23 มิถุนายน 2567, 09:24:29
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 88 89 [90] 91 92 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3320755 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2225 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2554, 20:57:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 06 มิถุนายน 2554, 20:40:13
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
มาตามฟังเฉลยค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                                เธอลองตอบคำถามดูบ้าง อย่าไปกลัวว่ามันจะผิด หรือถูก ผิดเป็นครู เราจะได้เรียนรู้ ถ้าถูกแสดงว่าเราก็มีปัญญา ครับ ทุกอย่างมีสองด้านคู่ขนาน ตามที่ปรมาจารย์เว่ยหล่าง ท่านสอนไว้ ครับ
                                สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2226 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2554, 21:03:46 »

ปัญญา ของข้าพเจ้าน้อยนิดค่ะพี่สิงห์
ระดับอนุบาลปล่อยไก่หมดฝูงแน่นอน
ยิ่งคิดไม่อะไรไม่ค่อยจะเหมือนคนอื่นเขา
 รอพี่สิงห์เมตตาเฉลยดีกว่าค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2227 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2554, 06:31:12 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                        ผมตื่นตีห้า เพื่อมาตอบคำถามครับ ที่ค้างคาไว้ เพราะมีเพียงคุณน้องตู่ ท่านเดียวเท่านั้น ที่กล้าตอบครับ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะต่างคน ต่างก็มีความคิดเป็นตัวของตัวเอง ย่อมคิดไม่เหมือนกัน การอยู่เฉยๆ ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะไม่ให้ผู้อื่นรู้ว่าเราคิดของเราอย่างไร? ก็ดีครับแต่ขอให้มีอุเบกขา มากๆ เข้าไว้นะครับ คนรอบกายท่านจะได้ไม่สร้างทุกข์และตัวท่านก็จะไม่ทุกข์ครับ
                        เชิญหาคำตอบเอาเองครับ
                        สวัสดี


รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส
ตอนที่ ๔
ทุกข์
(ตอบคำถาม)

เคยมีคนถาม หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  ว่า ทุกข์คืออะไร?

หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ ท่านได้เอาของใส่มือให้ กำไว้ แล้วคว่ำมือ และแบมือ

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ท่านได้ชี้ไปที่ของซึ่งหล่นจากมือไปสู่พื้นว่า   “นี่คือ ทุกข์”

ผู้ถามก็เข้าใจทันทีว่า ทุกข์เป็นสิ่งสมมติ ที่เราสร้างขึ้น และยึดถือไว้ ปล่อยวางได้

หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  ท่านได้กล่าวถึงผู้ที่เข้าใจโดยเร็วนี้ว่า

“เป็นผู้มีปัญญา”


ทุกขอริยสัจ

          การเกิดเป็นทุกข์ การแก่เป็นทุกข์ การตายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ การที่ไม่ได้ในสิ่งที่อยากได้เป็นทุกข์ การที่ได้ในสิ่งที่ไม่อยากได้เป็นทุกข์ (ประสพกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบเป็นทุกข์) ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจเป็นทุกข์ ความเศร้าโศกพิไรรำพัน ความคับแค้นใจเป็นทุกข์

กล่าวโดยย่อ ขันธ์ ๕ (รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ) อันเป็นไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น คือทุกข์

ทุกข์ พึงกำหนดรู้ เท่านั้น แต่อย่าไปเป็นทุกข์เสียเอง นี่คือสิ่งที่ควรจดจำไว้ให้มั่น

          จิต ปราศจากรูปร่าง ธรรมชาติของจิตนั้นผ่องใส เป็นจิตประภัสสร แต่หมองมัวไปด้วยกิเลส (คือสิ่งที่มายึดเกาะจิต ทำให้จิตเศร้าหมอง พรุ่งพร่าน เดือดดาลใจ เป็นต้น) ซึ่งโดยปกติมิได้มีอยู่ในธรรมชาติที่แท้ของจิต หากแต่เป็นแขกอาคันตุกะที่จรมาครอบคลุมจิต ผุกมัดจิตไว้ด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่สะสมเรามาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งปัจจุบัน ทำให้จิตหม่นหมองไป และอยากแก่การที่จะสลัดให้หลุดไปโดยง่าย
          จิต อาศัยกายเป็นที่อยู่อาศัย จิตและกายทำงานร่วมกันในระบบที่เรียกว่า “ขันธ์ ๕” อันเป็นไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นอัตตาตัวตน จึงเป็นทุกข์ ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงสรุปไว้ใน ทุกขอริยสัจ

                      เฉลยคำตอบ ดร.สุริยา
                     ลูกโบลิ่ง ที่ดร.สุริยา ถืออยู่ในกำมือ (เมื่อถือจะมีความรู้สึกว่า มันหนัก และถ้าถืออยู่นานๆ มันก็ยิ่งหนักเพิ่มขึ้น ตามเวลาที่เพิ่มขึ้น ร่างกายมันจะทนถือลูกโบลิ่งนั้น ได้ขนาดไหนเชียว)  ก็คือ เปรียบได้กับ ตัวกิเลส ตัณหา อุปาทาน หรือทุกข์ ที่ ดร.สุริยา แบกเอาไว้จนใบหน้าหมองหม่น ไร้ซึ่งราศรี และความสุข ดร.สุริยา จะทนแบกทุกข์นั้นไปทำไม?ให้เป็นมะเร็งในอนาคต

                      เมื่อ ดร.สุริยา ปล่อยมือ ลูกโบลิ่งก็หลุดออกจากมือไป (เพราะถือไม่ไหว และรู้ว่า ต้องละมือปล่อยให้ลูกโบลิ่งลงสู่พื้น) ผลที่ตามมาคือตัวเองไม่หนักมือ รู้สึกสบายกาย – ใจ (แอบคิดอยู่ในใจ ทำไม? กูไม่ปล่อยมือตั้งแต่แรกถือให้โง่ทำมไ? ดดนไอ้สิงห์หรอก หรือ ไปหยิบมันมาถือทำไม? ให้หนักเปล่า ๆ )
 
                       ทุกข์ ก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้จักปล่อยวางเป็นมันก็ไม่ทุกข์ มันไม่ได้เกิดมาติดตัวเราเสียเมื่อไร ? เราเป็นคนแส่ไปหามัน และยึดเกาะมันไว้ทั้งนั้น เพราะความไม่รู้เท่าทันมัน เมื่อเรากำหนดรู้ทุกข์แล้ว เราจะรู้สาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ เราก็แก้ที่สาเหตุนั้น โดยการกระทำที่ตรงกันข้ามกับสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์นั้น ทุกข์ก็ไม่เกิดกับเรา

คนเราทุกข์ เพราะความคิด
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล / หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ

                      ดร.สุริยา ไม่อยากตกในสภาพทุกข์ แต่ ดร.สุริยา แส่ไปหาทุกมาใส่ตัวเอง ลูกโบลิ่งมันอยู่ของมันเฉยๆ บนที่วาง ดร.สุริยา ก็แส่ไปเอามันมาถือไว้ในมือ  พอถือไปนาน ๆ มันก็หนัก  แต่ก็ยังถืออยู่  เพราะไม่รู้วิถีที่จะทำให้ตัวเองพ้นทุกข์  พอ ดร.สุริยา ได้คิดด้วย ปัญญาเมื่อมี “สติ” ดร.สุริยา ปล่อยมือเท่านั้น ทุกข์จากลูกโบลิ่งก็หลุดลอยไปเอง ความสุขก็บังเกิดขึ้น

นี่ละทุกข์ของ ดร.สุริยา และปุถุชน ทุกท่านรวมถึงผมด้วย ได้เวลาสลัดทุกข์ทิ้งแล้วครับ

อย่าไปแบกมันให้หนักอยู่เลย จิตเราควรเป็นจิตประภัสสร ครับ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2228 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2554, 07:39:33 »

คำถาม

                       เมื่อวันแข่งขันโบลิ่ง ผมเจอหลานบุ๋มบิ๋ม(สมมติบัญญัติ) รู้สึกว่า คุณหลานจะน้ำหนัก ๙๐ กว่ากิโลกรัมเจ้าตัวบอกเอง จะเดิน จะยืน จะนั่ง ก็แสนลำบาก หัวเข่าแทบจะทนรับน้ำหนักตัวเองไม่ไหว เสื้อผ้าก็หาใส่อยาก อายุก็แค่ไม่เกิน ๒๕ ปีเอง ทำไม ? จึงเป็นอย่างนั้น.....?

                       ขอเชิญทุกท่านช่วยหาคำตอบให้ด้วยครับ ตอบได้มีรางวัล ครับ(ต้องล่อ เพราะทุกท่านชอบอุเบกขา ปล่อยให้พี่สิงห์ว่าไปคนเดียว มันเหงา แต่ไม่เป็นไร พี่สิงห์ปล่อยวาง ไม่หวังผลอะไร จะตอบหรือไม่ ไม่คิด พี่สิงห์ก็เขียนไปตามประสา ที่จิตมันคิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็อยู่ในกาย-ใจ เราทั้งนั้น ทุกคนต้องประสพอยู่แล้วทั้งนั้น ใครมีปัญญา ปล่อยวาง (คือทำตรงกันข้ามกับจิตที่มันคิด) ก็สามารถหลีกพ้นได้ ครับ

                       คิดถึงอาจารย์ถาวร  โชติชื่น จังเลย ถ้าอาจารย์ถาวร  โชติชื่น ทำแบบพี่สิงห์บ้าง เวบคงจะดี ครึกครื้นขึ้น
                        คุณรุ่งศักดิ์  บุญชู  ก็เป็นผู้รู้ ทั้งนั้น
                        ทั้งสองท่านอย่ามัว ทำ "อุเบกขา"  อยู่เลย ครับ


                        สวัสดี


หมายเหตุ
                       วันนี้พี่สิงห์กลับบ้านสิงห์บุรี ไปหาแม่ ซื้อขนมหม้อแกงไปฝากแม่ ไปคุยกับน้องสาวให้คลาย ทุกข์ บ่ายแวะไปโรงงาน PSTC เพื่อเอาแบบเครน ยกเสาไฟฟ้า Span 24.00 m.ไปให้ เพื่อทำเอาไว้ใช้ในโรงงานใหม่ของเก่าไม่พอเพียงต่อการใช้งาน และออกแบบคำนวณคอนสะปัน ที่จะใช้แขวนสายโทรศัพท์ของ TOT ทั่วประเทศไปให้ ด้วย
                        กลับบ้านค่ำ ครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2229 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2554, 19:57:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 02 มิถุนายน 2554, 20:31:24
กำหนดการเดินทาง    เดือนตุลาคม

วันแรก            กรุงเทพฯ – เฉินตู
24.00 น.   — พร้อมกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ณ อาคารผู้โดยสารขาออก ( ระหว่างประเทศ ) ชั้น 4  เคาเตอร์ U
     สายการบิน AIR CHINAโดยมีเจ้าหน้าที่จากทางบริษัทฯ คอยให้การต้อนรับ และอำนวยความสะดวกแแก่ท่าน
03.10 น.   บินลัดฟ้าสู่นครเฉินตู โดยสายการบิน AIR CHINA  เที่ยวบินที่ CA402 Q
06.50 น.   ถึงสนามบินซวงหลิง เมืองนครเฉินตู เมืองหลวงของมณฑลเสฉวนและมีประชากรหนาแน่นที่สุด ของประเทศจีน ที่มีภูมิประเทศรายรอบไปด้วยเทือกเขาและมีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยมีฤดูร้อนที่อบอุ่น ฤดูหนาวที่ไม่หนาวนักและมีปริมาณความชื้นสูง มีพื้นที่ประมาณ  218,920 ตารางไมล์ ( 567,000 ตารางกิโลเมตร ) ประชากรส่วนหนึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติต่างๆ ได้แก่ชาวยี่ , ธิเบต , เมี้ยว , หุย และเซี่ยง  ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ส่วนใหญ่มีถิ่นฐานอยู่ในเขตปกครองตนเองของมณฑลเฉิงตู และยังเป็นศูนย์กลางของการเดินทางทั้งทางอากาศ    และทางรถไฟรวมไปถึงการเป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจ , วัฒนธรรมและการปกครอง อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีความเป็น “ เมืองจีน ” อย่างที่ผู้คนได้จินตนาการไว้  หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว บริการอาหารมื้อเช้า ณ ภัตตาคาร   หลังอาหารนำท่านเดินทาง จิ่วจ้ายโกว ผ่านเส้นทางที่ท่านจะได้ชมทิวทัศน์ที่แปลกตาทั้งภูเขาที่สะท้อนกับแสงพระอาทิตย์ ทัศนียภาพของลำน้ำหมิงเจียงทอดยาวเป็นแนว คดเคี้ยวเมื่อมองจากที่สูง ผ่านเส้นทางคดโค้งไปตามขุนเขาและโตรกผา ซึ่งเส้นทางนี้เป็นเส้นทางสำคัญในสมัยโบราณ เพราะเป็นเส้นทางที่ศัตรูใช้รุกรานเสฉวน ตั้งแต่รัฐฉิน ก๊กโจโฉ หรือพรรคคอมมิวนิสต์ ผ่านยอดเขาที่สูงที่สุด ตู้เจียงซาน ที่ระดับความสูง 4,200 เมตร ก่อนจะค่อยๆ ลดระดับลง และเลี้ยวลดไปตาม
เที่ยง       รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร  ระหว่างการเดินทาง
เย็น      เดินทางถึงจิ่วจ้ายโกว    นำท่านเดินทางสู่โรงแรมที่พัก..............
       รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
                              พักที่ : QIANHE.HOTEL  หรือระดับเดียวกัน
 
