สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
วันนี้พี่สิงห์ไปสิงห์บุรีมาครับ เรื่องแรกที่กระทำคือไปที่โรงพยาบาลสิงห์บุรีไปให้คุณหมอวิทิต ตรวจ ผลการตรวจคือ คอเป็นปกติไม่อักเสบ X-ray ปอดปกติ ความดันปกติ พี่สิงห์ก็รู้สึกว่าอาการไอลดลง คุณหมอเลยให้ยาแก้แพ้อากาศและยาแก้ไอมารับประทานครับ
พี่สิงห์วิเคราะห์ดูแล้ว คงจะเป็นห้องประชุมที่พี่สิงห์นั่งทำงาน นั้นอากาศไม่ดีเพราะนั่งทั้งวันทีไรหายใจไม่ออก จาม เป็นหวัด ไอ ทุกครั้ง คงจะไม่ไปนั่งทำงานที่ห้องนั้นอีกแล้วครับ เพราะไม่อยากไอ และไม่สะบายกาย
สำหรับแม่พี่สิงห์นั้นอาการไม่สู้ดีนักเพราะอาหารเป็นพิษบ่อยมาก เมื่อสองวันที่ผ่านมาแทบไม่รอดเหมือนกันเป็นหนักแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เข้าใจว่าระบบย่อยอาหารคงจะทำงานเหลือน้อยมากแล้ว หรือไม่ทำงานเป็นบางครั้ง อาหารจึงเป็นพิษบ่อย ทั้งที่เป็นอาหารเหลวจากโรงพยาบาล ตอนนี้แม้แต่น้ำแม่ก็ไม่สามารถกลืนได้ เพราะปราสาทมันไม่ทำงาน สำหรับผมนั้นปลงหมดแล้ว ได้แต่บอกน้องสาวว่า นี่ละชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกคนหนีไม่พ้นทั้งนั้น ดังนั้นอย่าประมาท เจริญสติเอาไว้ให้มาก เราทำดีที่สุดกับแม่แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดอย่าไปฝืนธรรมชาติ พี่สิงห์คุยกับแม่ว่าเป็นอย่างไร แม่ตอบว่าไม่เป็นไร ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น พี่สิงห์ถามว่านี่ใครมาเยี่ยม แม่จำชื่อได้คือ มานพ เป็นลูกชายคนเล็ก ผมถามว่าแม่จะอยู่อีกกี่ปี แม่บอกว่าอยู่อีกสองปี แต่สังขารมันไม่ไหว แต่ใจและสติของแม่ดีมากๆ เวลาไม่เป็นโรคความจำเสื่อมเพราะเลือดไปเลี้ยวสมองไม่พอ ผมก็บอกกับน้องสาวและคนดูแลเอาไว้ว่า ถ้าแม่ไม่ไหวจริงๆ ให้บอก จะได้พาแม่ไปบ้านที่อำเภออินทร์บุรี เพราะแม่อยากกลับบ้าน หรืออยากไปตายที่นั่น สถานที่คุ้นเคยเพื่อจะไปหาพ่อ
ช่วงที่ผมนั่งรอ X-ray นั้น ผมได้มีโอกาสไปคุยกับพยาบาลท่านหนึ่ง เป็นโรคจิต คิดแต่จะฆ่าตัวตาย ไม่มีแผนกไหนรับทำงาน น้องสาวผมจึงให้มาทำงานที่นี่ ทำเท่าที่จะทำได้ ขณะนี้ต้องรักษาทางจิตแพทย์ ต้องกินยาควบคุมปราสาท นอนไม่หลับ หาทางออกชีวิตไม่ได้ เหมือนคนแบกโลกไว้คนเดียว ผมไม่ได้สอบถามมากเพราะเขาไม่ได้บอก ตอนนี้น้องสาวผมพยายามให้ทำสมาธิตามที่ รศ.สมพร ได้มาบรรยายให้ฟังที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี แต่เขาไม่ทำเพราะไม่เชื่อ ผมเลยไปนั่งคุยและสอนปฏิบัติธรรม
