26 พฤศจิกายน 2567, 12:56:53
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 103 104 [105] 106 107 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3581144 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2600 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554, 07:34:30 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก
                       พี่สิงห์นั่งอยู่ที่สนามบินดอนเมืองรอขึ้นเครื่องไปนครศรีธรรมราช

                       พระพุทธเจ้าของเรานั้น ท่านสอนเรื่องเดียวเท่านั้นคือ ท่านสอนเรื่องทุกข์เพื่อให้กำหนดรู้ และวิธีปฏิบัติให้พ้นทุกข์ แต่เนื่องจากท่านพบปะผู้คนจำนวนมากและแต่ละคนมีภูมิความรู้ต่างกันไป ดังนั้นคำสอนของท่านจึงมีถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ทั้งที่พระพุทธองค์สอนเรื่องเดียวคือ "ทุกข์" แต่มีแนวทางต่างกันตามจริตคน  เพราะท่านมีญาณหยั่งรู้นิสัยคนได้  ส่วนพี่สิงห์ไม่มีเลย

                       การล่วงละเมิดสิทธิบุคคลนั้นไม่ดีเลย  แต่ส่วนมากผู้สื่อข่าวเขาบอกว่าเขามีสิทธิ เพราะเขาคิดเข้าข้างตัวเอง เอาความคิดตัวเองเป็นหลัก  จึงมีภาพปรากฏตามสื่อต่างๆมากมาย ทั้งๆที่เจ้าตัวไม่อยากให้มีเลย มันเป็นความจริงแบบนี้ในสังคมปัจจุบัน  ไม่ดี

                       ทางที่ดีเราพยายามอย่าไปยุ่งสิ่งนอกตัวมากนัก เพื่อไม่ให้ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น  คอยดูกาย ดูใจของเรา ค้นหาความจริงของชีวิต  จากตัวเรานี่ละ  มองให้ออก  มองให้ทะลุ  ใช้ปัญญา  สักวันมันจะพบเองได้  ความต้องการของคน  ความทุกข์ของคน  ทุกชาติ  ศาสนา  เหมือนกันหมดทั้งนั้น  อยู่ที่กาย อยู่ที่ใจ  ของเรานี่ละ  ดังนั้นจึงต้องศึกษาจากตัวเรา  ไม่ต้องไปศึกษาที่ไหนทั้งสิ้น  แม้แต่การอ่านหนังสือ ครับ

                       มันไม่ยากเกินไปหรอกครับ พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสว่า  ตราบใดที่มนุษย์ยังปฏิบัติดี  ปฏิบัติชอบอยู่ ตามมรรค ๘ พระอรหันต์จะบังเกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่ขาดช่วงครับ

                       สวัสดียามเช้าครับ  อย่าลืมทำจิตให้ผ่องใส ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2601 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554, 14:50:25 »

รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

เหตุไรต้องฝึกกรรมฐาน

โดย

พระไพศาล   วิสาโล


                   กรรมฐานก็คือการสร้างฐานหรือต่อเติมฐานให้แก่จิตใจของเรา มันจะได้มั่นคงและตรง ถ้าไม่ทำตรงนี้ใจเราก็ง่อนแง่น เพราะว่าไม่มีฐาน ก็จะเอียงไปเอียงมา คนเราการที่ทำให้จิตปกติไม่ใช่เป็นเรื่องที่อยู่ดี ๆจะทำได้ ถึงอยากจะทำก็ทำไม่ได้ เพราะฐานเราไม่มั่นคง มันคิดแต่จะเอียงไป ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เข้ามากระทบสัพเพสนะ หรือบางทีมันกลายเป็นทาสอัสสะไปเลย สุดแท้จะเป็นอัสสะแบบไหน
                   ทีนี้คนเราเป็นทาส                ของสิ่งที่เป็นทุกข์พอเจอขึ้นมาก็คร่ำครวญ โอดโอย หรือไม่ก็โกรธแค้น พยาบาท ในที่สุดก็หลงใหล คลอเคลียไปกับมัน จนกระทั่งประมาท ชะล่าใจ ที่เราพยายามสร้างฐานให้จิตใจขึ้นมาเพื่อให้เข้าใจว่าต้องทรงตัวเป็นปกติให้ได้มากที่สุด นานที่สุด ที่จริงความปกติของจิตนั่นแหละคือธรรมชาติ ความปกติ ความผ่องใส แต่ว่ามันถูกทำให้เสียไป เพราะว่าไปเกิดอุปาทานเข้า คือมันเกิดนิสัยใหม่ขึ้นมา ซึ่งการที่ไปยึดไปแบกหามเอาไว้ เก็บสารพัดอย่าง เอาความคิด เอาความรู้สึกต่างๆ เก็บเอาไว้ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวางไปแบกเอาไว้ คล้าย ๆ คนที่ชอบสะสม ได้อะไรมาก็สะสม ได้มาแล้วก็เก็บเอาไว้ ถุงพลาสติก หนังยาง ขยะอะไรต่าง ๆ เก็บเอาไว้ ไม่ได้เก็บเอาไว้เพื่อใช้ แต่เก็บไว้เฉย เพราะว่าเสียดายเก็บเอาไว้หมด จนกระทั่งมันรกเต็มบ้าน คนที่เป็นธรรมดาในแง่ของจิตใจชอบเก็บไปหมด เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็เก็บเอาไว้ คำพูดคำจาของคนที่ไม่น่าพอใจก็เก็บเอาไว้ ปรุงต่อไป ปรุงต่อไปว่าเขาไม่ชอบเรา เขาเกลียดเรา แล้วก็กลายเป็นการซ้ำเติมตัวเอง
                     การเก็บบางอย่างก็เก็บจนกระทั่งลืมไปเลยว่ามี เก็บซุกไว้ในซอก บางทีก็เอาไว้หลังตู้ แล้วก็ลืมไปเลย คล้าย ๆ กับคนที่ฝังใจกับเรื่องอะไรบางอย่างก็เก็บไว้ในใจ จนกระทั่งมันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก ความโกรธ ความเกลียดพ่อแม่ ความรู้สึกผิดในการกระทำบางอย่าง รู้สึกผิดที่ว่าเวลาพ่อแม่ตายทำไมไม่ยอมร้องไห้ มันก็รู้สึกผิดว่าทำไม เป็นอะไร รู้สึกผิดที่ว่าไม่เคยคลุกคลีกับพ่อแม่ เวลาที่ถูกพ่อแม่ด่าว่าก็เจ็บใจมันไม่หายฝังไว้ในใจ เป็นจิตใต้สำนึก แสดงว่าคอยกระทุ้งคอยชักพาเราไปในทางที่ไม่รู้ตัว บางคนมีอาการไม่ใช่ที่ร่างกาย อย่างเช่น ออกจากบ้านไปเที่ยว ที่จริงก็ไม่เชิงไปเที่ยวหรอกก็มีธุระ เพื่อนชวนไปธุระเสร็จแล้วก็เลยเดินต่อไปก็กลับบ้านดึกก็เลยถูกแม่ว่า ก็เคืองว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้ไปนั่งกินที่ ๆ ไม่เหมาะสมเพียงแต่ไปเที่ยวสนุก ๆ เฉย แล้วก็เที่ยวหลังจากทำงานแล้ว แม่ก็ต่อว่าเสียหายคิดว่าตัวเองไปติดผู้หญิง ก็โดนแม่ตบหน้าเอา ก็คิดอยากจะตีเป็นการตอบโต้ แต่ก็หักห้ามเอา ไอ้ความที่คิดอยากจะตีตอนที่มือขยับออกไปแล้วนั่นเอง ทำให้เกิดความรู้สึกผิด คิดอยากจะทำร้ายแม่เชียวหรือ ก็ฝังไว้อยู่อย่างนั้นทั้งที่ยังไม่ได้ตีมันก็ปวดมันก็เจ็บอยู่เป็นครั้งคราว ต้องไปให้หมอ หมอรักษาเท่าไรก็ไม่หาย ต้องไปให้หมอโรคจิต แล้วก็ไปทำวิธีบำบัดให้ความจำเก่า ๆ ความรู้สึกผิดที่จะตีแม่นั้นหลุดออกมา เรื่องนี้หลายปีแล้ว ๑๐ ปีแล้วความจำเก่า ๆ ผุดขึ้นมาก็คลุ้มคลั่ง โวยวาย เศร้าโศก เสียใจร้องไห้สารพัด แต่พอหายไปแล้วปรากฏว่าไอ้มือข้างที่เป็นก็หายไปด้วย ไม่เป็นอีกเลยนี่มันก็เหมือนเอาขยะที่มันหมักหมมอยู่ในใจเอาออกมาก็หายไป ก็เริ่มเข้าสู่ความจำปกติ แต่จริง ๆแล้วคนทั่วไปก็เป็นอย่างนี้ คือว่า มันเจ็บ มันจำ มันฝัง มันปรุง มันแต่งสารพัด มันไม่ว่างเลย
                  การทำกรรมฐานก็คือการทำให้จิตของเราปลอดโปร่งมันเลิกนิสัยที่จะหยิบโน่น ฉวยนี่มาฝัง มาเก็บไว้ในใจที่เป็นเหมือนบ้าน ทำยังไงให้บ้านสะอาดซะที ไม่ต้องมีเรื่อง ไม่ต้องมีหยากไย่หรือฝุ่นที่เอามาเก็บสะสมหมักหมมเอาไว้ ก็ใช้สตินี่แหละ สตินี่เป็นตัวเก็บกวาดชั้นยอด ใหม่ ๆ ก็ไม่เก็บกวาดอะไรหรอก ใหม่ ๆ ก็เป็นเพียงแค่คอยกันไม่ให้เอาของใหม่ ๆ มาเก็บไว้ในบ้าน ของเก่าก็ยังมีอยู่แต่ว่าของใหม่มันเข้ามาในบ้านยากขึ้น ก็คือการคุมสติและก็วาง แต่ก่อนปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวยาวเหยียด เก็บเอามาไว้ เรื่องอะไรที่ผ่านมาก็ไม่ยอมให้ผ่านไป เก็บเอาไว้ คิดแล้วคิดเล่า ปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราว
                  ถ้าพอเรามีสติเราก็วางได้ มีสติเห็นก็วาง รู้แล้วก็วาง รู้แล้ววางบ่อย ๆ ของที่เคยเก็บเอาไว้ก็ค่อย
ลดลง ๆ สติก็จะเข้าไปจัดการกับของที่อยู่ข้างใน เคลียสิ่งที่หมักหมมอยู่ในใจค่อย ๆ หมดไป เคลียกำจัด
ชำระออกไป บางอย่างมันคิดขึ้นมาก็เป็นแค่ความจำ มันปรุงขึ้นมาเอง ไม่มีความจริงมารองรับ ก็ปรุงขึ้นมา
ฝังในจิตใจ ฝังว่าพ่อแม่ไม่รัก ฝังว่าเพื่อนทรยศ ความจริงก็ไม่จริงแต่คิดปรุงแต่งขึ้นมาเอง นึกภาพไปเอง
จิตที่สติกำกับค่อยล้วงลึกเข้าไปในเรื่องพวกนี้ก็ค่อยจัดการสะสางออกไป ค่อย ๆ หมดไปทีละอย่างสองอย่างมันเริ่มต้นจากการมีสติ รู้ที่จะเก็บเอาของใหม่เข้ามา มันจะเก็บแต่สิ่งที่เป็นความทรงจำล้วน ๆ ที่เป็นข้อมูลที่ปรากฏพบเห็นด้วยตา หรือได้ยินได้รู้ หรือว่าไม่ถึงกับเก็บเอาไว้ แต่ไม่ใช่ว่าเอาสิ่งที่ปรุงจากจินตนาการเราเองไปเก็บไว้การที่เราจะฝึกสติให้รับรู้ความคิดที่ปรุงแต่ง ให้รู้ทันความคิดหรือรู้ทันความคิดที่ไม่ได้เจตนาคิด เราก็เริ่มต้นจากการให้จิตทำการบ้าน ให้จิตอยู่กับกาย ฝึกฝนให้กายเป็นที่ตั้งของจิต อันนี่เรียกกรรมฐาน ให้จิตรู้สึกตัวเวลาเคลื่อนไหวมือไปมา หรือเดิน อย่างอื่นไม่ต้องสนใจ ทำตรงนี้แหละ อันนี้ก็ธรรมดาของคนเราทำอย่างนี้ได้มันไม่นานหรอกเดี๋ยวมันก็ไป จิตก็ไปโน่นไปนี่ เรารู้ตัวเมื่อไรก็ดึงจิตกลับมา ความรู้ตัวเรียกว่าสติความระลึกได้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่คือการเดินจงกรมสร้างจังหวะ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่คือการเอาจิตมาอยู่ที่กาย ไม่ใช่เครียดเตลิดเปิดเปิง สติคือตัวรู้ รู้ตรงนี้มันก็กลับมาเอง กลับมาที่กาย กลับมาที่อิริยาบท ใหม่ ๆ กว่าจะกลับมาเองก็ไปไกล กลับบ่อยเข้า ๆ การฝึกก็จะสั้นลง ๆ การฝึกคือการฝึกให้สติรู้ตัว ถ้ามีสติรู้ตัวรู้ความคิดอยู่บ่อย ๆ ก็คล่องในการที่จะรู้ไวขึ้น ๆ รู้ตัวขึ้น ก็จะมาอยู่กับกายกับอิริยาบทได้นานขึ้น อยู่นานขึ้นก็กลายเป็นสมาธิคือความคล่องของจิต สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมไปคือการรู้ตัว รู้ว่าทำอะไร พอไปทำงานทำการก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ไปทำงานก็รู้ว่าจุดมุ่งหมายคืออะไร มีใครมายั่วมายุ ก็ไม่โกรธง่ายอย่างเป็นนักมวย นักมวยที่คุมสติได้ไม่รู้จักโทสะง่าย ๆ คือคู่ต่อสู้จะยั่วจะยุยังไง ก็ไม่สนใจ คิดแต่ว่าจะทำคะแนนอย่างเดียว แต่ก็ไม่คิดที่จะไประบายอารมณ์ใส่ นักมวยที่คุมสติไม่ได้ ไล่ตะบั้นคู่ต่อสู้จนกระทั่งพลาดพลั้งเสียทีเพราะขาดสัมปชัญญะ คือรู้จุดมุ่งหมายแต่ลืมแผนการ มันไม่สามารถทำตามแผนเดิมไว้ ตอนนี้เราอย่าเพิ่งไปสนใจว่าอันไหนเป็นสติ อันไหนเป็นสัมปชัญญะ เอาเพียงแต่ว่าให้จิตอยู่กับกายบ่อย ๆ ในขั้นแรก พวกฝึกใหม่ไม่ต้องไปสนใจว่ารู้ทันความคิดหรือเปล่า คิดอะไร ทำไมถึงคิด ทำไมคิดดีทำไมคิดชั่ว ยังไม่ต้องสนใจ ถึงไปสนใจก็เสร็จมันโดนหลอก จมอยู่ในความคิด ใหม่ ๆ เราไม่สนใจความคิดหันหลังให้กับมัน สนใจแต่เรื่องกาย อิริยาบถ ความเคลื่อนไหว ความรู้สึกตัว อยู่กับความรู้สึกตัวอะไรจะมาดึงจะมากวนก็ไม่ไป มันจะมากวนก็อ่านหนังสือธรรมะดีกว่า หรือไปสนทนาธรรมดีกว่า ดีกว่าเดินจงกรมอันนี้อย่าไปทำมัน อย่าไปเชื่อมัน มันหลอก มันจะหลอกให้เราเลิกเพราะมันเบื่อ เบื่อการกระทำอย่างเดียวซ้ำ ๆ กัน มันชอบของแปลก ของใหม่ มันไม่ชอบทำอะไรซ้ำ ๆ จำเจ จริง ๆ แล้วจิตมันเป็นลิง ลิงมันเบื่อง่าย ไม่ชอบทำอะไรนาน ๆ มันก็คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย
เราต้องสร้างนิสัยใหม่ ก็คือว่า อยู่กับกายก็อยู่ได้อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ เราก็รักษาใจให้เป็นปกติ ตอนนี้
เราต้องการสร้างนิสัยใหม่เราก็ต้องใช้ความเพียรพยายามให้เป็นนิสัยที่มีสติ รู้ทันความคิด จิตอยู่กับปัจจุบัน
ได้ ปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่เราทำในขณะนั้นนั่นเอง เรียกว่าปัจจุบัน เราจะทำอะไรก็แล้วแต่ให้อยู่กับปัจจุบัน แต่
ว่าใหม่ ๆ ต้องฝึกให้อยู่กับเฉพาะอิริยาบท การเดินจงกรม การสร้างจังหวะ เอาง่าย ๆ อย่างนี้ก่อน อย่าไป
ทำเรื่องยาก ๆ พอเราทำให้อยู่กับอิริยาบทอยู่ไปนาน ๆ ก็ค่อย ๆ เชี่ยวชาญ ค่อย ๆ จัดเจน ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตามที่เราทำเราก็มีสติอยู่กับมันได้ แม้ว่าจะเป็นงานที่ใช้ความคิด ขึ้นอยู่กับความคิด อย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้ หรือเวลาจะคุยกับคนก็คุยอย่างมีสติ กินข้าวก็กินอย่างมีสติ แต่ถ้าเราปฏิบัติไม่ถึงร้อยมันก็เผ่นหมดแล้ว คุยกับคนจิตก็ไปโน่นไปนี่ ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง กินข้าวก็เหมือนกัน ก็ไป ช่วงนี้ตัวดี ช่วงกินข้าว จิตมันไปได้ง่ายมาก
                  ดังนั้นเราต้องเริ่มทำพื้นฐานก่อน การมีสติกับเรื่องง่าย ๆ การเดินจงกรมสร้างจังหวะ มันมีแค่นั้นแหละ เดินไปเดินมา ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ความคิด เพราะฉะนั้นความคิดอะไรที่ออกมาให้รู้เลยว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ แต่ก็ไม่ใช่ไปห้าม ไปกด ไปบีบมันไว้ อย่าไปทำอย่านั้น การฝึกให้มันรู้เฉย ๆ แต่ใหม่ ๆ ก็อย่าเพิ่งไปสนใจว่ารู้ทันความคิดหรือไม่รู้ความคิดอยู่ที่อิริยาบท อยู่ที่การเดินจงกรมสร้างจังหวะอย่างเดียว แล้วเดี๋ยวก็ค่อย ๆ เรียนรู้ไปเองว่าจะทำยังไงต่อไปเริ่มต้นจากสิ่งง่าย ๆ คืออยู่กับอิริยาบทอย่าไปสนใจความคิด อย่าไปตามมัน อย่าไปผลักไส อย่าไปห้ามมันไม่ต้องทำทั้งสิ้น จะบวกจะลบ ความคิดดี ความคิดชั่วไม่สนใจ ใหม่ ๆ ก็ยากนะ เพราะว่าความที่มันมีเสน่ห์ มันมีรสชาด มันมีแรงดึงดูด แล้วเราก็ชอบจะไปตามมันอยู่แล้ว ก็ไม่เป็นไร กลับมาให้ได้ก็แล้วกันไปไกลแค่ไหนก็กลับมา ไม่ต้องเกิดเสียใจ เกิดรำคาญใจที่ว่าทำไม่ได้อย่างที่ต้องการ ไม่ต้องเสียใจที่ทำไม่คุ้มค่า เริ่มต้นกันใหม่ได้ แต่ให้ทำอยู่เรื่อย ๆ อย่าไปคิดว่าทำครึ่งชั่วโมงก็พอ อันนั้นมันอ่อนแอเกินไป อย่าไปช่วยกิเลสมากนัก เวลาเจอกิเลสอย่าไปผูกเกี่ยวกับมัน ต้องรู้จักหัดเข้มแข็ง กล้าท้าทาย กล้าตวาดใส่มันบ้าง ต้องซัด ต้องกล้าเสียดสีตอนนี้ไม่มีอะไรทำ เราบวชมาใหม่ไม่มีอะไรทำก็ต้องทุ่มให้กับเรื่องนี้เต็มที่ลงไป มีเวลาว่างเมื่อไรก็ทำมันไปทั้งวัน ทำให้เกิดประโยชน์ ให้เป็นบุญเป็นกุศลจริง ๆ เราอยากจะทำบุญกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ อุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ ก็ต้องหาว่าเรามีบุญมีกุศลอะไรที่จะให้เขาหรือเปล่า เราอยากจะให้แต่เราไม่มีอะไรที่เป็นของเราเอง ไม่มีบุญกุศลที่เป็นของเราเอง เราก็ให้ได้นิดเดียว แต่ถ้าไม่มีอะไรทำ เราก็ต้องสร้างขึ้นมาให้มันมีเยอะ ๆ ด้วยการฝึกการทำกรรมฐานด้วยความตั้งใจ มันไม่ใช่เป็นบุญแต่เป็นกุศลด้วย เป็นกุศลที่จิตใจของเรา ทำกรรมฐานด้วยความตั้งใจก็จะเกิดเป็นบุญเป็นกุศลมากขึ้น ก็กลายเป็นคนรวยขึ้นมา เป็นคนรวยแล้วก็สามารถที่จะแจกจ่ายให้คนอื่นได้ ถ้าเรามีน้อยเราก็ให้ได้น้อย แต่ถ้าเรามีมากเราก็ให้ได้มากนี่ก็เป็นเรื่องที่ให้เป็นข้อระลึกข้อใส่ใจเอาไว้ เป็นโอกาสที่เราต้องกล้าที่จะหือ กล้าที่จะสู้กับกิเลสกิเลสคือความง่วง ความเบื่อ ความขี้เกียจ มันจะฟักตัวถ้าเราละทิ้งการปฏิบัติ แต่ว่าตอนนี้เป็นโอกาสแล้วที่จะลุกขึ้นสู้กับมัน ที่จะประกาศตัวเป็นไทซะที และก็ยิ่งได้ผ้ากาสาวพัสตร์คือจีวรนี้มาเป็นเครื่องช่วยแล้วนี่มันต้องเกิดกำลังใจปลุกขึ้นให้เกิดความจริงขึ้นมา มันจะได้คุ้มค่ากับการมาบวช คุ้มค่ากับการเป็นพระ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ควรทำให้มันมีความหมายมีค่าขึ้นมาให้ได้__
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2602 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554, 15:40:13 »

