27 มิถุนายน 2567, 14:21:21
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 56 57 [58] 59 60 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3328455 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1425 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2554, 08:29:45 »

สวัสดี คุณ Hasitate
                         ช่วงนี้อาจารย์ติดธุระเต็มไปหมด
                         วันพุธ-เสาร์อยู่นครศรีธรรมราช
                         วันเสาร์ พ่อเพื่อนเสีย รุ่นอาจารย์เป็นเจ้าภาพสวดศพที่สิงห์บุรี(อาจารย์เป็นอดีต หัวหน้าชั้น ประธานนักเรียน) ท่านนายอำเภอท่านนี้ เคยมีบุญคุณและสนิทสนมกับพ่อพี่สิงห์  ดังนั้นเพื่อทำหน้าที่แทนพ่อ พี่สิงห์อย่างน้อยต้องไปฟังพระสวดพระอภิธรรม หรือ ไปเผาศพท่าน ก่อนไปอินเดียครับ
                         วันจันทร์ต้องไปสิงห์บุรี ไปเยี่ยมแม่ ไปเอายาจากน้องสาว เตรียมไว้กรณีจำเป็นในการไปอินเดียโดยเฉพาะโรคอาหารเป็นพิษ
                         วันจันทร์เย็นประชุมจัดกอล์ฟ รุ่น
                         วันอังคาร-พฤหัสบดี ไปทำงานที่นครศรีธรรมราช เพราะต้องไปอินเดียหลายวัน
                         วันศุกร์ไปอินเดีย
                         ดังนั้น กลับจากอินเดียแล้ว นัดกัน ว่างวันไหน อาจารย์จะไปแนะนำให้ที่โรงงานครับ ขอให้เห็นสภาพเป็นจริงก่อน จึงจะแนะนำได้ถูกต้อง ครับ
                         สวัสดี
                       
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1426 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2554, 08:38:43 »

พี่สิงห์ค่ะ
ชีวิตพี่มีแต่ตารางยุ่งและแน่นโดยตลอด
ไม่เหนื่อย ไม่เบื่อ อยากนั่งเฉยๆ บ้างหรือคะ
หากอรมีตารางเดินทางตลอดอย่างพี่สิงห์
เดือนเดียว สลบแล้วค่ะ
เอาเวลาที่ไหนกำหนดจิตคะ
      บันทึกการเข้า
กุ้ง14
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 109

« ตอบ #1427 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2554, 12:02:54 »

สวัสดีค่ะพี่สิงห์ที่เคารพ
ช้าไปหน่อย (มาก) แต่ก็ต้องขอโอกาสขอบพระคุณพี่สิงห์ที่กรุณาไปร่วมงานศพคุณพ่อและลงรูปในเว็บให้ด้วย (ทราบจากตุ๊อรสาค่ะ) ความจริงขณะนั้นก็พยายามจะเข้าเว็บเพื่อจะขอขอบคุณทุกท่านๆที่มีมุทิตาจิต แต่ปรากฎว่าไม่สามารถเข้าเว็บได้ค่ะ เพิ่งจะทำได้หลังจากได้โทร.ไปรบกวนพี่ป๋องมาเมื่อวานซืนนี้เองค่ะ

ตลอดเวลาที่ผ่่านมา แม้จะโพสต์ข้อความไม่ได้แต่ก็ต้องเรียนว่าได้ติดตามอ่านข้อเขียน และข้อธรรมะที่พี่สิงห์ได้กรุณาเอื้อเฟื้อแก่น้องๆ มาโดยตลอด และขอขอบคุณที่พี่สิงห์ให้สิ่งที่ดีๆแก่พวกเรา ขณะนี้ตัวเองก็กำลังศึกษาและพยายามปฏิบัติธรรมเพื่อฝึกใจของตัวเอง แต่ยังอยู่ในระดับอนุบาลอยู่เลยค่ะ แต่จะพยายามต่อไปค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1428 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2554, 19:02:53 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องกุ้ง ที่รัก
                         ขอบคุณมากที่เข้ามาทักทายกันครับ  อายุมากแล้ว ปล่อยวางบ้าง ให้โอกาสตัวเอง มาดูกาย-ดูใจตัวเองบ้างครับ แล้วจะรู้ว่า ความสุขที่แท้จริง คืออะไร? ครับ
                         หวังว่าเธอคงสบายดีนะครับ
                         สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1429 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2554, 19:09:19 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 04 กุมภาพันธ์ 2554, 08:38:43
พี่สิงห์ค่ะ
ชีวิตพี่มีแต่ตารางยุ่งและแน่นโดยตลอด
ไม่เหนื่อย ไม่เบื่อ อยากนั่งเฉยๆ บ้างหรือคะ
หากอรมีตารางเดินทางตลอดอย่างพี่สิงห์
เดือนเดียว สลบแล้วค่ะ
เอาเวลาที่ไหนกำหนดจิตคะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                   การทำงานคืการปฏิบัติธรรมครับ คือพี่สิงห์ทำงานไปก็มีสติรู้ตัวไป  ไม่ได้ปล่อยให้ใจลอยไปไหนครับ เวลานั่งรถจากโรงแรมทั้งไปและกลับประมาณ 45 นาที ก็เคลื่อนไหวตลอดเวลาด้วยมือ 14 จังหวะ ตื่นตีห้ามาก็เจริญสติด้วยมือ 06:10 น. ไปเดินบนสายพาน 30 นาที ก็สร้างความรู้สึกตัวที่ขาสัมผัสพื้น มีสติดูกาย-ดูใจ โยคะ รำมวยจีน ก็มีสติอยู่ที่ท่ารำและหายใจ เวลาเดินไปกินข้าวก็ขยับมือเหมือนเดินจงกรม นั่งทำงานก็สร้างการเคลื่อนไหวเท่าที่จะทำได้ นั่งบนเครื่องบินก็ขยับมือ เวลาตีกอล์ฟช่วงเดินก็สร้างควารู้สึกตัว พูดง่ายๆ พี่สิงห์ปฏิบัติธรรมตลอด ไม่ปล่อยให้จิตคิดเรื่อยเปื่อยเลย พยายามให้รู้สึกตัวตลอดครับ  เตือนตัวเองตลอดเวลา จนลืมเรื่องต่างๆ ที่ไร้สาระไปมากแล้ว จำไม่ได้เลย ครับ
                     นี่ละเวลาปฏิบัติธรรมของพี่สิงห์
                     สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1430 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2554, 19:23:06 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                          หมู่นี้พี่สิงห์ปฏิบัติธรรมมาก ผลคือ มารที่เกิดจากความโลภ  ความโกรธ  ไม่มาเยื่อนเลย ถึงแม้จะพยายามโกรธ หรือไม่ชอบใจต่างๆ นาๆก็ตาม สติมันวิ่งมาทันเตือนให้รูสึกตัวทันที ทำให้ใจคลายไปความโกรธ ความโลภ มันก้หายไป เพราะเราไม่ไปสังขารา(ปรุงแต่งตามมัน) ใจมันก็สงบ แต่มีมารตัวใหม่รังควานพี่สิงห์ทุกคืน คือมารจากความอยากในเรื่องความสุขต่างๆ ที่เคยได้รับทุกชนิดที่ผ่านมา เวลาตีสามมารังความตลอดมาสร้างจินตนาการ เรื่องราวที่เราเคยได้รับให้จิตไปคิดตามมัน ก็มีเผลออยู่บ่อยๆ ที่ไปคิดตามมันสักพักมากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็มีสติมาคอยเตือนให้ทราบว่า นั่นคือมารอย่างหนึ่งที่มาทำให้ใจเราคิดปรุงแต่งตามมัน ดังนั้นคอยดูมันคิด หรือตัดทิ้งด้วยการมีสติ บอกตรงๆ มารตัวนี้ สติวิ่งมายังไม่ทัน เพราะเป็นความสุขที่จิตเราเคยได้รับ จึงทำให้ใจเราไปติกกับกับมันได้ มาทั้งในรูปความฝัน และเวลาตื่นแต่นอนหลับตา แต่อย่างไรก็ตาม สติเป็นตัวที่ทำให้ไม่หลงไปคิดตามมัน คือพอรู้ตัวว่า ไปหลงตามความคิดตัวเอง ก็กลับมาตั้งหลักใหม่ได้
                           อีกตัวหนึ่งคือมารจากความอยากกิน ตกบ่ายทีไร ใจมันอยากจะกินขนม บางทีใจมันก็หลงไปในจิตที่มันคิดถึงความอยากนั้น อยากกินนั่น อยากกินนี้ ต้องคอยเอาสติไปกั้นมันไว้ ไม่คิดปรุงแต่งตามที่มันคิด แต่พี่สิงห์ก็คิดไปอีกแง่ หรือว่ากายเรามันต้องการจริงๆ ก็ได้แต่พยายามสังเกตุพฤติกรรมกาย-ใจเราอยู่คอยเฝ้าตามมันอยู่
                           เหตุที่มารทั้งสองตัวมาผจญมากเพราะหมู่นี้พี่สิงห์ปฏิบัติธรรมมาก ตลอดเวลาต่อเนื่อง จนโดนพยามารส่งลูกน้องมารังควานหนัก ก็ต้องต่อสู้ทางจิตกันไป ตราบใดที่เรามีสติ สร้างความรู้สึกตัว เราก็สามารถชนะมารสองตัวนี้ได้
                           วันนี้ขณะนั่งรถกลับโรงแรม กำลังสร้างจังหวะมือ ก็เกิดปัญญาขึ้นมา ทบทวนอารมณ์ที่เรากำลังปฏิบัติ ทิศทาง และความจริงของอารมณ์ของคำว่า "จิตที่เป็นปกติ" มันเป็นอย่างไร ? ที่มันเกิดขึ้นกับพี่สิงห์ ไว้แน่ใจแล้วจะบอกให้ทราบครับ
                           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1431 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2554, 08:50:51 »

สวัสดียามเช้าครับ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                         เมื่อคืนที่ผ่านมา มารทั้งสองคือความอยากในทางกาม ที่เกิดจากกาย-ใจ ในเรื่องความสุขต่างๆ ไม่มารบกวนพี่สิงห์แล้ว เพราะรู้ความจริงของคำว่า "พุทธ" และเมื่อถึงเวลาสมควร "ปัญญาญาณ" หรือ "ตาปัญญา" ย่อมเกิดขึ้นมาเอง และสามารถรู้ด้วยตัวเอง นั้นเป็นความจริง ครับ มารจึงไม่มารบกวนพี่สิงห์สามารถนอนหลับได้สนิท จนกระทั้งก่อนตีห้าเล็กน้อย จึงลุกมานั่งสร้างความรู้สึกตัวจนเป็นสมาธิ แล้ว ก็ใช้ปัญญาทบทวนสิ่งที่เรารู้ที่เกิดขึ้น เป็นการทวนอารมณ์ มีสติที่แจ่มใสปลอดดโปร่ง ผ่องใส เป็นปกติ
                         หกโมงสิบห้านาทีจึงไปเดินเร็วๆออกกำลังกายบนสายพาน 35 นาทีให้เหงื่อออก หัวใจเต้น 130 ครั้งต่อนาที คงไใ้มากกว่า 10 นาที ในขระเดียวกันก็ให้มีสติอยู่ที่การเคลื่อนไหว เพราะจะทำให้เราไม่เบื่อ ลืมเวลาไปเลย เสร็จแล้วก้ไปรำมวยจีน ฝึกโยคะ เจ้ดโมงครึ่งก็ไปรับประทานอาหารเช้า ก่อนรับประทานข้าวต้มกับผักสด จะรับประทานลูกเสาวรส ๒ ผลก่อนเสมอ สองโมงเช้าก็มาอาบน้ำแต่งตัว เข้าเวบ รอเวลาที่ลุกน้องมารับไปทำงานตอนเก้าโมงเช้า นี่คือกิจวัตรประจำวันของพี่สิงห์ที่อยู่โรงแรมที่ใต้
                        ตอนเย็นก็เหมือนกันกลับมาถึงโรงแรมห้าโมงเย็น เดินเร็วสามสิบนาที  เจริญสติให้เหงื่อแห้ง รำมวยจีน  โยคะ เลิกหนึ่งทุ่มไปอาบน้ำ รับประทานอาหารเย็น เข้าเวบ สามทุ่มสวดมนต์ เจริญสติ นอน ครับ ชีวิตเป็นแบบนี้ทุกวัน อยู่กับการกระทำปัจจุบัน เรื่องอื่น ๆ เป็นรองทั้งสิ้น ครับ
                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1432 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2554, 10:38:53 »

