M-Man เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดใน 3 M M-Man M-Money M-Management

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณเวบสนุกดอทคอมวันศุกร์ 16 ก.ค. 53 ที่สนับสนุนเนื้อหา
http://news.sanook.com/952323-%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%810-6%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%9A.html



จิตแพทย์ น.พ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เลขาธิการมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์  
กล่าวในการบรรยายเรื่อง

พัฒนาการเด็ก M-Man เป็นวาระของชาติ

ว่าปัญหาเด็กไทยในปัจจุบัน เกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อ-แม่ ตั้งแต่วัยแรกเกิดในทางที่ผิด
จึงควรดูแลอย่างใกล้ชิดและพัฒนา เป็นนโยบายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ขวบ

โดยมี 6 เรื่องสำคัญ ที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ หรือแก้ไขสำหรับเด็กในวัยดังกล่าว คือ

1.รณรงค์การอ่านหนังสือให้ลูกฟัง

2.เสริมไอโอดีนในเด็ก

3.ส่งเสริมให้ฟังดนตรี

4.พัฒนาการทางอารมณ์

5.ส่งเสริมความผิดปกติในเด็ก และ

6.พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศ

เพื่อลดปัญหาเด็กมีเซ็กส์ก่อนวัยอันควร ติดเกม ติดยา และใช้ความรุนแรง

หลังจากบรรยายเสร็จ น.พ.ประเสริฐ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า

จะพยายามผลักดันให้การพัฒนาการเด็กในวัยดังกล่าว เป็นวาระแห่งชาติ โดยเร็วต่อไป

 

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณเวบแคนนอต วันอาทิตย์ 18 กรกฏาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
 http://cannot.info/feed/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%20%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87

เลขาธิการมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ แนะพ่อแม่สร้าง "ตัวตน"ให้ลูก M-Man สกัดพฤติกรรมรุนแรง



นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เลขาธิการมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เลขาธิการมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ เปิดเผยถึงปัญหาของเด็กไทย
ในปัจจุบันเป็นผลมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ตั้งแต่วัยแรกเกิด ว่า

ปัจจุบันจะพบปัญหาที่มักปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ ประมาณ 4 เรื่องใหญ่ๆ คือ

มีเซ็กซ์ก่อนวัยอันควร

ติดเกม

ติดยาเสพติด และ

การใช้ความรุนแรง

เป็นความต้องการที่จะได้รับความสุขในเวลาอันรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้เวลานาน
ไม่ต้องรอความสุขจากความสำเร็จในการเรียน ที่ต้องใช้เวลามากกว่า 12 ปีหรือ
แม้แต่ความสุขที่ได้รับจากการอ่านหนังสือวรรณกรรมดีๆ สักเล่ม

ซึ่งปัญหาเด็กใช้ความรุนแรงหรือระบายความเครียดโดยใช้วิธีรุนแรงเป็นวิธีเสพความสุข
ของเด็กอีกทางรวมไปถึงการฆ่าตัวตายของเด็กที่มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นล้วนเป็นผลมาจาก

การที่เด็กขาด “self” หรือ “ตัวตน” อันเป็นผลมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ตั้งแต่วัยเด็ก

นพ.ประเสริฐ กล่าวว่าเด็กที่ได้รับดูแลอย่างใกล้ชิดตั้งแต่แรกเกิดจะสร้างสายสัมพันธ์กับพ่อแม่

จากนั้นเด็กจะสร้าง “ตัวตน”ของตัวเองที่ชัดเจน เด็กที่มี“ตัวตน”เมื่อโตขึ้นจะรักตนเอง
ไม่ใช้พฤติกรรมเสี่ยงรู้ว่าอนาคตของตนเองจะไปทางไหนต่างจากเด็กที่มีตัวตนไม่ชัด
มักจะใช้พฤติกรรมเสี่ยงและทำร้ายตัวเอง

การสร้าง“ตัวตน”ของเด็กสัมพันธ์กับการเลี้ยงดูของพ่อแม่ตั้งแต่วัยเด็กตั้งแต่ 0- 3ปีแรกดังนี้

0-12 เดือนแรก สร้างความไว้ใจ (Trust เด็กเกิดใหม่จะยังไม่รับรู้ว่าโลกนี้มีพ่อ แม่ อยู่จริง
เด็กจะใช้เวลา 6เดือนแรกเรียนรู้ว่าพ่อแม่นั้นมีอยู่จริง แม่จึงต้องหมั่นอุ้มลูกให้นมลูกด้วยตัวเอง

หลังจาก 6 เดือน เด็กจะสร้าง สายสัมพันธ์ หรือ (Attachment) กับพ่อแม่หนังสือเล่มแรก
ที่พ่อแม่อ่านให้ลูกฟังจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้สายสัมพันธ์แน่นหนาขึ้น พ่อแม่จึงควรอ่านหนังสือ
ให้ลูกฟังตั้งแต่แรกเกิดทุกวัน ต่อไปจนถึง 3 ขวบ 5 ขวบต่อไปเรื่อยๆ จนถึง 10 ขวบ
อันจะส่งผลต่อการสร้างความใกล้ชิด ความไว้ใจเป็นกลไกดึงให้คนในครอบครัวได้เข้ามาอยู่ด้วยกัน

"เด็กดี ไม่ใช่เพราะการสั่งสอนการออกคำสั่ง  แต่เป็นเพราะความใกล้ชิดพ่อแม่ มีสายสัมพันธ์
เหนียวแน่นแข็งแรง เมื่อเด็กมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่

ในช่วง 3 ขวบปีแรก เด็กจะสร้างตัวตนของตัวเอง ขึ้นมา มีความไว้ใจ มั่นใจ และเป็นอิสระรู้ว่า
มีพ่อแม่เป็นกองหลังคอยปกป้อง คอยสนับสนุนอย่างมั่นคง "นพ.ประเสริฐ กล่าว

และว่าปรากฏการณ์ ของเด็กที่นิยมกรีดข้อมือตนเองหลายครั้ง เป็นเพราะเด็กไม่มี self
เมื่อวันหนึ่งรู้สึกโดดเดี่ยวก็จะกรีดข้อมือเพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองมีตัวตน มีความรู้สึกเจ็บปวด

การเลี้ยงดูเด็กใน 3 ขวบปีแรก จึงเหมือนเป็นการตั้งโปรแกรมให้กับลูกพ่อแม่จึงต้องเลี้ยงดูลูก
ให้ดีที่สุดในช่วงนี้ไม่มีข้ออ้างใดๆที่จะบอกว่าไม่มีเวลาเลี้ยงลูก
 
ที่มา : www.thairath.co.th วันที่ 18 Jul 2010



XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

เป็นไปตามหนังสือ กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว จึงเป็นจริง ที่จะต้องสร้าง
สายใยสัมพันธ์กับลูกตั้งแต่แรกเกิด เป็นต้นไป จะรอให้โตก่อนค่อยมาสอนไม่ได้แล้ว

 

 

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณเวบเดลินิวส์ วันอาทิตย์ ที่ 18 กรกฎาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=78848

เยาวชน3จว.ชายแดนใต้ร่วมโครงการเสริมสร้างผู้นำ M-Man นักประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม



 นายนิคม  ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง

วันนี้ (18ก.ค.) ที่ห้องประชุม โรงแรม ซี เอส ปัตตานี นายนิคม เป็นประธานเปิดโครงการ
เสริมสร้างความพร้อมแก่ท้องถิ่น

หลักสูตร กระบวนการเสริมสร้างผู้นำนักประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม

เพื่อให้เยาวชนสามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปพัฒนาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต
ในพื้นที่และสังคมของตนเอง มี เยาวชนของจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งเป็นผู้แทน
ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ม.4 –ม.6 และอาชีวศึกษา ปวช. พร้อมด้วยการศึกษา
นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ในเขตพื้นที่การศึกษาร่วม จำนวน 120 คน
                
นายนิคม  กล่าวว่า การจัดอบรมดังกล่าว มุ่งหวังให้เยาวชนได้นำความรู้ในเนื้อหาสาระวิชาที่
เกี่ยวข้องไปใช้ในการดำเนินชีวิต และเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ด้านการเมือง
การปกครอง ตลอดจนปัญหาท้องถิ่น รวมถึงปัญหาระดับชาติ

นอกจากนี้ยังเป็นการเสริมสร้างทัศนคติและจิตสำนึกที่ดีต่อการปกครองในระบบประชาธิปไตย
และวุฒิสภา ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้เยาวชนมีส่วนร่วมทางการเมืองในภาคส่วนต่างๆ
เพื่อนำความรู้และประสบการณ์ไปพัฒนาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต
ในพื้นที่และสังคมของตนเองต่อไป

 

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณเวบเดลินิวส์ วันเสาร์ ที่ 17 กรกฎาคม 2553 ที่สนับสนุนเนื้อหาข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=561&contentID=78832



รายงานพิเศษ"เร่งรณรงค์แต่งตัวถูกระเบียบปลุกสำนึกปัญญาชน M-Man"