พี่สิงห์ถึงนครฯโดยสวัสดิภาพแล้วนะคะ?
เมื่อคืนยังตอบไม่เสร็จเลยคะ มัวจัดการ
เรื่องคอมอยู่ เพราะยังไม่เข้าที่ อะไรๆก็
รวนไปหมดคะ.





หนิงอยากจะถามพี่เรื่อง 5 ส.ที่พี่สิงห์บรรยายบ่อยๆ
รู้สึกประทับใจเรื่องนี้นานแล้ว ถามพี่ว่าเรื่องนี้เทียบ
มาจากธรรมะอะไร ยังไง...หนิงสังเกตว่าในวัดและ
บริเวณวัดจะสะอาด-เรียบ-เตียน ร่มรื่นน่าอยู่ น่านั่ง
หากประชาชนผู้ไปวัดบ่อยๆจะรับสิ่งเหล่านั้นมาเลียน
มาปฏิบัติที่บ้านบ้าง...ทำบ้านให้เป็นวัด!บ้านเมืองเรา
จะสวยขนาดไหนคะนี่?เคยขับรถไปตามชนบทหลายแห่ง
บางหมู่บ้านนะพี่ เนียน สะอาด เป็นแถว เป็นแนว....
เก็บขยะ เผาใบไม้ใบหญ้า ที่มีรอบๆสะอาดสะอ้าน
ความยากจนคนละเรื่องกับความสะอาดเรียบร้อย.
หนิงเคยไปค้างบ้านของคนที่เค้าร่ำรวย...แต่พี่,เห็นสภาพ
ที่เค้าอยู่แล้ว เหมือนอยู่ในโกดัง!คือมีเงินซื้อ
ซื้อทุกอย่างที่อยากได้ แต่ซื้อมาแล้วไม่รู้ว่า
จะนำมาจัดมาวางมาใช้ยังไง...สุมๆไว้ค่ะ..น่าเสียดาย!


หนิงกลับมาเมืองไทย สิ่งที่ทำทันทีคือการสะสาง
ตัดกิ่ง เผาสิ่งที่ตัดใบไม้ใบหญ้า ตอนบ้านยังไม่ทำรั้ว
แฟนหนิงโมโหมากที่คนข้างบ้านทิ้งปล่อยขยะเรี่ยราด
ปลิวมาในเขตบ้านเรา เค้าไม่เกี่ยง ไม่ดูดาย เกณฑ์เด็กๆ
ลงไปจิ้มขยะ เก็บรวม เผา...ดูดี สะอาด คนข้างบ้านเค้า
อายมังคะเลยทำมั่ง! แฟนหนิงว่าไม่ต้องฝันหวานอยาก
ไปอยู่บ้านเมืองอื่นที่ว่าสวย ที่ว่าดูดี...ทำบ้านที่เราอยู่นี่แหละ
ให้สวย ให้สะอาด จิตของคนที่อยู่จะสะอาดไปด้วย....
ทำของใครของมันรักษาบริเวณเราให้เรียบให้สะอาด
ให้เป็นนิสัย...ร่วมมือกัน ให้ทุกบ้านทำให้ได้...
การดูดาย การทำไม่เห็น การเกี่ยงกัน การเอารัด
เอาเปรียบคะที่ดูจะสกปรกอย่างแท้จริง...
ไม่เฉพาะภายนอก...หากเค้าชอบไปเดิน/ไปเที่ยว/
ไปร้าน ที่จัดแต่งสวยงามทุกบ่อย...แล้วจิตหลงคิด
ไปว่าเค้าได้อยู่ในบริเวณที่สวย ที่มีระเบียบ ที่น่าสบาย
ถามว่า...ทำไมไม่คิดเลียนแบบนำไปทำ ไปจัด ให้
ที่บ้านน่าอยู่ น่าสบายบ้าง?...ถามดูเถอะคะ,คำตอบ
ข้อแก้ตัว..Ausredeมีให้ฟังล้านแปดแจงไม่หมด
แทนที่จะแจงข้อดีว่ากี่เหตุผลที่อยากทำบ้านให้น่าอยู่
ด้วยวิธีง่ายๆ กลับเป็นเรื่องยากมาก!
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2603 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2554, 20:53:24 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                       พี่สิงห์อยู่นครศรีธรรมราชเรียบร้อยดี อากาศท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีฝนตกครับ

                       ที่ถามว่า 5 ส. ตรงกับธรรมะข้อไหนนั้น  เธอก็ตอบเองเกือบหมดแล้ว และเธอก็เปรียบเทียบได้ดีมากอยู่แล้ว ค่ะ 5ส.นั้นมันเป็นเรื่องของคน เป็นเครื่องมือของคน  มันเป็นเรื่องของคนญี่ปุ่น  มันเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ มันเป็นเครื่องมือของนักบริหารงานที่ต้องการความสำเร็จให้กับคน  มันเป็นเครื่องมือที่จะจัดการคน  ให้คนนั้นรู้จักการรับผิดชอบ  เพียงการกระทำที่ง่ายๆ รอบตัวเอง เช่นโตีะทำงาน ห้องทำงาน เอกสาร บ้าน  โรงงาน  ให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอ สะอาด  ปลอดภัย  เมื่อเราเก็บทุกอย่างดูดี  เรียบร้อยแล้ว  และบนโตีะ  ห้องทำงาน  ตู้เอกสาร มีเฉพาะของที่จำเป็นต่อการใช้งานเท่านั้น  โตีะ  ห้องทำงาน  ตู้ก็จะว่างเสมอ และการที่จะรักษาให้โตีะ ห้องทำงานสะอาด ทรงไว้ซึ่งความเป็นระเบียบตลอดเวลาอยู่ได้นั้น บุคคลนั้นต้องมีวินัยอย่างมาก และทำเป็นนิสัย  จึงจะรักษาความสะอาดของ โตีะ และห้องนั้นไว้ได้  เป็นการฝึกนิสัยคนให้มีความรับผิดชอบอย่างยิ่งยวด  ผลพลอยได้คือ ความสะอาด  เป็นระเบียบ  น่าอยู่  จิตใจผ่องใส ครับ

                       จริงๆแล้ววัฒนธรรมไทยนั้น ปู่ ย่า ตา ยาย  พ่อ  แม่  อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ และจะสอนลูกหลานให้รู้จักช่วยตัวเอง ด้วยการช่วยทำงานบ้าน เช่นถูบ้าน  หุงข้าว  เลี้ยงน้อง  ซักผ้า  สอนให้เป็นคนดี  มีวาจาสุภาพ  เรียบร้อย  มีกิริยาที่ดีงาม  รูจักน้อมน้อมต่อผู้ใหญ่ ไม่ลักขโมย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ต่างๆ อีกมากนั้น ดีกว่า 5ส. เสียด้วยซ้ำ  แต่น่าเสียดายที่วัฒนธรรมไทยดีๆ นั้น ครอบครัวคนไทยปัจจุบัน ไม่ได้สอนแบบนั้นเสียแล้ว ถึงต้องมาพึ่ง 5ส. เพื่อจะสร้างให้คนเป็นคนมีระเบียบ และรับผิดชอบไงครับ

                       ธรรมะของพระพุทธเจ้า และวัฒนธรรมครอบครัวไทยโบราณดีกว่า 5ส. ตั้งแยะครับ  5ส. เป็นพื้นฐานของการบริหารงาน  ช่วยประหยัดเวลาในการค้นหา  รู้จักพอเพียง คือมีเฉพาะของที่ต้องใช้งานเท่านั้น 5ส. เป็นกิจกรรมเพิ่มผลผลิตอย่างหนึ่งที่สามารถทำได้ง่ายๆ ขอเพียงคนมีความรับผิดชอบเท่านั้น

                       เธอลองให้ลูกเธอ ทำห้องเขาให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และให้เขารักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ตลอดเวลาซิ ซึ่งอยากมากๆ คือห้องเขาจะต้องมีเฉพาะของที่จำเป็น(เป็นการประหยัดเงิน)ต่อการอยู่อาสัยและเรียนเท่านั้น เช่นไม่มีเสื้อผ้ามากเกินความจำเป็น ของต้องมีที่วางเป็นที่เฉพาะมีป้ายบอก เมื่อนำของไปใช้แล้วต้องทำความสะอาดและนำกลับไปไว้ที่เดิม  เครื่องใช้ต่างๆต้องมีที่วาง และมีเครื่องหมายบ่งชี้ และต้องอยู่ที่เดิมเสมอ  ถ้าเขาทำได้รับรองลุกเธอจะเป็นคนรักความสะอาด  มีความรับผิดชอบ  ประสพความสำเร็จในการเรียน  ทำงาน   ตรงต่อเวลา และอื่นๆอีกมากทีเดียว  ไม่เชื่อลองดู แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองปีถึงจะเป็น ส.สร้างนิสัย คือทำโดยอัตโนมัติครับ

                        ราตรีสวัสดี


ทำไม? ถึงต้องทำ 5ส.

                                  เก็บของไว้มากเกินจำเป็น หาไม่เจอ เสียเวลาค้นหา ที่ทำงานคับแคบ
                                  เอกสาร เครื่องมือ อุปกรณ์ วางปะปนกัน ไม่แยกประเภท
                                  เครื่องจักร อุปกรณ์ สกปรก เสียอยู่เสมอ
                                  แสงสว่าง เสียง ความร้อน สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงาน
                                  ต่างคนต่างทิ้งเศษสิ่งของ ไม่ใส่ใจเรื่องความสะอาด
                                  พนักงานไม่มีระเบียบวินัย และขาดประสิทธิภาพในการทำงาน
                                  มีปัญหากับลูกค้า หรือลูกค้าตำหนิเป็นประจำ
                                  มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเป็นประจำ


 
5ส. เป็นส่วนหนึ่งของหลักการพอเพียง ครับ
 คือ มีสิ่งของเฉพาะที่จำเป็นต่อการใช้งานเท่านั้น และต้องมีที่อยู่ให้เป็นที่ และเมื่อใช้แล้วต้องทำความสะอาด นำกลับมาไว้ที่เดิมเสมอ




เครื่องมือในการทำ 5ส. อย่างหนึ่งคือ ใช้หลักการ PDCA ครับ


5ส.

เมื่อบ้านรก  คับแคบ  มีของมากเกินไป ให้นึกถึง  ส.สะสาง

อยากให้บ้านน่าอยู่  ไม่รกใจในการค้นหา  ให้นึกถึง ส.สะดวก

อยากให้คนในบ้าน  มีจิตที่ผ่องใส  ให้นึกถึง ส.สะอาด

อยากให้คนในบ้าน  ปราศจากโรค  ให้นึกถึง ส.สุขลักษณะ(มีมาตรฐานในการอยู่อาศัย)

อยากให้คนในบ้านมีวินัย  มีความรับผิดชอบ ให้นึกถึง ส.สร้างนิสัย






ขอเพียงแต่สถานที่มีความสะอาดเท่านั้น จะพบว่า

A clean work place is high Productivity.

A clean work place is high Quality.

A clean work place keeps Cost down.

A clean work place ensures Delivery on time.

A clean work place is Safe for people to work.

A clean work place is high in Morale.
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2604 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2554, 05:55:57 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                        เช้านี้อากาสดี ฝนไม่ตก พี่สิงห์มีธรรมซึงเป็นพระสูตรในพระไตรปิฎกมาฝาก ขอให้ทุกท่านใช้ปัญญาพิจารณา นะครับ

                        สวัสดี


รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

พระสูตร ตอน

ความจนเป็นทุกข์ในโลก

   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดุก่อนภิกุทั้งหลาย ! ความจนเป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม”

   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ! ”

   จึงตรัสต่อไปว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! คนจนไม่มีทรัพย์ของตนเอง  ไม่มั่งคั่งย่อมกู้หนี้.  แม้การกู้หนี้ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม.”

   “คนจนกู้หนี้แล้ว  ก็จะต้องเสียดอกเบี้ย. แม้การเสียดอกเบี้ย  ก็เป็นทกุข์ในโลกของผู้บริโภคกาม.”

   “คนจนที่จะต้องเสียดอกเบี้ย  ไม่ให้ดอกเบี้ยตามกำหนด  ก็ถูกเขาทวง  แม้การถูกทวง  ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม.”

   “คนจนถูกทวง  ไม่ให้เขา  ก็ถูกเขาตามตัว  แม้การตามตัว  ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม.”

   “คนจนถูกตามตัว  ไม่ให้เขา  ย่อมถูกจองจำ แม้การจองจำ  ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม.”

   “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ความจนก็ดี,  การกู้หนี้ก็ดี,  การเสียดอกเบี้ยก็ดี,  การถูกทวงก็ดี,  การถูกตามตัวก็ดี,  การถูกจองจำก็ดี  เป็นทุกข์ของผู้บริโภคกามด้วยประการฉะนี้”

   “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้ออุปไมยก็อย่างนั้นเหมือนกัน.  บุคคลบางคนไม่มีศรัทธา(ความเชื่อ) ในกุศลธรรม  ไม่มีหิริในกุศลธรรม  ไม่มีโอตตัปปะในกุศลธรรม  ไม่มีความเพียรในกุศลธรรม  ไม่มีปัญญาในกุศลธรรม  บุคคลนี้  เรียกว่าเป็นคนจน  ไม่มีทรัพย์ของตนเอง  ไม่มั่งคั่งในวินัยของพระอริยเจ้า.”

