01 กรกฎาคม 2567, 01:45:22
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 96 97 [98] 99 100 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3336490 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 18 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2425 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2554, 07:42:15 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รัก ทุกท่าน
                       ผมได้รับหนังสือจากท่านขุน ๒๘ อ่านจบไปหลายครั้งแล้ว คิดว่ามีประโยชน์  จึงได้ถือวิสาสะ คัดลอกมาลงให้ทุกท่านได้ศึกษา  ลองอ่านดูและพิจารณาด้วย ปัญญา ของท่านครับ
                       สวัสดี(30175)




รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน


หลวงพ่อเทียน

ความมหัศจรรย์ในพระธรรดา

บันทึกการสนทนาธรรมโดย

น.พ. วัฒนา  สุพรหมจักร

**********************

คำนำในการจัดพิมพ์ครั้งนี้

   หนังสือเล่มนี้  เป็นบันทึกการสนทนาธรรม  ในลักษณะ  ถามตอบปัญหา  โดยนายแพทย์วัฒนา  สุพรหมจักร  และหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  ท่านได้ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับธรรมหลายข้อ  ซึ่งเกิดขึ้นช่วง  ประมาณ  ๔ - ๕ ปี ก่อนท่านมรณภาพ  คำตอบของหลวงพ่อเทียน  ให้ความเข้าใจในหลักธรรมของพุทธศาสนาชัดเจนและมีค่ายิ่ง  ผมจึงตัดสินใจขออนุญาติคุณหมอ  จัดพิมพ์บันทึกของท่าน  และก็ได้รับกรุณา  จึงได้ชักชวนผู้สนใจร่วมจัดพิมพ์เป็นธรรมทาน  แก่คนทั่วไป  คุณหมอได้เล่าเหตุการณ์ในช่วงที่ท่าน  และคณะแพทย์ดูแลอาการอาพาธของหลวงพ่อเทียน  มีสิ่งที่น่าสนใจ  ขอนำมากล่าวไว้ในที่นี้ด้วย

   “หลวงพ่อเทียน อาพาธ  และได้รักษาที่ โรงพยาบาลสมิติเวช  เมื่อประมาณ ๒๐ ปีที่แล้ว  เป็นโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร  ที่ลุกลามมากแล้ว  และพบว่าผลการผ่าตัดรักษาดีกว่า  ผิดไปจากที่กล่าวไว้ในตำราและดีกว่าคนไข้ปกติทั่วไป  เป็นตัวอย่างที่ดีว่าผลของคนที่ฝึกจิตใจตนเองอย่างดีแล้ว  การรักษาโรคภัยที่เกิดขึ้นก็จะได้ผลดีมากกว่าที่คาดคิดหรือที่เข้าใจ  ท่านมรณภาพจากโรคปอดบวม  หลังจากการผ่าตัดประมาณ ๔-๕ ปี  โดยที่ท่านได้บอกคณะแพทย์ก่อนที่จะรักษาว่า  ในการเจ็บป่วยครั้งนี้ ท่านจะมรณภาพ  ซึ่งคณะแพทย์ได้ขอรักษาให้ยาอย่างเต็มที่  เป็นเวลา ๒ สัปดาห์  ท่านได้พิจารณาแล้วจึงยินยอมให้ทำการรักษา  เมื่อครบเวลารักษาแล้ว ท่านขอออกจากโรงพยาบาล  และมรณภาพอีก ๒-๓ วันถัดมา พระชาล์ล  นิโรโธ  ได้บอกกระผมว่า  หลวงพ่อได้แสดงความมีสติ  รู้ตัวเป็นอย่างดีและปกติ  จนถึง  ลมหายใจสุดท้าย  เหมือนกับไฟเทียนไขที่จุดแล้ว ดับไปเมื่อเชื้อหมด”

   คุณหมอยังได้บอกเพิ่มเติมไว้ ว่า “บันทึกของหลวงพ่อนี้ผมไม่เคยจัดพิมพ์เอง  มีแต่คนสนใจได้นำไปจัดพิมพ์หลายครั้งทั้งภาษาไทย  อังกฤษ  และเสปน  โดยที่กระผมได้แสดงเจตน์จำนง  ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะไม่มีลิขสิทธิ์  เพราะถ้าผมไม่ถาม  ก็จะมีคนอื่นถามคำถามนี้  และถ้าหลวงพ่อเทียนไม่ใช่คนตอบก็จะมีคนอื่นตอบเช่นนี้เหมือนกัน  ทั้งนี้จะเป็นตามที่หลวงพ่อกล่าวไว้ว่า  คนที่รู้ธรรมมะที่แท้จริงนั้น จะรู้และเข้าใจในสิ่งเดียวกัน เหมือนกันในภาษาที่เราเข้าใจได้”  “ถ้าจะมีผู้ใดเล็งเห็นประโยชน์จัดพิมพ์  หรือมีผู้อ่านที่ได้ประโยชน์จากบันทึกนี้บ้างสักเล็กน้อย กระผมก็ยินดีเป็นที่สุดแล้ว”

   ในช่วงนั้นเอง  ที่คุณหมอได้มีโอกาสถามข้อสงสัยในธรรมหลายประการ  และได้บันทึกคำตอบไว้  เป็นบันทึกน่าศึกษา  พร้อมกับการศึกษา  ข้อธรรมะ  และคำสอนของหลวงพ่อเทียน

   ปัจจุบันคุณหมอวัฒนา  สุพรหมจักร  เป็นศัลย์แพทย์  อยู่ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์  ถนนสุขุมวิทย์  ๓  กรุงเทพฯ  บันทึกที่ท่านทำไว้  ซึ่งเป็นเพียงการถามตอบสั้นๆ ที่มีผู้ขอจัดพิมพ์  เป็นหนังสือชื่อ หลวงพ่อเทียน  ความมหัศจรรย์ในพระธรรมดา  ไว้ก่อนนี้แล้ว  และผมได้ขอจัดพิมพ์ขึ้นอีก  ดังที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้  ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่น่าศึกษา และนับได้ว่าเป็นบันทึกที่มีคุณค่ามาก  ที่ผู้สนใจหลักพระพุทธศาสนาจะพบคำตอบ  เกี่ยวกับพุทธศาสนาหลายอย่าง  ที่คุณหมอวัฒนา ใช้คำว่ามหัศจรรย์  ซึ่งอ่านแล้วผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ และยังชวนให้มีโจทย์ที่อยากจะถามต่ออีกมากมาย  แต่หลวงพ่อเทียน  ท่านก็ได้มรณภาพไปแล้ว  อย่างไรก็ตามคุณหมอวัฒนา  ได้ชี้ไว้  โดยอ้างคำกล่าวของหลวงพ่อเทียนด้วยว่า  “เพราะถ้าผมไม่ถามก็จะมีคนอื่นถามคำถามนี้  และถ้าหลวงพ่อเทียนไม่ใช่คนตอบก็จะมีคนอื่นตอบเช่นนี้เหมือนกัน  ทั้งนี้จะเป็นตามที่หลวงพ่อกล่าวไว้ว่า คนที่รู้ธรรมะที่แท้จริงนั้นจะรู้และเข้าใจในสิ่งเดียวกันเหมือนกันในภาษาที่เราเข้าใจได้”

   บันทึกของคุณหมอ จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประสงค์จะเข้าใจพุทธใช้ศึกษาหลวงพ่อเทียน  และธรรมที่ท่านได้บรรลุและเผยแพร่มาถึงเรา  หนังสือเล่มนี้  คุณหมอวัฒนา คงมีเจตนาที่จะให้ผู้อ่านรู้จักหลวงพ่อเทียนโดยตรง ท่านจึงไม่เขียนขยายความคำตอบของหลวงพ่อ ไม่แทรกความเห็นเพิ่มเติมคือปล่อยให้ผู้อ่านได้คิดเอง  ไตร่ตรองเอง  ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดีมาก  ที่ผู้อ่านจะรู้จักหลวงพ่อเทียน  โดยไม่มีเงาของผู้บันทึกฉายซ้อน  ด้วยเหตุนี้ผมจึงอยากพิมพ์หนังสือเล่มนี้  ทั้งเพื่อขอบคุณ คุณหมอวัฒนา ที่ช่วยให้ผมรู้จักหลวงพ่อเทียน และเพื่อให้ชาวพุทธได้มองเห็นพุทธ  จากหลวงพ่อเทียน  ผู้ปฏิบัติธรรมและได้บรรลุธรรมโดยวิธีของท่านเอง

   หลวงพ่อเทียน เข้าถึงและบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า  ด้วยวิธีที่ท่านเรียกว่า การเจริญสติ  ด้วยการเคลื่อนไหว  ปัจจุบันนี้  ผู้ปฏิบัติธรรมจะพบวิธีเข้าถึงธรรมจากหลายสำนัก  ในการทำจิตให้มีสมาธิ  จิตสงบและผ่อนคลาย  เกิดนิมิตร  มีหลายรูปแบบ เช่น วิธีให้การมีสติอยู่ที่ลมหายใจ (ท่านพระพุทธทาส และอีกหลายสำนัก) การภาวนายุบหนอพองหนอ (หลายสำนัก) การภาวนาพุทโธ (หลายสำนัก) การเพ่งกษิณ (หลวงพ่อวัดปากน้ำ) การเคลื่อนไหวมือ และร่างกาย (หลวงพ่อเทียน) และการเดินจงกรม เป็นวิธีที่ทุกวิธีอื่นๆ ใช้ปฏิบัติร่วม  คือมีใช้มาตั้งแต่สมัยพระพุทธกาล  ส่วนการเคลื่อนไหวมือเกิดขึ้นสมัยหลวงพ่อเทียน เมื่อราว ๕๐ ปีมาแล้ว สมมติฐานของท่านคือ ธรรมชาติของจิตคนไม่อยู่นิ่ง  การหลับตานั่งนิ่ง  แม้จะภาวนาไปด้วย  จิตก็ไม่อยู่กับที่  หากไม่มีสติที่เข้มแข็งมาคุม  จิตก็จะลื่นไหลไปสู่เรื่องอื่น  การเคลื่อนไหวร่างกาย  โดยให้จิตอยู่กับการเคลื่อนไหว  จะทำให้มีสติมาคุมจิตอยู่ตลอดเวลา  พร้อมๆ กับการเคลื่อนไหวนั้น  โดยหลักการ  จะเคลื่อนไหวมือเป็นจังหวะมี ๑๕ จังหวะที่จิตจะต้องเพ่งไปตามจังหวะที่มือเคลื่อนไหว ในการประยุค การเดิน การนั่ง การดื่ม การกินข้าว ที่มีการเคลื่อนไหว และให้มีสติเกาะติดอยู่ที่นั่น  ถือเป็นการทำให้สติเจริญ  สามารถคุมจิตได้  อานิสงของการมีสติจะทำให้จิตเข้มแข็ง  และบังเกิดผลตามมาอย่างไรบ้าง  ผมคิดว่า  มีท่านผู้รู้หลายท่าน  จะให้คำตอบที่ท่านสามารถจะใช้เทียบเคียงกับประสพการณ์ของแต่ละท่านได้  ผมคงไม่บังอาจบอกกล่าวกับใครได้  แต่ในภาพรวม ผมเพียงขอเรียนว่า  มีผลดีต่อผมหลายอย่าง  และวิธีของหลวงพ่อเทียน  คิดว่าปฏิบัติได้ง่าย

