลโรค
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3058 เมื่อ: 08 กันยายน 2554, 20:04:45 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง แลผู้สนใจแวะมาเยี่ยมเยือน ที่รักทุกท่าน

                       ตามที่ผมได้นำเสนอ"หลักในการดูแลสุขภาพ" ของ ดร.หน่อย มานั้น เพื่อให้แน่ใจ ผมได้ทดลองปฏิบัติดูด้วยตนเองทั้งหมดครับ คือถ่ายอุจจาระก่อน 07:00 น. ซึ่งทำเป็นปกติมาก่อนหน้านี้แล้ว  Detox ทุกอาทิตย์ก็ทำมาปีที่สามแล้ว กินอาหารมื้อเช้า อันนี้เป็นมื้อหนักของผมทำมานานแล้ว ชามะละกอ ก็ลองทำดื่มดูแล้ว  วันนี้ไปซื้อขมิ้นชันแคปซูลมา ก็รับประทานดูแล้ว  พรุ่งนี้จะทำสูตร โยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว  ยังเหลือที่ไม่ได้ลองก็น้ำกระชาย  น้ำกระเจี๊ยบ + พุทราจีน  และการล้างน้ำตาลในเลือดด้วยการกินน้ำรางจืด เท่านั้นและจะพยายามทำให้ครบลองดูสักสองสามเดือนว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง ลองดูไม่เสียหายครับ

                        ผมหวังว่าทุกท่านที่อ่าน และพิจารณาด้วยปัญญาแล้ว ลองทำดูครับไม่เสียหายอะไรครับ

                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับคืนนี้
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3059 เมื่อ: 08 กันยายน 2554, 20:39:04 »

รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

๑๖๒. พระอานนท์ตรัสรู้ธรรมเพราะฟังธรรมของใคร?

            ท่านพระอานนท์ได้กล่าวคำนี้ (กะภิกษุทั้งหลาย) ว่า “ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ! ท่านพระมันตานีบุตร (บุตรของนางมันตานี) ผู้มีนามว่าปุณณะ  เป็นผู้มีอุปการะมากต่อข้าพเจ้าผู้บวชใหม่.  ท่านสั่งสอนข้าพเจ้าด้วยโอวาทนี้ว่า “ดูก่อนอานนท์ผู้มีอายุ ! ความคิดว่าเรามี เราเป็น (คือความถือตัวว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่) ย่อมมีเพราะอุปาทาน (ความยึดถือ) หามีเพราะอนุปาทาน (ความไม่ยึดถือ) ไม่.  เพราะยึดถืออะไรเล่า?  เพราะยึดถือรูป (สิ่งที่ธาตุทั้งสี่ประชุมกันเป็นกาย  พร้อมทั้งลักษณะที่ปรากฏเพราะอาศัยธาตุ ๔ นั้น)  เพราะยึดถือเวทนา (ความเสวยอารมณ์)  เพราะยึดถือสัญญา (ความจำได้หมายรู้) เพราะยึดถือสังขาร (ความคิด)  และเพราะยึดถือวิญญาณ (ความรู้อารมณ์ทางตา หู เป็นต้น).  ดูกรอานนท์ผู้มีอายุ ! เปรียบเหมือนหญิงสาวหรือชายหนุ่ม  ผู้รักการแต่งตัว  เมื่อเพ่งดูเงาหน้าของตนในกระจก อันบริสุทธิ์ผ่องใส หรือภาชนะน้ำอันใสพึงมองดูด้วยความยึดถือ  หามองดูด้วยความไม่ยึดถือไม่  นี้ฉันใด.  ความคิดว่าเรามี ความเป็น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน  ย่อมมีความยึดถือรุป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  หามีเพราะความไม่ยึดถือไม่”

            ครั้นแล้วท่านได้ถามข้าพเจ้าว่า “รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  เที่ยงหรือไม่เที่ยง?”  ข้าพเจ้าตอบว่า  ไม่เที่ยง  ท่านจึงถามว่า  สิ่งใดไม่เที่ยง  สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข?  ข้าพเจ้าตอบว่า  เป็นทุกข์.  ท่านถามว่า  สิ่งใดเป็นทุกข์  มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา  ควรหรือที่จะตามเห็นว่า  นั่นเป็นของเรา  เราเป็นนั่น  นั่นเป็นตัวตนของเรา?  ข้าพเจ้าตอบว่า  ไม่ควรที่จะตามเห็นอย่างนั้น.  ท่านจึงกล่าวว่า  เพราะเหตุนั้นแล  รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  อย่างใดอย่างหนึ่ง  ที่เป็นอดีต   อนาคต  หรือปัจจุบัน  ภายในหรือภายนอก  หยาบหรือละเอียด  เลวหรือดี  ไกลหรือใกล้  ทั้งหมดนั้นมิใช่ของเรา  เรามิใช่เป็นนั่น  นั่นมิใช่ตัวตนของเรา.  ภิกษุผู้เห็นอย่างนี้  ย่อมเบื่อหน่ายในรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  เมื่อเบื่อหน่าย  ย่อมคลายกำหนัด  เพราะคลายกำหนัดย่อมหลุดพ้น  เมื่อหลุดพ้นแล้ว  ก็เกิดความรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว  เธอย่อมรู้ความเกิด (ของเธอ) สิ้นแล้ว  พรหมจรรย์เป็นอันเธออยู่จบแล้ว  หน้าที่เป็นอันเธอทำเสร็จแล้ว  ไม่มีหน้าที่อื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้อีก.”

            “ผู้มีอายุทั้งหลาย ! ท่านพระมันตานีบุตร  ผู้มีนามว่าปุณณะ  เป็นผู้มีอุปการะมากต่อข้าพเจ้าผู้บวชใหม่  ท่านสอนข้าพเจ้าด้วยโอวาทนี้.  อนึ่ง ข้าพเจ้าได้สดับพระธรรมเทศนานี้ของท่านพระปุณณะ  มันตานีบุตรแล้ว  ก็ได้ตรัสรู้ธรรม.”


สังยุตตนิกาย  ขันธวารวรรค ๑๗/๑๒๘
      บันทึกการเข้า
krongon2513
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,490

« ตอบ #3060 เมื่อ: 08 กันยายน 2554, 21:27:37 »

 emo7:(:คุณสิงห์ค้า
น้ำเต้าหู้ไม่ดียังไงคะ ฉันกินประจำเลย
ทำไงดี..ไม่รู้จะกินอะไรแล้วอะ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #3061 เมื่อ: 08 กันยายน 2554, 23:34:41 »

น้ำค้างสิค๊ะ จะได้เสียงดี
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3062 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 07:48:09 »

