24 พฤศจิกายน 2567, 06:22:24
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 428 429 [430] 431 432 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3569510 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 30 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #10725 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2556, 20:58:31 »







สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                 วันนี้ตอนเย็น ได้เดินจงกรมออกกำลังกาย ฝึกชิกง โยคะ และซาวน่า ที่โรงแรม

                 ค่ำ ๆ หลานโทรศัพท์มาบอกว่า พี่ ๆ อา น้าที่ทำนาอยู่ที่วัดปากแรต ได้เตรียมต้อนรับ คือจะทำอาหารแบบชาวบ้าน ๆ ให้รับประทาน เช่น ต้มยำปลาช้อนปลาแม่ลาแท้ ๆ ปลาเกลือตัวเล็ก ๆ ฉู่ฉี่แห้ง จากปลาแม่ลา แกงบอน แกงมะละกอกุ้งฝอย และน้ำพริก  ส่วนของหวานนั้น ทางญาติ ๆ เขาจะทำขนมกง  ซึ่งหากินยาก  ที่คนโบราณเขาทำกันในเทศกาลทอดกฐิน  ครั้งนี้เป็นพิเศษ ญาติ ๆ จึงจะทำขนมกงให้รับประทานกัน

                 ผมเองได้ไปสั่งข้าวเม่าทอดเอาไว้เลี้ยงชาวบ้าน และขนมเปี๊ยะ เอาไว้แจกให้สำหรับผู้ที่ไปทอดกฐิน

                  การทอดกฐิน  ไม่ได้เป็นเจ้าภาพกันง่าย ๆ

                  ดังนั้น ผมขอเชิญชวนทุกท่านที่มีเวลาว่าง ไปท่องเที่ยวที่วัดปากแรต ไปเยี่ยมลำแม่ลา-การ้อง แหล่งปลาช้อนอร่อย ไปทอดกฐินกับผม ไปหาอาหารแบบชาวบ้าน ๆ รับประทานเป็นอาหารกลางวัน  และผมจะได้ให้ทุกท่านได้ใส่บาตรพระ-ทำบุญ กันครับ

                  นอกจากนี้ผมได้ขอให้คุณอดิสร   ช่วยพิมพ์หนังสือสวดมนต์เพิ่มอีกจำนวน ๓๐๐ เล่ม เพื่อเอาไปแจกสำหรับผู้ไปทอดกฐิน

                  สำหรับคนที่ชอบสะสมพระ  ผมก็ได้นำพระสมเด็จหลวงพ่อหิน  วัดพระนอน ไปแจกอีกด้วย

                  เรียนเชิญทุกท่านที่ว่าง ครับ

                  ขอบคุณมาก

                  ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #10726 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2556, 22:23:09 »

อาลัย “สมเด็จพระสังฆราช” สิ้นแล้ว เหตุติดเชื้อในกระแสพระโลหิต
24 ตุลาคม 2556 20:54 น.

 
       รพ.จุฬาฯ ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 9 “สมเด็จพระสังฆราช” สิ้นพระชนม์แล้ว ระบุติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ด้านพุทธศาสนิกชนร่วมถวายอาลัยผ่านสังคมออนไลน์ ขอพระองค์สู่พระนิพพาน


      วันนี้ (24 ต.ค.) โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ออกแถลงการณ์เรื่อง “พระอาการประชวรของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ขณะประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ฉบับที่ 9” โดยเนื้อหาแถลงการณ์ระบุว่า คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว เมื่อเวลา 19.30 น.สาเหตุเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
       
       
       
        อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จะออกแถลงการณ์เฟซบุ๊กแฟนเพจ “สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช” ได้โพสต์ คำอธิษฐานถวายพระพร
       
       “ขอถวายบุญกุศลทั้งปวงที่บำเพ็ญมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ณ วินาทีนี้แด่เจ้าพระคุณฯสมเด็จพระสังฆราช
       ขอรวมกุศลทั้งปวงเป็นแสงสว่างไสวใสบริสุทธิ์ถวายจิต แห่งพระองค์ท่านให้ยิ่งสว่างไสวผ่องแผ้วยิ่งๆ ขึ้นไป
       สิ่งใดทางกาย วาจา ใจที่อาจมีล่วงเกิน ทั้งรู้และไม่รู้ตัว ข้าพเจ้ากราบขอขมากรรมทั้งหมด ขอโมทนากุศลทุกสิ่งที่ทรงปฏิบัติมา และจะทรงบำเพ็ญต่อไป ไม่ว่าจะอยู่ในพระสังขารหรือใดๆ ขอพระรัตนตรัยโปรดชี้นำและเปิดทางสว่างให้ข้าพเจ้าขอปฏิบัติธรรม เดินจิตได้ถูกธรรม เพื่อให้สมเป็นผู้เดินตามรอยธรรมของพระผู้ประเสริฐและงดงามพระองค์นี้ด้วย เทอญ”

 
ข้อความเพิ่มเติมพร้อมพระประวัติ ได้ที่.....
http://www.manager.co.th/asp-bin/PrintNews.aspx?NewsID=9560000133322
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #10727 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2556, 05:42:07 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ
ความตายเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ
ความดีของบุคคลที่จากไปต่างหาก ที่จะทำให้ระลึกถึง
สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระญาณสังวร
ท่านปฏิบัติธรรม ท่านเห็นธรรม  รู้แจ้งในธรรม
ท่านจากไปด้วยดี  เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์

เราต่างหากที่ยังมีชีวิตอยู่ ควรที่จะอยู่อย่างไม่ประมาท
อยู่อย่างมีสติ  ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ที่พระพุทธองค์ทรงสอน