   วิธีเจริญสติของหลวงพ่อเทียน  ผู้เจริญสติวิธีนี้อาจมองเห็นว่า มีองค์ประกอบร่วมกัน ๔ ประการ คือ

      เคลื่อนไหวร่างกาย (มือ)
      ลืมตาเห็นการเคลื่อนไหว (ไม่หลับตาเหมือนวิธีอื่นๆ)
      จิตอยู่ที่จุดที่มีการเคลื่อนไหว
      สติ (รู้สึกตัวว่า) เห็นจิต

   หลวงพ่อเทียน  พระชาวบ้าน ไม่มีการศึกษา จากจังหวัดเลย  ตอบประเด็นพุทธศาสนาหลายประเด็น ที่อาจต่างไปจากที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก  หรือเป็นประเด็นที่แตกต่างไปจากที่มีคำอธิบายในพุทธประวัติ  ยกตัวอย่าง เช่นคำถาม ที่ว่า ทำไมพระอานนท์ จึงเป็นพระอรหันต์ช้ากว่าพระอรหันต์หลายรูป  ทั้งๆ ที่พระพุทธองค์ตรัสชมว่า พระอานนท์มีความรอบรู้มาก  ท่านจะพบคำอธิบายของหลวงพ่อเทียน  จากบันทึกของคุณหมอวัฒนา  สุพรหมจักร เล่มนี้  ในพุทธประวัติเล่มต่างๆ ท่านอาจพบคำตอบต่อคำถามนี้ในเชิงอุปมาอุปมัย  แต่หลวงพ่อเทียน ตอบด้วยการแจ้งเหตุที่ไม่ใช่เป็นการอุปมา อีกหลายประเด็น เช่น  ทำไมหลวงพ่อเทียน ไม่ค่อยอิงพระไตรปิฎกในการสอนธรรมะ พระพุทธเจ้าสอนให้คนไปนิพพานก่อนตาย หรือหลังตายแล้ว  พุทธภาวะเกิดในคนธรรมดาได้หรือไม่ และอีกหลายปัญหาและคำตอบในหนังสือเล่มนี้ คำอธิบายข้อธรรมะของหลวงพ่อเทียน เป็นความรู้ที่ท่านได้ปฏิบัติ และบรรลุรู้แจ้งด้วยตนเอง  เมื่อวันจันทร์ที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งคำอธิบายต่างๆ  มีส่วนตรงกันกับที่พระคุณเจ้าพระพรหมคุณาภรณ์ กล่าวไว้ในหนังสือจาริกธรรม ที่พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙ นี่คือความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง ที่พบในพระธรรมดารูปนี้

   บันทึกการสนทนาธรรมฉบับนี้มีลักษณะพิเศษ  แตกต่างไปจากการบรรยายธรรมของหลวงพ่อเทียน  เพราะเป็นการตอบคำถามที่หลวงพ่อตอบคำถามของคุณหมอวัฒนา  โดยปรกติ การแสดงธรรมหรือปาฐกถาธรรม  ที่พระท่านแสดงโดยทั่วไป  ก็จะกล่าวถึงข้อธรรมะ และอธิบายความหมายพร้อมยกตัวอย่าง  เป็นลักษณะ one way communication คนทั่วไป ฟังแล้วก็ผ่านไป แทบจะเรียกว่า 100% จะไม่มีการถามปัญหาแตกประเด็นที่เกี่ยวโยงกับเรื่องอื่น  ความจริงแล้ว  พระท่านก็มีข้อจำกัด  ทั้งๆ ที่ท่านมีคำอธิบายเกี่ยวเนื่อง  เมื่อไม่มีใครถาม  ท่านจะถามเองตอบเองก็ดูกระไรอยู่  ในโอกาสที่คุณหมอวัฒนา ได้ใกล้ชิดขณะเฝ้ารักษาอาการอาพาธของท่าน  และได้โอกาสถาม  จึงได้คำตอบในแง่ธรรมะมากมาย  นับเป็นการใช้โอกาสบันทึกคำถามตอบที่มีคุณค่ามาก ที่ทั้งให้คำอธิบายธรรมะ และเข้าใจความมุ่งหมายของพุทธ  ที่หลายเรื่องเราไม่เคยได้ยินจากที่ไหน

   หลวงพ่อเทียนคือ พระที่ตอบปรัชญาของพุทธได้ชัดเจนตรงไปตรงมา  ด้วยภาษาที่เรียบง่าย  และคำตอบเป็นสิ่งที่ได้จากการปฏิบัติจริงจากประสพการของท่าน  จากคำตอบของท่าน  อ่านได้ว่า  ท่านยึดหลักกาลามสูตรอย่างมั่นคง  เสียดายท่านมรณภาพไปหลายปีแล้ว  แม้บันทึกของคุณหมอวัฒนาจะสั้นเพียง ๔๗ ประเด็นถามตอบ  ก็สะท้อนคุณค่า  อันยิ่งใหญ่  ของการปฏิบัติและบรรลุธรรม (ธรรมของพระพุทธเจ้า) ของหลวงพ่อ

   อานิสงส์ของการบันทึกของคุณหมอวัฒนาเล่มนี้  หวังว่าจะช่วยให้ผู้อ่านรู้จักหลวงพ่อเทียน ในฐานะผู้บรรลุธรรมให้เราชาวพุทธ  เข้าใจพุทธ  ได้เข้าถึงพุทธภาวะ  พบความสะอาด  สว่าง  สงบ  ทุกภพ  ทุกชาติ  ขอขอบพระคุณ คุณหมอวัฒนา  สุพรหมจักร  เป็นอย่างสูง  ที่กรุณาอนุญาตให้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้  ผมไม่ทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเนื้อหาที่คุณหมอบันทึกไว้  เพียงแต่เพิ่มวิธีการทำสมาธิเพื่อเจริญสติตามแบบที่หลวงพ่อเทียน ปฏิบัติ แนะนำไว้ และกาลามสูตรที่หลวงพ่อเทียน ยึดถือมั่น  โดยพิมพ์ไว้ท้ายเล่ม  และเขียนคำนำสำหรับการพิมพ์ครั้งนี้  ขอขอบพระคุณทุกท่าน  ที่มีส่วนร่วมในการจัดพิมพ์  ขออนุโมทนากุศลอย่างยิ่ง  แก่ทุกท่าน  ที่ได้ร่วมทำธรรมทานครั้งนี้

                                                                           ดร.ธัญญา   ธีรศาสตร์
                                                                                 มิถุนายน  2550    
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2426 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2554, 10:59:29 »


...ตามอ่านธรรมะจากพี่สิงห์ค่ะ...

...ขอบพระคุณค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2427 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2554, 20:39:34 »

มหัศจรรย์จริงด้วยคะ
อย่างนี้ปฏิบัติได้จริง
ค่อยสบายใจว่าใครๆก็ทำได้.

คอมพี่สิงห์น่ารักจัง!
สีขาว
      บันทึกการเข้า


Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #2428 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2554, 21:06:35 »


ถ้าพี่สิงห์ว่างในวันเสาร์-อาทิตย์นี้ ขอเชิญที่มหิดล ศาลายานะครับ

นายแพทย์วัฒนา สุพรหมจักร  จะมากล่าวปาฐกถานำ ในวันอาทิตย์ที่ 10 ครับ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2429 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 07:25:40 »

อรุณสวัสดิ์ครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน

                    ขอบคุณท่านขุน ๒๘  ที่ได้เข้ามาย้ำเตือน ให้ผู้ที่สนใจธรรมะของหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  เชิญชวนไปร่วมงาน ครับ สงสัยพี่สิงห์จะยังไปไม่ได้ครับ  ยังได้รับเวทนาจากการไอมากๆ หลอดลมอักเสบอยู่  ช่วงนี้ต้องพักอยู่บ้านและปฏิบัติธรรม เพื่อไม่ให้ใจฟุ้งซ่านจากทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการเจ็บป่วยครับ  ต้องขออภัยจริงๆ  เดี๋ยวนี้พี่สิงห์ชอบหาธรรมด้วยตัวเองด้วยการปฏิบัติ ตามที่หลวงพ่อเทียน ท่านสอน ไม่นิยมไปฟัง อ่าน กราบพระ ทำบุญ  ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ได้เพียงเปลือก  สู้หาแก่นเอาเองจากการปฏิบัติธรรม หรือน้อมนำธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ ดีกว่าครับ

                    ขอบคุณ คุณน้องตู่  ที่เข้ามาอ่าน  แต่อย่างที่หลวงพ่อเทียน  ท่านกล่าวไว้  คนชอบหรือติดกับการทำบุญ  ไม่สนใจปฏิบัติธรรม  จริงๆแล้วธรรมะของพระพุทธเจ้า  คือแนวทางในการดำเนินธุรกิจ การบริหาร กิจวัตรประจำวัน  ทำให้ครอบครัว และสังคมเป็นสุข ได้ ถ้านำไปปฏิบัติ

                    คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง สามารถปฏิบัติได้จริง  แต่ระวัง ถ้า ดร.สามีเธอปฏิบัติแล้ว เธอจะไม่มีคนหาเงิน เพราะฝรั่งเขาทำจริงและพบความจริงได้แน่ๆ  แต่อย่างไรก็ดี เขาสามารถนำมันไปประยุกต์ในการทำงานได้ ครับ

                    พี่สิงห์ยังได้รับเวทนาจากการไอมากๆ หวัดลงคอ  หลอดลมอักเสบ  ยังกินได้  ช่วยตัวเองได้ในการไปหาอาหารรับประทาน ยังออกกำลังกายเดินจงกรมได้  เพียงแต่กลางคืนไอมากๆ  ต้องใช้การสร้างความรู้สึกตัว  ให้เกิดภวังค์เผลอหลับไป  จึงจะนอนหลับได้เป็นช่วงๆ ตื่นเพราะไอ  ก็ต้องบังคับด้วยธรรมปฏิบัติจึงหลับ ต่อสู้กันไป  ได้แต่อาศัยธรรมะของหลวงพ่อเทียน  นี้ละเอาชนะเวทนา และใจตนเอง  ให้ยอมรับความจริง  ปฏิบัติตัวตามธรรมชาติ  จิตสงบ  ไม่ฟุ้งซ่านไปกับมัน ครับ

                    สุดท้ายลองอ่าน ถาม-ตอบ ความมหัศจรรย์ของพระธรรมดา  ต่อนะครับ ขอให้ทุกท่านไตร่ตรองด้วยปัญญาของตัวเองครับ

                    เช้านี้ทำจิตให้ผ่องใสนะครับ  จะห่างไกลทุกข์และโรค ครับ

                    สวัสดี(30271)