นุ่งสั้น เอวต่ำ รัดรูป ยังคงเป็นปัญหาของนิสิต นักศึกษาที่ยังคงมีให้เห็นกันอยู่ ซึ่งไม่ว่าเวลา
จะผ่านไปนานแค่ไหนปัญหานี้ก็ยังแก้ไขไม่หายขาด

ทั้งนี้อาจมีเหตุผลมาจากการแต่งตามเพื่อน ตามแฟชั่นหรือตามกระแส เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเชย
บางคนอยากให้ตนเองโดดเด่น เป็นที่สนใจจากเพศตรงข้าม  หรือบางคนอาจให้ความเห็นว่า
เพราะชุดนิสิต นักศึกษาที่ผิดระเบียบราคาถูกกว่า หาง่ายกว่าชุดที่ถูกต้องตามที่สถาบันกำหนด

ทั้งนี้ไม่ว่านิสิต นักศึกษาจะให้เหตุผลอย่างไรแต่การแต่งกายผิดระเบียบส่วนใหญ่มักมีรากฐาน
มาจากทัศนคติที่ว่า

“เป็นสิทธิส่วนบุคคลของฉันที่จะแต่งตัวอย่างไรก็ได้
ตราบใดที่ชุดเหล่านี้ยังคงอยู่บนเรือนร่างของฉันเอง”

แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นนิสิต นักศึกษา ย่อมถือได้ว่าเป็นปัญญาชน
ที่มีเกียรติ มีความรู้ และที่สำคัญต้องมีความรับผิดชอบทั้งต่อศักดิ์ศรีตนเอง และชื่อเสียง
สถาบันศึกษา ซึ่งในบางสถาบันนั้นใช้เวลาสั่งสมเกียรติยศเป็นเวลาหลายสิบปี

แต่กลับถูกทำลายด้วยการแต่งกายผิดระเบียบของนิสิต นักศึกษาตัวเอง ดังนั้นหลายสถาบัน
ในระดับอุดมศึกษาทั้งรัฐและเอกชนจึงหันมาเร่งรณรงค์การแต่งกายของนิสิต นักศึกษาให้
ถูกระเบียบ อาทิ

ม. ธรรมศาสตร์ มีการแจกใบเหลืองให้แก่นักศึกษาที่แต่งตัวผิดระเบียบ

ม.จุฬาลงกรณ์ มีโครงการ “อีกนิด” ในการรณรงค์การแต่งกายถูกระเบียบหรือโครงการ

“ม.กรุงเทพ รวมพลคนแต่งกายถูกระเบียบ”

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณเวบกรุงเทพธุรกิจ คอลัมภ์ การเมือง :
ทัศนะวิจารณ์ วันเสาร์ ที่ 17 กรกฎาคม 2553 โดย กาแฟดำ

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/suthichaiyoon/20100717/343538/%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%81%E0%B8%B6%E0%B9%8B%E0%B8%99-%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88.html



จีนกับอินเดียกำลัง ลุยสร้าง 'กึ๋น' คนรุ่นใหม่ M-Man

ประเทศไหนจะก้าวหน้าอย่างยั่งยืนได้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ
การอวดอ้างการเป็น "ศูนย์" นั่น "ศูนย์" นี่เท่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุด คือ

การศึกษาและการสร้างโรงเรียนประถม ตลอดไปถึงมหาวิทยาลัยให้ได้
มาตรฐานอย่างยิ่ง คือ หนทางแห่งความสำเร็จนั้นๆ

ประโยคนี้พูดโดย นายริชาร์ด เลวิน อธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยเยล อันโด่งดังของสหรัฐ
นายเลวิน บอกว่า

ประเทศที่กำลังมุ่งหน้า สร้างมหาวิทยาลัยที่มีมาตรฐานระดับโลก (world-class universities) นั้น
ไม่ได้อยู่ที่อเมริกาหรือยุโรป แต่ จีนกับอินเดียต่างหากที่กำลังทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น

 เราอาจจะมองข้ามจีนและอินเดีย ในเรื่องการศึกษา เพราะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับตัวเลขอัตราเติบโต
ทางเศรษฐกิจของสองยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์การเติบใหญ่ปีละ 7-12% ซึ่งทำให้เห็น
ว่าทั้งมะกันและยุโรปกำลังจะกลายเป็น

"โลกเก่า" ขณะที่สองประเทศยักษ์ใหญ่ใกล้บ้านเรานี้ กำลังจะกลายเป็น "โลกใหม่"

ที่มีความสำคัญยิ่งต่ออนาคตของมนุษย์โลก

 

[Samrotri2517]

นายกแนะคณะกรรมการเซ็นเซอร์ให้ชี้แจงสาเหตุทำไมจึงระงับโฆษณา
ขอขอบคุณเวบสนุกดอทคอม วันจันทร์ 19 ก.ค. 53 ที่สนับสนุนเนื้อหา
http://news.sanook.com/952865-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%81.%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%86%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B2.html



นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง ภาพยนตร์โฆษณา

"ขอโทษประเทศไทย"

ของกลุ่มพลังบวก ถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกอากาศ ว่า

ตัวเองยังไม่ทราบเหตุผลของการระงับการออกอากาศ แต่ส่วนตัวเข้าใจในเจตนาของผู้สร้าง
ว่าต้องการกระตุ้นความรับผิดชอบของ ทุกคน (M-Man) และไม่ได้รู้สึกว่าเนื้อหามีการเมืองมากเกินไป

ซึ่งทางคณะกรรมการเซ็นเซอร์ ที่มีตัวแทนจากทางสถานีโทรทัศน์ เข้าร่วมต้องออกมาชี้แจง
ถึงเหตุผลของการระงับการออกอากาศ

 

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

ขอโทษประเทศไทย

http://www.youtube.com/watch?v=TDd_3ZNRYnA

 

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณเวบสนุกดอทคอม วันอังคาร 20 ก.ค. 53 ที่สนับสนุนเนื้อหา
http://news.sanook.com/952984-%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%86%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2.html



แจงสาเหตุแบนโฆษณา“ขอโทษประเทศไทย“

ประธานเครือข่ายพลังบวก แจงสาเหตุทำโฆษณา "ขอโทษประเทศไทย" เพื่อให้คนไทยได้ฉุกคิด
และ หาทางออกร่วมกัน ไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น

ขณะที่กรรมการตรวจสอบฯพิจารณาไปตามหลักเกณฑ์โดยห่วงเรื่องความสามัคคีที่อาจมองได้ 2 ด้าน



นายภาณุ อิงคะวัต ประธานเครือข่ายพลังบวก กล่าวถึงการทำโฆษณา "ขอโทษประเทศไทย"ว่า

มีจุดมุ่งหมายว่าทำให้คนไทยได้ฉุกคิดว่าประเทศไทยกำลังมีปัญหาอย่างไร ซึ่งไม่ใช่แค่ปลายเหตุ
ที่มีการชุมนุม และเกิดการเผาตามสถานที่ต่างๆ เท่านั้น

แต่มีที่มาที่ไปอีกมากมายซึ่งหากไม่ไปเจาะถึงรากแห่งปัญหา จะทำให้เราแก้ปัญหานั้นได้เพียง
ระยะสั้นๆเท่านั้น และมันจะกลับมาเกิดอีก

จึงอยากกระตุ้นให้คนไทยเข้าใจปัญหาว่า ยังมีเรื่องลึกลับซับซ้อนที่เรา
คนไทยควรจะเข้าไปแก้ไขปัญหาอีกมากมายในสังคมไทย



นายเกียรติศักดิ์ วัฒนศักดิ์ คณะกรรมการตรวจพิจารณาการโฆษณาทางวิทยุโทรทัศน์ กล่าวว่า
จริงๆแล้วตนเองชอบโฆษณาชุดนี้ แต่ต้องทำความเข้าใจคณะกรรมการพิจารณาการโฆษณา
ทางวิทยุโทรทัศน์นั้นถูกตั้ง โดยสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ โดยมีพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค 2522

ซึ่งมีเรื่องให้เราต้องพิจารณาหลายเรื่องอาทิ เรื่องข้อความที่เป็นเท็จ ข้อความที่ก่อให้เกิดความ
เข้าใจผิดในสาระสำคัญ ข้อความสนับสนุนทางตรงทางอ้อมไม่ให้ผิดกฎหมาย และ ข้อความที่ไม่ก่อ
ให้เกิดความแตกแยกหรือเสื่อมเสียความสามัคคีในหมู่ประชาชนและอื่นๆตามที่กฎกระทรวงกำหนด

ซึ่งคณะกรรมการจะมาจากทีวีทั้ง 4 ช่อง และ เชิญตัวแทนจากกลุ่มโฆษณามาให้ความเห็นในมุมมอง
ผู้ประกอบการ วันที่มีการส่งเซ็นเซอร์ตนเองร่วมเป็นกรรมการร่วมกับตัวแทนช่องต่างๆด้วย
พอได้ดูกรรมการทุกคนชอบโฆษณาชุดนี้ แต่มีประเด็นหลายๆอย่างไม่อนุญาต เช่น