ขอบคุณ คุณเหยง มากที่แจ้งให้ทราบ

ได้เวลาออกกำลังกายเดินจงกรมตอนเช้าแล้วครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #10728 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2556, 08:33:52 »

ตอนบนของประเทศเช่นภาคเหนือ ภาคอีสาน มีอากาศหนาวเย็นและยังมีฝนตกในภาคเหนือ
มรสุมเริ่งขยับตัวลงภาตใต้ ส่งผลให้มีฝนในภาคใต้ทั้งสองฝั่งเพิ่มขึ้น ทะเลมีคลื่นสูง ลมแรง

พยากรณ์อากาศ ประจำวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2556
ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.  คลื่นกระแสลมตะวันตกได้เคลื่อนเข้ามาปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลางตอนบนทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกหลายพื้นที่ในระยะนี้ สำหรับบริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเล็กน้อยและอากาศเย็น โดยอุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศาเซลเซียส ส่วนภาคอื่นๆจะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป สำหรับภาคใต้ยังคงมีฝนหนาแน่นและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคใต้ตอนล่าง
อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น “ฟรานซิสโก” (FRANCISCO) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนแล้ว มีแนวโน้มเคลื่อนตัวเข้าใกล้ประเทศญี่ปุ่น ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวในช่วงวันที่ 25-26 ตุลาคม นี้ ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทางด้วย พายุนี้ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย
 
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ  อากาศเย็นในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัด ตาก อุตรดิตถ์ สุโขทัย กำแหงเพชร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์

อุณหภูมิต่ำสุด 21-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-31 องศาเซลเซียส
สำหรับบริเวณยอดดอย อากาศหนาว 8-13 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  อากาศเย็นในตอนเช้า โดยมีฝนบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 20-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-31 องศาเซลเซียส

สำหรับบริเวณยอดภู อากาศหนาว 10-13 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
 
ภาคกลาง  อากาศเย็นในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท และสุพรรณบุรี

อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส
สำหรับบริเวณเทือกเขา อากาศเย็น 17-21 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคตะวันออก  อากาศเย็นในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
สำหรับบริเวณเทือกเขา อากาศเย็น 17-21 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร
ส่วนบริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่
และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดพัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส

อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนบริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)  มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่
และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดตรัง และสตูล

อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส
ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร
ส่วนบริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร
 
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีเมฆบางส่วน โอกาสมีฝนตก ร้อยละ 30
อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
 
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #10729 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2556, 09:47:13 »



                    อาหารเพล  วันนี้


สวัสดีครับ คุณเหยง

                       ขอบคุณมาก

                       ที่นครศรีธรรมราช ท้องฟ้ามีเมฆมาก เมฆขาว ลอยต่ำ ไม่เห็นพระอาทิตย์ยามเช้า และฝนลงเม็ดเกือบทั้งคืน ถนนเเฉะ ลานออกกำลังกายโรงแรมเดินไม่ได้ เพราะลื่น จากน้ำฝน

                       โรงงานทำงานไม่ได้ มันเป็นช่วงฝนตกมากแล้ว เนื่องจากภาคเหนือหนาว กทม.เย็น ทางใต้จะมีฝนแรง ตามหลักธรรมชาติ

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #10730 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2556, 11:22:58 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                   เพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณอันประเสริฐ ที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ท่านได้ ละสังขาร หรือจะใช้คำว่า นิพพาน ก็แล้วแต่ เพราะมันไม่สำคัญ มันเป็นเพียง สมมติบัญญัติ ที่ให้เข้าใจกันได้เท่านั้น

                   สมเด็จพระญาณสังวร ยามท่านมีชีวิตอยู่ ท่านได้เขียนหนังสอนทางพุทธศาสนา เป็นอันมาก ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แบบง่าย ๆ เพื่อให้พุทธศาสนิกชน หรือผู้อื่นได้ศึกษาหลักของพุทธศาสนา ของสมณโคดม ที่แท้จริง เช่น พุทธศาสนาสอนอะไร ในเนื้อหาจะว่าด้วย อริยสัจ ๔ (ซึ่งผมได้เขียนไปแล้วเมื่อวานนี้) และการดำเนินชีวิตด้วย มรรคมีองค์ ๘

                   ดังนั้น วันนี้ผมจะเขียนเรื่อง มรรค มีองค์ ๘ เพื่อ ระลึกถึงพระคุณของ สมเด็จพระญาณสังวร  สมเด็จพระสังฆราช  สังฆปรินายก

                   เชิญติดตาม ครับ

                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #10731 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2556, 12:14:03 »

มรรค มีองค์ ๘

                      มรรค คือทางเดิน หรือทางดำเนินชีวิตของมนุษย์ อันเป็นทางสายกลางที่ ไม่เบียดเบียน หรือทำอันตรายให้กับสัตว์ มนุษย์ทั้งหลาย นั่นเอง  ผู้ใดปฏิบัติตามแนวทางนี้ จะประสบแด่ความสงบ สุข และนิพพาน ได้

                      ในปฐมเทศนาของพระพุทธองค์ ท่านสอนให้ปัญจวัคคีดำเนินชีวิตด้วยการไม่อยู่ด้วยกามคุณ หรือปฏิบัติแบบชาวบ้าน ซึ่งมันไม่เหมาะสมสำหรับสมณะ และไม่ให้ทรมานตนเองแบบสุดโต่ง เพราะไม่ใช่หนทางแห่งการนิพพาน

