03 กรกฎาคม 2567, 00:56:54
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 120 121 [122] 123 124 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3342960 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 17 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369

« ตอบ #3025 เมื่อ: 05 กันยายน 2554, 20:34:56 »

น้ำท่วมเอาเรื่องเลยนะคะ พี่สิงห์      เหนื่อย
      บันทึกการเข้า

.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3026 เมื่อ: 05 กันยายน 2554, 20:43:48 »

รู้ประวัติพุทธสาวก อรหันต์ เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๑๐

พระภัททิยเถระ

เอตทัคคะในทางผู้เกิดในตระกูลสูง

                      พระภัททิยะ เกิดในตระกูลกษัตริย์ศากยวงศ์ ในกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นราชโอรสของพระนางกาฬีโคธา (พระนามเดิมชื่อว่า โคธา แต่เพราะมีผิวกายดำ คนทั่วไปจึงเรียกว่า กาฬีโคธา) เมื่อเจริญวัยขึ้นได้ครองครองราชย์สมบัติสืบศากยวงศ์ ทรงพระนามว่า “พระเจ้าภัททิยราชา”
มีพระสหายที่รักใคร่สนิทสนมกันมาก พระนามว่า “เจ้าชายอนุรุทธกุมาร” ซึ่งเป็นเชื้อสายศากยวงศ์เช่นกัน
 
                       • บวชเพราะเพื่อนชวน

                       สมัยหนึ่ง เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ อนุปิยนิคมของมัลลกษัตริย์ ครั้งนั้น ศากยกุมารจากตระกูลต่าง ๆ ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่ว ๆ ไป ได้ออกบวชติดตามพระพุทธองค์เป็นจำนวนมาก ดังนั้น เจ้าชายมหานามะ โอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ จึงได้ปรึกษากับเจ้าชายอนุรุทธะผู้เป็นอนุชาว่า:- “อนุรุทธะ ศากยกุมารจากตระกูลอื่น ๆ ออกบวชติดตามพระบรมศาสดาเป็นจำนวนมากตระกูลของเรานี้ ถ้าไม่มีใครออกบวชเสียเลยก็ดูจะไม่สมควร ดังนั้นเราสองคนนี้ ใครคนใดคนหนึ่งควรจะออกบวชติดตามพระบรมศาสดาบ้าง”

                       เนื่องจากอนุรุทธกุมารนั้น ได้รับการบำรุงเลี้ยงดูมาอย่างดีไม่เคยได้รับความเหนื่อยยากลำบากเลย เป็นบุตรสุขุมาลชาติละเอียดอื่น จึงทูลแก่เจ้าพี่มหานามะว่า:- “เจ้าพี่มหานามะ ขอให้เจ้าพี่ออกบวชเองเถิด น้องเป็นคนอ่อนแอ ไม่สามารถจะบวชได้” เจ้าชายมหานามะก็ตกลงที่จะบวชเอง ดังนั้นจึงสอนหน้าที่ของคนที่จะอยู่ครองเรือนให้ เจ้าชายอนุรุทธะทราบ โดยยกเรื่องการทำนาขึ้นมาสอน เพราะเป็นงานหลักของผู้อยู่ครองเรือน โดยเริ่มตั้งแต่การไถนา การหว่านข้าวเป็นลำดับไปจนกระทั่งเก็บเกี่ยว การนวดข้าวแล้วจึงนำเข้าไปเก็บในยุ้งฉาง และต้องทำอย่างนี้ทุกปีเมื่อถึงฤดูกาล  เจ้าชายอนุรุทธะ ได้สดับแล้วเกิดความท้อแท้ขึ้นมา เห็นว่าการบวชน่าจะเป็นงานที่เบากว่าและเป็นงานที่มีจุดสิ้นสุด จึงเปลี่ยนใจทูลเจ้าพี่มหานามะว่า “จะขอบวชเอง ให้เจ้าพี่อยู่ครองเรือนต่อไปเถิด”

                       เมื่อตกลงกับเจ้าที่มหานามะแล้ว จึงเข้าไปทูลลาพระมารดา เพื่อออกบวชแต่ไม่ได้รับอนุญาต ได้พยายามอ้อนวอนอยู่หลายวัน พระมารดาก็ยังคงไม่อนุญาตเช่นเดิม จึงกราบทูลว่า ถ้าไม่อนุญาตก็จะขออดข้าวอดน้ำจนกว่าจะตายแล้วก็เริ่มอดอาหารและน้ำดื่ม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป พระมารดา เห็นว่าลูกชายทำตามที่พูดจริง ด้วยเกรงว่าลูกชายจะได้รับอันตรายถึงชีวิต จึงคิดว่า “ถ้าให้ลูกชายบวชก็ยังจะได้เห็นหน้าลูกชายต่อไป บางทีลูกชายบวชแล้ว ได้รับความลำบากก็อาจจะสึกออกมาเอง แต่ถ้าไม่ให้บวชลูกชายอาจจะตายจริง ๆ ก็ได้” จึงบอกแก่ลูกชายว่า “อนุญาตให้บวชได้ แต่มีข้อแม้ว่า พระเจ้าภัททิยะจะต้องเสด็จออกบวชด้วย จึงจะอนุญาตให้บวช” เหตุที่พระนางมีข้อแม้อย่างนี้ก็ด้วยคิดว่า “พระเจ้าภัททิยะนั้นทรงเป็นพระราชาปกครองบ้านเมือง ถึงอย่างไรก็คงไม่ออกบวชแน่” เจ้าชายอนุรุทธะ ดีพระทัย จึงรีบไปชวนพระเจ้าภัททิยะทันที พระเจ้าภัททิยะ ไม่คิดว่าพระสหายจะมาชักชวนด้วยเรื่องอย่างนี้ พระองค์เองก็มีภาระหน้าที่รับผิดชอบต่อบ้านเมืองมากมาย จะออกบวชได้อย่างไร จึงตรัสปฏิเสธไปว่า:- “สหาย เราไม่สามารถจะออกบวชได้ แต่ถ้ามีกิจอื่นใดที่เราสามารถจะทำให้ได้ก็จะทำให้ทุกอย่าง ส่วนเรื่องการบวชนั้น ขอสหายจงบวชเองเถิด” เจ้าชายอนุรุทธะ จึงอ้างพระดำรัสของพระมารดาซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้มากล่าวให้สหายฟังว่า:- “ถ้าสหายออกบวชด้วย เราจึงจะได้บวช ดังนั้นการบวชของเราจึงเกี่ยวเนื่องด้วยสหายเป็นสำคัญ” พระเจ้าภัททิยะ ทนต่อการอ้อนวอนรบเร้าของสหายรักไม่ได้ จึงยอมตกลงออกบวชด้วย เพียงพอเวลาจัดมอบหมายงานต่าง ๆ ให้ผู้รับช่วงสืบต่อไปให้เรียบร้อยก่อนสัก ๒-๓ วัน

                        ในการเสด็จออกบวชของ เจ้าชายภัททิยะ กับ เจ้าชายอนุรุทธะ นั้น ได้มีศากยกุมาร อื่น ๆ ออกบวชด้วยอีก ๓ พระองค์ คือ เจ้าชายอานนท์ เจ้าชายภัคคุ และ เจ้าชายกิมพิละ จึงรวมเป็นฝ่ายศากยะ ๕ พระองค์ และมีฝ่ายโกลิยะ ๑ พระองค์ คือ เจ้าชายเทวทัต และมีนายภูษามาลา
ชื่อ อุบาลี ได้ร่วมออกบวชด้วยกัน เป็นอันว่าการออกบวชในครั้งนี้มีทั้งหมด ๗ ท่าน ด้วยกันได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ที่อนุปิยอัมพวัน แคว้นมัลละ กราบทูลขออุปสมบทพระพุทธองค์ประทานด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา

                       • เปล่งอุทานว่าสุขหนอ ๆ

                        พระภัททิยะเถระ เมื่ออุปสมบทแล้วศึกษาพระกรรมฐานจากสำนักของพระบรมศาสดาอุตสาห์บำเพ็ญเพียรไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยวิชชา ๓ ภายในพรรษานั้น ตั้งแต่นั้นมาไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใด ได้แก่ ในป่า ใต้ร่มไม้ หรือในอาราม เมื่อยามว่าง ยามสงบ ท่านก็มักจะเปล่งอุทานว่า “สุขหนอ ๆ” อยู่เสมอ จนภิกษุทั้งหลายได้ยินได้ฟังแล้วเข้าใจว่า ท่านไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์รำพึงนึกถึงแต่ราชสมบัติอยู่ จึงนำความเข้ากราบทูลพระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์รับสั่งให้เรียกท่านมา ตรัสถาว่า:- “ภัททิยะ ทราบว่าเธอเปล่งอุทานว่าอย่างนั้นจริงหรือ ?”
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นความจริง พระเจ้าข้า” “เธอเห็นประโยชน์อะไร จึงเปล่งอุทานอย่างนั้น ?” “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยเมื่อข้าพระองค์เป็นฆราวาส ครอบครองราชย์สมบัติอยู่  ต้องดูแลป้องกันรักษาขอบขัณฑสีมาทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ทั่วราชอาณาเขต แม้แต่ตัวข้าพระองค์เองจะมีคนคอยดูแลป้องกันรักษาอยู่รอบข้างกายเป็นนิตย์ ก็อดที่จะสะดุ้งจิตหวาดกลัว มิได้ บัดนี้ แม้ข้าพระองค์จะอยู่ในที่ใด ๆ ในป่า หรือใต้ร่มไม้ หรือที่อื่น ๆ เพียงลำพัง ก็ไม่ต้องสะดุ้งกลัว ขนก็ไม่ลุกชูชัน อาศัยอาหารผู้อื่นเลี้ยงชีพ ไม่ต้องวิตกกังวลรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองและประชากร ข้าพระองค์เห็นประโยชน์สุขอย่างนี้ จึงเปล่งอุทานอย่างนั้น พระเจ้าข้า"

