24 พฤศจิกายน 2567, 06:18:10
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 187 188 [189] 190 191 ... 472   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุยกับ เหยง 16 - พิเชษฐ์ เชื่อมฯ-เตรียมฉลอง 100 ปี หอซีมะโด่ง จุฬาฯ  (อ่าน 2609214 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 25 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4700 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2554, 09:38:23 »

ด่าว่า "เจ้าสัว......"คนไหนเนี่ย......คุ้นๆ จัง

คนพันธุ์นก
ถูกทุกข้อ12 ธันวาคม 2554 - 00:00

เรียน สามวาสองศอก
    ท่านเคยได้ยินนิทานเรื่อง นกกระจาบ ไหม นกกระจาบไม่เคยทำนา แต่มันมีหน้าที่กินข้าวของชาวนา กินกันหมดไปทีละแปลง สองแปลง จนหมดนาแล้วมันก็โบยบินไปแสวงหาแหล่งนาอื่น ไม่เคยย้อนคืนมาขี้ใส่หรือทำลายชาวนาให้วิบัติ ไม่เคยคิดจะเป็นผู้จัดการนาเสียเอง แล้วไล่ชาวนาให้ไปเป็นขี้ข้ามันตลอดกาล
    มนุษย์พันธุ์นกกระจาบมีอยู่เหลือล้นบนแผ่นดินไทย ถ้าอยากรู้ว่าเป็นใครก็สังเกตดูได้จากพฤติกรรมของมัน แต่มันก็แค่อาศัยกินข้าวในนาที่มันไม่ได้มีส่วนได้เพาะปลูก แล้วมันก็โบยบินไปแค่นั้น อันตรายมันยังไม่มหันต์ เห็นกันได้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แผ่นดินไทยยังอุดมสมบูรณ์พอเพียงที่จะเลี้ยงนกกระจาบได้อีกหลายๆ ฝูง แต่อนาถนกกระจาบพันธุ์วิบัติที่ว่า ที่ต้องการให้ชาวนาเป็นขี้ข้ามันตลอดกาล
    มนุษย์พันธุ์นี้ แรกเริ่มเดิมทีเป็นมนุษย์เรือแพร่เชื้อมาจากซัวเถา ไม่ยึดติดเผ่าแผ่นดินเกิด เตลิดเปิดเปิงเอาพันธุ์ของตนไปประเทศเอกราชอยู่ถิ่นอื่น รวมถึงถิ่นไทย เรียกว่าพวกมันกบฏเผ่ามาแล้วแต่เบื้องต้น เอาพันธุ์มาตกหล่นอยู่ในแผ่นดินไทยก็มาก คนที่ชอบเอ่ยปากถามใครต่อใครว่า "เป็นคนไทยหรือเปล่า?" นั่นแหละตัวดีนัก ลองสืบเทือกเถาเหล่ากอดูซิ หน่อเนื้อเชื้อไขพันธุ์นกกระจาบทั้งนั้น
    แม้ตอนนี้จะมีนกกระจาบหลากหลายพันธุ์จากทั่วสารทิศ แต่อิทธิฤทธิ์ไม่ร้ายเท่านกกระจาบพันธุ์แท้ที่แช่แป้งฝังตัวอยู่กินบนแผ่นดินไทยมาตั้งแต่ดั้งเดิม จนเหิมเกริมจะยึดที่นาไทยให้ชาวนาไปเป็นขี้ข้ามันอยู่ทุกวี่ทุกวัน สำนึกนั้นมีอยู่ในรอยหยักสมองกันบ้างหรือเปล่า!
    กอบโกย ตักตวง เอารัดเอาเปรียบ แล้วเหยียบคนไทยรากหญ้าเอาไว้ใต้อุ้งบาทให้เป็นทาสมันตลอดกาล ชำนาญประชาสัมพันธ์ว่าข้ารู้วิธีรวยแล้วจะสอนรวยให้กับเรา ตัวเขารวยพอแล้วเพื่อวางแนวให้เหยื่อตายใจ แล้วถือโอกาสเขมือบใหญ่ เมื่อเราส่วนใหญ่เอาอำนาจไว้วางใจไปไว้ที่มือมัน