   “คนจน (ทางธรรม) นั้น  เมื่อไม่มีศรัทธาในกุศลธรรม  ไม่มีหิริในกุศลธรรม  ไม่มีโอตตัปปะในกุศลธรรม  ไม่มีความเพียรในกุศลธรรม  ไม่มีปัญญาในกุศลธรรม  ย่อมประพฤติผิดทางกาย  วาจา  ใจนี้  เรากล่าวว่า  เป็นการกู้หนี้ของผู้นั้น”

   “คนจน (ทางธรรม) นั้น  เพราะเหตุที่จะปิดทุจริตทางกาย  วาจา  ใจนั้น  จึงตั้งความปราถนาลามก  ปราถนาว่า  ดำริว่า  คนทั้งหลายอย่ารู้เรื่องเราเลย  ย่อมกล่าววาจา  ย่อมพยายามทางกาย  ด้วยคิดว่า  คนทั้งหลายอย่ารู้เรื่องเราเลย.  ข้อนี้  เรากล่าวว่า  เป็นการเสียดอกเบี้ยของผู้นั้น”

   “เพื่อนพรหมจารี  (ผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์)  ผู้มีศีลเป็นที่รัก  ย่อมกล่าวถึงผู้นั้นว่า  มีการกระทำอย่างนี้  มีความประพฤติอย่างนี้.  ข้อนี้  เรากล่าวว่า เป็นการถูกทวงของผู้นั้น”

   “ความคิดที่เป็นอกุศล (อกุศลวิตก) อันลามก  อันประกอบด้วยความเดือดร้อน ย่อมติดตามผู้นั้น  ผู้ไปสู่ป่าก็ตาม  สู่เรือนว่างก็ตาม.  ข้อนี้ เรากล่าวว่า เป็นการถูกตามตัวของผู้นั้น”

   “คนจน (ทางธรรม) นั้น  ประพฤติทุจริตทางกาย  วาจา  ใจ  แล้วภายหลังที่สิ้นชีวิตไป ย่อมถูกจองจำ ด้วยการจองจำในนรกบ้าง  ด้วยการจองจำในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานบ้าง”

   “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เราไม่เห็นการถูกจองจำอย่างอื่นสักอย่างเดียว  ที่ทารุณที่นำทุกข์มาให้  ที่ทำอันตรายแก่การบรรลุธรรมะอันปลอดโปร่งจากกิเลส  อันเป็นธรรมยอดเยี่ยม  เหมือนการถูกจองจำในนรกหรือในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนี้เลย.”
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #2605 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2554, 06:15:01 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 กรกฎาคม 2554, 07:22:04
อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 20 กรกฎาคม 2554, 20:59:44
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กรกฎาคม 2554, 20:52:12
สวัสดีครับ ท่านขุน๒๘
                       ตอนนี้พี่สิงห์พยายามรวบรวมบทสวดมนต์เป็นของตัวเอง พิมพ์ใหม่ครับ พยายามสวดให้ได้เผื่อเอาไว้เมื่อตัดสินใจบวชแล้ว จะได้สวดได้เลย จะบวชเมื่อหมดห่วงทุกอย่างแล้ว หมดภาระแล้ว เหลือแต่ตัวคนเดียวก็ไม่รู้จะอยู่เพศฆาราวาสทำไมครับ บวชยังทำคุณให้พระศาสนาได้มาก
 อยากได้บทสวดมนต์ ๗ และ ๑๒ ตำนานครับ
                       สวัสดี                   

ผมมีต้นฉบับ  หนังสือสวดมนต์เล่มที่ให้พี่สิงห์ครับ ถ้าสนใจ ผมสามารถส่งให้พี่ได้ทางเมล์ครับ

สวัสดีครับ ท่านขุน ๒๘
              จักขอบพระคุณมากครับ เพราะพี่สิงห์จะได้ไม่ต้องพิมพ์ใหม่ เพราะพี่สิงห์ตั้งใจจะทำหนังสือสวดมนต์แจก อุบาสก-อุบาสิกา ที่มาอยู่วัดถือศีล ๘ ที่วัดพระนอนบ้านพี่สิงห์ แต่ไม่ได้พิมพ์ตามโรงพิมพ์ จะใช้วิธีพิมพ์ชุดเดียวที่เหลือซีร๊อกสักห้าสิบเล่ม ครับเพราะหนังสือที่มีอยู่ไม่ครบ หน้าไม่ตรง ลำบากญาติโยม  ของท่านขุนนั้นดีมาก แต่กว่าพี่สิงห์จะพิมพ์ได้ครบคงเลยพรรษาไปแล้ว  แต่ถ้าได้จากท่านขุน มาจักขอบพระคุณมากๆ ครับ
               สวัสดี

ผมส่ง ต้นฉบับของวัดปลายนาและวัดโมก(ขอนแก่น) ให้ทางเมล์   singhamanop@gmail.com  แล้วนะครับ
ผมแถม  ต้นฉบับหนังสือ เปิดประตูสัจธรรม ของหลวงพ่อเทียนด้วยนะครับ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2606 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2554, 07:32:57 »

อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 22 กรกฎาคม 2554, 06:15:01
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 กรกฎาคม 2554, 07:22:04
อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 20 กรกฎาคม 2554, 20:59:44
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กรกฎาคม 2554, 20:52:12
สวัสดีครับ ท่านขุน๒๘
                       ตอนนี้พี่สิงห์พยายามรวบรวมบทสวดมนต์เป็นของตัวเอง พิมพ์ใหม่ครับ พยายามสวดให้ได้เผื่อเอาไว้เมื่อตัดสินใจบวชแล้ว จะได้สวดได้เลย จะบวชเมื่อหมดห่วงทุกอย่างแล้ว หมดภาระแล้ว เหลือแต่ตัวคนเดียวก็ไม่รู้จะอยู่เพศฆาราวาสทำไมครับ บวชยังทำคุณให้พระศาสนาได้มาก
 อยากได้บทสวดมนต์ ๗ และ ๑๒ ตำนานครับ
                       สวัสดี                   

ผมมีต้นฉบับ  หนังสือสวดมนต์เล่มที่ให้พี่สิงห์ครับ ถ้าสนใจ ผมสามารถส่งให้พี่ได้ทางเมล์ครับ

สวัสดีครับ ท่านขุน ๒๘
              จักขอบพระคุณมากครับ เพราะพี่สิงห์จะได้ไม่ต้องพิมพ์ใหม่ เพราะพี่สิงห์ตั้งใจจะทำหนังสือสวดมนต์แจก อุบาสก-อุบาสิกา ที่มาอยู่วัดถือศีล ๘ ที่วัดพระนอนบ้านพี่สิงห์ แต่ไม่ได้พิมพ์ตามโรงพิมพ์ จะใช้วิธีพิมพ์ชุดเดียวที่เหลือซีร๊อกสักห้าสิบเล่ม ครับเพราะหนังสือที่มีอยู่ไม่ครบ หน้าไม่ตรง ลำบากญาติโยม  ของท่านขุนนั้นดีมาก แต่กว่าพี่สิงห์จะพิมพ์ได้ครบคงเลยพรรษาไปแล้ว  แต่ถ้าได้จากท่านขุน มาจักขอบพระคุณมากๆ ครับ
               สวัสดี

ผมส่ง ต้นฉบับของวัดปลายนาและวัดโมก(ขอนแก่น) ให้ทางเมล์   singhamanop@gmail.com  แล้วนะครับ
ผมแถม  ต้นฉบับหนังสือ เปิดประตูสัจธรรม ของหลวงพ่อเทียนด้วยนะครับ


สวัสดีท่านขุน ๒๘

                   พี่สิงห์กราบขอบพระคุณมาก ในความกรุณาครั้งนี้ ครับ

                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2607 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2554, 16:04:17 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                        ที่นครศรีธรรมราช บ่ายฝนตกพรำๆ มาตลอด ฝนตกแบบนี้เป็นสาเหตุให้คนเป็นไข้หวัด พี่สิงห์ไปทางไหนมีแต่คนไอกันทั้งบ้านทั้งเมือง ครับอยู่กรุงเทพฯก็ไอ ที่นครศรีธรรมราชก็ไอ อากาสไม่ดีเลยหน้านี้ แต่ก็หนีไม่พ้น ครับ

                        พี่สิงห์ถึงแม้จะไม่มีไข้ แต่ก็ไอประปลาย เพราะแพ้อากาศอย่างแรง ยิ่งอากาศแบบมีฝนพรำๆอย่างนี้ ไอต่อเนื่องมาหนึ่งเดือนแล้ว ยังไม่หายขาดสักที ยังต้องทรมานต่อไปอีก ใช้เสียงทีไรเป็นไอทุกทีครับ น่าเบื่อ แต่ก็ต้องยอมรับความจริง เพราะเราแก่แล้ว  ร่างกายอ่อนแอได้ง่ายมาก ขนาดระวังเป็นอย่างมากแล้ว

                        ช่วงนี้ไปไหนกันหมดเลย ชักเหงา  ไม่รู้จะเขียนอะไรดีแล้วครับ  การปฏิบัติธรรมก็ไม่ก้าวหน้า ทรงๆ  พยายามให้รู้ซื่อๆ  อยู่กับอิริยาบถที่กระทำ ไปวันหนึ่งๆ เหมือนกับรอเวลาตาย ครับ

                        สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2608 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2554, 16:58:25 »

พี่สิงห์,
ที่บ้านหนิงเมฆมาก ฟ้ามัว ฝนปรอยๆมาหลายวัน
เมื่อวานแดดออกมาแป๊บ แฟนหนิงกะลูกชาย
รีบออกไปซ่อมจักรยาน เพราะโรบินจะไปtourกะclassเรียน
หนิงออกไปดูต้นไม้ งามจนรก!
ฝนมากคะ ชุ่มฉ่ำ แตกใบดี
โดยเฉพาะต้นที่ไปตัดซะเหี้ยนวันก่อน
เพราะไม่รอดหนาวเมื่อธันวา..แตกเขียวสุขภาพดี.

ห้องเด็กๆได้รับการเคลียร์ใหม่คะ
ห้องคัทรีน่าแหละพี่สิงห์...รกสุดๆ!
เดี๋ยวจาถ่ายรูปมาฟ้องลุงสิงห์!!
แกกองเสื้อผ้าใส่แล้วไว้ทั่ว,ถามว่า
ทำไมไม่นำไปใส่ตะกร้าซัก...แกว่า
มีหลายเกรด...ใส่ซ้ำ เพิ่งใส่ครึ่งวัน
ใส่แล้วใส่อีกได้...บางวันรำคาญก็จะไปหอบ
ทิ้งลงถังซัก....แฟนหนิงว่าอย่าไปทำให้เค้า!
วัย 14แล้วต้องเริ่มรู้จักจัดแต่งเองได้แล้ว
แกจะไปนั่งๆนอนๆในห้องหนิงคะ ว่าห้องแม่สะอาด!
โรบินกำลังประกอบคอมพิวเตอร์เอง...
ปล้ำมาหลายวันคะ...ต้องเคลียร์ของทิ้ง เก็บก่อน
ไม่งั้นไม่มีที่คะ.


เดี๋ยว,ขออ่าน 5 ส.ก่อนคะ
อ่านแล้วก็อ่านอีก...จำได้ว่าพี่ลงหลายรอบ
พอจะค้น...คำว่า"5 ส."...เวบบอกว่าอักษรต้อง
ลักษณะคล้ายกัน....หนิงก็บ้าจี้,พิมพ์ลง"ห้าสอ"
เหวอไปไหนไม่รุ...ระบบsearchingเวบ--->บ๊อง!
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2609 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2554, 19:23:43 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก
 
                       พยายามให้เด็กๆ  รู้จักรับผิดชอบห้องตัวเอง ในการจัดระเบียบ การเก็บ  การซัก และนิสัยตัวเอง ให้คงความมีระเบียบไว้ให้ได้ เอาสิ่งใดมาใช้  ใช้เสร็จทำความสะอาดแล้ว นำกลับไปไว้ที่เดิมเสมอ ต้องให้เขาทำเอง เราทำให้เป็นตัวอย่างเพียงครั้งเดียวพอให้เขาเรียนรู้ ครับ  แล้วเราจะได้ลูกที่เป็นคนมีระเบียบวินัย  มีความรับผิดชอบ  กิริยามารยาทน่ารัก ครับ

                       อากาศนครศรีธรรมราช ทำให้ใจห่อเหี่ยวครับ

                       ราตรีสวัสดิ์
      บันทึกการเข้า
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #2610 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2554, 20:09:26 »

             พี่สิงห์ค่ะ   มาอ่านธรรมะจากพี่สิงห์แล้วเข้าใจง่ายแต่ปฎิบัติไม่ง่ายเหมือนตอนอ่านแล้วคิดตาม
                            แต่ยังดีที่ไม่ปฎิบัติเลยใช่ไหมค่ะ  วันก่อนอ่านนักกอลฟ์ที่ชื่อClake แล้วคิดว่ามันเข้าเรื่องบางตอน
                            ในหนังสือเรื่องสุดยอดเดอะซีเคร็ตแต่ยังกลั่นกรองมาโยงถึงกันเป็นคำพูดง่ายๆไม่ได้
                           
                            ทั้งนี้ทั้งนั้นยังปฎิบัติธรรมะได้น้อยนิดในวิถีนักบวช คงต้องฝึกต่อไปค่ะ

                            อย่างไรก็ชื่นชมพี่สิงห์มากค่ะที่มีข้อคิด คำพูดดีดีมาฝากประจำ
                             ขอให้หลับฝันดีค่ะ พรุ่งนี้เช้าอากาศก็จะดีขึ้น  ที่กระบี่ฝนปรอยมาช่วงเช้านิดเดียว อากาศเย็นสบายทั้งวัน       
      บันทึกการเข้า

Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2611 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2554, 07:40:55 »

อ้างถึง
ข้อความของ Dtoy16 เมื่อ 22 กรกฎาคม 2554, 20:09:26
             พี่สิงห์ค่ะ   มาอ่านธรรมะจากพี่สิงห์แล้วเข้าใจง่ายแต่ปฎิบัติไม่ง่ายเหมือนตอนอ่านแล้วคิดตาม
                            แต่ยังดีที่ไม่ปฎิบัติเลยใช่ไหมค่ะ  วันก่อนอ่านนักกอลฟ์ที่ชื่อClake แล้วคิดว่ามันเข้าเรื่องบางตอน
                            ในหนังสือเรื่องสุดยอดเดอะซีเคร็ตแต่ยังกลั่นกรองมาโยงถึงกันเป็นคำพูดง่ายๆไม่ได้
                           
                            ทั้งนี้ทั้งนั้นยังปฎิบัติธรรมะได้น้อยนิดในวิถีนักบวช คงต้องฝึกต่อไปค่ะ

                            อย่างไรก็ชื่นชมพี่สิงห์มากค่ะที่มีข้อคิด คำพูดดีดีมาฝากประจำ
                             ขอให้หลับฝันดีค่ะ พรุ่งนี้เช้าอากาศก็จะดีขึ้น  ที่กระบี่ฝนปรอยมาช่วงเช้านิดเดียว อากาศเย็นสบายทั้งวัน       
สวัสดีค่ะ คุณน้องต้อย ที่รัก
                  การปฏิบัติธรรม อย่าไปคิดว่ายาก  อย่าคิดว่าเราทำไม่ได้ ใช้หลักเวลาเธอเดิน ให้จิตไปอยู่ที่การก้าวขาที่ละก้าวคิดแค่นั้น เวลาเธอหยิบสิ่งของด้วยมือ เอาสติหรือจิตไปคิดอยู่ที่มือ เวลาเธอนั่งเธอก้เอาจิตหรือสติไปอยู่กับการนั่ง เวลาเธอนอนเธอก็เอาสติหรือจิตไปอยู่ที่เธอกำลังนอน หรือเวลาเธอหายใจ เธอก็เอาสติหรือจิตมาจดจ่อที่ลมหายใจเข้า-ออก ให้กระทำเพียงแค่นี้เท่านั้น เพราะจิตคนเรานั้นคิดสองอย่างพร้อมกันไม่ได้  เมื่อเธอเอาสติหรือจิตมาอยู่ในอิริยาบถของเธอ  เธอจะไม่คิดนอกตัวทั้งกายและใจ เมื่อไม่คิดนอกตัวก็ไม่ทุกข์ ไม่พรุ่งพล่านเดือดดานใจ มีแต่จิตที่ว่างๆ หลวงพ่อคำเขียนท่านว่า ให้รู้ซื่อๆ อยู่กับอิริยาบถ ว่างๆ อย่างนี้แหละคือการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง  แล้วมันจะรู้ของมันเอง ธรรมจิตมันเป็นอย่างนี้  อย่าใจร้อย  ค่อยๆให้รู้ไปทีละนิดๆ เดี๋ยวก็ทำได้นานขึ้นๆ ครับ
                      สวัสดีค่ะ อย่าลืมทำจิตให้ผ่องใสเข้าไว้ อย่าไปคิดนอกตัว ครับ คิดนอกตัวมีแต่นำทุกข์มาให้
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2612 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2554, 08:06:32 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                      วันนี้เป็นวันพระ ทำจิตให้ผ่องใส  ด้วยการไม่คิดนอกตัวนะครับ ให้มีสติอยู่กับอิริยาบถของการยืน เดิน นั่ง นอน และการทำงานของท่าน  วันนี้พี่สิงห์ถือศีล ๘ หรืออุโบสถศีล ครับ

                      เมื่อวานอากาศมีแต่ฝนพรำๆ จิตพี่สิงห์เลยแกว่งออกจากกายมาก ไปหลงอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว กว่าจะนำกลับมาได้ก้หลงอยู่ในความคิดตัวเองนานเกินไป ไม่ไวเหมือนแต่ก่อนแล้ว วันนี้พี่สิงห์เลยไปเอาพระสูตรของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกมาบอกกล่าวตัวเอง และทุกท่านให้ทราบ  จะได้กระทำกับจิตตน คือฝึกจิตตนเองให้ได้ ไม่คิดนอกตัว  แต่ทุกท่านต้องทราบก่อนว่า พระสูตรนั้นแยบคายมาก ท่านต้องพิจารณาอย่างละเอียดด้วยปัญญาของท่าน ท่านจึงจะเห็นคล้อยไปตามพระสูตร นั้นครับ  ลองพิจารณาด้วยปัญญครับ

                      สวัสดี(33339)


 
รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

พระสูตรตอน

จิตที่กวัดแกว่งดิ้นรนนั้นดัดให้ตรงได้

   “ผู้มีปัญญา  ย่อมทำจิตที่กวัดแกว่ง  ดิ้นรน  รักษายาก  ห้ามยากให้ตรงได้เหมือนช่างศรดัดลูกศรฉะนั้น.  จิตนี้  ที่ยกขึ้นจากห้วงน้ำคือความอาลัย  เพื่อจะละบ่วงมารย่อมดิ้นรนเหมือนปลาที่ถูกโยนไปบนบก.”

จิตที่ฝึกแล้วนำสุขมาให้

   “การฝึกจิตที่ข่มได้ยาก  เป็นของเบา  มักตกไปในอารมณ์ตามที่ใคร่  เป็นการดี เพราะจิตที่ฝึกแล้วนำความสุขมาให้.”