                        พระบรมศาสดา ทรงสดับแล้ว ได้ตรัสยกย่องชมเชยในการกระทำของท่าน และโดยที่ท่านเกิดในตระกูลกษัตริย์ จัดว่าเป็นตระกูลสูงสุด (พระมารดาของท่านเป็นผู้มีอายุสูงกว่า ศากิยานีทั้งหลาย) พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้เกิดในตระกูลสูง

                        ท่านพระภัททิยเถระ ดำรงอายุสังขาร โดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3027 เมื่อ: 05 กันยายน 2554, 20:49:17 »

อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 05 กันยายน 2554, 20:34:56
น้ำท่วมเอาเรื่องเลยนะคะ พี่สิงห์      เหนื่อย

สวัสดีค่ะ คุณน้องลูกหยี ที่รัก

                   ระดับน้ำกำลังขึ้นครับ  แต่ยังไม่ถึงครึ่งของเมื่อปีที่แล้วครับ น้ำมวลใหญ่กำลังลงมาจากนครสวรรค์  ยังไม่รู้ว่าจะสูงเท่าไร  พี่สิงห์เลยไปเอายาไปให้พี่สาวเพื่อกินได้สักสองเดือน และได้มอบเงินไว้ให้ เพราะเมื่อปีที่แล้วถนนตัดขาดไม่สามารถไปเยี่ยมได้สองเดือน จึงป้องกันไว้ก่อน เพราะพี่สาวอยู่คนเดียว ต้องกินยาคุมหัวใจและหลอดเลือดประจำทุกวันครับ จะเอามาอยู่กับแม่ที่โรงพยาบาลก็เป็นห่วงบ้านครับ ได้แต่อาสัpญาติ ข้างบ้านช่วยกันดูแล วันนี้พี่สิงห์กินข้าวกับพี่สาว พี่สาวแกงปลาเลี้ยงครับ และเหลือเอามากินกรุงเทพฯ หนึ่งถุง ครับ

                   ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
                   
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #3028 เมื่อ: 05 กันยายน 2554, 21:08:41 »


กรมอุตุนิยมวิทยา คาดหมายสภาพอากาศ ในช่วงวันที่ 5-7 ก.ย.
ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย เริ่มมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 8-11 ก.ย. ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนตกหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบน จะมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ในระยะนี้

       ข้อควรระวังนช่วงวันที่ 9 – 11 ก.ย. ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ราบลุ่มในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ยังคงต้องระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักที่ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ สำหรับพื้นที่ราบต้องระวังอันตรายจากปริมาณน้ำที่จะเพิ่มขึ้น ส่วนชาวเรือขอให้ระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือไว้ด้วย

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3029 เมื่อ: 06 กันยายน 2554, 06:27:54 »

อรุณสวัสดิ์ครับ ชาวซีมะโด่ง และผุ้ที่สนใจดูแลสุขภาพ ที่ผ่านมาอ่าน ที่รักทุกท่านครับ

                       นับวันเราจะเห็นคนต้องเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งเป็นจำนวนมาก และตายอย่างทรมารในช่วงสุดท้ายของชีวิต  แม้แต่ผู้ตาย คือ อาเริ่ม  งามขำ  ของ ดร.สุริยา  ก็ตายด้วยโรคมะเร็ง  ทั้งที่ไม่กินเหล้า  ไม่สูบบุหรี่ เลย เป็นคนยึดมั่นในความดี  ช่วยสังคม ก็ยังเป็นมะเร็งได้

                        ดังนั้นเรามาลองพิจารณาสาเหตุการเกิดมะเร็ง ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทราบสาเหตุแล้ว เราก็กระทำตรงกันข้าม เป็นการป้องกันครับ ลองพิจารณาศึกษาดูนะครับ

                        สวัสดีครับ  เช้านี้ทำจิตใจให้ผ่องใสไว้นะครับ อย่าเครียด  จะได้ห่างไกลจากมะเร็งร้าย ครับ



หลักในการดูแลสุขภาพ

คัดลอกจากหนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ

นายเริ่ม   งามขำ

ตอนที่ ๑๒

มะเร็ง.....

            เกิดจากร่างกาย ได้รับสารเคมีปะปนอยู่ในอาหาร  หรือเกิดจากเชื้อราอัลฟลาทอกซิน  เช่น ถั่วลิสงป่น  งาดำป่น ที่ทิ้งไว้เกิน ๒๐ นาที  จะเกิดเชื้อราอัลฟลาทอกซิน  เข้ายึดพื้นที่  และอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์รมควัน  หรือย่างจนไหม้เกรียม  เนื้อสัตว์หมักดินประสิว  สารกันบูด  สารฟอกสี

            เกิดจากฮอร์โมนเพศชาย (เทสโทสเตอโรน) และฮอร์โมนเพศหญิง (แอสโตรเจน) ที่มีอยู่ในร่างกายทุกคน  ทั้งผู้ชายและผู้หญิง  ไม่สัมพัธ์กัน  คือมากไป  หรือน้อยไป (ต้องกินน้ำกระชายเข้าไปปรับสมดุลย์ของฮอร์โมนให้พอดี) หรือเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นเองได้จากความเครียดสะสม  ทำให้เซลล์ในร่างกายเสื่อม  และตายเร็วขึ้น  แต่ตัวเซลล์มะเร็งจะเจริญเติบโตรวดเร็ว

            ถ้าเราใส่โปรแกรมในจิตใต้สำนึกของเรา  ว่าเราเป็นคนอ่อนแอ  ร่างกายก็ไม่ส่งเอนไซน์ไปทำลายเซลล์มะเร็ง  ก็ปล่อยให้มันโตขึ้นทุกวัน

            ตัวเซลล์มะเร็ง  จะดึงโปรตีน  และกรดอะมิโนทั่วร่างกายไปใช้  ตัวเซลล์ที่เป็นฝ่ายดีที่เริ่มอ่อนแอ  ก็จะไม่มีสารอาหารบำรุงเซลล์ฝ่ายดี  เพื่อให้เซลล์ฝ่ายดีหรือเอนไซน์ และไขมันไปดักจับและทำลายเซลล์มะเร็ง

             (ใช้เห็ดสามอย่างปรุงอาหาร  ห้ามผัดน้ำมัน  กินเพื่อขับสารพิษในร่างกายเป็นประจำ  ป้องกันมะเร็งตั้งแต่ยังไม่เป็น)




อนุมูลอิสระคือสารพิษ.....

             [size=12t]ในร่างกายคนจะต้องมีประจุไฟฟ้าลบ  อยู่ในปริมาณมาก  วิ่งอยู่รอบๆ เซลล์ของร่างกาย  ถ้ามีเชื้อโรคเข้ามา  ตัวประจุไฟฟ้าลบ  จะวิ่งไปเกาะเชื้อโรค  ทำให้เชื้อโรคมันระเบิด  ประจุไฟฟ้าลบจึงมีประโยชน์

             แต่ถ้าประจุไฟฟ้าลบมีน้อย  เวลาเชื้อโรคหรือสารพิษเข้ามามากกว่า  มันจะดูดประจุไฟฟ้าลบไปหมด  จนเรามีไม่พอ  หรือไม่เหลือประจุไฟฟ้าลบ  เชื้อโรคมันจะขยายตัวได้ง่าย

             ตัวประจุไฟฟ้าลบ  หามาได้จาก  การกินผัก  ผลไม้ (การกินเนื้อสัตว์มากไป  จะเป็นการดึงประจุไฟฟ้าลบในร่างกายให้เสียไป)

               ตัวประจุไฟฟ้าลบได้จาก  อัญมณี  แหวนเงิน  แหวนทอง  หรือที่เรียกว่าโลหะบำบัด

             เสื้อผ้าใยสังเคราะห์เป็นตัวไปทำลายประจุไฟฟ้าลบ  แต่ผ้าไหมไทย  ผ้าฝ้าย เป็นตัวไปเพิ่มประจุไฟฟ้าลบ

             ตัวประจุไฟฟ้าลบ  ได้จากความยึดมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ยึดมั่นทำดี  จิตใจสงบ

             ตัวประจุไฟฟ้าลบ  ได้จากความอบอุ่นในครอบครัว (สัมผัสบำบัด)  หรือได้จากการฟังดนตรี (ดนตรีบำบัด)  เพลงบางประเภทจะเพิ่มประจุไฟฟ้าลบ  หรือการใช้กลิ่นบำบัด  กลิ่นน้ำหอมจะช่วยสร้างประจุไฟฟ้าลบได้ เช่น  กลิ่นของน้ำปรุงไทยเก้าชนิด (เก้ากลิ่นในขวดเดียวกัน)[/size]

            ฉะนั้น  ถ้าในร่างกายมีประจุไฟฟ้าลบในเลือดมากกว่าบวก  เลือดจะสะอาด  แต่ถ้ามีประจุไฟฟ้าบวกมากกว่าลบ  ก็กลายเป็นเลือดสกปรก  เลือดเป็นพิษ


                       เมื่อคืนมีพญามารมาผจญ  อย่างหนัก หลงอยู่ในความคิดตัวเองนานมาก เกือบเสียทีมาร  ดีที่ยังพอมีสติระลึกได้อยู่ จึงสามารถเอาตัวรอดจากพญามารได้ นีละจิตใจคน มันเคยมีความสุขกับการสัมผัสทั้งทางร่างกาย จิตใจ ทางอายตนะ ๖ คือ ตา หู  จมุก  ลิ้น  กาย  ใจ แล้วเกิดติดใจ อยากได้อีก มันจึงเป็นทุกข์ นี่ละความสุขทางโลกมีแต่ทุกข์

                        วันนี้ผมเริ่มทำชามะละกอดื่มแล้วครับ  เพราะเมื่อวานที่กลับไปสิงห์บุรีได้นำมะละกอที่บ้านพี่สาวมาสามลูก มาทำชามะละกอดื่มเพื่อล้างลำไส้เล็กครับ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3030 เมื่อ: 06 กันยายน 2554, 08:01:42 »

หลักในการดูแลสุขภาพ

คัดลอกจากหนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ

นายเริ่ม   งามขำ

ตอนที่ ๑๓

ชามะละกอ.....