    รวยพอแล้วเป็นวาทะลวง ไม่มีคนไหนที่ศรัทธารวยหรือเป็นโรครวยขึ้นสมอง ซึ่งเป็นโรคทางใจไม่ใช่โรคทางกายที่อยากจะเรียกใจหรือโรคจิตชนิดนั้นว่า "โรคจิตติดรวย" คนพวกนี้สมมุติว่ามีรายได้วันละ 10 ล้าน วันไหนเกิดรายได้ตกเหลือ 6 ล้าน กินไม่ได้ นอนไม่หลับแล้ว ทั้งๆ ที่การขับเคลื่อนชีวิตของมันเหมือนเรา 3 มื้อต่อหนึ่งหลับ เงินร้อยก็ขับเคลื่อนชีวิตได้ในแต่ละวัน แต่ทำไม 6 ล้านไม่พอ ก็เพราะมันเป็นโรคจิตติดรวย อันตรายเสียยิ่งกว่าโรคทางกายที่ว่าร้ายแรงเป็นไหนๆ
    ผูกขาดตัดตอนเอาธุรกิจหลักของแผ่นดินไปเก็บเกี่ยวกินอยู่แต่ผู้เดียว ปล่อยให้เราพวกรากหญ้าแห้งเหี่ยวหัวโต แล้วจะโอ่ตนเองว่ามีบุญที่มีได้มากกว่า แต่ไอ้ที่มากกว่าจน "ล้นเกิน" แล้วเพลิดเพลินเอาเงินที่เอารัดเอาเปรียบแผ่นดินมาถล่มทำลายแผ่นดิน ให้แตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอยู่ในปัจจุบันนี้ มันเป็นบุญของแผ่นดิน บุญของประเทศ หรือบุญของคนไทยด้วยหรือไร?
    เพราะเงินทุกบาทในกระเป๋ามัน มันก็กอบเอาไปได้จากผืนแผ่นดินนี้ แทนที่จะมีคุณูปการต่อแผ่นดินเกิด กลับเตลิดเอามาถล่มทลายเพื่อสนองตัณหาอยากใคร่อยากได้อยากมีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของมัน น่าสงสารแผ่นดินไทยและคนไทยรากหญ้า ที่รอยหยักสมองไม่ได้มีเหลี่ยมซับซ้อนได้เหมือนมัน
    เงินก็คือเงิน จ้างผีโม่แป้งได้ คนไทยบางส่วนเลยกลายเป็นผี รับจ้างโม่แป้งกันได้อย่างสนุกมือ โดยไม่เคยสำนึกเฉลียวใจว่าท่านกำลังทำลายแผ่นดินถิ่นเกิดร่วมกับมัน มนุษย์พันธุ์นกกระจาบอุบาทว์
    ก่อนจากอยากจะฝากเพลง "กาฝากแผ่นดิน" ซึ่งร้องได้ตามทำนอง "ฝนหลวง" เพลงรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทาน ประจำปี 2522 ของกระผมที่แต่งไว้ เพื่อให้ท่านได้คลายเหงาเอาไว้สักเพลง
            ผืนดินถิ่นทองของคนถิ่นไทย
        ถึงจะอยู่ไกลเหนือใต้ออกตก
        แผ่นหินดินที่เห็นเป็นมรดก
        ล้วนสืบตกปู่ย่าตายาย
            ถึงปัจจุบันขวานดินถิ่นทอง
        นกกาจับจองเหมือนของจับจ่าย
        ด้วยม้าเชื่องตัวนี้อารีทุกฝ่าย
        เสียดายแทนลูกหลาน
            เมื่อนาข้าวกล้างามนกตามจิกกิน
        ครั้นพออิ่มลิ้นนกก็บินผ่าน
        เหลือเพียงฟางข้าวให้ชาวนาทาน
        คงสุขสราญด้วยการลิ้มซาก
            ผืนดินถิ่นทองของคนถิ่นใด
        หลานไทยลูกไทยถึงได้ลำบาก
        เจ้าของต้องขัดสนทุกข์ทนอดอยาก
        เหมือนกาฝากแผ่นดิน....หรือเพราะกาฝากแผ่นดิน