รู้ธรรมวันละนิด   จิตผ่องใส

ตอน

หลวงพ่อเทียน

ความมหัศจรรย์ในพระธรรมดา
   

                                                                   
                                                                                                                  น.พ. วัฒนา   สุพรหมจักร

   ถ้าท่านทั้งหลายได้พบหลวงพ่อเทียน  ก็คงจะมีความเห็นคล้ายกันว่า ท่านเป็นหลวงตาที่มีความสงบ  และพูดน้อยเช่นเดียวกับหลวงตาที่พบเห็นทั่วๆ ไป  แต่ถ้าได้สังเกตตัวท่านบ้าง  ก็จะรู้สึกว่า ท่ามกลางความสงบนั้น  ท่านมีความตื่นตัว  รู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา  และเมื่อมีโอกาสซักถามปัญหาต่างๆ  ก็ได้ประสบกับความมหัศจรรย์ของหลวงตา  ผู้ที่เกือบจะเรียกได้ว่าไม่รู้หนังสือ  ที่เน้นสอนเรื่องสติอย่างเดียวมาตลอด  ได้แสดงออก  ถึงปัญญาอันหลักแหลม  โดดเด่นในการตอบปัญหา  แทบจะเรียกได้ว่า  “เหลือเชื่อ” สำหรับผู้ที่  ไม่เคยผ่านการศึกษาเล่าเรียนในรูปแบบที่เรายอมรับและยกย่องกัน  จะสามารถตอบชี้แจงด้วยคำพูดที่ง่าย  กระชับ  เต็มไปด้วยความหมายเข้าใจได้ชัดเจน  หมดข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น
   ไม่ว่าจะเรียกขานท่านในชื่อใด  สมญานามใดก็ตาม  ไม่ใช่เรื่องสำคัญ  แต่สิ่งที่ท่านสอนหรือตอบนั้น  แม้ในคำถามพื้นๆ ธรรมดาที่เราสงสัยก็เต็มไปด้วยคุณค่า  เปรียบได้ดังกับการจุดไม้ขีดไฟให้ความสว่างในความมืด  ทำให้เห็นหนทางหรือเกิดความสว่างในปัญญาอันเป็นประโยชน์แก่ผู้ต้องการและแสวงหา  ที่อยู่ท่ามกลางความมืด  ความไม่รู้  ความสงสัย  และความไม่เข้าใจทั้งหลายไม่มากก็น้อย  คำตอบและข้อคิดเห็นต่อไปนี้ได้จากคำถามที่ข้าพเจ้า  และคณะแพทย์ผู้รักษาได้ถามท่านในช่วงเวลา ๕ ปี สุดท้าย  ขอบันทึกไว้เพื่อว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง  ทั้งนี้  ไม่ได้หวังเพื่อยกย่องเชิดชู  หรือ  ชักจูงให้เลื่อมใสโดยปราศจาก  วิจารณญาณไตร่ตรอง  ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละบุคคลที่เราพึงเคารพ


(๑). ศาสนา

หลวงพ่อกล่าวถึงศาสนาว่า “ศาสนา  คือ  คน” เมื่อฟัง หรืออ่าน  แล้วก็ยังไม่เข้าใจ
   จึงได้ถามท่านว่า  ศาสนา คือ “คน”  จริงหรือไม่  ท่านตอบว่า
   “ศาสนา เป็นเพียงคำที่เราเรียก  คำสอน  คน  โดย  คน  ที่ถือว่าเป็นผู้รู้  มีหลายอย่าง  ถ้าจะให้พูดเรื่องศาสนา  จะมีแต่ทำให้เกิดข้อสงสัยและโต้เถียงกันขอไม่พูด  แต่ถ้าอยากรู้ว่าความจริงของชีวิตเป็นอย่างไร  จะเล่าให้ฟัง  เมื่อรู้แล้วจะหมดสงสัยในคำว่า  “ศาสนา”

(๒). ทำไมจึงแสวงหาธรรมะ

   ข้าพเจ้าเคยเรียนถามท่านว่า  ท่านมีความบันดาลใจอย่างไรจึงแสวงหาธรรมะ
   ท่านตอบว่า
   “ท่านเคยทำบุญทำทานมาตลอด  ทอดกฐินอยู่เสมอ  ครั้งสุดท้ายในงานทอดกฐิน  ท่านได้มีปัญหาในเรื่องจะทำบุญกับคนในบ้าน  ท่านจึงคิดว่าทั้งๆ  ที่ท่านทำบุญให้ทานมาก็มากแล้ว  ทำไมจึงยังมีความทุกข์เกิดขึ้นได้อีก  ท่านจึงตัดสินใจที่จะแสวงหาธรรมะที่จะพ้นทุกข์ได้ตั้งแต่บัดนั้น”

(๓). ธรรมะไม่ใช่เสื้อผ้า

   หลวงพ่อเคยกล่าวว่า
   “ท่านเคยมีความเข้าใจผิดคิดว่า  ธรรมะ  เป็นสิ่งนอกกาย  เหมือนกับเสื้อผ้าที่จะต้องเสาะแสวงหามาห่อหุ้มสวมใส่  แท้ที่จริงแล้วธรรมะนั้นมีอยู่ในตัวเรานี่เอง”

(๔). การศึกษาธรรมะ

   ท่านเคยกล่าวถึงการศึกษาธรรมะว่า
   “การศึกษาธรรมะเพียงเพื่อเอาไว้  พูด  คุย  และถกเถียงกันนั้น  ได้ประโยชน์น้อย  เราต้องนำมาใช้และปฏิบัติให้ถึงที่สุด  จะได้ประโยชน์มากกว่า”

(๕). เรื่องของพระอานนท์

   ข้าพเจ้ามีความสงสัยตลอดมาว่า  ทำไมพระอานนท์  จึงไม่ได้เป็นพระอรหันต์  ทั้งๆ ที่ได้ยิน  ได้ฟัง  รู้คำสอนของพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าใครๆ หลวงพ่อตอบว่า
“พระอานนท์รู้เรื่องพระพุทธเจ้ามากก็จริง  แต่ยังไม่รู้จักตนเอง  เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว  ได้เรียนรู้ตนเอง  จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์”

(๖). หลวงพ่อเทียนสอนแบบฉีกตำรา ?

   ข้าพเจ้าได้เรียนถามท่านว่า  คนทั่วไปย่อมยึดถือพระไตรปิฎกเป็นตำราในการศึกษาพุทธศาสนา  แต่เวลาหลวงพ่อสอนไม่ค่อยเห็นพูดถึงเลย  ท่านให้ความเห็นว่า
   “พระไตรปิฎกนั้นจารึกหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานหลายร้อยปีและคัดลอกต่อกันมานับพันปี  คนเขียนคงเขียนดีแล้ว  แต่คนอ่านจะเข้าใจเหมือนคนเขียนหรือไม่  ยังสงสัย  ถ้าจะเอาแต่อ้างตำรา  ก็เหมือนกับว่า  เราต้องรับรองคำพูดของคนอื่น  ซึ่งหลวงพ่อไม่แน่ใจ  แต่สิ่งที่เล่าให้ฟังนั้น  ขอรับรองคำพูดของตัวเอง  เพราะจากประสพการณ์จริงๆ”
   “ตำราเปรียบเสมือนแผนที่  เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ทางไป หรือ ยังไปไม่ถึงจุดหมาย  ผู้ที่ไปถึงแล้วแผนที่ก็หมดความหมาย”
   “พระไตรปิฏกเขียนด้วยภาษาอินเดีย  เหมาะสำหรับคนอินเดีย  หรือคนเรียนภาษาอินเดียอ่าน  แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า  ไม่ใช่เรื่องผูกขาดของคนใดคนหนึ่ง  เป็นเรื่องอยู่เหนือ  ภาษา  เชื่อชาติ  เพศ  และ เวลา  ถ้าเรารู้ธรรมะที่แท้จริงแล้ว  จะต้องรู้และเข้าใจในภาษาของเราได้”
   “การศึกษาพระไตรปิฎกนั้นดี  แต่อย่าให้  ติด  และ  เมาในตัวหนังสือ  มะม่วงมีชื่อเรียก  หลายอย่าง  หลายภาษา  อย่ามัวแต่ถกเถียง  ตีความ  หรือยึดถือว่าจะต้องเรียกอย่างไร  แล้วปล่อยให้มันเน่า  ใครที่ได้กินมะม่วงก็ย่อมรู้ว่า  รสมะม่วงเป็นอย่างนั้นเอง  ไม่ว่าจะเรียกชื่ออะไร  หรือไม่มีชื่อเลยก็ตาม”

(๗). หลงในความคิด

   หลวงพ่อเคยกล่าวว่า
   “คนเรานั้น  คิดอยู่เสมอเหมือนกระแสน้ำ  การหลงติดกับความคิดก็เหมือนการตักน้ำมาเก็บไว้  แต่ถ้ามีสติ  รู้เท่าทันความคิดนั้นๆ  ก็เหมือนกับน้ำที่ไหลมา  แล้วก็ผ่านไป  การหลงติดในความคิด  ทำให้เกิดทุกข์”

(๘). ทุกข์

   เคยมีคนถามท่านว่า  ทุกข์คืออะไร  ท่านได้เอาของใส่มือให้กำไว้  แล้วคว่ำมือและแบมือ  ท่านได้ชี้ไปที่ของซึ่งหล่นจากมือไปสู่พื้นว่า
   “นี่คือ  ทุกข์”
   ผู้ถามก็เข้าใจทันทีว่า  ทุกข์เป็นสิ่งสมมติที่เราสร้างขึ้น  และยึดถือไว้  ปล่อยวางได้  ท่านได้กล่าวถึงผู้ที่เข้าใจโดยเร็วนี้ว่า
   “เป็นผู้มีปัญญา”

(๙). เชือกขาดเป็นอย่างไร

   เมื่อได้อ่านประสบการณ์ของท่านที่กล่าวว่า  ในช่วงสุดท้ายมีความรู้สึกเหมือนเชือกขาด  จากกันนั้น  เข้าใจได้ยาก  ท่านได้อธิบายเพิ่มเติมว่า
   “คำพูดเป็นเพียงการสมมติ  ว่าเสียงนั้นๆ  หมายถึงอะไร  มันไม่มีคำพูดที่จะอธิบายภาวะดังกล่าว  ถ้าเราเอาสีขาวกับสีดำซึ่งห่างกันเพียง ๑ เซนติเมตร  ค่อยๆ ผสมให้กลืนกัน  ตรงกลางเราเรียกว่าสีเทาใช่ไหม  แต่ถ้าหากสองสีนี้ห่างกัน ๑๐ เมตร  แล้วให้สีทั้งสองค่อยๆ  กลืนกัน  จะให้อธิบายว่าจุดๆ หนึ่งระหว่างนั้นเรียกว่าสีอะไร มันไม่มีคำพุดจะกล่าวให้เข้าใจ  ต้องรู้เอง”
   “เคยเห็นเมฆหน้าฝนไหม  มองดูคล้ายเป็นรูปเงาต่างๆ  แต่ถ้าเรานั่งเครื่องบินเข้าไปอยู่ในก้อนเมฆนั้นๆ  เราไม่เห็นอย่างที่เห็นก่อนเข้ามาดอก  ภาวะดังกล่าว  ไม่มีคำพูดที่จะอธิบาย  มันอยู่เหนือตัวหนังสือ  การประมาณคาดคะเน  หรือความเข้าใจ  ไปเองว่าจะเป็นอย่างนี้  ต้องรู้เองเห็นเอง”