                       พระองค์สอนให้ ดำเนินชีวิต ด้วยทางสายกลาง ด้วย มรรค มีองค์ ๘ ประกอบด้วย

                       ๑. สัมมาทิฏฐิ  ความเห็นชอบ

                       ๒. สัมมาสังกัปโป ความดำหริชอบ

                       ๓. สัมมาวาจา การพูดจาชอบ

                       ๔. สัมมากัมมันโต  การประพฤติชอบ หรือการทำงานชอบ

                       ๕. สัมมาอาชีโว การมีอาชีพที่ชอบ หรือการหาเลี้ยงชีพชอบ

                       ๖. สัมมาวายาโม  ความพากเพียรชอบ

                       ๗. สัมมาสติ ความระลึกชอบ

                       ๘. สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ

               สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ เป็นจริงตามหลักอริยสัจจะ ๔ นี่คือทุกข์ คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ล้วนเป็นทุกข์ ปราถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ ก็เป็นทุกข์ และความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นทุกข์ ทุกข์ท่านให้กำหนดรู้  สมุทัย คือความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ประกอบด้วยตัณหา(ความทะยายอยาก) และควมยึดมั่นถือมั่น หรืออัตตาในตนเอง ท่านให้ละ  นิโรธ คือความรู้ในการดับทุกข์ คือดับที่สาเหตุ เมื่อสาเหตุคือตัณหา หรือความยึดมั่นถือมั่น หรืออัตตา ท่านให้ทำให้แจ้ง คือละในตัณาหา  ละในความยึดมั่นถือมั่น หรือละในอัตตาตนเอง ทำให้เกิดขึ้นให้ได้ นิโรคธามินีปฏิปทา คือความรู้ในทางดับทุกข์ หรือทางดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลางทำให้บังเกิดขึ้นจริง ในการดับทุกข์

               สัมมาสังกัปโป ความดำหริชอบ คือความดำหริในทางออกจากกาม เห็นว่า ถ้ายังยึดมั่นในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ย่อมนำทุกข์มาให้ จึงเห็นสมควรไม่ยินดีในตา หู จมูก ลิ้น สัมผัสทางกาย และสัมผัสทางใจ แต่ไม่ใช่เป็นคนตาบอด หูหนวก เป็นต้น นอกจากนี้ยังดำหริในการไม่มุ่งร้ายต่อสัตว์ และเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้ได้รับความเดือดร้อน และดำหริในการไม่เบียดเบียนแก่สัตว์ และเพื่อมนุษย์ ให้ได้รับความเดือดร้อน หรือ คือไม่ปล่อยใจให้อิจฉา  ริษยา  อยากได้อยากเอา ในสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา หรือไม่ประสงร้าย ทำร้าย นั่นเอง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #10732 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2556, 12:56:20 »


                     สัมมาวาจา การเจรจาชอบ หรือการพูดที่ชอบ หมายถึงการพูดของเรากับเพื่อมนุษย์และสัตว์ที่จะไม่ทำให้เรา หรือผู้อื่นเดือดร้อน นั่นเอง เพราะทุกวันเราต้องใช้ปากในการเจรจา  สื่อสารกับผู้อื่น  คำพูดที่ออกจากปากของเราย่อมมีความสำคัญยิ่งพร้อมที่จะนำสุขมาให้ และพร้อมที่จะนำทุกข์มาให้ ดังคำโบราณว่าไว้ "พูดดี เป็นศรีแก่มาก  พูดมาก ปากจะมีสี" มันเป็นความจริงเสมอ ดังนั้น ถ้าเราจะอยู่ในสังคม  ยังจะต้องทำงานกับคนอื่น ๆ อยู่ เราต้องระวังวาจาของเราจงหนัก  ด้วยการไม่พูดเท็จ  ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ แม้กระทั้งสัตว์เดรฉาร ก็ตาม เราต้องมีปิยะวาจา คือเมื่อพูดออกไปแล้ว ก่อประโยชน์  ระรื่นหู  ไม่ทำให้คนทะเราะกัน เป็นต้น

                      สัมมากัมมันโต  การทำงานชอบ หรือการะกระทำชอบ หรือการประพฤติชอบทางกาย นั่นเอง คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่พรากลูกเมียคนอื่น นั่นเอง เพราะสิ่งที่กล่าวมานั้น จะสร้างความเดือดร้อนหรือทุกข์ให้กับตนเอง เป็นการกระทำที่เป็นอกุศล ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง จงรักผู้อื่น เหมือนกับรักชีวิตของตนเอง เพราะคนอื่นรวมทั้งสัตว์ก็รักชีวิตตนเองเช่นกันกับเรารักตนเอง ปราถนาดีต่อตนเอง อยากได้สิ่งดี ๆ ต่อตนเอง

                      สัมมาอาชีโว คือการเลี้ยงชีวิตชอบ  ถ้าเป็นภิกษุต้องให้ชาวบ้านเลี้ยง ก็ต้องอยู่ในพระวินัย  ศึกษาธรรม และสอนชาวบ้านในธรรม  ถ้าเป็นคนทั่วไป  ต้องมีอาชีพที่สุจริต  หลีกเลี่ยงอาชีพที่เป็นไปในทางอกุศล  เช่น ไม่จับปลา  ไม่ฆ่าสัตว์ เลี้ยงชีพ หรือไม่ลักขโมย เป็นต้น  นอกจากนี้ในการมีอาชีพ  ต้องไม่เห็นแก่ตัวถ่ายเดียว  ต้องรู้จักพอ  ไม่ทุจริต  หรือรีดนาทาเล้นเอาจากคนอื่น  ไม่เหยียบคนอื่นในทางทำมาหากิน รู้จักคำว่าพอดี พองาน สมควร ในการดำเนินอาชีพ ไม่เล่นหุ้น เพราะหุ้นก็คือการพนันอย่างหนึ่งที่ควรละเสีย เพราะสุดท้ายก็มรคนเดือดร้อนเช่นกัน หุ้นทำให้คนโลภ ตกอยู่ในความคิดตนเอง  อยากได้อยากเอา  ยิ่งได้ง่ายก็ยิ่งอยากได้มาก ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