           คือ การนำเอามะละกอดิบมาปอกเปลือก  แล้วหั่นเนื้อมะละกอใส่หม้อ  เติมน้ำ  ต้มให้เดือดแล้วตักเนื้อมะละกอออกไป  เอาเฉพาะน้ำมาใช้ชงชา  เพื่อดื่มแทนน้ำชาทั่วไป

            ประโยชน์  เมื่อดื่มชามะละกอ  จะเป็นการล้างลำไส้  โดยไม่ต้องสวนทวารหนักช่วย  ล้างระบบดูดซึม  คือล้างคราบไขมันที่ผนังลำไส้  อันเนื่องมาจากการกินอาหารผัดน้ำมันประจำ  คราบน้ำมันจะเกาะตัวที่ผนังลำไส้เป็นกาวเหนียว  จึงขัดขวางการดูดซึมสารอาหาร  และวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

            เมื่อระบบดูดซึมไม่ค่อยดี  หรือดูดซึมไม่ได้  เวลากินอาหารก็ได้แค่อิ่ม  แต่ไม่ได้สารอาหาร  เมื่อเป็นอย่างนี้นานวันเข้า  ความเจ็บป่วยก็จะเข้ามาเยือน

            เมื่อร่างกายปกติดีไม่เจ็บป่วย  ก็ควรล้างลำไส้ไว้บ้าง  เพื่อล้างคราบน้ำมันเก่าที่เคยกอนอาหารผัดน้ำมันมานานหลายปี

สูตร ชามะละกอ...
                                    • มะละกอดิบไม่อ่อนเกินไป ๑ ลูก
                                    • ชาเขียว  หรือชาจีน  หรือชาใบหม่อน  อย่างใดอย่างหนึ่ง

วิธีทำ...

           ปอกเปลือกมะละกอล้างน้ำให้สะอาด  แล้วหั่นแบบชิ้นฟักไม่ถึงครึ่งลูก (ประมาณ ๓ กำมือ)  ใส่หม้อเติมน้ำ ๓ ลิตร  ตั้งไฟ  จะเติมดอกเก็กฮวย  ใบเตย  หรือรากเตย ก็ใส่ลงไปกับมะละกอดิบ  พอน้ำเริ่มเดือดสัก ๓ นาที  ก็ยกลงได้  อย่าต้มมะละกอจนเนื้อเละ  ต่อไปก็ตักมะละกอและดอกเก็กฮวยออกให้เหลือแต่น้ำ  เอาน้ำร้อนที่เหลือทั้งหมดนั้นไปชงชา  ใส่ใบชาประมาณครึ่งกำมือ  มากหรือน้อยตามความต้องการ (ห้ามแช่ใบชาเกิน ๕ นาที  เพราะถ้านาน ๕ นาที  สารแทนนินของใบชาจะออกมาจากใบชา  กินแล้วทำให้ท้องผุก  นอนไม่หลับ)  แล้วกรองเอาใบชาทิ้งไปทั้งหมด  ตั้งทิ้งไว้ให้อุ่น หรือเย็นก็ดื่มได้เลย  หรือจะบรรจุขวดเก็บไว้ในตู้เย็นก็ได้  เก็บได้ประมาณ ๓ วัน

            สารของมะละกอจะเกิดการถักทอกับสารของใบชา  ทำให้ช่วยย่อยไขมันและล้างไขมันออกจากผนังลำไส้  ควรดื่มเพื่อล้างเป็นประจำ  ดื่มแทนน้ำอัดลมได้ (เด็ก, ผู้ใหญ่ดื่มได้  ไม่ต้องสงสัย รอโทรศัพท์ถามใคร)

                ถ้าไม่ล้างลำไส้  ก็เปรียบเสมือนกินข้าวไม่ล้างจาน  แล้วใช้จานใบเก่าที่ไม่ล้าง  เอามาใสข้าวกินใหม่

            เมื่อล้างลำไส้แล้ว  ก็ควรกินอาหารที่มีประโยชน์  เพื่อไปบำรุงร่างกายด้วย  ถ้าหลีกเลี่ยงอาหารผัดน้ำมันไม่ค่อยได้  ก็กินเท่าที่จำเป็น คือกินให้น้อยลง  แล้วกินชามะละกอไปล้างลำไส้ทุกวันเมื่อมีเวลาว่าง

            การทำชามะละกอกินเพื่อล้างลำไส้ให้ได้ประโยชน์  ที่จริงแล้วไม่ควรเติมน้ำตาล  ยกตัวอย่างเช่น  เรากินข้าวขาหมู  แล้วกินของหวานหรือชาที่เติมน้ำตาล  มันจะทำให้ไขมันกลายเป็นไขมันฝ่ายร้ายได้  หรือมื้อไหนที่เรากินไขมัน เช่น  เนื้อติดมัน  ก็ไม่ควรกินของหวานตามเข้าไป  ควรกินกระเทียมเพื่อลดคอเลสเตอรอล  แล้วกลับมาบ้านเราก็กินชามะละกอ  เพื่อล้างไขมันในลำไส้ออกไป

       พี่สิงห์ทดลองดื่มดูแล้วโดยใส่ชาเขียวของเมืองหางโจว อร่อยดี ดื่มได้ รสไม่เปลี่ยนแปลงครับ เชิญทำลองดื่มดูครับ




วิธีดีท็อกซ์เพื่อชีวิต (วิธีสวนทวารหนัก)...

            การเอาพิษออกด้วยวิธีการสวนทางทวารหนัก  เป็นการทำความสะอาดอวัยวะภายใน  โดยใช้น้ำต่างๆ ตามความเหมาะสม เช่น น้ำกาแฟ  น้ำมะขามเปียก  น้ำสมุนไพร  เช่น ลูกใต้ใบ (ช่วยเกี่ยวกับตับ) การสวนช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดีขึ้น  และยังช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้น  เมื่อร่างกายและสมองทำงานดีขึ้น  จิตใจหรือสุขภาพย่อมดีขึ้นเป็นเงาตามตัว

               วิธีนี้ผมทำทุกอาทิตย์ติดต่อกันมาเป็นปีที่ ๓ แล้วครับ  วันนี้ถึงวันที่จะต้องทำพอดีเพราะอยู่บ้านครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #3031 เมื่อ: 06 กันยายน 2554, 08:22:07 »

ภาคใต้ทั้งสองฝั่งมีฝนน้อยกว่าทุกภาคเพียงเล็กน้อย แต่ช่วงนี้ 6 - 11 กันยายน จะมีฝนตกลงมาตลอด มีผู้คาดการณ์ว่า น้ำที่ท่วมขัง โดยเฉพาะในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำสาขา จะเริ่มลดลงในช่วงสิ้นเดือนกันยายน ซึ่งเวลายังอีกยาวไกล


                  กรมอุตุนิยมวิทยารายงานสภาพอากาศประจำวันที่ 6 ก.ย.ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04.00 น.
ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังปานกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก มีฝนเกือบทั่วไปและมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักในระยะ 1-2 วันนี้

                        พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06.00 น.วันนี้ ถึง 06.00 น.วันพรุ่งนี้

ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน พิจิตร พิษณุโลก และอุตรดิตถ์ อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนองและพังงา อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3032 เมื่อ: 06 กันยายน 2554, 20:16:32 »

รู้ประวัติพุทธสาวก อรหันต์ เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๑๑

พระอนุรุทธเถระ

เอตทัคคะในทางผู้มีทิพยจักษุญาณ

                        พระอนุรุทธะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ ผู้เป็นพระเจ้าอาของพระบรมศาสดา มีพระเชษฐา (พี่ชาย) พระนามว่า เจ้าชายมหานามะ มีพระกนิษฐภคินี (น้องสาว) พระนามว่า พระนางโรหิณี รวมเป็น ๓ พระองค์ด้วยกัน เมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้วเสร็จมาโปรดพระประยูรญาติศากยวงศ์ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ได้มีศากยกุมารผู้มีชื่อเสียงออกบวชติดตามพระบรมศาสดาหลายพระองค์
 
                        • พี่ชายชวนบวช

                        ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ เสด็จจาริกไปสู่มหาชนบท ประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวัน แขวงเมืองพาราณสี ครั้งนั้น เจ้าศากยพระนามว่าเจ้าชายมหานามะ ผู้เป็นพระเชษฐา ได้ปรึกษากับเจ้าชายอนุรุทธะพระอนุชาว่า:- “ในตระกูลของเรานี้ ยังไม่มีผู้ใดออกบวชตามเสด็จพระบรมศาสดาเลย เราสองคนพี่น้องนี้ ควรที่คนใดคนหนึ่งน่าจะออกบวช น้องจะบวชเองหรือจะให้พี่บวช ขอให้น้องเป็นผู้เลือกตามความสมัครใจ ถ้าไม่มีใครบวชเลย ก็ดูเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง” เนื่องจากอนุรุทธกุมารนั้น เป็นพระโอรสองค์เล็ก พระเจ้าอมิโตทนะ พระบิดาและพระมารดามีความรักทะนุถนอมเป็นอย่างมาก เป็นกษัตริย์สุขุมมาลชาติ มีบุญมาก หมู่พระประยูรญาติทั้งหลายต่างก็โปรดปรานเอาอกเอาใจตั้งแต่แรกประสูติจนเจริญวัยสู่วัยหนุ่ม เมื่อได้ฟังเจ้าพี่มหานามะตรัสถึงเรื่องการบรรพชาอย่างนั้น จึงกราบทูลถามว่า “เสด็จพี่ ที่เรียกว่าบรรพชานั้น คืออะไร” “ที่เรียกบรรพชาก็คือการปลงพระเกศาและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสต์ บรรทมเหนือพื้นดิน และบิณฑบาตเลี้ยงชีพตามกิจของสมณะ” “เสด็จพี่ หม่อมฉันไม่เคยทุกข์ยากลำบากอย่างนั้น ขอให้เสร็จพี่บวชเองเถิด” “อนุรุทธะ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ต้องศึกษาเรื่องการงาน และการครองเรือนให้เข้าใจเป็นอย่างดี”