สวัสดีค่ะพี่สิงห์
พี่สิงห์ขอบคุณค่ะสำหรับความรู้ที่ให้  ทุกครั้งที่ได้เข้ามาอ่านข้อเขียนของพี่สิงห์รู้สึกสงบมากค่ะ
ประมาณเกือนเดือนที่กำหนดสติด้วยการทำมือนั้น
มารอย่างอื่น ไม่ว่าความสุขในด้านต่างๆ ที่พี่สิงห์บอกมานั้น
 อรยังทำไม่ได้หรอกค่ะ ยังชอบทานอาหารอร่อย แถมสั่งคนซื้อให้อีกต่างหาก
 ยังชอบฟังเพลง ดูทีวี และอ่านหนังสืออย่างสนุกสนานอยู่ค่ะ
แต่สิ่งที่ได้อย่างเห็นได้ชัดคือการระงับความโกรธ จับความโกรธได้เร็วขึ้น และระงับได้ง่ายขึ้นเท่านั้นค่ะ
อย่างอื่นยังไม่ไปถึงไหนค่ะ
เลยจะพยายามเรื่องความโกรธไปก่อน แล้วค่อยๆไปตามความยากง่าย
ที่พี่สิงห์ ว่าแยกจิตกับตัวนั้น คงยากเกินไป ในชั้นนี้เพราะไม่ทราบอะไรขึ้นมาเลย
ได้แต่ทำมือเท่านั้น ทราบว่ากำลังทำมืออยู่เท่านั้น ไม่ทราบอย่างอื่นเพิ่มค่ะ
ทราบแต่ว่า สำหรับอร การกำหนดจิตด้วยการทำมือนั้น จับและกำหนดจิดได้ง่าย กว่าการกำหนดด้วยลมหายใจเท่านั้นค่ะ
เวลานึกอยากสงบก็ทำได้ท้นที และทุกที่ ง่ายกว่ามาก แต่ถ้าเงียบๆก็จะสงบเร็วกว่าคะ
คงต้องใช้เวลาอีกมากนะคะ
พี่สิงห์อย่าผิดหวังนะคะ ที่น้องไม่ได้เรื่อง ทั้งที่พี่สิงห์กรุณาให้ความรู้มาก
วันนี้คงกลับกรุงเทพแล้วสิคะ
เดินทางปลอดภัยนะคะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1433 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2554, 17:39:28 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                         ขณะนี้เวลา 17:30 น. ของวันอาทิตย์ พี่สิงห์อยู่กับแม่ที่สิงห์บุรี เพื่อจะรับประทานอาหารเย็นกับหลานแล้วจะไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมสพท่านอดีตนายอำเภอที่สนิทกับพ่อพี่สิงห์และเป็นพ่อของเพื่อน ที่วัดโบสถ์ อำเภออินทร์บุรี และคืนนี้คงนอนค้างคืนกับพี่สาวที่บ้านครับ
                         การเจริญสติ สร้างความรู้สึกตัวนั้น ขอให้ทำไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ด้วยตัวเอง ตามที่พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ของให้มีความเชื่อ มีความเพียรในการกระทำให้มากๆเข้าไว้ และใช้ปัญญา เราต้องสังเกตุกายของเรา สังเกตุใจของเรา มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยเฉพาะ "ตาปัญญา" หรือ "ปัญญาญาณ" เวลามันเกิดขึ้น ต้องแยกให้ออกว่ามันเป็นความคิดจากปัญญาญาณ หรือ ว่ามันคิดจากจิตใต้สำนึกที่มันเก็บไว้จากสิ่งที่เราประสพมาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ต้องแยกกันให้ออกว่า อันไหนควรเพียงแค่กำหนดรู้แล้วตัดทิ้งไปเลย อันไหนที่เป็นปัญญาญาณนั้นต้องคิดต่อให้ทันมันจะมีความคิดที่รู้ขึ้นมาก ขึ้นมา ถ้าจับไม่ได้ มันมีเพียงความสงบเท่านั้น ปัญญาญาณ มาจะมาเองของมันไวด้วย ต้องจับให้ได้ ตอนนี้พี่สิงห์รู้จักมันแล้ว และรู้จักคำว่า "พุทธ"ถ่องแท้แล้วว่า เป็นอย่างนี้ เพราะนี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับตัวพี่สิงห์ที่รู้ขึ้นมา เอาไว้มีเวลาจะเขียนให้ทราบตามที่ประสพ ครับ
                         ขอให้เธอเคลื่อนไหว มือให้มากไว้ ต่อเนื่องมากกว่าสองชั่วโมง เอาชนะอาการง่วงที่เกิดขึ้น เอาชนะด้วยความเพียร แล้วเธอจะรู้เอง  ทราบด้วยตัวเอง พี่สิงห์บอกไปเะอจะพะวงมาก ไม่ต้องกังวลทำไป เมื่อถึงเวลาเหมาะสม "ญาณปัญญา" ย่อมเกิด นี่คือความจริง เธอจะรู้ด้วยตัวเอง พี่สิงห์ประสพมันมาแล้ว ในความรู้สึกนี้ ทราบด้วยตัวเอง ลักษณะมันเป็นขั้นเป็นตอนไป ครับ ต้องมีความเพียรในการเจริญสติให้ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงหรือให้มากมากไ เข้าไว้จนตัวเรารู้สึกว่า มันเป็นนิสัยที่จะกระทำสร้างความรู้สึกตัวเองอยู่กับ ปัจจุบนั ตลอดเวลา มันจะไล่ความไม่รู้ คือ ความคิดที่คอยผุดขึ้นออกไป จนมันคิดน้อยลงหรือไม่คิดเลย ครับ
                      บ้าที่กรุงเทพฯไม่มี internet ต้องรอจนกว่าจะอยู่โรงแรม ที่บริษัทที่นคร ก็ล้มรอเวลา จึงมีโอกาสเข้าเวบน้อยครับ   
                      สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #1434 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2554, 23:57:51 »



ส่วนนี้เดาไม่ออกเลยครับ ว่าหมายความว่าไง
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1435 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2554, 08:11:19 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 06 กุมภาพันธ์ 2554, 23:57:51


ส่วนนี้เดาไม่ออกเลยครับ ว่าหมายความว่าไง
สวัสดีค่ะ พี่ป๋อง
เข้าใจว่าพี่สิงห์ ตั้งใจจะบอกว่า เนื่องจากปัญหาเรื่อง net พี่สิงห์จึงเข้ากระทู้ได้เฉพาะตอนที่พี่สิงห์อยู่ที่โรงแรมที่นครฯเท่านั้นค่ะ
เลยเข้ากระทู้ไม่บ่อยนัก
เข้าใจตรงกันไหมคะ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1436 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2554, 08:17:08 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 06 กุมภาพันธ์ 2554, 17:39:28
สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                         ขณะนี้เวลา 17:30 น. ของวันอาทิตย์ พี่สิงห์อยู่กับแม่ที่สิงห์บุรี เพื่อจะรับประทานอาหารเย็นกับหลานแล้วจะไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมสพท่านอดีตนายอำเภอที่สนิทกับพ่อพี่สิงห์และเป็นพ่อของเพื่อน ที่วัดโบสถ์ อำเภออินทร์บุรี และคืนนี้คงนอนค้างคืนกับพี่สาวที่บ้านครับ
                         การเจริญสติ สร้างความรู้สึกตัวนั้น ขอให้ทำไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ด้วยตัวเอง ตามที่พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ของให้มีความเชื่อ มีความเพียรในการกระทำให้มากๆเข้าไว้ และใช้ปัญญา เราต้องสังเกตุกายของเรา สังเกตุใจของเรา มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยเฉพาะ "ตาปัญญา" หรือ "ปัญญาญาณ" เวลามันเกิดขึ้น ต้องแยกให้ออกว่ามันเป็นความคิดจากปัญญาญาณ หรือ ว่ามันคิดจากจิตใต้สำนึกที่มันเก็บไว้จากสิ่งที่เราประสพมาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ต้องแยกกันให้ออกว่า อันไหนควรเพียงแค่กำหนดรู้แล้วตัดทิ้งไปเลย อันไหนที่เป็นปัญญาญาณนั้นต้องคิดต่อให้ทันมันจะมีความคิดที่รู้ขึ้นมาก ขึ้นมา ถ้าจับไม่ได้ มันมีเพียงความสงบเท่านั้น ปัญญาญาณ มาจะมาเองของมันไวด้วย ต้องจับให้ได้ ตอนนี้พี่สิงห์รู้จักมันแล้ว และรู้จักคำว่า "พุทธ"ถ่องแท้แล้วว่า เป็นอย่างนี้ เพราะนี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับตัวพี่สิงห์ที่รู้ขึ้นมา เอาไว้มีเวลาจะเขียนให้ทราบตามที่ประสพ ครับ
                         ขอให้เธอเคลื่อนไหว มือให้มากไว้ ต่อเนื่องมากกว่าสองชั่วโมง เอาชนะอาการง่วงที่เกิดขึ้น เอาชนะด้วยความเพียร แล้วเธอจะรู้เอง  ทราบด้วยตัวเอง พี่สิงห์บอกไปเะอจะพะวงมาก ไม่ต้องกังวลทำไป เมื่อถึงเวลาเหมาะสม "ญาณปัญญา" ย่อมเกิด นี่คือความจริง เธอจะรู้ด้วยตัวเอง พี่สิงห์ประสพมันมาแล้ว ในความรู้สึกนี้ ทราบด้วยตัวเอง ลักษณะมันเป็นขั้นเป็นตอนไป ครับ ต้องมีความเพียรในการเจริญสติให้ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงหรือให้มากมากไ เข้าไว้จนตัวเรารู้สึกว่า มันเป็นนิสัยที่จะกระทำสร้างความรู้สึกตัวเองอยู่กับ ปัจจุบนั ตลอดเวลา มันจะไล่ความไม่รู้ คือ ความคิดที่คอยผุดขึ้นออกไป จนมันคิดน้อยลงหรือไม่คิดเลย ครับ
                      บ้าที่กรุงเทพฯไม่มี internet ต้องรอจนกว่าจะอยู่โรงแรม ที่บริษัทที่นคร ก็ล้มรอเวลา จึงมีโอกาสเข้าเวบน้อยครับ  
                      สวัสดีครับ
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ
คงอีกนานกว่าจะได้ปัญญาญาณตามที่พี่สิงห์บอก
แต่ไม่ท้อนะคะ จะทำไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยก็ได้ความสงบ
ทำบ่อยๆ คงจะก้าวหน้ามากขึ้นค่ะ
กลับนครฯอย่างปลอดภัยนะคะ
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #1437 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2554, 11:03:25 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2554, 08:11:19
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 06 กุมภาพันธ์ 2554, 23:57:51


ส่วนนี้เดาไม่ออกเลยครับ ว่าหมายความว่าไง
สวัสดีค่ะ พี่ป๋อง
เข้าใจว่าพี่สิงห์ ตั้งใจจะบอกว่า เนื่องจากปัญหาเรื่อง net พี่สิงห์จึงเข้ากระทู้ได้เฉพาะตอนที่พี่สิงห์อยู่ที่โรงแรมที่นครฯเท่านั้นค่ะ
เลยเข้ากระทู้ได้บ่อยนัก
เข้าใจตรงกันไหมคะ

...ฮ่าฮ่า...อร...เธออย่าซื่อนักเลย...
...เพิ่งเป็นน้องใหม่เว็บซีมะโด่งก็ยังงี้ล่ะ..อาอิงโนเซ้งจิงๆ
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #1438 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2554, 17:01:14 »

พี่สิงห์ครับ

อินเดียมีแต่จะขาย package ทัวร์ในประเทศ กดไปดูสภาพอากาส ก้หาแทบจะไม่เจอเลย แขกนี่ร้ายจริงๆ

นี่เป็นเว็ปพยากรณ์อากาศของ BBC ครับ..เดี๋ยวได้มาจะมาแปะให้ทราบเพิ่มเติมครับ

http://www.bbc.co.uk/weather/world/country_guides/results.shtml?tt=TT002240

นี่เว็ปของอินเดีย ต้องคลิ๊กหัวข้อตัวเมืองจากด้านข้าง เพื่อเลือกเมืองที่จะไปครับ

http://www.mapsofindia.com/maps/india/annualtemperature.htm

http://www.wordtravels.com/Cities/India/Delhi/Climate

เมืองบังกาลอร์

http://www.weathercity.com/in/bangalore/

หากต้องการทราบเมืองไหน ให้ใส่ชื่อเมืองแทน bangalore เช่น mumbai ลงไปแล้วกด enter ครับ จะมีผลออกมาให้ครับ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1439 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2554, 20:09:46 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2554, 11:03:25
อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 07 กุมภาพันธ์ 2554, 08:11:19
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 06 กุมภาพันธ์ 2554, 23:57:51


ส่วนนี้เดาไม่ออกเลยครับ ว่าหมายความว่าไง
สวัสดีค่ะ พี่ป๋อง
เข้าใจว่าพี่สิงห์ ตั้งใจจะบอกว่า เนื่องจากปัญหาเรื่อง net พี่สิงห์จึงเข้ากระทู้ได้เฉพาะตอนที่พี่สิงห์อยู่ที่โรงแรมที่นครฯเท่านั้นค่ะ
เลยเข้ากระทู้ได้บ่อยนัก
เข้าใจตรงกันไหมคะ

...ฮ่าฮ่า...อร...เธออย่าซื่อนักเลย...
...เพิ่งเป็นน้องใหม่เว็บซีมะโด่งก็ยังงี้ล่ะ..อาอิงโนเซ้งจิงๆ
พี่ตู่ขา มีวัฒนธรรมประจำweb ด้วยหรือคะ
ค่ะ ค่ะ จะพยายาม ลับเขี้ยวขึ้นค่ะ
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #1440 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2554, 21:35:30 »