                                บริสุทธิ์ จิณวุฒิ

ตอบ คุณบริสุทธิ์
    ประเทศไทยนอกจากมีมนุษย์พันธุ์นกกระจาบแล้ว ยังมีกาฝากและอีแร้งรุมทึ้งแผ่นดินอย่างที่เห็นกันอยู่ขณะนี้


http://www.thaipost.net/news/121211/49506
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4701 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2554, 09:41:10 »

ว่าด้วยเรื่อง"พลังเงียบ"

พลังเงียบ

เรียน คุณสามวา สองศอก
    สังเกตไหมครับ กำลังหยั่งเสียงประชาชนที่เป็นพลังเงียบในช่วงนี้เกี่ยวกับสถาบัน ฝ่ายที่รักและไม่รักไม่เอา มีฝ่ายละ 25%, พลังเงียบ 50% มีก็ได้ไม่มีก็ได้เพราะอะไรเขาย่อมรู้อยู่แก่ใจ
    เป็นไปได้อย่างไร เฟซบุ๊กของนายกฯ ลงรูปผิดเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ ร.8 ช่วงพระชนมพรรษาในวัยรุ่นราว 20 พรรษา และหยิบฉวยมาได้ง่ายๆ หรืออย่างไร ต่างกับพระบรมฉายาลักษณ์ของ ร.9 ที่หาได้ง่ายและสังเกตได้ง่ายแตกต่างกันมาก พระบรมฉายาลักษณ์ช่วงที่ทรงเป็นวัยรุ่นกับช่วงที่พระชนมพรรษา 50 พรรษาขึ้นไป นี่หรือไม่เจตนา?
    มาเรื่องการบินไทยประกาศว่าขาดทุน จำได้ว่าปีที่แล้วประกาศกำไรมหาศาล เพราะมีผู้บริหารที่เก่งกาจสามารถ ไหงพลิกกลับหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะวิกฤติน้ำท่วมนักท่องเที่ยวไม่มา หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่ "คนการบินไทยทั้งหมดที่เป็นพลังเงียบ" ย่อมรู้ดี แล้วเราๆ จะไปเสือ-กอะไรกับเขาด้วยล่ะครับ คุณสามวาฯ เงินเดือน-โบนัสก็ไม่ได้รับ ต้องจ่ายค่าโดยสารเต็มราคาอีกต่างหาก
                                  นายน่าเบื่อ

ตอบ นายน่าเบื่อ
    พลังเงียบคนไทยก็คือ พลังผู้ตาม ไม่ใช่ผู้นำ เพราะคนกลุ่มนี้ต้องดูท่าทีสถานการณ์หรือรอให้ฝุ่นหายตลบ จะได้เลือกข้างถูกว่าฝ่ายไหนชนะก็อยู่ข้างนั้น เพราะไม่ต้องการเป็นฝ่ายแพ้ การเลือกตั้งก็เป็นเช่นนั้นแหละ พลังเงียบจะคอยดูกระแสไปทางไหนก็โหนไปทางนั้น
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4702 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2554, 09:42:53 »

ตามด้วย "ความรู้ภาษาไทย"