อ้างถึง
ข้อความของ krongon2513 เมื่อ 08 กันยายน 2554, 21:27:37
emo7:(:คุณสิงห์ค้า
น้ำเต้าหู้ไม่ดียังไงคะ ฉันกินประจำเลย
ทำไงดี..ไม่รู้จะกินอะไรแล้วอะ
สวัสดีค่ะ คุณอ้อย ที่รัก
                  คุณหมอขวัญชัย บอกว่า "อย่างคนที่น้ำย่อยเสียทั้งหลาย  ถามไปเถอะ ดื่มนมถั่วเหลืองทุกคน เพราะถั่วเหลืองมีสารต้านน้ำย่อย  ทำให้ท้องอืด  น้ำย่อยเสีย  คือน้ำย่อยน้อยลง  เอนไซม์ที่จะย่อยอาหารจึงน้อยลง  คนที่ชอบนมถั่วเหลือง ควรดื่มไม่เกินวันละ ๓๐ กรัมหรือ ๒๕๐ ซีซี  แต่ถ้ากินนมถั่วเหลืองแล้วยังกินเต้าหู้อีก  อันตรายแล้ว เพราะจะไปหยุดการสร้างน้ำย่อย  แล้วมีฮอร์โมนผู้หญิงเป็นเหตุให้เกิดมะเร็งเต้านมได้ แล้วยังเป็นตัวการทำให้การทำงานของต่อมไธรอยด์ลดลง  สังเกตคนที่กินมังสวิรัติ กินเต้าหู้มากๆ ซีดทุกคน เพราะไม่มีน้ำย่อยที่จะย่อยโปรตีนกับวิตามิน  เมื่อย่อยไม่ได้  ร่างกายก็ดูดซึมสารอาหารไปใช้ไม่ได้  โปรตีนลดลง  วิตามินลดลง  กินเสริมเข้าไปยังไงก็ไม่ไหว  เพราะมีตัวคอยขัด  ระบบการย่อยอาหารก็มีปัญหา"
                   ทางสายกลางครับคุณอ้อย และทำอย่างไรอยู่อย่างธรรมชาติให้มากที่สุด คือกินง่ายๆ เน้นผักผลไม้สดเป็นพื้นครับ
                   ขอบคุณมากที่ติดตามอ่าน
                   สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3063 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 07:52:00 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 08 กันยายน 2554, 23:34:41
น้ำค้างสิค๊ะ จะได้เสียงดี

โปรดรักษา ศีลห้าให้เคร่งครัด ! โดยเฉพาะข้อ มุสา ต้องมีปิยะวาจาทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3064 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 08:02:37 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และผู้สนใจที่ผ่านเข้ามาอ่าน ที่รักทุกท่าน

                       เช้านี้ผมทดลองสูตรล้างลำไส้ เพื่อปรับปรุงระบบดูดซึมอาหาร สูตร โยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + ลูกเสวรส (เพราะไม่มีมะนาว) ผมเองยังไม่เคยกินโยเกิตเลย จึงไม่รู้จักรสชาด  วันนี้เลยใส่หมดถ้วย(ที่จรองควรครึ่งถ้วย) ลองดื่มดูแล้วก็ดีเหมือนกันครับ อิ่มมากๆ และอร่อยด้วยครับ เชิญทุกท่านทดลองทำดื่มดูนะครับ ไม่อยากอะไรเลย ผู้ชายโสดอย่างผมยังทำได้เลยครับ

                       สวัสดี อย่าลืมเช้านี้ทำจิตให้ผ่องใสนะครับ จะทำอะไรก็สำเร็จทั้งนั้น เพราะทำด้วยสติ ครับ



หลักในการดูแลสุขภาพ

คัดลอกจากหนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ

นายเริ่ม   งามขำ

ตอนที่ ๑๗

ผู้หญิงระหว่างตั้งครรภ์.....

สิ่งที่ควรปฏิบัติ...


             หลีกเลี่ยงความวิตกกังวล  เรื่องตื่นเต้นจากการฟังข่าว  หรือหนังทีวีที่เร้าใจน่าหวาดกลัว  และการทำอะไรรีบเร่ง  ลูกในท้องจะได้รับกรรมพันธุ์ทางความคิดติดตัวมาด้วย

             เด็กที่เกิดมาใหม่ในยุคนี้  มักจะมีปัญหาระบบดูดซึมเสียมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่  สาเหตุมาจากแม่กินอาหารผัดน้ำมันบ่อย  หรือกินทุกวันทำให้ระบบดูดซึมของแม่เสีย  เพราะน้ำมันไปขัดขวางการดูดซึมวิตามินซีและบี  เพื่อไปสร้างภูมิต้านทานถูมิแพ้ให้กับลุก

             บางคนไม่กินอาหารผัดน้ำมัน  แต่เป็นคนที่ตื่นเต้นง่าย  ขี้ตกใจและหวาดกลัว  ไขมันก็จะผลิตขึ้นมาเองได้  โดยกลไกของร่างกาย  ไขมันจะส่งไปถึงเด็กในท้องได้  เป็นสาเหตุให้เด็กเป็นภูมิแพ้ตั้งแต่เกิด

วิธีดูแล...

                       • แม่ควรกินสูตร  โยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว

                       • งดอาหารผัดน้ำมัน

                       • ไม่วิตกกังวล  ไม่ตื่นเต้นง่าย

                       • หลังคลอด  กินกระเจี๊ยบเขียว เพื่อสมานแผลภายใน

                       • กินขมิ้นชันเป็นประจำ  ช่วยขับน้ำนม  และสมานแผลภายใน

                       • กินน้ำกระชาย  เพื่อขับน้ำคาวปลา

                         ผู้หญิงตั้งครรภ์  ก็กินขมิ้นชันได้ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้อง  จนคลอดลูก  เมื่อให้นมลูกก็ยังกินขมิ้นชันต่อเนื่องได้  ขมิ้นชันและกระเจี๊ยบเขียวช่วยสมานแผลภายใน  หลังคลอดให้หายเร็วขึ้น  และยังช่วยขับพยาธิได้

                         เมื่อให้นมลูกแม่ก็ควรกินขมิ้นชันด้วย  ขมิ้นชันจะส่งไปถึงลูกที่กินนมแม่  ไปบำรุงโดยมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์  วิตามิน A, C, E  ช่วยให้กระเพาะแข็งแรง  ลำไส้ใหญ่แข็งแรง  ขับถ่ายดี  ระบบย่อยดี  ท้องไม่ผูก  ผิวพรรณดี  เด็กอารมณ์จะดี  ฉลาดไปจนโต

                         ส่วนเด็กที่ระบบย่อยไม่ดี  ขับถ่ายไม่ดี  ท้องจะอืด  ท้องเฟ้อ  ร้องให้เก่ง  ผิวพรรณไม่สวย  เป็นภูมิแพ้บ่อย

                         เมื่อเด็กเลิกกินนมแม่แล้ว  เอาขมิ้นชันชงกับนมให้ลูกกินก็ได้

วิธีชงนมที่ถูกต้อง...

             ใช้น้ำสะอาดที่ต้มสุกแล้ว  ทิ้งไว้ให้เย็น  ใช้ชงนมได้  ไม่ต้องใช้น้ำร้อน  เพราะน้ำร้อนจะทำลายคุณค่าของนม  และทำให้นมเป็นไข  ไปเกาะลำไส้เด็ก

            ใช้สูตร  โยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว  ให้เด็กกินตั้งแต่ยังเล็กอยู่จะได้ผลดีมาก  ได้ประโยชน์ดีกว่าการชงนมให้เด็กกินอย่างเดียว  ถ้าใช้สูตรนี้  เริ่มแรกให้เติมโยเกิต  น้ำผึ้ง  มะนาว  ครั้งละน้อยๆ ไปก่อน  จนเด็กชินในรสชาดแล้ว  จึงค่อยๆเพิ่มโยเกิต  น้ำผึ้ง  มะนาว  เพราะถ้าเติมมะนาวหลายหยด  เด็กจะรู้สึกเปรี้ยว  แล้วไม่ยอมกิน  ถ้าเด็กยอมกินสูตรนี้แล้ว  จะเติมขมิ้นชันผงลงไปเล็กน้อย  แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นกินไปจนโต  เข้าโรงเรียนแล้วก็ยังกินได้  แล้วเด็กจะไม่อยากกินนมอย่างอื่น  เด็กจะไม่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย  ไม่โยเยอารมณ์จะดีเสมอ  สมองและความจำดี  ผิวพรรณผุดผ่องสดใส  ตั้งแต่เด็กจนโต  ไม่ค่อยเป็นโรคผิวหนัง  ลำไส้แข็งแรง  ไม่เป็นริดสีดวงทวาร  ถ้ากินสูตรน้ำกระชายตามเข้าไปด้วย  เด็กจะโครงสร้างของกระดูกใหญ่  ตัวสูงเร็ว