พี่สิงห์ที่ผมพบครั้งแรก กับพี่ในปัจจุบันแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
สงบ เย็น อบอุ่น
แม้นไม่เสมอต้นเสมอปลายอย่างบางคน
แต่ผมชอบพี่ที่เปลี่ยนไปในแบบปัจจุบันมากจัง
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1441 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2554, 20:34:55 »

สวัสดีครับ คุณน้องเอมอร คุณน้องตู่ ดร.สุริยา คุณเหยง ป๋าทู และชาวเวบที่รักทุกท่าน
                         ที่บ้านผมที่กรุงเทพฯ ไม่มี internet ที่บริษัทที่นครศรีธรรมราช ระบบยังล่ม เหลือแห่งเดียวที่ผมจะเข้า internet ได้ คือ ที่โรงแรมทวินโลตัส ครับ อย่างเดี๋ยวนี้พี่สิงห์อยู่ที่โรงแรมทวินโลตัส นครศรีธรรมราชครับ
                         พอดีคุณกิตตมาส่งบทความที่ดีมาให้ผมซึ่งตรงกับความคิดของผม แต่ต่างกันในข้อธรรม ปัจจุบันผมได้นำคำสอนนของพระพุทะเจ้ามาใช้ในการบริหารงาน และได้สอนให้พนักงานนำคำสอนของพระพุทะเจ้าไปใช้ในการทำงาน เพราะ MBA ของฝรั่งนั้น ก็นำคำสอนของพระพุทะเจ้าไปใช้แต่ทำให้มันดูดีเท่านั้นครับ ลองอ่านดูครับ
                         สวัสดี

***********บริหารแบบพุทธ สร้างองค์กรอมตะ!   
****“วรภัทร์ ภู่เจริญ” นักวิทยาศาสตร์นาซ่า นำหลักการบริหารแบบพุทธะ หาสติควบคุมความคิด จิต พาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ ปูนซีเมนต์ไทยและการบินไทย ประสบความสำเร็จมาแล้ว
****พูดถึงหลักการบริหารองค์กร ทุกคนคงจะมองแต่ภาพตำราต่างประเทศและการเรียนที่เป็นตำราวิชาการ แต่หารู้ไม่ว่าที่จริงแล้วหลักการบริหารเหล่านั้น ต่างมีพื้นฐานสำคัญและมีหัวใจที่สำคัญที่สุดมาจากจิตใจที่อยู่ภายในพนักงานทุกคน ตั้งแต่ผู้บริหารลงมาสู่พนักงานระดับล่าง
****ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถใช้หลักธรรมะเข้ามาผสมผสานในการบริหารจัดการองค์กรได้ดีเยี่ยม เขาเคยทำงานที่องค์การนาซ่าอีกได้รับรางวัล ผลงานที่ดีที่สุดในการประชุมทางวิชาการด้านเครื่องยนต์ไอพ่นนานาชาติ ปีพ.ศ 2528 แต่วันนี้เป็นผู้สอนหลักบริหารองค์กรแนวพุทธให้กับบริษัทชั้นนำหลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็น บริษัทเครือซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย บริษัท สหพัฒน์ จากพื้นฐานของนักวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในตัว ทำให้ดร.วรภัทร์ ต้องการพิสูจน์ความจริงในทางพระพุทธศาสนา และการพิสูจน์นั้นก็นำมาสู่ความเข้าใจแห่ง จิต ความคิด และสติ ซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้นสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม อีกทั้งเป็นพื้นฐานสำหรับนำหลักธรรมทางศาสนาพุทธมาประยุกต์กับการสอนหลักการบริหารอีกด้วย
****ดร.วรภัทร์ ได้อธิบายถึงหลักการบริหารองค์กรแบบพุทธว่า หลักการบริหารก็เหมือนกับที่พระไตรปิฎกได้สอนไว้ พระพุทธเจ้าน่าจะเป็นบิดาแห่ง HR และ Management เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในการบริหารองค์กรสำหรับทั้งผู้บริหารและลูกน้องคือ ต้องรู้จักสติ ซึ่งเป็นการฝึกพื้นฐาน
**********ฝึกสติสร้างระบบความคิด
****เทคนิดการสอนของ ดร.วรภัทร์จะให้ผู้เข้าฝึกหาว่าอะไรคือสติ อะไรคือความคิด และอะไรคือจิต เพราะเมื่อเห็นระบบการทำงานของทั้ง 3 สิ่งนี้แล้ว ต่อไปสิ่งที่ผู้เข้าฝึกก็ต้องคอยระวังก็คืออย่าให้ความคิดทำร้ายจิต หรือพอจิตเกิดความคิด ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ดีก็ต้องระวัง ต้องหัดตัวเองให้ต้องเอาสติไปทำงานแทนจิต
****ดร.วรภัทร์มองว่า จิตเปรียบเหมือนลูกตุ้ม ถ้าลูกตุ้มจะแกว่งเป็นบวกหรือลบ สิ่งที่ทำให้ลูกตุ้มเบนไปทางซ้ายหรือขวาก็คือตัวความคิดของเรา ซึ่งความคิดเหล่านั้นก็มาจากสัญญาเก่า จะเข้ามาสะกิดให้เกิดความรู้สึกเป็นบวกลบ พอเกิดความรู้สึกนั้นคือ “จิตเกิดแล้ว” นั้นเอง
**********“เคยชอปปิ้งไหม ง่ายๆเลย ถ้าไปช้อปปิ้งกับแฟนที่ฝรั่งเศส พอหมดเวลาแฟนบอกให้ขึ้นรถ ยังตัดใจอยากช็อปอยู่ต่อ แต่ต้องขึ้นรถไปลียอง ขณะอยู่บนรถก็คิดถึงแต่กระเป๋า นั้นแหละจิตเกิดแล้ว เป็นความอยาก ซึ่งเกิดความคิดเป็นผลผลิตจากจิต ตอนนั้นจะแยกไม่ออกว่าจิตกับความคิดทำงานร่วมกัน แต่ถ้าเป็นผู้ที่ฝึกสติมาดีแล้วเป็นพอบอกว่าไปก็ไป ก็จะไม่มีความคิดปรุงแต่ง รู้ตัวอยู่ เสมอว่าตอนนี้ต้องอยู่กับแฟนและนั่งรถไฟไปลียอง”

**********แทรกพุทธธรรมในทฤษฎี
****หลังจากที่ค้นหาวิธีการคิดเป็นระบบได้แล้ว ดร.วรภัทร์ จะแทรกพุทธธรรมเข้ามาในทฤษฎีหลักการบริหารต่างๆ เพราะดร.วรภัทร์เชื่อว่าว่า หัวใจสำคัญจริงๆของหลักการบริหารนั้นสำคัญอยู่ที่จิตใจเป็นอย่างแรก ตัวอย่างเช่น บริษัท ทิพยประกันภัย ที่ดร.วรภัทร์ เป็นที่ปรึกษานั้น ดร.ก็สอนธรรมะควบคู่ไปกับ สอนการวางแผนยุทธศาสตร์
****เริ่มแรกจะให้ผู้เข้าฝึกที่เป็นทั้งผู้บริหารและลูกน้องหายใจลึกๆทำจิตให้ว่าง คิดไปถึงว่าอีก 4-5 ปี ทิพยประกันภัยจะเป็นยังไง ให้ตัดความกังวล ตัดความกลัว ความลำเอียงออกมาจากจิตให้ได้ นั้นคือตัดความคิดอันฟุ้งซ่านที่จะไปให้ก่อให้เกิดจิต หลังจากนั้น หาจุด Dead lock จุด หา success factor ให้เจอ หาตัวแปรที่ทำให้องค์กรล่ม อย่าใช้อารมณ์โมโห ใช้เวิร์กช็อปอย่าประชดกันในที่ประชุมใช้ความเป็นจริงอย่าเอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
****“เช่นเวลาที่ประชุมกัน เมื่อใครก็ตามที่เกิดอารมณ์ไม่ดีขึ้นก็จงบอกว่า ช่วงนี้ผมจิตเกิดนะขอ งดออกความคิด ก็จะทำให้ไม่ทะเลาะกัน พอไม่ทะเลาะกัน จิตก็ว่าง คิดงานได้สะดวกราบรื่น อย่างของเครือปนซีเมนต์ ไทย เขาใช้แบบพุทธวิธีที่ผมสอน ตอนนี้เขาผลผลิตเพิ่ม ของเสียลดลง ประชุมกันก็ทะเลาะกันน้อยลง”
**********ตั้งสติรับภาวะเศรษฐกิจขาลง
****หรือแม้กระทั้งการตั้งรับภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสุ่วัฏจักรขาลงในอนาคตอันใกล้นี้ ดร.วรภัทรก็ต้องให้ผู้บริหารตั้งสติ ตัดความกังวลออกไป เพราะท้ายที่สุดทุกอย่างเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หลังจากที่จิตใจปลอดโปร่งแล้ว ดร.วรภัทร์ก็จะให้ผู้บริหารทำ SWAT Analysis ให้ชัดเจนหาโดยเฉพาะการหา Opportunity และหายุทธศาสตร์ที่ตั้งเป้าหมายในการดำเนินงานในบริษัทในอนาคต