ความรู้ภาษาไทย

เรียน คุณสามวา สองศอก ที่รักและนับถือ
    ผม "ลุงผ่อง" ขออนุญาตทำความเข้าใจเพื่อความถูกต้องกับ คุณบริสุทธิ์ จิณวุฒิ ผู้เขียน "ตั้งชื่อควายโคลนนิง" ลงคอลัมน์ "ถูกทุกข้อ" ไทยโพสต์ ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2554 ตอนท้ายได้อ้างพระนิพนธ์กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งผมตัดมาปะไว้ ณ ตรงนี้
    ที่ว่า พฤษ(วัว) กาสร(ควาย) กุญชร(ช้าง) เสน่ง(เขา) ถูกต้องแล้ว แต่ที่ว่า โท(ษา) ทนต์(ฟัน) ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องนั้น โท แปลว่า สอง หรือ คู่  ทนต์ ในที่นี้แปลว่า งา หมายถึง งาช้าง ช้างเมื่อปลดปลงหรือล้มหรือตายก็คงเหลือ งา สองข้างคู่หนึ่ง วัวควายเมื่อปลดปลงคือตายก็คงเหลือ เขา สองข้างคู่หนึ่ง นั่นคือ โท ทนต์ เสน่ง คง คงเหลืองากับเขาอย่างละคู่ก็เปรียบเสมือน...
    นรชาติวางวาย     มลายสิ้นทั้งอินทรีย์    
    สถิตย์ทั่วแต่ชั่วดี    ประดับไว้ในโลกา
    ความดีก็ปรากฏ  กฤติยศลือชา
    ความชั่วก็นินทา  ทุรยศยินขจรฯ

    จึงเรียนมาทำความเข้าใจเพื่อความถูกต้อง และต้องขอประทานโทษ คุณบริสุทธิ์ จิณวุฒิ ด้วยนะครับ โปรดถือว่าเราแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
                            "ลุงผ่อง"

ตอบ ลุงผ่อง
    ขอบคุณครับสำหรับความรู้ภาษาไทยที่คนไทยหลายคนหลงลืมไปแล้ว แต่ลุงผ่องนำมาเผยแพร่ไว้อย่างมีประโยชน์ต่อการศึกษาและนำไปใช้ถูกต้อง
                                สามวา สองศอก
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4703 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2554, 16:31:00 »

นิคมอุตสาหกรรมฯ 7 แห่งขอกู้ผ่าน "ออมสิน" เพื่อสร้างพนังกั้นน้ำ
โดยขอผ่อนคืน 15 ปี (จากเดิมให้ผ่อนคืนภายใน 7 ปี) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ส.ต.ต่อปี


7 นิคมจมน้ำ วิ่งขอใช้สิทธิ์กู้แบงก์ออมสิน ดบ.ต่ำพิเศษ 0.01% - สหรัตนนครร่อแร่
วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 11:06:31 น.
 
7 นิคมจมน้ำวิ่งเจรจาแบงก์ออมสินขอใช้สิทธิ์เงินกู้ดอกเบี้ย (โคตร) ถูก 0.01% เพื่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วม ธ.ออมสินชี้ "โรจนะ-บางปะอิน" คืบหน้าสุด นิคมโรจนะเสนอขอกู้ 2,000 ล้านบาท เผยอยู่ในขั้นตอนรอ ส.วิศวกรรมสถานอนุมัติแบบ แจงตามแผนต้องเร่งสร้างให้เสร็จก่อน มิ.ย. 55 เผยส่วนใหญ่เป็นการสร้างกำแพงสูง 4.5 เมตร ขณะที่ "สหรัตนนคร" ลำบาก ติดอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ออมสินยอมรับฐานะการเงินมีปัญหาไม่กล้าปล่อยกู้

จากที่ ครม.มีมติให้ธนาคารออมสินทำหน้าที่ปล่อยกู้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษ 0.01% ต่อปี ระยะเวลา 7 ปี ให้แก่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรม เพื่อการลงทุนระบบป้องกันอุทกภัยวงเงิน 15,000 ล้านบาท โดยที่รัฐบาลจะรับภาระในการชดเชยส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยให้กับธนาคารออมสินตลอด 7 ปี เป็นมูลค่าไม่เกิน 4,431 ล้านบาท

นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้นิคมอุตสาหกรรมติดต่อขอกู้เงินเข้ามาแล้ว อาทิ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ นิคมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดอยุธยา และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี จังหวัดปทุมธานี โดยที่คืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุดก็คือ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ที่ขอกู้ 700 ล้านบาทเพื่อสร้างกำแพงป้องกันน้ำรอบพื้นที่ประมาณ 2,000 ไร่ ซึ่งมีการส่งแบบก่อสร้างที่มีองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (ไจก้า) เป็นที่ปรึกษา รวมทั้งนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 6,700 ไร่ มีบริษัท ช.การช่าง เป็นที่ปรึกษาการออกแบบก่อสร้าง คาดว่าจะขอใช้วงเงินสินเชื่อประมาณ 2,000 ล้านบาท