วันที่สอง   จิ่วจ้ายโกว(รถเหมา) – โชว์ธิเบต
เช้า    รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
นำท่านเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติ “ อุทยานแห่งชาติแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว ” นำท่านเปลี่ยนขึ้นรถโดยสารของอุทยานฯ (รถเหมา ) เพื่อชม มรดกโลกอุทยานแห่งชาติธารสวรรค์ “ จิ่วไจ้โกว ” ซึ่งตั้งอยู่ที่ อำเภอหนานปิง อยู่ทางเหนือของมณฑลเสฉวน ห่างจากตัวเมืองเฉิงตู ประมาณ 500 กิโลเมตร และอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,500 เมตร มีอาณาบริเวณถึง 148,260 เอเคอร์ เทือกเขาเหล่านี้ มียอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะอยู่หลายยอด พื้นที่ป่าเขียวขจีสลับกับทุ่งหญ้า, ทะเลสาบ, แม่น้ำและน้ำตกรูปร่างแปลกตา ชาวธิเบตที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้มีตำนานเกี่ยวกับการเกิดของภูมิประเทศ จิ่วไจ้โกวดังนี้ “ ต้าเกอผู้มีชีวิตอันเป็นอมตะและนางฟ้าอู่นัวเซอโหม่ ที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาลึกนี้ได้ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน ต้าเกอจึงได้ขัดกระจกบานหนึ่งจนวาววับด้วยกระแสลมและหมู่เมฆ และมอบให้กับอู่นัวเซอโหม่เป็นของกำนัล แต่โชคร้ายที่อู่นัวเซอโหม่ทำหล่นและแตกเป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อยถึง 108 ชิ้น ซึ่งภายหลังจึงกลายเป็นทะเลสาบทั้ง 108 แห่งในหุบเขาเก้าหมู่บ้านแห่งนี้ ” ภายในอาณาบริเวณอุทยานจิ่วไจ้โกว ประกอบด้วยภูเขาและหุบเขาอันสลับซับซ้อน เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่มีระดับพื้นดินที่ลดหลั่นจึงทำให้เกิดแอ่งน้ำน้อยใหญ่มากมายถึง 114 แอ่ง และกลุ่มน้ำตกใหญ่น้อยรวมถึง 17 กลุ่ม และแม่น้ำซึ่งไหลมาจากหุบเขารวม 5 สาย ท่านจะได้พบกับความหัศจรรย์ของอุทยานแห่งนี้ ชมสภาพของน้ำในทะเลสาบมีสีสันที่พิสดารหลากหลาย ประกอบด้วยฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงจนทำไห้เกิดสีสัน อันมหัศจรรย์จนได้ฉายาว่า “ 7 แดนเทพนิยาย ” ท่านจะได้ เดินลัดเลาะ เริ่มตั้งแต่ป่าดึกดำบรรพ์ ท่านจะได้สัมผัสธรรมชาติของป่าที่ยังคงสภาพเหมือนป่า ดึกดำบรรพ์ เสมือนหนึ่งท่านกำลังสำรวจป่าดึกดำบรรพ์ ต่อด้วยทะเลสาบกระจกเงาและทะเลสาบหงส์ ชมความใสสะอาดของน้ำในทะเลสาบ
เที่ยง       รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
   จากนั้นแวะชมทะเลสาบหมีแพนด้าและทะเลสาบไผ่ลูกศร ซึ่งท่านจะตลึงกับความงดงามที่ธรรมชาติได้บรรจงสร้างไว้อย่างวิจิตพิสดาร ดั่งภาพวาดในจินตนาการ จากนั้นผ่านบึงหญ้า ดาดน้ำ ชั้นของน้ำตกน้อยใหญ่ ไหลลัดเลาะ ซึ่งท่านสามารถได้ยินเสียงของน้ำไหลภายใต้บรรยากาศที่แสนสงบเงียบและงดงาม ซึ่งท่านสามารถมาเยือนได้ในทุกฤดูกาล นำท่านชมความงดงามของ “ น้ำตกธารไข่มุก ” ซึ่งเป็นน้ำตกที่ไหลผ่านถ้ำลำธารใหญ่สลับซับซ้อนดุจดังวังบาดาล มีสายน้ำที่ทอดธารลดหลั่นยาวเป็นระยะยาวถึง 310 เมตร ไม่ขาดสายส่องประกาย
ระยิบระยับ เป็นน้ำตกที่มีความงามราวกับเส้นไข่มุก ให้ท่านได้อิสระกับการบันทึกถ่ายภาพและดื่มด่ำกับธรรมชาติ ที่สวยสดงดงามได้อย่างเต็มที่

ค่ำ       รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
 หลังอาหารค่ำ นำท่านชม โชว์ธิเบตอันสวยงามตระการตา ( ท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจกับหนุ่มหล่อสาวสวยที่สุดในเขตจังหวัด อาปา อีกทั้งยังมีโอกาสได้สัมผัสและใกล้ชิดกับดาราที่ขึ้นชื่อของธิเบต ) จากนั้นนำท่านกลับสู่ที่พัก พักที่ : QIANHE.HOTEL  หรือระดับเดียวกัน   

วันที่สาม         จิ่วจ้ายโกว – อุทยานหวงหลง – เม่าเซี่ยน
เช้า    รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก  หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่อุทยานหวงหลง
   ระหว่างทางชมทิวทัศน์เทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ  แวะให้ท่านถ่ายรูปเก็บภาพความประทับใจ
11.00 น.   เดินทางถึงอุทยานหวงหลง
เที่ยง       รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
นำท่านชม อุทยานหวงหลง หรือหุบเขามังกร   เหลืองอุทยานแห่งชาติที่เต็มไปด้วยน้ำตก ทะเลสาบ หินปูนที่มีน้ำใสจนสามารถสะท้อนสีฟ้า เหลือง ขาว และเขียวจากธรรมชาติแวดล้อม จนเป็นที่มาของทะเลสาบ 5 สี ทะเลสาบที่สวยที่สุด ตั้งอยู่ด้านหลังวัดหวงหลงในหุบเขาที่ลึกจากถนนประมาณ 5.7 กิโลเมตร  ท่านจะได้สัมผัสกับธรรมชาติแอ่งน้ำ ลำธารน้อยใหญ่ ที่มีสัตว์ป่าหลายชนิดมาอาศัยหากิน ชมหินงอกหินย้อย ที่   เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติพร้อมชะมดอกไม้ป่าที่งดงาม เป็นธารน้ำธรรมชาติที่เกิดจากการสะสมของหินปูนและแร่ธาตุต่างๆเป็นทางยาวกว่า 3.6 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางมีบ่อน้ำเล็กใหญ่มากกว่า 4,300    แห่ง ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก 
สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางสู่เมืองเม่าเซี่ยน 
ค่ำ       รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
                              พักที่ : MAOXIANINTER.HT หรือระดับเดียวกัน
   
วันที่สี่         เม่าเซี่ยน – เมืองหย่าอัน
เช้า    รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
09.00 น.      อำลาเมืองเม่าเซี่ยน   นำท่านเดินทางสู่เมืองหย่าอัน (ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง )
ระหว่างทางท่านจะได้ผ่านชมธรรมชาติและความงามของ ทุ่งหญ้าชวนจู่ซื่อ สมัย เมื่อ 70 ปีที่แล้ว ได้เกิดสงคราม
เหล่าบรรดาทหารจีนแดงหนีมาตามเส้นทางผ่านทุ่งหญ้าและได้เกิดโคลนดูดทำให้เสียชีวิต และหิวตายหลายพัน
คน ปัจจุบันได้มีการสร้างอนุสาวรีย์บริเวณใจกลางทุ่งหญ้าอันสวยงาม เพื่อเป็นการระลึกถึงทหาร จีนแดง
เที่ยง       รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย   นำท่านเดินทางต่อ  ระหว่างทางชมทิวทัศน์สองข้างทาง หรือพักผ่อนตามอัธยาศัย........
เย็น   เดินทางถึงเมืองหย่าอัน  เมืองที่มีภูเขาที่สวยงาม มีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่งดงาม เป็นพื้นที่ที่มีอากาศสะอาดสดชื่น ปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ย 1,800 มิลลิเมตรต่อปี จนได้รับการขนานนามว่า "เมืองแห่งฝน" เพราะเป็นเขตที่มีปริมาณน้ำฝนมากที่สุดของมณฑลเสฉวน เมืองหย่าอันเป็นเมืองท่องเที่ยวดีเด่นของจีน และเป็น "หนึ่งใน 10 เมืองแห่งมนต์เสน่ห์ของจีน" ประจำปี 2006 นอกจากนี้เมืองหย่าอันยังเป็นที่นิยมสำหรับการท่องเที่ยวแบบพักผ่อนตากอากาศในชนบทและการขับรถเที่ยวเองของมณฑลเสฉวน เมืองหย่าอันเป็นสถานที่ค้นพบหมีแพนด้าตัวแรกของโลก และเป็นต้นแบบการเพาะพันธุ์หมีแพนด้าของโลก ในปี 2006 ถิ่นกำเนิดและแหล่งที่อยู่ของหมีแพนด้าในมณฑลเสฉวนซึ่งมีเมืองหย่าอันเป็นศูนย์กลาง ได้ถูกบันทึกอยู่ในบัญชีรายชื่อมรดกโลกทางธรรมชาติ นอกจากนี้เมืองหย่าอันยังเป็นแหล่งกำเนิดของวัฒนธรรมชาและการปลูกชาของโลก ทั้งยังเป็นเขตเพาะปลูกและบำรุงรักษาต้นชาโดยใช้แรงงานคนที่เก่าแก่ที่สุดของโลก
ค่ำ       รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
                              พักที่ : BEITEXINGYUE.HT หรือระดับเดียวกัน
   
วันที่ห้า      หย่าอัน – อุทยานธารน้ำแข็งไห่โหลวโกว
เช้า    รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก 
   หลังอาหารนำท่านเดินทางอุทยานธารน้ำแข็งไห่โหลวโกว
เที่ยง       รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
 บ่าย      อุทยานธารน้ำแข็งไห่โหลวโกว (Hailuogou Glacier Park) เป็นธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่ เกิดจากการละลายของ
หิมะ ทางด้านตะวันออกของ ภูเขากังก่า (Gongga Mountain) ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในมณฑลเสฉวน ที่มีความสูง
เหนือระดับน้ำทะเล 7,556 เมตร ทอดยาวไปจนจรดกับอุทยานสี่ดรุณี ใกล้ๆ กับอุทยานสวรรค์จิ่วจ้ายโกว ได้รับ
สมญานามเป็นราชาแห่งภูเขาเลยทีเดียว ไห่โหลวโกว เป็นชื่อภาษามุหยา ซึ่งมีความหมายว่าที่พักในเนินเขา
มุหยาเป็นชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยที่นี่และเคยเจริญรุ่งเรืองในประวัติศาสตร์ บริเวณนี้เป็นเขตย่านรอบตะเข็บในการ
ตั้งถิ่นฐานระหว่างชนชาติทิเบตกับชนชาติ ฮั่นและเป็นเขตรอยต่อระหว่าง เขตเลี้ยงปศุสัตว์กับเขตการเกษตร ใน
กระบวนการที่ วัฒนธรรมของชาวปศุสัตว์และวัฒนธรรมข้าวชาวฮั่นเกิดความขัดแย้งและผสมกลมกลืน จนได้
ยกระดับ และพัฒนาเป็นวัฒนธรรมชายขอบที่มีสีสันเข้มข้น อุทยานธารน้ำแข็งไห่โหล วโกว ถูกนิตยสารเนชั่น
แนลจีโอกราฟฟิกแห่งประเทศจีนยกย่องให้เป็น 1 ใน 6 ธารน้ำแข็งที่สวยที่สุดของจีน ที่นี่มีน้ำพุร้อนที่มีแรง
เสน่ห์ดึงดูดคู่รักและครอบครัว มีป่าดิบที่คงสภาพดั้งเดิมอย่างดีที่สุด มีป่าธรรมชาติมากพอเทียบกับเกาะแทส
เมเนียของประเทศ ออสเตรเลีย มีน้ำตกไหลจากเขาสูงและมีขนบธรรมเนียม ประเพณีของชนเผ่าที่แปลกตา
น่าสนใจ   อิสระให้ท่านได้เก็บภาพความประทับใจ  สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางสู่ที่พัก.......
ค่ำ    รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
                พักที่ : GONGGA.HT หรือระดับเดียวกัน
   
วันที่หก      ไห่โหลวโกว – ถนนคนเดิน – โชว์เปลี่ยนหน้ากาก – กรุงเทพฯ
เช้า    รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก  แล้วนำท่านอำลาไห่โหลโกวเดินทางสู่เมืองเฉินตู
   อิสระพักผ่อน (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6-7 ชม.)
เที่ยง       รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย      จากนั้นนำท่านสู่ถนนคนเดิน ให้ท่านได้เลือกช้อปปิ้งสินค้าอย่างจุใจในราคาย่อมเยา  อิสระช้อปปิ้ง
นำท่านชม โชว์เปลี่ยนหน้ากาก ที่ใช้ศิลปะพร้อมความสามารถในการเปลี่ยนหน้ากากแต่ละฉากภายในเสี้ยววินาที โดยที่ไม่สามารถจับตาได้ทัน เป็นการแสดงที่สงวนและสืบทอดกันมาภายในตระกูล หลายชั่วอายุคน ไม่ถ่ายทอดให้บุคคลภายนอกทั่วไป 
18.00 น.       รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร
สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางสู่สนามบินเมืองเฉินตู เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ


00.20 น.       บินลัดฟ้ากลับสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบิน AIR CHINA เที่ยวบินที่ CA401 Q
02.10 น.           ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ   พร้อมความประทับใจ
************ ขอบคุณทุกท่านที่ใช้บริการ ************
 (*** กรุ๊ปออกเดินทางได้ตั้งแต่ 15 ท่านขึ้นไป ***)




กำหนดการเดินทางเดือนตุลาคม
อัตราค่าบริการ   ผู้ใหญ่  (พักห้องละ 2 ท่าน)            ท่านละ      39,900      บาท
      เด็กอายุไม่เกิน 12 ปีพักกับ 1 ผู้ใหญ่         ท่านละ      39,900      บาท
      เด็กอายุไม่เกิน 12 ปีพักกับ 2 ผู้ใหญ่ (เสริมเตียง)                  ท่านละ      38,900      บาท
      เด็กอายุไม่เกิน 12 ปีพักกับ 2 ผู้ใหญ่ (ไม่เสริมเตียง)                  ท่านละ      37,900      บาท
      พักเดี่ยวจ่ายเพิ่ม                ท่านละ                    8,000                   บาท