การแต่งกายหรือชุด ไม่มีการส่งเอกสารใดๆเข้ามาเลย เอกสารต่างๆประกอบการพิจารณาไม่ได้
ส่งเข้ามา ชุดราชการ ชุดพระสงฆ์ ไม่รู้ว่าได้ขออนุญาตหรือไม่ แม้แต่เป็นภาพข่าวก่อนจะนำเสนอ
ต้องสอบถามไปยังต้นสังกัดว่าสามารถใช้ได้ไหม และนำภาพข่าวมาโฆษณาได้ไหม ซึ่งเอกสารเรา
ไม่มีเลย แล้วเราจะให้ไปได้ผ่านไปอย่างไร ความแตกแยกความสามัคคีมันสามารถมองได้ 2 ด้านเสมอ

นายภาณุกล่าวอีกว่า รู้ขั้นตอนการทำโฆษณาเป็นอย่างดีเพราะอยู่ในวงการนี้ ซึ่งหลักฐาน
สามารถส่งให้ในภายหลังได้ ซึ่งเข้าใจคณะกรรมการเป็นอย่างดีในการทำหน้าที่ของเขาคือ
ตักเตือนในสิ่งที่เห็นว่าไม่เหมาะสม หรือกลัวว่าจะเป็นปัญหาในอนาคต
เราเข้าใจ เพียงแต่เสียดายที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ออก
ส่วนเรื่องฉากและองค์ประกอบ เป็นเหตุการณ์จริงส่วนใหญ่ มีเพียงเรื่องละครบางฉากที่เราทำเอง
ปัญหาตอนนี้คือเราจะได้ดูหนังเรื่องนี้ไปฉายหรือเปล่าสังคมต้องให้คำตอบซึ่งมีทั้งชอบและไม่ชอบ

นายเกียรติศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า
การใช้ภาพจริงได้แต่ต้องมีการขออนุญาตเจ้าของภาพก่อน
กลัวแต่เพียงว่าเกิดการเข้าใจผิด โดยเฉพาะเรื่องความสามัคคี และผลกระทบออกมา ที่เราห่วง เช่น
ภาพคที่ใส่กางเกงในโครงการโฮปเวลล์ยังอยู่ในระหว่างดำเนินคดี ซึ่งในโฆษณาก็ได้ตัดสินไปแล้ว

 

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

ประธานเครือข่ายพลังบวก แจงสาเหตุทำโฆษณา "ขอโทษประเทศไทย" เพื่อให้
คนไทย (M-Man)ได้ฉุกคิด และ หาทางออกร่วมกัน ไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น

[Samrotri2517]

"อมเรศ" ปลุก มธ.สร้างนักการเมืองรุ่นใหม่น้ำดี
ขอขอบคุณเวบแคนนอต วันพฤหัส 22 กรกฏาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
 http://cannot.info/feed/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2/%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%A8%20%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%81%20%E0%B8%A1%E0%B8%98%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B5



อมเรศ ศิลาอ่อน

การสร้างนักการเมืองที่มีคุณภาพและมีคุณธรรมจริยธรรมนั้น ต้องอาศัยสถาบันที่
มีความมั่นคงมีรากฐานอย่าง มธ. จึงอยากให้ยึดการสร้างผู้นำการเมืองในอนาคต
เอาไว้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งเชื่อว่ามี มธ.แห่งเดียวที่สร้างนักการเมืองที่มีจริยธรรมได้..

จากการสัมมนาผู้บริหารมหาวิทยาลัย เรื่องการ บริหารมหาวิทยาลัยภายใต้ภาวการณ์เปลี่ยนแปลง :
มุมมองของชาติเมื่อธรรมศาสตร์ 80 ปี นายอมเรศ ศิลาอ่อน อดีต รมว.พาณิชย์
ปาฐกถาพิเศษเรื่องการจัดการศึกษาและการพัฒนาคนในแผนฯ 11

ประเด็นที่ มธ.ควรคำนึงถึงตอนหนึ่งว่า สิ่งที่ มธ. ควรคำนึงถึง 3 ข้อ คือ

การสร้างมหาวิทยาลัยคุณภาพ

การสร้างอาจารย์คุณภาพ และ

การสร้างนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ

ทั้งนี้ การสร้างมหาวิทยาลัยคุณภาพนั้น โดยมุ่งสู่มาตรฐานระดับโลก

ส่วนการสร้างอาจารย์ที่มีคุณภาพ มธ. ต้องส่งอาจารย์ ไปศึกษาต่อต่างประเทศอย่างน้อย 20%
ซึ่งตนเชื่อว่า มธ.มีเงินส่งเรียน และก็เชื่อมั่นมาตลอดว่าการปฏิรูปการศึกษาของชาติจะประสบ
ความสำเร็จได้ กุญแจสำคัญอยู่ที่คุณภาพครูอาจารย์

นอกจากนี้ยังอยากเห็น มธ.ทำวิจัยสาธารณะให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะสังคมไทยมีปัญหามากมาย

นายอมเรศกล่าวต่อว่า ส่วนการสร้างนักการเมืองที่มีคุณภาพและมีคุณธรรมจริยธรรมนั้น
ต้องอาศัยสถาบันที่มีความมั่นคงมีรากฐานอย่าง มธ.

จึงอยากให้ยึดการสร้างผู้นำการเมืองในอนาคตเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งเชื่อว่า

มี มธ.แห่งเดียวที่สร้างนักการเมืองที่มีจริยธรรมได้ โดยการสร้างมโนธรรมในตัวนักศึกษา
ก่อนที่อนาคตนักศึกษาเหล่านี้จะออกไปเป็นนักการเมือง
เพราะเราจะสร้างมโนธรรมที่ดีเมื่อตอนเป็นนักการเมืองแล้วคงไม่ทัน หากสามารถสร้าง
นักการเมืองรุ่นใหม่ที่ดีมีคุณภาพได้ จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างมหาศาล.
 
 

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

ไม่น่าเชื่อที่ ไปผูกว่า มธ.แห่งเดียวที่สร้างนักการเมืองที่มีจริยธรรมได้
มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ก็สร้างได้ครับ ถ้ามุ่งมั่นเน้น ให้ คนดี M-Man ได้เข้าเรียน และ ปลูกฝังความดีให้
ในมหาวิทยาลัยด้วย ก็จะได้นักการเมือง ที่มีคุณธรรมจริยธรรม ทำเพื่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตน
ประเทศเราก็จะได้นักการเมืองคุณภาพ มาผลักดันให้ประชาชน มีความสุข มีกินมีใช้ อยู่อย่างสงบได้

 

 

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณคอลัมภ์ การศึกษา-สาธารณสุข 23 กรกฎาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.thaipost.net/news/230710/25241

เล็งดึงภาษีสรรพสามิตตั้งสำนักงานส่งเสริมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)



เมื่อวันที่ 22 ก.ค. นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผย
ภายหลังการหารือเกี่ยวกับร่างพรบ.การส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน กับ

ผู้เกี่ยวข้อง คือ
ผู้แทนสำนักงบประมาณ
คณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานส่งเสริมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)

ทั้งนี้ที่ประชุมได้หารือใน 2 ประเด็น คือ

ประเด็นที่ 1.บทบาทและภารกิจของ สสค. เนื่องจากเป็นหน่วยงานใหม่แต่ได้มีผู้ให้ข้อคิดเห็น
เกรงว่าการทำงานของ สสค.จะทับซ้อนกับหน่วยงานอื่นๆ ที่ทำลักษณะเดียวกันเห็นว่า
การตั้ง สสค.ขึ้นมีเจตนารมณ์พิเศษที่ต้องการให้มีส่วนสร้างกลไกการทำงานตามแนวทางรัฐบาล
สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ โดยจะเสนอให้เป็นหน่วยงานที่สนับสนุน

ประเด็นที่ 2 งบประมาณ ที่จะมาสนับสนุนการดำเนินการเมื่อจัดตั้งกองทุน สสค.จะมาจากส่วนไหน
ที่ประชุมให้ความเห็นว่า ได้เสนอแนะว่าควรใช้ระบบการนำภาษีสรรพสามิตมาเป็นรายได้สนับสนุน



XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

นำข่าวที่รัฐบาล โดยกระทรวงศึกษาธิการ พยายามสร้างกลไกเพื่อพัฒนาคน M-Man ให้มีคุณภาพ

 

 

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณเวบโพสต์ทูเดย์ วันเสาร์ 25 กรกฎาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.posttoday.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87/40835/%E0%B8%A2%E0%B8%B6%E0%B8%94%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A55%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8
 
นายกฯนิมนต์พระธรรมโกศาจารย์ร่วมรายการเชื่อมั่นแนะยึดศีล5แก้ปัญหาประเทศ



นายอภิสิทธิ์  นายกรัฐมนตรี ได้นิมนต์ พระธรรมโกศาจารย์ เจ้าอาวาสวัดประยูรวงศาวาสวรวิหาร
และอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยร่วมสนทนาธรรม
เนื่องในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา โดยมีนายแทนคุณ จิตต์อิสระเป็นผู้ดำเนินรายการ

นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในการสนทนาวันนี้ว่า

"หากประชาชนมีการรักษาศีล 5 ข้อได้ ก็จะทำให้ปัญหาหลายๆอย่างที่คิดว่าเป็นเรื่องยากจะง่ายเข้า
แค่ข้อเดียวเรื่องของการทุจริต ก็เป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหาหลายด้าน เช่น
มีโครงการมีมาตรการดีๆ แต่ถ้ามีคนทุจริต ก็จะทำให้โครงการเดินไม่ได้ และเป็นปัญหาของสังคม"
นายกรัฐมนตรี กล่าว

 

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณคอลัมภ์ กวนน้ำให้ใส เวบแนวหน้า วันอาสาฬหบูชา จันทร์ 26 ก.ค.2553 ที่เิอื้อเฟื้อข่่าว
http://www.naewna.com/news.asp?ID=220855



เมล็ดพันธุ์ความรุนแรง เริ่มแก้ไขตั้งแต่เด็ก (สารส้ม)

ศาสนาพุทธไม่นิยมความรุนแรง แต่ความรุนแรงที่มีอยู่ในสังคมวันนี้ เกิดมาจากไหนกัน

ไม่ว่าจะภาพข่าวเด็กผู้หญิงทำร้ายกันอย่างโหดเหี้ยม การยกพวกตีกัน

หรือแม้แต่ความรุนแรงในการเมือง และในรูปแบบอื่นๆ

ภาพความรุนแรงในลักษณะนี้ ปรากฏให้เห็นเป็นประจำในสังคมสมัยนี้

อะไรทำให้เด็กคิดว่า การใช้ความรุนแรงจะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งได้?

อะไรทำให้ผู้ใหญ่คิดว่า ใช้ความรุนแรงแล้วจะประสบความสำเร็จ

ในทางจิตวิทยา พบว่า ความรุนแรงเป็นเสมือนเมล็ดพันธุ์อย่างหนึ่ง

ที่สามารถบ่มเพาะในความสัมพันธ์ของมนุษย์ จากระดับครอบครัว จะถูกปลูกฝัง

งอกเงยขึ้นในความรู้สึกนึกคิดของเด็ก ยิ่งถ้าสังคมใดมีสิ่งแวดล้อมที่เป็นเชื้อหรือ

เป็นตัวกระตุ้นความรุนแรง เมล็ดพันธุ์ความรุนแรงในตัวเด็กก็จะเติบใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

การเรียนรู้ที่ทำให้เด็กมีสติ รู้เท่าทันความรุนแรงในตัวเอง จะเป็นตัวตัดวงจร

ตัดน้ำเลี้ยง มิให้เมล็ดพันธุ์ความรุนแรงในตัวเด็กได้เติบโตจนเกินควบคุม

เด็กๆ ในสมัยนี้ ได้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ของความรุนแรงในตัวเองอย่างมาก

เริ่มจากสถาบันครอบครัว ที่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกเริ่มเหินห่าง คุยกันน้อยลง

สัมผัสอย่างอ่อนโยนต่อกันน้อยลง แข็งกระด้างมากขึ้น บางครอบครัว

การแสดงความรักความห่วงใยต่อกันเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ

ที่ร้ายกว่านั้น ครอบครัวจำนวนไม่น้อยตกอยู่ในความเครียด พ่อตีแม่ แม่ด่าพ่อ

หรือพ่อแม่ตีลูก สมัยนี้ มีกระทั่งที่สุดของความรุนแรง คือ พ่อข่มขืนลูก

ความรุนแรงในความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ในทุกรูปแบบ

จะบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ของความรุนแรงให้งอกเงยในตัวเด็ก

เด็กจะถูกชี้นำด้วยเมล็ดพันธุ์ของความรุนแรงที่อยู่ในตัวเองโดยไม่รู้ตัว

นอกจากนี้ สถาบันการศึกษา ก็ยังช่วยบ่มเพาะเมล็ดพันธ์ความรุนแรงอย่างมาก

ไม่ว่าจะเป็น การแข่งขันอย่างไม่คำนึงถึงคุณธรรม หรือการรับน้องที่แฝงด้วยความรุนแรง

ยิ่งกว่านั้น สังคมสมัยนี้ ยังเต็มไปด้วยสิ่งกระตุ้นและเชื้อของความรุนแรง

ไม่ว่าจะเป็น สื่อ โทรทัศน์ วีดีโอเกมส์ อินเทอร์เน็ต เกมส์คอมพิวเตอร์

ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่หนังสือการ์ตูน ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ เป็นตัวหล่อเลี้ยงและบำรุงเมล็ดพันธุ์ของความรุนแรงในตัวผู้คน

ทั้งในวันนี้ และวันหน้า

ดังนั้น นอกจากจะต้องบังคับใช้กฎหมายกับคนที่ทำรุนแรง ทำผิดกฎหมายในวันนี้

ก็ต้องพยายามไม่เพาะเมล็ดพันธุ์ความรุนแรงในตัวเด็กๆ ที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นคนรุ่นต่อไปด้วย

สารส้ม

วันที่ 26/7/2010

 

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

เราทุกคนอยู่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวซึ่งเป็นหน่วยย่อยของสังคม ที่สร้างทรัพยากร  M-Man

อนาคตของชาติจึงอยู่ในมือของทุกคนในครอบครัวจึงต้องไม่ใช้ความรุนแรงใช้เหตุผล+รักกัน

 

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณเวบไทยรัฐวันศุกร์ 30 ก.ค.53 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.thairath.co.th/column/pol/hehapatee/99736

แด่คุณครู "หลักสูตรใหม่"

ผมเขียนให้กำลังใจท่านอาจารย์ที่นิด้าและผู้บริหารของ กทม. ที่มีความหวังดีต่อประเทศชาติ

ต้องการเห็นคนรุ่นใหม่ของประเทศชาติเป็นคนดีไม่คดโกงชาติบ้านเมือง

ทั้งนิด้าและกทม.จึงจับมือกัน นิด้า เขียนตำรา เขียนหลักสูตร และ อบรมครูอาจารย์ที่จะไปสอน...

ในขณะที่ กทม.ก็ยินดีเปิดโรงเรียนนำร่องให้ทดลองสอนถึง 280 โรงเรียน

เรียกโครงการนี้ว่า "คบเด็กสร้างชาติ...โตไปไม่โกง"

หัวหน้าโครงการทางฝ่าย สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร- ศาสตร์ หรือ นิด้า ได้แก่



ท่าน รศ.ดร.จุรี วิจิตรวาทการ

หัวหน้าโครงการ ทางฝ่าย กทม. ซึ่งได้แก่



 ท่านรองผู้ว่าฯ ทยา ทีปสุวรรณ

 

วิชานี้ต่อให้ดัดแปลงอย่างไรให้สนุกสนานน่าเรียนอย่างไรก็จะไม่ใช่เรื่องที่จะสอนกันได้ง่ายๆ

เพราะโดยธรรมชาติ "ความดี" มักไม่ค่อยมีเสน่ห์และกลายเป็นเรื่องยากที่จะสอนให้คน "ทำดี"

ตรงข้ามกับ "ความชั่ว" ซึ่งบางครั้งแทบไม่ต้องสอนอะไรเลย ก็อยากจะทำความชั่วกันเสียแล้ว

จนมีคำพังเพยที่เรามักได้ยินอยู่บ่อยๆประโยคหนึ่งว่า

"ความชั่วหัดง่าย...ไม่ต้องสอนก็ทำเป็น"

ถ้าการสอนให้ทำความดีเป็นเรื่องง่ายๆ ป่านฉะนี้คนทั้งโลกคงจะเป็นคนดีไปแล้วค่อนโลก...

เนื่องจากทุกศาสนาล้วนสอนให้คนทำดีทั้งสิ้น และสอนมากว่า 2 พันปี แล้วด้วยซ้ำ

แต่ก็อย่างที่เราเห็น...คนไม่ดียังมีอยู่เต็มโลก และยิ่งนับวันก็ยิ่งไม่ดีมากขึ้น

คุณครูอาจจะสอนได้ตามหลักสูตรครบถ้วน...แต่ผลสัมฤทธิ์จะเป็นอย่างไร?

เด็กๆที่ผ่านการเรียนรู้ไปครบถ้วนขบวนความแล้วจะเป็นคนดีได้จริงหรือไม่?

จะมีคุณสมบัติ 5 ประการอย่างที่หวังไว้หรือไม่?

อีกทั้งเมื่อเด็กๆเหล่านี้เติบโตขึ้นออกสู่โลกภายนอก หรือไปเรียนต่อ ที่ถูกครอบงำด้วยค่านิยม

โดยเฉพาะค่านิยมที่ชื่นชมความสำเร็จ ชื่นชมเงินตรา ชื่นชมสมบัติพัสถาน และ ฯลฯ

โดยไม่คำนึงถึงว่าจะได้มาอย่างไร? ขอเพียงให้มีสตางค์ก็จะกลายเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมไทย

ภูมิคุ้มกันที่เขาและเธอได้รับการเพาะบ่ม "โตไปไม่โกง" จะอยู่กับเขาและเธอตลอดไปหรือไม่?