จิตที่คุ้มครองแล้วนำสุขมาให้

   “ผู้มีปัญญา  พึงรักษาจิต  ที่เห็นได้ยาก  ละเอียดอ่อน  มักตกไปในอารมณ์ตามที่ใคร่  เพราะจิตที่คุ้มครองแล้วนำความสุขมาให้.”

จะพ้นจากบ่วงมารได้อย่างไร

   “ผู้ใดสำรวมจิต  ซึ่งเที่ยวไปได้ไกล  เที่ยวไปดวงเดียว  ไม่มีร่าง  มีแค่คูหา (คือตัวมนุษย์) เป็นที่อาศัยได้  ผู้นั้นย่อมพ้นจากบ่วงแห่งมาร.”


ผู้เช่นไรปัญญาไม่รู้จักบริบูรณ์  ผู้เช่นไรไม่มีภัย

   “ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น  ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม  มีความเลื่อมใสอันเลื่อนลอย  ปัญญาของเขาย่อมไม่บริบูรณ์  ผู้มีจิตอันกิเลสไม่รั่วรดแล้ว  มีจิตอันกิเลสตามกำจัดไม่ได้  ละบุญและบาปได้แล้ว  เป็นผู้ตื่นอยู่  ย่อมไม่มีภัย.”

ไตรลักษณ์มีอยู่แล้วโดยปกติ

   “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เพราะตถาคตเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม  ธาตุ, ความตั้งอยู่แห่งธรรม  ทำนองแห่งธรรมอันนั้น  ก็ตั้งอยู่แล้ว  คือข้อที่ว่า  สังขาร (สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง)  ทั้งปวงไม่เที่ยง ; สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ (ทนอยู่ไม่ได้) ; ธรรม (ทั้งสิ่งมีปัจจัยปรุงแต่ง และไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง) ทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน  ตถาคตตรัสรู้เข้าใจทำนองนั้น  ครั้งตรัสรู้แล้ว  เข้าใจชัดแล้ว  ก็บอก, แสดง, บัญญัติ, ตั้งไว้, เปิดเผย, แจกแจง, ทำให้ง่ายถึงข้อที่ว่า  สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ; สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ; ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน.”

ฤกษ์งามยามดี

   “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตทางกาย  วาจา  ใจ  ในเวลาเช้า  เช้าวันนั้นย่อมเป็นเช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น.  สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตทางกาย  วาจา  ใจ  ในเวลากลางวัน  กลางวันนั้นย่อมเป็นกลางวันที่ดีของสัตว์เหล่านั้น.  สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตทางกาย  วาจา  ใจ  ในเวลาเย็น  เย็นวันนั้นย่อมเป็นเย็นที่ดีของสัตว์เหล่านั้น.”

การแสวงหาสองอย่าง

   “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! การแสวงหามี ๒ อย่าง คือการแสวงหาอามีส  กับ  การแสวงหาธรรม.  ในการแสวงหาทั้งสองอย่างนี้  การแสวงหาธรรมเป็นเลิศ.”


นักรบทางธรรม

   “บุคคลรู้จักกาย  ซึ่งมีอุปมาด้วยหม้อดิน (คือแตกง่าย)  ปิดกั้นจิต  ซึ่งมีอุปมาเหมือนพระนคร (ซึ่งมีคูและป้อมเป็นเครื่องกั้น)
 
               พึงรบมารด้วยอาวุธคือปัญญา  พึงรักษาชัยชนะและไม่มุ่งแต่จะพัก (คือไม่ติดในสมาบัติจนไม่มีโอกาสทำหน้าที่สูงขึ้นไป).”

อนาคตของกายนี้

   “ไม่นานหนอ  กายนี้จักนอนทับแผ่นดิน  ถูกทอดทิ้งปราศจากวิญญาณ  เหมือนท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ฉะนั้น.”

ใครทำร้ายก็ไม่เท่าจิตของตน

   “โจรต่อโจร  หรือคนผูกเวรต่อคนผูกเวร  พึงทำความพินาศอะไรให้แก่กัน  จิตที่ตั้งไว้ผิด  พึงทำบุคคลให้เลวร้ายยิ่งกว่านั้น.”
   
               หมายความว่า  “จิตที่วางไว้ผิด  จักนำทุกข์มาให้”

ใครทำดีให้ก็ไม่เท่าจิตของตน

   “มารดา  บิดา  หรือญาติอื่น ๆ ทำความดีบางชนิดให้ไม่ได้  จิตที่ตั้งไว้ชอบแล้ว  ทำบุคคลให้ดีได้ยิ่งกว่านั้น.”

   หมายความว่า  “จิตที่วางไว้ถูก  จักนำสุขมาให้”

ตัวอย่าง การวางจิตผิดที่ นำทุกข์มาให้

               หลวงพ่อไพศาล  ท่านบอกว่า ท่านเคยได้ฟังคุณหมอประเวศ  วสีเล่าให้ฟัง สมัยที่ท่านเป็นอาจารย์อยู่ที่ ศิริราช  ขณะบรรยายให้นักเรียนแพทยืฟังนั้น ท่านพาไปพบคนไข้ เป็นชายหนุ่ม ตัวซีดเสียว  ผอม  ไม่มีแรง ต้องนอนบนเตียงให้เขาเข็นมา คุณหมอเข้าไปดูแล้วอธิบายว่า  คนไข้คนนี้ไม่เป็นอะไรมากเลย รักษาง่ายนิดเดียว ให้กินเหล้กก็หายแล้ว เป็นพยาธิปากขอ  คนไข้พอได้ฟังเท่านั้นแหละลุกขึ้นยืนจากเตียงทันทีแล้วบอกว่า ถ้ามันรักษาง่ายแบบคุณหมอว่า ผมไม่ต้องนอนบนรถเข็นแล้ว กลับมีแรงเดินได้สบายเลย เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะเดิมทีตัวเองวางจิตไว้ผิดที่ คือตัวเองคิดไปว่า ที่ผอม ซีดเสียวนั้นเพราะเป็นมะเร็ง หมดแรง หมดกำลังใจทั้งสิ้น  คิดว่าจะตายเมื่อไร คิดไปต่างๆ นาๆ มีแต่ทุกข์  วิตกกังวล  ทั้งๆที่เป็นเพียงพยาธิปากขอเท่านั้น   อย่าลืมจิตที่วางไว่ผิด(คิดมาก  คิดไปเอา เกินจริง เพราะอวิชชา) มีแต่นำทุกข์มาให้ ครับ

ตัวอย่าง การวางจิตถูกที่  นำสุขมาให้

               คุณหมอประเวศ นำนักศึกษาแพทย์ไปดูงานที่สงขรา  ไปพบหญิงสาวคนหนึ่งท่าทางร่าเริงไม่ทุกข์เลย เธอเป็นมะเร็งในสมอง  จึงถามเธอว่าเป็นโรคอะไร  จึงร่าเริงนัก  เธอตอบว่าเธอเป็นมะเร็งในสมองระยะที่สอง  แต่เธอยังดีกว่าญาติของเธอมากที่ญาติของเธอเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่สาม  คุณหมอบอกว่าเห็นไหม จิตที่วางไว้ถุกมีแต่นำสุขมาให้ เธอเป็นมะเร็งสมอง  ถึงตายแน่นอน แต่เธอคิดว่า เธอยังดีกว่าคนที่เป็นมะเร็งเต้านม  ในขณะเดียวกันชายหนุ่มที่เป็นพยาธิปากขอนิดเดียว มีแต่ทุกข์เพราะวางจิตไม่ถูกที่  ดังนั้นจิตที่วางไว้ถูก นำสุขมาให้เสมอ

อย่าลืมวางจิตของเราให้ถูกที่เมื่อประสพกับเหตุการณ์ที่ร้ายๆ ครับ
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #2613 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2554, 08:44:52 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 22 กรกฎาคม 2554, 07:32:57
อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 22 กรกฎาคม 2554, 06:15:01
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 กรกฎาคม 2554, 07:22:04
อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 20 กรกฎาคม 2554, 20:59:44
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กรกฎาคม 2554, 20:52:12
สวัสดีครับ ท่านขุน๒๘
                       ตอนนี้พี่สิงห์พยายามรวบรวมบทสวดมนต์เป็นของตัวเอง พิมพ์ใหม่ครับ พยายามสวดให้ได้เผื่อเอาไว้เมื่อตัดสินใจบวชแล้ว จะได้สวดได้เลย จะบวชเมื่อหมดห่วงทุกอย่างแล้ว หมดภาระแล้ว เหลือแต่ตัวคนเดียวก็ไม่รู้จะอยู่เพศฆาราวาสทำไมครับ บวชยังทำคุณให้พระศาสนาได้มาก
 อยากได้บทสวดมนต์ ๗ และ ๑๒ ตำนานครับ
                       สวัสดี                  

ผมมีต้นฉบับ  หนังสือสวดมนต์เล่มที่ให้พี่สิงห์ครับ ถ้าสนใจ ผมสามารถส่งให้พี่ได้ทางเมล์ครับ

สวัสดีครับ ท่านขุน ๒๘
              จักขอบพระคุณมากครับ เพราะพี่สิงห์จะได้ไม่ต้องพิมพ์ใหม่ เพราะพี่สิงห์ตั้งใจจะทำหนังสือสวดมนต์แจก อุบาสก-อุบาสิกา ที่มาอยู่วัดถือศีล ๘ ที่วัดพระนอนบ้านพี่สิงห์ แต่ไม่ได้พิมพ์ตามโรงพิมพ์ จะใช้วิธีพิมพ์ชุดเดียวที่เหลือซีร๊อกสักห้าสิบเล่ม ครับเพราะหนังสือที่มีอยู่ไม่ครบ หน้าไม่ตรง ลำบากญาติโยม  ของท่านขุนนั้นดีมาก แต่กว่าพี่สิงห์จะพิมพ์ได้ครบคงเลยพรรษาไปแล้ว  แต่ถ้าได้จากท่านขุน มาจักขอบพระคุณมากๆ ครับ
               สวัสดี

ผมส่ง ต้นฉบับของวัดปลายนาและวัดโมก(ขอนแก่น) ให้ทางเมล์   singhamanop@gmail.com  แล้วนะครับ
ผมแถม  ต้นฉบับหนังสือ เปิดประตูสัจธรรม ของหลวงพ่อเทียนด้วยนะครับ


สวัสดีท่านขุน ๒๘

                   พี่สิงห์กราบขอบพระคุณมาก ในความกรุณาครั้งนี้ ครับ

                   สวัสดี

มิบังอาจครับ  ผมแค่ทำตามหน้าที่  แบ่งปันให้กับผู้ที่ต้องการ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2614 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2554, 10:16:44 »

อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 23 กรกฎาคม 2554, 08:44:52
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 22 กรกฎาคม 2554, 07:32:57
อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 22 กรกฎาคม 2554, 06:15:01
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 กรกฎาคม 2554, 07:22:04
อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 20 กรกฎาคม 2554, 20:59:44
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กรกฎาคม 2554, 20:52:12
สวัสดีครับ ท่านขุน๒๘
                       ตอนนี้พี่สิงห์พยายามรวบรวมบทสวดมนต์เป็นของตัวเอง พิมพ์ใหม่ครับ พยายามสวดให้ได้เผื่อเอาไว้เมื่อตัดสินใจบวชแล้ว จะได้สวดได้เลย จะบวชเมื่อหมดห่วงทุกอย่างแล้ว หมดภาระแล้ว เหลือแต่ตัวคนเดียวก็ไม่รู้จะอยู่เพศฆาราวาสทำไมครับ บวชยังทำคุณให้พระศาสนาได้มาก
 อยากได้บทสวดมนต์ ๗ และ ๑๒ ตำนานครับ
                       สวัสดี                   

ผมมีต้นฉบับ  หนังสือสวดมนต์เล่มที่ให้พี่สิงห์ครับ ถ้าสนใจ ผมสามารถส่งให้พี่ได้ทางเมล์ครับ

สวัสดีครับ ท่านขุน ๒๘
              จักขอบพระคุณมากครับ เพราะพี่สิงห์จะได้ไม่ต้องพิมพ์ใหม่ เพราะพี่สิงห์ตั้งใจจะทำหนังสือสวดมนต์แจก อุบาสก-อุบาสิกา ที่มาอยู่วัดถือศีล ๘ ที่วัดพระนอนบ้านพี่สิงห์ แต่ไม่ได้พิมพ์ตามโรงพิมพ์ จะใช้วิธีพิมพ์ชุดเดียวที่เหลือซีร๊อกสักห้าสิบเล่ม ครับเพราะหนังสือที่มีอยู่ไม่ครบ หน้าไม่ตรง ลำบากญาติโยม  ของท่านขุนนั้นดีมาก แต่กว่าพี่สิงห์จะพิมพ์ได้ครบคงเลยพรรษาไปแล้ว  แต่ถ้าได้จากท่านขุน มาจักขอบพระคุณมากๆ ครับ
               สวัสดี

ผมส่ง ต้นฉบับของวัดปลายนาและวัดโมก(ขอนแก่น) ให้ทางเมล์   singhamanop@gmail.com  แล้วนะครับ
ผมแถม  ต้นฉบับหนังสือ เปิดประตูสัจธรรม ของหลวงพ่อเทียนด้วยนะครับ


สวัสดีท่านขุน ๒๘

                   พี่สิงห์กราบขอบพระคุณมาก ในความกรุณาครั้งนี้ ครับ

                   สวัสดี

มิบังอาจครับ  ผมแค่ทำตามหน้าที่  แบ่งปันให้กับผู้ที่ต้องการ


                    ถึงอย่างไรพี่สิงห์ก็ต้องกราบขอบพระคุณครับ เพราะพี่สิงห์ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์ใหม่ครับ
      บันทึกการเข้า
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #2615 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2554, 11:39:52 »

                   สวัสดีค่ะพี่สิงห์     เป็นเช้าวันพระ แรม8ค่ำ เดือน8 ขณะอ่านธรรมะที่พี่แนะนำการฝึกสติในทุกอิริยาบท
                                           ทีวีช่อง3ก็รายงานข่าวทหารกล้าทั้ง9นาย ทีแรกจะลุกไปปิดเพราะเกิดเวทนา...สัญญา..
                                            พอเริ่มใช้สติสักพัก ใช้สมาธิอ่านต่อ เสียงทีวีก็ไม่เข้าหูแล้วค่ะ....(น่าจะหาremoteไม่เจอ..)
                                         
                                            มีกำลังใจฝึกต่อไปได้ค่ะ...
      บันทึกการเข้า

Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2616 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2554, 13:38:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ Dtoy16 เมื่อ 23 กรกฎาคม 2554, 11:39:52
                  สวัสดีค่ะพี่สิงห์     เป็นเช้าวันพระ แรม8ค่ำ เดือน8 ขณะอ่านธรรมะที่พี่แนะนำการฝึกสติในทุกอิริยาบท
                                           ทีวีช่อง3ก็รายงานข่าวทหารกล้าทั้ง9นาย ทีแรกจะลุกไปปิดเพราะเกิดเวทนา...สัญญา..
                                            พอเริ่มใช้สติสักพัก ใช้สมาธิอ่านต่อ เสียงทีวีก็ไม่เข้าหูแล้วค่ะ....(น่าจะหาremoteไม่เจอ..)
                                        
                                            มีกำลังใจฝึกต่อไปได้ค่ะ...
สวัสดีค่ะ คุณน้องต้อย ที่รัก

                  อย่าลืมเรายังเป็นฆารวาสอยู่  ยังต้องมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว  ยังต้องทำงานอยู่  เราก็สามารถปฏิบัติธรรม  ได้ กล่าวคือ ของให้มีสติ(ความระลึกได้)ในสิ่งที่เรากำลังกระทำนั้น โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวร่างกายในอวัยวะในอิริยาบถ ยืน  เดิน  นั่ง  นอน ที่ใช้ในการทำงานนี่ละ จิตก็ไม่คิดนอกตัว ไม่พร่าน คือจิตไม่วิ่งไปไหน เหมือนกับปลาที่ดิ้นอยู่บนบก เพราะไม่มีน้ำให้ไป  ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้  ผลคือเราจะทำงานได้ดีกว่าเดิมแน่นอน ครับ

                  ขอบคุณที่เตือน เป็นวันพระแรม ๘ ค่ำเดือน ๘ วันพระหน้าพี่สิงห์ก็ยังคงมาทำงานที่นครศรีธรรมราช แต่หลังจากนั้น ทุกวันพระพี่สิงห์คงไปปฏิบัติธรรม ที่วัดพระนอนได้ เพราะไม่ตรงกับวันทำงานที่นครศรีธรรมราชแล้ว มีโอกาสสอนญาติโยมปฏิบัติธรรม  และออกกำลังกายตอนบ่ายแบบโยคะ  ดีกว่าปล่อยให้ญาติโยมนอนอยู่เฉยๆ บนศาลาวัด ในการอยู่ถือศีล ๘ ครับ  ใครจะไปปฏิบัติธรรมกับพี่สิงห์ ถือศีล ๘ ที่วัดพระนอนก็ได้ครับ

                  สวัสดี  
      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #2617 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2554, 14:09:25 »

 
อ้างถึง   
อ้างถึง
ข้อความของ Dtoy16 เมื่อ 23 กรกฎาคม 2554, 11:39:52
                   สวัสดีค่ะพี่สิงห์     เป็นเช้าวันพระ แรม8ค่ำ เดือน8 ขณะอ่านธรรมะที่พี่แนะนำการฝึกสติในทุกอิริยาบท
                                           ทีวีช่อง3ก็รายงานข่าวทหารกล้าทั้ง9นาย ทีแรกจะลุกไปปิดเพราะเกิดเวทนา...สัญญา..
                                            พอเริ่มใช้สติสักพัก ใช้สมาธิอ่านต่อ เสียงทีวีก็ไม่เข้าหูแล้วค่ะ....(น่าจะหาremoteไม่เจอ..)
                                         
                                            มีกำลังใจฝึกต่อไปได้ค่ะ...