หมายเหตุ   บริษัทขอสงวนสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงรายการตามความเหมาะสมทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของสายการบิน สภาพทางการเมือง ภัยทางธรรมชาติ แต่ยังคงจะรักษามาตรฐานการบริการและยึดถือผลประโยชน์ของผู้เดินทางเป็นสำคัญ (ราคาดังกล่าวข้างต้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะค่าเงินบาทที่ไม่คงที่)
อัตราค่าบริการดังกล่าวรวม
   ค่าตั๋วเครื่องบินชั้นทัศนาจร ไป-กลับ ตามที่ระบุไว้ในรายการ
   ค่าภาษีสนามบินทุกแห่งตามที่กำหนดไว้ในรายการ
   ค่าวีซ่ากรุ๊ป ไม่สามารถคืนเงินได้
   ค่าโรงแรมระดับมาตรฐาน (พักห้องละ 2 ท่าน) ,  อาหารและเครื่องดื่มทุกมื้อ ตามที่ระบุไว้ในรายการ
   ค่ายานพาหนะ และค่าธรรมเนียมเข้าชมสถานที่ต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในรายการ
   น้ำหนักสัมภาระท่านละไม่เกิน 20 กิโลกรัม, ค่าประกันวินาศภัยเครื่องบินตามเงื่อนไขของแต่ละสายการบินที่มีการเรียกเก็บ
   ค่าประกันอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง ท่านละไม่เกิน 1,000,000 บาท (ค่ารักษาพยาบาล 500,000 บาท) 
ทั้งนี้ย่อมอยู่ในข้อจำกัดที่มีการตกลงไว้กับบริษัทประกันชีวิต
อัตราค่าบริการดังกล่าวไม่รวม
   ค่าหนังสือเดินทาง และเอกสารต่างด้าวต่างๆ
   ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่นอกเหนือจากรายการระบุ อาทิเช่น เครื่องดื่ม ค่าอาหาร ค่าโทรศัพท์ ค่าซักรีด ฯลฯ
   ค่าภาษีทุกรายการคิดจากยอดบริการ, ค่าภาษีเดินทาง (ถ้ามีการเรียกเก็บ)
   ค่าทิปไกด์ วันละ 10  หยวนต่อคน ต่อวัน และ คนขับรถ วันละ 10  หยวนต่อคน ต่อวัน แปลว่า เดินทางทั้งหมด
6วัน จ่ายไกด์ 60  หยวน  คนขับ 60  หยวน

   ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % และภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3 %
เงื่อนไขการให้บริการ
1.   ในการจองครั้งแรก มัดจำท่านละ 10,000 บาท หรือทั้งหมด ส่วนที่เหลือชำระก่อนเดินทาง 15 วัน
บัญชีบริษัทโคล่าทัวร์ จำกัด  ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางครุ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 359-2-94698-9
2.   เนื่องจากราคานี้เป็นราคาโปรโมชั่น ตั๋วเครื่องบินต้องเดินทางตามวันที่ ที่ระบุบนหน้าตั๋วเท่านั้น จึงไม่สามารถยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงการเดินทางใดๆ ทั้งสิ้น ถ้ากรณียกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงการเดินทาง ทางบริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการคืนเงิน  ทั้งหมดหรือบางส่วนให้กับท่าน
3.   คณะทัวร์ครบ 10 ท่านออกเดินทาง (ไม่มีหัวหน้าทัวร์ แต่มีไกด์ท้องถิ่นพูดไทยรับที่เฉินตู) ครบ 15 ท่าน มีหัวหน้าทัวร์ไทยเดินทางไป-กลับ พร้อมกับคณะ
4.   เมื่อท่านออกเดินทางไปกับคณะแล้ว ท่านงดการใช้บริการรายการใดรายการหนึ่ง หรือไม่เดินทางพร้อมคณะถือว่าท่านสละสิทธิ์ ไม่อาจเรียกร้องค่าบริการ และเงินมัดจำคืน ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น และทางบริษัทจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากท่านเป็นจำนวนเงิน 200 หยวน / คน / วัน
5.   กรณีที่กองตรวจคนเข้าเมืองทั้งที่กรุงเทพฯ และในต่างประเทศปฏิเสธมิให้เดินทางออก หรือเข้าประเทศที่ระบุในรายการเดินทาง  บริษัทฯ ของสงวนสิทธิ์ที่จะไม่คืนค่าบริการไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น
6.   การยกเลิก
6.1   ยกเลิกก่อนการเดินทาง 30 วันขึ้นไป คืนเงินทั้งหมด
6.2   ยกเลิกก่อนการเดินทาง 15 วันขึ้นไป เก็บค่าใช้จ่าย ท่านละ 5,000 บาท
6.3   ยกเลิกก่อนการเดินทาง 7 – 14 วัน เก็บค่าใช้จ่าย 50% ของราคาทัวร์
6.4   ยกเลิกการเดินทางน้อยกว่า 1 – 6 วัน เก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมด 100 % ของราคาทัวร์
6.5   ยกเว้นกรุ๊ปที่เดินทางช่วงวันหยุดหรือเทศกาลที่ต้องการันตีมัดจำกับสายการบิน หรือกรุ๊ปที่มีการการันตีค่ามัดจำที่พักโดยตรงหรือโดยการผ่านตัวแทนในประเทศหรือต่างประเทศและไม่อาจขอคืนเงินได้ รวมถึงเที่ยวบินพิเศษ เช่น EXTRA FLIGHT และ CHARTER FLIGHT จะไม่มีการคืนเงินมัดจำ หรือค่าทัวร์ทั้งหมดเนื่องจากค่าตั๋วเป็นการเหมาจ่ายในเที่ยวบินนั้นๆ
เอกสารในการทำวีซ่าจีนสำหรับหนังสือเดินทาง
           1. หนังสือเดินทางที่มีอายุการใช้งานไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
           2. หนังสือเดินทางต้องมีหน้าว่าง สำหรับประทับตราวีซ่าและตราเข้า-ออก อย่างน้อย 2 หน้าเต็ม 
           3. รูปถ่ายหน้าตรง รูปสี 2 นิ้ว ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน 2 ใบ มีพื้นหลังสีฟ้าเท่านั้น และต้องไม่ใช่สติ๊กเกอร์ หรือ
             รูปพริ้นซ์จากคอมพิวเตอร์ ( รูปใหม่ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน อัดด้วยกระดาษสีโกดักและฟูจิ เท่านั้น )
           4. กรณีหนังสือเดินทางคนต่างชาติ
      1     หนังสือเดินทางของคนต่างชาติ จ่ายเพิ่ม  100 บาท ( ยกเว้น ไต้หวัน / อเมริกัน )
                    เอกสารพาสปอร์ต + รูปถ่ายสีขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ + ที่อยู่ + ใบอนุญาตการทำงาน(ถ้ามี)
                             2    หนังสือเดินทางคนไต้หวัน ( ต้องกรอกเอกสารเป็นภาษาจีน  รายละเอียดที่อยู่ ใบอนุญาตการทำงาน)
                             3    หนังสือเดินทางของคนอเมริกัน จ่ายเพิ่ม 3,400 บาท




สถานฑูตจีนอาจปฏิเสธไม่รับทำวีซ่าให้ พาสปอร์ตของท่าน ในกรณีดังต่อไปนี้
1.   ชื่อเป็นชาย แต่ส่งรูปถ่ายที่ดูเป็นหญิง เช่น ไว้ผมยาว หรือแต่งหน้าทาปาก
2.   นำรูปถ่ายเก่า ที่ถ่ายไว้เกินกว่า 6 เดือนมาใช้
3.   นำรูปถ่ายที่มีวิวด้านหลัง ที่ถ่ายเล่น หรือรูปยืนเอียงข้าง มาตัดใช้เพื่อยื่นทำวีซ่า
4.    นำรูปถ่ายที่เป็นกระดาษถ่ายสติคเกอร์ หรือรูปที่พริ้นซ์จากคอมพิวเตอร์
อัตราค่าวีซ่าด่วน ที่ต้องจ่ายเพิ่มให้สถานฑูตจีน เมื่อท่านส่งหนังสือเดินทางล่าช้า
                      ยื่นวีซ่าด่วน 1 วัน เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มท่านละ  1,200 บาท
                      ยื่นวีซ่าด่วน 2-3 วัน เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มท่านละ 800 บาท


พี่สิงห์ครับ

ไปช่วงเดือนตุลาคม 2554 นี้หรือ ??
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2230 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2554, 20:20:40 »

สวัสดีครับ คุณเหยง
                         คงเป็นเช่นนั้น ครับ หรือไม่ถามคุณน้องตู่ คุณหลิว  คุณสุภาณี ก็ได้ครับ
                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2231 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2554, 20:25:28 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                         เมื่อวันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน  พี่สิงห์ได้ไปเล่นกอล์ฟการกุศลเพื่อหารายได้เข้ามูลนิธิศาสตราจารย์ อรุณ   สรเทศน์ ที่สนามปัญญารามอินทรา มาครับ ทีมที่พี่สิงห์เล่น คือทีม วศ.2513 ทีมละ 30,000 บาท
                         ได้พบกับพี่เย็น  บัวสิน เลยถ่ายรูปมาฝาก  พี่เย็น บอกว่าจะถ่ายก็ต้องรับเพราะสมัยหน้าถ้าเป็นรัฐมนตรีในนามพรรคภูมิใจไทย มันจะไม่มีเวลามาให้ถ่ายรูป
                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2232 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2554, 20:27:13 »

พี่สิงห์

หลังจากไปทำบุญที่อินทร์บุรีแล้ว พี่หลิวและพี่อี๊ด-สุภาณี นำทีมไปเมืองจีน ยังไม่มีภาพและเรื่องมาลงเลยครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2233 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2554, 20:31:21 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 07 มิถุนายน 2554, 20:27:13
พี่สิงห์

หลังจากไปทำบุญที่อินทร์บุรีแล้ว พี่หลิวและพี่อี๊ด-สุภาณี นำทีมไปเมืองจีน ยังไม่มีภาพและเรื่องมาลงเลยครับ

คุณหลิว ไม่เข้าเวบ  พี่สิงห์ไม่ได้ไปเมืองจีน เหลือเพียงคุณสุภาณีเท่านั้น ที่จะนำรูปมาลงได้ครับ ขอบอก เรียนเชิญคุณสุภาณี ช่วยทำหน้าที่แทนพี่สิงห์ด้วยครับ คือนำรูปเมืองจีนที่จางเจี่ยเจี้ยมาลงให้ดูกันครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2234 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2554, 20:53:06 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                         วันนี้พี่สิงห์ไปสิงห์บุรีไปเยี่ยมแม่ ได้ซื้อลองกอง  มังคุดและขนมหม้อแกง ไปฝากแม่ครับ พอไปถึงเห็นแม่หลับอยู่ แต่พอผมเรียกแม่เท่านั้น ขานรับทันทีด้วยการมีสติ ผมถามว่าแม่หลับหรือ แม่ตอบว่าเปล่าไม่ได้หลับ ผมถามว่าแม่คิดอะไรอยู่ แม่บอกว่าไม่ได้คิด นอนเฉยๆ ผมเลยบอกว่า ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น  อยู่อย่างไม่คิดนี่ละ จะได้ไม่กังวล และไม่ทุกข์ เพราะคิดไปก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น จิตจะได้สงบ  ผมถามคนดูแลว่าเป็นอย่างไรบ้าง เขาตอบว่าช่วงนี้ยาย ความจำดีมาก สติดีมาก โรคอัลไซเมอร์ที่เป็นนั้น ไม่ค่อยมาเยือนเท่าไร
                          หลังจากนั้นผมได้ไปหาน้องสาวเพื่อคุยให้รู้ถึงทุกข์ น้องสาวบอกว่าตอนนี้หายกังวลแล้ว พยายามขี่จักยานตอนเช้าเพื่อออกกำลังกาย ว่างก็นั่งเจริญสติ ๑๔ จังหวะของหลวงพ่อเทียน  โดยชวนเพื่อนๆที่สำนักงานทำเป็นเพื่อนกัน ผมเลยแนะนำเคล็ดในการดูจิต และทำอย่างไรให้รู้สึกตัวเข้าไว้ เพราะเมื่อรู้สึกตัว จิตมันจะไม่คิด จิตอยู่ว่าง ๆ เมื่อไม่คิดก้ไม่ทุกข์ ให้รักษา ช่วงที่จิตไม่คิดอย่างนี้และให้นานๆ เข้าไว้ เมื่อมีความรู้สึกตัวตลอดเวลา ความไม่รู้มันก็จะหายไปเองโดยธรรมชาติ ทำให้มากไว้ จิตมันจะนิ่งเอง และจะปล่อยวางได้ในภายหลัง
                          ตอนนี้น้องสาวกำลังจัดโปรแกรมที่จะให้ผมไปสอนพวกบุคคลากรทางการแพทย์ที่สิงห์บุรี เพราะแต่ละคนมีแต่ทุกข์ วันนี้ผมก็โดนพยาบาลถามหลายคำถาม คือ ทำไม่จึงนอนไม่หลับ ผมก็บอกว่าเพราะคุณคิด มันก็ไม่หลับต้องหยุดคิด ด้วยการสร้างความรู้สึกตัวด้วยมือ พอมันเป็นภวังอยู่ในท่านอน มันก็จะหลับไปเองแบบมีสติ และไม่ฝันร้ายด้วย คำถามต่อมาคือ ทำอย่างไร?จะไม่ให้ปวดหัว ผมก็ถามกลับไป คุณต้องดูตัวเองให้ออกว่า ที่ว่าปวดหัว มึนหัวนั้น มันเกิดที่กายจริงๆ หรือว่าเกิดจากจิตมันคิด ถ้าเป็นที่กายคุณทนได้ก็ทนไป ประเดี๋ยวมันก็หาย ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องกินยา แต่ถ้ามันเป็นที่จิตมันคิด คุณก็ต้องทำจิตให้ผ่องใส ด้วยการเจริญสติ หยุดคิด นี่ละ และโรคปวดหัว มึนหัว มันจะหายได้จากการออกกำลังกายแบบชิกง และโยคะ เพื่อให้เลือดได้อ๊อกวิเจนมากๆ และเลือดใหลไปตามส่วนต่างๆของร่างกายไปเลี้ยงเซลและประสาทต่างๆ มันก็จะหายปวดหัว มึนหัว ไปเอง เพราะเราแก้ที่สาเหตุ และตอบคำถามอีกหลายข้อ จนเที่ยงผมก็ขอตัวกลับไปดูงานที่สระบุรีครับ
                          ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ

ไม่มีใครตอบคำถามผมเลย ?