                   
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #10733 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2556, 13:06:34 »


                     สัมมาวายาโม ความพากเพียรชอบ คือการมีความอดทนอดกลั้นแห่งจิต ที่จะกระทำหรือไม่กระทำในสิ่งต่อไปนี้ คือเพียรพยายามประคองตั้งจิตไว้ในการที่จะสร้างกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เพียรพยายามประคองตั้งจิตไว้ในการที่จะไม่ทำให้อกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น เพียรพยายามประคองตั้งจิตไว้ในการที่จะละอกุศลที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ให้หมดไป และเพียรพยายามประคองตั้งจิตไว้ในการที่จะสร้างกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป การทำกุศลคือ การกระทำที่ก่อประโยชน์ ไม่ทำความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น รวมทั้งสัตว์เดรฉาร ด้วย ส่วนอกุศล  มีความหมายในทางตรงกันข้ามกับ กุศล คือเห็นแก่ประโยชน์ตนเองเป็นที่ตั้ง และสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น

                     สัมมาสติ ความระลึกชอบ คือการระลึกรู้ในกาย การเคลื่อนไหวอวัยยวะในกาย เมื่อยืนก็รู้ว่ายืน เมื่อนั่งก็รู้ว่านั่งอยู่ เมื่อเดินก็รู้ว่าเดินอยู่ เมื่อนอนก็รู้ว่านอนอยู่ เมื่อหายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า เมื่อหายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก หรือเมื่อนึกได้ว่าอวัยวะที่รู้สึกได้กำลังหยุด-เคลื่อนเป็นปัจจุบัน มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส (กิเลส คือสิ่งที่มาเกาะติดกับจิต แล้วทำให้จิตเศร้าหมอง) มีสติ-สัมปชัญญะ และถอนความพอใจ และความไม่พอใจออกจากจิตได้  มีความระลึกรู้ในเวทนา(ความสุข ความทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์)ที่เกิดขึ้น มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส  มีสติ-สัมปชัญญะ ถอนความพอใจ และความไม่พอใจ ออกจากจิตได้ เมื่อมีความสุขก็รู้ว่าสุข เมื่อมีความทุกข์ก็รู้ว่าประสบกับความทุกข์ ไม่หลงไปเป็นผู้สุข ผู้ทุกข์ เสียได้  มีความระลึกรู้ในจิต คือ เมื่อจิตเศร้าหมองก็รู้ว่าจิตเศร้าเหมอง เมื่อจิตมีความโลภ ก็รู้ว่าจิตมีความโลภ เมื่อจิตหลงอยู่ในความคิดก็รู้ว่าจิตกำลังคิด  มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส  มีสติ-สัมปชัญญะ ถอนความพอใจ และไม่พอใจออกจากจิตเสียได้  มีการระลึกรู้ในธรรม คือไม่ปล่อยให้ใจนึกคิดตามที่จิตปราถนา  คิดแต่ในทางธรรม เพราะธรรมนั้นไม่มีทุกข์เลยประกอบแต่ประโยชน์ เมื่อพิจารณาแล้ว มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส มีสติ-สัมปชัญญะ ถอนความพอใจและไม่พใจแห่งจิตออกเสียได้ คือให้รู้สึกตัวเป็นปัจจุบันเสมอ คอยตามจิตตนเองให้พบ ไม่ยินดี ยินร้ายใด ๆ นั่นเอง

                     สัมมาสมาธิ   ความตั้งใจมั่นชอบ คือการที่เราคั้งใจมั่นในการปฏิบัติธรรมภาวนาเจริญสติ จะใช้รูปแบบใดก็ได้แล้วแต่จริตที่เหมาะกับตน ภาวนาจนเป็นอารมณ์เดียวเกิดขึ้น จนสามารถละอกุศล ละนิวรณ์ทั้ง ๕ ได้ คือ ละกาม ละพยาบาท ละความพรุ่งพร่านเดือดดาลใจ ละความง่วงซึมเซา หดหู่ และละซึ่งความสงสัยทั้งปวง  มีสติ-สัมปชัญญะ เข้าปฐมญาณ มีวิตก วิจาร มีปีติ และสุขเกิดขึ้นจากการภาวนาเจริญสตินั้น และตั้งมั่นในการปฏิบัติต่อไปด้วยความวิริยะ จนวิตก วิจาร ระงับลงเข้าถึงทุติยญาณ มีใจที่สว่างสงบเกิดขึ้นภายใน เหมือนกับแสงสว่างแห่งจิตข้ามความสงสัยทั้งปวง หยุดปรุงแต่ง มีแต่ปีติ และสุขในจิตเกิดขึ้น มีสติ-สัมปชัญญะ มีอารมณ์เดียว และเมื่อภาวนาเจริญสติต่อไป ปีติและสุขที่เกิดขึ้นละงับลงได้ อยู่ด้วยอารมณ์อุเบกขา ปล่อยวางทุกสิ่ง ไม่มีการปรุงแต่ง มีสติ-สัมปชัญญะ เข้าสู่ตติยญาณ และเมื่อภาวนาต่อไปอีกสามารถละทุกข์ ละสุขได้ คือไม่ปรุงแต่งในทุกข์ ในสุขนั้น มีอารมณ์เป็นเอก มีสติ-สัมปชัญญะสมบูรณ์ เป็นสติที่เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ ปล่อยวางทุกสิ่งเป็นจิตว่างเปล่า หรือเอกคตา นั่นเอง นั่นละเข้าจตุตถญาณ ใครสามารถเข้าถึงได้แม้จะใช้เวลาอยู่ไม่มากก็ตามนั่นละ ความตั้งใจมั่นชอบ