พยาบาลบอกพี่สิงห์ว่าใจเขาแตกสลายแล้ว อยากตายเท่านั้น ผมเลยบอกว่าไม่จริง จิตคนนั้นไม่สามารถแตกสลายได้ เป็นเพราะเราคิดปรุงแต่งไปเอง และก็ตอบเอง มันจึงเป็นเช่นนั้น ผมจึงบอกว่าคุณเป็นพยาบาลเห็นเด็กแรกเกิดก่อนที่จะร้องไหม นั่นละจิตเป็นประภัสสร ซึ่งเขาเข้าใจ เพราะรู้ว่างเป็นจิตที่ว่างเปล่าทั้งสิ้น แต่ภายหลังจากเด็กร้องก็จะเก็บประสพการความทุกข์ สุขเก็บไว้ในความจำและสะสมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ผมก็บอกว่าสาเหตุที่นอนไม่หลับนั้น เป็นเพราะคุณคิดไม่หยุด ปรุงแต่งไปเรื่อยมีแต่ความวิตกกังวนมันจึงไม่หลับ ในขระเดียวกันเวลาตื่นคุณก็คิดๆๆๆ ไม่หยุด ไม่สามารถทำจิตให้อยู่กับปัจจุบันเพราะคุณไม่เชื่อ ไม่มีศรัทธา และไม่มีคตวามเพียรที่จะเอาชนะจิตตนเอง ผมอธิบายต่อไปว่า ปกติคนจะคิดเสียดายไปกับอดีตที่ผ่านมาแล้ว และวิตกกังวนไปในอนาคต แต่จะคิดอยู่กับปัจจุบัน นั้นน้อยมาก หรือไม่มีเลย และตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยดูใจตนเองเลย เป็นทาษหรือหลงติดอยู่ในความคิดตัวเอง และคิดเข้าข้างตนเองเป็นหลัก แต่ถ้าใครมีสติที่เกิดจากการสร้างความรู้สึกตัวก็จะเห็นความคิดตัวเองได้ แต่มีคนอีกประเภทหนึ่งที่ปล่อยจิตคิดเกินเหตุ หลุดโลกไปเลยจากคนปกติ คือพวกเป็นบ้า เป็นโรคปราสาท นั่นคือป่วยทางจิตจริงๆ ไม่สามารถมีสติได้ แต่เท่าที่เห็นคุณกายไม่ได้ป่วย คุณยังไม่คิดหลุดโลก ยังถ้าว่าเป็นโรคป่วยทางจิตที่สามารถแก้ไขได้ ด้วยการเอาชนะจิตตัวเองให้ได้ ตอนนี้สาเหตุที่คุณคิดว่าคุณเป็น คือคุณคิดเอง ปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ ดังนั้นคุณต้องหยุดคิด การที่จะหยุดคิดได้ คุณต้องสร้่งความรู้สึกตัวจากการเคลื่อนไหวอวัยวะของคุรเช่น การเดินก็ให้รู้สึกว่าเดิน การหยิบของก็ให้รู้ว่าหยิบของ การนั่งก็ให้รู้ตัวว่านั่ง การนอนก็ให้รู้สึกตัว พูดง่ายๆ คุณจะต้องรู้สึกตัวกับอิริยาบทของคุณนั่นเอง คุณลองขยับมือตามที่ รศ.สมพร สอนมาจะเห็นว่าเวลาคุณขยับมาเข้า-ออก คุณรู้สึกตัว คนไม่คิดใช่ไหม เขาตอบว่าใช่ไม่คิด ผมอธิบายต่อไปว่า คนเรานั้นจิตมันคิดสองอย่างพร้อมกันไม่ได้ ถ้าคุณมีความรู้สึกตัว จิตมันจะไม่คิด ดังนั้นคุณต้องสร้างความรู้สึกตัวให่มากๆเข้าไว้้ฝึกจิตตนเองไม่ให้คิด เมื่อไม่คิดเสียอย่างโรคที่คุณว่าใจมันแตกไปแล้วนั้น มันไม่ได้แตก แต่คนควบคุมความคิดคุณไม่ได้เท่านั้น โดยสรุปคุณต้องสร้างความรู้สึกตัวเพื่อให้จิตมันหยุดคิด ปฏิบัติธรรมตามแนวทางหลวงพ่อเทียนนั้นเหมาะสำหรับคุณมากที่สุด ตามที่ผมเคยสอนให้และคุณก็ทำได้ แต่คุณไม่ทำเองเท่านั้น ตอนนี้คุณต้องใช้ปัญญาเข้าช่วย เมื่อรู้แล้วว่าจะสามารถหยุดความคิดได้ ด้วยการมีสติสร้างความรู้สึกตัว ซึ่งคุณก็รู้ว่าเวลาทำนั้นมันไม่คิดจริง ดังนั้นถ้าคุณอยากหายจากโรคนี้ คุณต้องหยุดคิดด้วยการสร้างความรู้สึกตัว รู้ซื่อๆ นี่ละทำให้เป็นนิสัยแล้วโรคมันจะหายไปเอง ไม่ต้องไปหาหมอจิตแพทย์ หรืออ่านหนังสือใดๆให้เสียต้องทำด้วยตัวคุณเอง ด้วย ศรัทธา มีความเพียร และปัญญา ของคุณเท่านั้น การกินยาไม่สามารถหายได้เพราะใจคุณคิดตลอดเวลาไม่หยุด
นอกจากนี้ผมก็ได้เล่าประสพการณ์ต่างๆที่ผมพบ จิตตัวเองให้ฟังเพื่อให้เขามีศรัทธา ที่จะทำเอาชนะจิตตัวเองให้ได้ ผมเสียดายที่มีเวลาน้อยไม่ได้เล่าเรื่อง นางปาฎาจารีที่คิดว่าตัวเองจิตสลาย เพราะลูก ผัว พ่อ แม่ พี่ ตายหมด จนตัวเองเสียสติ เป็นบ้าแก้ผ้าเดินร้องไปตามถนน จนมาพบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า จิตหลุดพ้นระดับโสดาบันขอบวชเป็นภิกษุณี และต่อมาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ซึ่งนางปาฎาจารีนั้นคงทุกข์มากกว่าพยาบาลท่านั้นมากนัก ตัวเองคิดว่าจิตแตกสลาย จริงไม่ใช้ ครับ จิตไม่มีแตกสลาย เพียงแต่เราไม่มีสติ จึงควบคุมมันไม่ได้
ราตรีสวัดิ์ทุกท่านครับ คืนนี้
รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส
ตอน
ประวัติภิกษุณี
พระปฏาจาราเถรี
เอตทัคคะในฝ่ายผู้ทรงพระวินัย
พระปฏาจาราเถรี เป็นธิดาของมหาเศรษฐีในเมืองสัตถี เมื่ออายุย่างได้ ๑๖ ปี เป็นหญิงมี
ความงดงามมาก บิดามารดาทะนุถนอมห่วงใยให้อยู่บนปราสาท ชั้น ๗ เพื่อป้องกันการคบหากับ
ชายหนุ่ม
• ดอกฟ้าได้ยาจก
แม้กระนั้น เพราะนางเป็นหญิงโลเลในบุรุษ จึงได้คบหาเป็นภรรยาคนรับใช้ในบ้านของ
ตน ต่อมาบิดามารดาของนางได้ตกลงยกนางให้แก่ชายคนหนึ่ง ที่มีชาติสกุลและทรัพย์เสมอกัน
เมื่อใกล้กำหนดวันวิวาห์ นางได้พูดกับคนรับใช้ผู้เป็นสามีว่า:-
“ได้ทราบว่า บิดามารดาได้ยกฉันให้กับลูกชายสกุลโน้น ต่อไปท่านก็จะไม่ได้พบกับ
ฉันอีก ถ้าท่านรักฉันจริง ท่านก็จงพาฉันหนีไปจากที่นี่แล้วไปอยู่ร่วมกันที่อื่นเถิด”
เมื่อตกลงนัดหมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วชายคนรับใช้ผู้เปลี่ยนฐานะมาเป็นสามีนั้น ได้
ไปรออยู่ข้างนอกแล้วนางก็หนีบิดามารดาออกจากบ้าน ไปร่วมครองรักครองเรือนกันในบ้าน
ตำบลหนึ่งซึ่งไม่มีคนรู้จัก ช่วยกันทำไร่ ไถนา เข้าป่าเก็บผักหักฟืนหาเลี้ยงกันไปตามอัตภาพ
นางต้องตักน้ำตำข้าวหุ้งต้มด้วยมือของตนเอง ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส เพราะตนไม่เคยทำ