ส่วนกรณีที่นิคมอุตสาหกรรมต้องการขอขยายระยะเวลากู้ถึง 15 ปีนั้น นายเลอศักดิ์ชี้แจงว่า นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง มีนโยบายต้องการให้หลังปีที่ 7-15 เป็นการคิดอัตราดอกเบี้ยปกติของธนาคาร จึงเป็นไปตามนั้น

ขณะที่นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มการตลาด เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตามแผนของรัฐบาล ต้องการให้นิคมอุตสาหกรรมเร่งก่อสร้างแนวป้องกันอุทกภัยให้แล้วเสร็จก่อนน้ำหลากปีหน้า คือประมาณเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2555 โดยขณะนี้ทั้ง 7 นิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมได้มีการเข้ามาหารือเบื้องต้นเกี่ยวกับการขอสินเชื่อแล้ว แต่ที่มีความพร้อมมากที่สุดคือนิคมบางปะอิน และนิคมโรจนะ

นายพิศิษฐ์กล่าวว่า การพิจารณาปล่อยกู้ธนาคารจะต้องประเมินความเสี่ยง 2 ด้านคือ สถานะการเงินของนิคม และโอกาสที่จะเรียกเก็บค่าส่วนกลางจากโรงงานในนิคม ดูความสามารถในการชำระหนี้ เพื่อพิจารณาว่าจะสามารถอนุมัติได้ตามวงเงินที่ขอมาหรือไม่ และเมื่อแบบก่อสร้างได้รับการรับรองจากสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการยุทธศาสตร์น้ำที่จะทำหน้าที่กลั่นกรองด้วย

จากแผนของนิคมอุตสาหกรรมที่เสนอมา ส่วนใหญ่จะเป็นการสร้างระบบระบายน้ำและกำแพงป้องกันน้ำให้สูงกว่าระดับน้ำที่คาดว่าจะสูงที่สุดในรอบ 70 ปี แล้วบวกเพิ่มอีก 50 เซนติเมตร ซึ่งก็จะอยู่ที่ประมาณ 4.50 เมตร

"ตอนนี้ประเด็นคือ ตามที่รัฐบาลมีเงื่อนไขให้กู้ 7 ปี แต่ทางผู้ประกอบการนิคมต้องการจะขอยืดไปเป็น 15 ปี เพราะว่าถ้า 7 ปี การผ่อนจ่ายจะสูง ทำให้ต้องไปเก็บค่าส่วนกลางจากโรงงานในนิคมต่อเดือนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เช่น เดิมที่เก็บอยู่เดือนละ 1,000 บาทต่อเดือนต่อไร่ อาจจะต้องเพิ่มเป็น 2,500 บาทเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลก็มีนโยบายชัดว่า ถ้าต้องการยืดเป็น 15 ปี ก็จะให้ไปใช้

คอมเมอร์เชียลเรตของธนาคาร แต่ผู้ประกอบการก็ยังเรียกร้องอยู่ อย่างไรก็ตามสุดท้ายภาระต้นทุนเหล่านี้ทางนิคมก็จะผลักภาระไปให้โรงงาน" นายพิศิษฐ์กล่าวและว่า

สำหรับกรณีของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร จังหวัดอยุธยา ก็ได้เข้ามายื่นเรื่องขอเงินกู้เช่นกัน แต่เนื่องจาก บริษัทยังอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการทำให้การดำเนินการต่าง ๆ ค่อนข้างมีปัญหา ซึ่งทางแบงก์ก็ชี้แจงว่า หากจะกู้ก็ต้องให้ศาลมีคำสั่งชี้ขาดว่าในแผนการชำระหนี้จะต้องให้แบงก์ออมสินเป็น เจ้าหนี้อันดับแรก ไม่เช่นนั้นแบงก์ก็ปล่อยกู้ให้ไม่ได้