เมื่อริเริ่มขึ้นแล้วด้วยเจตนาดี ก็ขอให้เดินหน้าต่อไป คงบังเกิดผลสำเร็จบ้างไม่มากก็น้อย

 

ขณะเดียวกัน ผมก็คงต้องหันกลับมาพูดถึง "ผู้ใหญ่" หรือคนที่โตๆ กันแล้วของประเทศนี้

ที่จะต้องปรับปรุงตัวเราเองด้วยควบคู่กันไป

พวกเราเองก็คงจะต้องทำอะไรที่เป็นของดีงามให้เป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กๆด้วยเช่นกัน

ไหนๆ นิด้า ก็มีหลักสูตร "โตไปไม่โกง" สำหรับเด็กๆ อยากฝากให้ช่วยคิดอีกสักหลักสูตร

"แก่แล้วไม่โกง" หรือ "เลิกโกงก่อนตาย" อะไรทำนองนี้

จับนักการเมืองทุกระดับเข้าเรียนหลักสูตรนี้ให้ครบถ้วน ตั้งแต่นักการเมืองระดับชาติ,

นักการเมืองระดับท้องถิ่น...เผื่อท่านทั้งหลายจะบังเกิดความสำนึกเลิกโกงเลิกกินกันได้บ้าง

จะให้ประเทศไทยเราใสสะอาดได้จริงๆ คงต้องทำควบคู่กันไป

ทั้งเด็ก  ทั้งผู้ใหญ่จึงจะได้ผล...ไม่งั้นก็จะใสยาก...ผลิตเด็กดีออกมาเท่าไร

โดนผู้ใหญ่ไม่ดีครอบแป๊บเดียว...ดีแตกแน่นอนครับ!

"ซูม"

 

คุณธรรม 5 ประการ

ประการที่ 1 การพึ่งตนเอง ขยันหมั่นเพียรและมีความรับผิดชอบ

ประการที่ 2 การประหยัดและออม

ประการที่ 3 การมีระเบียบวินัยและเคารพกฎหมาย

ประการที่ 4 การปฏิบัติตามคุณธรรมของศาสนา

ประการที่ 5 การมีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์

                

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณเวบไทยรัฐ วันเสาร์ 31 กรกฏาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.thairath.co.th/column/pol/thai_remark/99977

ทำเด็กให้ฉลาดก่อนเกิด



ท่านผู้อ่านคงจำได้นะครับ เคยมีข้อมูลวิจัยออกมาว่า "เด็กไทย"
ปัจจุบันมี "ระดับสติปัญญา" หรือ "ไอคิว" ลดต่ำลงไปเรื่อยๆ

จากไอคิวเฉลี่ยที่ 91 ในปี 2540 พอผ่านมาอีก 5 ปี ไอคิวลดเหลือ 88 ในปี 2545
ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าระดับเฉลี่ยที่ องค์การอนามัยโลก กำหนดไว้ ต้องอยู่ในระดับ 90–110
นี่ผ่านมาอีก 8 ปีแล้ว ไม่รู้ไอคิวเด็กไทยวันนี้จะลดเหลือเท่าไร

สาเหตุที่ทำให้เด็กไทยมีสติปัญญาลดต่ำลงไปเรื่อยๆ ยูนิเซฟ ฟันธงเลยว่า เป็นเพราะได้รับ



"สารไอโอดีน"

สารไอโอดีนไม่เพียงพอจากอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวัน ทำให้เกิดขาดสารไอโอดีน
ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดพิการทางสมอง และการพัฒนาทางร่างกายทำให้โตไม่เต็มที่

ยิ่งเห็นตัวเลขการบริโภคเกลือไอโอดีนของคนในประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ผมก็ยิ่งเจ็บปวด
ท่านผู้อ่านเชื่อไหม คนไทยกินเกลือไอโอดีนน้อยกว่า เขมร ลาว พม่า เวียดนาม

อันดับ 1 คือ เวียดนาม กินเกลือเสริมไอโอดีนสูงถึงร้อยละ 93.2 ตามด้วย จีน ร้อยละ 90.1
ลาว อันดับ 4 ร้อยละ 85.0 พม่า อันดับ 5 ร้อยละ 84.0 เขมร อันดับ 8 ร้อยละ 72.5 และ

ไทย อันดับ 10 ร้อยละ 57.6 เศร้าไหม รัฐมนตรีสาธารณสุข อยากเอาปี๊บคลุมหัวไหม

ทั้งๆที่การแก้ไขปัญหานี้ก็ไม่มีอะไรยากสักนิด แค่ ครม.มีมติให้เกลือทุกชนิดในประเทศไทย
ต้องใส่สารไอโอดีนลงไปด้วยเท่านั้น ก็แก้ปัญหาได้หมดสิ้น
ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มนิดเดียวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นคนละ 1.30 บาทต่อปีเท่านั้น

ผมหวังว่า นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์  รัฐมนตรีสาธารณสุข
อ่านบทความนี้แล้ว จะรีบสั่งการทันที ก่อนที่เด็กไทยในวันนี้จะต้องโง่กว่าเด็กเขมรในอนาคต.

"ลม เปลี่ยนทิศ"

 

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

ผมหวังว่าโพสต์ที่นี่ จะทำให้ได้ทราบไปถึงรัฐบาลได้ทางหนึ่ง
เพื่อพวกเราจะได้สื่อถึงอีกแรงหนึ่ง สำหรับอนาคต ของ M-Man ของไทย

 

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณเวบคมชัดลึกวันเสาร์ 31 กรกฏาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.komchadluek.net/detail/20100731/68315/%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88.html

แผนที่สุขภาพพลังเยาวชนสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่



คมชัดลึก : นับเป็นการรวมพลังของเยาวชนจากทั่วทุกภาค ที่ยิ่งใหญ่อีกงานหนึ่ง สำหรับโครงการ
“นักสำรวจ แผนที่สุขภาพ พลังเยาวชน สร้างสรรค์สังคม” คนธรรมดาทำงานใหญ่ได้
ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต โดยสมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทย
ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จับมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)



โดยเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมมาจากสถาบันการศึกษา 150 แห่งทั่วประเทศ ที่ประสบความสำเร็จ
จากการสำรวจพื้นที่บริเวณรอบโรงเรียน ภายใต้แนวคิดลดพื้นเสี่ยง เพิ่มพื้นที่ดี ซึ่งมุ่งเน้นให้
เยาวชนรู้จักแยกแยะว่าพื้นที่ดีและพื้นที่เสี่ยง ให้เด็กๆ ในแต่ละพื้นที่มีส่วนชี้นำปัญหาที่เกิดขึ้น
และมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหากับคนชุมชน หรือหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง



มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเยาวชน ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องในการทำงานแล้ว กิจกรรมส่งเสริมการ
พัฒนาทักษะด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อเยาวชน ผ่านการจัดเวิร์กช็อป ในหัวข้อต่างๆ เช่น
การผลิตสื่อโทรทัศน์ขั้นพื้นฐาน พลังชุมชนในโลกเฟซบุ๊ก ฝึกสมองให้มีความจำเป็นเลิศด้วย
เบรน เบส เลิร์นนิ่ง เรื่องเล่าจากคนธรรมดา ผลงานของนักเรียนจากภาคต่างๆ
ที่เด็กก็สามารถทำงานใหญ่ได้  โดยมีแผนที่สุขภาพเป็นเครื่องมือ



นพ.บรรลุ ศิริพานิช ที่ปรึกษากรรมการบริหารแผนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
กล่าวว่า อยากเห็นคนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีสุขภาวะที่ดีทั้งทางกาย จิตใจ และปัญญา
และเป็นผู้มีความรอบรู้ รู้จักผิดชอบชั่วดี จึงส่งเสริมให้เยาวชนตัวแทนจากโรงเรียนต่างๆ เข้ามา
เป็นแกนนำหลัก เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์
ช่วยเพิ่มพื้นที่ดี ลดพื้นที่เสี่ยงให้แก่โรงเรียนและชุมชนด้วย



ด้าน น.ส.ดารณี เวณุจันทร์ ประธานโครงการแผนที่สุขภาพ จากสมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์
แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เยาวชนใช้แผนที่สุขภาพเป็นเครื่องมือ
สะท้อนภาพเล็กๆ ในแต่ละชุมชน ด้วยจิตสำนึกรักษ์ท้องถิ่น
ผู้ใหญ่ทุกคนน่าจะให้ความสนใจในการสร้างชุมชนที่เหมาะสม



ในงานนี้มีการส่งมอบข้อเสนอ “คนธรรมดาทำงานใหญ่ได้ ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่”
ที่เกิดจากการระดมความคิดเห็นของเด็กๆ ทุกคน ผ่าน ด.ญ.อาภรณ์ อาจวิชัย นักเรียนชั้น ม.2
โรงเรียนคำชะอีวิทยาคาร จ.มุกดาหาร ไปถึง ดร.ปัญญา แก้วกียูร ที่ปรึกษาด้านพัฒนากระบวน
การเรียนรู้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ อีกด้วย



น้องอาภรณ์ สรุปข้อเสนอว่า พลังเล็กๆ ของเยาวชนทุกคน มีความมุ่งมั่น ต้องการมีส่วนร่วมใน
การสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ จึงร่วมกันผูกจิต คิดค้นแนวทาง ที่เรียกว่า