มาก่อน
• คลอดลูกกลางทาง
กาลเวลาผ่านไป นางได้ตั้งครรภ์บุตรคนแรก เมื่อครรภ์แก่ขึ้นนางจึงอ้อนวอนสามีให้พา
นางกลับไปยังบ้านของบิดามารดาเพื่อคลอดบุตร เพราะการคลอดบุตรในที่ไกลจากบิดามารดา
และญาตินั้นเป็นอันตราย แต่สามีของนางก็ไม่กล้าพากลับไปเพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษอย่างรุน
แรง จึงพยายามพูดจาหน่วงเหนี่ยวเธอไว้ จนนางเห็นว่าสามีไม่พาไปแน่ วันหนึ่ง เมื่อสามีออกไป
ทำงานนอกบ้าน นางจึงสั่งเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันให้บอกกับสามีด้วยว่านางไปบ้านของบิดา
มารดาแล้วนางก็ออกเดินทางไปตามลำพัง
เมื่อสามีกลับมาทราบความจากเพื่อนบ้านแล้ว ด้วยความห่วงใยภรรยาจึงรีบออกติดตาม
ไปทันพบนางในระหว่างทาง แม้จะอ้อนวอนอย่างไรนางก็ไม่ยอมกลับ ทันใดนั้น ลมกัมมัชวาต
คือ อาการปวดท้องใกล้คลอด ก็เกิดขึ้นแก่นาง จึงพากันเข้าไปใต้ร่มริมทาง นางนอนกลิ้งเกลือก
ทุรนทุรายเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างหนัก ในที่สุดก็คลอดบุตรออกมาด้วยความยากลำบาก
เมื่อคลอดบุตรโดยปลอดภัยแล้ว ก็ปรึกษากันว่า “กิจที่ต้องการไปคลอดที่เรือนของบิดา
มารดานั้นก็สำเร็จแล้ว จะเดินทางต่อไปก็ไม่มีประโยชน์” จึงพากันกลับบ้านเรือนของตน อยู่
รวมกันต่อไป
• สามีถูกงูกัดตาย
ต่อมาไม่นานนักนางก็ตั้งครรภ์อีก เมื่อครรภ์แก่ขึ้นตามลำดับนางจึงอ้อนวอนสามีเหมือน
ครั้งก่อน แต่สามีก็ยังคงไม่ยินยอมเช่นเดิม นางจึงอุ้มลูกคนแรกหนีออกจากบ้านไป แม้สามีจะ
ตามมาทันชักชวนให้กลับก็ไม่ยอมกลับ จึงเดินทางร่วมกันไป เมื่อเดินทางมาได้อีกไม่ไกลนัก
เกิดลมพายุพัดอย่างแรงและฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก พร้อมกันนั้นนางก็ปวดท้องใกล้จะคลอดขึ้น
มาอีก จึงพากันแวะลงข้างทาง ฝ่ายสามีได้ไปหาตัดกิ่งไม้เพื่อมาทำเป็นที่กำบังลมและฝน แต่
เคราะห์ร้ายถูกงูพิษกัดตายในป่านั้น นางทั้งปวดท้องทั้งหนาวเย็น ลมฝนก็ยังคงตกลงมาอย่าง
หนัก สามีก็หายไปไม่กลับมา ในที่สุดนางก็คลอดบุตรคนที่สองอย่างนาสังเวช
ลูกของนางทั้งสองคนทนกำลังลมและฝนไม่ไหว ต่างก็ร้องไห้กันเสียงดังลั่นแข่งกับลม
ฝน นางต้องเอาลูกทั้งสองมาอยู่ใต้ท้อง โดยนางใช้มือและเข่ายืนบนพื้นดินในท่าคลาน ได้รับ
ทุขเวทนาอย่างมหันต์สุดจะรำพันได้ เมื่อรุ่งอรุณแล้วสามีก็ยังไม่กลับมาจึงอุ้มลูกคนเล็กซึ่งเนื้อ
หนังยังแดง ๆ อยู่จูงลูกคนโตออกตามหาสามี เห็นสามีนอนตายอยู่ข้างจอมปลวกจึงร้องไห้รำพัน