                        ดังนั้น ผู้ภาวนาเจริญสติ ควรกระทำให้ต่อเนื่องนาน ๆ ให้ผ่านความทุข์ ผ่านความสุข เกิดความสว่างแห่งจิต เขาสบายโล่ง โปร่ง ผ่านปีติและสุข ไม่มีการปรุงแต่ง มีสติเป็นเอก ให้เกิดขึ้นให้ได้ นั่นละวิธีเข้าญาณทั้ง ๔ ละ

                        ขออนุโมทนา
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #10734 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2556, 15:20:59 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์อยู่สนามบินนครศรีธรรมราช
รอขึ้นเครื่อง Nok Air กลับ กทม. boarding 15:55 น.
เที่ยวนี้ผู้โดยสารเต็ม
ฝนไม่ตก  มีแสงแดดแรง

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #10735 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2556, 19:25:41 »

สวัสดียามค่ำครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์  อยู่กรุงเทพฯ เดินทางปลอดภัย
พรุ่งนี้เช้าอยู่บ้าน  คงได้ใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน
จากนั้นเดินทางไปโรงงาน PSTC ที่สระบุรี
บ่ายนำองค์กฐินเดินทางไปวัดปากแรต เพื่อตั้งองค์กฐินที่วัดให้ชาวบ้านได้ฉลองตามประเพณีที่เคยทำกันมา
เวลาหกโมงเย็นว่าจะนำสวดมนต์ทำวัตรเย็น และสอนการปฏิบัติธรรมให้กับชาวบ้าน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #10736 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2556, 05:59:39 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                       สองวันมานี้เพื่อระลึกถึงพระคุณของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๙ ของกรุงรัตนโกสินทร์ ผมได้เขียนธรรมะ เรื่องอริยสัจ ๔ และมรรค ๘ ให้ทุกท่านได้ทบทวนโดยสังเขป เพื่ออุทิสส่วนกุศล ให้สมเด็ยจพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ที่ละสังขารไป เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคมเวลา 19:30 น.

                       หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้างไม่มาก ก็น้อย

                       เช้านี้อยู่กับสติ  ตามจิตของเราให้ทันสำหรับผู้ที่ภาวนามาจนแยก สติ ความคิดได้แล้ว คือจิตมันจำรูปได้  ท่านเพียงแต่คอยตามจิตให้ทัน หรือรู้สึกตัวให้มาก ๆ ความสงบ  อุเบกขามันเกิดขึ้นเอง มันจะเร็วเท่ากับแมวจับหนู พอคิดปั๊ป ก็รู้ปุ๊ป เราก็จะไม่หลงอยู่ในความคิด และถ้ามีธรรมะอยู่ในจิต อุเบกขามันเกิดของมันเอง

                       ได้เวลาเดินจงกรมออกกำลังกายที่หน้าบ้านแล้วครับ

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #10737 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2556, 07:14:22 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

เช้านี้ได้ใส่บาตรที่หน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว มีสิ่งทีเกิดขึ้นคือ พี่ตุ๊  ภรรยาของพี่วสันต์ เพื่อนบ้าน ก็มาร่วมใส่บาตรด้วย เป็นสิ่งที่ดีงาม มาก

อริยสัจ ๔ มรรคมีองค์ ๘ พระพุทธองค์ท่านทรงย่อให้เหลือ
เป็นศีล  สมาธิ  และปัญญา

ศีล คือความปกติทางกาย วาจา เป็นกิเลสที่เกิดจากการกระทำทางกาย วาจา เป็นกิเลสอย่างอยาบ ที่เราสามารถประสบ และพบเห็นได้โดยทั่วไป สำหรับบุคคลที่ไม่มีศีล หรือละเมิดศีลเป็นต้น มนุษย์เราอย่างน้อยควรมีศีล ๕ อยู่ในจิต  ผู้ใดมีศีลงดงาม ผู้นั่นย่อมประสบแด่ความสงบ มีคนสรรเสริญ ประกอบไปด้วยประโยชน์ เป็นกุศลธรรม

สมาธิ คือความตั้งใจมั่นแห่งจิต ที่คิดไปในทางสร้างกุศล ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่อิจฉาริษยา อยากได้ของผู้อื่น เป็นกิเลสอย่างกลางที่จิตเต็มไปด้วยความอยากมีอยากเป็น ดังนั้นเราต้องประคองตั้งจิตไว้ในทางกุศล อยู่กับการรู้สึกตัวหรือมีสติ-สัมปชัญญะให้มากไว้ ไม่ปล่อยให้หลงอยู่ในความคิด

ปัญญา คือ ความรู้ พระพุทธองค์ท่านสอนให้มีสติ รู้ตัว คนที่มีสติ-สัมปชัญญะ จะใช้ปัญญาในการดำรงตน ประกอบไปด้วยประโยชน์ เป็นกุศล และไม่เบียดเบียนใครแม้สัตว์เดรฉาร  ไม่งมงาย  ไม่รอคอยความช่วยเหลือจากใคร  พึ่งตนเอง เชื่อว่ากรรมคือการกระทำ ใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับกรรมนั้นเสมอ

ปัญญา มีสองชนิด คือ ปัญญาที่เกิดจากการอ่าน การฟัง และการคิด แต่ต้องคิดแบบโยนิโสมนสิการ ประกอบด้วยเหตุ และผล ตามความเป็นจริง