(๑๐). ปัญหาปลีกย่อย

   หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า  คนจำนวนไม่น้อยที่มาหาท่านแล้วถามแต่ปัญหาปลีกย่อย  เช่น  ทำบุญเช่นนี้ได้บุญแค่ไหน  ชาติหน้ามีจริงหรือไม่.....ฯลฯ
   มีน้อยครั้งที่จะมีคนถามว่า  พุทธศาสนาสอนอย่างไร  จะเอาไปใช้ได้อย่างไร  หรือที่จะ
   ทำให้ทุกข์น้อยลง  ควรทำอย่างไร  ครั้นจะให้หลวงพ่อถามเอง ตอบเอง  ก็ดูกระไรอยู่

(๑๑). จริง  สมมติ

   ท่านกล่าวว่า  คนมีอายุยืน  มีความจำ  และ  ความคิด  มากกว่าสัตว์ ครั้นอยู่กันเป็นหมู่มาก  จำเป็นต้องตั้ง  หรือ  สมมติกฎเกณฑ์ขึ้นมา  เพื่อให้มีความสงบในสังคม
   เมื่อเวลาผ่านไป  คนรุ่นหลังย่อมหลง  ยึดว่าสิ่งสมมตินั้นเป็นความจริง  เมื่อมีคนบอกว่า
   สิ่งที่เขาว่าจริงนั้น  แท้จริงแล้วมันเป็นสิ่งสมมติ  คนส่วนใหญ่จะไม่ยอมเชื่อ  ซึ่งก็เป็นธรรมดา
   “ที่เรียกว่าเงินนั้น  ที่จริงแล้วเป็นกระดาษ  เมื่อใช้แล้วมีคนยอมรับจึงมีค่า  ถ้าไม่ยอมรับ  ก็เป็นกระดาษ  ในสังคมปัจจุบัน  เราใช้เงินเป็นตัวกลางเพื่อแลกเปลี่ยน  ชีวิตใดครอบครัวใดไม่มีเงิน  จะอยู่ได้ด้วยความเดือดร้อน  เงินซื้อความสะดวกและความพอใจได้  แต่ซื้อความหมดทุกข์ไม่ได้”

(๑๒). การปฏิบัติธรรม

   เคยถามท่านว่า ทำไมการสอน และ การปฏิบัติธรรม  จึงมีความแตกต่างกันไปตามสำนักต่างๆ ทั้งๆ ที่  มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน  ท่านตอบว่า
   “เรื่องนี้เป็นธรรมดา  แม้ในสมัยพุทธกาลก็มีคนกล่าวว่า มีตั้ง ๑๐๘ สำนัก  แต่ละแห่งก็ต้องว่าของตัวถูกต้อง อีก ๑๐๗ แห่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ ตัวเราเอง  จะต้องเป็นคนไตร่ตรอง  พิจารณาเอง  การที่เป็นคนเชื่อง่าย  หรือ  เป็นคนเชื่อยาก  ไม่ฟังคนอื่น  ต่างก็ไม่ดีทั้งนั้น
   ถ้าการปฏิบัติดังกล่าวทำให้ทุกข์หมดไป  ถือว่าใช้ได้  สำหรับเรื่องธรรมะนั้น  คนที่รู้ธรรมะที่แท้จริง  จะต้องรู้อย่างเดียวกัน
   เมื่อมีคนถามถึงการปฏิบัติธรรมะในรูปแบบอื่นๆ ว่าดีหรือไม่  ท่านกล่าวว่า  “ดีของเขา  ไม่ใช่ดีของเรา”

(๑๓). วิปัสสนาแล้วเป็นบ้า

   ได้เรียนถามท่านว่า  การนั่งวิปัสสนาทำให้คนเป็นบ้า  ตามที่มีจิตแพทย์บางคนกล่าว  จริงหรือ  ท่านตอบว่า
   “คนที่ไม่รู้จักจิตใจตัวเองนั้นแหละคือคนบ้า  การนั่งวิปัสสนา  เป็นการศึกษาให้รู้จักจิตใจตัวเอง  ถ้านั่งแล้วเป็นบ้า  ไม่ใช่วิปัสสนา”

(๑๔). นิพพาน

   ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า  เคยถามโยมผู้ที่เคยอธิษฐานหลังการทำบุญว่าขอให้อานิสงส์
   การทำบุญทำให้เขาเข้านิพพานในอนาคตกาลด้วยนั้นว่า
   ท่านถามว่า      “โยมเข้าใจว่าจะไปถึงนิพพานเมื่อใด”
   ชาวบ้านตอบว่า   “เมื่อตายไปแล้ว”
   ท่านถามต่อว่า      “อยากไปถึงนิพพานจริงๆ หรือ”
   ชาวบ้านตอบว่า   “อยากไปถึงจริงๆ”
   ท่านจึงพูดว่า      “ถ้าเช่นนั้นโยมควรตายเร็วๆ  จะได้ถึงนิพพานไวๆ”
   ชาวบ้านตอบด้วยความงงว่า   “ยังไม่อยากตาย”
   ท่านจึงชี้แจงให้ฟังว่า   “นิพพานก็อยากไป  แต่ทำไมไม่อยากตายเร็ว  นี่โยมเข้าใจผิดแล้ว  พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้คนไปนิพพานเมื่อตายแล้ว  แต่สอนคนเป็นๆ  ให้ไปถึงนิพพานขณะที่มีชีวิตอยู่”

(๑๕). ทำไมจึงบวช

   ตามที่ทราบ  ท่านได้รู้ธรรมะตั้งแต่เป็นฆราวาส  ทำไมท่านจึงบวช  ท่านตอบว่า
   “พระภิกษุ  เป็นสมมติสงฆ์  การบวชทำให้สอนคนได้ง่ายขึ้น”

(๑๖). หินทับหญ้า

   ข้าพเจ้าเคยถามเรื่องการนั่งสมาธิหรือกรรมฐานว่าเป็นอย่างไร  ท่านตอบว่า
   “การนั่งสมาธิมีมาก่อนสมัยพุทธกาล  ทำให้เกิดความสงบชั่วคราว  เมื่อออกมาจากสมาธิก็ยังมีความโลภ  โกรธ  หลงอยู่  จิตใจไม่เปลี่ยน  เปรียบเหมือนกับหินทับหญ้า  แม้หญ้าจะฝ่อลง  เมื่อหญ้าต้องแสงอาทิตย์  หญ้าก็งอกขึ้นมาอีก  ต่างกับวิปัสสนาที่ทำให้เกิดปัญญา  จิตใจเปลี่ยนแปลงดีขึ้น”

(๑๗). พระเวสสันดร

   เคยเรียนถามเรื่องพระเวสสันดร  ซึ่งเป็นตัวอย่างทานบารมี  แต่ดูคล้ายกับว่า
   “เป็นคนไม่รับผิดชอบต่อบุตร  ภรรยา  การให้ทานเช่นนี้  ทำให้ได้เป็นพระพุทธเจ้า”
   จริงหรือ  ท่านตอบว่า
   “เรื่องพระเวสสันดร เป็นเรื่องเล่าต่อกันมา  ถ้าเราคิดว่าจริง  เราควรบริจาคทานภรรยาและลูกของเราเอง  ให้แก่  กรรมกร  หรือชาวนา  ไปช่วยเขาทำงานแล้วเราก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้า  ถ้าจะเปรียบเทียบใหม่ว่า  สิ่งที่ติดตัวเรา  ผูกพันเหมือนบุตร  ภรรยา  ก็คือ  ความโลภ  ความโกรธ  และ  ความหลง  เราบริจาค  หรือทานสิ่งนี้ไปเสีย  จะพอเข้าใจได้ไหม”

(๑๘). การเชื่อ

   หลวงพ่อได้กล่าวอยู่เสมอว่า  เราไม่ควรด่วนเชื่อทันที  และไม่ควรปฏิเสธทันทีเช่นกัน  ควรพิจารณาไตร่ตรองให้ดี  หรือทดลองเสียก่อน  จึงจะ  เชื่อ  หรือไม่เชื่อ
   ในพุทธประวัติก็มีตัวอย่าง  เช่น  องคุลีมาล  เป็นคนที่เชื่อง่าย  อาจารย์สั่งให้ฆ่าคนตั้งมากมายก็ยังทำ  หรือ  เมื่อปริพาชกพบพระพุทธเจ้า  ทั้งๆ ที่พระองค์มีลักษณะน่าเลื่อมใส  แต่ก็ไม่เชื่อว่า  พระองค์ตรัสรู้ได้ด้วยตัวเอง  จึงหลีกไป  ไม่มีโอกาสได้ศึกษาจากพระพุทธเจ้า

(๑๙). ผู้ที่เข้าใจท่านพูด

   เคยถามท่านถึงจำนวนผู้ที่เข้าใจหลังจากที่ได้แสดงธรรมะ  หรืออบรมว่ามีสักเท่าใด
   ท่านตอบว่า
   “คงจะได้สัก ๑๐-๑๕%   เรื่องนี้เป็นธรรมดา  คนที่พร้อมจึงจะเข้าใจได้  คนส่วนใหญ่ติดการทำบุญ”

(๒๐). คนรักษาศีล  หรือ  ศีลรักษาคน

   ทำไมจึงต้องคอยรักษาศีล  เหมือนรักษาแก้วไม่ให้มันแตก
   ทำไมเราจึงไม่ประพฤติปฏิบัติตัวให้มีศีลเล่า  ศีลจะได้รักษาเรา แล้วจะได้ไม่ห่วงคอยรักษาศีล

(๒๑). บุญ

   เมื่อข้าพเจ้าถามท่านว่า  “ทำบุญได้บุญจริงหรือ”  ท่านได้ถามว่า “เข้าใจว่าบุญเป็นอย่างไร”
   เมื่อเรียนให้ท่านทราบว่า  บุญนั้นเข้าใจว่าเป็นผลดี  ตอบแทนเมื่อเราตายไปแล้ว  ท่านถามว่า
   “เคยฟังพระสวดอานิสงส์การทอดกฐินหรือไม่  ที่ว่าจะได้วิมาน  และนางฟ้าเป็นบริวาร  ห้าร้อยองค์  หรือพันองค์  จงคิดดูว่า  วัดในเมืองไทยมีกี่วัด  ถ้ามีการทอดกฐินทุกวัด  ทุกปี  จะไปหานางฟ้าที่ไหนมาให้จึงจะพอ  เราคิดว่าพระเป็นเสมือนพนักงานธนาคารที่คอยคิดดอกเบี้ยให้เวลาเราตายอย่างนั้นหรือ”  ข้าพเจ้าได้ถามท่านต่อว่า  ถ้าเช่นนั้นการทำบุญด้วยวัตถุ  อย่างที่เป็นอยู่ทั่วไปนั้น  ท่านเห็นเป็นอย่างไร  ท่านตอบว่า
   “การทำบุญด้วยวัตถุก็เป็นสิ่งที่ดี  แต่เป็นเพียงข้าวเปลือก  เอาไว้ทำพันธุ์  ถ้าเราจะกินข้าวให้ได้ประโยชน์  ต้องกินข้าวหุงหรือข้าวนึ่งสุก  ไม่ใช่ข้าวสาร  หรือ  ข้าวเปลือก
   การหลงติดอยู่กับการทำบุญด้วยวัตถุอย่างงมงาย  เป็นความหลงที่อยู่ในความมืดที่เป็นสีขาว”
   “บุญเหนือบุญก็คือ  การรู้จักตัวเอง  ไม่มีทุกข์  นี้แหละ”