                        • ไม่รู้จักคำว่า “ไม่มี”

                        แท้ที่จริง เจ้าชายอนุรุทธะ ได้รับการเอาอกเอาใจจากพระประยูรญาติดังกล่าว จนกระทั่งไม่ทราบเรื่องการงาน และการดำเนินชีวิตของฆราวาสเลย ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่คำว่า “ไม่มี” ก็ไม่เคยได้ยินนับตั้งแต่ประสูติมา ดังมีเรื่องเล่าว่า.....
                        ครั้งหนึ่ง เจ้าชายอนุรุทธะ พร้อมด้วยพระสหายชวนกันไปเล่นตีคลี โดยมีการตกลงกันว่า “ถ้าใครเล่นแพ้ต้องนำขนมมาเลี้ยงเพื่อน” ในการเล่นนั้นเจ้าชายอนุรุทธะ แพ้ถึง ๓ ครั้ง ในแต่ละครั้งให้คนรับใช้ไปนำขนมจากเสด็จแม่มาเลี้ยงเพื่อนตามที่ตกลงกัน ในครั้งที่ ๔ เจ้าชายอนุรุทธะ ก็เล่นแพ้อีก และก็ใช้ให้คนไปนำขนมมาจากพระมารดาอีก พระมารดาตรัสสั่งคนรับใช้มาบอกว่า “ขนมไม่มี” เจ้าชายอนุรุทธะ ไม่รู้ความหมายของคำว่า “ไม่มี” เข้าใจไปว่าคำนั้นเป็นชื่อของขนมชนิดหนึ่ง จึงส่งคนรับใช้ให้ไปกราบทูลแก่เสด็จแม่ว่า “ขนมไม่มีก็เอามาเถอะ” พระมารดา เข้าพระทัยทันทีว่า พระโอรสของพระองค์นั้นไม่เคยได้ยินค่ำว่า “ไม่มี” ดังนั้น จึงดำริที่จะให้โอรสของตนทราบความหมายของคำว่า “ไม่มี” นั้นว่าเป็นอย่างไร จึงนำถาดเปล่ามาทำความสะอาดแล้วปิดฝาด้วยถาดอีกใบหนึ่ง ส่งให้คนรับใช้นำไปให้พระโอรส ในระหว่างทางที่คนรับใช้ถือถาดเปล่าเดินไปนั้น เทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูคิดว่า “เจ้าชายอนุรุทธะ นี้ ได้สร้างบุญบารมีมาแต่ชาติปางก่อน ครั้งที่เกิดเป็นอันนภารบุรุษ ได้ถวายอาหารที่ตนกำลังจะบริโภคแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่าอริฏฐะ แล้วได้ตั้งความปรารถนาว่า “ถ้าได้เกิดใหม่ ขออย่าให้ได้ยินคำว่า “ไม่มี” กับทั้งสถานที่เกิดของอาหาร ก็ขออย่าได้พานพบเลย” ดังนั้น ถ้าเจ้าชายอนุรุทธะได้รู้จักคำว่า ไม่มี แล้วเราต้องถูกเทพยาดาผู้มีอำนาจเหนือกว่าลงโทษแน่” จึงเนรมิตขนมทิพย์จนเต็มถาด เจ้าอนุรุทธะและพระสหายได้เสวยขนมทิพย์มีรสโอชายิ่งนัก ซึ่งพวกไม่เคยได้เสวยมาก่อน จึงกลับไปต่อว่าพระมารดาว่า:- “ข้าแต่เสด็จแม่ ทำไมเสด็จแม่เพิ่งจะมารักลูกวันนี้เอง วันอื่น ๆ ไม่เห็นเสด็จแม่ทำขนมไม่มีให้ลูกเสวยเลย ตั้งแต่นี้ไป ลูกขอเสวยแต่ขนมไม่มีเพียงอย่างเดียว ขนมชนิดอื่นไม่ต้องทำให้อีก” นับแต่บัดนั้นเมื่อเจ้าชายอนุรุทธะ ขอเสวยขนม พระมารดาก็จะนำถาดมาทำความสะอาดแล้วปิดฝาด้วยถาดอีกใบหนึ่งส่งไปให้ทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้ เมื่อเจ้าพี่มหานามะ บอกให้ศึกษา เรื่องการงานการครองเรือน เจ้าชายอนุรุทธะ จึงทูลถามเจ้าพี่ว่า:- “การงานที่ว่านั้น คืออะไร ?"

                       • เรียนเรื่องการทำนา

                       เจ้าชายมหานามะ ได้สดับคำถามของพระอนุชาดังนั้น จึงได้ยกเอาเรื่องการทำนาขึ้นมาสอน เริ่มด้วยการไถ การหว่าน การดูแลรักษา ตลอดจนการเก็บเกี่ยว การนวด และการนำเข้าเก็บในยุ้งฉาง อย่างนี้แหละ เรียกว่า “การงาน” “เสด็จพี่ การงานนี้จะสิ้นสุดเมื่อไร ?” “ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อถึงฤดูกาลก็ต้องทำอย่างนี้ตลอดไป วนเวียนหาที่สุดมิได้
                       เจ้าชายอนุรุทธะ นั้นจะรู้เรื่องการทำนาได้อย่างไร ในเมื่อครั้งหนึ่งเคยนั่งสนทนากับพระสหายและตั้งปัญหาถามกันว่า:- “ภัตตาหารที่เราเสวยกันทุกวันนี้ เกิดที่ไหน ?” “เกิดในฉาง” เจ้าชายกิมพิละตอบ เพราะเคยเห็นคนนำข้าวออกจากฉาง “เกิดในหม้อ” เจ้าชายภัททิยะตอบ เพราะเคยเห็นคดข้าวออกจากหม้อ “เกิดในชาม” เจ้าชายอนุรุทธะตอบ เพราะทุกครั้งจะเสวยภัตตาหาร ก็จะเห็นข้าวอยู่ในชามเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเข้าใจอย่างนั้น เมื่อใดฟังเจ้าพี่มหานามะ สอนถึงเรื่องการงาน ดังนี้แล้ว จึงเกิดการท้อแท้ขึ้นมา และการงานนั้นก็ไม่มีที่สิ้นสุด จึงกราบทูลเจ้าพี่มหานามะว่า “ถ้าเช่นนั้นขอให้เสด็จพี่อยู่ครองเรือนเถิด หม่อมฉันจักบวชเอง ถึงแม้การบวชจะลำบากกว่าการเป็นอยู่ในฆราวาสนี้ ก็ยังมีภาระที่น้อยกว่า และมีวันสิ้นสุด”

                       • ตายดีกว่าถ้าไม่ได้บวช

                       เมื่อตกลงกันเช่นนี้แล้ว เจ้าชายอนุรุทธะจึงเข้าไปเฝ้าพระมารดา กราบทูลให้ทรงทราบเรื่องที่ตกลงกับเจ้าพี่มหามานะ แล้ว กราบทูลขอลาบวชตามเสด็จพระบรมศาสดา พระมารดาได้ฟังก็ตกพระทัยตรัสห้ามไว้ถึง ๓ ครั้ง แต่พระโอรสก็ยืนยันจะบวชให้ได้ ถ้าไม่ทรงอนุญาตก็จะขออดอาหารจนตาย และก็เริ่มไม่เสวยอาหารตั้งแต่บัดนั้น ในที่สุดพระมารดาเห็นว่าการบวชยังมีโอกาสได้เห็นโอรสดีกว่าปล่อยให้ตาย อนึ่ง อนุรุทธะนั้น เมื่อบวชแล้วได้รับความลำบากก็คงอยู่ได้ไม่นานก็จะสึกออกมาเอง พระมารดาจึงตกลงอนุญาตให้บวช แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าเจ้าชายภัททิยะพระสหายออกบวช
ด้วยจึงจะให้บวช เจ้าชายอนุรุทธะดีใจรีบไปชวนเจ้าชายภัททิยะให้บวชด้วยกันโดยกล่าวว่า “การบวชของเราเนื่องด้วยท่าน ถ้าท่านบวชเราจึงจะได้บวช” อ้อนวอนอยู่ถึง ๗ วัน เจ้าชายภัททิยะจึงยอมบวชด้วยในครั้งนั้น เจ้าชายศากยะ ๕ พระองค์ เจ้าชายภัททิยะ เจ้าชายอนุรุทธะ เจ้าชายอานนท์เจ้าชายภัคคุ และ เจ้าชายกิมพิละ และเจ้าชายฝ่ายโกลิยะ ๑ พระองค์ คือ เจ้าชายเทวทัต พร้อมด้วยอำมาตย์ช่างกัลบกอีก ๑ คน ชื่อ อุบาลี รวมเป็น ๗ เสด็จออกเดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่อนุปิยอัมพวัน เมืองพาราณสี ในระหว่างทางเจ้าชายทั้ง ๖ ได้เปลื้องเครื่องประดับอันมีค่าส่งมอบให้อุบาลีช่างกัลบกที่ติดตามไปด้วย พร้อมทั้งตรัสสั่งว่า:- “ท่านจงนำเครื่องประดับเหล่านี้ไปจำหน่ายขายเลี้ยงชีพเถิด” อุบาลี รับเครื่องประดับเหล่านั้นแล้วแยกทางกลับสู่พระนครกบิลพัสดุ์ พลางคิดขึ้นมาว่า “ธรรมดาเจ้าศากยะทั้งหลายนั้นดุร้ายนักถ้าเห็นเรานำเครื่องประดับกลับไปก็จะพากันเข้าใจว่า เราทำอันตรายพระราชกุมารแล้ว นำเครื่องประดับมาก็จะลงอาญาเราจนถึงชีวิต อนึ่งเล่า เจ้าชายศากยกุมารเหล่านี้ ยังละเสียซึ่งสมบัติอันมีค่าออกบวชโดยมิมีเยื่อใย ตัวเรามีอะไรนักหนาจึงจะมารับเอาสิ่งของที่เขาทิ้งดุจก้อนเขฬะนำไปดำรงชีพได้” เมื่อคิดดังนั้นแล้ว จึงแก้ห่อนำเครื่องประดับทั้งหลายเหล่านั้นแขวนไว้กับต้นไม้แล้วกล่าวว่า “ผู้ใดปรารถนาก็จงถือเอาตามความประสงค์เถิด เราอนุญาตให้แล้ว” จากนั้นก็ออกเดินทางติดตามเจ้าชายทั้ง ๖พระองค์ ไปทันที่อนุปิยอัมพวัน กราบทูลแจ้งความประสงค์ขอบวชด้วย