อ่านคำตอบพรุ่งนี้ก็แล้วกันครับ

ขอแทรกเรื่องอื่นก่อน จนกว่าจะมีผู้มาตอบ หรือ เมื่อถึงเวลาสมควรแล้วที่จะต้องตอบ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #2235 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2554, 00:49:48 »

อาจารย์อี้ แทนคุณ จิตอิสระ ปฏิบัติธรรม ไปได้ไกลมากๆ แล้วในสายตาญาติธรรม
(ไกลกว่าอาจารย์ถาวร โชติชื่น รองนายกฯ ของเราอีก)
เลือกตั้งคราวนี้ลงสมัคร สส. พรรค ปชป. (ดีที่ไม่ได้ลงพรรค "เพื่อชาติไทยภูมิใจพัฒนามัชฌิม")
อุบาสกสิงห์มั่นใจนะว่า ตั้งใจจะไม่ยอมย้อนกลับมาเวียนว่ายในสังสารอีก
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2236 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2554, 07:25:58 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 08 มิถุนายน 2554, 00:49:48
อาจารย์อี้ แทนคุณ จิตอิสระ ปฏิบัติธรรม ไปได้ไกลมากๆ แล้วในสายตาญาติธรรม
(ไกลกว่าอาจารย์ถาวร โชติชื่น รองนายกฯ ของเราอีก)
เลือกตั้งคราวนี้ลงสมัคร สส. พรรค ปชป. (ดีที่ไม่ได้ลงพรรค "เพื่อชาติไทยภูมิใจพัฒนามัชฌิม")
อุบาสกสิงห์มั่นใจนะว่า ตั้งใจจะไม่ยอมย้อนกลับมาเวียนว่ายในสังสารอีก

                   แล้วแต่ความเพียร และปัญญาที่มี ได้แค่ไหน ได้แค่นั้น ไม่โลภ เพราะ พอจิตมันว่าง ไม่คิดอะไรแล้ว มันไม่ทุกข์ มันสามารถอยู่แบบพอเพียง รู้จักความพอดี ถึงไม่ร่ำรวยเราก็อยู่ได้โดยไม่ให้ใครเดือดร้อนเพราะเรา
                    ไม่หวลคืนกลับเด็ดขาด เพราะทางสายนี้เป็นทางที่ประเสริฐ ในเมื่อชาตินี้มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ทำความเลวมาก็มาก ทำความดีมาก็แยะ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก น่าจะพอเพียงแล้ว เมื่อมีทางสายที่ดีกว่า ปราณีตกว่า และไม่ทำให้ตัวเอง และคนรอบกาย หรือใครเดือดร้อน ผมขอเลือกทางสายนั้น
                    และนอกจากนี้ ความรู้ที่ได้จากตัวของเราในการดูกาย-จิต นั้น ยังสามารถนำไปแนะนำให้ผู้อื่นได้พ้นทุกข์ได้ทั้งกาย และใจ ถ้าผู้นั้นต้องการ ก็นับว่าตัวเราก็ยังพอมีประโยชน์ต่อสังคมบ้าง เขาพ้นทุกข์จากสุขภาพ และใจ เราก็พลอยยินดีด้วย เพราะเราก็ยังเป็นปุถุชนม์ คนสามัญ ยังได้รับ ยังมี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ครบถ้วน เพียงแต่ "สติ" เป็นตัวเตือนใจ ให้เราไม่ให้หลงอยู่ในวังวนของ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แห่งความโลภ ความโกรธ ความหลง นั้น "สติ" สามารถนำพาให้จิตของผมถอยห่างออกมา หรือบางครั้ง อยู่เหนือมัน ความทุกข์ ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง มันก็ค่อยๆจางไปเอง ผมก็สามารถมีชีวิตที่เป็นปกติได้ ถึงจะไม่มีเงิน  ไม่มีเกียรติ  ไม่มีใครคบหากับเรา  ไม่มีใครให้ความสำคัญกับเรา  จิตเราก็ยังเป็นปกติ ไม่ทุรนทุรายแส่เข้าไปเป็น เข้าไปมี เข้าไปอยาก  ขออยู่อย่างการสร้างความรู้สึกตัวตลอดเวลานีละ ให้จิตมันว่าง ๆ แต่ถ้ามันจะคิดก็ขอเป็นผู้ดูความคิดตัวเอง และเลือกปฏิบัติในสิ่งที่เป็น "ธรรม" เท่านั้น ไม่หวังอะไรไปมากกว่านี้แล้ว
                    นอกจากนี้ขออยู่กับการถือศีลห้า และศีลแปดทุกวันพระ ครับ
                    การเมืองมันไม่เกี่ยวกับผม(ผมงดการดูข่าว อ่านหนังสือพิมพ์ ดูหนัง ละคร มานานแล้ว จนไม่รู้ว่าจะเสียเงินให้ True อยู่ทำไมเพราะ ไม่ได้มีโอกาสดูทีวี เลย) หรือเรื่องนอกตัวต่าง ๆ มันก็ไม่เกี่ยวกับผม ผมจะเข้าไปเกี่ยวข้องเฉพาะคนที่ผมรัก มีความปราถนาดี เท่านั้น  การงานก็ยังต้องทำ เพราะผมไม่ได้บวชพระ ผมยังต้องกิน ต้องใช้จ่าย ต้องดูแลแม่ พี่สาว ให้คำปรึกษาหลานๆ อยู่  เงินก็ยังมีความจำเป็นต้องหา แต่หาแบบเราไม่ทุกข์มากนัก และทำให้กับคนที่เขาต้องการ และเป็นมิตรแท้กับเราจริงๆ เท่านั้น ให้พอมีเงินซื้ออาหาร ค่าใช้จ่ายเดือนต่อเดือนก็เพียงพอ
                    อายุ ๖๕ ป๊ เมื่องไร คงหยุดกิจกรรมการทำงาน ขอกลับไปอยู่บ้านสิงห์บุรี ปลูกผักกิน ปฏิบัติธรรม ช่วยสังคมตามฐานะ อยู่แบบพอเพียง นั่นคือเป้าหมาย เพราะ ถึงตอนนั้น คนที่เรารักก็จากไปแล้ว เหลือแต่เราที่ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป โดยไม่พึ่งใคร และไม่ให้ใครเดือดร้อน นี่คือความจริงที่จะต้องเผชิญ
                    ขอบคุณมากที่ช่วยมาเตือนสติ
                    สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2237 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2554, 07:46:45 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                         วันนี้พี่สิงห์ไม่มีนัดกับใครทั้งสิ้น อยู่บ้าน ตั้งใจจะคัดลอกสิ่งที่อยากให้อ่านกันให้จบ ส่วนตอนบ่ายว่าจะไปซ้อม Drive golf กับคุณหมอสรรเสริญ  สุขพอดี  เพื่อไปเตือนสติ ให้กำลังใจ หาหนทางให้คุณหมอพ้นทุกข์จากโรค ความดัน เบาหวาน หลอดเลือด ที่ต้องไปทำบอลลูนมา และต้องการติดตามผลการปฏิบัติของคุณหมอ ว่าสามารถเอาชนะใจตนเองในเรื่องการกิน และการออกกำลังกายได้มากน้อยแค่ไหน? เพราะลูกยังเล็ก ย่อมมีห่วงเป็นธรรมดา แต่จะเป็นกำลังใจให้สามารถเอาชนะใจตนเองได้
                         ลืมไป คุณชัยวัฒน์ จะมาพบที่สนาม golf All star เอาทุเรียนลับแล ของดีจากอุตรดิตย์ ที่คุณแหวว เอามาจากบ้าน มาฝากผมครับ เพราะผมเคยได้ยินได้ฟังมาว่า ทุเรียนที่อร่อยมาก ๆ คือทุเรียนลับแล ครับ
                         ทุกท่านอย่าลืม การมีสติ เป็นสิ่งที่เราควรกระทำอย่างยิ่งในทุกวินาทีที่จะผ่านไป มีประโยชน์ ความทุกข์หายไปเองโดยธรรมชาติเพราะเราจะไม่คิดนอกกาย คือ "ไม่ส่งจิตออกนอก" หลวงปู่ดูลย์ / หลวงพ่อเทียน
                         สวัสดี(26797)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2238 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2554, 09:14:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ seoohyes เมื่อ 08 มิถุนายน 2554, 08:14:25
ดูสดชื่นมีความสุขมากๆเลย Cheesy
สวัสดีครับ
              ยินดีต้อนรับ แต่ผมไม่รู้จักว่าท่านคือใคร จึงแสดงความเห็นไม่ถูกครับ (อวิชชา)
              ขอบคุณมาก
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2239 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2554, 09:22:29 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                       เนื่องจากผมไม่สามารถเขียนในสิ่งที่รู้แทงตลอดได้ดี เท่ากับคุณหมอคงศักดิ์  ตันไพจิตร  ผมเห็นว่าเป็นประโยชน์ ผมอ่านดูแล้วแทงตลอดเป็นอย่างดี ถูกต้องทุกประการ จึงขอนำมาถ่ายทอด ให้พวกเราได้หาความรู้กันครับ
                       สวัสดี


รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส
ตอนที่ ๕
ผลของวิทยาศาสตร์ด้านธรรมชาติแห่งจิต
(คัดลอกมาจาก หนังสือพุทธอัจฉริยะ เขียนโดยศาสตราจารย์นายแพทย์คงศักดิ์  ตันไพจิตร)

   นักวิทยาศาสตร์ เช่น ดร.แอลแลน เกวิน (Dr. Alan Gevins of Advance EEG Laboratory, San Francisco) ได้สรุปผลการทดลองกับระบบประสาทของมนุษย์ว่า

   คนเราเห็นในสิ่งที่อยากเห็น ได้ยินในสิ่งที่อยากได้ยิน และแทนที่จะเห็นความจริงเฉพาะหน้าตามความเป็นจริง มนุษย์กลับสร้างสภาพความจริงขึ้นมาใหม่ด้วยจินตนาการ เป็นมโนภาพขึ้นมาแทนความจริงที่แท้จริงซึ่งกำลังปรากฏอยู่เฉพาะหน้า เพื่อให้สอดคล้องเหมาะเจาะกับความคิดความปราถนาของตน ฉะนั้นจะมีการต่อรองเข้าข้างตนเองเกิดขึ้นในสมองอยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดยั้ง

   นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบแล้วว่า เมื่อเกิดสัญญา (คือ ความหมายรู้ จำได้) ขึ้นที่อายตนะ ๖ โดยผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เกิดความเป็น “อัตตา” เกิด มมังการ (ความเป็นของของตน) เช่น ศาสตราจารย์แอนโตนิโอ ดามาซิโอ (M.D., Head, Neurology Department, University of Iowa) ได้สรุปไว้ว่า ในขณะที่สมองทำหน้าที่รับรู้ต่อวัตถุสสาร สมองก็ได้สร้างความเป็น “อัตตา” คู่ขนานพร้อมกันไปด้วย

   เป็นเวลากว่า 100 ปีมาแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามค้นหาฐานที่อยู่ของ “อัตตา-ตัวตน” ในสมองนี้ แต่ก็ยังค้นไม่พบแม้จนกระทั่งปัจจุบันซึ่งตรงกับที่พระพุทธองค์ได้ทรงพบขั้นตอนการทำงานของกายและจิต กว่า 2,500 ปีมาแล้วว่า “สัญญา” (ความหมายรู้จำได้) ถูกตามติดมาด้วย “สัญเจตนา” หรือการหมายรู้แบบเข้าข้างตนเอง คือรู้พร้อมกันไปกับความหลงใหลทันทีเลนว่า “เป็นของเรา” เป็นต้น นั่นคือไม่เห็นความจริงว่า มันไม่ได้มีอยู่จริงเลยหลงใหล โง่ไปกับความคิดที่หลอกลวงว่าเป็นของของเรา หลอกจนหลงเข้าไปติดอยู่ในความโลภ ความโกรธ และความหลง ที่แอบแฝงซ่อนเร้นมากับความ (ลัก) คิด อย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากเพียงว่ามีสติรู้เท่าทันว่าเป็นเพียง ความคิดที่หลอกหลอนอยู่ ก็จะเหลือแต่ความว่างหรือ “สุญญตา” ว่างจากอารมณ์ ว่างจากความคิด (ที่เข้าข้างตนเอง) ว่างและหลุดพ้นจากทุกข์

   เมื่อเข้าไปยึดไว้ว่าเป็นของของตน ก้เท่ากับต้องคอยปกป้องคุ้มครองรักษา ไม่ให้ธรรมชาตินั้น ๆ หายไป หมดไป หรือใครมาแย่งชิงไป จึงเป็นภาระหนักหน่วงเหนื่อยหน่ายอย่างยิ่ง จึงเป็นทุกข์ เพราะมันเปลี่ยนสภาพอยู่เสมอตลอดเวลา ลำพังตนเองก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดยั้ง ทนได้ยากอยู่แล้ว ยิ่งเป็นสิ่งอื่นที่ตนครอบครองไว้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นบุคคลอื่นที่ตนหวงแหน เช่น บุตรหลาน คนที่ตนรักใคร่ ซึ่งต่างก้ประกอบด้วยขันธ์ ๕ ที่ไม่ใช่ตัวตนเช่นกัน ก้อยากแก่การควบคุมมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะขันธ์ ๕ ในบุคคลอื่น ๆ นั้นเองก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน ยิ่งเป็นไปในด้านจิตวิญญาณซึ่งแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ย่อมยากแก่การควบคุมไม่เฉพาะแต่ผู้ที่อยู่ในความครอบครองของตน เพราะแม้แต่จิตใจของตนก็ยังยากต่อการควบคุมได้เองอยู่แล้ว