(๒๒). หนา

   ข้าพเจ้าเคยนิมนต์ท่านให้ไปสอนผู้ที่เคารพนับถือท่านหนึ่งที่คิดและเลื่อมใสในการทำบุญตามประเพณีมาก  เมื่อได้ถามท่านหลังจากที่ท่านกลับมาแล้ว  ท่านตอบว่า
   “โยมคนนี้เป็นคนหนา  เราเคยอ่านพุทธประวัติหรือไม่  เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ  ก่อนที่จะไปโปรดปัญจวัคคีย์  พระองค์ได้ระลึกถึงอุทกดาบส  และอาฬารดาบส  แต่แล้วก็ทราบว่าท่านทั้งสองได้ตายเสียแล้ว  หลวงพ่อสงสัยว่าพึ่งจากกันไม่นาน  จะตายทางร่างกายหรือไม่นั้น  ยังสงสัย  แต่ที่ตายแน่ๆ คือ ความคิด”


(๒๓). สมณศักดิ์

   เคยถามท่านว่าสมัยพระพุทธเจ้าไม่มีสมณศักดิ์  แต่ทำไมปัจจุบันในเมืองไทยจึงมีมากนัก  ดี  หรือ  ไม่  ท่านตอบว่า
   “สมณศักดิ์เป็นเรื่องของสังคม  จะเรียกว่าดีก็ได้  หรือไม่ดีก็ได้  แต่เราอยู่ในสังคมของเขา”

(๒๔). การศึกษาทำให้คน  ดี  ชั่ว  จริงหรือไม่ ?

   เคยถามว่า  ทำไมผู้ที่เคยบวชเรียนมามาก  บางคนเมื่อสึกไปแล้ว  กลับประพฤติตัวเหลวไหล  ยิ่งกว่าชาวบ้านที่ไม่เคยบวชเรียนเลย  หลวงพ่อตอบว่า
   “คนเหล่านั้นเรียนแต่ตัวหนังสือ  ไม่เคยเรียนรู้ตัวเอง”

(๒๕). กราบผ้าเหลือง

   ข้าพเจ้าเคยกล่าวกับท่านว่า  เราเองไม่ทราบว่าพระองค์ไหนจะเป็นพระแท้  หรือ  เป็นเพียงกาฝากของศาสนา  เพียงเห็นผู้ที่โกนศรีษะห่มผ้าเหลืองก็กราบแล้ว
   ท่านให้ความเห็นว่า
   “ถ้าหากจะกราบเพียงผ้าเหลือง  เวลาผ่านไปแถวเสาชิงช้า  มิต้องกราบตามร้านที่ขายเครื่องพระ  ตั้งแต่หัวถนนจดท้ายถนนหรือ”

(๒๖). มงคล

   ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า  ท่านเคยถูกนิมนต์ไปเพื่อสวดมงคลในบ้าหลังหนึ่ง  ท่านขอร้องให้เอากะละมังขนาดใหญ่ใส่น้ำ  เพื่อจะทำน้ำมนต์แทนบาตร  หลังจากท่านได้ทำให้แล้ว  ท่านกลับเอาน้ำมนต์ในกะละมังสาดไปทั่วบ้าน
   แล้วบอกว่า
   “ช่วยกันเก็บช่วยกันถู  อันนี้แหละเป็นมงคล  การที่เราใช้น้ำมนต์ประพรหมตัวเราอาจจะแพ้ลูกไม้ใบหญ้าที่ใส่ไว้ในน้ำมนต์  มีอาการผื่นคันขึ้นมาต้องเปลืองเงินทองซื้อหยูกยารักษาอีก  แล้วมันจะเป็นมงคลได้อย่างไร”

(๒๗). บังสกุล

   เคยถามท่านว่า   “เวลาเราบังสกุลให้ผู้ตาย  เขาได้หรือไม่”  ท่าตอบว่า
   “การบังสกุลเป็นเพียงประเพณีที่คนอยู่ทำขึ้น  เนื่องจากยังห่วงใยในคนที่ตายไปแล้ว  ที่ว่าคนตายจะได้หรือไม่  ยังสงสัย  แต่ผู้ที่ได้แน่ๆ คือ พระ  เราคิดว่าพระทำหน้าที่แทนบุรุษไปรษณีย์ได้หรือ ?”

(๒๘). พระกราบโยม

   ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า  เมื่อท่านไปประเทศลาว  ได้รับนิมนต์สวดต่ออายุให้แม่ของชาวบ้าน
   หลวงพ่อไม่สวด  เจ้าภาพเขาจึงไม่ถวายจตุปัจจัย  หลวงพ่อได้ชี้แจงเรื่องการต่ออายุพ่อแม่ว่า  ต้องกระทำดีต่อพ่อแม่  ไม่ใช่เพียงแต่มีการสวดมนต์แล้วหวังจะให้พ่อแม่มีอายุยืน  และได้พาลูกๆ กราบพ่อแม่เป็นครั้งแรกตามท่าน  ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ฮือฮากันว่า  ผิดประเพณี  ไม่เคยเห็นพระกราบโยม  ซึ่งหลวงพ่อกล่าวว่า
   “ที่อาตมาพาลูกกราบแม่ตามอาตมานั้น อาตมาไม่ได้กราบโยม  แต่อาตมากราบตัวเอง  ที่สามารถสั่งสอนคนให้เข้าใจได้ว่า  การต่ออายุที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร”

(๒๙). ศาลพระภูมิ

   เมื่อข้าพเจ้าได้ถามถึงเรื่อง  เจ้าที่  ศาลพระภูมิ  ว่ามีอิทธิฤทธิ์ให้คุณให้โทษแก่เจ้าของบ้าน  จริงหรือไม่  ท่านตอบว่า
   “จงคิดดู  ถ้าเจ้าที่นั้น  มีอิทธิฤทธิ์จริงแล้ว  ทำไมจึงไม่เนรมิตรบ้านอยู่เอง  เนรมิตรอาหารกินเอง  ทำไมจึงต้องคอยให้คนสร้างให้  หรือคอยอาหารเซ่นไหว้  ซึ่งน้อยนิดเดียว  จะกินอิ่มหรือ”

(๓๐). พระเครื่อง

   ก่อนที่จะทราบว่าท่านเป็นใคร  ข้าพเจ้าได้พบท่านในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังสนใจพระเครื่องเป็นอย่างยิ่ง  ได้เอาพระนางพญาพิษณุโลกมาอวด  เพื่อที่จะได้ถือโอกาสขอพระเครื่องจากท่านโดยอวดว่า  พระนางพญาพิษณุโลกนี้เป็นพระเครื่องที่เก่าแก่สร้างมาตั้ง ๗๐๐ ปีแล้ว  ท่านถามว่า
   “พระองค์นี้ทำจากอะไร”
   เมื่อข้าพเจ้าตอบว่า  ทำจากเนื้อดินเผา  แกร่ง  สีเนื้อมะขามเปียกมีแร่ต่างๆ ปรากฏอยู่เต็ม  ท่านตอบด้วยความสงบว่า
   “ดินนั้นเกิดมาพร้อมกันตั้งแต่สร้างโลก  พระองค์นี้  ไม่ได้เก่าแก่ไปกว่าดินที่เราเหยียบก่อนเข้ามาในบ้านนี้หรอก”
   เพียงประโยคเดียวที่ทำให้ข้าพเจ้าถอดพระเครื่อง  ออกจากคอได้อย่างมั่นใจที่สุด
   มีคนถามท่านว่า แขวนพระดีหรือไม่  ท่านตอบว่า
   “ดี  แต่มีสิ่งที่ดีกว่าแขวนพระ  จะเอาไหม”
   ในโอกาสหนึ่งมีคนถามเรื่องเครื่องรางของขลังของเขาว่า  มีอานุภาพตามที่เล่าลือหรือไม่
   ท่านถามว่า  “คนทำตายหรือยัง”  เมื่อตอบว่าคนที่ทำได้ตายแล้ว  เพราะเป็นมรดกตกทอดกันมา  ท่านตอบว่า
   “คนที่ทำยังตายเลย  แล้วเราจะหวังสิ่งนี้  ช่วยไม่ให้เราตายได้อย่างไร”
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2430 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 08:13:01 »

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ได้อ่านเรื่องของหลวงพ่อเทียนแล้วค่ะ...

...คิดตามท่านไป...ก็ถูกของท่านทุกอย่างค่ะ...

...อย่างเช่นเรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง...ท่านสอนไม่ให้งมงายกับพระเครื่อง...

...เพราะไม่ใช่การแก้ทุกข์ที่แท้จริง...

...แต่ถ้าเรามี...ศีล...สมาธิ...ปัญญา...จะช่วยให้เรารอดพ้นจากทุกข์ได้...โดยไม่ต้องพึ่งพระเครื่อง...

...แต่ตู่คิดว่า...ไม่ต้องถึงขนาดต้องโยนพระเครื่องที่มีอยู่ทิ้ง...

...เพราะพระพุทธรูปหรือพระเครื่องที่ศักดิ์สิทธิ์ก็มีจริงค่ะ...

...เพียงแต่เราอย่าไปงมงายกับสิ่งเหล่านี้เท่านั้นเองค่ะ...

...ขอบพระคุณพี่สิงห์ค่ะ...สำหรับธรรมะดีๆจากหลวงพ่อเทียนค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2431 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 11:57:34 »

สวัสดีคะพี่สิงห์
ยังไม่อ่านบทหลังสุดเลยคะ
มัวห่วงอาการหลอดลมอักเสบ
ที่พี่สิงห์ต้องทนทุกข์,
" สวัสดี(30271)"หมายเลขหลังคืออะไรคะ?
เดี๋ยวจะยืมไปกา lotto :1,7,17,21,27,30
เกิดถูกขึ้นมา รวยใหญ่จาทำไงล่ะพี่?
หนูยิ่งสมถะกินอยู่ง่ายสบายใจตังส์อยู่ครบ....อยู่เนี่ย!
      บันทึกการเข้า


สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #2432 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 12:05:54 »

ขอบคุณมากครับ พี่สิงห์
ที่ ลงบทสรุปหลักๆของหลวงพ่อเทียน เข้าใจง่ายครับ เป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกคน

ผมชอบกระทู้นี้ ตามอ่านมาโดยตลอดครับ

      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #2433 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 12:09:31 »

 
อ้างถึง   
อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 06 กรกฎาคม 2554, 11:57:34
สวัสดีคะพี่สิงห์
ยังไม่อ่านบทหลังสุดเลยคะ
มัวห่วงอาการหลอดลมอักเสบ
ที่พี่สิงห์ต้องทนทุกข์,
" สวัสดี(30271)"หมายเลขหลังคืออะไรคะ?
เดี๋ยวจะยืมไปกา lotto :1,7,17,21,27,30
เกิดถูกขึ้นมา รวยใหญ่จาทำไงล่ะพี่?
หนูยิ่งสมถะกินอยู่ง่ายสบายใจตังส์อยู่ครบ....อยู่เนี่ย!