ว่าสามีตายก็เพราะนางเป็นเหตุ เมื่อสามีตายแล้ว ครั้นจะกลับไปที่บ้านทุ่งนาก็ไม่มีประโยชน์ จึง
ตัดสินใจไปหาบิดามารดาของตนที่เมืองสาวัตถี โดยอุ้มลูกคนเล็ก และจูงลูกคนโตเดินไปด้วย
ความทุลักทุเลเพราะความเหนื่อยอ่อนอย่างหนักดูน่าสังเวชยิ่งนัก
• หัวใจสลายเพราสูญเสียลูกน้อยทั้งสอง
นางเดินทางมาถึงริมฝั่งแม่น้ำจิรวดี มีน้ำเกือบเต็มฝั่งเนื่องจากฝนตกหนักเมื่อคืนที่ผ่าน
มา นางไม่สามารถจะนำลูกน้อยทั้งสองข้ามแม่น้ำไปพร้อมกันได้เพราะนางเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น
แต่อาศัยที่น้ำไม่ลึกนักพอที่เดินลุยข้ามไปได้ จึงสั่งให้ลูกคนโตรออยู่ก่อนแล้ว อุ้มลูกคนเล็กข้าม
แม่น้ำไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อถึงฝั่งแล้วได้นำใบไม้มาปูรองพื้นให้ลูกคนเล็กนอนที่ชายหาดแล้วกลับ
ไปรับลูกคนโตด้วยความห่วงใยลูกคนเล็ก นางจึงเดินพลางหันกลับมาดูลูกคนเล็กพลาง ขณะที่มี
ถึงกลางแม่น้ำนั้น มีนกเหยี่ยวตัวหนึ่งบินวนไปมาอยู่บนอากาศ มันเห็นเด็กน้อยนอนอยู่มี
ลักษณะเหมือนก้อนเนื้อ จึงบินโฉบลงมาแล้เฉี่ยวเอาเด็กน้อยไป นางตกใจสุดขีดไม่รู้จะทำอย่าง
ไรได้ จึงได้แต่โบกมือร้องไล่ตามเหยี่ยวไป แต่ก็ไม่เป็นผล เหยี่ยวพาลูกน้อยของนางไปเป็น
อาหาร ส่วนลูกคนโตยืนรอแม่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เห็นแม่โบกมือทั้งสองตะโกนร้องอยู่กลางแม่น้ำ ก็
เข้าใจว่าแม่เรียกให้ตามลงไป จึงวิ่งลงไปในน้ำด้วยความไร้เดียงสา ถูกกระแสน้ำพัดพาจมหาย
ไป
• ทราบข่าวการตายของบิดามารดาถึงกับเสียสติ
เมื่อสามีและลูกน้อยทั้งสองตายจากนางไปหมดแล้วเหลือแต่นางคนเดียวนางจึงเดินทาง
มุ่งหน้าสู่บ้านเรือนของบิดามารดา ทั้งหิวทั้งเหนื่อยล้า ได้รับความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ รู้
สึกเศร้าโศกเสียใจสุดประมาณ พลางเดินบ่นรำพึงรำพันไปว่า:-
“บุตรคนหนึ่งของเราถูกเหยี่ยวเฉี่ยวเอาไป บุตรอีกคนหนึ่งถูกน้ำพัดไปสามีก็ตายในป่า
เปลี่ยว”
นางเดินไปก็บ่นไปแต่ก็ยังพอมีสติอยู่บ้างได้พบชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา สอบถาม
ทราบว่ามาจากเมืองสาวัตถี จึงถามถึงบิดามารดาของตนที่อยู่ในเมืองนั้น ชายคนนั้นตอบว่า:-
“น้องหญิงเมื่อคืนนี้เกิดลมพายุและฝนตกอย่างหนักเศรษฐีสองสามีภรรยาและลูกชาย
อีกคนหนึ่ง ถูกปราสาทของตนพังล้มทับตายพร้อมกันทั้งครอบครัวเธอจงมองดูควันไฟที่เห็นอยู่
โน่น ประชาชนร่วมกันทำการเผาทั้ง ๓ พ่อ แม่ และลูกบนเชิงตะกอนเดียวกัน”
นางปฏาจารา พอชายคนนั้นกล่าวจบลงแล้วก็ขาดสิตสัมปชัญญะไม่รู้สึกตัวว่าผ้านุ่งผ้า