   ธรรมชาติย่อมไหลเวียนเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดยั้งรีรอ ด้วยธรรมทั้งหลายทั้งปวงปราศจากตัวตน บุคคลนั้นจึงตกอยู่ในสภาพที่ทนไม่ได้ รับไว้ไม่ไหว เป็น “ทุกข์” เพราะขันธ์ทุกขันธ์และทุกสิ่งในจักวาลล้วนเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง (หรือ “สังขาร” กล่าวคือ ต้องอาศัยสิ่งอื่นเป็นปัจจัยจึงเกิดมี เกิดเป็นขึ้นได้ ยกเว้นสิ่งเดียวในจักรวาล นั่นคือ “นิพพาน” ซึ่งเป็นวิสังขาร คือไม่ถูกปรุงแต่ง ด้วยไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นเป็นเหตุปัจจัยให้ปรากฏ) จึงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดกาล เพราะเหตุปัจจัยเองก็แปรปรวนไม่เที่ยง นั่นคือ “อนิจจัง” ตามกฎไตรลักษณ์ และไม่มีใครเป็นใหญ่เป็นเจ้าของที่แท้จริง นั่นคือ “อนัตตา” ไม่ใช่ตัวตน ด้วยไม่อาจบงการให้หยุดแปรปรวนหรือคงสภาพเดิมไว้ได้เพราะไม่ใช่ของของตนอย่างแท้จริง

   ความจริง ธรรมชาติทางฝ่ายรูปหรือกายนั้นพัฒนาได้น้อย ย่อมไหลไปตามความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง นั่นคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครล่วงพ้นความตายไปได้ จะบังคับมันไม่ให้แก่ ไม่ให้ตายนั้น ย่อมทำไม่ได้ ทำได้อย่างดีก็แค่เฉพาะการคอยดูแลมันให้แข็งแรง ไม่ปล่อยให้ชำรุด หากร่างกายเจ็บป่วยชำรุด ก้พึงซ่อมแซมโดยรีบหาหมอ ทานยาแก้บำบัดโรคนั้นๆ ซึ่งบางครั้งก็เป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ธรรมชาติในฝ่ายรูปธรรมจึงเป็นสิ่งที่จะต้องยอมรับตามสภาพความเป็นจริง หากไม่ยอมรับก็จะยิ่งทุกข์ซ้ำสอง คือทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจ

   ฝ่ายรูปธรรมนั้น โดยธรรมชาติยอมรับความจริงแห่งพระไตรลักษณ์อยู่โดยพฤตินัยแล้วว่า รูปนี้ไม่อาจคงทนยั่งยืนอยู่ได้ตลอดกาล จึงไม่รีรอและได้พยายามแก้ไขข้อบกพร่องและพยายามรองรับความเปลี่ยนแปลง ความไม่คงทนถาวรไว้แล้วด้วยการสืบพันธุ์ เพื่อสร้างตัวแทนของคนและสัตว์ (และแม้แต่พืชก้เช่นกัน) ขึ้นมาใหม่เป็นอนุชนรุ่นหลังมารองรับต่อเนื่องกันไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้แน่ใจได้ว่าธรรมชาติและเอกลักษณ์ของตนจะยังยืนหยัดปรากฏอยู่ในกาลภายหน้า ในรูปลักษณะของพันธุกรรมที่ถ่ายทอดไปถึงลูกหลานเหลนไม่ให้สิ้นสุดลง แม้ว่าตนเองจะตายสูญสลายไปจากโลกนี้นานแสนนานแล้วก็ตาม

   ตัวอย่างที่เห็นชัด อาทิเช่น ปลาแซลมอนเมื่อเติบโตขึ้นแล้ว จะคืนกลับมาจากท้องทะเล พยายามว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นไปถึงต้นกระแสลำธาร เพื่อตัวเมียวางไข่ และตัวผู้ปล่อยเชื้ออสุจิออกมาผสมพันธุ์ หลังจากนั้นทุกตัวต่างตายหมดทันทีที่ทำงานนี้เสร็จ ส่วนลุกที่เกิดมาจากไข่ที่ผสมพันธุ์ไว้แล้วก็ไหลลงไปตามกระแสน้ำกลับลงไปสู่มหาสมุทร ไม่เคยได้เจอพ่อแม่ แต่เมื่อเติบใหญ่ก็จะทำหน้าที่เช่นเดียวกับพ่อแม่ คือจะว่ายกลับทวนกระแสน้ำขึ้นไปวางไข่และผสมพันธุ์กันที่ต้นน้ำ แล้วตายลงทันทีที่ได้ทำหน้าที่สืบสายพันธุกรรมของมันครบถ้วนบริบูรณ์

   พระพุทธองค์ได้ทรงชี้ให้เห็นอย่างแจ้งชัดว่า ทุกขอริยสัจ  เกิดจากสังขารความคิดปรุงแต่งของจิตที่เห็นผิดไปจากความจริง ถูกครอบงำปิดบังความจริงไว้ด้วยความหลงในอัตตาตัวตน นั่นคือ อวิชชา (ต้นสายของปฏิจจสมุปบาท) ไม่ยอมรับไม่ยอมเห็นธรรมชาติที่แท้จริงตรามความเป็นจริง แต่หลงยึดติดอยู่ในความยึดมั่นในอัตตาตัวตน สร้างจินตนาการที่เข้าข้างตนเองขึ้นมารองรับ เป็น สังขาร ความคิดปรุงแต่งจิตตามมา จึงทุกข์ ซึ่งเป็นเรื่องทุกข์ทางจิต นั่นคือ ทุกขอริยสัจข้อแรกในอริ่ยสัจ ๔ แต่สามารถพัฒนาได้ถึงจุดที่เรียกว่า ตัดขาดได้โดยเด็ดขาด หมดความทุกข์ได้

   กล่าวคือ สามารถฝึกจิตให้เห็นความจริงตามสภาพความเป็นจริงโดยปราศจากความลำเอียงด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง คือปราศจากอาคันตุกกิเลส ปราศจากความเป็นอัตตาตัวตนที่เคยห่อหุ้มปิดบังไว้ เห็นแจ้งรู้จริงตามสภาพความเป็นจริงของตนเอง ของกายและจิตว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตนที่เรียกว่า วิปัสสนา เกิดปัญญญาณ เลิกยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป หลุดพ้นจากทุกข์ได้ คือ เหนือความคิดปรุงแต่ง ไม่เป็นทุกข์ อีกต่อไป

   
ดังตัวอย่างที่ หลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ ได้กล่าวไว้เมื่อมีผู้ถามซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ถามว่า “ชีวิตคืออะไร”

               หลวงพ่อท่านตอบเพียงสั้น ๆ แต่กินความหมายลึกซึ้ง ว่า




“หลวงพ่อไม่ได้เป็น  หลวงพ่อไม่ได้มี  หลวงพ่อได้แต่ดูมัน”
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2240 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2554, 11:02:14 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 มิถุนายน 2554, 07:39:33
คำถาม

                       เมื่อวันแข่งขันโบลิ่ง ผมเจอหลานบุ๋มบิ๋ม(สมมติบัญญัติ) รู้สึกว่า คุณหลานจะน้ำหนัก ๙๐ กว่ากิโลกรัมเจ้าตัวบอกเอง จะเดิน จะยืน จะนั่ง ก็แสนลำบาก หัวเข่าแทบจะทนรับน้ำหนักตัวเองไม่ไหว เสื้อผ้าก็หาใส่อยาก อายุก็แค่ไม่เกิน ๒๕ ปีเอง ทำไม ? จึงเป็นอย่างนั้น.....?

                       ขอเชิญทุกท่านช่วยหาคำตอบให้ด้วยครับ ตอบได้มีรางวัล ครับ(ต้องล่อ เพราะทุกท่านชอบอุเบกขา ปล่อยให้พี่สิงห์ว่าไปคนเดียว มันเหงา แต่ไม่เป็นไร พี่สิงห์ปล่อยวาง ไม่หวังผลอะไร จะตอบหรือไม่ ไม่คิด พี่สิงห์ก็เขียนไปตามประสา ที่จิตมันคิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็อยู่ในกาย-ใจ เราทั้งนั้น ทุกคนต้องประสพอยู่แล้วทั้งนั้น ใครมีปัญญา ปล่อยวาง (คือทำตรงกันข้ามกับจิตที่มันคิด) ก็สามารถหลีกพ้นได้ ครับ

                       คิดถึงอาจารย์ถาวร  โชติชื่น จังเลย ถ้าอาจารย์ถาวร  โชติชื่น ทำแบบพี่สิงห์บ้าง เวบคงจะดี ครึกครื้นขึ้น
                        คุณรุ่งศักดิ์  บุญชู  ก็เป็นผู้รู้ ทั้งนั้น
                        ทั้งสองท่านอย่ามัว ทำ "อุเบกขา"  อยู่เลย ครับ


                        สวัสดี


หมายเหตุ
                       วันนี้พี่สิงห์กลับบ้านสิงห์บุรี ไปหาแม่ ซื้อขนมหม้อแกงไปฝากแม่ ไปคุยกับน้องสาวให้คลาย ทุกข์ บ่ายแวะไปโรงงาน PSTC เพื่อเอาแบบเครน ยกเสาไฟฟ้า Span 24.00 m.ไปให้ เพื่อทำเอาไว้ใช้ในโรงงานใหม่ของเก่าไม่พอเพียงต่อการใช้งาน และออกแบบคำนวณคอนสะปัน ที่จะใช้แขวนสายโทรศัพท์ของ TOT ทั่วประเทศไปให้ ด้วย
                        กลับบ้านค่ำ ครับ

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ขอคอบตามความเข้าใจของตัวเองค่ะ...อาจจะไม่ค่อยอิงธรรมะเท่าไร...เพราะรู้ไม่ค่อยมากค่ะ...

...ที่น้องบุ๋มบิ๋มเป็นทุกข์...เพราะความอ้วน...สาเหตุเกิดจากทำตามกิเลสของตัวเองค่ะ...

...คือหมกมุ่นในกามคุณทั้ง 5...ได้แก่..รูป..เสียง..กลิ่น..รส..กายสัมผัส...ซึ่งเกิดจาก...ตา..หู..จมูก..ลิ้น..กาย..ใจ...

...ตาเห็นอาหารน่าทาน...เห็นโฆษณาในทีวีน่ากิน...เลยต้องเดินไปที่เซเว่นซื้อมาทานค่ะ...

...หูได้ยินเสียงเพื่อนชวนให้ทานว่าอร่อย...ทีวีโฆษณาว่ากินแล้วสวย...ลดน้ำหนักได้...เลยกินซะเพียบ...

...จมูกได้กลิ่นหอมน่าทาน...น้ำลายไหล...

...ลิ้น...ได้ทานอร่อย...เลยหม่ำซะ 2 จาน...

...กาย...อิ่มแล้วสบาย...นอนดูทีวีต่อ...

...ใจ...เช่นเดียวกับกายค่ะ..ทำแล้วคิดว่าใจเป็นสุข...เดี๋ยวมื้อต่อไปก็จะบำรุงบำเรอตัวเองต่อไปค่ะ...

...แต่ถ้าหยุดสนองความต้องการของตัวเองได้...คือทานพอประมาณ...ทานเพื่ออยู่...และรู้จักออกกำลังกาย...

...ก็จะไม่อ้วน...และไม่มีทุกข์ค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2241 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2554, 11:08:31 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 มิถุนายน 2554, 20:20:40
สวัสดีครับ คุณเหยง
                         คงเป็นเช่นนั้น ครับ หรือไม่ถามคุณน้องตู่ คุณหลิว  คุณสุภาณี ก็ได้ครับ
                         สวัสดี

...สวัสดีจ้ะ...เหยง...

...กรุ๊ปของพี่ตู่ไปวันที่ 6-11 ตุลาคม...ค่ะ...

...ถ้าเหยงจะไป...ติดต่อกับหลิวดูนะคะ...ว่าได้กี่คนแล้ว...

...จะไปวันอื่นก็ได้ค่ะ...ภายในเดือนตุลา...ซึ่งเค้าบอกว่าสวยที่สุด...

...สงสัยว่าจะต้องแบ่งเป็น 2 กลุ่มเหมือนเดิมค่ะ...เพราะกรุ๊ฟของพี่ตู่ได้เกือบ 20 คนแล้ว...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2242 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2554, 11:12:29 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 08 มิถุนายน 2554, 11:02:14
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 มิถุนายน 2554, 07:39:33
คำถาม

                       เมื่อวันแข่งขันโบลิ่ง ผมเจอหลานบุ๋มบิ๋ม(สมมติบัญญัติ) รู้สึกว่า คุณหลานจะน้ำหนัก ๙๐ กว่ากิโลกรัมเจ้าตัวบอกเอง จะเดิน จะยืน จะนั่ง ก็แสนลำบาก หัวเข่าแทบจะทนรับน้ำหนักตัวเองไม่ไหว เสื้อผ้าก็หาใส่อยาก อายุก็แค่ไม่เกิน ๒๕ ปีเอง ทำไม ? จึงเป็นอย่างนั้น.....?

                       ขอเชิญทุกท่านช่วยหาคำตอบให้ด้วยครับ ตอบได้มีรางวัล ครับ(ต้องล่อ เพราะทุกท่านชอบอุเบกขา ปล่อยให้พี่สิงห์ว่าไปคนเดียว มันเหงา แต่ไม่เป็นไร พี่สิงห์ปล่อยวาง ไม่หวังผลอะไร จะตอบหรือไม่ ไม่คิด พี่สิงห์ก็เขียนไปตามประสา ที่จิตมันคิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็อยู่ในกาย-ใจ เราทั้งนั้น ทุกคนต้องประสพอยู่แล้วทั้งนั้น ใครมีปัญญา ปล่อยวาง (คือทำตรงกันข้ามกับจิตที่มันคิด) ก็สามารถหลีกพ้นได้ ครับ

                       คิดถึงอาจารย์ถาวร  โชติชื่น จังเลย ถ้าอาจารย์ถาวร  โชติชื่น ทำแบบพี่สิงห์บ้าง เวบคงจะดี ครึกครื้นขึ้น
                        คุณรุ่งศักดิ์  บุญชู  ก็เป็นผู้รู้ ทั้งนั้น
                        ทั้งสองท่านอย่ามัว ทำ "อุเบกขา"  อยู่เลย ครับ


                        สวัสดี


หมายเหตุ
                       วันนี้พี่สิงห์กลับบ้านสิงห์บุรี ไปหาแม่ ซื้อขนมหม้อแกงไปฝากแม่ ไปคุยกับน้องสาวให้คลาย ทุกข์ บ่ายแวะไปโรงงาน PSTC เพื่อเอาแบบเครน ยกเสาไฟฟ้า Span 24.00 m.ไปให้ เพื่อทำเอาไว้ใช้ในโรงงานใหม่ของเก่าไม่พอเพียงต่อการใช้งาน และออกแบบคำนวณคอนสะปัน ที่จะใช้แขวนสายโทรศัพท์ของ TOT ทั่วประเทศไปให้ ด้วย
                        กลับบ้านค่ำ ครับ

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ขอคอบตามความเข้าใจของตัวเองค่ะ...อาจจะไม่ค่อยอิงธรรมะเท่าไร...เพราะรู้ไม่ค่อยมากค่ะ...