อ่านละเอียดจัง น้องNN
กระทั่งตัวเลข 30271 ยังสังเกตุเห็นเลย
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2434 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 12:54:57 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 06 กรกฎาคม 2554, 11:57:34
สวัสดีคะพี่สิงห์
ยังไม่อ่านบทหลังสุดเลยคะ
มัวห่วงอาการหลอดลมอักเสบ
ที่พี่สิงห์ต้องทนทุกข์,
" สวัสดี(30271)"หมายเลขหลังคืออะไรคะ?
เดี๋ยวจะยืมไปกา lotto :1,7,17,21,27,30
เกิดถูกขึ้นมา รวยใหญ่จาทำไงล่ะพี่?
หนูยิ่งสมถะกินอยู่ง่ายสบายใจตังส์อยู่ครบ....อยู่เนี่ย!

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง

                 ตัวเลขนั้น เป็นการสำรวจว่ามีใครเข้ามาอ่านบ้าง ในกระทู้นี้แต่ละวันครับ คือถ้าไม่มีคนเข้ามาอ่าน  ก็จะถือวิสาสะเลิกกระทู้นี้ไปเลยครับ  แต่ยังเห็นว่ามีคนเข้ามาอ่าน  เลยยังมีกำลังใจที่จะหาอะไรดีๆ มานำเสนอให้พิจารณา ด้วยปัญญาของท่านเอง ครับ

                 ตัวเลขอย่าเอาไปแทงหวยเลย  ถึงแม้จะเป็นความสุขเล็กๆ  น้อยๆ  สู้หาเงินมาด้วยสองมือที่บรุสุทธิ์ ตามมรรค ๘  ดีกว่าครับ จะเกิดปิติกับตัวเรามากกว่า

                 พี่สิงห์ไอมาก เลยกลัวว่าจะสร้างความรำคาญให้ผุ้โดยสาร Nok Air  อาทิตย์นี้จึงงดไปทำงานที่นครศรีธรรมราช เมื่อสักครู่น้องเขยที่เป็นหมอดูแลอยู่ โทรศัพท์ให้ไปหายาเพิ่มอีกหนึ่งตัวเพื่อลดอาการไอ  ไอจนแสบคอแล้ววันนี้ไออย่างมากๆ ครับ
 
                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2435 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 12:57:39 »

อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 06 กรกฎาคม 2554, 12:05:54
ขอบคุณมากครับ พี่สิงห์
ที่ ลงบทสรุปหลักๆของหลวงพ่อเทียน เข้าใจง่ายครับ เป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกคน

ผมชอบกระทู้นี้ ตามอ่านมาโดยตลอดครับ


สวัสดีครับ คุณน้องสมชาย
              ขอบคุณมากที่ยังสนใจ  ติดตามอ่านอยู่ครับ  เป็นกำลังใจอย่างงาม ครับ
              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2436 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 13:00:10 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก
                  
                         ถ้าจะสอนตาม มรรค ๘ นั้น บางครั้งมันยาว  ยุ่งยาก คนธรรมดาอาจไม่เข้าใจ พระพุทธเจ้าท่าน จึงย่นย่อออกมาเป็น

                         ศีล    สมาธิ   ปัญญา

                         ซึ่งเข้าใจได้ง่าย เหมาะในการนำไปปฏิบัติครับ

                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2437 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 13:05:22 »

อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 06 กรกฎาคม 2554, 12:09:31
 
อ้างถึง   
อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 06 กรกฎาคม 2554, 11:57:34
สวัสดีคะพี่สิงห์
ยังไม่อ่านบทหลังสุดเลยคะ
มัวห่วงอาการหลอดลมอักเสบ
ที่พี่สิงห์ต้องทนทุกข์,
" สวัสดี(30271)"หมายเลขหลังคืออะไรคะ?
เดี๋ยวจะยืมไปกา lotto :1,7,17,21,27,30
เกิดถูกขึ้นมา รวยใหญ่จาทำไงล่ะพี่?
หนูยิ่งสมถะกินอยู่ง่ายสบายใจตังส์อยู่ครบ....อยู่เนี่ย!


อ่านละเอียดจัง น้องNN
กระทั่งตัวเลข 30271 ยังสังเกตุเห็นเลย


พี่สมชาย,
บทความยังไม่ได้อ่านคะ
เดี๋ยววกมาอ่าน.
หนิงมาตามพี่สิงห์คะ
พี่เค้ามีอะไรๆดีๆแอบตามtext
ต้องคอยระวังคะ.
ตกลงหนิงยังไม่รู้เลยหมายเลขอะไร
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2438 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 13:07:58 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 06 กรกฎาคม 2554, 12:54:57
อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 06 กรกฎาคม 2554, 11:57:34
สวัสดีคะพี่สิงห์
ยังไม่อ่านบทหลังสุดเลยคะ
มัวห่วงอาการหลอดลมอักเสบ
ที่พี่สิงห์ต้องทนทุกข์,
" สวัสดี(30271)"หมายเลขหลังคืออะไรคะ?
เดี๋ยวจะยืมไปกา lotto :1,7,17,21,27,30
เกิดถูกขึ้นมา รวยใหญ่จาทำไงล่ะพี่?
หนูยิ่งสมถะกินอยู่ง่ายสบายใจตังส์อยู่ครบ....อยู่เนี่ย!

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง

                 ตัวเลขนั้น เป็นการสำรวจว่ามีใครเข้ามาอ่านบ้าง ในกระทู้นี้แต่ละวันครับ คือถ้าไม่มีคนเข้ามาอ่าน  ก็จะถือวิสาสะเลิกกระทู้นี้ไปเลยครับ  แต่ยังเห็นว่ามีคนเข้ามาอ่าน  เลยยังมีกำลังใจที่จะหาอะไรดีๆ มานำเสนอให้พิจารณา ด้วยปัญญาของท่านเอง ครับ

                 ตัวเลขอย่าเอาไปแทงหวยเลย  ถึงแม้จะเป็นความสุขเล็กๆ  น้อยๆ  สู้หาเงินมาด้วยสองมือที่บรุสุทธิ์ ตามมรรค ๘  ดีกว่าครับ จะเกิดปิติกับตัวเรามากกว่า

                 พี่สิงห์ไอมาก เลยกลัวว่าจะสร้างความรำคาญให้ผุ้โดยสาร Nok Air  อาทิตย์นี้จึงงดไปทำงานที่นครศรีธรรมราช เมื่อสักครู่น้องเขยที่เป็นหมอดูแลอยู่ โทรศัพท์ให้ไปหายาเพิ่มอีกหนึ่งตัวเพื่อลดอาการไอ  ไอจนแสบคอแล้ววันนี้ไออย่างมากๆ ครับ
 
                  สวัสดี

พักเถอะพี่,
อย่าเพิ่งเดินทาง
ให้ร่างกายฟื้นก่อน
ค่อยลงใต้.


ทานอะไรได้มั้ยพี่?
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2439 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 20:40:31 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก
                      พี่สิงห์กิน  ออกกำลังกายเดินจรกรม รำมวยจีนได้  เป็นปกติ  ไม่มีไข้  ไม่เจ็บคอเพียงแต่แพ้อากาศซึ่งเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่ใช้เสียงมากหลอดลมอักเสบ และไอมากเท่านั้น  คงต้องอดทนสักสามอาทิตย์เรื่องการไอ  ปอดปกติ  ยังหายใจปกติ  เพียงแต่เวลาไอมาแสบคอมากเท่านั้น ใช้ทั้งอมน้ำเกลือ ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว และอีกหลายอย่างเท่าที่จะทำได้ครับ  พยายามพักผ่อนให้มาก พรุ่งนี้เช้าว่าจะลองเปลี่ยนบรรยากาศไปหาอากาศยามเช้าจะไปเดินตีกอล์ฟหกโมงเช้าดูครับ เป็นอะไรเป็นกัน

                       วันนี้ ดร.สุริยา  ได้รับคำสั่งจากคุณมิ้ง โทรศัพท์มาเยาะเย้ยถากถาง หมองูตายเพราะงู  มันก็เป็นความจริง  เพราะก่อนที่จะไปเชียงใหม่ส่ออาการไม่ดีแล้วคงติดเชื้อมาจากการถอดที่ครอบฟันออก รอรักษารากฟัน ประกอบกับการเดินทาง อากาศเปลี่ยนมาก  ตากฝน และใช้เสียงมากในการทำงานติดๆกัน นอนน้อยไปด้วย ร่างกายมันจึงรับไม่ไหว เพราะรับปากเขาแล้วมันก็ต้องไป  นี่อาทิตย์นี้ผิดศีลข้อมุสาอย่างมาก ครับ แต่มันก็ไม่ร้ายแรงในผลนั้น แต่เราก็รู้ว่าเราผิดคำพูดกับตัวเองในหลายเรื่องที่ไม่ควรกระทำ
                 
                        ราตรีสวัสดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
supapon
มือใหม่หัดเมาท์
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 90

« ตอบ #2440 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 21:27:02 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์

เข้ามาอ่านตลอดค่ะ แต่จำรหัสไม่ได้ ได้แต่อ่านอย่างเดียว
กว่าจะเดารหัสถูกก็วันนี้แหละค่ะ เดี๋ยวต้องจดไว้แล้ว
ขอให้หายไอ ไวไวนะคะ

ด้วยรัก&เคารพ&เป็นห่วง
Miew
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2441 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2554, 21:32:11 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
 ตามมาอ่านธรรมเช่นเคย
  คราวนี้เป็นเรื่องเล่าสั้นๆ อ่านเพลินค่ะ
  สุขภาพดีขึ้นบ้างหรือยังคะ
  หากยังไม่ดีขึ้นพักมากๆนะคะ


 ขอบคุณ ขุน ๒๘ ด้วยที่ส่งข่าวดีๆมาให้ค่ะ
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2442 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2554, 09:14:05 »

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...เมือวาน...ดร.กุศล...พีเอ็มมาถึงตู่...ถามเรื่องทัวร์จิวจ่ายโกว...และตู่ได้ตอบพีเอ็มกลับไปแล้วค่ะ...

...และบอกอีกว่าให้โทรศัพท์คุยก็ได้...ก็ได้บอกกลับอีกเหมือนกันว่า...

...พอดีเบอร์โทรศัพท์ของชาวหอที่เคยเซฟไว้ตั้งนานแล้วหายไปจากมือถือของตู่หมดเลยค่ะ...

...จะมีก็แต่เบอร์ใหม่ๆ...รบกวนพี่สิงห์...ขอเบอร์ของ ดร.กุศล...ด้วยค่ะ...