"กรณีสหรัตนนครค่อนข้างมีปัญหา เพราะระหว่างผู้ถือหุ้นเดิมกับผู้บริหารแผนก็มีมุมมองไม่เหมือนกัน ทั้งยังมีฝ่ายของเจ้าหนี้อีก ดังนั้น ถ้าจะให้ออมสินปล่อยกู้ก็ต้องไปเคลียร์กับศาลก่อนว่า ศาลจะต้องให้เราเป็นเจ้าหนี้อันดับแรก ทางนิคมต้องไปเคลียร์ ถ้าไม่เคลียร์แล้วมาขอกู้เราจะให้ได้ยังไง" นายพิศิษฐ์กล่าว

ส่วนกรณีที่หากจะมีผู้ประกอบการนิคมนอกเหนือจาก 7 รายที่ประสบอุทกภัยมาขอสินเชื่อ นายพิศิษฐ์ระบุว่า คงต้องขึ้นกับรัฐบาล แต่ทางแบงก์ออมสินไม่ปิดโอกาส พร้อมจะจัดสรรวงเงินให้ได้หากวงเงินเพียงพอ ซึ่งต้องรอให้ได้ข้อสรุปชัดเจนอีกครั้ง เพราะทุกนิคมก็ต้องการกู้

รองผู้อำนวยการแบงก์ออมสินยืนยันว่า ธนาคารมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะรองรับการดำเนินการตามนโยบายรัฐ โดยมีสภาพคล่องส่วนเกินเกือบ 200,000 ล้านบาท ณ ปัจจุบันมีทรัพย์สินเพิ่มจากปลายปีที่แล้วประมาณ 300,000 ล้านบาท ขณะที่การปล่อยสินเชื่อใหม่ปีนี้น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะปล่อยสินเชื่อใหม่ 21,000 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า หลังจากน้ำในพื้นที่ลดลง นิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร, เขตประกอบการสวนอุตสาหกรรมโรจนะ, นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค), บางปะอิน, เขตประกอบการอุตสาห กรรมแฟคตอรี่แลนด์, สวนอุตสาหกรรมบางกะดี และเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร ต่างก็เร่งจัดทำแผนฟื้นฟูนิคม ในจำนวนนี้นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครดูจะประสบปัญหาหนัก เพราะยังติดอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ

โดยนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ปัจจุบันบริหารงานโดยบริษัทสหรัตนนคร อยู่ในสถานะ NPL มีหนี้สินรวมกว่า 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินต้นจากการกู้ยืมประมาณ 2,600 ล้านบาท ดอกเบี้ยเงินกู้ประมาณ 3,400 ล้านบาท โดยมีบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เป็นเจ้าหนี้

สหรัตนนครมีพื้นที่ประกอบการ 1,441 ไร่ มีผู้ประกอบการ 46 โรงงาน ส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์-ชิ้นส่วนรถยนต์-แม่พิมพ์-สิ่งทอ และรองเท้า อาทิ บริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ คาลพิส เบเวอเรจ, บริษัท เฟิสท์ แอพพาเรล (ไทยแลนด์), บริษัทเชียงไทย นิตติ้ง และบริษัท เอคโค่ (ประเทศไทย) ตัวนิคมมีเพียงคันดินเก่ายาวประมาณ 13 กิโลเมตรล้อมรอบเท่านั้น นับเป็นนิคมแห่งแรกที่ถูกน้ำท่วมสูงกว่า 3 เมตรตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ผลประเมินความเสียหายเบื้องต้นประมาณ 8,072 ล้านบาท

น.ส.มณฑนิจ สุทธิศิริ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีเอ็มบี จำกัด ในฐานะผู้บริหารแผนฟื้นฟูของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครกล่าวว่า ตัวนิคมกำลังอยู่ในระหว่างการฟื้นฟู รวมถึงการลงทุนเพิ่มเติมในการทำเขื่อนป้องกันน้ำท่วมในอนาคต โดยบริษัทอยู่ระหว่างการขออนุมัติจากเจ้าหนี้คือ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ว่าจะอนุมัติให้กู้เงินใหม่หรือไม่ รวมทั้งกำลังเจรจากับธนาคารออมสินเพื่อขอเงินกู้ดอกเบี้ยพิเศษ แต่ยังติดเงื่อนไขบางประการ