            ชงโยเกิตสูตรนี้แล้ว  ถ้าเหลือให้สัตว์เลี้ยงตัวโปรดที่บ้านกินด้วย  เขาจะติดใจในรสชาด  ไม่เจ็บป่วยง่าย  อารมณ์ของสัตว์เลี้ยงจะดี  ไม่มีพยาธิ  เพราะเราเติมขมิ้นชันผงลงไปเล็กน้อยประจำ  สังเกตดูว่าเวลาชงโยเกิตสูตรนี้  สุนัขและแมวที่เคยกินจะมานั่งรอ  อย่าให้สุนัขและแมวกินอาหารเม็ดเลย  เพราะมันมีส่วนผสมของน้ำมันปาล์ม  กินเข้าไปก็เคลือบลำไส้  ระบบดูดซึมก็เสียเหมือนคนนั่นแหละ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3065 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 08:13:06 »

รู้ประวัติ สาวก พระอรหันต์ เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๑๓

พระโมฆราชเถระ

เอตทัคคะในทางผู้ยินดีในจีวรเศร้าหมอง

                        พระโมฆราช เกิดในตระกูลพราหรมณ์ ชาวเมืองสาวัตถี เมื่อมีอายุพอสมควรแก่การศึกษาศิลปะวิทยาตามประเพณีพราหมณ์ จึงได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตที่ปรึกษาของพระเจ้าปเสนทิโกศล ต่อมา พราหมณ์พาวรี เบื่อหน่ายชีวิตการครองเรือน จึงได้กราบทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศล ออกบวชเป็นชฎิล บำเพ็ญพรตตามประเพณีพราหมณ์ ตั้งสำนักอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ระหว่างเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะ ตัวเองเป็นเจ้าสำนักและเป็นอาจารย์ใหญ่ ทำหน้าที่ทั้งรับและอบรมสั่งสอนไตรเพทแก่ศิษย์ทั่วไป โมฆราชมาณพ พร้อมกับเพื่อศิษย์อีกหลายคนได้ออกบวชติดตามด้วยพราหมณ์พาวรี แม้จะบวชเป็นฤาษีชฎิลเช่นเดียวกับตระกูลกัสสปะ ๓ พี่น้อง แต่คนทั่วไปก็นิยมเรียก “พราหมณ์พาวรี” อยู่เช่นเดิม ไม่นิยมเรียกว่า “ชฎิล” เหมือนตระกูลกัสสปะ

                         • ทรงสอบการตรัสรู้

                         เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนศากยราชา ผู้ครองนครกบิลพัสดุ์ เสด็จออกบรรพชาได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วเที่ยวสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ ติดตามพระองค์มากมาย พราหมณ์พาวรี ได้ทราบข่าวเป็นลำดับ แต่ก็ยังเคลือบแคลงใจในการตรัสรู้ขององค์พระสัพพัญญโคดมเจ้า จึงตั้งปัญหาขึ้น ๑๖ หมวด แล้วมอบให้ศิษย์ ๑๖ คน นำไปกราบทูลถามพระบรมศาสดา ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ และโมฆราชมาณพก็เป็นหนึ่งในจำนวนศิษย์เหล่านั้นอชิตมาณพ ผู้เป็นหัวหน้าได้พาคณะศิษย์อีก ๑๕ คน คือ
                         ๑. ติสสเมตเตยยะ ๒. ปุณณกะ ๓. เมตตคู ๔. โธตกะ ๕. อุปสีวะ ๖. นันทกะ ๗. เหมกะ ๘. โตเทยยะ ๙. กัปปะ ๑๐. ชตุกัณณี ๑๑. ภัทราวุธะ ๑๒. อุทยะ ๑๓. โปสาละ ๑๔. ปิงคิยะ และ ๑๕. โมฆราช รวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๖ คน พากันไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเพื่อทูลถามปัญหา ณ ปาสาณเจดีย์แห่งหนึ่ง

                        • กราบทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๑๕

                        ในบรรดามาณพทั้ง ๑๖ คนนั้น โมฆราชมาณพ นับว่าเป็นผู้มีปัญญาดีกว่ามาณพทั้งหมด จึงคิดที่จะทูลถามปัญหาเป็นคนแรก แต่เห็นว่าอชิตมาณพอยู่ในฐานะเป็นหัวหน้าผู้นำมา จึงเปิดโอกาสให้ถามเป็นคนแรก เมื่ออชิตะ ทูลถามจบแล้ว โมฆราชมาณพ ปรารถนาจะถามเป็นคนที่ ๒ แต่พระพุทธองค์ตรัสห้ามว่า “ดูก่อนโมฆราช ท่านจงรอให้มาณพคนอื่น ๆ ถามก่อนเถิด”
                         เมื่อมาณพคนอื่น ๆ ถามไปโดยลำดับถึงคนที่ ๘ โมฆราชมาณพ ก็แสดงความประสงค์จะทูลถามเป็นคนที่ ๙ พระพุทธองค์ก็ตรัสห้ามไว้อีกครั้ง จนถึงลำดับคนที่ ๑๔ ผ่านไปแล้วโมฆราชมาณพ จึงได้มีโอกาสทูลถามเป็นคนที่ ๑๕ โดยกราบทูลถามว่า:-
                         “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โลกนี้ก็ดี โลกอื่นก็ดี พรหมโลกกับทั้งเทวโลกก็ดี ย่อมไม่ทราบความเห็นของพระองค์ เหตุดังนั้น จึงมีปัญหามาถึงพระองค์ ผู้มีปรีชาญาณเห็นล่วงสามัญชนทั้งปวงอย่างนี้ ข้าพระพุทธเจ้า จะพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชคือความตายจึงจะไม่แลเห็น คือ จักไม่ตามทัน พระเจ้าข้า”(ใจความของปัญหาข้อนี้ ก็คือจะพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชคือความตายจึงจะแลไม่เห็น คือตามไม่ทัน)
                          พระบรมศาสดา ตรัสพยากรณ์ว่า:-
                         “ดูก่อนโมฆราช ท่านจงมีสติพิจารณาดูโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจะข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายนี้ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล้ว มัจจุราชคือความตายจักแลไม่เห็น”
                          เมื่อพระบรมศาสดา ตรัสพยากรณ์ปัญหาของโมฆราชมาณพ จบลงแล้วโมฆราชมาณพ พร้อมด้วยชฎิลทั้งหมด ได้บรรลุพระอรหัตผลสิ้นอาสวกิเลสทุกคนเว้นแต่ปิดคิยมาณพผู้เดียว เพราะมัวแต่คิดถึงอาจารย์พราหมณ์พาวรีผู้เป็นลุง จึงได้เพียงญาณหยั่งเห็นในธรรมเท่านั้น
                          มาณพทั้ง ๑๖ คน กราบทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ประทานด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ได้เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พร้อมบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยบุญฤทธิ์
                          ส่วนพระปิงคิยเถระกราบทูลลากลับไปแจ้งข่าวแก่พราหมณ์พาวรี แสดงธรรมตามที่พระพุทธองค์ทรงแก้ปัญหาทั้ง ๑๖ ข้อ ให้ฟังแล้วยังพราหมณ์พาวรี ให้บรรลุธรรมาพิสมัยชั้นเสขภูมิ
                       พระโมฆราชนั้น เมื่ออุปสมบทแล้วปรากฏว่าท่านเป็นผู้มักน้อยสันโดษยินดีเฉพาะการใช้สอยจีวรที่เศร้าหมอง ๓ ประการ คือ
                                    ๑. ผ้าเศร้าหมอง
                                    ๒. ด้ายเย็บผ้าเศร้าหมอง
                                    ๓. น้ำย้อมผ้าเศร้าหมอง
                       ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้ยินดีในจีวรเศร้าหมอง
                       ท่านโมฆราชเถระ ดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
      บันทึกการเข้า
jeam
สมาชิกวิสามัญ
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 574