...ที่น้องบุ๋มบิ๋มเป็นทุกข์...เพราะความอ้วน...สาเหตุเกิดจากทำตามกิเลสของตัวเองค่ะ...

...คือหมกมุ่นในกามคุณทั้ง 5...ได้แก่..รูป..เสียง..กลิ่น..รส..กายสัมผัส...ซึ่งเกิดจาก...ตา..หู..จมูก..ลิ้น..กาย..ใจ...

...ตาเห็นอาหารน่าทาน...เห็นโฆษณาในทีวีน่ากิน...เลยต้องเดินไปที่เซเว่นซื้อมาทานค่ะ...

...หูได้ยินเสียงเพื่อนชวนให้ทานว่าอร่อย...ทีวีโฆษณาว่ากินแล้วสวย...ลดน้ำหนักได้...เลยกินซะเพียบ...

...จมูกได้กลิ่นหอมน่าทาน...น้ำลายไหล...

...ลิ้น...ได้ทานอร่อย...เลยหม่ำซะ 2 จาน...

...กาย...อิ่มแล้วสบาย...นอนดูทีวีต่อ...

...ใจ...เช่นเดียวกับกายค่ะ..ทำแล้วคิดว่าใจเป็นสุข...เดี๋ยวมื้อต่อไปก็จะบำรุงบำเรอตัวเองต่อไปค่ะ...

...แต่ถ้าหยุดสนองความต้องการของตัวเองได้...คือทานพอประมาณ...ทานเพื่ออยู่...และรู้จักออกกำลังกาย...

...ก็จะไม่อ้วน...และไม่มีทุกข์ค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก
                              ตอบได้ถูกใจพี่สิงห์มากครับ
 
                              เพราะ "อวิชชา" คือ ความไม่รู้  ไม่รู้วิธีที่ควรจะต้องปฏิบัติ  ไม่รู้ผลที่จะตามมา คือโรคต่าง ๆ และความทุกข์
 
                              คุณหลานบุ๋มบิ๋ม จึงเป็นเช่นนั้น ประจวบกับสังคมรอบกาย เช่น คุณแม่  ไม่ทำตัวอย่างดี ๆ ในการรับประทานอาหารให้เห็น ไม่ออกกำลังกายให้เห็น  ไม่นอนหัวค่ำให้เห็น ไม่ทำจิตให้ผ่องใสให้ลูกเห็น และอีกหลายอย่าง เลยทำให้คุณหลานบุ๋มบิ๋ม จึงเป็นเช่นนั้น

                              วันนั้นพี่สิงห์เลย ทำสิ่งที่คุณหลานบู๋มบิ๋ม ไม่รู้ ได้รู้ความจริงของผลที่จะตามมา และการป้องกันที่ต้นเหตุ   คุณแม่ของคุณหลานบุ๋มบิ๋มได้ยิน ชอบใจแต่ขัดใจตนเอง เพราะใจตนเองไม่ชอบ ไม่ได้ทำตัวอย่างที่ดีๆ ให้ลูกได้เห็น เลยว่าลูกไม่ได้

                              ระวังเมื่อเธอรู้แล้ว ต้องหักห้ามใจ ทำให้ได้ด้วยนะ พี่สิงห์เป็นห่วงเธอ และทุกท่านครับที่ยังไม่เห็นความจริงอันนี้

                              ขอบคุณมาก

                              สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2243 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2554, 20:52:34 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                       วันนี้วันที่  ๘ มิถุนายน ทางสำนักงานหอพักนิสิต จุฬาฯ ได้เปิดให้มีการปฐมนิเทศน์นิสิตใหม่ขอพัก ที่ห้องประชุมชั้น ๒ คณะเศรษฐศาสตร์ และในงานนี้ทางชมรมฯจะได้มอบเงินทุนค่าหอพัก จำนวน ๔๐ ทุน ให้แก่ท่านรองอธิการบดี ฝ่ายกิจการนิสิต รศ.ดร.ธนิต เป็นผู้รับมอบแทนนิสิตที่จะได้ทุน ซึ่งกำลังเปิดรับสมัครอยู่
                        พี่สิงหืไปถึงเวลา 17:50 น. ปรากฎว่านิสิตมาครบแล้ว ได้คุยกับท่านอาจารย์เผ่า เรื่องซ่อมศาลาวัดพระนอน เสร็จท่านรองอธิการบดี รศ.ดร.ธนิต มาพอดี ได้เวลาเปิดปฐมนิเทศน์นิสิตใหม่หอพักเวลา 18:00 น. ปีนี้ทั้งสองหอพักมีนิสิตใหม่ประมาณ 700 คนทั้งสองหอพัก เนื่องจากตึกชวนชม(สร้างในสมัย พล.อ ประภาส  จารุเสถียร  เป็นอธิการบดี จุฬาฯ คือหอตึกเก่าของหอชาย)โดนทุบทิ้ง จึงรับนิสิตได้น้อย
                        พี่เก่าที่ไปร่วมงานมี พี่สิงห์ รศ.ประกายแก้ว คุณกนกวรรณ คุณพรชัย และป๋าทู ครับ
                        หลังจากมอบทุนเสร็จ เวลาพอมี ท่านอาจารย์เผ่าเลยให้พี่เก่า ได้พูดคุยกับน้องๆนิสิตใหม่ คือผมและคุณโด่ง ได้กล่าวต้อนรับ แสดงความยินดีกับน้องใหม่ในฐานะพี่เก่าหอพักของชมรมฯ และได้แนะนำน้องๆอีกหลายเรื่อง คุณพรชัย  ให้โอวาท ได้ดีมาก ต้องขอชม
                        19:00 น. เสร็จธุระของพี่เก่า จึงต้องขอตัวกลับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอนุสาสกทั้งสองหอพักทำหน้าที่ของท่านในการแนะนำการอยู่หอพัก และนิสิตรุ่นพี่แนะนำเรื่องกิจกรรมของชมรมต่างๆ ในหอพักให้น้องใหม่ทราบ จะได้ร่วมกิจกรรมได้ถุกต้อง
                        เชิญชมภาพ(ภาพอาจจะน้อย เพราะผมหาคนถ่ายภาพแทนผมแบบ คุณอดิสร ไม่ได้ ครับ)
                        สวัสดี ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ







รศ. ดร.ธนิต  รองอธิการบดี ฝ่ายกิจการนิสิต กล่าวเปิดงานปฐมนิเทศน์นิสิตใหม่หอพัก และกล่าวต้อนรับ











พี่สิงห์ในฐานะผู้อาวุโส รับหน้าที่เป็นคนมอบเงินทุน ให้กับท่านรองอธิการบดี รศ.ดร.ธนิต

พี่สิงห์บริจาค ๑ ทุน ๘,๐๐๐ บาท ครับ





วันนี้พี่สิงห์ได้พบกับป๋าทู ตัวจริงเสียงจริง ไม่น่าเชื่อว่าต้องฉีดอินซูลิน โรคเบาหวาน พี่สิงห์ได้แต่เป็นกำลังใจให้พยายาม รำมวยจีนครับ

อดิสร  ทำไม? รูปมันไม่สวยเลย กล้องมันไม่ดีหรือไง?
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #2244 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2554, 22:21:21 »

มีรูปมาเสริมพี่สิงห์ นิดหนึ่งครับ











      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #2245 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2554, 22:25:12 »

พี่สิงห์ครับผมเจอพี่ สัก 20 ครั้งได้แล้วครับ(เฉพาะที่สวัสดี เห็นในทีวีไม่นับครับ)
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2246 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2554, 05:58:45 »

สวัสดีครับ ป๋าทู
                       ขอบคุณมากที่ช่วยนำรูปมาลงเพิ่มให้ครับ
                       ป๋าทูอย่าลืม มีวินัยเรื่องการกิน ยึด 2:1:1 เข้าไว้ กินต้มๆ เข้าไว้ กินแบบจืดๆไม่มีรส เป็นการฝึกจิต งดของผัดน้ำมันและทอด ให้ถือเสียว่ากินข้าวนั้นก็คือ กินแบบกินยา คือกินมากไม่ดี กินน้อยไม่หาย ยึดหลักพอดี พอประมาณ ครับ พี่สิงห์สงสัยว่า ป๋าทู คงมีประวัติชอบกินจุบจิบ พวกขนม อาหารขยะ และน้ำอัดลม แน่นอน ถึงจะไปงานเลี้ยง เราก็เลือกรับประทานได้ อยู่ที่ใจ ไม่มีใครบังคับเราหรอก เอาชนะใจตนเองให้ได้ครับ
                       พยายามยึดเส้นสายด้วย โยคะ และรำ TAI CHI หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ นี่ละคือยาวิเศษ ที่ไม่ต้องเสียสตางค์ ที่จะทำให้โรคเบาหวานหายได้เพียงแต่ต้องมีการอดทนในการทำ ทุกวันให้ต่อเนื่องสามเดือนขึ้นไปเท่านั้น ครับ
                       ถ้าจะให้ดีขอเพิ่มเดินจงกรมเร็ว ๆ สักวันละหนึ่งชั่วโมงทุกวัน ได้ทั้งจิต และสุขภาพ วิธีเดินให้ได้นาน คือ อยู่กับการก้าวเดินทีละก้าว อยู่กับปัจจุบัน ไม่คิด คือไม่คิดนอกตัว จะสามารถเดินได้นานเท่านาน ครับ
                       อย่าลืมพักผ่อน นอนไม่ดึกให้มากด้วย ร่างกายมันจะซ่อมแซมด้วยตัวของมันเอง
                       และสุดท้าย ทำจิตให้ผ่องใส คือทำอย่างไร? ไม่คิด ไม่คิดก็ไม่ทุกข์ จิตไม่คิดมันก็สงบ อารมณ์ผ่องใสแล้วครับ คือจิตว่าง ๆ เป็นจิตประภัสสร นี่ละครับ ยาวิเศษที่สุดที่พระพุทะเจ้าท่านประทานมาให้ แต่พวกเราละเลยไปเอง จึงต้องได้รับผลอันนั้น ครับ
                       สวัสดียามเช้าครับ ป๋าทู อย่าลืม วันนี้วันพระ ทำจิตให้ผ่องใส เอาชนะใจตนเองให้ได้
                       สวัสดี(26,899)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2247 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2554, 06:05:12 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                        อย่าลืมวันนี้เป็นวันพระ ทำจิตให้ผ่องใสด้วยครับ
                        วันนี้ยังเป็นข้อเขียนของ ศาสตราจารย์นายแพทย์ คงศักดิ์   ตันไพจิตร ครับ พี่สิงหือยากให้ทุกท่านได้อ่านในแง่ของวิทยาศาสตร์ เป็นประโยชน์ กับการฝึกจิต และเป็นความจริงทุกประการ ครับ
                        สวัสดี

ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส
ตอนที่ ๖
การรู้แจ้งรูปและนาม
(คัดลอกมาจาก หนังสือพุทธอัจฉริยะ เขียนโดยศาสตราจารย์นายแพทย์คงศักดิ์  ตันไพจิตร)

   รูปและนาม ครอบคลุมอย่างกว้างขวางมาก ไม่ใช่หมายเพียงแค่ว่า รูปคือกาย นามคือจิต ความจริงทุกสิ่งในจักรวาล รวมแล้วมีรูปกับนามสองอย่างเท่านั้น (ซึ่งหลวงปู่ดูลย์  อตุโล  ท่านได้ยืนยันรับรอง)

   รูป   คือ ธรรมชาติหรือสิ่งที่จะต้องสลายไปเพราะปัจจัยต่าง ๆ อันขัดแย้ง ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ (สิ่งที่สัมผัสหรือถุกต้องทางกาย) กำหนดรู้ด้วยกาย (ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย) และจิต ซึ่งรับรู้สภาวธรรมหรืออารมณ์ที่รู้ด้วยอายตนะภายนอก เช่น รูปารมณ์คือสีที่กำหนดรู้ด้วยจักขุวิญญาณ      สัททารมณ์คือเสียงที่กำหนดรู้ด้วยโสตวิญญาณ เป็นต้น  รูปอาจอยู่ในลักษณะของสสารหรือพลังงาน เช่น แสง สี เสียง กลิ่น รส ก็รวมลงในรูป

   นาม คือ ธรรมที่รู้จักกันด้วยชื่อ กำหนดรู้ด้วยใจได้อย่างเดียว เป็นเรื่องของจิตใจ เป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่ใช่รูป แต่น้อมมาเป็นอารมณ์ของจิตได้  โดยทั่วไปหมายถึง อรูปขันธ์  ๔  คือ เวทนา (รู้สึก)   สัญญา (รู้จำ –จำได้หมายรู้)    สังขาร (รู้ปรุงแต่ง) และวิญญาณ (รู้ คือธาตุรู้ หรือรู้สัมผัสได้ทางอายตนะ ๖)

   กระนั้นก็ดี รูปในบางกรณีอาจหมายถึงจิต หรือเจตสิกธรรม อาจอยู่ในสภาพที่เป็นรูปได้ เช่น ในรูปของความคิด หรือนามรูป (คือเห็นหรือสัมผัสได้ด้วย “ตาใน” หรือ มโนวิญญาณ  ไม่ใช่ด้วยเนื้อตา) ตัวจิตเองปราศจากรูป แต่ทิ้งร่องรอยไว้ในสภาพของ “เจตสิก” (คือ อาการของจิต ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร ซึ่งเกิดและดับพร้อมกับจิต) ให้เห็นได้ในรูปของความคิดปรุงแต่ง คือ สังขาร หรือสัมผัสได้ด้วย เวทนา – ความรู้สึกสบาย โปร่งเบาหรือที่เรียกกันว่าสุข ไม่สบายหรือทุกข์ หรือกลาง ๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ และ สัญญา – ควายหมายรู้จำได้ เป็นต้น