                        • ให้อุบาลีกัลบกบวชก่อน

                        เจ้าชายอนุรุทธะ เมื่อทราบความประสงค์ของอุบาลีเช่นนั้น จึงกราบทูลพระบรมศาสดาว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์เป็นกษัตริย์ มีขัตติยมานะแรงกล้า ขอพระองค์ประทานการบรรพชาแก่อุบาลี ผู้เป็นอำมาตย์รับใช้ปวงข้าพระองค์ก่อนเถิด เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้แสดงคารวะกราบไหว้ อุบาลี ตามประเพณีนิยมของพระพุทธสาวก จะได้ปลดเปลื้องขัตติยมานะให้หมดสิ้นไปจากสันดาน” พระพุทธองค์ตรัสอนุโมทนา แล้วประทานการบรรพชาแก่อุบาลีก่อนตามประสงค์ แล้วประทานการบรรพชาแก่กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ภายหลัง เมื่อบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว พระภัททิยะ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พร้อมไตรวิชาภายในพรรษานั้นพระอนุรุทธะ ได้สำเร็จทิพยจักษุญาณก่อนแล้วภายหลังได้ฟังพระธรรมเทศนามหาปุริสวิตกสูตร ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระอานนท์ ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน พระภัคคุ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระกิมพิละ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระเทวทัต ได้บรรลุธรรมชั้นฤทธิ์ปุถุชนอันเป็นโลกิยะ
พระอุบาลี ศึกษาพุทธพจน์แล้ว เจริญวิปัสสนากรรมฐานได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ภายในพรรษานั้น

                        • พระอนุรุทธะ

                         พระอนุรุทธะ เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้เรียนกรรมฐานจากพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรแล้วเข้าไปสู่ป่าปาจีนวังสมฤคทายวัน ขณะเจริญสมณธรรมอยู่นั้นได้ตรึกถึงมหาปุริสวิตก ๗ ประการ คือ:-
                                   ๑ ธรรมนี้ของผู้มีความปรารถนาน้อย ไม่ใช่ของผู้มีความปรารถนาใหญ่
                                   ๒ ธรรมนี้ของผู้สันโดษ ยินดีด้วยของที่มีอยู่ ไม่ใช่ของผู้ไม่สันโดษ
                                   ๓ ธรรมนี้ของผู้สงัดแล้ว ไม่ใช่ของผู้ยินดีในหมู่
                                   ๔ ธรรมนี้ของผู้ปรารภความเพียร ไม่ใช่ของผู้เกียจคร้าน
                                   ๕ ธรรมนี้ของผู้มีสติตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีสติหลง
                                   ๖ ธรรมนี้ของผู้มีใจตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีใจไม่ตั้งมั่น
                                   ๗ ธรรมนี้ของผู้มีปัญญา ไม่ใช่ของผู้มีปัญญาทราม
                        เมื่อพระเถระตรึกอยู่อย่างนี้ พระบรมศาสดาเสด็จไปยังที่อยู่ของพระเถระ ทราบว่าเธอกำลังตรึกอยู่อย่างนั้น ทรงอนุโมทนาว่า ดีล่ะ ดีล่ะ แล้วทรงแนะให้ตรึกในข้อที่ ๘ ว่า ๘ ธรรมนี้ของผู้ยินดีในธรรมที่ไม่เนิ่นช้า ไม่ใช่ของผู้ยินดีในธรรมที่เนิ่นช้า

                        • ได้รับยกย่องผู้มีทิพยจักษุญาณ

                        ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ตรัสสอนพระเถระแล้ว ได้เสด็จกลับสู่ที่ประทับ ส่วนพระอนุรุทธะ ได้บำเพ็ญสมณธรรมต่อไป ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ตั้งแต่นั้นมา ท่านได้ตรวจดูสัตว์โลกด้วยทิพยจักษุญาณเสมอ ยกเว้นขณะกำลังฉันภัตตาหารเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดา ได้ตรัสยกย่องชมเชยท่านในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้มีทิพยจักษุญาณ
 
                         • ปฐมเหตุประเพณีการทอดผ้าบังสุกุล-ผ้าป่า

                         สมัยหนึ่งท่านพระอนุรุทธเถระ จำพรรษาอยู่ที่เวฬุวันเมืองราชคฤห์ จีวรที่ท่านใช้อยู่นั้นเก่ามาก ท่านจึงแสวงหาผ้าบังสุกุล (ผ้าเปื้อนฝุ่น) ตามกองขยะ กองหยากเยื่อเพื่อนำมาทำจีวร
                         ครั้งนั้น อดีตภรรยาเก่าของท่านชื่อ ชาลินี ซึ่งจุติได้เกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เห็นพระเถระแสวงหาผ้าอยู่เช่นนั้นก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส จึงนำผ้าทิพย์มาจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ และคิดว่า “ถ้าเราจะนำเข้าไปถวายโดยตรง พระเถระก็คงไม่รับแน่” จึงหาอุบายซุกผ้าผืนนั้นในกองขยะกองหยากเยื่อ มีชายผ้าโผล่ออกมาเพื่อให้พระเถระได้เห็น ในทางที่พระเถระกำลังเดินมุ่งหน้าไปทางนั้น พระเถระเห็นชายผ้าผืนนั้นแล้วถึงออกมาพิจารณาเป็นผ้าบังสุกุลและคิดว่า “ผ้าผืนนี้เป็นผ้าบังสุกุลที่มีคุณค่ายิ่งนัก” แล้วนำกลับไปสู่อาราม เพื่อจัดการทำจีวร

                        • พระพุทธองค์ช่วยเย็บจีวร

                        ในการทำจีวรของท่านนั้นเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระบรมศาสดาทรงพาพระมหาสาวกเป็นจำนวนมากมาร่วมทำจีวร โดยพระองค์เองทรงร้อยเข็ม พระมหากัสสปะนั่งอยู่ช่วงต้น พระสารีบุตรนั่งอยู่ตรงกลาง พระอานนท์นั่งอยู่ช่วงปลายสุด ทั้ง ๓ ท่านนี้ช่วยกันเย็บจีวร ส่วนพระภิกษุสงฆ์ที่เหลือก็ช่วยกันกรอด้าย พระมหาโมคคัลลานะ กับนางเทพธิดาชาลินี ช่วยกันไปชักชวนอุบาสกอุบาสิกาในหมู่บ้าน ให้นำภัตตาหารมาถวายพระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ประมาณ ๕๐๐ รูป การเย็บจีวรของพระอนุรุทธะสำเร็จลงด้วยดีภายในวันเดียวเท่านั้น
                         อนึ่ง กิริยาที่นางเทพธิดาชาลินี นำผ้าไปวางซุกไว้ในกองขยะกองหยากเยื่อ ในลักษณะทอดผ้าบังสุกุลนั้น พุทธบริษัทได้ถือเป็นแบบอย่างในการทอดผ้าบังสุกุล และทอดผ้าป่าในปัจจุบันนี้
                         พระอนุรุทธเถระ ดำรงชนมายุมาถึงหลังพุทธปรินิพพาน ในวันที่พระบรมศาสดานิพพานนั้น ท่านก็ร่วมอยู่เฝ้าแวดล้อม ณ สา  ลวโนทยานนั้นด้วย และท่านยังได้ร่วมทำกิจพระศาสนาครั้งสำคัญ ในการทำปฐมสังคายนากัลป์คณะสงฆ์โดยมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน พระอุบาลีเถระวิสัชนาพระวินัย และพระอานนท์เถระวิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม
                         ท่านพระอนุรุทธเถระ ดำรงอายุสังขาร โดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธ์ เข้าสู่นิพพาน ณ ภายใต้ร่มกอไผ่ ในหมู่บ้านเวฬุวะ แคว้นวัชชี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3033 เมื่อ: 06 กันยายน 2554, 20:49:59 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และผู้สนใจติดตามอ่าน ที่รักทุกท่าน