« ตอบ #3066 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 08:20:23 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 09 กันยายน 2554, 07:52:00
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 08 กันยายน 2554, 23:34:41
น้ำค้างสิค๊ะ จะได้เสียงดี

โปรดรักษา ศีลห้าให้เคร่งครัด ! โดยเฉพาะข้อ มุสา ต้องมีปิยะวาจาทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน

เอี๊ยดดดดด......พี่ป๋องถูกเบรค  เหนื่อย
      บันทึกการเข้า

I think, therefore I am.
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #3067 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 10:09:00 »


อุตุนิยมฯ เตือนมรสุมผ่านภาคเหนือ-อีสาน ส่วนมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ปกคลุมอันดามัน จะมีฝนหนาแน่นทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศประจำวัน ว่า ลักษณะอากาศทั่วไป เมื่อเวลา 04.00 น. ร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้วันที่ 9-12 ก.ย. ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกชุกหนาแน่น โดยเฉพาะบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน บริเวณจังหวัดนครพนม มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร สุรินทร์ ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ อุบลราชธานี นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนัก อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ สำหรับพื้นที่ราบลุ่มริมน้ำบริเวณภาคกลาง กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล และภาคตะวันออก ให้เตรียมป้องกันระวังอันตรายจากปริมาณน้ำท่วมที่เพิ่มสูงขึ้นในระยะนี้

ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไปร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-31 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไปร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครพนม มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร สุรินทร์ ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไปร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ลพบุรี สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไปร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองกระจายร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองกระจายร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไปร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #3068 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 10:09:49 »

วันนี้ระดับน้ำของเจ้าพระยาเพิ่มระดับขึ้นจากเมื่อวานนี้ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3069 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 11:06:19 »

ผมอยากให้ทุกท่าน พยายามอ่านให้จบ ครับ


"ความรักที่แท้จริง"

โดย ท่านชยสาโรภิกขุ

ธรรมบรรยาย ณ ห้องประชุมของเกษตรสัมพันธ์ กรมส่งเสริมการเกษตร
เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๓
ตีพิมพ์ในนิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๐ ฉบับที่ ๑ ประจำเดือน พฤษภาคม ๒๕๓๙