   การที่มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เพราะสามารถเห็นความคิดของตนเองได้นั่นเอง คือเห็นจิตใจของตนได้ เห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งจึงสามารถดับทุกข์ได้จากการรู้เท่าทันความคิดของตน และวางความคิด วางอัตตาตัวตน นี้เองได้ จึงหมดทุกข์

   ดังนั้น จึงมีพุทธสุภาษิตว่า “มนุษย์ผู้ฝึกตนแล้วประเสริฐ” (แต่คนเราโดยทั่วไปทั้งที่ไม่ได้มีคุณวิเศษ แต่มักทำตัวเป็นผู้วิเศษ ประดุจดั่งมีหูทิพย์ ตาทิพย์กัน คือชอบไปเที่ยวเห็นความคิดของคนอื่น ว่าเขากำลังนินทา ว่าร้ายเราว่าอย่างไร เลยทำให้ยิ่งเป็นทุกข์ เพราะส่งจิตออกนอก อย่างที่หลวงปู่ดูลย์ ท่านกล่าวว่า คือสมุทัย)

   ในกรณีอื่นๆ เราก็สามารถดูจากนาม ให้เห็นและรู้รูปได้ เช่น เราถามนักมวยคนหนึ่งว่า คุณฝึกมาจากค่ายไหน ลองบอกมาซี เขาก็ออกไปรำเพลงมวยโชว์ฟอร์ม ( Form คือ รูป) ให้เราทราบว่าเขาเคยฝึกเรียนมาจากค่ายสำนักนั้น ๆ  ทั้ง ๆ ที่เขาเพียงออกไปวาดท่าแสดงรำมวยอยู่กลางอากาศ ไม่ได้มีตัวตนอย่างไร แต่ด้วยลักษณะอาการที่เขาร่ายรำ ทำให้เราเห็นเป็น “นามรูป” (ไม่ใช่รูปนาม, เพราะลำพังกายรูปเราบอกไม่ได้ นอกจากว่าเขาติดป้ายชื่อค่ายของเขาไว้) ที่ผ่านมาทางอายตนะตา จักขุวิญญาณ แปลให้ทราบด้วยสัญญาว่า เขามาจากค่ายไหน เป็นต้น

   ถ้าเป็นสัญญาบริสุทธิ์ เรื่องก็คงจบแค่นั้น แต่ที่เป็นปัญหาเพราะดันไปเกิด สัญเจตนา ( Biased Perception หรือ I-tag) ตามติดมา จำหมายได้ว่า ฟอร์มนี้สไตล์นี้เป็นของค่ายคู่อริ เลยไม่ยอมรับเด็กคนนั้นไว้เข้าค่ายของตน ทั้งที่เขาชกเก่งมาก ด้วยสัญเจตนาพาให้หลงไป เห็นรำลึกอย่างยึดมั่นโอนเอียงอยู่กับความเจ็บช้ำในความหลังของตนเอง ถูกสังขารหรือเจตสิกความคิดปรุงแต่งไปเรียนร้อยแล้ว ขาดปัญญาโง่เขลาไปเพราะถูกบดบังด้วยโทสะเลยพราด เสียนักมวยคนเก่งไป เยื่ยงนี้คือ การหลอกลวงของรูป-นาม ทำให้โกรธ (หรือโลภและหลงงมงาย เป็นต้น)

ไม่มี  ไม่เป็น  อะไรกับอะไร
หลวงพ่อคำเขียน  สุวัณโณ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2248 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2554, 06:07:13 »

ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส
ตอนที่ ๗
สรุป ธรรมชาติของจิต – วิญญาณ
(คัดลอกมาจาก หนังสือพุทธอัจฉริยะ เขียนโดยศาสตราจารย์นายแพทย์คงศักดิ์  ตันไพจิตร)

   จิต-วิญญาณ ปราศจากรูปร่าง ธรรมชาติของจิตนั้นผ่องใส แต่หมองมัวไปด้วยกิเลส ซึ่งโดยปกติมิได้มีอยู่ในธรรมชาติที่แท้ของจิต หากแต่เป็นแขกอาคันตุกะที่จีมาครอบคลุมจิต ผูกมัดจิตไว้ด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำให้จิตหม่นหมองไป

   จิตอาศัยกายเป็นที่อยู่อาศัย จิตและกายทำงานร่วมกันในระบบที่เรียกว่า “ขันธ์ ๕” อันเป็นไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นอัตตาตัวตน จึงเป็นทุกข์ ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงสรุปไว้ในทุกขอริยสัจ หรืออริยสัจข้อแรก

   จิตทำหน้าที่ต่างๆ คือเป็นธาตูรู้ (วิญญาณ) หมายรู้จำได้ในสภาวธรรมต่าง ๆ(สัญญา)จิตน้อมไปในอารมณ์ต่าง ๆ เช่น อารมณ์สุข ทุกข์หรือเป็นกลาง ๆ (เวทนา) และทำหน้าที่คิดปรุงแต่ง (สังขาร) เวทนา สัญญา และสังขาร คืออาการของจิต หรือ “เจตสิก” ซึ่งเกิดและดับพร้อมกับจิต เรียกรวมร่วมกับจิตว่า “นาม” และเมื่อประกอบกับกาย ซึ่งเป็น “รูป” รวมกันเข้าเป็นบุคคล ๆ หนึ่ง คือมีกายและใจ หรือรูปกับนาม ทำงานร่วมกันอยู่เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีจิตวิญญาณ (ซึ่งผ่านวิวัฒนาการมาจากรูปนามที่ไม่มีชีวิตหรือจิตวิญญาณขึ้นมาตามลำดับ) จนเกิดความคิดปรุงแต่งให้หลงผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล

   จิตเกิดและดับอยู่ตลอดเวลา ตามแต่เหตุปัจจัยที่มากระทบ ซึ่งอาจเกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส หรือใจ (อายตนะ หรือทวารภายใน ๖) เมื่อสัมผัสกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ (อายตนะภายนอก ๖) จิตจะยกระดับ ขึ้นจากจิตขั้นพื้นฐานที่ปราศจากอารมณ์ (ภวังคจิต หรืออาลวิญญาณ) สู่ “วิถีจิต” เพื่อรับรู้อารมณ์ ด้วยวิญญาณประเภทต่าง ๆ คือวิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย หรือวิญญาณทางใจ จำเพาะสำหรับอายตนะที่กำลังกระทบกันอยู่นั้น ๆ ทำให้หมายรู้ในอารมณ์และตีค่าตัดสินให้คุณค่าต่ออารมณ์นั้นๆ ได้ถูกต้อง ซึ่งอาจเป็นไปอย่างปราศจากสติ หรือเป็นไปด้วยสติ ตามมาด้วยการเสพเสวยในอารมณ์นั้นๆ (ชวนจิต) ด้วยความคิดปรุงแต่งตามสมมติบัญญัติเพื่อสนองอัตตาตัวตนเมื่อขาดสติ หรือเป็นไปอย่างมีสติโดยปราศจากความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์นั้นๆ ก่อนที่วิถีจิตนั้นจะดับไป กลับคืนสู่ภวังค์คจิตหรือวิญญาณคลัง สลับกลับเปลี่ยนไปมาไม่สิ้นสุดหยุดยั้ง

   วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันสามารถบันทึกการทำงานของสมองด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย และพบว่าสมองทำงานรับรู้อารมณ์ปรมัตถ์ (Perceptual processing) ในเบื้องต้น แล้วตามมาด้วยการรับรู้อารมณ์ตามสมมติบัญญัติ (Conceptual processing) ที่สมองส่วนต่าง ๆ กันอย่างเป็นขั้นตอน ในลักษณะที่ไม่ต่างจากที่ได้มีบันทึกอธิบายไว้ในพุทธศาสนามานานเกิดกว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว จึงเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งที่พระศาสดาและพระอริยสาวกแม้ว่าท่านจะมิได้มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน แต่เพียงอาศัยการสำรวจตามดูรู้ทันสภาวจิตสภาวธรรมในรูปนามกายใจนี้ตามสติปัฏฐาน ๔ ท่านก็สามารถรู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงที่เกืดขึ้นในตัวของท่านเองได้ว่า ธรรมชาติของกายและจิตนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ปราศจากอัตตาตัวตนที่แท้จริง และแม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะได้พยายามค้นหาฐานที่ตั้งหรือที่ซึ่ง “อัตตาตัวตน” ซ่อนเร้นแอบแฝงตัวอยู่ในสมองนี้มาเป็นเวลากว่า ๑๐๐ ปีแล้ว แต่ก็ยังค้นไม่พบจวบจนกระทั่งทุกวันนี้

   เป็นการยืนยันสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบความจริงอันยิ่งใหญ่นี้คือ อนัตตา หรือปราศจากอัตตาตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร และอัตตาตัวตน เป็นเพียงความยึดมั่นที่จิตสร้างขึ้นมาในการทำงานตอบสนองต่อสภาวะแวดล้อม เสมือนภาพลอยลวง self-image hologram ไม่มีอยู่จริงแต่เหมือนจริง หรือหมูกระดาษ paper mache ซึ่งกลวงใน ไร้ตัวตนที่แท้จริง

คนเราทุกข์  เพราะความคิด
หลวงปู่ดูลย์   อตุโล / หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2249 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2554, 08:45:39 »



ของน้องโด่ง ต้องการเป็นแบบ คุณแม่เป้า   เกตุเล็ก  ที่จากไปด้วยการมีสติ  จิตไร้ความกังวล  จิตอยู่เหนือเวทนา ขออนุโมทนา



สวัสดีครับ คุณโด่ง (พรชัย  เกตุเล็ก) และชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                         เมื่อวานนี้วันพุธที่ ๘ มิถุนายน ภายหลังเสร็จพิธีมอบทุนให้นิสิตหอพัก พี่สิงห์เดินไปจามจุรีสะแควร์กับคุณโด่ง คุณโด่งได้ตั้งคำถามกับพี่สิงห์สามข้อด้วยกันคือ
                         คำถามแรก คงเป็นคำถามที่คุณโด่ง อัดอั้น กังวลในใจมานานแล้ว คือ พี่สิงห์โกรธผม หรือเปล่าเรื่องจัดไปเยี่ยมค่ายที่โรงเรียนบ้านหนองหว้า  ผมตอบทันทีว่าไม่โกรธเลย นั่นเป็นความจริงผมไม่เคยโกรธโด่งเลย มีแต่ความเมตตาให้เสมอ(ลองไปทบทวนดู) ยิ่ง ณ เวลานี้ ผมลืมไปหมดแล้ว เพราะมันเป็นอดีต ที่เรียกกับมาไม่ได้ ถ้าผมไปโกรธ ผมไม่ได้อะไรเลย มีแต่ทุกข์ใจ สู้รับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น ปล่อยมันไปตามวิถีของมันดีกว่า อย่างนี้ไม่มีทุกข์ครับ โด่งกับผมมีนิสัยเหมือนกันอย่างหนึ่ง คือเวลาพูด หน้าตาเครียดเอาจริงเอาจัง จนทำให้ทุกคนกลัว คิดมากไปเองทั้งนั้น ซึ่งการพูดจริงจังแบบนี้ มันไม่ดี แต่มันเป็นธรรมชาติแบบนี้ ทุกวันนี้ คนคิดไปเองว่าผมโกรธคนโน้น โกรธคนนี้ ไม่พูดกับคนโน้น ไม่พูดกับคนนี้ คิดไปเองทั้งสิ้นเพราะ "อวิชชา" ความไม่รู้  ผมเองทุกวันนี้จะพูดน้อย หรือไม่พูดเลยกับใคร ขออยู่กับตัวผมด้วยการมีสติ ใครอยากพูดด้วย ทักทายด้วย ก็จะทักทายตอบเสมอ พยายามอุเบกขาให้มาก เพราะจะจำกัดเรื่องคิดให้อยู่เฉพาะตนคือกาย-ใจของเรา เรื่องอื่นเป็นเรื่องนอกตัว ไม่ต้องสนใจมากนัก ผมยึดอย่างนี้มานานแล้ว คนจึงว่าผมโกรธคนนั้น ไม่พูดกับคนนั้นคนนี้ ผมไม่ไปแส่หาทุกข์มาใส่ตัวแล้วครับ ขออยู่เฉย ๆ อุเบกขา ดีกว่าครับ
                          คำถามที่สอง พี่สิงห์ปฏิบัติธรรม ต้องการตายไปแล้วไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน? ผมก็ตอบทันทีเหมือนกันแบบไม่ต้องคิด ไม่ต้องการสวรรค์ชั้นไหนทั้งสิ้น ต้องการความสงบ อยู่อย่างพอเพียงได้ เพราะการฝึกจิตจะทำให้รู้จักปล่อยวางได้ อยู่กับจิตที่มันว่างๆ ไม่คิด เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์ ผมต้องการความสงบในชาตินี้ ไม่หวังชาติหน้าเพราะไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า แต่ถ้าสวรรค์มันมี จริงผมถือศีล ๕ เจริญสติ มันย่อมมีอานิสงส์ไปเกิดในภพที่ดีกว่าเดิมแน่ๆ ครับ
                           คำถามที่สาม ตอนนี้ผมมีเวลาแล้ว เพราะแม่จากไปแล้ว อยากปฏิบัติธรรม พี่สิงห์ว่าผมจะเริ่มต้นที่วิธีการของสำนักไหน เช่นวัดพระธรรมกาย ผมก็ตอบทันทีเหมือนกัน ให้ลองไปวัดสนามใน มีการบรรยายธรรมทุกวันเวลา 9:00 น. และ 13:00 น. หลังจากฟังบรรยายแล้วจะมีการปฏิบัติ ให้ไปลองดูก่อนว่าชอบไหม? ถูกกับจริตเราไหม? เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นเราต้องหาวิธีด้วยตัวของเราเอง อย่ายึดติดกับอาจารย์และวิธ๊การ ต้องหาด้วยตัวของเราเอง รู้ด้วยตัวของเราเอง คือรู้ว่ามันถูกต้องตาม "ธรรม" ซึ่งถ้าไม่มีอคติจะตัดสินใจได้
                           นั่นคือคำถามสามข้อจากคุณโด่ง ที่ถามพี่สิงห์ อย่ากระนั้นเลยวันนี้ เป็นวันพระ พี่สิงห์ถือศีล ๘ เป็นโอกาสดี จึงอยากให้คุณโด่ง ลองวิธีปฏิบัติธรรมแบบเคลื่อนไหว ง่ายๆ ทางลัดของหลวงพ่อเทียน   นี่ละ ลองทำดู ครับคุณน้องโด่ง ที่รัก