                        การปฏิบัติธรรมของผม ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร  บางครั้งก็หลงติดอยู่ในความคิดนาน กว่าจะรู้ตัวก็เวลาผ่านไปนานทีเดียว โดยเฉพาะเวลาพูดคุย  เวลาคิด  หรือเวลาอ่านหนังสือ ช่วงนี้พญามาร มาผจญทุกคืนครับทั้งในรูปของความฝัน และความคิด อะไรที่เคยเป็นสิ่งที่รักที่ชอบนั้น มันจะเข้ามาผจญเสมอ ทำให้เราหลงอยู่ในความคิดนั้น ได้แต่พยายามเตือนตัวเองตลอดว่าเรามาไกลเกินกว่าที่จะกลับไปอยู่ในสิ่งเดิมๆ ที่เคยกระทำนั้น  และยึดหลักคุณธรรม ศีล ๕ อย่างเคร่งครัด จึงทำให้จิตสงบลงได้  ไม้ฟุ้งซ่านคิดในสิ่งที่รักที่ชอบนั้นๆ ซึ่งวิธีกำจัดกิเลส หรือมารที่มาผจญนั้น เราต้องมีจิตที่หนักแน่นมาก มั่นคงจึงจะผ่านไปได้ ต้องหาวิธีเอาเอง  ตัวเราเท่านั้นที่รู้ตัวดี  แต่ก็ยอมรับว่าพญามารนั้น หรือกิเลส มันยิ่งใหญ่จริงๆ แต่ก็คิดว่า ความอดทน ความเพียร ปัญญา เอาชนะมันได้ครับ

                        นอกจากนี้ยังพบอีกว่าเราขาดธัมวิจยะ ไปหรือเปล่า เพราะมีแต่อยู่กับความรู้สึกตัวเท่านั้น ไม่ได้ใช้ธัมวิจัยเลย มันจึงได้แต่จิตว่างๆ อยู่กับความรู้สึกตัว  แต่ไม่เป็นไร ลองแบบนี้เพื่อสร้างความเคยชินให้รู้สึกตัวมากๆ เข้าไว้ก่อนเพื่อไม่ให้ตัวเองหลงติดอยู่ในความคิด

                         ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
BU_KA
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 986

« ตอบ #3034 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 01:00:53 »

กราบสวัสดีพี่สิงห์ที่เคารพค่ะ

แวะมาอ่านกระทู้ เพิ่มพลังทางจิตใจและความคิดค่ะ


น้องหมี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3035 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 05:57:57 »

อ้างถึง
ข้อความของ BU_KA เมื่อ 07 กันยายน 2554, 01:00:53
กราบสวัสดีพี่สิงห์ที่เคารพค่ะ

แวะมาอ่านกระทู้ เพิ่มพลังทางจิตใจและความคิดค่ะ


น้องหมี
อรุณสวัสดีค่ะ คุณน้องหมี ที่รัก

                  พี่สิงห์กำลังคิดถึงเธออยู่พอดีเลย  ว่าเธอหายไปไหน?  เพียงแต่ไม่อยากทำตามที่จิตมันคิด  หวังว่าเธอคงสบายทั้งกายและจิตใจที่ผ่องใสนะครับ
                  อุปสรรคที่สำคัญในการปฏิบัติธรรม คือจิตและความคิดของตนเองที่ยังติดใจกับสิ่งที่รัก ที่ชอบ ที่เคยได้รับหรือเคยสัมผัสมาก่อนทั้งทางกายและใจ  จึงอยากที่จะได้รับอีก  นี่ละกิเลสแห่งการปฏิบัติธรรม  ทำอย่างไรจึงจะเกิดความเบื่อหน่ายในสิ่งที่เห็นด้วยตา  ได้ยินทางหู  ได้กลิ่นทางจมูก  ได้ลิ้มรสทางลิ้น ได้สัมผัสทางกาย และได้สัมผัสทางใจ  โดยเฉพาะอันหลังสุด คือความคิดนึกที่สัมผัสทางใจนี่ละอุปสรรคสำคัญที่สุด  ต้องเอาชนะมันด้วยการสร้างความรู้สึกตัวในอิริยาบถ ณ  ปัจจุบัน แล้วมันจะเลิกคิดไปเองเพราะธรรมชาติของความคิดมันเป็นเช่นนั้น ครับ

                   สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3036 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 06:01:00 »

อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณน้องลูกหยี ที่รัก         
               
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3037 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 06:36:22 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และผู้สนใจดูแลสุขภาพ ที่รักทุท่าน

                     วันนี้ผมนำเรื่องการดูดสารพิษทางผิวหนังมาให้ทุกท่านได้ลองอ่านดูชอบใจลองไปทำใช้ดู  วันนี้ผมไปร้านคุณสน (เขาค้อทะเลภู ใกล้ศูนย์วัฒนธรรม) จะซื้อชมิ้นชันผง  ไพรผง มาลองทำดูครับ

                      อรุณสวัสดิ์ครับ



หลักในการดูแลสุขภาพ

คัดลอกจากหนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ

นายเริ่ม   งามขำ

ตอนที่ ๑๔

ดึงสารพิษที่ผิว.....

BODY DETOX

            ก่อนอื่นจะต้องล้างระบบดูดซึมก่อน  ด้วยสูตรโยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว  หรือ มะละกอดิบต้มน้ำชงชา  กินเพื่อล้างลำไส้เป็นประจำแล้วระบบดูดซึมจะดี  ดูดซึมสารอาหารไปกับเส้นเลือดส่งไปเลี้ยงสมอง  และใบหน้าได้ดี  คืออาหารมื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุด  ที่จะเป็นตัวส่งไปให้สมอง

            กินอาหารที่มีวิตามิน A, C, E, เบต้าแคโรทีน, แอสโตรเจน  แล้วมาสังเคราะห์กันเองเกิดเป็นคอลลาเจนขึ้นเองโดยไม่ต้องหามาจากภายนอก เช่น ขมิ้นชัน  จะมีวิตามิน A, C, E อยู่ครบถ้วน  เมื่อกินเข้าไปแล้ววิตามินทั้ง ๓ ตัว  จะทำงานได้เลยต่อไป
  
            แล้วก็ใช้สูตรพอกตัว (Body Detox) ดังนี้

สูตร ๑...
                     ดินสอพอง                 ครึ่งกิโลกรัม
         ขมิ้นชันผง                 ๑ ช้อมชา
         ไพรผง      ๒ ช้อนชา
         ทานาคา      ๓ ช้อนชา
         (ผสมเสร็จแล้ว แบ่งมาใช้)
            สูตรนี้พอกตัวเพื่อดูดหินปูนและสารพิษออกมา  แล้วบำรุงผิวไปพร้อมกันด้วย  ใช้พอกหน้าหรือตามแขนขาได้ทั่วตัว  ขมิ้นชันจะช่วยขับไล่ไรฝุ่น
            ถ้าไม่มีทานาคา  ให้ใช้กะทิแทนได้

สูตร ๒...
         ดินสอพอง                 ครึ่งกิโลกรัม
         ขมิ้นชันผง                 ๑ ช้อมชา
         ไพรผง      ๒ ช้อนชา
         ใช้ขิงสดคั้นเอามาแต่น้ำ  ผสมลงไปแล้วพอกตัว  ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี

สูตร ๓...   
         ดินสอพอง                 ครึ่งกิโลกรัม
         ขมิ้นชันผง                 ๑ ช้อมชา
         ไพรผง      ๒ ช้อนชา
         น้ำมะขามเปียก  หรือน้ำมะเฟือง  คั้นเอาแต่น้ำผสมลงไป  ช่วยขับไล่ไรฝุ่นและบำรุงผิว

            ทั้ง ๓ สูตร  จะเติมนมสด  หรือโยเกิต  หรือน้ำผึ่ง  หรือมะนาว ลงไปอีกก็ได้แล้วแต่ว่าชอบแบบไหนลองทำใช้ดู

 ประโยชน์...

                        • ดึงสารพิษที่ผิวหนัง  ดูดหินปูนและสารพิษออกมาทางรูขุมขน

                        • เป็นการแลกเปลี่ยนทางธรรมชาติของเซลล์ผิว  เมื่อคายสิ่งที่ไม่ดีออกไป ก็ดูดสิ่งที่ดีกลับเข้ามาชดเชย  เป็นการให้อาหารทางผิวโดยตรง  โดยปราศจากสารเคมี

                         ดินสอพองจะทำงานเปรียบเสมือนปูนที่เข้มข้น  เมื่อใช้พอกตัวจะเกิดปฏิกิริยาการดูดหินปูน  ที่เจือจางกว่าตามข้อต่างๆ ของร่างกายให้ผ่านออกมาทางรูขุมขน  รวมทั้งเซลล์ผิวที่ตายแล้ว  และสารพิษที่ตกค้าง  จุถูกดูดออกมาด้วย



สารพิษเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังได้มากกว่าเข้าทางปากถึง ๗๐๐ เท่า

จึงสมควรทำ Body Detox เอาไว้บ้าง[
/b]   


พี่สิงห์ดื่มแล้ว ชักติดใจ "ชามะละกอดิบ" ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3038 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 07:50:46 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหมี ที่รัก

                       พี่สิงห์มีเรื่องขอรบกวนเธอช่วยแนะนำให้ด้วยครับ

                        หลานสาวพี่สิงห์ (เหมือนลูก พี่สิงห์เลี้ยงเขามาตั้งแต่ ป.๑ เขาเองก็รักพี่สิงห์เหมือนพ่อคนที่สอง) จบภูมิสถาปัตย์ จุฬาฯ ขณะนี้เรียนต่อที่ระดับปริญญาโท ที่บัณฑิตย์วิทยาลัย คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ที่บ้านมีโรงเรียนอนุบาล - ม.๓ โรงเรียนอินทโมลีประธาน สิงห์บุรี  พี่สิงห์ตั้งใจและเขาก็เห็นด้วยว่าจะเรียนให้จบถึงปริญญาเอกถ้าสามารถเรียนได้ แต่คงเป็นที่ต่างประเทศ และกลับไปสิงห์บุรีเพื่อเปิดแผนก EP ที่โรงเรียนอินทโมลีประธาน เพราะที่สิงห์บุรียังไม่มี EP เขาเรียนจบวิชาชีพครูที่มหาวิทยาลัยราชภัฎลพบุรี เคยสอนศิลป และอังกฤษ เพราะเขามีพื้นฐานภาษาอังกฤษดีมาก
 