****“ตอนเศรษฐกิจล้มผมก็ใช้หลักจิตวิทยา มากๆในการให้กำลังใจเขา อีกทั้งต้องใช้อิทธิบาท4 ให้ฉันทะกับเขาก่อน จากนั้นก็พูดให้กำลังใจเป็น empowerment ซึ่งจะก่อให้เกิดการวิริยะ เกิดเป็น positive thinking ต่อไปเมื่อเขาไปได้เราก็ออกไปเป็น Coaching มองเขาอยู่ห่างๆ ”
**********นี่แหละคือธรรมะกับการบริหารยุคใหม่ที่สามารถผสมผสานกันอย่างลงตัว !
**********จับฉ่ายแมน ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ 'ผมเป็นคนขายสมอง' เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ สัมภาษณ์
****ตอนอยู่นาซาผมเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์จนไม่มีวิชาอะไรให้เรียนแล้ว ผมก็เลยเกิดคำถามว่าวิทยาศาสตร์เองก็มั่วเยอะ ใช้วิธีการอนุมานและตั้งสมมติฐานเยอะ ก็เลยถามตัวเองว่า ฉันกำลังทำอะไรอยู่ พอได้อ่านบทความของไอสไตน์เขียนไว้ก่อนตายว่า ศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดคือ พุทธะ
****บางคนถามผมว่า ในโลกนี้มีอาชีพนี้ด้วยหรือ อย่างการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ครูในโรงเรียนสอนไม่รู้เรื่องเด็กก็เลยไปโรงเรียนกวดวิชา บริษัทก็เหมือนกัน คนข้างในคิดไม่ออก ก็ต้องให้มือที่สามมอง คล้ายๆการกินนมวัว ไม่จำเป็นต้องเอาวัวมาเลี้ยงที่บ้านเขาเรียกว่า ขายไอเดีย อย่างคนทำการตลาดอยู่ 5-10 ปีไอเดียก็ตัน ที่สุดก็จ้างคนนอกช่วยคิด
**********19 ปีที่แล้ว เขาเป็นวิศวกรองค์การอวกาศนาซา ประเทศสหรัฐอเมริกา และที่น่าทึ่งกว่านั้น ก็คือ
****ได้รับรางวัลงานวิจัยดีที่สุดระดับโลกเกี่ยวกับเครื่องยนต์ไอพ่น และที่ไม่น่าเชื่อก็คือ เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมต้องคิดจนสุดขอบจักรวาลถึง 450 ล้านปีแส ง เราบ้าหรือไร้สาระเกินไปหรือเปล่า
****ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ผู้ชายอารมณ์ดีที่กล่าวถึงปัจจุบันเป็นพ่อของลูกสองคน นักเขียน วิทยากรอิสระที่ปรึกษามืออาชีพให้องค์กรรัฐและเอกชนหลายสิบแห่งเจ้าของบริษัทพรีม่า แมเนจเม้นท์ จำกัด และนักปฏิบัติธรรม
****เขาเป็นนักอ่านตัวยง อ่านหนังสือเร็วมาก จนบรรณารักษ์ห้องสมุดสงสัยว่า อ่านจริงหรือเปล่า ขณะที่เด็กคนอื่นๆ วิ่งเล่น แต่เขาอ่านหนังสือที่คนอื่นไม่อ่าน ตอนเรียนมัธยมปีที่ 1 อ่านสารานุกรม (Encyclopedia ) 30 กว่าเล่ม และอ่านแบบเรียนมัธยมปีที่ 5 ของพี่ชาย ทำให้ไม่ค่อยสนใจการเรีย น กระทั่งไปเรียนต่างประเทศจนจบปริญญาเอกวิศวกรรมเครื่องกลและวัสดุศาสตร์ และทำงานองค์การอวกาศนาซานาน 7 ปี
****ในที่สุดเก็บกระเป๋ากลับเมืองไทย เพราะเรียนจนไม่รู้จะเรียนอะไร กลับมาช่วย 'ดร.รุ่งแก้วแดง' วางแผนระบบการศึกษาอยู่พักหนึ่ง เขาบอกว่า ระบบการศึกษาต้องรื้อทั้งโครงสร้าง เอาไม่อยู่แล้ว และงานหลักเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ สอนด้วยวิธีการไม่สอนใคร บางครั้งเรียนริมสระว่ายน้ำ บางครั้งเรียนที่บ้าน ที่พิสดารกว่านั้น คือเขาให้นักศึกษาออกข้อสอบและตรวจข้อสอบเอง ปรากฏว่า นักศึกษาสอบตกทั้งห้อง และผู้บริหารไม่พอใจวิธีการสอนของเขา จนอาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งเตือนว่า "วรภัทร์...ถ้าเธอยังปากจัดแบบนี้ จะมีแต่ศัตรูมากกว่ามิตร"
****ไม่เพียงเท่านั้น เขาเกือบเป็นคนพิการ เพราะป่วยเป็นโรคกระดูกเปราะนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลแรมปี ตอนนั้นศรีภรรยาร้องไห้ แต่เขายิ้มรับ และวางแผนการรักษาตัวเอง จนสามารถลุกขึ้นยืนได้
****กว่าจะได้พูดคุยเป็นเรื่องเป็นราวเขา จำต้องเคลียร์คิวนัดหมายจนลงตัว และส่งเสียงมาตามสายว่า จะให้ผมประแป้งไว้รอไหม ทำให้คนปลายสายรู้สึกว่า งานนี้สนุกแน่ จะสนุกหรือไม่ ต้องลองอ่านเรื่องราวของผู้ชายที่รู้จักจัดการชีวิตตัวเองอย่างมีแบบแผน และไม่ลืมที่จะหยิบยื่นสิ่งดีๆ ให้คนรอบข้าง
****+คุณเป็นคนเรียนเก่งตั้งแต่เด็กหรือ ก็ไม่ถึงกับสอบได้ที่ 1 ตอนอยู่ประถมปีที่ 6-7 อ่านหนังสือจิตวิทยาและปรัชญาแล้ว ถ้ามุ่งเรียนอย่างเดียว คบเพื่อนน้อย แล้วบริหารใจตัวเองไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ ผมคิดแบบนี้ตั้งแต่เด็ก จำได้ว่าตอนเรียนอัสสัมชัญ ครูตีเพื่อนผม ผมถามมาสเตอร์ว่า ทำไมไม่ใช้จิตวิทยา ครูก็งง! ว่า เราคิดได้ยังไงผมมาจากครอบครัวธรรมดาๆ พ่อแม่ค้าขาย ตอนเด็กๆ ป้าข้างๆ บ้านขายผลไม้ จ้างผมให้อ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟัง อ่านแต่ละครั้งก็ได้ผลไม้เป็นค่าจ้าง ผมเป็นลูกคนเล็ก เวลาพี่เรียนอะไร ผมก็เรียนด้วย พ่อแม่ต้องทำธุรกิจ ทิ้งผมให้อยู่บ้านกับยาย พอไม่มีอะไรทำ ผมก็อ่านหนังสือ 
****+แล้วคุณแปลกแยกจากเพื่อนๆ ไหม เวลาคนอื่นไปปาร์ตี้เฮฮา ผมนั่งอ่านหนังสือ ผมคิดประหลาดๆ ตอนเรียนมัธยมปีที่ 1เห็นเพื่อนเล่นกีตาร์ ก็ถามเพื่อนว่า ทำไมเล่นกีตาร์เพลงคนอื่น ทำไมไม่แต่งเพลงเอง เวลาใครร้องเพลงอะไรออกมา ผมก็เอามาแปลง คนเราไม่จำเป็น ต้องตามรอยเท้าใคร ผมโดนครูตบและตีบ่อย กลายเป็นตัวประหลาด ในที่สุดผมต้องเงียบ เผด็จการทางการศึกษาเยอะ ผมไม่ค่อยพูดเรื่องพวกนี้กับเพื่อน ก็คุยกับพี่ชาย สมัยอยู่ประถม 6 ผมกับพี่ชายประดิษฐ์เรือดำน้ำเล็กๆเล่นกัน สมัยเด็กผมเคยได้รางวัลแกะสลัก เ ขาเอาผลงานผมไปประกวดกับรุ่นใหญ่ ตอนแรกๆ เขาหาว่าผมโกง จริงๆ แล้วผมทำเอง เด็กวัยนั้นส่วนใหญ่แกะลายง่ายๆ ผมแกะไม้สักลายกนกสองชั้น แต่ไม่ถึงระดับประตูวัดสุทัศน์นะ
****+คุณเป็นนักอ่านตัวยงตั้งแต่เด็กแล้วอ่านหนังสืออะไรบ้าง อ่านเอ็นไซโคลพิเดียภาษาอังกฤษ 30 เล่มตั้งแต่เรียนมัธยมปีที่1 ผมเป็นนักเสพข้อมูล เรื่องไหนที่ผมไม่เข้าใจ ผมจะพยายามศึกษาจนรู้จริง อย่างตอนนี้คุณดื่มชา ถ้าคุณถามเรื่องนี้ผมก็อธิบายได้ สมัยเด็กๆ เพื่อนผมหวงกล้องมาก ไม่ให้ผมแตะ ผมอยากรู้ ผมก็เรียนเรื่องถ่ายภาพด้วยตัวเองสุดยอดของการอ่าน ผมค้นพบว่าต้องคบคนที่รู้จริงในศาสตร์นั้นๆและต้องปฏิบัติด้วย ผมอ่านหนังสือเร็วมาก 2-3 เล่มหนาๆ อ่านแค่คืนสองคืน ครูบรรณารักษ์ก็งง! ถามว่า อ่านจริงหรือเปล่า ผมบอกให้ถามเรื่องราวในหนังสือที่อ่าน หนังสือเล่มบางๆ หรือหนังสือกำลังภายใน ผมอ่านไม่นาน ผมหันมาเป็นพุทธเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เมื่อก่อนนับถือศาสนาคริสต์ ตอนนั้นสับสนในศาสนาตัวเอง ผมทะเลาะกับนักบวช เขาบอกให้แก้บาป รับศีล ผมอ่านคัมภีร์ไบเบิล ผมเถียงไปว่า ในใบเบิลไม่มีแก้บาป รับศีล มนุษย์รุ่นหลังเขียนขึ้นเอง พอผมเถียง เขาก็ว่าผมเป็นแกะดำ (หัวเราะ)เวลาผมอ่านหนังสือ ถ้าเล่มไหนชอบมากจะอ่านทุกตัว ถ้าเป็นหนังสืออ่านยากๆ ก็จะเขียนโน้ตสรุปความคิดรวบยอด อ่านจบบรรยายได้เลย เล่มไหนไม่ชอบก็อ่านแค่วิธีคิด พออ่านมากๆ ก็เดาแนวทางคนเขียนออกอ่าน แค่ตัวอย่างและประสบการณ์เพื่อจำไว้สอนคนอื่น ผมอ่านหนังสือบริหารประมาณ 50%, อ่านหนังสือธรรมะ 30% และที่เหลือเป็นหนังสือประวัติศาสตร์
****+คุณค่อนข้างใฝ่รู้ในทุกๆ เรื่องแล้วจัดการองค์ความรู้อย่างไร ตอนผมเรียนเมืองนอก ผมไปพิพิธภัณฑ์บ่อยมาก เวลาผมดูภาพวาด ผมชอบคุยกับเจ้าหน้าที่ ผมอยากรู้ว่าภาพวาดชุดนี้โด่งดังได้อย่างไร องค์ประกอบภาพ การใช้สี ความกลมกลืนระหว่างศิลปะ เราตั้งคำถามว่า ทำไมศิลปินดังๆ ใช้พู่กันปากเป็ดเพียงอันเดียวก็สามารถวาดรูปได้สวยเราไม่ได้มองแค่ภาพ แต่มองลึกลงไปถึงปรัชญาที่ซ่อนอยู่ อย่างภาพวาดอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี หรือเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ มองแค่ความงามอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองลงไปถึงวิธีคิดและอารมณ์ที่ใส่ลงไป สุดท้ายมองความว่างในใจเขา
ผมสนใจทุกอย่าง ทุกเรื่อง ไม่ได้มั่ว ผมคิดว่า ท่ามกลางพายุที่สับสน ผมจับลมปราณของมันได้ ผมจับได้ทุกวิชา อย่างประวัติศาสตร์สะท้อนอารมณ์และจิตใจคนยุคนั้นๆ ผมคิดต่อว่า ทำไมเขาตัดสินทำแบบนั้น พอมาถึงยุคปัจจุบัน เหตุการณ์ใกล้เคียงกัน ก็นำมาใช้กับการวางยุทธศาสตร์ ทุกเรื่องเกี่ยวข้องกันหมด หากขึ้นไปที่ต้นแม่น้ำจะเจอเรื่องเดียวกันคือ ตาน้ำ การศึกษาก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้จักอ่านหนังสือ ก็จะเจอแก่นของมัน จะวิพากษ์อะไรก็ได้ เพราะเราเข้าใจ
****+แล้วคิดว่า ตัวเองเก่งกว่าคนอื่นไหม ไม่ครับ ผมเป็นมิสเตอร์ประนีประนอม ผมชอบการวางยุทธศาสตร์ ประสานให้คนโน้นรักกับคนนี้ ผมไม่ใช่คนเรียนเก่งจนได้ที่ 1 ผมเป็นพวกชอบเข้าห้องสมุด มีโลกเป็นของตัวเอง ร่างกายไม่แข็งแรง สมัยก่อนผมเป็นคนจนในโรงเรียนรวย ถูกเปรียบเทียบตลอด บางทีถูกประจานหน้าโรงเรียน เพราะไม่จ่ายค่าเล่าเรียน เรื่องหลงตัวเอง ก็เลยไม่มี อีกอย่างผมมีนิสัยชอบให้อภัย อย่างมีคนขับรถปาดหน้ารถพ่อแม่ผม พ่อก็บอกว่า ให้เขาไปเถอะ เมียเขาคงจะคลอดลูก
****+ตอนนั้นคุณวางแผนการเรียนไว้อย่างไร ผมอยากเป็นแพทย์มาก แต่ตอนอยู่มัธยมปีที่ 5 สงสัยเล่นไพ่บริดจ์และหมากรุกมากไป ผมชอบเกมที่ใช้ยุทธศาสตร์ ผมจึงเข้ามาทำงานวางแผนพัฒนาให้บริษัทต่างๆ อย่างกระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ ก็เคยไปช่วยผมมาเรียนคณะวิศวกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงผมจะไม่ชอบ ผมก็เรียน เพราะครอบครัวมีเงินจำกัด พอเรียนจบผมต่อรองกับพ่อแม่ว่า จะไม่เอามรดก แต่ขอค่าเครื่องบินไปเรียนเมืองนอก ถ้าพลาดผมจะไปแบกถาดเสิร์ฟอาหาร
****+ชอบวางยุทธศาสตร์การบริหารมาตั้งแต่เมื่อไหร่ โดยสันดานแล้ว ผมสนใจทุกอย่าง ทำกับข้าวก็สนใจ อยู่อเมริกาลองไปเป็นกุ๊กร้านอาหาร ตอนนั้นผมไม่ค่อยมีเงิน และคิดว่าถ้าเราต้องทำกับข้าวกินทุกวัน จะทำอย่างไรให้อร่อย ผมก็ไปเป็นลูกมือ พัฒนาตัวเองเรื่อยๆ ตอนนั้นผมเป็นนักเคมีเทคนิค พอมาจับศาสตร์เรื่องอาหาร ก็ใช้ศิลปะมาผสมผสาน ผมได้เป็นกุ๊กร้านอาหารไทยของเพื่อน ช่วยทำกับข้าวและบริหารร้านอาหาร โหราศาสตร์ผมก็สน แต่ไม่ได้เรียนรู้เพื่อการทำนาย ผมชอบสังเกตคน ทำให้ง่ายในการบริหาร อ่านเกมขาด อย่างเจอสาวราศีกันย์ เธอชอบความมีระเบียบ ความสะอาด ผมเอาหลายๆ ศาสตร์มารวมกันแล้วบูรณาการ
****+ทำไมองค์การอวกาศนาซา อยากได้คนอย่างคุณมาทำงานด้วย ในนาซามีคนไทยประมาณ 10 คน ทางนาซาต้องการคนที่มีคุณสมบัติอย่างผม คือจบปริญญาตรีด้านวิศวเคมี ปริญญาโทด้านวัสดุศาสตร์วิศวกรรม ผมเก่งชีววิทยาและวิศวกรรมด้วย ตอนผมเรียนปริญญาโททำวิทยานิพนธ์เรื่องเหล็กดามในกระดูกมนุษย์ นาซาต้องการจับฉ่ายวิศวกรรม
หาคนแบบนี้ในโลกได้ยากและหามานาน 3 ปี ผมเป็นคนเดียวในโลกที่มีลักษณะเหมาะกับโครงการใหม่ตอนนั้น เซรามิคเคลือบไอพ่น   ตอนนั้นนาซาถามไปที่อาจารย์ต่างๆ ในมหาวิทยาลัย อาจารย์ที่ปรึกษาผม ทำวิจัยที่นาซา ก็เลยแนะนำวรภัทร์ องค์การอวกาศนาซามีวิศวกรกว่า 3,000 คน ตอนนั้นนาซาส่งผมเรียนปริญญาเอก ออกค่าใช้จ่ายให้หมด ผมทำงานในแล็บด้านวัสดุเคลือบยาน มีเลขานุการหนึ่งคน เราทำงานเป็นทีมมีหลายชาติด้วยกัน งานวิจัยของผมเรื่องเครื่องยนต์ไอพ่นดีเด่นเมื่อปี 2528 คว้ารางวัลที่ 1 ของโลกให้นาซา
****+ได้ประสบการณ์อะไรจากนาซาบ้าง อยู่นาซาสนุกครับ ผมทำงานวิจัยออกแบบและทดลอง ทุก 6 เดือนต้องมีผลงานวิจัยออกมา เข้าแล็บใช้หุ่นยนต์เคลือบเซรามิคบนไอพ่นแล้วประกอบลูกไอพ่นติดบนยานอวกาศ เพื่อให้บินขึ้นฟ้า เราก็ใช้คอมพิวเตอร์คำนวณแก้สูตร พวกอเมริกันเก่งเรื่องกระบวนการคิด ทำงานเป็นทีม ทำคนเดียวไม่ได้หรอก จึงยากในการขโมยความคิด ผมได้เรียนรู้จากนาซามาก เวลาสอนอาจารย์จะโยนหนังสือมาให้เล่มหนึ่ง อ่านภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่เราอ่านเร็วอยู่แล้ว ที่นั่นใช้วิธีสอนเหมือนไม่สอน ซักถามและวิเคราะห์กันหนักๆ อย่างเช่น คุณเห็นใบไม้ที่โคนกิ่งไม้ ลองคำนวณว่ามีแรงกี่ปอนด์แต่ผมกลับถามตัวเองว่า ทำไมเราต้องไปถึงสุดขอบจักรวาล 450 ล้านปีแสง เรากำลังบ้าหรือเปล่า สุดท้ายเราทำอะไร ณ วินาทีนี้ ถ้าเราอยู่ขอบจักรวาล เราจะทำอะไร ผมว่า มันไร้สาระ
****+ความไร้สาระในความคิดของคุณคืออะไร ก็รู้สึกว่า สิ่งที่พวกเขาทำดูไร้สาระ รวมทั้งตัวเราด้วย น่าจะมีคำตอบที่ดีกับชีวิต ตอนนั้นผมอ่านพุทธศาสนาแล้ว ยิ่งมาเจอหนังสืออาจารย์พุทธทาส ก็รู้สึกว่า ใช่ เราไปถึงขอบจักรวาล สุดท้ายก็ย้อนกลับมาที่ใจตัวเอง แต่ไม่เคยศึกษาเลย ทั้งๆ ที่ผมไม่ใช่คนบ้างาน ผมทำทุกอย่างด้วยความสมดุล ไม่มีปัญหาครอบครัว มีแต่ปัญหาสุขภาพ กระดูกหลังแตก เป็นโรคกระดูกเสื่อม
****+อาการป่วยของคุณมีสาเหตุจากอะไร จะให้ผมตอบคำถามทางโลก หรือทางธรรม (หัวเราะอารมณ์ดี) ทางโลกคือ เป็นโรคชนิดหนึ่งทางกรรมพันธุ์ เกิดในชายอัตราส่วน 1 ต่อ 4 และหญิงอัตรา 1 ต่อ 7 แต่ในทางธรรมคือ กรรม หมอพบว่า ผมเป็นโรคกระดูกหัก หมอสรุปว่า เป็นโรคคนขยัน ใช้สมองเยอะไป แต่ผมเป็นคนขี้เล่นและร่าเริง (ขณะถ่ายภาพ เขากระโดดโลดเต้นกับลูกๆ )
****+ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการ คุณกำลังค้นหาอะไรหรือ ผมค่อนข้างจับฉ่ายแมน ชอบขับรถ เดินป่า ธรรมชาติ และศิลปะ ตอนอยู่นาซาผมเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ จนไม่มีวิชาอะไรให้เรียนแล้ว ผมก็เลยเกิดคำถามว่า วิทยาศาสตร์เองก็มั่วเยอะ ใช้วิธีการอนุมานและตั้งสมมติฐานเยอะ ก็เลยถามตัวเองว่า ฉันกำลังทำอะไรอยู่ พอได้อ่านบทความของไอสไตน์ เขียนไว้ก่อนตายว่า ศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดคือ พุทธะ ผมก็งง! ตอนนั้นผมยังเป็นคริสเตียน ผมต้องขอบคุณท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านเขียนเชื่อมโยงพุทธกับคริสต์ได้ดีมาก สุดท้ายแล้วเป็นเรื่องเดียวกัน แต่วิธีการเข้าหามีหลายวิธี ไม่ต่างจากการขึ้นภูเขา พระพุทธเจ้าพูดอะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่งมงาย คนมาปฏิบัติธรรมทางพุทธ ถ้าขี้เกียจจะไม่ค่อยเห็นผล
****+หลังจากเรียนจบปริญญาเอก ทำไมคุณไม่ทำงานอยู่นาซาอีก นาซาก็ถามว่า จะอยู่ต่อไหม ถ้าอยู่ต่อก็เป็นหนึ่งในทีม ทำเรื่องเครื่องมือขุดแร่บนดวงจันทร์ ตอนนั้นผมมีแฟน ก็เลยสับสน ก่อนตัดสินใจมีทางเลือกให้หลายข้อคือ 1. อยู่นาซา 2. อยู่บริษัททำเครื่องบินโบอิงหรือบริษัททำเครื่องบินไอพ่นอีกแห่ง 3. เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย 4. กลับไทยหรือไ ป ยุโรป ผมก็ให้คะแนน แล้วถามว่า ชีวิตนี้ต้องการอะไร คำตอบคือ กินอร่อย ก็ต้องอยู่เมืองไทย, ชอบเที่ยว อยู่อเมริกาอากาศหนาว เที่ยวได้น้อย ถ้าชราแล้วอยู่อเมริกาจะเป็นประชากรชั้น 3 หรือชั้น 4 ลูกจะกลายเป็นฝรั่งและไม่รักเรา แล้วจะดูแลพ่อแม่ที่กำลังชราอย่างไร อีกข้อเงินเดือนในเมืองไทยน้อยมาก แต่ฝีมือระดับผม ไม่กลัวอยู่แล้ว
****+แม้กระทั่งการตัดสินใจก็คิดเป็นระบบ ? คุณสังเกตผมสิ ผมคุยกับคุณ ไม่ค่อยเปลี่ยนเรื่อง คิดเรื่องเดียว อารมณ์เดียว ผมคิดเป็นระบบ พอเรียนพุทธ ยิ่งคิดเป็นระบบมากขึ้น ผมเคยบวชเป็นพระธุดงค์อยู่ 13 วัน ผมขยันสุดๆ ผมคิดว่าถ้าคนคิดไม่เป็น จะคิดวนเวียน ย้ำคิด ย้ำทำ คิดไม่ตกเป็นเดือน แต่ผมตัดสินใจแล้ว ทำได้เลย ตัดอารมณ์ออกไป ไม่ต้องมานั่งทะเลาะกับใครว่า ทำไมเราเลือกแบบนี้ ไม่สับสน ผมปรึกษาหลายคนเหมือนทำวิจัยให้ตัวเอง ทำเป็นตารางการตัดสินใจ สรุปแล้วผมกลับเมืองไทย เพราะอยากดูแลพ่อแม่ แม้จะมีปัญหารายได้ แต่เปรียบเทียบแล้ว ตอนชราถ้าอยู่อเมริกา ก็จะกลายเป็นคนแก่เหงาๆ ลูกผมคงไปอยู่อีกรัฐ รอลูกมาเยี่ยมช่วงคริสต์มาสสุดท้ายเราก็จะแก่ลงอยู่บ้านพักคนชราให้พยาบาลฝรั่งดุและตบตี พ ยาบาลไทยอ่อนหวานกว่าเยอะ แต่ถ้าอยู่เมืองไทยก็จะเจอสภาพรถติด คนคิดอะไรก็ไม่รู้ ระบบสุขภาพแย่ แต่ผมก็คิดว่า พ่อและปู่มาจากเมืองจีน ก็ทำได้ เราก็ต้องทำได้ ด้วยฝีมือขนาดนี้ ไม่มีปัญหา
****+พอกลับมาเมืองไทย คุณมีปัญหาเรื่องการปรับตัวเข้ากับสังคมไทยไหม แค่ออกมาอยู่ในสังคมอเมริกัน ก็ต่างจากนาซาแล้ว คนนาซาจะคิดเป็นระบบ ถ้าอยู่อเมริกาต่อไป อย่างมากก็แค่กลางแถวหรือหางแถว ถ้ากลับเมืองไทยต้องเจอกับพวกเจ้าพ่อทำอะไรชั่วๆ ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ อย่างโครงการสมองไหลที่ดึงนักวิทยาศาสตร์เมืองนอกกลับมา บอกจะให้โน้น ให้นี่ ก็ไม่ใช่แบบนั้น บริษัทแห่งหนึ่งติดต่อผมตั้งแต่อยู่อเมริกา พอมาสัมภาษณ์ ก็รู้ทันทีว่า เขาไม่รับผม พราะคุณใหญ่มาจากที่อื่นมาทำงานกับเขา อาจถูกหมั่นไส้ ผมก็คิดว่าเป็นอาจารย์จุฬาฯ น่าจะดีกว่า ตอนนั้นเป็นทั้งอาจารย์ ที่ปรึกษาการบริหาร และวิทยากรอิสระ
****+ชีวิตการสอนในมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไรบ้าง ผมจะสอนหนังสือไม่เหมือนใคร เคยมีคนว่า ผมเพี้ยน ผมพาเด็กวิศวะไปเรียนริมสระว่ายน้ำ ดูนิสิตสาวๆ ว่ายน้ำและเรียนไปด้วย ไม่เห็นเป็นไร ผมออกนอกกรอบตลอด เคยถูกผู้บริหารเรียกไปดุ ผมออกข้อสอบสนุกมาก เด็กวิศวะได้ศูนย์ทั้งห้อง ตัวอย่างข้อสอบผม "จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย"เด็กใบ้ทั้งห้อง ส่วนใหญ่คิดข้อสอบแบบตื้นๆ ตรงไปตรงมา ยกตัวอย่าง ปั้นจั่นมีกี่ชนิด แต่ผมอยากให้เป็นข้อสอบแสดงความคิด
เพราะชีวิตคนเราจะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ ถ้าผิดอาจารย์จะปรับให้ แต่เด็กไทยทำไม่ได้ เด็กก็โวยวายว่า อาจารย์วรภัทร์ไม่ค่อยสอน แล้วมาออกข้อสอบประหลาดๆ ผมก็บอกเด็กว่า พวกคุณติดสันดานเด็กกวดวิชา รอคนคาบของทุกอย่างมาป้อนให้ คุณเคยทำตัวเป็นครูกวดวิชามอบความรู้ให้คนอื่นไหม ถ้าคุณรอและตั้งรับ คุณก็เป็นพวกอีแร้ง แต่คุณแย่กว่า คุณเป็นแค่ลูกอีแร้ง คือ รออาหารที่ป้อนให้ แล้วคุณจะไปสู้มหาอำนาจได้ยังไง เด็กๆ ตามไม่ทัน จนผมขึ้นไปสอนระดับปริญญาโท ก็ใช้วิธีการสอนแบบนี้ สุดยอดการสอนคือ ไม่ต้องสอนมาก เดี๋ยวนี้ลูกศิษย์ผม ก็ยังติดต่อกัน เมื่อก่อนมาเต็มบ้าน (ศรีภรรยาบอกว่า บางครั้งเด็กๆ มานั่งปรึกษาปัญหาหัวใจ เหมือนเป็นศิราณี ) ไม่ต้องเรียนที่มหาวิทยาลัยก็ได้ มานั่งคุยกันก็ได้ เวลาผมไปเป็นที่ปรึกษาบริษัทไหน ก็เอานักศึกษาหิ้วกระเป๋าตามอาจารย์ จะได้เรียนรู้ไปด้วย ถ้าไม่ทำงานข้างนอกบ้าง อาจารย์จะโง่ อ่านตำราแล้วไปสอนเด็กอย่างเดียวไม่ได้ ในเมืองนอกถ้าอาจารย์คนไหน ไม่ทำงานข้างนอกแสดงว่า คุณห่วย
****+แล้วทำไมต้องลาออกจากการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ผมคิดต่าง จำได้ว่าอาจารย์เกษียณในวงการศึกษาคนหนึ่งมากระซิบผมว่า วรภัทร์...ถ้าเธอยังปากจัด เธอจะทำงานสำเร็จลำบาก ศัตรูจะมากกว่ามิตร ผมรู้ตัวว่า ปากจัด เป็นแบบฝรั่ง ซัดกันในที่ประชุมเลย แต่คนไทยประชุมกัน 3-4 ชั่วโมง ออกความคิดกันให้วุ่นวาย แต่ไม่ได้อะไรเลย
อาจารย์ในมหาวิทยาลัยบางคน ก็ทำวิจัยในสิ่งที่สังคมไม่ต้องการ ไม่ได้ถามสังคมว่า ตอนนี้สังคมอยากรู้เรื่องอะไร แต่ไม่ใช่ว่าอาจารย์เป็นอย่างนี้ทุกคน ผมรู้ตัวว่า เป็นอาจารย์คงไม่รุ่ง ผมโดนว่า เอาเวลาราชการไปหากิน ทั้งๆ ที่เราอยากนำกรณีศึกษากลับมาให้เด็ก และข้าราชการเงินเดือนน้อย สุดท้ายเราไม่อาจสร้างสมดุลชีวิตตรงนี้ได้ ก็เลยลาออก
****+ตอนป่วยนอนโรงพยาบาลเป็นปีๆ คุณจัดการชีวิตอย่างไร 10 ปีที่แล้วผมหลังหัก กระดูกแตก นอนเตียงเกือบปี ผมเป็นแบบนี้บ่อยๆ ตอนนี้ก็เป็น เข้าโรงพยาบาลบ่อย ตอนนั้นผมใช้ห้องพิเศษในโรงพยาบาลทำงาน นิสิตปริญญาโทก็เอารายงานมาคุยกันตรงนั้น ผมให้คำปรึกษาบริษัทต่างๆ บนเตียงนอน ผมวางแผนการรักษากระดูกแตกให้ตัวเอง เพื่อให้ร่างกายขยับได้ ผมวางแผนไว้ว่าจะว่ายน้ำได้กี่เมตร ตั้งเป้าว่า จะต้องยืนครั้งแรกให้ได้ ถ้าพิการก็ไม่เป็นไร
****+ช่วงนั้นท้อแท้มั้ย ไม่มี อกหักสองสามครั้ง ก็ช่างมัน คิดแบบนี้ ถ้าวินาทีนี้ถึงผมจะนอนเตียง ขยับตัวไม่ได้เลย มือและปากยังเหลือ ผมจะแปลหนังสือภาษาอังกฤษให้ ตอนนั้นพยาบาลที่มาเฝ้าไข้ กำลังเรียนปริญญาโท ผมก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ ช่วยคิดหัวข้อให้ และตลกมากตอนนั้นหมอพาผมไปที่สถานที่คนพิการอยู่ นั่งรถเข็นเข้าไป ผมเห็นคนอื่นท้อแท้ หมดอาลัยตายอยาก มีวงดนตรีมาแสดงให้กำลังใจคนพิการ เราก็เป็นคนพิการนั่งอยู่ด้วย หลายคนท้อแท้แต่เราวางแผนชีวิตแล้ว อีก 3 เดือนจะยืนให้ดู ถ้ายืนไม่ได้ ถึงผมต้องเป็นคนพิการ ก็ต้องเป็นแชมป์พาราลิมปิก ผมทำได้ครับผมทะเลาะกับหมอ ผมถามหมอว่า เคยวางแผนการรักษาคนไข้ไหม แล้วบอกไปว่า หมอควรรักษาใจเขาด้วยนะ ผมซักถึงทางเลือกในการรักษามีกี่วิธี ยาชนิดไหนใช้แล้วประสบความสำเร็จมากกว่ากัน แล้วอีก 3 เดือนผมจะเป็นอย่างไร ถ้าพลาดมีทางเลือกอื่นไหม หมอก็บอกว่า คุณไม่ใช่หมอ ผมก็บอกไปว่า คุณกำลังจัดการชีวิตผม ผมมีสิทธิรู้ สุดท้ายผมค้นพบว่า โรคนี้รักษาไม่หาย ผมก็เลยลองมาปฏิบัติธรรม
****+หันมาใช้ธรรมะรักษาโรค แล้วผลเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้ยังไม่ปรากฏผล ลองใช้สมาธิรักษา ผมอ่านงานท่านอาจารย์พุทธ หลวงปู่มั่น อ่านแล้วก็นั่งคิด คนไทยนี่ขนาดเรียนพุทธศาสนา ก็ยังคิดไม่เป็นระบบ พอหลวงพ่อบอกว่าให้ดูลมหายใจ ก็ทำกันเล่นๆ ไม่จริงจัง แต่ผมจะทำทั้งวัน ทั้งคืน ว่างเป็นปฏิบัติทุกสถานที่ เวลาผมเดินตรวจโรงเรียน ก็ดูลมหายใจทำใจให้ว่าง ความคิดมาก็ทำจิตให้ว่าง เดี๋ยวนี้ผมจะวางอารมณ์ ไม่มีอคติ ผมฝึกจริงๆ แค่ 2 ปี ก็เป็นไปโดยอัตโนมัติ อารมณ์นิ่ง แต่มีบางครั้ง เราต้องแกล้งโมโหนิดหนึ่ง เพื่อให้ยุทธศาสตร์บางเรื่องประสบความสำเร็จ
****+ในช่วงบวชเป็นพระธุดงค์ คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง บวช 13 วันก็ได้เรื่องได้ราว เพราะก่อนหน้านี้ก็ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ตอนนั้นบวชกับหลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย พิจิตร ผมเลือกสายปฏิบัติหลวงปู่มั่น ได้เรียนรู้การนอนน้อย ฉันมื้อเดียว พุทโธทั้งวัน ทั้งคืน จนสามารถควบคุมอารมณ์ได้ ทำให้ผมเข้าใจว่า พุทธะคือความว่าง ผมเรียนรู้ด้วยตัวเอง ตอนหลังไปเรียนเพิ่มเติม เดินในป่าช้าที่วัดธรรมอุทยาน ขอนแก่น ก็เอาเรื่องพวกนี้มาสอนคน
****+อุตส่าห์เรียนวิทยาศาสตร์จนถึงขั้นสุดยอด แต่กลับรู้สึกว่า พุทธศาสนาน่าจะให้คำตอบชีวิตมากกว่า ลองอธิบายความคิดตรงนี้ได้มั้ย ศาสนาพุทธเหมือนโลกกลม นักวิทยาศาสตร์เป็นพวกโลกแบน แล้วไม่ยอมเดินเรือออกไปที่ขอบจักรวาล เ มื่อผมอยากรู้จักพุทธ ก็ต้องศึกษาและปฏิบัติ แรกๆ ก็เชื่อเขาไปก่อน โยนความคิดทิ้งไปก่อน ถ้าพลาดก็ว่ากันใหม่ เวลาหลวงปู่หลวงพ่อสั่งให้ทำ ก็ทำเต็มที่ สุดท้ายพบว่า กายกับจิตคนละตัวกัน อย่าไปหลงกาย กายคือรถผจญภัย ผมก็ทำงานเต็มที่สร้างสมดุลทางโลกกับทางธรรม ถ้ารักษาจิตให้ว่าง ถ้าทำจิตให้เป็นศูนย์หรือว่างก็คือ นิพพาน
****+แล้วคุณนำเรื่องธรรมะมาใช้กับงานอย่างไร ปรากฏว่า สิ่งที่อาจารย์พุทธทาสสอน สุดยอดคือ บวชกับงาน หากเวลาทำงานเกิดเบื่อ ก็ให้รู้เท่าทัน แล้วทำงานต่อ ผมสอนเรื่องการเดินจิต ปฏิบัติธรรมด้วย พอสอนเสร็จก็พาไปเดินในป่าช้าที่ขอนแก่น เรื่องศาสนาผมให้เวลาเต็มที่ บางทีก็สอนปฏิบัติที่บ้าน ถ้ามีเวลาว่าง ก็จะพาไปวัด ก่อนอื่นต้องสอนตัวเองและคนรอบข้างให้ได้ก่อน ผมคิดว่า คนไทยฝึกเรื่องใจน้อยไป ตามใจลูกมากไป เด็กไม่เคยถูกสอนให้ควบคุมใจ กลายเป็นว่า ทุกคนอยู่อำเภอที่ไม่น่าอยู่คือ อำเภอใจ ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง และแยกไม่ออกว่า ใจเป็นกุศลกับอกุศลต่างกันอย่างไร
****+อาชีพที่ปรึกษาต้องใช้ความสามารถหลายด้าน แล้วคุณให้คำปรึกษาด้านไหนเป็นกรณีพิเศษ ผมจับฉ่ายนะ ใครอยากได้เรื่องไหนบอก ผมทำได้ อย่างการวางระบบไอเอสโอ 9000 ก็มีทั้งคนรู้จริงและไม่รู้จริง แต่ตอนนี้ผมไม่ได้จับเรื่องไอเอสโอแล้ว ผมเปลี่ยนมาทำเรื่องอื่นๆ เคยให้คำปรึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน อย่างสถาบันมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ครัวการบินไทย ธนาคาร โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯบางคนถามผมว่า ในโลกนี้มีอาชีพนี้ด้วยหรือ อย่างการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ครูในโรงเรียนสอนไม่รู้เรื่อง เด็กก็เลยไปโรงเรียนกวดวิชา บริษัทก็เหมือนกัน คนข้างในคิดไม่ออก ก็ต้องให้มือที่สามมอง คล้ายๆ การกินนมวัว ไม่จำเป็นต้องเอาวัวมาเลี้ยงที่บ้าน เขาเรียกว่า ขายไอเดีย อย่างคนทำการตลาดอยู่ 5-10 ปี ไอเดียก็ตัน ที่สุดก็จ้างคนนอกช่วยคิด
****+คุณก็เหมือนคนขายความคิด ? ลองคิดดูนะ วิศวกรอยู่กับบริษัทมา 10 ปี ก็จะรู้เรื่องของบริษัทเท่านั้น ทำงานเยอะ ไม่มีเวลาค้นคว้า ไม่มีพรรคพวกมาก สมมติผมเก่งเรื่องปั้มน้ำ ก็จะมีบริษัทที่ทำเรื่องนี้หลายแห่ง วันหนึ่งก็มาจัดการเรื่องปั้มน้ำให้ ก็ย่อมเก่งกว่าคนที่อยู่ตรงนั้น การบริหารสมัยใหม่จะเป็นอย่างนี้ ในโลกอนาคตจะไม่จ้างคนถาวร เป็นลักษณะจ้างเป็นช่วงๆบางบริษัทเห็นผมเก่งด้านทรัพยากรบุคคล ก็เรียกไปช่วย บางบริษัทเห็นผมเก่งด้านการตลาดก็เรียกไป หรือเรื่องการวิเคราะห์ความเสียหายระบบสินค้า ใครปิ้งผมอารมณ์ไหนก็จ้างไป บางบริษัทก็ให้ไปสอนธรรมะ ก็มีทั้งเหมาปี เหมาวัน เป็นครั้งคราว ถ้าจะปรึกษาให้ได้ผล ผู้บริหารต้องเข้มแข็ง แนะนำอะไรแล้วไม่ทำ ก็ไม่มีผล เข้าทำนองให้ยาแล้วไม่กิน หรือไม่สามารถบริหารลูกน้องตัวเองได้
****+แล้วตอนให้คำปรึกษาในแวดวงการศึกษา คุณเจออุปสรรคอะไรบ้าง ตอนนั้น ดร.รุ่ง แก้วแดง ชวนผมมาช่วยวางแผนการศึกษา แต่ผมก็ต้องออกมา เพราะคนดื้อเยอะ ผลประโยชน์เยอะ จนที่สุดผมมองว่า การศึกษาไทยไปไม่รอด ผมเบื่อระบบ เข้าวัดปฏิบัติธรรมดีกว่า ผมช่วยเรื่องวางระบบการประเมินคุณภาพโรงเรียน จัดวิธีคิดให้ พอผมเข้าไปทำ ก็เลยรู้ว่า ระบบการศึกษาไม่ได้สอนให้เด็กเรียนรู้ คนประเทศนี้ยังติดยึดอัตตาตัวเองเวลาเสนออะไรไป ก็ไม่ทำ มีอะไรให้รื้อหลายอย่าง ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ สนุกๆ สุดยอดการสอบเข้ามหาวิทยาลัยคือ ไม่ต้องมีการสอบ แล้วเด็กหญิงไทยที่ทำแท้งกันเยอะแยะ ส่วนใหญ่เป็นเพราะมหาวิทยาลัยไทย ไม่รับคนมีสามี หรือคนมีลูกเข้าเรียน พอเด็กผู้หญิงพลาด อนาคตถูกทำลาย ต้องฆ่าเด็กด้วยการทำแท้ง ตอนผมสอนในอเมริกา ลูกศิษย์ผมมีลูก มีสามี ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มหาวิทยาลัยไทยจำกัดอายุผู้เรียน พวกสิทธิสตรีน่าจะลุยตรงนี้มากกว่า ที่ผมประท้วงหนักๆ ก็คือ การเรียนการสอนของไทย จะเป็นลักษณะครอบจักรวา ล ไม่สอนให้เรียนรู้จริง แต่ตอนนี้ดีขึ้น มีโรงเรียนอย่างวิถีพุทธ ฯลฯสุดท้ายผมก็ปรับตัวเอง ผมเป็นคนปากจัด พอศึกษาทางพุทธ ก็ช่วยได้มาก ผมพูดตรง ทำจริง ไม่เห็นแก่หน้าใคร คิดแบบฝรั่ง ใครใหญ่ที่ไหนมาไม่สำคัญ ผมคิดว่าผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องฉลาดกว่าเด็ก แต่ไม่ใช่ว่า สอนเด็กให้ไม่เคารพผู้ใหญ่นะ
****+ปัญหาแบบไหนแก้ยากที่สุด ปัญหาคือ ใจ การเลี้ยงลูกมีปัญหามาก ที่ผมไปทะเลาะกับเขาคือ หลักสูตรของไทยไม่เคยสอนเรื่องการเลี้ยงลูก หรือสอนการใช้ชีวิตง่ายๆ การใช้เงินก็ไม่สอน ไม่สอนให้ซัดกับกิเลส จริงๆ แล้วอย่าไปมองว่า การศึกษาต้องคุมครูอย่างเดียว สื่อมวลชนก็มีผลต่อเด็ก ลงข่าวการฆ่าตัวตายและภาพศพทุกวัน สื่อก็ไม่ได้เสนอข่าวเพื่อการเรียนรู้ การโฆษณาก็เน้นการใช้เงินมากจนเกินเหตุ 80% ของโทรศัพท์มือถือ โทรคุยเรื่องไร้สาระ อย่าไปโทษครูเลย การศึกษาไม่ใช่แค่ระบบโรงเรียนอย่างเดียวมนุษย์ก็เป็นอย่างนี้แหละ เราแก้ไขคนทั้งโลกไม่ได้ ผมว่ามาแก้ที่ตัวเองก่อน เพราะสังคมไทยเลี้ยงลูกไม่เป็น ลูกงอแงก็ตี หรือไม่ก็ตามใจลูก จริงๆ ไม่ได้ตามใจลูกหรอก เขาเรียกว่า ตามใจพ่อแม่ ผมว่ามักง่ายในการเลี้ยงลูก บางคนเลี้ยงหมาได้ดีกว่าลูกตัวเอง คนไทยเวลาเล่นพระเครื่อง ก็อ่านหนังสือพระ เล่นรถก็อ่านหนังสือรถ ชอบเครื่องเสียงก็ซื้อหนังสือมาอ่าน บางทีอ่านหนังสือมาทั่วโลก แต่พอมีลูกไม่อ่านหนังสือเลี้ยงลูก
****+ลองกะเทาะเปลือกปัญหาสังคมให้ฟังอีกสักนิดได้ไหมคะ เศรษฐกิจเมืองไทย เติบโตในกลุ่มเล็กๆ ที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ประชาชนใช้เงินไม่เป็น เป็นทาสของสินค้า ผมคิดว่าฝรั่งพยายามทำลายวัฒนธรรม แล้วใส่กิเลสลงมาเยอะๆ ญี่ปุ่นพัง เพราะกิเลสตรงนี้ ปีที่แล้วญี่ปุ่นไม่ได้เจริญขึ้น ตะวันตกมาถือหุ้นในไทยมากขึ้น เพื่อให้เราตกเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจ ผมขอเดาว่า วัฒนธรรมจะค่อยๆ หายไป ถ้าคนไทยยังเป็นอย่างนี้ ฝรั่งจะมาครองประเทศเราเข้าใจสังคมอเมริกันตามแบบที่เขาอยากให้เข้าใจ ฮอลลีวู้ดกับชีวิตจริงไม่เหมือนกัน ผมอยู่ในอเมริกา บ้านไม่ต้องมีรั้ว ผู้หญิงอเมริกันที่บอกว่า แย่ๆ บางคนท้องไม่มีพ่อ แต่ไม่ได้ทำแท้ง พวกเขาตกลงกันในโบสถ์ว่า จะเลี้ยงเด็กไม่มีพ่อคนนี้อย่างไร แต่สังคมเมืองไทยน่ากลัว รีดไถรังแกคนยาก คนจน และไม่เป็นพุทธะที่แท้จริง แต่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ก็มีดอกบัวผุดขึ้น มีพุทธสมบูรณ์แบบจำนวนไม่น้อย เวลาผมเขียนหนังสือ ก็เลยใช้ธรรมะสอดแทรกในหลักการบริหาร ผู้บริหารระดับดอกเตอร์โยธาคนหนึ่งเคยอ่านหนังสือผม แล้วไปบวชเลย หรือบางคนอ่านหนังสือผม แล้วบอกว่า ศาสนาพุทธเป็นอย่างนี้เอง ไม่ต้องบวชก็ได้ ถ้าฝรั่งได้เรียนรู้พุทธศาสนา พวกเขาคิดเป็นระบบและขยันกว่าคนไทย เขาก็จะเปลี่ยนเป็นพุทธมากขึ้น สุดท้ายศาสนาพุทธจะเจริญในประเทศอื่น ผมคิดว่า ตัวเองใช้ชีวิตคุ้มแล้ว ได้เจอพุทธะก็พอแล้ว ตอนนี้ก็สอนคนให้เข้าใจ ถ้ามาถึงจุดหนึ่ง ก็จะรู้ว่า ไม่มีศาสนา เป็นเรื่องของความว่าง



จากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ และ pdamobiz.com
ดูทีวีออนไลน์ย้อนหลัง ช่อง11 เวลา 22.00-23.00 น. ของวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2554  รายการ “ ฉีกกรอบกับคนรุ่นใหม่” เรื่อง “ ฉีกกรอบ CEO ยุค 3.0 ต้องไม่เห็นแก่ตัว”
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1442 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2554, 20:56:00 »

สวัสดีครับ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                         วันนี้พี่สิงห์นั่งเครื่องบินมานครศรีธรรมราช ก็ปฏิบัติธรรมไปด้วย คือพลิกฝ่ามือตั้ง ผลิกฝ่ามือนอน ก็คิดขึ้นมาในคำสอนของหลวงปู่ดูลย์  อตุโล  ที่ว่า  "คิดเท่าไร ๆ ก้ไม่รู้  ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้  แต่ต้องอาสัยความคิดนั่นแหละจึงจะรู้" หลักธรรมนี้เป็นความจริง จริง ๆ พี่สิงห์ประสพมาแล้วด้วยตัวเอง คือ อย่างที่บอกเวลาเราเจริญสติอยู่นั้น หรือไม่ได้นั่งเจริญสติหรือเดินจงกรม คนเราจะคิดวิตกกังวลไปในอดีต หรือไม่ก็ไปเสียดายสิ่งที่เคยได้รับต่าง ๆ นา ๆ จากอดีต ความคิดเรามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นหมื่นๆเรื่องในแต่ละวันไม่มีหยุดนิ่ง และเราก็เป็นทาษของความคิด หรือลงอยู่ในความคิด กระทำตามที่ความคิดมันสั่งการ เราจึงไม่เห็นอะไรเลยในกาย-ใจ ของเราเพราะเราไม่ได้หยุดคิด
                          ถ้าเรามาสร้างความรู้สึก ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายส่วนใดก็ได้ ทำให้มีสติ คือ "รู้ซื่อ ๆ" ตามแนวของหลวงพ่อเทียน อยู่กับปัจจุบัน นี้ละ จนเป็นสมาธิ จิตของเราจะหยุดคิด พอจิตมันหยุดคิด "ปัญญาญาณ" ก็จะเกิดขึ้น ถ้าเราคิดออกว่า อันไหนเป็นความคิดที่วิตกกังวลกับปัจจุบัน-อนาคต หรืออันไหนเป็นสิ่งที่จิตมันคิดมาจากจิตใต้สำนึกที่เคยประสพมา และความคิดที่เกิดจากการมีสติ สมาธิ ปัญญาญาณ จึงเกิดขึ้น จะเห็นได้ว่า เราคิดเท่าไรไปนอนาคต(กังวล) การคิดมาจากจิตใต้สำนึก เราจึงไม่รู้ คือไม่รู้ความคิด ปัญญาจึงไม่เกิด ต่อเมื่อเราหยุดคิด ด้วยการมีสติ เป็นสมาธิ "ปัญญาญาณ" จึงเกิด เมื่อเราทราบเราต้องให้มันคิด ๆๆๆๆๆ เราจะรู้มากขึ้น ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนี้ หลวงพ่อเทียนจึงให้คิด แต่จับให้ถูกเท่านั้นเอง หลวงพ่อเทียน-หลวงปู่ดุลย์ จึงพูดตรงกัน ครับ แต่ถ้าเรานั่งเจริญสติแล้วไปเพ่งไปบังคับไม่ให้มันคิดเมื่อปัญญาญาณมันเกิด เราก็จะหลงเข่าไปในความคิดโดยไม่รู้ตัว
                         ดังนั้นการเจริญสติที่แท้จริงแล้ว คือ ให้เข้าใจและจำให้ได้ "คิดเท่าไร ๆ ก็ไม่รู้  ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละจึงรู้" คือเป็น "พุทธ" เมื่อธรรมกานสมบูรณ์คือ จิตสงบอยู่กับปัจจุบัน ไม่มีการปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น นี่คือแนวทางการเจริยวิปัสสนา ที่แท้จริงครับ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพียงแต่ขณะนี้ผมพอสัมผัสมันได้ และค่อยๆเพิ่มความรู้ขึ้นเรื่อยๆ ต้องมีสักวันที่มันทำให้จิตเป็นปภัสสร ครับถ้าได้เจริญสติอย่างต่อเนื่อง ทั้งวัน
                           สวัสดี
                            