                        วันนี้อาตมามีความยินดีที่ได้มีโอกาสมาเยี่ยมญาติโยมที่กรมส่งเสริมการเกษตร จะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด
                        อาตมาเป็นชาวอังกฤษ เกิดที่ประเทศที่ไม่มีพุทธศาสนา บ้านของโยมพ่อ โยมแม่อยู่ในชนบท บ้านที่เราอยู่นั้นเท่ากับอำเภอที่ต่างจังหวัดในเมืองไทย พลเมืองหมื่นกว่า ๆ ตอนอาตมาเป็นเด็กสุขภาพไม่ดีเป็นโรคหืด ทุกปีมีหลายวันที่ไม่ได้ไปโรงเรียน ทำให้เกิดนิสัยชอบอยู่คนเดียว ชอบอ่านหนังสือ ชอบคิดค้นคว้าพิจารณาเรื่องชีวิตของตัวเอง พออายุ 15 – 16 ปี ร่างกายสังขารก็มีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กสู่ผู้ใหญ่ และความคิดก็มีการวิวัฒนาการเช่นเดียวกัน เกิดความสงสัยว่า เราเกิดมาทำไม สิ่งที่สูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้คืออะไร ในโลกนี้มีชีวิตที่ประเสริฐมีไหม และชีวิตที่ประเสริฐคืออะไร ในโลกนี้มีชีวิตที่ประเสริฐมีไหม และชีวิตที่ประเสริฐคืออะไร เมื่อเกิดความสงสัยอย่างนี้ขึ้นมาแล้วค่อนข้างฟุ้งซ่าน บางทีนอนไม่หลับรู้สึกว่าเป็นปัญหาสำคัญมากที่จำเป็นต้องหาคำตอบให้ได้ แต่สิ่งที่แปลกก็คือว่าเพื่อน ๆ ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญเลย พูดกับเพื่อน ๆ เหมือนพูดกันคนละภาษา อยู่กันคนละโลก ได้คุยกับครูที่โรงเรียนก็เหมือนกัน มีความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว ว้าเหว่ เหมือนกับว่าเราเป็นคนเดียวในโลก
                        ที่มีความคิดอย่างนี้ แต่โชคดีที่บ้านของอาตมาอยู่ห่างจากเคมบริดจ์ไม่กี่กิโลเมตร วันเสาร์อาตมามักจะขึ้นรถเมล์ไปเที่ยวเมืองเคมบริดจ์ แต่ไม่ได้ไปเที่ยวดูอะไรหรอก ไปอยู่ที่ร้านหนังสือ เมืองเคมบริดจ์มีร้านหนังสือเยอะแยะ และที่นั่นส่วนมากผู้ที่ทำงานในร้านหนังสือเป็นนิสิตเก่า เขาเห็นใจนักศึกษายากจน เราจะไปอ่านหนังสือทั้งวันก็ไม่มีใครรบกวน บางทีอาตมาจะไปถึงแต่เช้าหยิบหนังสือมาอ่านถึงเที่ยง หิวข้าว ก็เก็บไว้ที่เดิม ออกไปกินข้าวเสร็จแล้วกลับมาอ่านต่อ อ่านหนังสือเพลิน ๆ ไม่ต้องเสียสตางค์เลยก็ทำอย่างนี้หลายครั้ง ชอบอ่าน ชอบศึกษาเรื่องจิตใจ เรื่องปรัชญา เรื่องจิตศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สนใจในเรื่องเหล่านี้
                        จนกระทั่งวันหนึ่งได้พบหนังสือคำสอนของพระพุทธเจ้า อ่านหนังสือหน้าแรกก็สะดุ้ง เกิดความศรัทธาเลื่อมใสว่านี่คือความจริง ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นปรัชญาของเอเชียหรือเป็นของแปลกๆ แต่มีความรู้สึกเหมือนกับว่า พระพุทธเจ้าสามารถเอาความคิดที่ลึกซึ้งของเราออกมาพูดเป็นภาษาคน เพราะฉะนั้นการได้พบพระพุทธศาสนาเท่ากับได้พบตัวเอง ทำให้เข้าใจการสอนของครูบาอาจารย์ที่ว่า พุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องตำรา ไม่ใช่เรื่องของวัดวา ไม่ใช่เรื่องของนักบวช เป็นเรื่องของเราทุกคน เรื่องของหัวใจมนุษย์ สิ่งที่ประทับใจมากในหนังสือเล่มนั้นคือ คำสอนที่เกี่ยวกับจิต หมายถึงจิตที่บริสุทธิ์ สะอาดโดยธรรมชาติ พระพุทธศาสนาสอนว่า  “จิตใจของเราโดยธรรมชาติ จิตเดิมแท้เป็นจิตที่ใสสะอาด จิตนี้หลงอารมณ์ เกิดความเข้าใจผิด เกิดความคิดผิดเกี่ยวกับตัวเอง ชีวิตของตนเอง และความคิดผิดนี้กลายเป็นความยึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกต่าง ๆ ว่าฉัน ว่าของฉัน มีการแบ่งแยกระหว่างสิ่งที่เป็นฉัน ของฉัน และสิ่งที่ไม่ใช่ฉันของฉัน เกิดความขัดแย้ง เกิดความบาดหมางระหว่างความนึกคิดของตัวเอง และความจริงของธรรมชาติ อันนี้เรียกว่าทุกข์ จิตเป็นทุกข์”
                        นี้จะว่าอาตมาพิสูจน์ความจริงของธรรมะอันนั้นก็ไม่ถูก ยังไม่ได้พิสูจน์ แต่มีความเชื่อมั่นว่านี่คือ ความจริง คนไทยไม่ใช่น้อยที่คุ้นเคยกับคำสอนของพระพุทธศาสนาจนประมาท ฟังมามากแล้ว ฟังแล้วรู้สึกเฉย ๆ หรือบางทีสัปหงก แต่ว่าชาวตะวันตกมีความรู้สึกอีกอย่าง เพราะหลักการของศาสนาคริสต์ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของเราหรือประจำทวีปก็ว่าได้ สอนว่า “จิตเดิมแท้ของมนุษย์เป็นของสกปรกมี Original Sin หรือบาปเดิม” ซึ่งทำให้คนมีความรู้สึกว่าแท้จริงแล้ว จิตใจของเรานี้เศร้าหมองโดยธรรมชาติแม้ว่าเราอาจจะทำความดีบางอย่าง ความจริงแล้วมันเป็นแค่การบังกิเลสมากกว่า คือความดีและความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ของแท้จริง สิ่งที่แท้จริงของเราคือกิเลส ทำให้ชาวตะวันตกมักรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีอยู่เสมอ
                        แต่คำสอนของพระพุทธเจ้ากลับตรงกันข้ามเลย พระพุทธองค์ตรัสว่าจิตเดิมแท้ของมนุษย์เป็นของสะอาด ถ้าพูดในแง่ของการปฏิบัติ  ทฤษฎีนี้มีความสำคัญมากเพราะถ้าถือว่าจิตเดิมแท้ของเราเป็นของสกปรก เราจะไม่มีกำลังใจที่จะขัดเกลาตัวเอง เพราะว่ายิ่งขัดเกลายิ่งเจอแต่ความสกปรก การขัดเกลาสิ่งสกปรกโดยธรรมชาติให้เป็นของสะอาดเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเนื้อแท้ของจิตใจเราสะอาดโดยธรรมชาติ และเศร้าหมองเพราะหลงอารมณ์ว่าเป็นอัตตาตัวตน การขัดเกลามีความหมายและความสำคัญด้วย มีความจำเป็นด้วย ผู้ใดซาบซึ้งในข้อนี้มากจะมีความรู้สึกว่าการขัดเกลากิเลส การแสวงหาความบริสุทธิ์เดิมแท้ของจิตนั้นเป็นสิ่งสูงสุดในชีวิตมนุษย์
                        เพราะฉะนั้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาตมามีความมั่นใจว่าจะดำเนินชีวิตในรูปแบบอย่างไรก็ตาม จะประกอบอาชีพอย่างไรก็ตาม การประกอบอาชีพ การดำเนินชีวิตนั้น ต้องเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ทางใจ
                        อาตมามีนิสัยแปลกอย่างหนึ่งตั้งแต่เป็นเด็ก สนใจในประเทศอินเดียมาก หนังเป็นเรื่องของอินเดีย ชอบดู อาหารของอินเดียก็ชอบทาน ดนตรีอินเดียก็ชอบฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับอินเดียถูกใจเราเหลือเกิน เพราะฉะนั้นเมื่ออาตมาจบ High School สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เรียบร้อยแล้ว จึงไปขออนุญาตจากคุณพ่อ ขอไปหาประสบการณ์ต่างประเทศก่อนที่จะเรียนต่อเมื่อท่านอนุญาตแล้วได้ออกไปทำงานที่โรงงาน 3 เดือน แล้วออกเดินทางไปประเทศอินเดีย ซึ่งอาตมาตั้งใจว่าจะไปทางบก ก็เลยข้ามไปเบลเยี่ยม เยอรมัน ออสเตรีย ยูโกสลาเวีย กรีซ ตุรกี อิหร่าน ปากีสถาน ในที่สุดถึงอินเดีย ใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 เดือน การเดินทางของเรานั้นบางทีก็ไปรถไฟ บางทีโบกรถสิบล้อไป ไปง่าย ๆ ค่ำที่ไหนก็พักที่นั่น พบกับคนหลายชาติหลายประเทศ วัฒนธรรม ต่าง ๆ แล้วสังเกตในการเดินทางว่า ทุกประเทศที่เราผ่าน ทุกชาติ ทุกชุมชน ต้องถือว่าจารีตประเพณีของเขาถูก ของประเทศอื่น ๆ ผิด หรือว่าของเขาดีที่สุด เราเลยได้ความคิดว่า คนทุกคนมักจะมีการเข้าข้างตัวเองว่าของเขาดีกว่าของคนอื่น