                        เทอมหน้าเขาต้องเลือกหัวข้อทำวิทยานิพนธ์แล้ว เมื่อตอนที่ปฐมนิเทศน์นิสิตใหม่ มีอาจารย์ท่านหนึ่งพอรู้ว่าเขาจบสถาปัตย์ จึงบอกเขาว่า อยากให้ทำวิทยานิพนธ์เรื่องสิ่งแวดล้อมโรงเรียนที่มีอิทธิพลต่อเด็กปฐมวัยย์ เพราะไม่มีใครทำ เนื่องจากต้องใช้วิชาสถาปัตย์  ส่วนเขาเองนั้นสนใจที่จะพัฒนาการทางด้านการเรียนการสอนหลักสูตร ที่จะนำศิลปมาใช้ในการพัฒนาเด็กครับ (เขาเคยไปอ่านประวัติ มีนักการศึกษาท่านหนึ่งเก่งมาก และจบสถาปัติย์แบบเขา ยังเป็นนักการศึกษาที่มีชื่อเสียงได้แม้จะไม่ได้จบจากครุศาสตร์) และเรื่องการพัฒนาหลักสูตรสำหรับเด็กปฐมวัยย์ (นี่เป็นสาเหตุที่พี่สิงห์บอกเขาให้ต้องไปต่อปริญญาเอกที่ต่างประเทศ  จะได้เรียนรู้ในสิ่งที่แตกต่างจากประเทศไทย นำเอามาพัฒนาโรงเรียนของเรา)

                        พี่สิงห์จึงอยากให้เธอช่วยแนะนำ หรือบอกทางให้ด้วยว่าจะทำวิทยานิพนธ์ทางด้านไหนดี เรื่องอะไร จะได้เป็นข้อมูลไปบอกเขา  แต่การตัดสินใจเป็นเรื่องของเขาเอง พี่สิงห์มีหน้าที่แนะนำให้ทราบเท่านั้น

                        ขอบพระคุณมากครับ

                        สวัสดี


หมายเหตุ
                        หรือชาวซีมะโด่งท่านใดที่มีความคิดดีๆ ทางด้านการศึกษาปฐมวัยย์ เช่น คุณน้อง Nok15  ดร.กุศล  คุณน้องใหม่ ......ช่วยแนะนำ พี่สิงห์จะขอบพระคุณมากๆ ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3039 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 08:27:45 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และผู้ที่สนใจดูแลสุขภาพที่ผ่านเข้ามาอ่าน ที่รักทุกท่าน

                       วันนี้พี่สิงห์อยู่บ้าน 14:15 น. Boarding เดินทางไปนครศรีธรรมราชครับ จึงขอแถมหลักการดูแลสุขภาพล้างลำไส้ ด้วยสูตร โยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว ปรุงรสตามใจชอบ และผู้ที่จะกินเป็นอาหารเช้าประจำวันเพื่อลดความอ้วน ก็รับประทานกล้วยน้ำหว้าสุกเพิ่มไปอีกหนึ่งผล คู่ไปด้วยนะครับ

                       เช้านี้อย่าลืม ทำจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ จะไร้โรค และโลกจะหน้าอยู่ขึ้น ครับ

                       สวัสดี



หลักในการดูแลสุขภาพ

คัดลอกจากหนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ

นายเริ่ม   งามขำ

ตอนที่ ๑๕

โยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว   ล้างลำไส้.....

ประโยชน์ของโยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว  คือ...

                        • ล้างไขมันในลำไส้เล็ก  ทำให้ระบบดูดซึมดี  ตัวจุลินทรีย์ที่เกิดในโยเกิตจะช่วยย่อยไขมันจากนม  และกินความหวานจากน้ำผึ้ง  เพื่อสร้างและเลี้ยงตัวจุลินทรีย์เองให้เติบโต  เมื่อกินโยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว  เข้าไป   นอกจากจะล้างลำไส้แล้ว  ยังมีไขมันฝ่ายดีและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  ถ้ากินเวลา 13:00-15:00 น. จะไปช่วยย่อยขยะในลำไส้เล็ก  เพื่อเปลี่ยนขยะให้เป็นวิตามิน B12  ส่งไปเลี้ยงสมองได้ดีมาก  กินตอนเช้าจะลดความอ้วน  กินตอนบ่ายล้างลำไส้เล็ก  กินตอนเย็นจะอ้วน (หรือเวลาไหนก็ได้แล้วแต่ความสะดวก  ขอให้กินเท่านั้นเป็นพอ)

                        • ถ้าไม่มีน้ำผึ้ง  ก็ใช้น้ำอ้อยแทนก็ได้  และถ้าไม่มีมะนาวก็ใช้น้ำส้มคั้น หรือน้ำส้มจี๊ดแทน  จะได้วิตามิน C  จากผลไม้โดยตรง

                        • คนที่เป็นเบาหวานก็กินได้  เพราะจุลินทรีย์จะกินความหวานจากน้ำผึ้งก่อน เมื่อผสมโยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว เสร็จแล้ว  ควรตั้งทิ้งไว้ซักพักหนึ่ง ( ๑๕-๓๐ นาที) เพื่อให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ขยายตัวก่อนแล้วจึงดื่ม  ถ้ากินในปริมาณ ๕๐๐ cc. จะช่วยล้างลำไส้ใหญ่ได้

                        • เด็กกินแล้วจะช่วยย่อย  ทำให้อารมณ์ดี  บำรุงสมองดี

สูตร...

      โยเกิตธรรมชาติ       ครึ่งถ้วย
      นมสด         ๑ แก้ว ( ๑ กล่อง = 250 cc.)
      น้ำผึ้ง          ๑-๒ ช้อนโต๊ะ
      มะนาว         ครึ่งลูก (รสชาติปรับได้ตามใจชอบ)
      สูตรไม่ตายตัว  ปรับได้  ขอให้ทำได้อร่อยแล้วกินได้ก็พอ
      บันทึกการเข้า
lek_adisorn
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,595

« ตอบ #3040 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 08:31:22 »

สวัสดีครับพี่สิงห์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3041 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 08:32:12 »

สวัสดีอดิสร

พี่สิงห์ต้องไปหาซื้อหนังสือถ่ายรูปมาอ่านแล้วครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
lek_adisorn
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,595

« ตอบ #3042 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 08:40:22 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 กันยายน 2554, 08:32:12
สวัสดีอดิสร

พี่สิงห์ต้องไปหาซื้อหนังสือถ่ายรูปมาอ่านแล้วครับ

สวัสดี

พี่ไม่ต้องซื้อหรอกครับ เดี๋ยวผมจะเอามาให้ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3043 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 08:47:55 »

อ้างถึง
ข้อความของ lek_adisorn เมื่อ 07 กันยายน 2554, 08:40:22
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 กันยายน 2554, 08:32:12
สวัสดีอดิสร

พี่สิงห์ต้องไปหาซื้อหนังสือถ่ายรูปมาอ่านแล้วครับ

สวัสดี

พี่ไม่ต้องซื้อหรอกครับ เดี๋ยวผมจะเอามาให้ครับ
ขอบคุณมาก
      บันทึกการเข้า
BU_KA
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 986

« ตอบ #3044 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 09:04:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 กันยายน 2554, 05:57:57
อ้างถึง
ข้อความของ BU_KA เมื่อ 07 กันยายน 2554, 01:00:53
กราบสวัสดีพี่สิงห์ที่เคารพค่ะ

แวะมาอ่านกระทู้ เพิ่มพลังทางจิตใจและความคิดค่ะ


น้องหมี
อรุณสวัสดีค่ะ คุณน้องหมี ที่รัก

                  พี่สิงห์กำลังคิดถึงเธออยู่พอดีเลย  ว่าเธอหายไปไหน?   เพียงแต่ไม่อยากทำตามที่จิตมันคิด  หวังว่าเธอคงสบายทั้งกายและจิตใจที่ผ่องใสนะครับ
                 
                 



แต่หนูคิดถึงพี่สิงห์ตลอดค่ะ

      บันทึกการเข้า
BU_KA
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 986

« ตอบ #3045 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 09:15:44 »

1. ทำในสิ่งที่ตนชอบและสนใจ เห็นประโยชน์ แล้วมองภาพออกตั้งแต่ต้นจนจบค่ะ

หากพบว่ามีเรื่องที่ตนสนใจแล้ว ให้อ่านงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน journal ดัง ๆ เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ สัก 3-5 เรื่อง
แล้วจะเกิดไอเดียที่ใหม่เองค่ะ

จึงค่อยหารือที่ปรึกษา

2. สาขาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ---ต้องเรียนถามว่า อ. ท่านใดเป็นที่ปรึกษาค่ะ 
เพื่อนหนูสอนที่นั่นหลายคน

3. ถ้าเป็นหนูจะเลือก "พัฒนาการทางด้านการเรียนการสอนหลักสูตร ที่จะนำศิลปมาใช้ในการพัฒนาเด็ก"

ขอบพระคุณค่ะ

      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #3046 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 09:26:43 »

วันนี้ฟ้าไม่เปิด เมฆมากและเป็นเมฆฝน อากาศอบอ้าว
ในขณะที่ภาคใต้ มีฝนน้อยกว่าทุกภาคโดยเฉพาะในภาคเหนือ ภาคอิสาน ภาคกลาง และ กทม. ที่ฝนมากกว่าภาคอื่นๆ