“กะจิ้ดริดอาสา พัฒนาประเทศชาติ” มีการแบ่งหน้าที่กันเป็นข้อๆ ดังนี้

ข้อ 1.ร่วมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมภายใต้แนวคิด “ร่มรื่นชื่นใจไทยสีเขียว”
โดยจะนำผลสำรวจที่เห็นว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงปรับปรุงให้เป็นพื้นที่ดี และ
จะปรับปรุงสวนสาธารณะใกล้บ้านให้เป็นพื้นที่สีเขียวตลอดไป

ข้อ 2.สร้างสำนึกร่วมกันโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วย ภายใต้แนวคิด
“เทคโนโลยีก้าวไกล ความเป็นไทยคงอยู่” ซึ่งเชื่อว่าด้วยพลังของคนธรรมดาที่ทำจริง ปฏิบัติจริง
จะสร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆวัยเดียวกัน เห็นความสำคัญของการใช้ชีวิตที่ถูกครรลองคลองธรรม

ข้อ 3.เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประเทศไทย ให้เป็นปึกแผ่น ด้วยแนวคิด “สานสายใยรวมใจไทย 4 ภาค” เพราะการได้ทำหน้าที่นักสำรวจแผนที่สุขภาพ ได้ตระหนักถึงความเป็นน้ำหนึ่ง
ใจเดียวกันตลอดเวลา หากทุกคนในประเทศมีความสามัคคีปรองดองกัน
เชื่อว่าประเทศไทยจะน่าอยู่ อาสาร่วมผลักดันให้เป็นจริงในเร็ววัน

ทั้งหมดนี้คือ พันธะสัญญาที่มีต้องการจะสร้างสังคมให้น่าอยู่ เยาวชนทุกคนที่เข้าร่วม
โครงการขอทำงาน เพื่อสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่อย่างที่ควรจะเป็น

เพื่อนๆ ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดและเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ http://ad.ggat.org

สอบถามได้ที่โครงการแผนที่สุขภาพ 0-2245-3599, 0-2245-0242 ต่อ 39-40

 

[Samrotri2517]

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1280570431&grpid=no&catid=04



ไอเดีย "คิดใหม่ประเทศไทย" ของ "ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์"
ก้าวข้ามวิกฤต สลัดหลุมดำแห่งความขัดแย้ง !!

"ประเทศไทยขาดผู้นำเชิงรัฐบุรุษที่พร้อมจะทำเพื่อสังคมส่วนรวม ไม่ใช่แค่เพื่อพรรคและบุคคลเท่านั้น"

วันที่ 31 กรกฎาคม มูลนิธิสัมมาชีพ ร่วมกับ เครือมติชนจัดโครงการอบรม

"ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง"

ระหว่างวันที่ 31 ก.ค. - 5 ก.ย. เพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้กับผู้นำรุ่นใหม่ในทุกภาคส่วนของสังคม
ที่มีความตั้งใจจริงและมีเป้าหมายชัดเจนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นในสังคมไทย
และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนต่อไป

ในการอบรมวันแรกมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมมากมายอาทิ
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ,ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย, ดร.คณิศ แสงสุพรรณ,
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ และ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์

 

การอบรมในวันแรก ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กล่าวบรรยายพิเศษหัวข้อ

"คิดใหม่ประเทศไทย" ว่า

อยากบอกกับประเทศไทยว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องคิดใหม่ก่อนที่จะสายเกินไป นิตยสาร"นิวส์วีค"
กล่าวถึงความสำเร็จในอดีตของไทยว่าในอดีต เรากลายเป็นเสือแห่งเอชียที่หลายคนยกย่อง
ไทยเสมือนแดนสวรรค์ในสายตาโลก

แต่แล้วจากประเทศที่ทุกคนคิดว่าเป็นประเทศที่ทุกคนอยู่ร่วมกัน
ได้กลายเป็นสังคมที่แตกแยกพร้อมที่จะปะทุขึ้นทุกขณะ

ประเทศไทยขาดผู้นำเชิงรัฐบุรุษที่พร้อมจะทำเพื่อสังคมส่วนรวม ไม่ใช่แค่เพื่อพรรคและบุคคลเท่านั้น
ไม่ใช่เพียงแค่นิตยสาร"นิวส์วีค" ที่มองเราแบบนี้แต่ทั่วโลกมองเราแบบนี้ทั้งนั้น

 

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณเวบแคนนอต วันอาทิตย์ 1 ส.ค.2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://cannot.info/feed/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84/%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%95%20%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B5

ถึงคิวเด็กเก่งวิทย์-คณิต เรียนต่อม.ปลายเรียนใน ร.ร.วิทยาศาสตร์ชั้นนำ ฟรี
 


นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่การกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วท.

วท.ชวนเด็กเก่งวิทย์ฯ คณิตฯ เข้าศึกษาต่อม.ปลาย ในร.ร.วิทยาศาสตร์ชั้นนำกว่า 7 แห่ง
โดยใช้แนวทางการเรียน/สอน ร.ร.มหิดลวิทยานุสรณ์เป็นต้นแบบ พร้อมสนับสนุนค่าใช้จ่าย
ตลอดหลักสูตร รับสมัคร1-31ส.ค.สอบถาม 1313

เมื่อเร็วๆ นี้ นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่การกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า
นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่า ที่มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์
และวิทยาศาสตร์ เพื่อสอบคัดเลือกศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในโครงการ
สนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย หรือ
โครงการ วมว. เพื่อคัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ประจำปีการศึกษา 2554 ใน

โรงเรียนชั้นนำกว่า 7 แห่งทั่วประเทศ ที่อยู่ในกำกับการดูแลของมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการ

ได้แก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่)

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (โรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์)

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (โรงเรียนดรุณสิกขาลัย)

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย)

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาสงขลานครินทร์)

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน(โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน)

มหาวิทยาลัยขอนแก่น (โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ศึกษาศาสตร์) เป็นต้น

โดยโรงเรียนแต่ละแห่งนั้น สามารถรับนักเรียนเข้าเรียนได้แห่งละ 30 คน รวม 210 คน
ทั้งนี้นักเรียนที่ผ่านการคัดเลือก จะได้รับทุนสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเรียนเช่น

อุปกรณ์การเรียน เสื้อผ้า ที่พัก และค่าใช้จ่ายส่วนตัวบางส่วน ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
จนสำเร็จการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 6 และถ้าหากจบการศึกษาแล้ว จะมีโอกาสได้รับการ
พิจารณาให้ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีใน
คณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยของรัฐ 24 แห่ง อีกด้วย

โครงการจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกลไกสนับสนุนการพัฒนานักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
จากผู้มีความสามารถพิเศษให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นกำลังสำคัญในการเพิ่มผลิตภาพ
สร้างนวัตกรรมในภาคการผลิตและบริการต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้ยังเป็นการสนับสนุนและขยายฐานการศึกษา สร้างฐานกำลังนักเรียนผู้มีศักยภาพ
ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ออกไปยังภูมิภาคต่างๆ

ทั้งนี้หลักสูตรห้องเรียนวิทยาศาสตร์ โครงการ วมว. จะใช้หลักสูตรของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
เป็นแนวทางในการจัดการเรียน และจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนโดยมีครูพี่เลี้ยงดูแลอย่างใกล้ชิด

สำหรับในปีการศึกษา 2554 โครงการฯ จะเปิดรับสมัครในช่วงระหว่างวันที่ 1-31 ส.ค. 2553 
กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้มอบหมายให้โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เป็นผู้ดำเนินการรับสมัคร
คัดเลือกนักเรียนรอบแรกจากทั่วประเทศที่มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์

โดยดำเนินการสอบคัดเลือกพร้อมกับการคัดเลือกนักเรียนของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และ
นักเรียนห้องวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยทั้ง 12 แห่ง โดยใช้ข้อสอบเดียวกัน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่คอลเซ็นเตอร์ 1313 หรือเว็บไซต์ www.most.go.th
 
 

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณเวบเดลินิวส์ วันอังคาร ที่ 03 สิงหาคม 2553 ที่มาของเนื้อหาข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=420&contentID=82389



วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษยกระดับนศ. เน้นการสอนใช้ทักษะพัฒนาคุณภาพชีวิต

ปัญหานักเรียนนักศึกษา ลาออกจากสถานศึกษากลางคันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีนับเป็นปัญหา
ที่ผู้รับผิดชอบทุกฝ่ายทุกระดับต้องร่วมกันคิดและแก้ไขอย่างเร่งด่วน

สาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งคือนักเรียนนักศึกษาถูกบังคับให้เรียนในห้องเรียนแต่ละวันมากเกินไป
ทำให้เกิดความเครียดมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อสังคมมีการแข่งขันสูง ส่งผลให้นักเรียนนักศึกษา
จำนวนไม่น้อยไม่อยากเรียนเกิดความเบื่อหน่าย ทนรับสภาพความกดดันจากระบบการเรียน
การสอนที่มุ่งแข่งขันเน้นความเป็นเลิศทางวิชาการไม่ไหว สร้างความทุกข์ให้แก่ผู้เรียน 
   
วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ (SISAT) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีว  ศึกษา โดยมี



ดร. อนันท์ งามสะอาด เป็นผู้อำนวยการ เปิดสอนในระดับประกาศนียบัตรวิชา ชีพ (ปวช.) และ
ประกาศนียบัตรวิชา ชีพชั้นสูง (ปวส.) 