                           ธรรมเพื่อการตรัสรู้เป็น "พุทธ" ย่อมเป็นธรรมที่เกื้อหนุนในการเป็น "พุทธ"
                           ธรรมนั้นคือ ต้องมีความศรัทธา และเชื่อมั่น  ต้องมีความเพียร และอดทนในการปฏิบัติ และต้องใช้ปัญญาในการไตร่ตรอง และให้เกิดปัญญาญาณ เพื่อการเป็น "พุทธ" ครับ


                           ลองดูครับ



รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส
ตอนที่ ๘
การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว
ตามแนว หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ



วิธีเจริญสติในอิริยาบถนั่ง
   

                       เมื่อเรามีเวลาว่างจะเดินจงกรม สลับกับการนั่งสร้างจังหวะก็ได้ การฝึกสติแบบนี้ ทีแรกต้องนั่งอย่างนี้ นั่งพับเพียบก็ได้ นั่งเหยียดขาก็ได้ นั่งขัดสมาธิก็ได้ นั่งเก้าอี้ห้อยเท้าอยู่ก็ได้ ไม่ต้องนั่งหลับตา เพราะการนั่งหลับตาจะทำให้เกิด “จิตนาการ” คิดไปเอง เห็นไปเอง และก็คิดเข้าข้างตัวเองว่า ไปเห็นอะไรมาบ้าง ทั้งๆ ที่ความจริงเราก็นั่งอยู่นี่ แต่ใจมันไปเห็นเองในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แต่มันมีอยู่ในใจ ที่ใจเราคิดว่ามันมี การลืมตาจะทำให้เรารู้สิ่งที่จะเกิดกับกายเราได้(เป็นการพิจารณา “กาย” ตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ที่พระพุทะองค์ บัญญัติไว้ให้พิจารณา) และสัมผัสได้ทางอายตนะ ๖ แต่ขอให้มันผ่านไปเพียงรับรู้เท่านั้น (กำหนดรู้) ทำจิตให้อยู่เหนือมัน คือไม่คิดตามสิ่งที่อายตนะ ๖ สัมผัสได้ และสิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย(ทุกข์) พยายามดูใจให้มาก ๆ ไว้ ว่าเกิดอะไรกับจิตของเราบ้าง จิตมันคิดอะไร  ทำไมมันคิด  ความคิดนั้นเกิดอย่างไร มันอยู่ของมันอย่างไร มันดับของมันอย่างไร มันมีผลต่อเราอย่างไร พยายามดูใจของเราให้ออกด้วยตัวของเราเอง การปฏิบัติธรรม คือ การมีเวลาดูจิตของเรา แต่ดูด้วยการมีสติ การดุด้วยการมีสตินั้น เราจะไม่มีความหลง(เข้าข้างตัวเอง) มาเป็นตัวลำเอียง (คือพิจารณา เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม)

   เริ่มต้น เอามือวางไว้ที่ขาทั้งสองข้าง .........คว่ำไว้
๑.   พลิกมือขวาตะแคงขึ้น         .....ทำช้า ๆ .....ให้รู้สึกตัว
๒.   ยกมือขวาขึ้นครึ่งตัว         .....ให้รู้สึก  .....มันหยุดก็ให้รู้สึก
๓.   ยกมือขวามาที่สะดือ         .....ให้รู้สึก
๔.   พลิกมือซ้ายตะแคงขึ้น         .....ให้รู้สึก
๕.   พลิกมือซ้ายตะแคงขึ้น         .....ให้รู้สึก
๖.   เอามือซ้ายมาที่สะดือ         .....ให้รู้สึก
๗.   เอามือขวาขึ้นหน้าอก         .....ให้รู้สึก
๘.   เอามือขวาออกตรงข้าง         .....ให้รู้สึก
๙.   ลดมือขวาลงที่ขาขวา   ตะแคงไว้      .....ให้รู้สึก
๑๐.   คว่ำมือขวาลงที่ขาขวา         .....ให้รู้สึก
๑๑.   เลื่อนมือซ้ายขึ้นหน้าอก         .....ให้รู้สึก
๑๒.   เอามือซ้ายออกตรงข้าง         .....ให้รู้สึก
๑๓.   ลดมือซ้ายลงที่ขาซ้าย   ตะแคงไว้                     .....ให้รู้สึก
๑๔.   คว่ำมือซ้ายลงที่ขาซ้าย         .....ให้รู้สึก







                       ทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ .....ให้รู้สึกตัวทุกจังหวะ นานเท่าที่เราอยากจะกระทำ แต่อย่าไปตั้งเป้า หรือความหวังว่าจะนานเท่าไร ? จะได้อะไร? ทั้งสิ้น จะหยุดก็ต่อเมื่อมันสมควรแก่เวลา แต่ขอแนะนำให้ทำมากกว่าหนึ่งชั่วโมงในแต่ละครั้งที่นั่งสร้างจังหวะ พยายามทนเวทนาที่เกิดขึ้น(ทุกข์)ให้ได้พอสมควร กำหนกรู้ว่านี้คือทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรา เราจะต้องแก้ทุกข์ แต่ต้องเป็นทุกข์จริง ๆ ดูให้ออกว่ามันทุกข์กายจริงๆ (ชา ปวดขามาก) ก็เปลี่ยนอิริยาบถ สลับไปเดินจงกรมแทน) แต่ถ้าเป็นที่ทุกข์ใจ ต้องไม่กระทำตามที่ใจคิด ต้องทำตรงกันข้าม คือทำต่อเนื่องไปอย่างเดิม

                        ระหว่างการทำ ท่านจะมีอาการหงุดหงิด กระสับกระส่าย มีอาการหาว ง่วงนอน จะหลับ ท่านต้องเอาชนะมันให้ได้ด้วยการกระทำต่อเนื่องให้ผ่านให้ได้ รับรองผ่านได้ครับอุปสรรคนี้ มันเป็นเบื้องต้นเท่านั้น นั้นเป็นอาการของจิตอย่างหนึ่งที่จิตมันไม่ต้องการกระทำ จิตไม่นิ่งอยู่กับการรู้สึกตัวในการสร้างจังหวะ จิตส่งออกนอก คือคิดเรื่องนอกตัวที่กำลังกระทำอยู่ไปกับ อดีต อนาคต จิตไม่อยู่กับปัจจุบันที่กำลังนั่งสร้างจังหวะอยู่ ถ้าจิตคิดนอกสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ ให้นำจิตนั้นกลับมาอยู่กับการรู้สึกตัวที่เรากำลังสร้างจังหวะอยู่นั้น ให้ได้ พยายามกลับมาให้เร็วที่สุด คือเรารู้ว่าจิตส่งออกนอก ก็นำมันกลับมาสู้การรู้สึกตัวในการสร้างจังหวะใหม่ให้ได้ ทำอยู่อย่างนี้ จิตมันจะยอมแพ้ เราสามารถจะอยู่กับการรู้สึกตัว ณ ปัจจุบันได้นาน ๆ เป็นสมาธิ และเกิดญาณ หรือ “ตาปัญญา” หรือ “ปัญญาญาณ” คือ “ตัวรู้” เกิดขึ้นเองกับตัวของเรา ซึ่งเราสามารถรู้ด้วยตัวเองได้

                       การที่เรารู้อยู่กับการสร้างจังหวะรู้สึกตัว ณ ปัจจุบันอย่างนี้ หลวงพ่อเทียน ท่านว่า “ความไม่รู้มันจะหายไป” คือจิตจะไม่ส่งออกนอก(ไม่คิดนอกในสิ่งที่กำลังกระทำ) จิตมันจะว่างจากการคิด เป็นสติปัฏฐาน หลวงพ่อคำเขียนท่านว่า นี่ละ เป็นการ “รู้ซื่อ ๆ “ การรู้ซื่อ ๆ แบบนี้อยู่ตลอดเวลานี่ละ ความโลถ  ความโกรธ  ความหลง  มันจะหายไปเอง การปฏิบัติธรรมเจริญสติ ปฏิบัติง่ายๆ อย่างนี้ละ ไม่ต้องถือศีล ไม่เลือกผู้หญิง  ผู้ชาย ไม่เลือกศาสนา ไม่มีพิธีการ ไม่เจาะจงเวลาใด ๆ ทั้งสิ้น ว่างก็นั่งสร้างจังหวะเลย ถ้ามันเหมื่อยก็สลับสับเปลี่ยนไปเดินจงกรมแทน

                       แต่มีเทคนิคที่จะต้องกระทำคือ เมื่อเราสร้างจังหวะอยู่กับการรู้สึกตัว เป็นสติ สมาธิ แล้ว ขอให้นำสตินั้น มาดูกาย มาดูใจของท่านเป็นอย่างมาก ดูกายให้รู้ว่าทุกข์ที่เกิดขึ้น ให้กำหนดรู้ ว่านี่ละทุกข์ และต้องหาวิธีแก้ทุกข์(เป็นการพิจารณากาย ตามหลักสติปัฏฐาน) เมื่อท่านแก้ทุกข์เป็น และรู้จักมันแล้วนั่นละเป็นการพิจารณาเวทนาในเวทนา ตามหลักสติปัฏฐาน  อย่าไปหลงอยู่กับเวทนา ตามที่หลวงปู่ดูลย์ท่านว่าไว้ คือไปนั่งทรมารสังขาร จนร่างกานพิการ นั่นจะทำให้เรากายพิการจริงๆ ไม่ควรหลงอย่างนั้น การปฏิบัติธรรมต้องยึดหลักทางสายกลาง กสยไม่เป็นทุกข์ เพียงกำหนดรู้ทุกข์ และหาทางแก้ทุกข์
                       หลังจากนั้นให้ท่านดูความคิด คือปล่อยให้มันคิด หลวงพ่อเทียน หลวงปู่ดูลย์ ท่านบอกไว้ “จะรู้ได้ เพราะความคิด” (คือเกิดปัญญา) อย่างไปหลงติดอยู่กับความสงบ เมื่อดูความคิด เราจะเห็นความจริงที่อยู่ในตัวเรา ซึ่งก็คือความจริงตามธรรมชาติ หลักธรรมชาติ ตามกฏไตรลักษณ์นี่ละ คือ สังขารทั้งหลาย เป็นอนิจจัง  สังขารทั้งหลาย เป็นทุกข์  ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ความคิดมันเป็นเช่นนั้น ธรรมมันเป็นเช่นนั้น เราก็สามารถจะเห็น รูป-นาม ที่แท้จริง เห็นการทำงานของจิต เห็นอาการที่จิตสั่งให้รูปกระทำ เห็นความจริงที่เราตกเป็นทาสหรือหลงกระทำตามที่จิตมันสั่ง เห็นอาการของการเกิดความโลภ  ความโกรธ  ความหลง ว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร คงอยู่อย่างไร และจะทำอย่างไรกับมัน หรือปล่อยให้มันดับไปเองเพราะมันต้องดับไปเองตามธรรมชาติ อยู่แล้ว ถ้าเราไม่คิดปรุงแต่ง และกระทำตามที่มันคิดสั่งให้กระทำ  ทุกข์ก็ไม่เกิดขึ้นกับเรา เราจะรู้ว่ารอบๆตัวเรานั้นมีแต่ “สมมติบัญญัติ” ทั้งนั้น จิตของเราจะคลายลง เบาลง รู้จักการปล่อยวาง(อุเบกขา) ความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ ก็คลายลง เราก็จะมีชีวิต จิตที่ต่างไปจากเดิม มาก
ทดลองทำดูครับ สวัสดี

การเจริญสติในอิริยาบถเดิน
(เดินจงกรม)

            สำหรับการเดินจงกรม ไม่มีอะไรมากเดินสบาย ๆ กอดอกก็ได้ มือไขว้หลังก็ได้ เอามือสำรวมไว้หน้าสะดือก็ได้ สอดสายตาไปทั่วๆเวลาเดินก็ได้ แต่จิตต้องอยู่เหนือ อายตนะ ๖ ที่ไปสัมผัส ให้สติ(ความระลึกได้) อยู่กับการเดินแต่ละอย่างก้าว แต่ไม่ต้องภาวนาใดๆ ทั้งสิ้น หรือจะสัมผัสนิ้วเพิ่มงานให้กายมันทำอีกแบบพี่สิงห์ก็ได้ จะได้รู้สึกตัวเพิ่มขึ้น ไม่ปล่อยให้จิตออกนอก(คิดนอกเหนือจาอที่อิริยาบถของเรากำลังทำงานอยู่) เดินสัก ๑๕ – ๑๘ ก้าวก็พอ กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ หาวิธีให้เข้ากับจริตของเรา(สิ่งที่เราทำแล้วคิดว่าดีกับเรา) เป็นการสลับกับการเจริญสติในอิริยาบถนั่ง

                        และอย่าลืมเมื่อมีสติ เป็นสมาธิแล้ว ให้นำสตินั้นมาดูกาย ดูจิต  ดูความคิดของท่าน ท่านจะพบธรรมชาติที่แท้จริงของจิต การเดินจงกรมนี้มีประโยชน์อย่างมาก “ปัญญาญาณ” เกิดขึ้นเสมอจากการเดินจงกรม เพราะทุกข์ไม่เกิดกับกาย ให้เป็นกังวล ปัญญามันจึงมี เดินจงกรมให้นานเท่านานที่อยากเดิน ไม่กำหนดเวลา อย่าลืมการปฏิบัติธรรม นั้นทำให้เป็นธรรมชาติ สบายๆ ง่ายๆ จิตว่างๆ ไม่คิดอย่างนี้ละ ถ้าจะคิด ดูให้ออก ต้องคิดภายในตัวของเรานี่ละ เราจะพบความสงบ ความจริงจากตัวเรานี้ละ ไม่ต้องกังวลในการไปอ่านหนังสือธรรม ไปหาหลวงพ่อ ให้หาจากตัวเรา ที่บ้านเรา ครับ
            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 88 89 [90] 91 92 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><