พี่ต้อย  ฝึกและเรียนรู้ได้เร็วมาก (เสียงทีวี ไม่เข้าหู แสดงว่าสมาธิ อยู่กับธรรมะที่เราอ่าน หรือที่เราปฏิบัติอยู่)
ขอส่งกำลังใจให้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง นะครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2618 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2554, 15:26:31 »

วันนี้ตื่นเช้า สดชื่น
เมื่อคืนฝันมาก ฝันหลายเรื่อง
สมองต้องจัดการสะสางข้อมูลคะพี่ๆ
อย่าถามนะคะ ฝันเรื่องอะไร...เฮ่อะๆ
ไม่ค่อยrealisticหรอกคะ เพราะrealistic
คือขาเข้า ส่วนตอนจัดเก็บน่ะมี"หมายเหตุ"
ส่วนตัวบันทึกตามพ่วงไปด้วย!
5  ส. แม้แต่เรื่องฝันพี่คิดดูคะ

วันนี้วันขึ้นแปดค่ำเดือนแปดเหรอคะ?
ว่าจะไปงานFeuerwehrfestที่หมู่บ้านติดกัน
ตั้งใจดื่มไวน์หวาน60:40 ทำไงดีคะ?
งดเป็นน้ำมะนาวแทนเหรอคะพี่ๆ?
ว๊าาาา
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2619 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2554, 15:29:35 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                     สำหรับนักปฏิบัติธรรมทุกท่าน พี่สิงห์อยากให้ท่านอ่านให้จบครับ ศิลปแห่งการรู้ซื่อ ๆ ของหลวงพ่อคำเขียน   สุวณฺโณ  อ่านจบแล้วท่านจะได้ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติธรรมของท่าน  สอนตัวเองได้ครับ  ลองตรองด้วยปัญญาของท่านครับ

                     สวัสดี

 


รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

"ศิลปะแห่งการรู้ซื่อ ๆ"

โดย หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ


               ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย กราบคารวะแด่พระเถรานุเถระ เพื่อนสหธรรมิกทุกรูป
เจริญในธรรมแด่ญาติโยม สาธุชนทุก ๆ คน

              เราก็มาฟังพูด ถ้าฟังแล้วจำเอา มันก็ได้ของปลอม ๆ ไป แต่การพูดการสอนนี้ก็จำเป็น
การพูดให้รู้ ให้จำมันง่าย สอนให้รู้นี่มันง่าย มีผู้สอนทั่วบ้านทั่วเมือง ที่เรานั่งอยู่นี้ก็มีแต่
คนที่มีความรู้ทั้งนั้น รู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ถูก ทุกคนก็รู้อยู่ เช่นความโกรธ มันไม่ดี ความทุกข์
มันไม่ดี เราก็รู้อยู่ แต่เราก็ยังมีทุกข์ มีโกรธ ทีนี้การสอนให้เป็นนี่ เราต้องสอนตัวเราเอง
สอนให้รู้เรียนจากคนอื่นได้ สอนให้จำง่าย สอนให้เป็น ต้องสอนตัวเอง
การพูดวันนี้ ก็ให้เป็นเพื่อน เป็นกัลยาณมิตรกันกับพวกเราทุกคน แม้แต่ในเทศกาลนี้
โอกาสนี้ พวกเราก็มาเป็นกัลยาณมิตรกัน เพื่อที่จะร่วมกันทำ พากันกระทำ นี่เป็นสิ่งที่ดี
ที่ถูกต้อง การสอนให้เป็นนี้ เราต้องสอนตัวเอง แม้แต่การฟัง การพูด ก็เป็นการกระทำอยู่
ในตัวมันเอง เช่น เราเจริญสติ การเจริญสตินี้ ก็ขออย่าให้มีแนวร่วมอย่างอื่น ให้มีสติ
บริสุทธิ์ มีสติซื่อ ๆ ตรง ๆ ให้มีความรู้สึกตัว ซื่อ ๆ ตรง ๆ รู้สึกที่กาย ซื่อ ๆ ตรง ๆ ให้มี
สติเต็มที่ อย่าให้มีอะไรเป็น เบื้องหน้าเบื้องหลัง นั่นเรียกว่าสอนให้เป็น ให้สติมัน
ท่องเที่ยว อยู่กับกาย กับรูป ให้สติมันเห็นจิตเห็นใจ เวลาที่มันคิดอย่าให้มีอะไรมาขวาง
กั้น ให้โอกาสแก่สติเต็มที่ เกี่ยวกับกายนี้ รู้ซื่อ ๆ ตรง ๆ รู้บริสุทธิ์ วิธีใดที่เราจะมีความรู้
ตัวอยู่ภายในกาย เราก็หาโอกาสนั้น ให้มันซื่อ ๆ ตรง ๆ รู้ซื่อ ๆ แต่บางคนไม่ใช่ บางคน
และอาตมาหรือหลวงพ่อนี่ก็เหมือนกัน สมัยก่อนมันไม่รู้ซื่อ ๆ ตรง ๆ มันเผื่อมันก็ไปรู้
อะไรอยู่ มันก็คิดไป ทำไมจึงทำอย่างนี้ มันเอาผิดเอาถูกเอาเหตุเอาผล ไปร่วมด้วย ทำ
อย่างนี้มันดี มันชอบมันไม่ชอบ ทำไมจึงทำอย่างนี้ ถ้ารู้แล้วมันจะเป็นอย่างไร เช่น เรามี
สติอยู่ เอ้..เรามี สติหรือเปล่า อันนี้เป็นสติหรือเปล่า อันรู้อยู่นี้เป็นสติหรือความคิดกันแน่
บางทีมันก็คิดไป ไม่รู้ว่าตัวสติมันคืออะไร มันก็เลยถูกแบ่งถูกแยกตลอดเวลา เอาเหตุเอา
ผลไปร่วม เอาผิดเอาถูกไปร่วมกับการกระทำ มันก็เลยไม่เต็มที่

รู้ รู้ รู้ รู้ รู้ รู้สึกตัว

                 ทำใหม่ ๆ นี้ อย่าเพิ่งไปเอาเหตุเอาผล ไปเอาผิดเอาถูกจากความคิด อย่าไปเอาอย่างนั้น วิธีใดที่จะมีสติรู้กาย วิธีใดที่จะมีสติรู้จิตใจ ให้ตรงเข้าไป ตรงเข้าไป อย่าเพิ่งไปเอาผิดเอาถูก

                  ถูกก่อนถูก ผิดก่อนผิด เป็นก่อนเป็น เห็นก่อนเห็น ไม่ใช่ มันจะผิดต่อเมื่อมันผิด มันจะ
ถูกต่อเมื่อมันถูก มันจะเป็นต่อเมื่อมันเป็น มันจะเห็นต่อเมื่อมันเห็น ให้มีสติซื่อๆ อย่าเพิ่ง
ไปเอาเหตุเอาผล อย่าเพิ่งไปคิด ต่อไปมันไม่ต้องคิดดอก เมื่อมีสติเห็นกาย มีสติเห็นจิตใจ
อยู่นาน ๆ มันจะเห็นเอง เขาไม่เรียกว่าคิดดอก เขาเรียกว่าธรรมวิจย เรียกว่า โยนิโสมน
สิกการ มันแยกมันแยะ มันเกิดญาณ เกิดปัญญา ขึ้นเอง นี่เรียกว่าทำซื่อ ๆ เช่น เรายกมือ
พลิกมือ ก็ให้รู้ซื่อ ๆ ไปก่อน ให้รู้สึกว่ายกมือขึ้น รู้สึกว่าพลิกมือขึ้น รู้สึกว่า ไหวไปไหว
มา ที่จริงวิธีที่เราทำอยู่นี้ แต่ก่อนเขามีรูปแบบ แบบหนึ่ง เขาไม่ได้ทำเหมือนกับเราทุก
วันนี้ ต่อมาหลวงปู่เทียนได้มาประยุกต์ขึ้น สมัยก่อนเรียกว่า วิธีไหว-นิ่ง เช่น เอามือวาง
ไว้บนเข่า พลิกมือขึ้น ก็ว่า ไหว-นิ่ง ไหว-นิ่ง ไหว-นิ่ง เขาบริกรรมไปด้วย มีคำบริกรรม
มันไม่ซื่อ ๆ มันไม่ตรงมันยังมีคำบริกรรมมาขวางกั้นอยู่ หลวงปู่เทียน ก็เลยมาพัฒนาให้
ไม่ต้องบริกรรม ให้รู้สึกเฉย ๆ รู้สึกตัว รู้สึก ก็ไม่ต้องว่านะ ให้รู้สึกเฉย ๆ รู้สึก ที่จริงมันก็
รู้รู้ มันรู้ ลักษณะของความรู้สึกนี่มันรู้เฉพาะ มันไม่ใช่รู้จี้นะ มัน รู้ รู้ รู้ (หลวงพ่อยกมือ
ทำตัวอย่างประกอบ) รู้ รู้ รู้อย่างนี้นะ ไม่ใช่จี้นะ แต่บางคนรู้จี้ไป รู้จี้ไป จี้ไป ตามไป ตาม
ไป มันยาว ถ้าอย่างนั้นมันจะกลายเป็นสมถะไป บางทีก็อึดอัดขัดเคือง บางทีก็แน่น บาง
ที่ก็ง่วง บางทีก็เครียดไปเลย รู้ซื่อ ๆ นี่ รู้อย่างยิ้มแย้มแจ่มใสนะ รู้รู้ ถ้าจะนับ ดูก็มี หนึ่งรู้
สองรู้ สามรู้ สี่รู้ ห้ารู้ หกรู้ เจ็ดรู้ แปดรู้ เก้ารู้ สิบรู้ สิบเอ็ดรู้ สิบสองรู้ สิบสามรู้ สิบสี่รู้ มัน
รู้ เป็นรู้ เป็นรู้ นี่เป็นรู้อย่างบริสุทธิ์ อย่ามีอะไรเป็นแยก เป็นแยะ ให้ตัวรู้สัมผัสกับตัวกาย
จริง ๆ ให้สัมผัสกันจริง ๆ เมื่อมันรู้อย่างนี้มันจะชำนาญ มันจะต้องชำนาญแน่นอน ถ้ามัน
สัมผัส สัมผัส สัมผัส เหมือนกับมือที่เราสัมผัสกับอะไรบ่อย ๆ มันก็ต้องชำนาญอย่าง
แน่นอน
                  ศิลปะศิลปิน หลวงพ่อเป็นศิลปะศิลปินในการดนตรีอยู่บ้าง เวลาเราเอานิ้วมือสัมผัสกับรู
แคน รูขลุ่ย สัมผัสกับฆ้อน ตีระนาด การสัมผัสจริง ๆ นี้ มันมีศิลปะของมันอยู่ในตัว
เช่น นิ้วมือที่ไปสัมผัสรูแคน รูขลุ่ยนี้มันจะได้เสียงที่ไพเราะที่สุด ถ้าเรามีความกดกลึงเข้า
ไป มันจะจี้ เสียงมันจะไม่เพราะ ถ้าเราไปนับรูแคนนี้ มันจะย้อน ๆ หน่อยหนึ่ง นับรูขลุ่ย
มันจะย้อน ๆ หน่อยหนึ่ง ระหว่างนิ้วที่มันดีดพอดี ๆ กับเสียงที่เราต้องการพอดี ระหว่าง
ค้อนที่มันไปถูกระนาดพอดี ๆ แทนที่จะตีเป็ง อย่างนี้ มันมีเสียงตรึง..ง เสียงมันเพราะ
การมีสติสัมผัสกายซื่อ ๆ ตรง ๆ มันจะมีศิลปะของมัน ไม่ต้อง ไปหาเหตุหาผล มันจะรู้
แบบบริสุทธิ์ รู้แบบสุขุม รู้แบบชัดเจน ถ้ามันได้สัมผัสกับความรู้สึกจริง ๆ มันจะเป็น
ศิลปะ มันจะชำนิชำนาญ มันจะรู้ที่ชัดเจนเข้าไป การสัมผัสกับกาย การมีความรู้สึกอยู่กับ
กายจริง ๆ นี้ มันไม่ใช้รู้เฉย ๆ มันก็เป็นงานพัฒนาของมันอยู่ในตัว หรืออุปมาเหมือนกับ
เรา ทำมาหากิน ถ้าเรารู้ไม่บริสุทธิ์ มันจะสิ้นเปลืองพลังงานมากนะ รู้แบบเอาเหตุเอาผล
รู้แบบจี้ รู้แบบบังคับนั่นมันจะสิ้นเปลืองพลังงาน บางคนทำความเพียร เดินจงกรมก็ดี นั่ง
สร้างจังหวะก็ดี รู้สึกว่าหน้าตาบูดบึ้ง คร่ำเครียด มันหนักเกินไป ถ้าเราทำถูก ทำถูกมันไม่
หนัก มันสดชื่น มันเบา มันสบาย มันลืม ลืมเวลา แต่บางคนนี้โอย.. พลิกแล้วพลิกอีกมัน
ไปอยู่กับอะไร มันบังคับเกินไปมันไม่ซื่อ มันไม่ตรง มันจะเป็นสุข มันจะเป็น ธรรมตั้งแต่
แรกแล้ว ความรู้สึกตัวนี่นะ มันจะจัดสรรของมันเอง ทำให้รู้สึกระลึกได้ชัดเจนไป
ตามลำดับ

อยู่ตรงกลาง ดูนอกดูใน ไม่เข้าไม่ออก

               คนโบราณเขาทำมาหากิน หลวงพ่อเคยไปกับโยมแม่สมัยเด็ก ไปปลูกแตง ปลูกถั่ว เวลา
ฝนตกใหม่ ๆ เวลาโยมแม่เอาเม็ดแตงเม็ดถั่วปลูกลงไป แม่จะพูดออกไปว่า “คนกินเป็น
บุญ นกกินเป็นทาน นกกินเป็นทาน คนกินเป็นบุญ” มันสบายดี แต่ถ้าเราไม่รู้นะ ทำอะไร
ลงไป เราก็อาจจะคิดไป คิดไป จะได้ผล จะขาดทุน จะกำไร จะเสียหายอย่างไร มัน
สิ้นเปลืองพลังงาน บางทีก็นับวันเวลาไป เออ.. เรามาเท่านั้นเท่านี้วัน ยังไม่รู้ ไม่รู้ เป็นผู้
ไม่รู้ไปแล้ว บางคนก็เป็นผู้รู้ไปแล้ว เข้าไปเป็นง่าย ๆ ถลำเข้าไปในความคิด ไปปรุงแต่ง
ผลที่สุด ตัวสังขารมันปฏิบัติธรรม ตัวหลงมันปฏิบัติธรรม ปฏิบัติอยู่ก็ยังหลงอยู่ รู้แล้วไม่
รู้แล้ว อยู่กับความรู้ อยู่กับความไม่รู้ อยู่กับความผิด อยู่กับความถูก ถ้าเข้าไปอยู่ มันจะ
เห็นได้ ย่างไร มันก็เลยอยู่ในถ้ำ หลวงปู่เทียนท่านสอนพวกเรา สมัยที่หลวงพ่อปฏิบัติ
ใหม่ๆ หลวงปู่เทียนท่านให้เข้าไปในกุฏิ หลวงปู่เทียนก็บอกว่า เอ้า.. ปิดประตู ปิดประตู
หลวงพ่อก็ปิดประตู ท่านก็ถาม เห็นข้างนอกไหม เห็นข้างนอกไหม ไม่เห็นครับ ทำ
อย่างไรจึงจะเห็นข้างนอกและข้างใน เปิดประตูหลวงพ่อ เอ้า..เปิดประตูซิ ก็เปิดประตู
ออกมายืนอยู่ตรงกลางประตู ระหว่างกลางประตู หลวงปู่เทียนก็ถามว่า เห็นข้างนอกไหม
เราก็บอกว่าเห็น เห็นข้างในไหม เห็น ทำอย่างนี้นะ ให้ทำอย่างนี้นะ ว่าแล้วท่านก็หนีไป
มันคืออะไร ก็คือ ให้รู้ซื่อ ๆ นี่แหละ อย่าเข้าไปอยู่ อย่าไปเอา อย่าไปเป็น เป็นผู้ผิด เป็นผู้
ถูก เป็นผู้ได้ เป็นผู้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นมันก็เหมือนกับมีม่านมาขวางกั้น มันไมซื่อมันไม่
ตรง มันไม่เปิดออก มันไม่เปิดเผย ไม่เปิดเผย