                        ถึงประเทศอินเดียแล้วก็เที่ยวบ้าง ไปอยู่ตามวัดตามวาบ้างอยู่ที่วัดฮินดูบ้าง อยู่ที่วัดพุทธบ้าง ทุกวันนี้ชาวพุทธในประเทศอินเดีย มีน้อย แต่ที่พุทธคยา ที่ตรัสรู้ของพระองค์ มีวัดหลายวัด ทุกประเทศที่มีชาวพุทธมีวัดประจำชาติที่นั่น ตอนนั้นอาตมา สนใจเรื่องศาสนาพุทธ นิกายเซนมาก ชอบไปทำวัตร นั่งสมาธิวัดเซนเป็นประจำ ต่อมาได้ขึ้นภูเขาหิมาลัย ไปอยู่กับพระธิเบตที่ธรรมศาลา ซึ่งเป็นที่ประทับ ของทะไลลามะ ช่วงนั้นเริ่มนั่งสมาธิภาวนา แต่มีปัญหาว่า ไม่ได้ตั้งใจกับวิธีกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่มีการเปลี่ยนบ่อย ๆ เพราะว่า ไปที่ไหนก็มักจะพบคนที่ทำต่าง ๆกัน บางทีก็ลองทำสมาธิดู พบคนที่ทำแบบเซนก็เปลี่ยนทำแบบเซนบ้าง ต่อมาก็สนใจอีกอย่างหนึ่ง ก็ทำอีกอย่างหนึ่งกลับไปกลับมา จิตใจก็ไม่สงบ
                       เห็นว่าการที่เราจะก้าวหน้าในการปฏิบัติ ต้องเลือกอารมณ์กรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วมีความจงรักภักดีต่ออารมณ์นั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เทคนิค หากอยู่ที่จิตใจของเราที่อยากจะได้วิธีการที่ดีที่สุด ลองปฏิบัติกับวิธีการใดวิธีหนึ่ง ก็เกิดปัญหาขึ้นมาเกิดนิวรณ์ เลยสงสัยว่าเลือกอารมณ์ไม่ถูก ลองทำอย่างอื่นบ้างอาจไม่ต้องประสบปัญหา ซึ่งนิวรณ์นี้ต้องถือว่าเป็นของธรรมดา ปฏิบัติด้วยอารมณ์ กรรมฐานไหน เราต้องมีความอดทนต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้น ระหว่างการปฏิบัติ นิวรณ์เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ควรถือว่าเป็นสิ่งท้าทาย เป็นสิ่งที่กระตุ้นสติปัญญาให้ตื่นขึ้นทำงาน เป็นสิ่งที่ช่วยให้การปฏิบัติของเราเข้มแข็ง
                        ตอนนั้นอาตมายังเป็นนักปฏิบัติจับจด เอาอย่างนั้นบ้างอย่างนี้บ้างก็ไม่สงบเท่าไร แต่ต่อมาอาตมาได้พบกับพระองค์หนึ่ง ซึ่งความจริงท่านเป็นนักบวชฮินดู แต่การประพฤติของท่านน่าเลื่อมใสมาก ท่านเป็นผู้ที่มีความมักน้อย สันโดษ และวิธีการปฏิบัติของท่าน ก็ไม่ต่างกันกับของพุทธเท่าไรนัก อาตมาจึงขออยู่กับท่านคล้ายกับเป็นลูกศิษย์ ตอนนั้นอาตมาอายุได้ 18 ปี และรู้สึกเลื่อมใสท่านมาก อยากจะอยู่กับท่านเป็นประจำ แต่ท่านคัดค้าน              
                        ท่านบอกว่าอาตมายังหนุ่มเกินไป แล้วท่านย้ำว่า ถ้ายังไม่ได้บอกอนุญาตจากพ่อแม่ ที่จะอยู่อย่างนี้ ที่จะเป็นสมณะอย่างนี้ การปฏิบัติจะไม่ได้ผล ซึ่งเราฟังเหตุผลนี้ก็รู้สึกไม่พอใจ เพราะเราเป็นชาวตะวันตก ไม่ค่อยรู้สึกถึง บุญคุณพ่อแม่ โยมที่เคยศึกษาภาษาอังกฤษคงรู้ว่า คำว่า”บุญคุณของพ่อแม่”จะแปลเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ ไม่มีคำใช้ เพราะชาวตะวันตกไม่ค่อยมีความรู้สึกในสิ่งนี้
                        แต่ตอนนั้นก็อยู่ฝั่งทะเลสาบที่ชาวฮินดูถือว่าขลังศักดิ์สิทธิ์ อย่างกลางทะเลสาบก็สมถะดี เป็นครั้งแรกที่ได้ทำ ความเพียรอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นในใจของอาตมาในสมัยนั้น เป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้คาดหวัง หรือไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น ผลจากการปฏิบัติ เคยคิดว่ามันจะเป็นทำนองที่ว่าจิตเยือกเย็น ไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน เกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ รู้ใจคนอะไรอย่างนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือความรู้สึกรักพ่อแม่ รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของพ่อแม่ อาตมาแปลกใจทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ในที่สุดก็ตัดสินใจกลับบ้าน แล้วเดินทางกลับอังกฤษ
                        คุณพ่อของอาตมา มาจากตระกูลที่ยากจนมาก ยังไม่เคยมีใครในตระกูลของเรา ที่เรียนหนังสือสูง หรือเข้ามหาวิทยาลัย คุณพ่อจึงหวังมากในตัวอาตมา อาตมาเรียนหนังสือดีมักจะสอบได้ที่ 1 ทุกปี พ่อก็มีความหวังว่า เราจะได้เข้ามหาวิทยาลัย Oxford ได้ปริญญาเอก ต่อไปได้ เป็นศาสตราจารย์ ท่านมีความหวังมาก เป็นความหวังที่สำคัญในหัวใจของท่าน เรารู้เรื่องนี้แล้ว แต่ว่า ตอนที่กลับไปอังกฤษ มีความรู้สึกว่า คุณค่าของชีวิตอยู่ที่การปฏิบัติธรรม
                        หลังจากเราได้พลัดพรากจากพระฮินดูองค์นั้น เราได้ทบทวนการปฏิบัติ เห็นแล้วว่า คำสอนที่ถูกใจเรามากที่สุด ที่มั่นใจมากที่สุด คือคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเราจะพยายาม ปฏิบัติตามหลักนี้ ให้เต็มที่ต่อไป แต่รู้ว่าอยู่เป็นฆราวาสยากที่จะเอาจริงเอาจัง รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน ยังไง ๆ เราก็รู้ว่า การที่จะไปเรียน ที่มหาวิทยาลัยต่อ เป็นไปไม่ได้ แต่เสียใจว่า ในขณะที่เราได้ซาบซึ้งในบุญคุณของพ่อแม่ และรู้ด้วยว่า สิ่งที่พ่อแม่หวังมากที่สุดจากลูก คือการเข้ามหาวิทยาลัย เป็นสิ่งที่เราทำไม่ได้ ทำให้อาตมารู้สึกเป็นทุกข์มาก พอไปถึงบ้านก็พยายามหาโอกาสพูดกับพ่อ เพื่อบอกว่าเราจะเรียนต่อไม่ได้ ในที่สุดก็มีโอกาสแต่พูดไม่ค่อยออก ตะกุกตะกัก อธิบายว่า ตั้งใจจะบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา นอกจากทำให้ท่านผิดหวัง เรื่องการเรียนหนังสือ มีอีกเรื่องหนึ่งคือ คุณพ่ออาตมาเป็นคนมีอคติต่อศาสนา ท่านมีความเห็นว่า ศาสนาคริสต์เป็นกาฝากของสังคม เป็นยาเสพติดของประชาชน เป็นของหลอกลวง แล้วท่านเหมาเอาว่าศาสนาทุกศาสนาคงเหมือนกัน ลูกจะออกจากโลก บวชเป็นพระ จึงเป็นสิ่งที่ขัดใจท่านมากเหมือนกัน แต่เราลองอธิบายให้ท่านฟัง ฟังแล้วท่านบอกว่า เรื่องพระพุทธศาสนานี้ พ่อไม่เคยศึกษา ไม่รู้เรื่อง แต่ว่าสิ่งที่พ่อต้องการมากที่สุดคือ ต้องการให้ลูกมีความสุข ถ้าลูกเห็นว่าบวชเป็นพระแล้ว จะมีความสุข พ่อก็พอใจแล้ว อาตมารู้สึกว่าน้ำตาจะไหล ต้องขอตัวออกจากห้อง
                       วันนั้นเป็นวันที่เข้าใจเรื่องความรัก ความรักที่แท้จริง เห็นพ่อสามารถเสียสละความหวัง ความต้องการของตัวเอง โดยไม่ได้หวัง อะไรเลย นอกจากปรารถนาให้เรามีความสุข วันนั้นเป็นวันสำคัญมากในชีวิต ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา รู้สึกว่าความเคารพรัก ในคุณพ่อเพิ่มขึ้น ทวีขึ้นอย่างมาก และตัวเองก็ได้ความเข้าใจเรื่องความรักด้วยว่า ความรักนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นความรักที่ไม่มีตัณหา หรือความต้องการใด ๆ เข้าไปแอบแฝง เป็นความรักที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทน มีแต่จะให้ ไม่มีความคิดว่าจะเอา
                        ต่อมาเมื่อเรามาปฏิบัติศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น ก็มารู้จักคำสอนเกี่ยวกับเมตตา ทำให้เข้าใจเรื่องนี้ ละเอียดขึ้น เมตตาเป็นความรักที่ประกอบด้วยธรรมะ เป็นความรักที่สม่ำเสมอ ในสรรพสัตว์ทั้งหลาย บางทีพวกเราอาจเคยสังเกตตัวเองว่า การที่เราจะเมตตาสงสารคนอื่น ๆ ที่ประเทศอื่น หรือคนที่เราไม่เคยได้พบเป็นสิ่งที่ง่าย แต่คนที่เราเมตตายากที่สุดคือคนที่อยู่ใกล้ชิด เพราะคนเหล่านี้แหละที่ทำให้เราหนักใจ ที่มีการกระทำ และการพูดที่กระทบกระเทือนเราบ่อยๆ ฉะนั้นการแผ่เมตตาของคนทั่วไป มักจะเป็นไปในทำนองที่ว่า  “ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายมีความสุข ความสุขเถิด   เว้นแต่คนนั้น” ต้องมีเว้นแต่ เว้นแต่คนที่หนาด้วยกิเลส คนที่เราไม่ชอบแต่นี่ไม่ใช่เมตตา  เมตตาที่แท้จริงย่อมไม่มีความเลือกที่รักมักที่ชัง