มีนักศึกษา จำนวน 5,958 คน มีครู และบุคลากร รวม 294 คน โดยวิทยา ลัยมีแนวคิดใน
การจัดการเรียนการสอนที่เน้นการใช้ทักษะและพัฒนาคุณภาพชีวิตนักเรียน นักศึกษา
เพื่อให้เกิด

Smart Together

เริ่มต้นจากผู้บริหาร ครู นักเรียน นักศึกษาผู้ปกครอง สถานประกอบการและชุมชนร่วมกัน
กำหนดวิสัยทัศน์ (Vision) ของสถานศึกษา คือ

สถาบันการอาชีวศึกษา มาตรฐานสากลประกอบด้วยยุทธศาสตร์บริหารจัดการ (Strategies)

ได้แก่บริหารแบบมีส่วนร่วม (Participative Management) ทำงานเชิงรุก (Pro-active)
เป็นประชาคมแห่งการเรียนรู้ (Learning Society)

เป้าหมายเพื่อผู้เรียนเป็นสำคัญ (Student Centered) มีค่านิยม (Values) คือ
ชาว SISAT ทุกคน Smart Together เราทำงานเป็นทีม ช่วยเหลือกัน
เรียนรู้ซึ่งกันและกัน  เชื่อมั่นในเกียรติภูมิศักดิ์ศรี SISAT
     
ในส่วนของการบริหารจัดการและ  การเรียนการสอน ได้ตั้งเป้าหมายที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
คือจุดหมายปลายทางของการบริหารจัดการและการจัด การเรียนการสอน

โดยกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักศึกษา(Characteristic of SISAT Student) คือ

มีความรับผิดชอบ (Responsibility) ได้แก่ ผ่านกิจกรรมชมรมตามสาขาวิชาที่เรียนและเลือกเสรี

มีวินัย (Discipline) ได้แก่ แต่งกายสุภาพ ถูกระเบียบ ปฏิบัติตามกฏจราจร ฯลฯ
 
มีน้ำใจต่อกัน (Generous) ได้แก่  ผ่านกิจกรรม 5 ส รักษาสิ่งแวดล้อมภาย  ในวิทยาลัยและชุมชน

มีมนุษยสัมพันธ์ (Human relation) ได้แก่ สื่อสารภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 และเลือกภาษาที่ 3

ความรู้ทักษะวิชาชีพ พื้นฐานได้แก่ สามารถพิมพ์ดีดไทย-อังกฤษได้ ใช้คอมพิวเตอร์ได้
ใช้อินเทอร์เน็ตเป็น ผ่านการทดสอบมาตร ฐานวิชาชีพและมาตรฐานฝีมือแรงงาน
จัดทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์มีงานวิจัยรองรับ จัดทำแผนธุรกิจและมีรายได้ระหว่างเรียน และ
วิชาชีพตามคุณลักษณะเฉพาะของสาขาวิชาจัดการสอนร่วมมือกับสถานประกอบการ

ในการจัดทำแผนการเรียนเป้าหมายสำคัญคือนักเรียนนักศึกษาต้องมีงานทำ ในแต่ละวัน

จึงกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการใช้ทักษะและ พัฒนาคุณภาพชีวิต โดย
บุคลากรของวิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อขับเคลื่อนสถานศึกษา
ไปสู่มาตรฐานสากล จุดเริ่มต้นต้องกล้าฝัน ทำฝันให้เป็นจริง คิดและทำเพื่อฉายประกาย
แห่งความฝันสู่ความสำเร็จ ด้วยแนวความคิดว่า การเป็นนักเรียนนักศึกษาอาชีวะ ต้องคิด
ว่าไม่มีใครเก่งทุกอย่าง แต่สามารถเรียนรู้พัฒนาตนเองได้ พัฒนาตนเองทุกวัน ครูและ
บุคลากรต้องเข้าใจวิสัยทัศน์และระบบกลไกการบริหารจัดการของวิทยาลัย ต้องรู้ว่าหน้าที่
คืออะไรจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุดได้อย่างไร เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

นอกจากนี้ ยังเน้นคุณค่าของ  คนเป็นสิ่งสำคัญ การปลูกฝังความ มีวินัย ความอดทน อดกลั้น
ความเข้มแข็ง  มีบุคลิกภาพ  ที่ดี สง่าผ่า  เผย เป็นฟันเฟืองที่มีศักยภาพพร้อมที่จะรับผิดชอบ
ในการ ขับเคลื่อนองค์กรให้มีประสิทธิภาพ ก้าวหน้า และมีชื่อเสียง

สถานศึกษาคือเบ้าหลอมวิธีคิด ให้แนวทางในการดำเนินชีวิต ปลูกฝังความมีน้ำใจรู้จักเผื่อแผ่
ความสุขให้ผู้อื่น และสังคมโดยรวม สร้างความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง 

ครูทุกคนต่างตระหนักว่า อาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ไม่มีคำว่าได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
เพราะครูนอกจากเป็นผู้ประสิทธิประสาทวิชาความรู้แล้ว การเป็นแบบอย่างที่ดีในการประพฤติ
คือฐานรากอันสำคัญที่มีอิทธิพลต่อลูกศิษย์

ครูจึงต้องปฏิบัติตนอยู่บนพื้นฐานของ

พรหมวิหาร 4 ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และ

อิทธิบาท 4 ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

ครูควรมีสติสัมปชัญญะพร้อมรับกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
   
วันแล้ววันเล่ากับการเรียนการสอนที่เน้นการใช้ทักษะและพัฒนาคุณภาพชีวิต รอยยิ้ม
เสียงหัวเราะสดใส ทำให้สภาพแวดล้อมเปล่งประกายสีสัน สวยงาม เกิดความสุขรื่นรมย์
สมานฉันท์ เป็นความอบอุ่นประนีประนอมสถาบันอาชีวศึกษาในปัจจุบันและอนาคตจำเป็น
ต้องขายคุณภาพ

ดร.อนันท์ กล่าวว่า เพื่อให้เกิดการยอมรับในสังคม หากนักเรียนนักศึกษาได้รับการยอมรับว่า
เขาเป็นผู้มีเกียรติ เป็นคนสำคัญ เขาก็จะมีสัมมาคารวะ เปรียบดัง

ต้นข้าวที่มีเมล็ดข้าวสมบูรณ์รวงจะโน้มสู่ดิน(The rice will bow to earth when its too heavy)
รักผู้อื่นได้ ให้เกียรติผู้อื่นเป็น นำไปสู่ภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร นับเป็นสถานศึกษาวิชาชีพ
ที่มุ่งมั่นสู่มาตรฐานสากล มีอัตลักษณ์ (identity) มีวัฒนธรรมองค์กรในการหล่อหลอมคุณ
ลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนนักศึกษาจนเป็นที่ยอมรับ

ส่งผลให้วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ ได้รับรางวัลพระราชทาน ปี 2552 นับเป็นตัวอย่างของ
การบริหารจัดการที่ดี สื่อจึงขอยกย่องชื่นชมด้วยความจริงใจ.

แดนภูชิสส์  เจริญทรัพย์

 

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

นำข่าวสถานศึกษาในการพัฒนาคน M-Man มาให้พวกเราได้ชื่นชมและนำมาเป็นแบบอย่าง

 
 

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณคอลัมภ์การศึกษา-สาธารณสุขเวบไทยโพสต์วันอังคาร3สิงหาคม2553ทีี่่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.thaipost.net/news/030810/25663



นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดถึงความคืบหน้า

การจัดทำหลักสูตรหน้าที่พลเมือง เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองของเด็กและเยาวชน

ว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรหน้าที่พลเมือง ที่มี



ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เป็นประธาน
ได้มีการจัดประชุมพิจารณาเรื่องหลักสูตรดังกล่าวมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งได้ข้อสรุปว่า

หลักสูตรจะมีเนื้อหาส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่ง
เป็นเรื่องของความมั่นคงของประเทศชาติ ร้อยละ 70 ส่วนอีกร้อยละ 30 จะเป็นภาคปฏิบัติ

ซึ่งจะได้รับการเน้นให้มีภาคปฏิบัติมากขึ้น เพื่อให้เด็กได้ซึมซับความเป็นพลเมือง รู้หน้าที่ของ
ตนเองว่าควรจะใช้ชีวิตอย่างไร อาทิ

การช่วยเหลือสาธารณะควรทำอย่างไร การมีจิตอาสามีวิธีการไหน การเลือกตั้งและสิทธิ
ที่ถูกต้องของประชาชนควรทำได้แค่ไหน การมีคุณธรรม จริยธรรม เป็นต้น
ซึ่งจำเป็นจะต้องให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวของตัวเอง และจะต้องมีผู้ใหญ่คอยชี้แนะด้วย

"ผมคิดว่าหลักสูตรดังกล่าวจะดำเนินการได้เสร็จภายในเร็วๆ นี้ เพราะ
ผมถือเป็นนโยบายเร่งด่วนควบคู่กับแผนปรองดองแห่งชาติของรัฐบาล ที่จะส่งเสริมให้
เด็กมีความรักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ อีกทั้งขณะนี้ ศธ.กำลังดำเนิน
การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่

ซึ่งจะเน้นยกระดับคุณภาพการศึกษา และคุณภาพของประชากรของประเทศไทยมากขึ้น
โดยเฉพาะเรื่องของคุณธรรม จริยธรรม รวมถึงการรู้จักหน้าที่ความเป็นพลเมืองของตนเอง"
 รมว.ศึกษาธิการกล่าว.