                        
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1443 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2554, 21:15:53 »

 สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
 ทั้งวันหรือคะ
 ตอนนี้แค่ครั้งละ๒ ชั่วโมงต่อเนื่องตามที่พี่สิงห์บอก บางวันก็ยังต้องดูนาฬิกาแล้ว ดูอีกเลยค่ะ
พี่เตรียมข้าวของจะไปอินเดียแล้วหรือยังค่ะ
อย่าลืมยาแก้ท้องเสียหรือเกลือแร่ซองๆไปด้วย
อรเคยไปอินเดียมา ๒ ครั้งค่ะ
แต่ไปทำงาน เลยไม่ได้ออกไปไหนมากนัก
และไม่มีโอากาสได้ไปแสวงบุญ แต่ได้ไปวัดพุทธที่เดลลี
เห็นวัดแล้วศาสนาพุทธที่นั่นแทบจะสูญ เลย หากเทียบกับศาสนาอื่นๆ
วัดที่อรไปมีพระอยู่องค์เดียวเป็นวัดเล็กๆเหมือนโบสถ์พราห์มบ้านเรา อยู่ข้างโบสถ์พราห์มที่ใหญ่โตมโหฬาร
พี่จะไปไหนต้องระวังเรื่องรถตุ๊กๆที่นั่นนะคะ ลูกเล่นมากมาย
พูดอย่างไปอย่างจะเอาเราไปร้านขายของอยู่ท่าเดียว
นั่งคันไหนคันนั้นเลยค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1444 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2554, 21:21:16 »

สวัสดีครับ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                          วันนี้เป็นมาสองวันแล้ว คือ ทำไม? เราไม่บวช แล้วบำเพ็ญความเพียรเจริญสติ เพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์  ทั้งที่พี่สิงห์ไม่ได้กังวลอะไร?แล้วทั้งสิ้น ตอนนี้มันคิดอย่างนี้จริงๆ และการบวชนั้นยังสามารถที่จะสอนคนจากในสิ่งที่เรารู้ได้มากมาย ช่วยคนให้พ้นทุกข์ได้จำนวนมาก ทำไมเราต้องเห็นแก่ตัวเรา คือยังอยู่อย่างนี้ คือไม่บวช ทั้งๆที่ใจของเรามันก็เป็นพระไปมาก ๆ แล้วเดี๋ยวนี้ คือชอบที่จะปฏิบัติธรรมให้มากๆ มีสติรู้ตัวมาก และชอบสอนให้คนพ้นทุกข์จากโรคภัยธรรมชาติ และทางแห่งการพ้นทุกข์คือ เจริญสติ
                         วันจันทร์เช้าที่ผ่านมา ผมได้ไปใส่บาตรยามเช้าเหมือนสมัยที่ผมเป็นเด็กผมใส่บาตรทุกวัน ได้พบกับญาติๆ ป้าสำราณ บอกว่า ตาอวย อายกมือตลอดเวลาตามที่อวยแนะนำมันทำให้อาไม่คิด ผมก็เลยแนะนำเพิ่มว่า "ทุกวันนี้คนเราทุกข์เพราะความคิด ถ้าไม่อยากทุกข์ก็ต้องหยุดคิด ด้วยการสร้างความรู้สึกตัวของเรานี่ละ เมื่อเมื่อคิดเราก็ไม่ทุกข์" อาบอว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ สามารถพบได้ตัวเอง ใสบาตรเสร็จผมก้ไปสอนญาติที่เคยอุ้มเรามาเบี้ยงเรามา เพื่อให้ทุกท่านได้พ้นทุกข์ อยู่กับปัจจุบัน ความสงบก็เกิดเพราะแต่ละท่านอายุเกิน70 ทั้งนั้น ไม่มีอะไรต้องวิตกกังวลมาก ควรจะหยุดคิดด้วยการสร้างความรู้สึกตัว เพราะแต่ละท่านไม่มีอะไรทำด้วย อยู่เพื่อรอความตายเท่านั้น พอมาทำความรู้สึกตัว ทุกท่านรู้ด้วยตัวเอง คือไม่ทุกขืเพราะไม่คิด โรคต่างๆที่รุมเร้าอยู้มันก็จะดีขึ้นๆ ด้วยปัญญาว่าต้องดูแลตัวเองอย่างไร ซึ่งเมื่อก่อนทำไม่ได้ เพราะยังยึดติดอยู่ แต่พอสร้างความรู้สึกตัวอยู่กับปัจจุบัน สามารถตัดความอยากได้ ว่าเราต้องดูแลอาหาร พักผ่อน  ออกกำลังกายเท่าที่จะทำได้ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ทุกท่านสามารถทำได้ อย่างพี่หวีเมื่อก่อนทำไม่ได้เลย คือ อ้วน เบาหวาน ความดัน ข้อเข่าเสื่อมมาก ผมก้ให้ลดอาหาร ด้วยปัญญา ช่วยตัวเองโดยการยกขาเวลานั่นเตียง ทำให้มากเพื่อสร้างความรู้สึกตัว และสร้างกล้ามเนื้อ เดี๋ยวนี้พี่หวีเดินได้ หุงข้าวได้ จิตผ่องใสขึ้น ผมเลยพลอดดีใจเพราะพี่หวีอยู่คนเดียว เมื่อก่อนทำไม่ได้เลย แต่พอสร้างความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่องแล้ว ปัญญามีโดยไม่รู้ตัว สามารถกระทำได้ในสิ่งที่ไม่เคยทำได้ ก็ทำให้ชีวิตดีขึ้น ร่างกายดีขึ้น ส่วนผมก็ปีติที่ญาติๆปฏิบัติได้ เพราะจะทำใก้พวกเขาพ้นทุกข์แบบง่ายๆ ครับ
                         ตัวอย่างเมื่อเย็นวันจันทร์ ผมพยายามทดลองใจผมว่ามันจะคิดอย่างไร ? ทดลองดื่นไวน์แดงไปนิดหน่อย ลองคิดว่ามันเป็นยา เพราะเราไม่ได้ดื่มมาก เพียงให้รู้ สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือ ทำไม มันไม่น่าดื่มเลย รสมันเปลี่ยนไป ทั้งๆที่เป็นไวน์ชั้นดี พี่สิงห์ถามตัวเอง เรารู้สึกเฉยๆ ไปแล้วหรือในรสชาดของไวน์ นี่ ดื่มก้เท่านั้น ไม่ดื่มก็เท่านั้น ไม่ได้ติดในรสชาดมันเหมือนเมื่อก่อนเลย ซ้ำร้ายรสมันออกเปรี้ยว ไม่น่าดื่มเลย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เคยดื่มกับคุณ John เวลารับประทานอาหารกลางวันกันเวลาเล่นกอล์ฟจบแล้ว
                          ราตรีสวัสดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1445 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2554, 21:30:17 »