สองคือวิปัสสนาปัญญา คือปัญญาที่จิตมันเห็นจริง จากภายใน เช่นอริยสัจ ๔ ความเป็นไตรลักษณ์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุปัจจัย เมื่อเหตุไม่มี ปัจจัยจึงไม่เกิด ตลอดจนเห็นความเป็นอนัตตา เกิดขึ้น เป็นกิเลสอย่างละเอียดที่จิตมันไม่ชอบคือ ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น นั่นเอง คืิอพ้นทุกข์ถาวร หรือ นิพพาน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #10738 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2556, 10:16:39 »

ฝนในภาคอื่นๆลดลง ยกเว้นภาคใต้ที่มีฝนตกชุกและหนาแน่น ด้วยอากาศเริ่มหนาวเย็นเพิ่มขึ้น
ช่วงนี้เป็นเทสกาลทอดกฐิน ทอดผ้าป่า หมอกจัดในช่วงเช้า
ขับรถโปรดระมัดระวัง และตรวจสภาพรถยนต์ก่อนขับขี่


พยากรณ์อากาศ ประจำวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม 2556
ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.  บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือภาคกลาง และภาคตะวันออก มีฝนลดลง และมีอากาศเย็นในตอนเช้า
สำหรับ หย่อมความกดอากาศต่ำยังคงปกคลุมภาคใต้ตอนล่าง และช่องแคบมะละกา ทำให้ภาคใต้มีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่งในระยะ 1-2 วันนี้
อนึ่ง พายุโซนร้อน “ฟรานซิสโก” (FRANCISCO) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก กำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ประเทศญี่ปุ่นในวันนี้ (26 ตุลาคม) ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทางด้วย โดยพายุนี้ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย
 
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ  อากาศเย็นในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก และกำแพงเพชร

อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-31 องศาเซลเซียส
สำหรับบริเวณยอดดอย อากาศหนาว 8-12 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  อากาศเย็นในตอนเช้า
อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส
สำหรับบริเวณยอดภู อากาศหนาว 10-14 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
 
ภาคกลาง  อากาศเย็นในตอนเช้า โดยมีฝนเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี และราชบุรี

อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
สำหรับบริเวณเทือกเขา อากาศเย็น 17-21 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคตะวันออก  อากาศเย็นในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด

อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
สำหรับบริเวณเทือกเขา อากาศเย็น 17-21 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งมีคลื่นสูง 1-2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัด
นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส

อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-31 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนบริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่
และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล

อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-32 องศาเซลเซียส
ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนบริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร
 
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีเมฆบางส่วน โอกาสมีฝนตก ร้อยละ 20
อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #10739 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2556, 12:37:45 »



อาหารเพล วันนี้เป็นชาบูผัก ที่สระบุรี ครับ


สวัสดีครับ คุณเหยง ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                    เดี๋ยวบ่ายสอง พี่สิงห์ จะออกเดินทางจากโรงงาน PSTC บ่ายสองโมง และไปแวะกราบหลวงพ่อทองคำ ที่วัดประดิษฐ์ แล้วเลยไปกราบหลวงพ่อหิน วัดพระนอน และไปถึงวัดปากแรต สี่โมงเย็น

                    หกโมงเย็น จะชักชวนชาวบ้าน สวดมนต์ทำวัตรเย็น ปฏิบัติธรรม เพื่อระลึกถึงพระคุณ และถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช  ที่ท่านละสังขารไปแล้ว ด้วย

                    คุณเหยง ดร.สุริยา ไปให้ถึงวัด อย่าให้เกิน 10:00 น. จะได้เวียนกฐินรอบโบสถ์ ใส่บาตรพระ ทำบุญ ด้วยกันครับ

                    สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #10740 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2556, 17:12:48 »

พี่สิงห์


นัดกับพี่ป๋องเมื่อเช้านี้ จะไปถึงก่อน 10.00 น.แน่นอนครับ
เอาฝรั่งไปร่วมทำบุญ หากเหลือจัดเป็นของฝาก



วันนี้ไปร่วมงานทอดกฐินวัดท่าพระเจริญพรต หรือวัดบ้านมะเกลือ วัดในบ้านมาครับ

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,5699.msg658209.html#msg658209


      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #10741 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2556, 18:29:30 »

ความเป็นมา "พระสังฆราช"ประเทศไทย และ ลำดับอาวุโสพระเถระ
วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12:09:19 น.

ในความหมายของคำว่า "สังฆราช" แปลว่า ราชาของสงฆ์ ราชาของหมู่คณะ หมายถึง พระมหาเถระผู้เป็นใหญ่สูงสุดในสังฆมณฑล มักเรียกกันสั้นๆ ว่า "สมเด็จพระสังฆราช" ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ตามที่มีหลักฐานปรากฏบนศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ว่า "สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก" เป็นตำแหน่งสมณศักดิ์สูงสุดฝ่ายพุทธจักรของคณะสงฆ์ไทย ทรงเป็นประธานการปกครองคณะสงฆ์ ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชนั้นนำแบบอย่างมาจากลัทธิลังกาวงศ์

ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้เพิ่มตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เป็น "สกลมหาสังฆปริณายก" มีอำนาจว่ากล่าวออกไปถึงหัวเมือง มีพระสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายคามวาสี เป็นสังฆราชขวา และสมเด็จพระวันรัต เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญวาสี เป็นสังฆราชซ้าย องค์ใดมีพรรษายุกาลมากกว่าก็ได้เป็นพระสังฆราช