สติล้วน ๆ ไม่เอา ไม่เป็น

              ลองทำดูซิ ให้รู้ซื่อ ๆ ก้าวไปทีละก้าวก็รู้ซื่อ ๆ อย่าไปเอาผิดเอาถูก อย่าไปเอาได้ อย่าไป
เอาเสีย ไม่มีเสีย ไม่มีได้ ไม่มีผิด ไม่มีถูก ถ้าเป็นสติล้วน ๆ นะ มันไม่มีถูก ไม่มีผิดมันไม่
รู้ มันไม่มีไม่รู้ มันจะมีแต่สติล้วน ๆ ให้สติมีโอกาสเต็มที่ เหมือนกับเราปลูกข้าว ถ้าปลูก
ไม่เป็น มันก็ไม่ค่อยขึ้นเหมือนกันนะ ถ้าปลูกข้าว ปลูกพริก ปลูกมะเขือ ปลูกผลหมาก
รากไม้นี้ ถ้าปลูกไม่เป็นมันก็ขึ้นยาก รากมันก็ไม่ค่อยงอกง่าย ถ้าเราปลูกเป็นนี้มันเหมาะ
มันเหมาะเจาะ มันเหมาะสม มันสมดุล มันก็ออกราก ตั้งต้นดี ถ้าเราปลูกไม่เป็น มันก็
ขาด พอจะแตกรากออกมา เดี๋ยวก็รากขาด ลมพัดง่อนแง่นคลอนแคลนอยู่เรื่อย ตั้งต้น
ใหม่ ตั้งต้นใหม่อยู่เสมอ ผลที่สุดก็ไม่งอกงาม นี่ให้เราทำดู นี่สอนให้ทำ ไม่ใช่สอนให้รู้
สอนให้ทำนะ พวกเรามาอยู่กันที่นี่ ต้องพยายามทำ ทำซื่อ ๆ ตรง ๆ มีตัวอย่าง สมัยหนึ่ง
หลวงพ่อกลับจากสิงคโปร์มาแวะที่หาดใหญ่ ก็มีคนนำฝรั่งคนหนึ่งเข้าไปหา ฝรั่งคนนั้น
ก็บอกกับหลวงพ่อเลยว่า อย่าสอนผมนะ หลวงพ่ออย่าสอนผมนะ หลวงพ่อสั่ง ให้ผมทำ
ดีกว่า ผมรู้มามากแล้วอย่าสอนผม ให้ผมทำดีกว่า ดูซิ ฝรั่งเขาพูด หลวงพ่อก็รู้สึกว่า โอ..ดี
เหมือนกัน ก็บอกเขา ให้เขาเริ่มต้นแบบนี้แหละ กรรม กรรมคือการกระทำ ให้รู้สึก พลิก
มือขึ้นรู้ไหม รู้ ยกมือขึ้น รู้ไหม รู้ รู้นะ รู้ ก็ให้เขา ทำอยู่นั่นราว 30 นาที ต่อจากนั้นก็พา
เขาเดิน เดินก้าวไปให้รู้นะ เขาก้าวไปทีใด หลวงพ่อก็เอามือเคาะแขนเขา รู้อย่างนี้นะ รู้
อย่างนี้นะ ก้าวไป ก็ให้รู้อย่างนี้นะ รู้ รู้ รู้สึก ให้เดินดูสัก 30 นาที ก็เรียกเขามานั่ง ให้เขา
ยกมือสร้างจังหวะอีก เขาได้สัมผัสกับความรู้สึกตัว สัมผัสกับสติอยู่กับกาย ก็ถามเขาว่า
เมื่อกี้นี้คุณมีสติอยู่กับกาย จิตใจของคุณคิดไปทางอื่นไหม ไม่คิด อยู่ตรงนี้ รู้ตรงนี้ รู้ตรง
นี้ ถ้ารู้อย่างนี้ คุณเคยรู้อยู่อย่างนี้นาน ๆ ไหม 1 วันเคยไหม ไม่เคย ชั่วโมงหนึ่งเคยรู้ไหม
ไม่รู้ ก็เพิ่ง มารู้เดี๋ยวนี้ หลวงพ่อสอน ชี้ให้เห็นนี้เป็นจุดที่เราบกพร่องกันอยู่ ในหมู่พุทธบริษัท
จุดอื่นไม่บกพร่องกันหรอก มันบกพร่องจุดนี้แหละ พุทธศาสนาเกิดขึ้นตรงนี้ พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ก็เกิดขึ้นตรงนี้ คือ คุณนั่นแหละคือคุณธรรม ต้องให้กำเนิด ให้กำเนิด
ตรงนี้ ตรงนี้เป็นที่เกิดของพุทธภาวะคือภาวะที่รู้ รู้เข้าไป อย่าทำลาย อย่าทำลายภาวะอัน
นี้
                     เราจึงสมควรที่จะมีโอกาสอย่างนี้ มีสถานที่อย่างนี้ ไม่ใช่เราทำเป็นแฟชั่น ไม่ใช่เรา
โฆษณา จะทำอย่างอื่นมันไม่ถูก พิธีรีตอง ทำบุญ ทำทาน เข้าปริวาสอะไรต่าง ๆ มันไม่
ถูก วิธีที่จะให้มันถูกกับความรู้สึกจริง ๆ มันต้องทำ ทำอย่างนี้ ต้องชวนกันมาทำอย่างนี้
ต้องมาอยู่อย่างนี้ เรียกว่ากิจกรรมของพระศาสนาต้องเริ่มด้วยวิธีนี้ เราปฏิเสธวิธีนี้ไม่ได้
ต้องมีสถานที่ ต้องมีสิ่งแวดล้อม ต้องชวนกันมา ต้องมาทำอย่างนี้ ตอนเช้า ตอนเย็น ก็พูด
ประกอบ มีการพูดประกอบ มีการกระทำประกอบ เพื่อให้มันได้สิ่งแวดล้อมที่ดี ๆ นี่เรา
จึงพากันมาทำแบบนี้ แม้แต่หลวงพ่อพูดอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ใช่ฟังแล้วจำ แต่ให้ฟังแล้วทำ ฟัง
แล้วกระทำ ทำอยู่ในกายในใจของเรา สัมผัสอยู่กับตัวเรา พอหลวงพ่อพูดว่าสติ เราก็รู้ โอ
.. รู้สึก รู้สึกไปกับการได้ยิน สิ่งที่หลวงพ่อพูดก็มีอยู่กับเรา อยู่กับตัวเราทุกคน มันมีอยู่กับ
เรา คล้ายกับว่า ยิ่งหลวงพ่อพูด เราก็ยิ่งเห็นตัวเรา เห็นอะไร เห็น เห็นในสิ่งที่หลวงพ่อพูด
เช่น ความรู้สึก เราก็มีความรู้สึก อยู่เฉยๆ ก็มีความรู้สึก ถ้าเราชำนาญนะ อาจจะไม่ต้องยก
มือเคลื่อนไหวก็ได้ นั่งอยู่เฉย ๆ ก็มีความรู้สึก กระพริบตาก็รู้สึกได้ หายใจก็รู้สึกได้ ตัวรู้
ที่ไปรู้การกระพริบตาก็เป็นความรู้สึกคือสติ ตัวรู้ที่ไปรู้ลมหายใจก็เป็นความรู้สึกคือสติ
ความรู้ที่กระดิกนิ้วมือ ก็เป็นความรู้สึกคือสติ อยู่เฉยๆ ก็เป็นสติ อยู่ที่ไหนก็เป็นสติ แม้แต่
อยู่เฉย ๆ นั่งอยู่เฉย ๆ ก็เป็นความรู้สึกตัว

กัลยาณมิตร บัณฑิตภายใน นำไปสู่มรรค สู่ผล

               นี่ การที่หลวงพ่อพูดนี่ ขอให้เสียงนี้เป็นกัลยาณมิตรกับเรา สติก็เป็นกัลยาณมิตรกับตัว
เรา ให้คบ คบกับสิ่งเหล่านี้ คบบัณฑิต คบบัณฑิต ก็ไม่ใช่คบกับคนนั้นคนนี้ อันนั้นก็
ดี เป็นบัณฑิตภายนอก แต่บัณฑิตภายในจริง ๆ ก็คือความรู้สึกตัวนี้ เราพยายามคบดูสิ
สัก 7 วัน เราก็คบมาหลายวันแล้ว เรียกว่าคบบัณฑิตรู้ซื่อ ๆ รู้ตรง ๆ เห็นไหมตอนที่
พระพุทธองค์แสดงธรรมปฐมเทศนาให้ปัญจวัคคีย์ฟัง โกณฑัญญะพราหมณ์เห็น
ธรรม ได้ดวงตาเห็นธรรม ได้มาเป็นพระสงฆ์รูปแรก สองสามวันต่อมา วัปปะ ภัททิ
ยะ มหานามะ อัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม พอพระพุทธเจ้าแสดงธรรมปฐมเทศนา
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ก็ชี้ก็พูดเรื่องทางกามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค เป็น
ทางสุดโต่งไม่ควรเดิน มัชฌิมาปฏิปทา คือทาง ทางเดินของใจ ทางเดินทางใจเรียกว่า
มรรค มรรคก็คือความรู้สึกตัวนี้ ความรู้สึกตัว ตัวดู ตัวเห็น ตัวรู้อยู่นี่ เรียกว่ามรรค
ผู้ใดมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ผู้นั้นกำลังเดินทาง ทางใจกำลังเป็นมรรคหรือเป็นยาน ก็
กำลังนั่งอยู่บนยาน กำลังพาไป ยาน ก็คือมรรค พอพูดเรื่องนี้ไป โกณฑัญญะ
พราหมณ์ก็ทำไปด้วย รู้ไปด้วย ในที่สุดก็แสดงถึงอนัตตลักขณสูตร รูปนี้เที่ยงไหม ไม่
เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ควรหรือที่จะไปยึดไป
ถือเอา มันไม่ใช่บอกหรอกมันเห็น สอนให้เห็นว่าโดยความเป็นจริงก็คือตัวเรานั่น
แหละสอนตัวเรา สอนตัวเรา สอนให้เป็น สอนให้รู้นั้นคนอื่นสอนให้ แต่สอนให้เป็น
ตัวเราต้องสอนตัวเราเอง เป็นแล้วหรือยัง มีความรู้สึกไปในกายเป็นหรือยัง หัดมัน
ไหม เราเดินอยู่รู้สึก รู้สึก บางทีมันคิดไป พอมันคิดไปเราทำอย่างไร ก็มีสติ ให้มีสติ
กำหนด รู้กายที่มันเคลื่อนไหวอยู่นี้ เวลามันมีสติมันยังคิดอยู่ หรือมันแก้ได้ไหม มัน
เปลี่ยนได้ไหม มันเปลี่ยนได้ พอมีสติทีใด ความคิดมันก็หยุด ก็มารู้ที่กายเคลื่อนไหว
อยู่นี้ นี่มันเป็น มันคิดไปทีหนึ่งก็รู้มาทีหนึ่ง พอรู้ นั่นก็คือการสอนตัวเรา ถูกสอนบ่อย
ๆ มันคิดเท่าไรก็ยิ่งดี แต่บางคนไปเอาถูกเอาผิดกับความคิด พอมันคิดไปก็ผิดแล้ว ถ้า
อย่างนั้นไม่ถูก พอมันคิด เห็นมันคิด ไม่ใช่ผิดไม่ใช่ถูก มีแต่เห็น เห็นมันคิดรู้ว่ามัน
คิด พอรู้สึกว่ามันคิด เรื่องทุกอย่างมันก็จบ ต่อรู้ว่ามันคิด มันก็ชำนาญขึ้น
ภาวะที่รู้ว่ามันคิดนี้ เห็นอยู่บ่อย ๆ เห็นอยู่บ่อย ๆ มันจะมีศิลปะ เหมือนกับเราเห็นหน้า
เห็นตากัน เห็นกันครั้งหนึ่ง อาจจะลืมๆหลงๆไป ให้เห็นหลายครั้งหลายคราว หลาย
หน มัน ก็รู้กันแหละ คุ้นเคยกัน รู้กัน ไม่ใช่รู้เฉย ๆ นะ รู้น้ำใจ รู้นิสัย เป็นเพื่อนเป็น
มิตรกัน อย่างไรควรคบ ควรไม่คบอย่างไร นี่่ความรู้สึกตัวนี้เช่น บางคนเห็นความคิด
ก็เข้าใจว่าตัวเองผิด พอมันคิดไป ผิดแล้ว อันนั้น เป็น เป็นผู้ผิด มันไม่ถูก เหมือน
หลวงพ่อสมัยไปปฏิบัติใหม่ ๆ อยู่วัดภูเขา บ้านบุโฮม บ้านหลวงปู่เทียน สมัยนั้น
หลวงปู่เทียนท่านให้ไปอยู่ที่นั่น มีผู้ปฏิบัติหลาย ๆ คน มีพระองค์หนึ่งเดินจงกรมอยู่
ด้วยกัน เดินไป มันเป็นภูเขา หลวงพ่อรูปนั้นเดินต่ำกว่าหลวงพ่อที่นั่งอยู่นี่ หลวงพ่อ
รูปนั้นเดินเหนื่อยก็เลยนั่ง หลวงพ่อก็เห็นท่านนั่ง แต่หลวงพ่อยังเดินอยู่ หลวงพ่อได้
ยินเสียงแป๊ะ แป๊บ เอารองเท้ามาตีหัวตัวเอง นั่งอยู่เอารองเท้าแตะมาตีหัวเองดัง แป๊ะ
โป๊ก ก็เดินไปหา ถามว่าหลวงพ่อทำอะไร หลวงพ่อรูปนั้นก็พูดว่ามันคิดอะไร ไม่รู้ว่า
มันคิดอะไรนักหนา ไอ้บ้านี่ ไอ้ห่านี่ เอารองเท้ามาตีหัวตัวเอง นั่นมันไม่ใช่เห็นแล้ว
มันเป็นไปแล้ว เอาผิดกับตัวเอง ทำเท่าไรก็ไม่รู้นะถ้าทำอย่าง นั้นน่ะมันจะไปอยู่กับ
อะไร พลัดถิ่นอยู่เรื่อย ๆ เหมือนกับปลูกข้าวแล้วถอนอยู่เรื่อย ๆ รากมันก็ไม่งอก เรา
ปลูกข้าวที่มันลอยน้ำขึ้นมา เพื่อนเขาถอดหางไก่ เขียว งามดีแล้ว (ข้าวถอดหางไก่ =
ข้าวที่ปักดำแล้วถอดยอดใหม่) นี่ยังเหลืองจ๋องอยู่ มันก็ไม่เป็นผล เพราะฉะนั้นเวลา
มันคิด อย่าไปเอาผิดเอาถูก ให้เห็นซื่อ ๆ ความคิดก็เป็นประโยชน์ เราจะได้เห็นมัน
มันไม่ใช่ผิดอะไรดอก ความคิดเกิดขึ้นแล้ว ดี เราจะได้เห็น ภาวะรู้สึก นี่ อือ..ม์ รู้สด
ชื่น เห็นมันสุข เห็นมันทุกข์ ก็ อือ..ม์ เห็นมันร้อนก็ อือ..ม์ เห็นมันหนาว ก็อือ..ม์ นี่
เป็นวิปัสสนาน้อย ๆ วิปัสสนาน้อย ๆ กำลังเกิดขึ้น

อย่างนี้ไม่ใช่นักกรรมฐาน

             ถ้าเป็นผู้ผิด เป็นผู้ถูก มันเป็นภพเป็นชาติอยู่ มันยังหลง ถ้าจะว่าแล้ว มันยังหลงอยู่
ไม่ใช่รู้ ตัวรู้นี่นะมันจะเป็นกลางที่สุด ไปประกอบกับอะไรก็ได้ มันจะเป็นกลางที่สุด
เป็นธรรมที่สุด ใช้กับอะไรก็ได้ ไม่ใช่จะไปเอาผิด ผิดไม่ชอบ ถูกเราจึงชอบ รู้เราจึง
ชอบ ไม่รู้เราไม่ชอบ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ตัวรู้ไม่เจริญ ถูกตัดถูกแบ่ง ถูก
แยกอยู่เสมอ ตัวรู้มันไม่เจริญ เข้าใจไหมโยม ที่หลวงพ่อพูดนี่ เป็นไหม เป็นไหมโยม
ที่หลวงพ่อพูดอยู่นี้ เวลามันรู้เราก็พอใจใช่ไหม เวลามันไม่รู้ ก็หน้าเง้าหน้างอ ไม่
สบายใจ เวลาใดมันผิด ก็อือ..ม์ ไม่สบายใจ เวลาใดมันถูกอือ..ม์อย่างนี้ดี หลวงพ่อเคย
ไปถาม ไปสอบอารมณ์ สมัยก่อนที่อยู่ป่าสุคะโต มีคนไปปฏิบัติมาก ไปถามผู้หญิงคน
หนึ่ง เป็นอย่างไรหนู ฮือ..วันนี้หนูแย่ ไม่รู้ว่ามันคิดอะไร มันเครียดไปหมดเลย ไม่
เหมือนเมื่อวานนี้ วันนี้หนูไม่ไหว ๆ ๆ หลวงพ่อก็บอกว่า เอ้ย..พูดอย่างนี้ไม่ ใช่นัก
กรรมฐานหรอก พูดใหม่ดูซิ เขาก็คิด ก็พูดใหม่ว่า อือ..วันนี้หนูเห็นมันคิด เห็นมันคร่ำ
เครียด เออ..ถ้าพูดอย่างนี้ใช้ได้ หนูเห็นมัน ประโยคก่อน เขาเป็น เขาก็ฉลาดขึ้นมา เขา
เห็น เห็นอะไร เห็นมันเครียดเห็นมันคิด คำว่าเห็นนี่ใช้ได้ คำว่าเป็นนี่ใช้ไม่ได้ เข้าใจ
ไหมโยม เข้าใจบ่..