วันนี้โชคดีได้เข้ากระทู้พร้อมพี่สิงห์ค่ะ
ถ้าจะบอกอย่างคนที่มีกิเลส และยังเห็นแก่ตัว ก็จะบอกว่า ไม่ว่าพี่อยู่เป็นฆราวาส หรือพระ
ก็สามารถให้ธรรมทานแก่คนเป็นจำนวนมากได้ทั้งนั้น
ชาวพม่า ผู้สอนธรรมที่สำคัญยังเป็นฆราวาสเลยนะคะ
แล้วได้สอนคนไปได้ทั้งโลกค่ะ
การบวชพระที่พี่สิงห์จะได้ จริงๆ คือมีเวลาในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น คนมาวุ่นนวายกับชีวิตพี่น้อยลงค่ะ
มุมที่คิดต่างๆนะคะ
คนจะบวชไปเห็นค้านนี้บาปหนาหรือเปล่าคะนี่
ขอพระคุ้มครองคะ
ราตรีสวัสดิ์ ค่ะ พี่สิงห์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1446 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2554, 08:09:58 »

สวัสดียามเช้าค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก และชาวเวบที่รักทุกท่านครับ
                        
                         ขอบคุณมากครับที่เสนอความคิดเห็นในอีกแง่มุมหนึ่งให้ทราบ

                         วิธีแก้ความเบื่อ คือ ต้องไม่ไปปรุงแต่งอารมณ์ที่มันคิด  ให้หยุดความคิด   ทำจิตให้มั่นกับสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่ตรงหน้า ไปทีละวินาที  นาที มั่นก็จะผ่านพ้นไปได้ และไม่เบื่อ ไม่เมื่อย ไม่เบื่อ  จิตมันจะกลับมาปีติ  ผ่องใสเป็นปกติ ในสิ่งที่เราสามารถผ่านมันมาได้ คือชนะใจตัวเองได้ ชนะความอยากได้ ที่ไม่คิดหรือกระทำตามที่จิตมันปราถนาให้กระทำ แต่อย่าดีใจ ขอให้มีสมาธิ จิตมันจะสงบ ครับ นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับพี่สิงห์ พี่สิงห์ใช้วิธีอย่างนี้ จึงเอาชนะจิตมันได้ ครับ                        
 
                          ตอนนี้การไปจาริกปฏิบัติธรรมที่อินเดียนั้น เตรียมทุกอย่างเกือบพร้อมแล้วครับ ยังรอเรื่องอากาศเท่านั้น และทำอย่างไรไม่ให้น้ำหนักเกิน 15 กิโลกรัมครับสำหรับสิ่งของที่นำไปอินเดีย ยาที่จำเป็นนั้น คุณหมอวิฑิต(น้องเขย) และน้องสาว ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้แล้ว ผมได้บอกกับแม่แล้วว่าจะไปอินเดีย ไปปฏิบัติธรรม ไประลึกถึงพระพุทธเจ้า ยังที่พระองค์ท่านประสูติ  ตรัสรู้  ปฐมโอวาท และปรินิพพาน ท่านก็รับทราบ บอกว่าไปเถอะไม่ต้องห่วงแม่  การไปครั้งนี้คงไม่ได้ไปเที่ยว หรือไปซื้ออะไรทั้งสิ้น ตั้งใจจะไปปฏิบัติธรรมเป็นหลักเพราะมีเวลา  ไม่มีเรื่องที่ต้องคิด  ไม่ต้องสนใจใครทั้งสิ้น(แม้แต่ ดร.กุศล) จะพยายามปฏิบัติธรรมให้มาก ๆ เท่านั้น นี่คือความตั้งใจของพี่สิงห์
                        
                         เมื่อคืนวันอาทิตย์ไปนอนบ้านพี่สาว นอนในห้องแอร์ที่ไม่คุ้นเคย ผลคือแพ้อากาศ หูอักเสบ ได้แต่คิดว่า นี่คือมารที่มาผจญ  จะไม่ให้เราไประลึกถึงพระพุทธเจ้า จึงทำให้เราต้องป่วย แต่เล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเช้ายังตื่นตีห้ามานั่งเจริญสติสร้างความรู้สึกตัว พอเป็นสมาธิก็ทบทวนอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวพี่สิงห์จนครบ หกโมงสิบนาทีก็ไปเดิน sky walker 25 นาที แล้วไปรำมวยจีน โยคะ เจ็ดโมงครึ่งรับประทานอาหารเช้า เป็นผักสดกับข้าวต้มกล้อง แถมด้วยฝรั่งสดและกล้วยเล็บมือนางสองลูก แต่ก่อนกินข้าวต้ม ได้รับประทานลูกเสาวรสสดไปสองผล เป็นการเสริมวิตามินซีและเรียกน้ำย่อย ทำให้รู้สึกดีขึ้นครับ
                        
                         เธอเป็นอย่างไรบ้าง ? การปฏิบัติธรรมนั้น ต้องทำให้เป็นห่วงลูกโซ่เป็นวงกลม เหมือนนาฬิกาที่เดินตลอดเวลา ทำจนหลับ ตื่นขึ้นมาก็มีสติต่อจะด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย หรือภาวนา ได้ทั้งนั้น ขอให้รู้ตัวในสิ่งที่กำลังกระทำ หรืออยู่ตรงหน้า ไม่ปล่อยให้จิตมันคิดฟุ้งซ่านไปตามยถากรรม  ทำได้ครับ อย่างพี่สิงห์เวลาที่เผลอมีน้อยมากแล้วครับ พยายามเตือนตัวเองตลอดเวลา จนมันชักเป็นนิสัย เป็นเรื่องปกติ ควบคู่กับการทำงาน ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันไปแล้ว ไม่สร้างความลำบากใจอะไรเลย เราสนใจแต่ตัวเราให้มีสติ  รู้สึกตัว ณ ปัจจุบัน คอยดูกาย-ดูใจของเรานี่ละ
                          
          "อย่าลืมถ้าหยุดคิด ความทุกข์จะไม่มี จะหยุดคิดได้ ต้องสร้างความรู้สึกตัว หรือมีสติตลอดเวลา ถ้าจะคิดต้องเป็นปัญญาญาณ เท่านั้น ซึ่งเราสามารถรู้ได้เอง แยกแยะได้เอง ด้วยตัวของเรา เป็นเรื่องจริง ครับ"
                          
                         สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1447 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2554, 08:24:23 »

สวัสดีตอนเช้าค่ะ พี่สิงห์
ต้องรีบมาสวัสดีก่อน
เพราะเดี๋ยวพี่สิงห์คงต้องออกไปทำงานแล้ว
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1448 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2554, 09:05:25 »

พี่สิงห์คะ
ได้อ่านข้อความของพี่สิงห์แล้ว
จะทำให้ต่อเนื่องคะแต่ระยะนี้ทำได้ดีสู้ระยะแรกไม่ได้ อาจจะตอนนี้ทุกข์น้อยลงมากแล้ว
ไม่ค่อยเจ็บแล้ว ความมั่นคงและความสม่ำเสมอในการปฏิบัติก็จะลดลง เลื่อนและลดเวลาไปเรื่อย
อย่างที่พี่สิงห์ว่า ก็คือมารผจญค่ะ
เรื่องการบวชนั้น คงทำให้การบรรลุธรรมได้ง่ายขึ้นค่ะ
แต่พี่สิงห์ก็ต้องหาทางออกกำลังกายอย่างอื่น จะรำมวยจีน หรือโยคะ ก็คงไม่เหมาะ คงต้องเปลี่ยนเป็นปัดกวาดแทน
อาหารการกินก็คงเลือกไม่ได้ ตามแต่ญาติโยมศรัทธาใส่บาตรมาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาหารอันอุดมสมบูรณ์
ด้วยหมู เห็ด เป็ด ไก่ ของหวาน ขนมนมเนย อันเป็นเลิศทั้งหลาย
จะเจาะจงเลือกฉันตามอาหารสุขภาพคงไม่ได้
และอีกไม่ได้หนึ่ง คือ บวชแล้วพี่จะออกมาเยี่ยมแม่ทุกอาทิตย์ก็คงไม่ได้
อ้างเหตุขัดข้องเป็นข้อคิดค่ะ
แต่หากพี่บวชก็จะอนุโมทนานะคะ เพียงแต่ให้มุมมองอีกมุมค่ะ
ขอแก้ไข เรืองท่านโกเอ็นก้า ไม่ทราบจะเรียกว่าท่านเป็น พม่าหรืออินเดียดี
เห็นว่าท่านได้รับการแต่งตั้งให้สอนธรรมจากท่านอุบาขิ่น และเกิดในพม่าก็น่าจะนับเป็นชาวพม่า
ตามรอยท่านโกเอ็นก้าก็ได้นะพี่สิงห์
ที่พี่ทำอยู่ในกระทู้นี่ ก็ได้สอนธรรมแก่คนมากมายแล้วค่ะ
เพียงแต่ต้องสร้างเครือข่ายให้มาก ชักชวนให้มาใฝ่ในธรรมมากๆ
พี่น้องใน webเราก็ใปปฏิบัติธรรมมากนะคะ เพียงแต่ไม่ได้มาเล่าเป็นครวามรู้ให้ฟัง
และการเป็นฆราวาส การสร้างเครือข่ายได้ทั้งสองทางคือเราไปหา และเขามาหาเรา อย่างทีท่านโกเอ็นก้าทำ
แต่การเป็นพระต้องรอให้เขามาหาเรา ไปหาเขาคงไม่เหมาะ
อีกแง่คิดนะคะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1449 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2554, 09:54:13 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                         วันนี้โชคดีที่ internet ที่บริษัท เขาติดตั้งให้ใหม่แล้ว ครับ
                         สำหรับเรื่องการปฏิบัติธรรม นั้น พี่สิงห์คงไม่โลภที่จะไขว่ค้าหาเครือข่ายหรอกครับ เพราะมันก็คือความอยากชนิดหนึ่งนั่นเอง ที่ใจมันอยาก พี่สิงห์คงสอนให้เฉพาะบุคคลที่ต้องการปฏิบัติธรรม เท่านั้น ใครทำใครได้ ไม่มีการบังคับเคี่ยวเข็ญ ต้องทำด้วยใจอยากจะทำ จริงๆ เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องมีทั้งเวลา ความเพียรพยายามอย่างยิ่ง ต้องมีศรัทธา และต้องมีปัญญา ค้นให้พบด้วยตัวเอง สอนกันไม่ได้ในสิ่งที่อยากให้รู้ ต้องรู้ด้วยตัวเองเท่านั้น ครับ จึงพุดได้ว่า ยากมันก็ยากอยู่  ง่ายมันก็ง่ายอยู่ ครับ
                         พี่สิงห์มีประชุม สิบโมงเช้าครับ
                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 56 57 [58] 59 60 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><