                       เรื่องความรักนี้ เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของฆราวาสทุกคน บางคนถึงกับเอาเป็นสรณะที่พึ่งของชีวิต ซึ่งมักจะทำให้ชีวิต ประสบความทุกข์ระทมบ่อย ๆ รักได้ไม่เป็นไร ไม่ผิดศีล ไม่ผิดอะไร แต่พุทธศาสนาสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ต้องประกอบด้วย ธรรมะ ต้องยอมรับความจริง เราต้องพยายามพิจารณาทุกเช้าทุกเย็น ว่าเราต้องมีความพลัดพราก จากคนที่เรารักทุกคน ไม่วันใดวันหนึ่ง เราไม่ตายจากเขาๆ ก็ต้องตายจากเรา อันนี้ไม่ใช่เพื่อทำให้เรารู้สึกกลุ้มใจหรือเศร้าใจ แต่เป็นการเปิดจิตใจให้กว้าง ออกไปรับความจริง ซึ่งปกติ เราชอบพยายามประคับประคองอารมณ์ที่สบายของเราไว้ โดยการกลบเกลื่อนความจริงบางแง่บางมุม บางประการคือ สิ่งที่จะลดรสชาติของอารมณ์นั้น เพราะว่าธรรมชาติของคนเรานี้ ชอบเพลิดเพลินในอารมณ์เพลิดเพลินในความรัก แต่ถ้าเราเพลิดเพลินในสิ่งใดแล้ว ความเพลิดเพลินนั้นแหละ เป็นความยึดมั่นถือมั่น เกิดภพ เกิดชาติ เกิดความไม่มั่นคง เกิดความหวั่นไหว เพราะว่าอารมณ์ทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ผู้ยึดมั่นในอารมณ์ ย่อมฝืนธรรมชาติ ไม่ให้เปลี่ยนแปลง
                        แต่มนุษย์เราจะสู้ธรรมชาติไม่ได้ มันเป็นการฝืนที่ลมๆ แล้ง ๆ เป็นการฝืนที่จะทำให้รู้สึกระทมขมขื่น รู้สึกเซ็ง หมดหวัง สิ้นหวัง นักปฏิบัติ ผู้ปรารภธรรมะ จะคำนึงถึงความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เสมอ สำนึกรู้ในโทษของการไม่ยอมรับความจริงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง รู้ว่ายึดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยงเมื่อไร ก็ต้องเป็นทุกข์ทันที คิดอย่างนี้ได้ความรักมันไม่หายหรอก ความรักของเราไม่ใช่ว่ามันจะจืดชืดหมดรสชาติ แต่จะเป็นความรักที่สุกงอม เป็นความรักของผู้ใหญ่ เป็นความรักที่ไม่มีโทษอะไร
                        เรื่องความรักนี้ต้องสังเกตว่ามันจะเปลี่ยนสภาพตามความรู้และความเข้าใจในธรรมะของผู้รัก หมายความว่า ถ้าพวกเราไม่มี สติปัญญา เป็นที่พึ่งภายในใจ ไม่มีตัวผู้รู้คอยคุ้มครอง การดำเนินชีวิต คอยดูแลสิ่งที่เราทำ คำที่เราพูด เราย่อมมีความรู้สึกขาดความมั่นคง ซึ่งจะอยู่ลึกๆ ในใจตลอดเวลา รู้สึกว่าขาดอะไรสักอย่าง มีความรู้สึกอย่างนี้แล้ว เรามักจะพยายามลบความรู้สึกนี้โดยความรัก จึงแสวงหาความรักอย่างดิ้นรน กระสับกระส่ายกระวนกระวาย ความรักของเรานั้น จะประกอบด้วยความเห็นแก่ตัว เพราะเกิดจากความอยาก
                        แต่ผู้มีที่พึ่งภายในแล้ว มีความมั่นคงภายในใจแล้ว จะมีความรู้สึกพอดี ไม่มีอะไรขาดไม่มีอะไรเกิน พอดี ๆ ผู้ที่รู้สึกพอดี นั่นแหละสามารถให้ความรัก ด้วยความอิสระ มีความรู้สึกไวต่อคนอื่น ต่อความต้องการของเขา ความกลัวความวิตกกังวลของเขา สามารถสังเกตเห็นสิ่งแวดล้อม หรือบุคคลรอบข้างอย่างลึกซึ้ง เพราะเดี๋ยวนี้เราก็พอแล้ว ไม่มีความห่วงอะไร จิตที่เต็มไปด้วยธรรมะแล้ว เป็นจิตที่สร้างสรรค์มาก เพราะว่าไม่มีอะไรบกพร่อง พร้อมที่จะช่วยคนอื่นได้ พร้อมที่จะให้ความรัก โดยไม่หวังอะไรตอบแทน คือ เขาจะรักหรือไม่รักเรื่องของเขา  แต่ว่าเราจะให้ เราพอใจกับการให้ แต่ไม่มีความต้องการในความรัก เพื่อแก้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว หรือว่างเปล่าในใจของตัวเอง มีธรรมะเป็นที่พึ่ง ความรักเป็นที่พึ่งไม่ได้ แต่ธรรมะเป็นที่พึ่งได้ ธรรมะเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งในชีวิตมนุษย์ เราต้องพยายามเป็นผู้รู้จักฝึกอบรมตัวเอง รู้จักปกครองตัวเอง ถ้าเราปกครองตัวเองไม่ได้ มันยากที่จะหลีกเลี่ยงความบกพร่อง
                        ฉะนั้นให้บริหารตัวเอง ด้วยการสอดส่องดูแลการกระทำ การพูด ความคิดของตัวเอง สร้างตัวรู้ขึ้นมาภายใน ตัวผู้รู้นี้จะเป็นเหมือนพี่เลี้ยง หรือกัลยาณมิตรติดตัว ไปที่ไหนมันจะคอยชี้แนะตักเตือน เวลาจะพูดโกหก พูดซุบซิบนินทา จู้จี้ขี้บ่น ตัวผู้รู้จะไม่พอใจ ตัวผู้รู้จะ “เฮ่ย” แต่คำว่า “เฮ่ย” ของตัวผู้รู้นั้นจะประกอบด้วยเมตตา เตือนว่า “ไม่ได้นะ พูดอย่างนี้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เป็นการเบียดเบียนอย่าไปทำเลย “เวลาเราคิดหมกมุ่นในกาม คิดปองร้าย คิดอาฆาตพยาบาท คิดแก้แค้นหรือคิดเอารัดเอาเปรียบ ตัวผู้รู้จะร้อง  “เฮ่ย! หยุด” เราต้องมีการหยุด ต้องมีการเลิก
                        พวกเราเคยฟังคำเหล่านี้บ่อย หยุด ละ เลิก อะไรอย่างนี้ แต่ฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นคำห้วน ไม่ไพเราะ ค่อนข้างแสลงหู แต่ว่า การเลิก การหยุด การละ การวางนี้ เป็นไปเพื่อความสุข ความสุขในโลกนี้มีหลายประเภท ถ้าเราไม่มีความกล้าหาญ ที่จะสละความสุข ที่มีปริมาณน้อย หรือความสุขที่ไม่บริสุทธิ์ เราจะไม่มีสิทธ์ที่จะก้าวไปถึง หรือบรรลุความสุขที่สุขุมและบริสุทธิ์ เหมือนกับว่าเราอยู่ในห้องนี้ เราก็เข้าห้องโน้นไม่ได้ จะอยู่ทั้งสองห้องก็ไม่ได้ ต้องเลือก ให้สังเกต และยอมรับความจริงของธรรมชาติว่า การมัวเมา สยบในความสุข ทางเนื้อหนัง เป็นการปิดโอกาส ที่เราจะเข้าถึงความสุขที่เลิศกว่า ฉะนั้นต้องพิจารณาว่า ความสุขอย่างไรมีความสำคัญ อันไหนมีคุณค่าแก่ชีวิต
                        ในการวิเคราะห์ความสุข ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความไม่เที่ยง เราติดในโลกียสุขตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว เมื่อเราแก่ลง เราจะรู้สึกเหมือน ชีวิตเป็นดอกไม้เฉา หรือต้นไม้กรำแดด จะกลุ้มใจว่าชีวิตของคนแก่นี้ไม่มีความหมาย เพราะว่าเราเคยยึดมั่นถือมั่น ในความสุข ทางเนื้อหนังว่า  เป็นสิ่งที่ให้ความหมายแก่ชีวิต แต่ตอนนี้กำลังตาฟาง หูไม่ค่อยได้ยิน นั่งลงก็ “โอ๊ย” ลุกขึ้นก็ “โอ๊ย” ท่านข้าวก็ไม่อร่อย ไม่มีอริยทรัพย์ เป็นที่พึ่งภายใน เลยทุกข์เสียดายอดีต กลัวอนาคต จิตใจเหี่ยวแห้ง ผู้หญิงเลยหันเข้าหาวัด ผู้ชายหันหาเมียน้อย ทั้งสองก็ไม่ค่อยได้เรื่อง
                       แต่ถ้าเราเอาความสุขที่เกิดจากคุณงามความดีเป็นจุดมุ่งหมายในการดำเนินชีวิต ความสุขนี้เรามีโอกาสเข้าถึง มีโอกาสที่จะเสวยตลอดชาติ แล้วเป็นความสุขที่เยือกเย็น เป็นความสุขที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราแล้ว จะแผ่ไปมีผลต่อคนรอบข้างด้วย คือการช่วยคนอื่น อยู่ที่เรามีคุณธรรมภายใน มีความสงบ มีความสุขภายใน
                       ผู้ที่วุ่นวายสับสนจะไปช่วยคนอื่นไม่ได้ พูดอะไรไม่มีใครเชื่อ ทำอะไรไม่ได้ผล แต่สำหรับผู้มีคุณธรรมคำพูดมีน้ำหนัก การกระทำก็มีน้ำหนัก ทำอะไรก็เป็นที่ประทับใจผู้อื่น เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีความหวังที่จะช่วยคนอื่น ให้เราฉลาดในการช่วยตัวเอง เพราะการช่วยตัวเองและการช่วยคนอื่นเป็นสิ่งเดียวกัน
 