...เดี๋ยวให้หมอติดต่อคุยด้วยค่ะ...ขอบพระคุณพี่สิงห์ค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2443 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2554, 11:28:32 »

อ้างถึง
ข้อความของ supapon เมื่อ 06 กรกฎาคม 2554, 21:27:02
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์

เข้ามาอ่านตลอดค่ะ แต่จำรหัสไม่ได้ ได้แต่อ่านอย่างเดียว
กว่าจะเดารหัสถูกก็วันนี้แหละค่ะ เดี๋ยวต้องจดไว้แล้ว
ขอให้หายไอ ไวไวนะคะ

ด้วยรัก&เคารพ&เป็นห่วง
Miew
สวัสดีค่ะ คุณน้องเหมี๋ยว ที่รัก
                      ขอบคุณมากที่เป็นห่วง 
                      วันนี้ลองไปเดินตีกอล์ฟเปลี่ยนบรรยากาศที่อยู่บ้านมาหนึ่งอาทิตย์ รู้สึกว่าอาการไอ เหลือเพนง 30% พรุ่งนี้น่าจะหาย  จะมีก็แต่เสียงยังไม่ปกติ นอกนั้นปกติครับ
                      หมอนรองกระดูกทับเส้นปราสาทเธอเป็นอย่างไรบ้าง  เมื่อว่ายน้ำมาพอแล้วลองโยคะของโรงพยาบาลจอมทองบ้าง แต่จริงๆ แล้วเธอน่าจะให้รางวัลชีวิตสักอาทิตย์ไป เข้าโครงการซ่อมสร้างสุขภาพ ของแผนกแพทย์ทางเลือกดู  กลับมาจะดุดีขึ้นแน่นอน
                      สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2444 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2554, 11:32:30 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 06 กรกฎาคม 2554, 21:32:11
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
 ตามมาอ่านธรรมเช่นเคย
  คราวนี้เป็นเรื่องเล่าสั้นๆ อ่านเพลินค่ะ
  สุขภาพดีขึ้นบ้างหรือยังคะ
  หากยังไม่ดีขึ้นพักมากๆนะคะ


 ขอบคุณ ขุน ๒๘ ด้วยที่ส่งข่าวดีๆมาให้ค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                  อาการไอของพี่สิงห์ลดลงอย่างมากตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ คิดว่าอีกสองสามวัน คงจะหายเป็นปกติ  แต่ก็ต้องระวังต่อไปเพราะพี่สิงห์เป็นโรคภูมิแพ้ อากาศอย่างมากครับ  แต่ที่ผ่านมาดื้อ คือไม่รับประทานยาแก้แพ้ตามที่หมอสั่ง อยากจะอยู่แบบธรรมชาติรักษา เพียงแต่อากาศที่พี่สิงห์เจอนั้นเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันมาก และแออัดไปด้วยผู้คน  จึงไม่สามารถทนได้ครับ
                   ขอบคุณที่เป็นห่วง
                   สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2445 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2554, 11:34:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 07 กรกฎาคม 2554, 09:14:05
...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...เมือวาน...ดร.กุศล...พีเอ็มมาถึงตู่...ถามเรื่องทัวร์จิวจ่ายโกว...และตู่ได้ตอบพีเอ็มกลับไปแล้วค่ะ...

...และบอกอีกว่าให้โทรศัพท์คุยก็ได้...ก็ได้บอกกลับอีกเหมือนกันว่า...

...พอดีเบอร์โทรศัพท์ของชาวหอที่เคยเซฟไว้ตั้งนานแล้วหายไปจากมือถือของตู่หมดเลยค่ะ...

...จะมีก็แต่เบอร์ใหม่ๆ...รบกวนพี่สิงห์...ขอเบอร์ของ ดร.กุศล...ด้วยค่ะ...

...เดี๋ยวให้หมอติดต่อคุยด้วยค่ะ...ขอบพระคุณพี่สิงห์ค่ะ...

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก
                              เบอร์ ดร.กุศล  0867899373 ค่ะ
                              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2446 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2554, 11:48:07 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                       วันนี้เป็นตอนจบที่คุณหมอวัฒนา  สุพรหมจักร ได้ถามคำถามหลวงพ่อเทียน
                       อ่านแล้วไตรตรองด้วยปัญญ นะครับ
                       สวัสดี(30421) - (30271) =    150  มีคนเข้ามาอ่านกระทู้นี้




รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

หลวงพ่อเทียน

ความมหัศจรรย์ในพระธรรดา

บันทึกการสนทนาธรรมโดย


น.พ. วัฒนา  สุพรหมจักร

**********************

(๓๑). บวช – สึก

   เมื่อข้าพเจ้าได้ผ่าตัดกระเพาะอาหารท่านออกเกือบหมดและได้แนะนำให้ท่านฉันอาหารจำนวนน้อยแต่บ่อยๆ  ท่านเคยปรารภว่า

   ท่านปฏิบัติเช่นนี้  วินัยหย่อน  จะมีคำครหาได้  อยากไปขอสึก  เพราะท่านจะเป็นพระหรือไม่  ก็ไม่ต่างกัน  จิตใจของท่านไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว”

(๓๒). รู้จักหลวงพ่อเทียนไหม ?

   ท่านเคยเล่าให้ฟัง  เมื่อตอนที่ท่านกำลังคอยรับการฉายรังสีที่โรงพยาบาลรามาธิบดี

   มีคนถามท่านว่า  “หลวงพ่อรู้จักหลวงพ่อเทียนไหม”  ท่านตอบว่า  “พอรู้จักบ้าง”

   หลังจากที่ได้พูดคุยเรื่องธรรมะกับท่านแล้ว  คนนั้นก็สงสัยจึงถามว่า

   “ท่านคือ  หลวงพ่อเทียนใช่ไหม”  หลวงพ่อจึงตอบว่า “ใช่”

(๓๓). เรื่องของพระพุทธเจ้า

   เคยมีการกล่าวถึงปัญหาพระบรมสารีริกธาตุว่าเป็น  แก้วผลึก  หรือ  เป็นเพียงกระดูกที่ไฟเผา  เมื่อได้ขอความเห็นท่านกลับตอบว่า

   “เรื่องของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องของเรา

   เรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้า

   แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้จักเรื่องของเรา

   เมื่อรู้เรื่องตัวเองดีแล้ว  ถึงพระพุทธเจ้าจะเสด็จมาหรือไม่  ก็ไม่เป็นปัญหา”

(๓๔). อริยบุคคล

   หลวงพ่อกล่าวว่า  “ในทางร่างกาย  อริยบุคคลกับคนธรรมดานั้นไม่แตกต่างกัน  มีแต่เรื่องจิตใจเท่านั้นที่อริยบุคคลดีกว่าเหนือกว่าบุคคลธรรมดา”

(๓๕). ตามใจคนอื่น

   เคยถามหลวงพ่อว่า  คนเดี๋ยวนี้มีการศึกษาก็มาก  แต่ทำไมจึงยังแก้ทุกข์ไม่ได้

   ท่านตอบว่า

   “คนส่วนใหญ่ทำตามใจคนอื่น  ไม่ทำตามใจตัวเองจึงเป็นเช่นนี้”

(๓๖). คนตายทำประโยชน์ได้น้อย

   ท่านได้พูดถึงการศึกษาปฏิบัติธรรมะว่า  ควรทำตอนชาตินี้  ไม่ควรคอยตอนตายแล้ว

   “คนตายแล้วทำประโยชน์ได้น้อย  คนเป็นทำประโยชน์ได้มากกว่า”

(๓๗). การไม่กินเนื้อสัตว์

   เคยเรียนถามท่านว่า  การไม่กินเนื้อสัตว์  ทำให้การปฏิบัติธรรมะดีขึ้น  หรือไม่

   ท่านตอบว่า

   “การที่จะรู้หรือปฏิบัติธรรมะ  ไม่ได้ขึ้นกับการกินอะไร  หรือไม่กินอะไร  ดูอย่างเจ้าชายสิทธัตถะ  ซึ่งอย่าว่าแค่เนื้อเลย  แม้กระทั่งอดข้าว  อดน้ำจนเกือบตายก็ยังไม่รู้ธรรมะ  เรื่องนี้เป็นเรื่องของปัญญา”

(๓๘). ติดสมาธิ

   ท่านเคยกล่าวเตือนว่า
  
   “การที่ติดอยู่กับรูปแบบของสมาธิ  จะเป็นวิธีใดก็ตาม  เหมือนกับการนั่งเรือข้ามฟาก  แล้วไม่ยอมขึ้นจากเรือ  ทั้งๆ  ที่เรือถึงฝั่งตรงกันข้ามแล้ว  เพราะยังหลงสนใจในตัวเรือ  เครื่องเรืออยู่”

(๓๙). ทำดี  ทำชั่ว

   เคยถามท่านว่า  มีคนสงสัย  ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  จริงหรือไม่

   ท่านให้ความเห็นว่า

   ดี  ชั่ว  เป็นเรื่องของสังคมกำหนด  ดี  ในที่หนึ่ง  อาจจะเป็น  ชั่วอีกที่หนึ่ง  เราควรพูดให้เข้าใจใหม่ว่า

   “ทำดีมันดี   ทำชั่วมันชั่ว”

(๔๐). นักศึกษา

   หลวงพ่อเคยเปรียบเทียบว่า  คนที่ได้รับการศึกษานั้นมี ๒ จำพวก  พวกแรกเป็นผู้ที่รู้แจ้งหรือรู้จริง  เป็นบัณฑิต  พูดแล้วเข้าใจได้เลย  อีกพวกหนึ่ง  เป็นเพียงผู้รู้จักและรู้จำ  ซึ่งเวลาพูดจะพูดมาก  คำพูดอ้อมค้อม  ฟุ้มเฟือย  หรือไม่ก็อ้างตำรามากมาย  เพื่อชักจูงให้คนเชื่อ  ทั้งนี้  เพราะตัวเองไม่รู้จริง

(๔๑). อดีต  ปัจจุบัน  อนาคต

   ท่านกล่าวอยู่เสมอว่า  อดีตผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้  อนาคตก็ยังมาไม่ถึง  มีแต่ปัจจุบันนี้

   ที่เรายังทำอะไรได้  ถ้าทำดีวันนี้  วันนี้ก็จะเป็นอดีตที่ดีของวันพรุ่งนี้  และวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นอนาคตที่ดีของวันนี้ที่ทำดีแล้ว  จะไปห่วงอะไรกับสิ่งที่แก้ไขไม่ได้  และสิ่งที่ยังมาไม่ถึงที่แก้ทุกข์ในปัจจุบันนี้ไม่ได้

(๔๒). อธิษฐาน

   ข้าพเจ้าเคยถามท่านว่า  ตอนก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ  หลังจากได้ฉันอาหารของนางสุชาดา แล้วได้ลอยถาด  ปรากฏว่าลอยทวนกระแสน้ำ  ซึ่งดูผิดธรรมชาติ
   ท่านมีความเห็นอย่างไร ?   ท่านชี้แจงว่า

   “ของทุกอย่างย่อมลอยตามกระแสน้ำ  เรื่องนี้เป็นการทวนกระแสความคิดที่มีอยู่เป็นอยู่  ถ้าเราคิดย้อนกลับขึ้นไปบ้าง  ก็จะรู้ความจริงว่าเป็นอย่างไร”