                              กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.
วันนี้ ( 7 ก.ย.) ร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังปานกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนเกือบทั่วไปและมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักในระยะ 1-2 วันนี้

                  พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และน่าน อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัด นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง และพังงาอุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.  
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3047 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 12:49:21 »

อ้างถึง
ข้อความของ BU_KA เมื่อ 07 กันยายน 2554, 09:15:44
1. ทำในสิ่งที่ตนชอบและสนใจ เห็นประโยชน์ แล้วมองภาพออกตั้งแต่ต้นจนจบค่ะ

หากพบว่ามีเรื่องที่ตนสนใจแล้ว ให้อ่านงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน journal ดัง ๆ เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ สัก 3-5 เรื่อง
แล้วจะเกิดไอเดียที่ใหม่เองค่ะ

จึงค่อยหารือที่ปรึกษา

2. สาขาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ---ต้องเรียนถามว่า อ. ท่านใดเป็นที่ปรึกษาค่ะ  
เพื่อนหนูสอนที่นั่นหลายคน

3. ถ้าเป็นหนูจะเลือก "พัฒนาการทางด้านการเรียนการสอนหลักสูตร ที่จะนำศิลปมาใช้ในการพัฒนาเด็ก"

ขอบพระคุณค่ะ


สวัสดีค่ะ คุณน้องหมี ที่รัก

                     ตอนนี้พี่สิงห์อยู่สนามบินดอนเมือง แล้วจะถามแพรวว่าอาจารย์ท่านใดเป็นที่ปรึกษา

                     ทำไม? เธอเลือกตรงกับแพรวเลย  แพรวเขาก็มีความคิดทางนั้น เพราะเขาเก่งวาดรูป และเคยทดลองกับเด็กๆมาแล้ว และเคยไปช่วยสอนศิลปภาคภาษาอังกฤษ ที่ Asian University ชลบุรี ช่วงปิดภาคฤดูร้อนมาแล้ว และเคยส่งเด็กนักเรียนที่โรงเรียนอินทโมลี ที่แพรวดูแลอยู่ ไปประกวด ชนะเลิศทางด้านศิลปมาแล้ว

                     ขอบพระคุณมากค่ะ

                     สวัสดี

หมายเหตุ
                     ลืมบอกเธอไป ตอนแพรวสอบเข้าเรียนปฐมวัยย์นั้นแพราวสอบได้ทั้งที่ เกษตรและ จุฬาฯ  แต่พิสิงห์ได้แนะนำให้เลือกที่จุฬาฯ เพราะปู่ที่เป็นคนตั้งโรงเรียนอินทโมลี ก็จบจุฬาฯ อาณีที่เป็นคนดูแลก็จบจาก จุฬาฯ (จบ พม. แล้วมาเรียนต่อ) และหลักสูตรก็นำจากสาธิตจุฬาฯไปสอน และเป็นค่านิยมที่ดีสำหรับบ้านนอกอย่างสิงห์บุรี ควรเรียนที่จุฬาฯ และครุศาสตร์ จุฬาฯ ก็เป็นหนึ่งทางด้านการศึกษาไทย  แต่ตอนสัมภาษย์นั้น อาจารย์รุมถามเกือบสองชั่วโมง แต่เนื่องจากเตรียมตัวไปดี  สามารถตอบได้ทุกคำถามตามที่ตัวเองตอบเรื่องจริง เพราะเขามีความคิดว่า จะพัฒนาโรงเรียนอินทโมลีให้ได้ดีนั้น ตัวเองต้องรู้ และปัญหาคือ ทางโรงเรียนมีข้อจำกัดมากไม่สามารถหาครูดีๆ มาสอนได้ จึงคิดว่าถ้าตัวเองเรียนรู้แล้ว จะนำความรู้ที่ได้ไปอบรมครู  สร้างครูให้ตรงกับหลักสูตรของโรงเรียน เพื่อพัฒนาบุคคลากรครูของโรงเรียนให้ดียิ่งขึ้น โดยตรง และที่สำคัญ อีกสามปีอาณีก็เกษียรอายุ มันถึงรู่นเขาที่จะต้องดูแลโรงเรียนของปู่ต่อไป และทำให้ดียิ่งขึ้น  ปัจจุบันโรงเรียนอินทโมลี มีเด็กนักเรียนพันกว่าคน สามารถอยู่ได้ เด็กสามารถไปสอบเข้าโรงเรียนดังๆ ได้แยะมาก และวิชาศิลธรรม ให้หลวงพ่อที่วัดมาสอนแทนครู ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3048 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 16:47:51 »

อ้างถึง
ข้อความของ BU_KA เมื่อ 07 กันยายน 2554, 09:04:36
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 กันยายน 2554, 05:57:57
อ้างถึง
ข้อความของ BU_KA เมื่อ 07 กันยายน 2554, 01:00:53
กราบสวัสดีพี่สิงห์ที่เคารพค่ะ

แวะมาอ่านกระทู้ เพิ่มพลังทางจิตใจและความคิดค่ะ


น้องหมี
อรุณสวัสดีค่ะ คุณน้องหมี ที่รัก

                  พี่สิงห์กำลังคิดถึงเธออยู่พอดีเลย  ว่าเธอหายไปไหน?   เพียงแต่ไม่อยากทำตามที่จิตมันคิด  หวังว่าเธอคงสบายทั้งกายและจิตใจที่ผ่องใสนะครับ
                 
                 



แต่หนูคิดถึงพี่สิงห์ตลอดค่ะ


ปีติมากค่ะ  และขอบคุณมากที่คิดถึงพี่สิงห์

เพราะปกติไม่มีใครคิดถึงพี่สิงห์หรอก ขนาด ดร.สุริยา - ดร.กุศล เขายังไม่คิดถึงพี่สิงห์เลย
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3049 เมื่อ: 07 กันยายน 2554, 17:07:29 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และผู้สนใจที่ผ่านมาอ่าน ที่รักทุกท่าน

                       พี่สิงห์อยู่นครศรีธรรมราช อากาศครึ้มๆ ไม่มีฝนครับเย็นนี้ ผมกำลังเตรียมตัวไปออกกำลังกายยามเย็นครับ

                        อาทิตย์ที่แล้วเพื่อนรักนักกอล์ฟท่านหนึ่ง คือ พ.อ.(พิเศษ) เยาว์  เกิดร่วม  Senior ThaiPGA ผู้จัดการสนามกอล์ฟทหารบกที่ประจวบคิรีขันต์ อดีตเคยเป็นคู่แข่งขันกับผมมาตั้งแต่ยังเป็นนักกอล์ฟสมัครเล่น แต่สู้ผมไม่ได้ แต่พอเป็นโปร.ผมสู้ผู้พันไม่ได้ เพราะผู้พันมีสนามกอล์ฟ วิ่งทุกเช้า  ตีกอล์ฟทุกวันร่างกายแข็งแรง จนตัวเองประมาทไม่ตรวจสุขภาพเลย และก้ไม่เป็นอะไร เมื่อสามอาทิตย์ที่แล้วผมไปนครศรีธรรมราช เจอ พ.อ.(พิเศษ) คนึง  บอกผมว่าพี่เยาว์เป็นมะเร็งที่ตับเนื้อร้ายโตเท่าลูกกอล์ฟ ผมยังตกใจเลย เพราะผู้พันดูแข็งแรงจะตายไป แต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผู้พันก็ได้จากไปเสียแล้ว วันนี้เป็นวันฌาปนกิจ พ.อ.(พิเศษ) เยาว์  เกิดร่วม ที่ประจวบคิรีขันต์  ผมไม่สามารถไปได้ ได้แต่ทำบุญผ่านสมาคมกอล์อาชีพผู้อาวุโสไทย ไปให้ครับ ผู้พันเคยเป็นตับอีกเสบไวรัสบี  และโรคนี้จะจบลงด้วยมะเร็งเสมอ ถ้าประมาท ครับ

                        วันนี้ก่อนขึ้นเครื่องบิน คุณทรงศักดิ์  ผู้จัดการฝ่ายการตลาด SIW ได้โทรศัพท์มาแจ้งให้ทราบว่า คุณดุสิต   นนทนาคร  อดีตรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ ปัจจุบันเป็นประธานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  ได้เสียชีวิตลงแล้วเมื่อวาน ศพอยู่วัดธาตุทอง ด้วยโรคมะเร็งในเม้ดเลือดขาว  รักษามาสามปีแล้ว  คุณดุสิต  เมื่อสามอาทิตย์ยังให้สัมภาษย์นักข่าวอยู่เลย ว่าไม่เห็นด้วยที่จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น ๓๐๐ บาทต่อวัน จะทำให้บริษัทต่างชาติย้ายการลงทุน และคนจะตกงานเพิ่มขึ้น  ผมคงไปร่วมงารรำลึกได้ในวันที่ ๑๒ กันยายน ที่ทาง บ.ปูนวิเมนต์ไทย เป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมศพ ครับ

                         ความตายนั้นมามาได้รวดเร็วเสมอถ้าเราอยู่อย่างประมาท ครับ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง  ผมเป็นห่วงก็แต่ ดร.สุริยา  นอนดึก  ไม่กินข้าวเช้า  ไม่ถ่ายอุจจาระตอนเช้า  เครียด  พ่อ-แม่-อา ตายเพราะมะแร็ง โอกาสเป็นมะเร็งสูงมากๆ ทำไมในเมื่อเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  แล้ว จึงไม่ปฏิบัติตามคำสอนท่าน  ยังอยู่ด้วยความประมาท

                         สวัสดี 
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 120 121 [122] 123 124 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><