[Samrotri2517]

ขอขอบคุณคอลัมภ์ทัศนะวิจารณ์เวบกรุงเทพธุรกิจอังคาร 3 สิงหาคม 53 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/reader-opinion/20100803/346109/%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B-:-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94.html

ทัศนะจากผู้อ่าน ผู้อ่านสามารถส่งเรื่องมาได้ที่  ktwebeditor@nationgroup.com

ปฏิรูป : ปลุกศีลธรรมในสายเลือด

โดย : ธนรัตน์ ยงวานิชจิต dhanarat333@gmail.com


 
การแสดงของตุ๊กตาหุ่นเชิดที่แทนตัวตน 3 ตัว ต่อหน้าเด็กแต่ละคน  

หุ่นตัวกลางกลิ้งลูกบอลให้ตัวที่อยู่ขวามือเด็ก ซึ่งกลิ้งลูกบอลกลับไปให้ตัวกลาง

หุ่นตัวกลาง กลิ้งลูกบอลต่อไปให้ตัวที่อยู่ซ้ายมือ แต่หุ่นกลับหอบลูกบอลหายไป

จากนั้น หุ่นทั้ง 3 ตัวก็กลับออกมาปรากฏอยู่หน้าเด็ก แต่ละตัวมีขนมบนจานตั้งอยู่

ผู้วิจัยขอให้เด็กหยิบจานขนมออกจากหุ่นตัวไหนก็ได้หนึ่งจาน ปรากฏว่า

เด็กเกือบทั้งหมดเลือกหยิบจานขนมออกจากหุ่นที่หอบลูกบอลหายไป ยิ่งกว่านั้น

เด็กบางคนยังใช้มือตบหัวหุ่นที่หอบบอลหนีไป ราวกับว่า ต้องทำโทษให้สาสมที่

เอาลูกบอลหนีหายไป
 
 

เห็นได้ว่า เด็กวัยเพียงหนึ่งขวบก็มี “ศีลธรรม” อยู่ในสายเลือดมากพอที่จะไม่ชอบหุ่นเชิด

ที่หอบลูกบอลหนีไป ไม่ชอบการเอาเปรียบผู้อื่น มีความเป็นธรรมต่อผู้อื่น

เมื่อเรามีศีลธรรมอยู่ในสายเลือด การปฏิรูปสู่สังคมอริยชนที่มีความเจริญสุขแท้จริง ก็ไม่น่า

ยากอย่างที่คิด เพียงแต่ปฏิรูปตัวเองให้มี

ค่านิยมใน “การให้” มากกว่า “การรับ” ในความพอเพียงมากกว่าความตะกละตะกลาม

ตลอดจนใน “ลัทธิสัตว์ประเสริฐ” มากกว่า “ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ” การปฏิรูปก็จะเดินหน้าได้ทันที
 
 

การปฏิรูปมิใช่การแก้ไขระบบ ระเบียบ ซึ่งเป็นปัญหาที่จะต้องได้รับการเยียวยาเป็นประจำ

แต่“ประชาชน”ในฐานะผู้จ่ายภาษีแก่เจ้าหน้าที่รัฐ รวมตัวกันทำในรูปแบบของกลุ่มคน เช่น

“สภาชุมชน” “สมัชชาชุมชน” ฯลฯ อันประกอบด้วยประชาชนจากหลากหลาย ในชุมชน

ซึ่งก่อตั้งกันเองโดยอิสระเป็นกลุ่มๆ เพื่อพิจารณาระบบระเบียบขององค์กรรัฐที่ต้องแก้ไข

ปรับปรุง โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำทางวิชาการ

เพียงแต่จุดประกายศีลธรรมในตัวเราให้ตื่นจากภวังค์หรือมายาคติ

สังคมอริยชนก็จะหวนกลับมาอย่างแน่นอน

 

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

ดูแล้วเป็นสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา

จุดประกายศีลธรรมในตัวเราให้ตื่นเป็นด้านที่ 1

สภาชุมชน หรือ สมัชชาชุมชน เป็นด้านที่ 2

ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำทางวิชาการ เป็นด้านที่ 3

เมื่อสามเหลี่ยม ครบ 3 ด้านสังคมอริยชนก็จะหวนกลับมาอย่างแน่นอน

 

ด้านที่ 1 จุดประกายศีลธรรมในตัวเราให้ตื่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)

กำลังเร่งหลักสูตรหน้าที่พลเมือง ให้นำมาให้เด็กได้รับการเรียนการสอนตามข่าว

 



นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดถึงความคืบหน้า

การจัดทำหลักสูตรหน้าที่พลเมือง เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองของเด็กและเยาวชน

ที่ผมนำมาโพสต์ตอบกระทู้นี้ « ตอบ #17 หรือ ก่อนหน้าตอบกระทู้นี้ 1 คำตอบนั่นเอง


 

[Samrotri2517]

คนเก่ง คนดี เป็นทรัพยากรบุคคล ที่สำคัญที่สุดใน 3 M คือ M-Man สำึคัญที่สุด
Youtube เพลง คนเก่งคนดี - จาก ละครทางช้างเผือก

http://www.youtube.com/watch?v=pOOhx7pVbQI&list=QL

  

[Samrotri2517]

         ขอขอบคุณเวบข่าวสดรายวัน วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7237
         http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNVEl5TURrMU13PT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1DMHdPUzB5TWc9PQ==
         "นาซ่า"ซื้อ"หุ่นยนต์"สายพันธุ์อังกฤษ นำเที่ยวศูนย์อวกาศชื่อดัง

                              

         สำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา หรือ "นาซ่า" ลงทุนควักงบประมาณ 3.3 ล้านบาท ซื้อหุ่นยนต์ฮิวมา นอยด์ หรือหุ่นยนต์เหมือนคน รุ่นโรโบ เธสเปียน (RoboThespian) จากบริษัทเล็กๆ ในเมืองคอร์นวอลล์ของอังกฤษ เพื่อนำมาใช้เป็นหุ่นยนต์มัคคุเทศก์นำเที่ยวใน "ศูนย์อวกาศเคนเนดี้" ที่แหลมคานาเวอรัล รัฐฟลอริดา ขณะกำลังเตรียมจะส่งหุ่นยนต์ รุ่นอาร์ทู โรโบ นอต (R2 Robonaut) ไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ หรือ "ไอเอสเอส" ช่วงปลายปีนี้

         หุ่นยนต์ดังกล่าวสื่อสารกับผู้ชมและพูดสคริปต์ได้ถึง 15 ภาษา มีรอยยิ้ม มีอารมณ์ขัน แสดงอารมณ์ได้หลากหลาย สามารถเพิ่มเนื้อหาที่อยากให้พูดลงไปได้ ตัวหุ่นยนต์ทำงานด้วยระบบอัดอากาศ ตัวบอดี้ทำจากอะลูมิเนียม เป็นผลงานของบริษัทเอนจิเนียร์ อาร์ต ที่มีพนักงานแค่ 7 คนเท่านั้น

         โรโบเธสเปียนพัฒนาไว้ 3 เวอร์ชั่น คือ ไลต์ สแตน ดาร์ด และเดอลุกซ์ ซึ่งเหมาะกับการจ้างไปออกงานที่แตกต่างกันออกไป รุ่นเดอลุกซ์ที่หรูสุดนั้นมีราคา 3.8 ล้านบาท มีฟังก์ชันการ ทำงานครบเครื่องกว่าเพื่อน เช่น ขากล และบรรจุข้อมูลสำหรับลูกค้าเอาไว้แล้ว

         บริษัทเอนจิเนียร์ อาร์ต เริ่มพัฒนาหุ่นยนต์ตั้งแต่ปี 2549 เพื่อนำไปร่วมโครงการโรงหนังจักรกลของเอเดน โปรเจ็กต์ ในเมืองคอร์นวอลล์ และมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการให้โลกรู้จักในที่ประชุมสมาคมศูนย์วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นครลอสแองเจลิส เมื่อปี 2550 สาธิตการพูดหลายภาษาและการสื่อสารกับผู้ชม หน้าจอสั่งการเป็นระบบสัมผัส ช่วยให้ผู้ใช้งานตั้งโปรแกรมการเคลื่อนไหวเป็นชุดๆ

         วิล แจ๊กสัน เจ้าของบริษัทเอนจิเนียร์ อาร์ต กล่าวว่า "เราภาคภูมิใจมากๆ ถือเป็นผลสำเร็จของความพยายามด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยม เราเอาชนะบริษัทผลิตหุ่นยนต์ชั้นนำมากมายทั้งจากสหรัฐเองและญี่ปุ่น"