(๔๓). ทำงานอย่างมีสติ

                หลวงพ่อกล่าวอยู่เสมอว่า

   “คนเรามีหน้าที่  ที่จะต้องทำในสังคมที่ตนอยู่  เป็นธรรมดาการปฏิบัติหน้าที่  โดยมีสติจะได้ผลงานที่สมบูรณ์”

(๔๔). แสงตะเกียง

   ในระยะหลังๆ  ที่หลวงพ่อสุขภาพไม่ค่อยดี  ภรรยาของข้าพเจ้าได้ปรารภกับท่าน

   ด้วยความเป็นห่วงเรื่องการสอนธรรมะ  หลังจากที่ท่านจากไปแล้วว่าจะเป็นอย่างไร

   ท่านตอบว่า

   “เรื่องนี้อย่าเป็นห่วงเลย  ตราบใดที่ยังมีคนอยู่ก็จะมีคนรู้ธรรมะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว  เพราะธรรมะไม่ใช่เรื่องผูกขาดเป็นของส่วนตัว  ธรรมะมีมาก่อนสมัยพุทธกาล  แต่พระพุทธเจ้าเป็นคนแรกที่ทรงนำมาสอนและเผยแพร่  คนที่รู้ธรรมะนั้น  เปรียบได้เหมือนกับตะเกียงที่จุดสว่างขึ้นในความมืด  คนที่อยู่ใกล้จะเห็นชัด  คนที่อยู่ไกลก็เห็นชัดน้อยลง  สักพักหนึ่งตะเกียงจะดับไปและจะมีการจุดตะเกียงให้สว่างขึ้นอีกเป็นครั้งคราว”

(๔๕). เรียนกับใคร

   ในการเข้ารักษาตัวครั้งสุดท้ายที่โรงพยาบาลสมิติเวช  ท่านปรารภว่า การเจ็บป่วยคราวนี้

   เป็นเรื่องที่หนัก  ท่านเองก็ได้แต่เฝ้าดูลมหายใจของตนเองว่าจะหยุดเมื่อใด  ข้าพเจ้าจึงได้ถามตรงๆ ว่า  เมื่อสิ้นหลวงพ่อแล้วจะแนะนำให้ศึกษาธรรมะกับใคร  จึงจะได้ผลดีที่สุด

   ท่านตอบว่า

   “จงศึกษาธรรมะจากตัวเอง  ดูจิตใจตัวเองดีที่สุด”

(๔๖). ลูกศิษย์หลวงพ่อ

   เมื่อได้เรียนถามท่านว่า  มีลูกศิษย์  ท่านใดบ้าง  ที่คิดว่าเป็นอย่างหลวงพ่อ  ท่านตอบว่า

   “เรื่องนี้เป็นเรื่องของจิตใจ  เราหยั่งถึงจิตใจคนอื่นได้ยาก  แต่คำพูดที่ออกมานั้นเราเข้าใจกัน”

(๔๗). สอนคนในสังคมปัจจุบัน

   ผมเคยถามท่านว่า  ศาสดาที่ประกาศศาสนาต่างๆ ในโลกนี้ต่างกำเนิดเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งพัน  หรือ  สองพันปีที่แล้วในสังคมที่มีสภาพเรียบง่ายไม่ซับซ้อนวุ่นวายเช่นในปัจจุบันนี้  คำสอนที่ได้ผลในสมัยนั้นจะยังสามารถสอนคนในสังคมปัจจุบันได้หรือ  ซึ่งเป็นสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  จนยากที่จะคาดการณ์ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นใน ๓  ปี  ๕  ปีข้างหน้า  อีกทั้งปัจจุบันเป็นสังคมวิทยาศาสตร์ไม่ใช่สังคมโบราณที่ล้าสมัย  แม้คำสอนของพระพุทธเจ้าเอง ท่านสอนแต่คนอินเดียโบราณ  มีวัฒนธรรมความเชื่อแตกต่างจากเราท่านทั้งหลาย  ด้วยเหตุนี้ผมจึงถามท่านต่อไปว่า  เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า จะสามารถสอนคนในปัจจุบันได้หรือ

   หลวงพ่อตอบง่ายๆ ว่า

   “เป็นเรื่องธรรมดาที่สังคมจะมีการเปลี่ยนแปลง  เพราะในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เป็นอมตะ  มีแต่สิ่งที่เกิดขึ้น  ตั้งอยู่  และดับไป  จะมีก็แต่ธรรมชาติของจิตใจคนเท่านั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง  คนที่เกิดเมื่อหลายพันปีก่อน  หรือเกิดในปัจจุบัน  หรือในอนาคต  ต่างมีความโลภ   ความโกรธ  ความหลง  ฯลฯ  มีอวิชชาเหมือนกัน  เพียงแต่การแสดงออกที่ปรากฏ  แตกต่างตามเวลาและสภาพแวดสังคม  การศึกษาพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้น  คือการศึกษาเรื่องจิตใจของคนนั่นเอง  ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาของเวลามาเกี่ยวข้อง  สอนคนได้ตลอดไป  คำสอนใดในพุทธศาสนาที่ไม่ได้มุ่งสู่ประเด็นการศึกษาธรรมชาติของจิตใจคน  หลวงพ่อบอกว่าเป็นเพียงเปลือก  กระพี้  หรือกิ่งก้านสาขา  ไม่ใช่แก่น  อาจจะมีประโยชน์บ้างแต่ไม่เท่ากับ  ประโยชน์ที่ได้จากแก่นที่แท้จริง”

   ผมประทับใจหลวงพ่อ  ที่เป็นคนไม่มีการศึกษาเลยก็ว่าได้  แต่สามารถสอนคนให้รู้และเข้าใจธรรมะได้  จนอดคิดไม่ได้ว่า  การที่เราเรียนหนังสือหนังหาอย่างมากมายนั้น  กลายเป็นว่าเราถูกกำหนด(Program) และตีกรอบวิถีแห่งความคิดมากเกินไป  หรือจะเรียกว่า  ติดสมมุติเกินไปก็ว่าได้  จนทำเรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยากและยุ่งเหยิงไปหมด

   ผมขอขอบพระคุณ คุณธัญญาที่เล็งเห็นประโยชน์และต้องการเผยแพร่บทความของผมให้แก่คนที่กำลังแสวงหานั้น  ผมยินดีเป็นที่สุดครับ

                                                                                                                      ขอแสดงความนับถือ

                                                                                                                      วัฒนา     สุพรหมจักร

กาลามสูตร

              เป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ ปัญญา พิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษ หรือดีไม่ดี ก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่

๑.   อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังกันมา

๒.   อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำตามกันมา

๓.   อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือตามกันมา

๔.   อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา

๕.   อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดาเอาเอง

๖.   อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนตามหลักปรัชญา

๗.   อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล

๘.   อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน

๙.   อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้

๑๐.   อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน


      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2447 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2554, 16:25:18 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 กรกฎาคม 2554, 11:48:07
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                       วันนี้เป็นตอนจบที่คุณหมอวัฒนา  สุพรหมจักร ได้ถามคำถามหลวงพ่อเทียน
                       อ่านแล้วไตรตรองด้วยปัญญ นะครับ
                       สวัสดี(30421) - (30271) =    150  มีคนเข้ามาอ่านกระทู้นี้



พี่สิงห์คะ,
อ่านทันแล้ว
ยังไม่เชื่อ ยังไคร่ครวญอยู่คะ
เกิดแล้ว จะเชื่อคะ


nn. 30443
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2448 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2554, 16:34:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 06 กรกฎาคม 2554, 20:40:31
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก
                      พี่สิงห์กิน  ออกกำลังกายเดินจรกรม รำมวยจีนได้  เป็นปกติ  ไม่มีไข้  ไม่เจ็บคอเพียงแต่แพ้อากาศซึ่งเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่ใช้เสียงมากหลอดลมอักเสบ และไอมากเท่านั้น  คงต้องอดทนสักสามอาทิตย์เรื่องการไอ  ปอดปกติ  ยังหายใจปกติ  เพียงแต่เวลาไอมาแสบคอมากเท่านั้น ใช้ทั้งอมน้ำเกลือ ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว และอีกหลายอย่างเท่าที่จะทำได้ครับ  พยายามพักผ่อนให้มาก พรุ่งนี้เช้าว่าจะลองเปลี่ยนบรรยากาศไปหาอากาศยามเช้าจะไปเดินตีกอล์ฟหกโมงเช้าดูครับ เป็นอะไรเป็นกัน

                       วันนี้ ดร.สุริยา  ได้รับคำสั่งจากคุณมิ้ง โทรศัพท์มาเยาะเย้ยถากถาง หมองูตายเพราะงู  มันก็เป็นความจริง  เพราะก่อนที่จะไปเชียงใหม่ส่ออาการไม่ดีแล้วคงติดเชื้อมาจากการถอดที่ครอบฟันออก รอรักษารากฟัน ประกอบกับการเดินทาง อากาศเปลี่ยนมาก  ตากฝน และใช้เสียงมากในการทำงานติดๆกัน นอนน้อยไปด้วย ร่างกายมันจึงรับไม่ไหว เพราะรับปากเขาแล้วมันก็ต้องไป  นี่อาทิตย์นี้ผิดศีลข้อมุสาอย่างมาก ครับ แต่มันก็ไม่ร้ายแรงในผลนั้น แต่เราก็รู้ว่าเราผิดคำพูดกับตัวเองในหลายเรื่องที่ไม่ควรกระทำ                 
                        ราตรีสวัสดิ์ครับ

มัวอ่านหลายรอบคะ
ยังไม่เข้าใจที!

1.พี่ป๋องป่วย?
2.ป่วยก่อนไป หรือ ป่วยหลังไป?
3.ที่ครอบฟันใคร พี่ป๋องหรือพี่สิงห์?
4.ใครไปเชียงใหม่?
5.พี่หรือพี่ป๋อง ต้องใช้เสียง?จำได้ว่าพี่สิงห์กะพี่กุศลต้องใช้เสียง
พี่ป๋องไม่ต้องใช้เสียง ใช้มืออย่างเดียว...วาดๆเขียนๆ
เอ๊ะ รึพี่ป๋องคาราโอเกะจนหลอดลมพัง?
6.มุสาตรงไหน ใครมุสา มุสาเรื่องอะไร?
..
..
ใกล้แล้วคะ
เดี๋ยวเกิดแน่
อีกเดี๋ยว
..
..


nn.188847
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2449 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2554, 16:37:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ supapon เมื่อ 06 กรกฎาคม 2554, 21:27:02
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์

เข้ามาอ่านตลอดค่ะ แต่จำรหัสไม่ได้ ได้แต่อ่านอย่างเดียว
กว่าจะเดารหัสถูกก็วันนี้แหละค่ะ เดี๋ยวต้องจดไว้แล้ว
ขอให้หายไอ ไวไวนะคะ

ด้วยรัก&เคารพ&เป็นห่วง
Miew

พี่สุภาพรหายไปนานมาก
ยังระลึกถึงพี่ค่ะ
พี่ไปว่ายน้ำกะหนิงคะ
จะเบาตัวสบายกายา
กินง่าย นอนหลับ
      บันทึกการเข้า


  หน้า: 1 ... 96 97 [98] 99 100 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><