ต่อมาปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา พระอริยมุนี ได้ไปสืบอายุพระพุทธศาสนาที่ลังกาทวีป จนมีความชอบ เมื่อกลับมาได้รับสมณศักดิ์สูงขึ้นตามลำดับจนเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระเจ้าเอกทัศน์มีพระราชดำริให้คงราชทินนามนี้ไว้ จึงทรงตั้งราชทินนามสมเด็จพระสังฆราชเป็น "สมเด็จพระอริยวงศาสังฆราชาธิบดี" และมาเป็น "สมเด็จพระอริยวงษญาณ" ในสมัยกรุงธนบุรี และใช้ต่อมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเปลี่ยนเป็น "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ" ใช้พระนามนี้จนถึงปัจจุบัน

เมื่อย้อนกลับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 9 รัชกาลปัจจุบัน มีพระมหาเถระได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช แล้ว 19 พระองค์ ประกอบด้วย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า 3 พระองค์, สมเด็จพระสังฆราชเจ้า 2 พระองค์ และสมเด็จพระสังฆราช 14 พระองค์ โดยจะมีพระนามสองอย่าง หากเป็นเจ้านายเชื้อพระวงศ์จะมีคำนำหน้าพระนามว่า "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า" หรือ "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า" หากเป็นสามัญชนมีคำนำหน้าว่า "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ" ดังรายละเอียดดังนี้

1.สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) วัดระฆังโฆสิตาราม ปี 2325-2337 ดำรงสมณศักดิ์ 12 ปี

2.สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ฯ ปี 2337-2359 ดำรงสมณศักดิ์ 23 ปี

3.สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ฯ ปี 2359-2362 ดำรงสมณศักดิ์ 3 ปีเศษ

4.สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ฯ ปี 2363-2365 ดำรงสมณศักดิ์ 1 ปีเศษ

5.สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ฯ ปี 2365-2385 ดำรงสมณศักดิ์ 19 ปีเศษ

6.สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (นาค) วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) ปี 2386-2392 ดำรงสมณศักดิ์ 5 ปีเศษ

7.สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (พระองค์เจ้าวาสุกรี สุวณฺณรํสี) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ปี 2394-2396 ดำรงสมณศักดิ์ 1 ปีเศษ

8.สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺคโต) วัดบวรนิเวศวิหาร ปี 2434-2435 ดำรงสมณศักดิ์ 11 เดือนเศษ

9.สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ปี 2436-2442 ดำรงสมณศักดิ์ 6 ปีเศษ

10.สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ มนุสฺสนาโค) วัดบวรนิเวศวิหาร ปี 2453-2464 ดำรงสมณศักดิ์ 10 ปีเศษ

11.สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (หม่อมเจ้าภุชงค์ ชมพูนุท สิริวฑฺฒโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ปี 2464-2480 ดำรงสมณศักดิ์ 16 ปีเศษ

12.สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) วัดสุทัศนเทพวราราม ปี 2481-2487 ดำรงสมณศักดิ์ 6 ปีเศษ

13.สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร ปี 2488-2501 ดำรงสมณศักดิ์ 13 ปีเศษ

14.สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ) วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ปี 2503-2505 ดำรงสมณศักดิ์ 2 ปีเศษ

15.สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย) วัดสระเกศฯ ปี 2506-2508 ดำรงสมณศักดิ์ 2 ปีเศษ

16.สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี) วัดมกุฏกษัตริยาราม ปี 2508-2514 ดำรงสมณศักดิ์ 6 ปีเศษ

17.สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ปี 2515-2516 ดำรงสมณศักดิ์ 1 ปีเศษ

18.สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ปี 2517-2531 ดำรงสมณศักดิ์ 14 ปีเศษ และ

19.สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร ปี 2532-2556 นอกจากทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช ที่มีพระชนมายุยาวนานที่สุด และดำรงสมณศักดิ์ยาวนานในประวัติศาสตร์แล้วนั้น

เมื่อครั้งสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) สิ้นพระชนม์ เมื่อปี 2531 ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในราชทินนามเดิม "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก"

โดยราชทินนามดังกล่าวนับเป็นราชทินนามพิเศษ เนื่องจากสมเด็จพระสังฆราชที่มิได้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ตามปกติจะใช้ราชทินนามว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ

ดังนั้น นับเป็นอีกหนึ่งครั้งที่มีการใช้ราชทินนาม สมเด็จพระญาณสังวร สำหรับสมเด็จพระสังฆราช เพื่อเป็นพระเกียรติคุณทางวิปัสสนาธุระของพระองค์ และเป็นสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกของประเทศไทย


ลำดับอาวุโสพระเถระ

พระพรหมเมธี กรรมการและโฆษกมหาเถรสมาคม (มส.) กล่าวถึงการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ว่า "การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ เป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง จนกว่าจะเสร็จสิ้นพิธีพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก อย่างไรก็ตาม ตามราชประเพณี เมื่อตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม เสนอนามสมเด็จพระราชาคณะ ผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช และในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่น ผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช"

ปัจจุบัน ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะ มี 7 รูป แบ่งเป็นฝ่ายมหานิกาย 3 รูป คือ
1.สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ อายุ 88 ปี ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ เมื่อปี 2538
2.สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุทัศน์เทพวราราม อายุ 83 ปี ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะเมื่อปี 2553 และ
3.สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดพิชยญาติการาม อายุ 72 ปี ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ เมื่อปี 2554