              พวกเราเป็นหรือว่าเห็น แยกตรงนี้นะ วิปัสสนาจะแยกตรงนี้ กำลังถลุงแล้ว กำลังย่อย
ออก กำลังสลาย ย่อยออก สลายออก เป็นสุญญตา จนทำให้ไม่มีตัวไม่มีตน วิธีที่เราจะ
เข้าสู่มรรคผล ต้องไปทางนี้นะ มันมีอยู่ในตัวเรา มันบอกเส้นทางเรา มรรคก็แน่นอน
อยู่แล้ว มรรคก็คือดู คือเห็นนั่นแหละโยม มันมาให้เราดู มาให้เราเห็น เห็นไหม สิ่งที่
เกิดขึ้นกับกาย ทางกายก็มี ทางใจก็มี เรื่องทางใจที่มันมาให้เราดู เยอะแยะมันยินดี มี
ไหม ห้าหกวันนี้ เคยเห็นความยินดีไหม มีสุขเคยเห็นไหม มันทุกข์เคยเห็นไหม มันมา
ให้เราเห็น เห็นไหม พอใจ มีไหม ไม่พอใจ มีไหม เห็นไหม นี่ มรรค ถ้าเห็นเป็นมรรค
ไม่ใช่มัก*นะ (มัก = ภาษาอีสาน เพี้ยนเสียง หมายถึง ชอบ รัก พอใจ) ถ้าเห็นจึงจะเป็น
มรรค นั่นแหละมรรค มรรค มัชฌิมาปฏิปทา ทางไปสู่มรรค ผล ก็คือตรงนี้แหละ ตรง
เห็นอย่าเป็น มันมาให้เราเห็น บางคนอาจจะเครียด เห็นไหม เห็นความเครียด บางคน
อาจจะเห็นความง่วง เห็นไหม บางคนอาจจะเห็นความคิด เห็นไหม

เรื่องจิตนี่เอาไม่ได้ มีแต่เห็น เห็น

              ภาวะที่ดู ภาวะที่เห็นนี่นะ ให้เจริญให้มาก เจริญตัวเห็นให้มาก ให้เห็นกายมัน
เคลื่อนไหวอยู่นั่น ยกมือขึ้นเห็น เอามือลงเห็น รู้เห็น รู้เห็นอยู่ เวลาใดที่เราไม่ต้องการ
มันมา ให้เราเห็นอีก นอกจากที่เราเจตนา เช่นความคิด ไม่ได้เจตนา มันก็คิดขึ้นมา เมื่อ
เราเห็นความคิดก็หมดไป เรามากำหนดตัวรู้นี้แทนที่มันจะเสีย มันไม่เสีย ดี มันคิด
ขึ้นมา ดีเสียด้วยเราจะได้เห็นมัน เห็นมันคิด บางทีมันรู้นะมันรู้อะไรต่อมิอะไร
เยอะแยะ บางทีมันก็สุข อมยิ้ม อย่าไปเอา อย่าไปเป็น ยืนอยู่บนความเห็นเอกลักษณ์
ของนักปฏิบัติ อยู่ที่ตัวเห็นตัวดูนี่ ไม่เป็น ไม่ผิด ไม่เสียเวลา แต่ถ้าบางคนเป็น ก็เสียไป
อีกหละ เป็นปิติ เป็นปัสสัทธิ เป็นนิมิต เป็นวิปัสสนู เป็นจินตญาณ รู้อะไร เยอะแยะ
ไปหมดเลย ไปตกแหล่งความรู้ ก็รู้เอา รู้โน่นรู้นี่ เป็นผู้รู้เสียเวลาไปอีกแล้ว ไม่ต้องรู้ ก็
ได้ แต่ให้เห็นมัน เห็นมันรู้ เห็นมันไม่รู้ เหมือนกับเรานั่งรถจากโน่นจากจังหวัดชัยภูมิ
พอมาถึงวัดป่าเขาคงคา พอมาถึงที่นี่ี่แล้วไม่ต้องสอน เรื่องที่ผ่านมา ไม่ต้องสอน มัน
เห็นแล้วเพราะผ่านมา แต่บางคนพอไปเจอต้นไม้ใหญ่ร่มเย็นสบาย บางทีก็พักอยู่ที่นั่น
เสียเลย บางคนไปเจอแดดเจอร้อนหน้าดำหน้าแดงมา ไปเป็นเอากับภาวะนั้น ให้เรา
ผ่านมาเสียก่อนอย่าโลภ บางคนก็โลภเอา เอาผิดเอาถูก ก็เป็นความโลภ จะเอา จะเอา
เอาอย่างนั้นมันไม่ถูก โดยเฉพาะเรื่องจิตใจนี่เอาไม่ได้ มีแต่เห็น เห็นนี่

ถึงคราวจนเข้ามาจริง ๆ จะมีค่า

              บางคนอาจจะฟังไม่เข้าใจ พูดไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ก็พูดเอาไว้อย่างนี้แหละ ถ้ามันจน
มามันอาจจะคว้าหา อาจจะเป็นประโยชน์ในช่วงนั้น เมื่อวานนี้ก็ได้พูดกับหลวงพ่อ
เจริญ หลวงพ่อจรัลว่า ผมพูดนี้ ผมไม่ได้ทำให้คนรู้เดี๋ยวนี้ อาจจะเป็นไปไม่ได้ อาจจะ
20-30 ปีโน่น คำพูดนี้อาจจะพิสูจน์ได้ หรือ บางทีเราจน เราจนตรอกมา เพราะเราเคย
ได้ยินมา อาจจะคว้าหาเอามาทำให้มันมีขึ้นมา เช่น หลวงพ่อพูดว่า อย่าไปอยู่ ให้ดู
บางทีเราจนเจียนเข้ามา มันทุกข์ มันเจ็บมันปวด อาจจะระลึกได้ว่าหลวงพ่อเคยพูด ดูดู
มัน ก็มาดูมัน ภาวะที่ดูอาจจะช่วย ช่วยแก้ปัญหาได้ ภาวะที่ดู พอเราสัมผัสกับภาวะที่ดู
นี่ มันก็อาจจะหลุดจะพ้นจะปล่อยจะวางอะไรก็ได้ ใครจะช่วยเราเดี๋ยวนี้ เราอาจจะมี
ตาเต้นอยู่เยอะแยะ อาจจะเอาโน่นเอานี่ ยังไม่จน ถึงคราวจนเข้ามาจริง ๆ จะมีค่า จะมี
ค่า เพราะฉะนั้น พูดเอาไว้อย่างนี้แหละให้ได้ยินได้ฟังกันเอาไว้ รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบก
หาม แต่ว่าไม่ใช่เหลือวิสัยของเรา เราจึงมาทำกรรมฐานกัน กรรมเป็นสิ่งจำแนกสัตว์
มาเริ่มต้นที่ตรงนี้กัน พวกเรามาดูกาย ความรู้สึก ให้มันสัมผัสกับกายจริง ๆ บางที่เราดู
กายอยู่ สิ่งที่มันมารบกวน มาแยกให้เราหลง ชวนให้เราหลง เช่นความคิด ความง่วง
นิวรณ์ธรรมต่าง ๆ เราก็จะได้เห็นมัน จะได้เห็นสิ่งที่มันผิด จะได้เห็นสิ่งที่มันถูก เห็น
ผิด เห็นทั้งผิด เห็นทั้งถูก นี่เรียกว่ามรรคแล้ว สิ่งที่มันทำให้เราหลง เช่น นิวรณ์ธรรม
สังขาร ความคิดปรุงแต่ง เราก็จะได้เห็น บางคนก็เป็นไปกับมัน ไม่ใช่มันไม่มีค่า
บทเรียนที่มีค่า ก็คือเวลาใดที่มันหลงมันก็สอน แต่บางคนเอาความหลงมาลงโทษ เอา
ผิด ทำให้งานล้มเหลว มันไม่ใช่ เวลาใดที่มันหลง เรารู้ขึ้นมา มันมีค่าเป็นบทเรียนที่มี
ค่า เป็นบทเรียนที่ให้ประสบการณ์ ขณะที่มันหลง หลงทีหนึ่ง ประสบการณ์ทีหนึ่ง มี
ค่าทีหนึ่ง ยิ่งมันคิดหลายทีที่มันชวนให้หลง ความง่วงเหงาหาวนอน ที่มันชวนให้ ก็รู้
มัน เกี่ยวข้องกับมันถูกก็มีค่า เหมือนกับเราเรียนหนังสือ ครูสอนหนังสือ เวลา
นักเรียนทำผิด ครูสอนให้เขียน ก ไก่ นักเรียนไปเขียน ป ปลา ครูเห็นทำผิด ก็สอน
บอกนักเรียนให้แก้ไข ขณะนักเรียนทำผิด นักเรียนได้แก้ไขขณะทำผิดนั้น มันก็มีค่า
แต่เวลาใด ที่นักเรียนทำผิด ครูไม่ได้สอน มันไม่มีค่า มันเป็นบาปของนักเรียนไป ตัว
ของเราเองก็เหมือนกันเวลาใดที่มันผิด เราเป็นผู้ผิดก็เป็นบาปของเราไปเสียแล้ว แต่
เวลาใดที่เราผิด เราเห็นผิดก็แก้ไข มันก็เป็นบุญแล้ว ความผิดเป็นครู แต่ความผิด
เพราะคนอื่นบอก มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่นี่ ที่เราทำอยู่นี้ เรารู้ของเราเอง เวลาเราเห็น
ผิด เราเปลี่ยนเป็นถูก เวลาใดเห็นทุกข์ เราเปลี่ยนเป็นความไม่ทุกข์ เวลาใดเห็นมัน
โกรธ เราเปลี่ยนเป็นไม่โกรธ จุดนี้ี้ป็นกรรมของเรา คนอื่นช่วยไม่ได้หรอก ความคิด
เวลาใดที่เราคิด คนอื่นมาเห็นกับเราไม่ได้ เราเห็นเอง ความโกรธ คนอื่นก็ไม่เห็น เรา
ต้องเห็นเอง ความโลภ ความหลง กิเลส ตัณหา ราคะ ความง่วงเหงาหาวนอน คนอื่น
ไม่เห็น เราเห็น คนอื่นอาจจะเห็นบ้าง จากลักษณะภายนอก แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้า
เราเห็นขึ้นมา เราก็แก้ได้ ก็ลองแก้ลองดู อย่าเพิ่งไปหมดตัวกับมัน พอมันง่วงก็หลับ
ตาปี๋เข้าไป หาว อ้าปาก ก็เรียกว่าร่วมกับมัน เป็นแนวร่วมไปกับ มัน มันก็ง่วงง่าย เรา
หาวิธีดูซิ พอมันง่วงทำอย่างไร อย่าเพิ่งไปยอมแพ้มัน สู้มันสักหน่อย อาจจะไปมอง
ท้องฟ้า มองยอดไม้ ดูวัน ดูเวลา ดูทิศ ดูทาง เอาความรู้สึกออกไปไกล ๆ มองก้อน
เมฆ ท้องฟ้า ทำความเห็นว่าเวลานี้เป็นกลางวัน ไม่ใช่เวลานอน เป็นเวลาทำงาน
กลางคืนจึงจะเป็นเวลานอน มองไป ถ้ามันไม่หาย ก็เดินไปเอาน้ำล้างหน้า อาบน้ำ สู้
มันสักหน่อย อย่าไปนั่งสัปหงก ถ้าไปนั่งสัปหงก โอย ไม่ไหวแล้ว นั่น มันเข้าไปลึก
แล้ว ถ้าถึงกับนั่งสัปหงก ก็เข้าไปลึกแล้ว ต้องตื่น! ลืมตาทำความรู้สึก มันก็สู้ได้ มัน
เปลี่ยนได้ มันแก้ได้

ภาวนา คือ ทำความดีให้มาก

             นี่.. ปฏิบัติ ปฏิคือกลับคือแก้ ไม่ใช่เดินจงกรมทั้งวัน นั่งอยู่ทั้งวัน แต่ว่าไม่เคยแก้้ นั่น
ไม่ใช่ เวลามันครุ่นคิดก็ครุ่นคิด ไปเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง ก็นั่งคิดอยู่นั่นแล้ว ถ้าอย่าง
นั้นไม่ใช่ ปรารภความเพียร เป็นความเกียจคร้าน นักปฏิบัติคือ เปลี่ยน เปลี่ยนผิดให้
เป็นถูก เปลี่ยนหลงให้เป็นไม่หลง เวลาใดมันหลง เปลี่ยนทันทีมันจะมีค่า เวลาใดมัน
ผิด เปลี่ยน รู้ทันที ปฏิบัติ ปฏิคือเปลี่ยน ภาวนาคือทำความดีให้มาก ทำความร้ายให้
กลายเป็นความดี เขาเรียกว่าภาวนา ความดีคืออะไร ความดี ก็คือความรู้สึกตัวที่เรามา
ทำกันอยู่นี้ ทำให้มาก ๆ ทำความดีอันนี้ เรียกว่าภาวนาบริกรรม ก็คือนึกเป็นคำพูดไว้
ในใจ พุทโธ สัมมา อรหัง ๆ นะมะพะทะ ๆ อย่างบริกรรมคาถา สมัยก่อนหลวงพ่อ
เรียนคาถาต้องบริกรรม เช่นคาถาหนังเหนียวต้องบริกรรม ถ้าบริกรรมไม่ได้มั้นก็ไม่
อยู่ยงคงกระพัน ต้องบริกรรม บริกรรมถ้าตัวไม่ใหญ่คับห้องก็เรียกว่าบริกรรมไม่ได้
อันนั้นเรียกว่าบริกรรม บางทีเราใช้ศัพท์ผิด บางทีเราว่าพุทโธ ๆ เป็นภาวนา นั่นไม่ใช่
พุทโธ ๆ เป็นบริกรรม สัมมาอรหัง ๆ เป็นบริกรรม คำว่าภาวนานี้ ตัดออก คือทำ
ความรู้สึกเฉย ๆ เช่น มีสติเคลื่อนไหวไปมาอยู่รู้สึก รู้สึก นี่เรียกว่าภาวนา ภาวนา
ไม่ใช่บริกรรม ภาวนาคือ ทำความดีให้มาก ทำเอา บัดนี้ทำเอา บอกให้แล้ว รู้แล้ว รู้วิธี
แล้ว เอาไปทำบัดนี้ ให้มีการกระทำที่เกิดขึ้น รู้ที่อื่นไม่เอา หัดใหม่ ๆ นี้ รู้ที่กาย ให้รู้ที่
กาย รู้ที่อื่น ไม่เอา เอากายนี้แหละเป็นนิมิต เอากายนี้แหละเป็นวัสดุ อุปกรณ์ผลิต
ความรู้สึกตัวออกมา เพราะว่ากายนี้เป็นธรรมชาติ ถ้าเห็นกายก็ต้องเห็นจิตใจ เรื่องของ
คน ก็คือมีกายมีจิตมีใจ ให้สติมีความชำนาญอยู่ตรงนี้ นี่่ถ้าสติมันเห็น ชำนาญ อยู่ที่
กายที่ใจ มันก็จะเรียนรู้ที่นี่ นี่แหละคือตู้พระไตรปิฎก มรรค ผล นิพพาน ก็อยู่ตรงนี้
นรก เปรต อสุรกายก็อยู่ตรงนี้ ให้รู้แจ้งซะ ให้รู้แจ้งซะ อย่าให้มันมาหลอกได้ อย่าให้
กายมันหลอก อย่าให้ใจมันหลอก

เรื่องจิตใจ พัฒนาได้ถึงที่สุด สิ้นทุกข์

              ตัวสตินี่เป็นตัวศึกษา เป็นนักศึกษา ตัวสติ ตัวรู้สึกตัว จะชำนาญอยู่ในเรื่องกายเรื่องใจ
จะเรียนจบก็อยู่ที่ตรงนี้ เหมือนกับนักศึกษาเข้าเรียนในสถาบันต่าง ๆ เรียนจบจาก
สถาบันนั้น ๆ เขาเรียกว่าปริญญา จบจากที่ใหน สาขาวิชาอะไร แต่ว่า สติความรู้สึกตัว
นี้จะเป็นศึกษา คำว่าศึกษาก็คือถลุง จะไปเห็นศีล เห็นสมาธิ เห็นปัญญาออกมา สติตัว
นี้แหละศึกษาเข้าไป เรื่องกายเรื่องใจถลุงออกไปจนชำนิชำนาญ เราจะเรียกว่า
ปริญญาก็ได้ อย่างที่พูดเมื่อเช้าวานนี้ ญาตปริญญา กำหนดรู้ด้วยการรู้ ตัวปริญญา
กำหนดรู้ด้วยการแจกแจง อันนั้นเป็นรูป อันนี้เป็นนาม อันนั้นเป็นรูปทุกข์ นามทุกข์
เป็นรูปโรค นามโรค เป็นสมมุติ เป็นบัญญัติ เป็นปรมัตถ์ อยู่ในรูปในนาม ไปหานะ
ปริญญาละได้ โดยเฉพาะเรื่องจิตใจนี่ ละได้เด็ดขาด เปลี่ยนได้หมดทุกอย่าง เรื่องของ
ใจนะมันพัฒนาได้ อย่าไปจนต่อมัน อย่างที่หลวงพ่อพูดแล้ว คนโกรธคือคนจน ถ้าไม่
จน ไม่เป็นไร ปรกติภาวะที่ดูเป็นปรกติ ความปรกติเป็นมรดกทางจิตวิญญาณ ปรกติ
อย่างยิ่งจนไม่เปลี่ยนแปลงจนมันได้ที่ นี่ภาวะอันนี้เข้าให้ถึงพวกเรามีสิทธิ์เต็มที่
สิ่งที่นำไปสู่ความปรกติก็คือภาวะที่ดู ดูแล้วเห็น เห็นแล้วไม่เป็น ค่อย ๆ ปรกติ จิตก็
บริสุทธิ์ จิตที่บริสุทธิ์ไม่ถูกปรุงแต่งก็เป็นพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ไม่ใช่หัวโล้น ห่มผ้า
ขาว ผ้าเหลือง ประพฤติพรหมจรรย์คือนี่ คือความรู้สึกตัว รู้มากรู้ รู้บ่อย ๆ รู้สึกตัว
บ่อย ๆ รู้มากรู้ จิตมันก็ค่อย ๆ บริสุทธิ์ เมื่อจิตมันบริสุทธิ์ เวลามันลักคิดขึ้นมา มันไม่
เอา มันผิด ยิ่งมันโกรธ ก็ยิ่งไม่เอามันผิด มันฟุ้งซ่านเศร้าหมอง มันวิตกกังวล มันไม่ใช่
มันไม่ใช่อย่างนั้น จิตเป็นอย่างนั้น มันไม่ถูกมันก็ไม่เอา เห็นมันก็แก้ เห็นมันก็ไม่เอา
แต่บางคนไม่รู้ มันเอา เอาตะพึดตะพือ สุขก็เอา หลงก็เอา ยินดียินร้าย ไปเป็นทุกสิ่ง
ทุกอย่าง จิตอย่างเดียวนี้ ไปเป็นได้ร้อยเรื่องพันอย่าง กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด มัน
ก็อยู่ตรงนี้ เราก็เลยไม่มีอิสระ ไม่เป็นพรหมจรรย์ ไม่บริสุทธิ์ ไม่ปรกติ วิธีที่เราทำอยู่นี่
แหละไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน 2500 กว่าปี ยังทนทานต่อการพิสูจน์ เป็นวิทยาศาสตร์
ทนต่อการพิสูจน์ได้