                       ชีวิตที่มีการช่วยตัวเอง และช่วยผู้อื่นเป็นชีวิตที่เบิกบานผ่องใสด้วยการทำหน้าที่ การทำหน้าที่ให้ดีที่สุดก็ด้วยการปล่อยวาง ความหวังในผล คือการเจริญมรรค เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #3070 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 16:28:45 »

อ้างถึง
ข้อความของ jeam เมื่อ 09 กันยายน 2554, 08:20:23
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 09 กันยายน 2554, 07:52:00
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 08 กันยายน 2554, 23:34:41
น้ำค้างสิค๊ะ จะได้เสียงดี

โปรดรักษา ศีลห้าให้เคร่งครัด ! โดยเฉพาะข้อ มุสา ต้องมีปิยะวาจาทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน

เอี๊ยดดดดด......พี่ป๋องถูกเบรค  เหนื่อย
พอไม่มีใครเม๊นท์ไร เจ้าของกระทู้ก็บ่นอีกแหละครับคุณเจียม
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
krongon2513
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,490

« ตอบ #3071 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 18:54:32 »

ขอบคุณคุณสิงห์มากที่ให้ความรู้
สูตรโยเกิร์ต มะนาว นำผึ้ง สำหรับฉันยิ่งกินยิ่งอ้วน
ข้อดีคือง่าย อิ่ม และอร่อย

ขออนุญาตเข้ามานั่งพับเพียบฟังธรรมะและ  ..ขำ..เพื่อนคุณสิงหืด้วยนะคะ sing
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3072 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 19:31:17 »

อ้างถึง
ข้อความของ krongon2513 เมื่อ 09 กันยายน 2554, 18:54:32
ขอบคุณคุณสิงห์มากที่ให้ความรู้
สูตรโยเกิร์ต มะนาว นำผึ้ง สำหรับฉันยิ่งกินยิ่งอ้วน
ข้อดีคือง่าย อิ่ม และอร่อย

ขออนุญาตเข้ามานั่งพับเพียบฟังธรรมะและ  ..ขำ..เพื่อนคุณสิงหืด้วยนะคะ sing
สวัสดีค่ะ คุณอ้อย ที่รัก
        
                       เชิญตามสบายเลยครับ

                       ดร.หน่อย  น้องสาว ดร.สุริยา เขาเป็นคนเขียนครับ  
                      
                       ตอนนี้ผมก็ทดลองกินดูเหมือนกัน ครับ  ถึงอย่างไร ต้องยึดหลักทางสายกลางครับ

                       ผมว่าเช้าๆ เย็นๆ หน้าบ้านคุณอ้อย ลองเดินจงกรมเร็วๆ สักวันละชั่วโมงให้เหงื่อออกดูสิครับ ช่วยได้แน่นอน


                          สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369

« ตอบ #3073 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 20:22:52 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 กันยายน 2554, 06:01:00
อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณน้องลูกหยี ที่รัก         
               

สวัสดีพี่สิงห์ช้าไปสองวันค่ะ  ขออภัย ..
     sorry
      บันทึกการเข้า

.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369

« ตอบ #3074 เมื่อ: 09 กันยายน 2554, 20:26:23 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 09 กันยายน 2554, 16:28:45
อ้างถึง
ข้อความของ jeam เมื่อ 09 กันยายน 2554, 08:20:23
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 09 กันยายน 2554, 07:52:00
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 08 กันยายน 2554, 23:34:41
น้ำค้างสิค๊ะ จะได้เสียงดี

โปรดรักษา ศีลห้าให้เคร่งครัด ! โดยเฉพาะข้อ มุสา ต้องมีปิยะวาจาทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน

เอี๊ยดดดดด......พี่ป๋องถูกเบรค  เหนื่อย
พอไม่มีใครเม๊นท์ไร เจ้าของกระทู้ก็บ่นอีกแหละครับคุณเจียม

 บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
  หน้า: 1 ... 121 122 [123] 124 125 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><