ฝ่ายธรรมยุต 4 รูป คือ
1.สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดสัมพันธ์วงศ์ อายุ 95 ปี ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ เมื่อปี 2544
2.สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธฯ อายุ 86 ปี ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ เมื่อปี 2552
3.สมเด็จพระวันรัต วัดบวรฯ อายุ 77 ปี ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ เมื่อปี 2552 กับ
สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดเทพศิรินทราวาส อายุ 66 ปี ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ เมื่อปี 2553

เพราะฉะนั้นสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ คือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ จากฝ่ายมหานิกาย ปัจจุบันทำหน้าที่ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะตั้งแต่ปี 2538

นอกจากนั้น การที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สิ้นพระชนม์ ทำให้ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะว่างลงอีก 1 ตำแหน่ง ก่อนหน้านี้ก็ว่างลง 1 ตำแหน่งหลังการมรณภาพของสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ เท่ากับว่าขณะนี้ ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะว่างลงถึง 2 ตำแหน่ง โดยเป็นของฝ่ายมหานิกาย 1 ตำแหน่ง ส่วนอีก 1 ตำแหน่ง หากมีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชจากฝ่ายมหานิกาย จะทำให้ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะของฝ่ายมหานิกายว่างลงอีก 1 ตำแหน่งด้วย เช่นเดียวกัน หากมีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชจากฝ่ายธรรมยุต ก็จะทำให้ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะของฝ่ายธรรมยุตว่างลงอีก 1 ตำแหน่ง



(ที่มา:มติชนรายวัน 26 ต.ค.2556)

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1382763897&grpid=01&catid=&subcatid=
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #10742 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2556, 06:17:57 »

พี่สิงห์


สวัสดีในตอนเช้าครับ
กำลังเตรียมตัว โดยแม่บ้านและลูกสาวจะร่วมเดินทางไปทอดผ้ากฐินด้วยครับ
พี่ติ๋วบอกว่า อจ.เผ่าจะออกรถช่วง 6 โมงเช้าไปรับปากทางหน้าบ้าน




ภาพเมื่อวานนี้ ที่ร่วมทอดกฐินวัดท่าพระเจริญพรต หรือ วัดบ้านมะเกลือ วัดในบ้านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #10743 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2556, 08:28:38 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

ขออนุโมทนา ด้วยครับ
ยินดีมากที่พาครอบครัว มาทอดกฐินด้วยกัน
เมื่อคืน น้องค้างที่วัด ได้สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น
สอนธรรมะ และปฏิบัติธรรม
อาหารการกินชาวบ้านเตรียมเอาไว้มาก

ขอให้เดินทางปลอดภัย

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #10744 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2556, 08:32:08 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

วันนี้ผมตั้งใจให้พวกเราได้ใส่บาตรพระ ทำบุญ
และมีส่วนร่วมในการทอดกฐินด้วยกัน
ทุกท่านที่ไม่ได้มา ขอให้ตั้งในอนุโมทนาที่บ้านเป็นใช้ได้ครับ
ได้บุญเหมือนกัน ขอเพียงมีจิตระลึกถึงกันเป็นใช้ได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #10745 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2556, 18:17:52 »

กลับถึงบ้านเมื่อเวลา 16.20 น.ครับ

แยกออกจากวัดปากแรด เมื่อ 12.10 น. หลังรับประทานอาหารเที่ยง

ผมเดินทางไปวัดพิกุลทอง ต่อ

ส่วนคณะของ อจ.เผ่า อจ.พินิจ-พี่ติ๋ว พี่หมอโอภาส-พี่งามตา พี่กุศล คุณโด่ง คุณมิ้ง 17 ไปจังหวัดสระบุรี

โดยนัดว่าจะทานข้าวเย็นกับผู้ว่าฯ สระบุรี (ผวจ.เก่ง) ชาวหอ ก่อนเดินทางกลับหอครับ

ส่วนพี่ป๋อว แยกเดินทางกลับ ผมไม่ได้ถามว่าจะกลับอุทัย หรือเข้า กทม.

พี่สิงห์และครอบครัว ยังคงอยู่ที่วัดเพื่อดูแลความเรียบร้อยก่อนจะกลับไปที่บ้านข้างวัดพระนอน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #10746 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2556, 18:45:08 »



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์ มางานศพคุณแม่ของคุณจรัล  รุ่งเรืองสรการ ที่วัดบางนาใน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #10747 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2556, 20:42:27 »

วันนี้ได้ออกเดินทางไปร่วมทอดกฐิน ณ วัดปากแรด องอินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ตั้งแต่ 07.15 น.
ไปแวะทานข้าวเช้าที่ร้าน"น้องเปิ้ล" ตรงแยกทางเข้าอำเภออินทร์บุรี
แต่เห็นว่ายังเช้าอยู่ครับ เลยต่อไปวัดพระนอนจักรสีห์ ในเขตอำเภอเมืองสิงห์บุรีก่อนจะย้อนกลับไปวัดปากแรด




      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #10748 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2556, 20:42:52 »





      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #10749 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2556, 20:43:30 »

ช่วงขณะที่อยู่ในโบสถ์ พี่ติ๋วโทรไปสอบถามเส้นทางเข้าวัดปาดแรก เนื่องจากหาทางเข้าไมาเจอ

พ้นไปอีกประมาณสิบนาที อจ.พินิจ โทรสอบถาม โดยบอกว่า ขณะนี้วิ่งรถมาถึงตัวเมืองสิงห์บุรีแล้ว

จึงบอกว่าย้อนกลับไปทางเดิมน่าจะ 10 ก.ม.เศษ ตรงข้ามทางเข้าวัดพระนอน (พระนอนไม่มีสร้อยนามต่อใดๆ)

ซึ่งวัดพระนอนอยู่ห่างจาก รพ.อินทร์บุรี ประมาณ 1 ก.ม.
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 428 429 [430] 431 432 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><