ศาสนาจะนำโลกต่อไป คือ พุทธศาสนา

             เดี๋ยวนี้นักวิชาการเขาพูดกันว่า ศาสนาจะนำโลกต่อไปคือศาสนาพุทธ ผู้หญิงจะเป็น
ผู้นำสังคม ผู้ชายจะเป็นช้างเท้าหลังก็ได้ ต่อไปผู้หญิงอาจจะเป็นช้างเท้าหน้า ศาสนา
พุทธจะเป็นศาสนาที่นำ โดยเฉพาะวิธีที่เราสร้างจังหวะเคลื่อนไหวกาย อย่างที่เราทำ
อยู่นี้ กำลังเป็นที่นิยมของปัญญาชนทั่วไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะมัน
สัมผัสได้ เพราะเราเอาของจริงไปสอนเขา รู้ ดูซิ ยกมือขึ้น ดูซิ รู้สึกไหม รู้ นี่ เป็นวิธีที่
ท้าทาย พิสูจน์ได้ ให้ผลได้ ไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดวัย จะเป็นชาติใดภาษาใดก็ตาม
ใช้ได้อยู่ สัมผัสได้อยู่ นี่เป็นวิธีที่สากลที่สุด โชคดีของพวกเรา 30 ปีมานี้ในยุคสมัยนี้
หลวงปู่เทียนเท่านั้นแหละที่นำยุคนำสมัย เหมาะสมที่สุดกับทุกเพศ ทุกวัย อย่างที่
หลวงพ่อพูดว่า อย่าเอาความเฒ่าความแก่ อย่าเอาความเป็นหนุ่มเป็นสาว มาเป็น
อุปสรรคขัดข้อง จะเป็นเฒ่าเป็นแก่ ความรู้สึกก็อันเดียวกัน จะเป็นหนุ่มเป็นสาว
ความรู้สึกก็อันเดียวกัน นี่จึงว่ามันเหมาะมันสม มันเป็นสากล จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
จะมีความรู้หรือไม่มีความรู้ก็ไม่เป็นไร ขอให้มีความรู้สึกตัวเป็นใช้ได้ทั้งนั้น นี่ เดี๋ยวนี้
กำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วๆไป หลวงพ่อ ก็เคยไปสอนหลายประเทศ เอาไปให้เขา
พิสูจน์ดู พิสูจน์ดู ทุกคนก็ยอมรับ เป็นวิทยาศาสตร์ มันจริง มีกายจริง มีจิตจริง มีสติ
จริง ถ้ามีสติเข้าไปรู้กายเข้าไปรู้ใจ เรื่องทั้งหลายก็หยุดลง ก็หยุดลง ก็เชื่อง นี่อานิสงส์
การมีสติเข้าไปรู้กายรู้ใจ นี่เป็นการพัฒนาชีวิตที่ครบวงจรที่สุด ความทุกข์ทั้งหลายก็
หมดไป สุขภาพดี เศรษฐกิจก็ดี

ตกกระได พลอยกระโจน

               ก่อนหน้านี้ไปพูดที่มุกดาหาร ไปสอนที่นั่นก็ไปพูดเรื่องนี้แหละ อาจารย์สมศักดิ์ก็พูด
อย่างที่ท่านพูดนั่นแหละ ก็ได้ตะกร้าหมากมาหลายใบหลายห่อ ที่นี่ยังไม่มีคงจะเลิก
กันได้แล้ว บริสุทธิ์กันแล้วนะ เลิกได้เศรษฐกิจก็ดีเป็นการพัฒนา ชีวิตที่ครบวงจร
ที่สุด ขออภัย ไม่ใช่อวด ตั้งแต่หลวงพ่อศึกษาเรื่องนี้มา ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย สุขภาพ
ดีจริง ๆ เพราะมันได้ที่ การพัฒนาชีวิตมันได้ที่ของมัน สิ่งใดที่มันได้ที่ มันก็อยู่ของมัน
มันมีเจ้าของ มันมีผู้ดูแลรักษา ธรรมนี่แหละจะคุ้มครอง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติ
ธรรม ฉะนั้นไม่ผิดอย่าไปลังเลสงสัยอยู่เลยพวกเรา พวกเราพยายามทำความรู้สึกตัว
มันไม่มีเปิด มันไม่มีปิดหรอก* (หมายถึง เปิด-ปิด โครงการอบรม 20-28 ม.ค. 2538 )
พยายามเรียนรู้ สัมผัสกับความรู้สึกตัว กลับไปบ้าน กวาดบ้าน ซักผ้า ล้างถ้วยล้างชาม
ดู ดูตัวเองไป เตรียมเอาไว้ บางทีมันอาจจะเป็นประโยชน์ ตกกระไดพลอยกระโจน
มันอาจจะเป็นศิลปะขึ้นมา เดี๋ยวนี้เรายังไม่ตกกระได ยังไม่ใช้วิชานี้ ก็เรียนรู้เอาไว้
บางที เมื่อถึงเวลาขึ้นมาก็เอาวิชานี้ออกมาใช้ มันจะไม่หัวร้างข้างแตก อาจจะเป็นกีฬา
ขึ้นมาก็ได้ หลวงปู่เทียนเคยพูดเอาไว้ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ชีวิตของเราช่วงนี้ยังมีลม
หายใจ ยังไปไหนมาไหนได้ แต่ถ้าถึงเวลาเข้าจริงๆ แล้ว มันอาจจะฟื้นเอาวิชานี้ขึ้นมา
คู่ชีวิตของเราก็ได้ หลวงปู่เทียนท่านพูดไว้ว่า ถึงแม้นว่าเราทำอยู่นี้ มันยังไม่รู้ แต่ก่อน
จะตายสัก 10-20 นาที มันอาจจะทำได้ มันอาจจะเป็นประโยชน์ เมื่อพรรษาที่ผ่านมา
ญาติผู้ใหญ่ของหลวงพ่อตาย พี่ชายแม่ ก่อนที่จะตายก็ไปนั่งพูดด้วย ท่านก็เป็นนัก
ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมจนวาระสุดท้าย ท่านบอกว่าถ้าตอนนี้มันก็ไม่เป็นไร มัน
บังคับคุ้มครองได้อยู่ มันคุ้มครองได้อยู่ ถามท่านก็รู้ทุกขณะ แต่ถ้ามันคุ้มครองไม่ได้
มันอาจจะเป็น อย่างไรก็อย่าพากันเสียใจนะ อย่าพากันร้องห่มร้องไห้ อย่าพากันคิดไป
อย่างอื่น เดี๋ยวนี้ก็อยู่ตรงนี้ ตรงที่มันไม่เป็นอะไร กำลังดูมันอยู่ แต่ถ้าควบคุมไม่ได้
มันอาจจะตาเหลือก ตาหลน มันจะเป็นอะไรขึ้นมา ก็เรื่องของมัน พวกลูกพวกเต้า ก็
อย่าพากันตกอกตกใจ ดูเฉย ๆ ดูมันเฉย ๆ เดี๋ยวนี้พ่อกำลังดูมัน ไม่มีใครเกิด ไม่มีใคร
แก่ ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตาย นี่ มันคว้าเอามา มันจับเอามา มันปลอดภัย มีแต่เห็นไป
แต่บางคนไม่ศึกษา เห็นไหมที่หลวงพ่อพูดว่า ยายแก่ตกเบ็ดจนตาย ลูกมาจับแขนไว้ ก็
เอาไม่อยู่ ในที่สุดลูกหลานก็ต้องปล่อยให้แม่ตกเบ็ดไปจนตาย มันก็เป็นเปรต เป็น
สัตว์นรกไปแล้วเป็นอย่างนั้น ก็น่าเสียดายชีวิตที่เกิดมาเป็นชีวิตที่โมฆะ

เท็จจริง พิสูจน์เอา

             เดี๋ยวนี้ เราอยู่ตรงไหนกัน 5 วัน 6 วันมาแล้ว เราอยู่ตรงไหนกัน บางคนอาจจะไปอยู่
กับลูกกับหลาน ไปโกรธคนนั้นคนนี้ อย่าไป ให้มาอยู่ตรงนี้ อยู่กับมือเคลื่อนไหวนี่
แหละ เดี๋ยวจะไปตกเบ็ดนะ เตรียมตัวเตรียมอันนี้เอาไว้ เมื่อถึงเวลาต้องให้มันสงบ
นั่นเขาเรียกว่าวิญญาณ เดี๋ยวนี้เราจะติดอยู่กับอันนี้มันรู้อยู่ มันกำลังท่องเที่ยวอยู่ ให้มา
อยู่ตรงนี้ให้เกิดความชำนาญ ชำนิชำนาญมันจะติด มันจะรู้อยู่ ภาวะที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่
เจ็บ ไม่ตาย ก็คืออันนี้แหละ ไม่ใช่บ้านไหนเมืองไหน เริ่มจากภาวะที่รู้สึกตัวเข้าไปตัว
นี้แหละ มันจะนำเราไปสู่ความปลอดภัยที่สุด ถึงมรรค ถึงผล อยู่ในนี้ เริ่มจากก้าวนี้ไป
รู้สึก นี่ก็ก้าวไป กำลังท่องเที่ยวไป รู้สึก รู้สึก รู้มาก รู้เข้าไป บุญก็อยู่ตรงนี้ ศีลก็อยู่ตรง
นี้ ทานก็อยู่ตรงนี้ ความหลุดความพ้น ก็อยู่ตรงนี้ ความรู้สึกตัวมันตัดอะไรไปบ้างแล้ว
โยม พอเรามารู้สึกตัว มันผ่านอะไรไป มันผ่านบาปผ่านเวรไป ไม่มีความอาฆาต ไม่มี
ความพยาบาท ไม่มีความรัก ไม่มีความชัง มาสัมผัสกับความรู้สึกตัวนี้ เห็นไหม เห็น
ไหม มันผ่านอะไรไป มันรู้ไป รู้ไป รู้ไป มันก็สิ้นเวรสิ้นภัย เหนือทุกสิ่งทุกอย่างนี่ของ
จริงแท้ๆ แหละ ของจริงแท้ ๆ อย่าให้เขามาหลอก เดี๋ยวนี้พวกเราถูกหลอกเยอะแยะ
เอานรกมาขู่เอาสวรรค์มาหลอกนอกตัวเราไป นี่ให้พิสูจน์ร่วมกันดู ก็อย่ามาเชื่อหลวง
พ่อ ให้ทุกคนพิสูจน์เอา เราสัมผัสกับความรู้สึกตัว มันจริง มันเท็จอย่างไรก็พิสูจน์เอา
นี่ก็พูดเพื่อแสดงออกถึงความเป็นไปได้ เป็นกัลยาณมิตร กัลยาณธรรมต่อกัน จะผิดจะ
ถูกจะเป็นอย่างไร ทุกคนต้องช่วยตัวเอง วันนี้ต้องเอา ต้องสร้างจังหวะ รักเดียวใจเดียว
เอาให้สุดหัวใจ จะเดินอยู่ทางเดินจงกรม จะนั่งอยู่ใต้ต้นไม้สร้างจังหวะ พยายามปลูก
สติ รู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าไป จนให้รู้มากขึ้น นี่แหละ มรดกของเรา อริยทรัพย์ของเรา
สร้างเอา สร้างเอา ยังมีลมหายใจอยู่ อย่ารอให้ตายไปเลย สร้างเอาเดี๋ยวนี้ !

              เอาหละ ที่พูดมาก็พูดจากสภาวะธรรม ไม่ได้จำใครมา สิ่งที่หลวงพ่อพูดนี้ก็มีอยู่กับทุก
คนที่นั่งฟังอยู่นี้ ก็ด้วยความปราถนาดีกับทุกคนทุกรูปทุกนาม ที่ได้ตั้งจิตไว้ดีแล้ว
ขอให้คุณความดีทั้งหลายและความดีที่เราได้ร่วมทำกันมา จงเป็นตบะเป็นเดชะ ค้ำจุน
หนุนส่งให้ทุกรูปทุกนามเข้าถึงสภาวธรรม เป็นธรรมอันเกษม เป็นธรรมอมตะ ที่ไม่
เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายในวันนี้กันทุกคนเทอญ

หมายเหตุ :
บทความจากวารสาร ร่มโพธิ์แก้ว ฉบับที่ 10 ปีที่ 2 พ.ศ. 2538
เป็นวารสารของกองทุนชี้ทางธรรม วัดสวนแก้ว ม.1 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี
11140 โดยมี คุณปรีชา ก้อนทอง เป็นบรรณาธิการ__
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2620 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2554, 15:36:31 »

เห็นคำนิยมพี่สิงห์ให้อ่านให้จบแล้ว
หนิงรีบทำตัวลีบ แม้ลีบไม่ได้มาก
ค่อยๆงีบตัวออกไป แต่ไม่ขี้โกง
แปะโป้งไว้หน้าประตูว่า...เดี๋ยวมาคะ
พร้อมclickขวา จิ๊กรูปไปเก็บด้วย.
      บันทึกการเข้า


เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2621 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2554, 18:38:16 »

ตามมาเก็บไปอ่านค่ะพี่สิงห์
 แต่ต้องค่อยๆ อ่านค่ะ
 อ่านเร็วๆ เหมือนคิดตามไม่ทันค่ะ
 ขอเก็บไว้อ่านก่อนนะคะ
      บันทึกการเข้า
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #2622 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2554, 20:16:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 23 กรกฎาคม 2554, 14:09:25
 
อ้างถึง   
อ้างถึง
ข้อความของ Dtoy16 เมื่อ 23 กรกฎาคม 2554, 11:39:52
                 
                                             .
                                           
                                         
                                            .

พี่ต้อย  ฝึกและเรียนรู้ได้เร็วมาก (เสียงทีวี ไม่เข้าหู แสดงว่าสมาธิ อยู่กับธรรมะที่เราอ่าน หรือที่เราปฏิบัติอยู่)

ขอส่งกำลังใจให้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง นะครับ

สวัสดี

         lสวัสดีค่ะคุณสมชาย  ไม่สงสัยเรื่องหูตึงหรือค่ะอาจเป็นได้น่ะ เพราะฝึกได้ไม่นานยิ่งคนที่บ้านก็เป็นบ่อย
พูดจนจบคิดว่ารู้เรื่อง  ที่แท้บอกไม่ได้ฟัง กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ จะพยายามฝึกสมาธิต่อไปขอบคุณค่ะ
      บันทึกการเข้า

Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #2623 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2554, 20:29:33 »

                     สวัสดีค่ะพี่สิงห์    วันนี้ได้อาศัยธรรมะที่พี่แนะนำขณะแช่ตัวอยู่ในน้ำพุร้อน ทุกครั้งแค่แหย่เท้าก็หดกลับคราวนี้
                                            นิ่งอยู่ ไม่พูด ไม่ออกแรง ค่อยค่อยรู้สึกตัวความจริงมันแค่อุ่นไม่คิดอะไร ลองก้าวช้าช้า
                                            ในน้ำเหมือนเดินจงกลม  ก็แช่อยู่ได้สัก15นาทีค่ะ ขึ้นพัก แล้วลงแช่ต่อ ช่วยเรื่องหายใจโล่ง
                                            ด้วยค่ะ  พี่สิงห์คงถึงกรุงเทพแล้ว อาทิตย์นี้เปี๊ยกก็มีประชุมที่กทม.กลับกระบี่พรุ่งนี้
      บันทึกการเข้า

Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2624 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2554, 21:01:24 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร คุณน้องต้อย คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
   
                       ปกติธรรมชาติของจิตคนนั้น เวลาเจองู หรือสัตว์ร้าย หรือน้ำร้อน หรือผี และเหตุุร้ายๆ จิตมันจะกลัว จิตมันจะสั่งโดยอัตโนมัติให้เราหนีทันที เช่นเอามือไปจุ่มน้้ำร้อน จิตมันจะสั่งทันทีให้หดมือไม่กล้าสู้ เจองูปัีปมันสั่งทันทีให้หยุดกึก โดยที่ไม่ได้คิดเลย ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนั้น

                       แต่จิตมนุษย์นั้น พอเจอกับสิ่งที่ไม่รัก ไม่ชอบ หรือความโลภ  ความโกรธ  ความหลงเข้า จิตมันจะวิ่งแส่เข้าหาทันที เกิดการปรุงแต่งอารมณ์ต่อไปต่างๆ นาๆ ให้ได้ทุกข์และสั่งให้รูปทำงานต่อทันที ผลคือทุกข์ตามมา ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนั้น

                       เมื่อจิตมนุษย์เป็นอย่างที่บอกมาแล้ว เราถึงต้องมีการฝึกสติให้อยู่กับอิริยาบถ ณ ปัจจุบัน เข้าไว้  เพื่อฝึกเอาไว้รอรับเหตุการณ์ที่กล่าวมาแล้ว เราจึงจะสามารถควบคุมจิตของเราได้ ไม่ให้ปรุงแต่งไปตามที่ประสพนั้น ครับ

                       ถึงอย่างไร พี่สิงหือยากให้ทุกท่านอ่าน ศิลปรู้ซื่อๆ ของหลวงพ่อคำเขียน ครับ เพราะท่านเอามาจากประสพการณ์จริงของท่านที่ปฏิบัติธรรม มาบอกกล่าวครับ

                       พี่สิงห์ไปใต้ครั้งใด สองอาทิตย์ที่ผ่านมา เจออากาศ  เจอฝุ่น  เจอแอร์ในห้องทำงาน(กลิ่นอับจากที่น้ำท้วม) และใช้เสียงในการประชุม ผลคือ ไอมากทุกครั้ง ต้องป่วยต่อกลับมา ครั้งนี้ก็เช่นกันครับ  ไอจนแสบคอมาก พรุ่งนี้วันจันทร์กลับไปเยี่ยมแม่ที่สิงห์บุรี คงต้องไปหาคุณหมอวิทิตที่โรงพยาบาลสิงห์บุรีเพื่อดูคอ ครับ หรืออาจจะเป็นเพราะพี่สิงห์เป็นโรคภูมิแพ้อย่างแรง เคยรักษายาที่ดีๆ จากโรงพยาบาลเวชธานี พอเปลี่ยนมาใช้ประกันสังคม รับประทานยาหลวง เลยไม่ค่อยได้ผลก็เป็นได้ ครับ หรืออาจจะเป็นเพราะไม่ได้หยุดพักอย่างจริงจัง คือ ออกกำลังกาย และไปตีกอล์ฟ มันจึงพาลไปใหญ่  พี่สิงห์กำลังพิจารณากาย และพฤติกรรมตัวเองอยู่ เพราะไอต่อเนื่องมาเดือนหนึ่งแล้ว ไข้ไม่มี น้ำมูกไม่มี มีแต่ไอจนแสบคอ  น้ำเกลือก็อมบ่อยมากจนลิ้นไม่รู้รสไปแล้ว จึงต้องเลิกอมน้ำเกลือ  ใช้ทุกสิ่งที่มีความรู้หมดแล้ว  ก็ยังไม่ได้ผล  คงต้องหยุดทุกอย่าง จริงๆ โดยการหนีไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสุคะโต กับหลวงพ่อคำเขียนสักอาทิตย์ เพราะมีข้าวกินสองมื้อ ไม่ต้องพูดจากลับใคร ปฏิบัติธรรมอย่างเดียว   อากาศดีสดชื่น กำลังพิจารณาดูว่าสมควรไปหรือไม่

                       รักษาสุขภาพกันบ้างนะครับช่วงนี้ อย่าให้เป็นแบบพี่สิงห์เลย 

                       ไปทางไหนเวลานี้  เห็นมีแต่คนไอเป็นส่วนใหญ่ทั้งนั้นเลย  เสียงไอไม่เคยหยุด

                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 103 104 [105] 106 107 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><