ห่มที่นางสวมใส่อยู่หลุดลุ่ยลงไป เดินเปลือยกายเป็นคนวิกลจริตร้องไห้บ่นเพื่อรำพันเซซวนคร่ำ
ครวญว่า:-
“บุตรสองคนของเราตายแล้ว สามีของเราก็ตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายของ
เราก็ถูกเผาบนเชิงตะกินเดียวกัน”
นางเดินไปบ่นไปอย่างนี้ คนทั่วไปเห็นแล้วคิดว่า “นางเป็นบ้า” พากันขว้างปาด้วย
ก้อนดินบ้าง โรยฝุ่นลงบนศีรษะนางบ้าง และนางยังคงเดินต่อเรื่อยไปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง
• หายบ้าแล้วได้บวช
ขณะนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท ทรงทราบด้วยพระฌาณ
ว่านางปฏาจารามีอุปนิสัยแห่งพระอรหัต จึงบันดาลให้นางเดินทางมายังวัดพระเชตวัน นางได้
เดินมายืนเสาศาลาโรงธรรมอยู่ท้ายสุดพุทธบริษัทหมู่คนทั้งหลายพากันขับไล่นางให้ออกไป แต่
พระบรมศาสดาตรัสห้ามไว้แล้วตรับกับนางว่า “จงกลับได้สติเถิด น้องหญิง”
ด้วยพุทธานุภาพ นางกลับได้สติในขณะนั้นเอง มองดูตัวเองเปลือยกายอยู่ รู้สึกอายจึงนั่ง
ลง อุบาสกคนหนึ่งโยนฝ้าให้นางนุ่งห่ม นางเข้าไปกราบถวายบังคมพระศาสดาที่พระบาท แล้ว
กราบทูลเคราะห์กรรมของนางให้ทรงทราบโดยลำดับ พระพุทธองค์ได้ตรัสพระดำรัสว่า:-
“แม่น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ก็ยังน้อยกว่าน้ำตาของคนที่ถูกความทุกข์ความเศร้าโศก
ครอบงำ ปฏาจารา เพราะเหตุไร เธอจึงยังประมาทอยู่”
ปฏาจารา ฟังพระดำรัสนี้แล้วก็คลายความเศร้าโศกลง พระบรมศาสดา ทรงทราบว่านาง
หายจากความเศร้าโศกลงแล้ว จึงตรัสต่อไปว่า:-
“ปฎาจารา ขึ้นชื่อว่าบุตรสุดที่รัก ไม่อาจเป็นที่พึ่ง เป็นที่ต้านทานหรือเป็นที่ป้องกันแก่
ผู้ไปสู่ปรโลกได้ บุตรเหล่านั้น ถึงจะมีอยู่ก็เหมือนไม่มี ส่วนผู้รู้ทั้งหลายรักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้ว
ควรชำระทางไปสู่พระนิพพานของตนเท่านั้น”
เมื่อจบพระธรรมเทศนา นางปฏาจาราดำรงอยู่ในโสดาปัตผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นพระ
โสดาบันแล้ว กราบทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ทรงอนุญาตแล้วจึงบวชเป็นภิกษุณี ไม่นานนัก
ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล
เมื่อนางปฏาจาราได้อุปสมบทแล้ว ปรากฏว่าเป็นพระเถรีผู้มีความรอบรู้ในเรื่องพระวินัย
เป็นอย่างดี อาศัยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องเธอไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่า
ภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้ทรงพระวินัย