นอกจากนี้ บริษัทต้องการขอขยายระยะเวลาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 0.01% จาก 7 ปี เพิ่มเป็น 15 ปี เนื่องจากบริษัทประเมินการลงทุนสร้างเขื่อนความยาวกว่า 13 กิโลเมตรนั้น อาจจะต้องใช้เงินมากกว่า 100 ล้านบาท ฉะนั้นระยะเวลากู้ที่กำหนดไว้เดิมอาจจะไม่เพียงพอ และเมื่อทั้ง 2 ขั้นตอนข้างต้นได้รับการอนุมัติจากเจ้าหนี้และธนาคารแล้ว บริษัทยังต้องขออนุญาตจากศาลในการกู้เงินด้วย

 
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1323662766&grpid=00&catid=00
      บันทึกการเข้า
บ่าวหน่อ เมืองพลาญ
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2540
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 490

เว็บไซต์
« ตอบ #4704 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2554, 16:57:06 »

โรงงานที่ผมทำอยู่ อยู่นิคมไฮเทค บ้านหว้า ตอนนี้ ก็ค่อนข้างสาหัสครับ พนักงาน Sub contractor โดนปลดหมด เห็นใจลูกน้อง บางคนเพิ่งจะผ่อนรถมอเตอร์ไซค์ บางคนผ่อนทีวี เครื่องซักผ้า ต้องมาโดนปลดแบบกระทันหัน

น่าสงสารสุด คือ กำลังมีลูกน้อย.....

ตอนนี้ยังไม่รู้จะไปทำอะไรกิน
      บันทึกการเข้า

RCU80 จงเจริญ
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4705 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2554, 19:59:14 »

หน่อ

ไม่ทราบว่า พนักงานมีประกันสังคมหรือไม่
ปลดออกก็ต้องแจ้ง เพื่อรับสวัสดิการเป็นเงินร้อยละ 50 ของเงินเดือนที่แจ้ง ไม่เกิน 6 เดือน
ซึ่งก็คงจะพอกล้อมแกล้มไปได้สักพัก เมื่อบวกกับเงินชดเชย(ถ้าได้) แต่หากไม่มีเงินชดเชยก็น่าจะขัดสนพอดู


แต่หากไม่มีประกันสังคมเลย แย่หนักกว่าเก่าอีก
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4706 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2554, 20:00:57 »

ประกาศเตือนภัย
"อากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทยตอนบนและคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้"

ฉบับที่ 15 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2554
 
     บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนยังคงแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้
ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล มีอากาศหนาวเย็น กับมีลมแรง และอุณหภูมิลดลง 1-3 องศา สำหรับพื้นที่ภูเขาสูงจะมีอากาศหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งเกิดขึ้นได้บางแห่ง จึงขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากอากาศที่เปลี่ยนแปลงในระยะนี้
อนึ่ง มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ยังคงมีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้ฝั่งตะวันออกตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปมีฝนฟ้าคะนองกระจายและมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ส่วนอ่าวไทยมีคลื่นลมแรง โดยอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณชายฝั่งทะเลระวังอันตรายจากคลื่นสูง และลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง สำหรับชาวเรือขอให้เดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

ประกาศ ณ วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ออกประกาศ เวลา 05.30 น.

สำนักพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา
 
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4707 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2554, 20:13:14 »

มีพยากรณ์ว่า ช่วงวันสิ้นปี ภาคใต้จะมีพายุค่อนข้างแรง ซึ่งคงต้องติดตามสภาพอากาศในช่วงใกล้เวลานั้นอีกที

      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4708 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2554, 20:22:29 »

ฉบับล่าสุด ณ เวลา 16.30 น.............
ภาคเหนือมีอากาศหนาวเย็นขึ้น โดยอุณหภูมิจะลดลงอีก 1-3 องศา โปรดระมัดระวังสุขภาพ
ในขณะที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออกคลื่นลมแรงขึ้น เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง


ประกาศเตือนภัย
"อากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทยตอนบนและคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้"

ฉบับที่ 17 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2554
 
     บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
มีอากาศหนาวเย็น กับมีลมแรง และอุณหภูมิลดลง 1-3 องศา สำหรับพื้นที่ภูเขาสูงจะมีอากาศหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งเกิดขึ้นได้บางแห่ง จึงขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากอากาศที่เปลี่ยนแปลงในระยะนี้
อนึ่ง มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ยังคงมีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้ฝั่งตะวันออกตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปมีฝนฟ้าคะนองกระจายและมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ส่วนอ่าวไทยมีคลื่นลมแรง โดยอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณชายฝั่งทะเลระวังอันตรายจากคลื่นสูงและลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง สำหรับชาวเรือขอให้เดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

ประกาศ ณ วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ออกประกาศ เวลา 16.30 น.


สำนักพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

 

      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4709 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2554, 20:29:38 »

การคาดหมาย สภาวะอากาศใน 7 วันข้างหน้า................

พยากรณ์อากาศ 7 วัน ระหว่างวันที่ 12 ธันวาคม 2554 - 18 ธันวาคม 2554
การคาดหมาย  ในช่วงวันที่ 12-14 ธ.ค. 2554 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนและมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่ปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อยโดยที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลยังมีอากาศหนาวเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า ส่วนภาคใต้ยังคงมีฝนตกอยู่ในเกณฑ์กระจายและคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังแรง ความสูงของคลื่น 2-3 เมตร
ในช่วงวันที่ 15-18 ธ.ค. 2554 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงแรงจากประเทศจีนระลอกใหม่แผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีอากาศหนาวเย็นและอุณหภูมิจะลดลง ส่วนมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือทีพัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองกระจายและมีฝนตกหนักทางตอนล่างของภาค และคลื่นลมแรงขึ้นด้วย โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร

ข้อควรระวัง   ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงอย่างรวดเร็ว สำหรับประชาชนบริเวณภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปให้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและพื้นที่บริเวณแนวชายฝั่งให้ระวังคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง และขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งตลอดช่วง

ภาคเหนือ ในช่วงวันที่ 12-13, 16-18 ธ.ค. อากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 13-19 องศา อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศา สำหรับบริเวณยอดดอย มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 4-10 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ในช่วงวันที่ 14-15 ธ.ค. อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 16-21 องศา อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศา สำหรับบริเวณยอดดอย มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-10 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ในช่วงวันที่ 12-14 ธ.ค. อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย อากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 13-19 องศา สำหรับบริเวณยอดภู มีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-13 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ในช่วงวันที่ วันที่ 15-18 ธ.ค. อุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-14 อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศา สำหรับบริเวณยอดภู มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-10 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม.

ภาคกลาง  ในช่วงวันที่ 12-15 ธ.ค. อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.ในช่วงวันที่ 16-18 ธ.ค. อากาศเย็นถึงหนาวและลมแรง อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 14-19 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-19 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

ภาคตะวันออก  ในช่วงวันที่ 12-15 ธ.ค. อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ในช่วงวันที่ 16-18 ธ.ค. อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศา อากาศเย็นกับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 16-21 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-19 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร ห่างฝั่งมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  ในช่วงวันที่ 13-15 ธ.ค. ตั้งแต่จังหวัดสุราษฏร์ธานีลงไป มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ในช่วงวันที่ 16-18 ธ.ค. ตั้งแต่จังหวัดชุมพรขึ้นมา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป มีฝนฟ้าคะนองกระจายถึงเกือบทั่วไป ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-45 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-4 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ตลอดช่วง อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  ในช่วงวันที่ 12-15 ธ.ค. อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 20-22 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ในช่วงวันที่ 16-18 ธ.ค. อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศา อากาศเย็นกับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 18-19 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.


ออกประกาศ 12 ธันวาคม 2554



      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4710 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2554, 21:14:30 »

รองนายกฯ เล่นโชว์ผลงานแบบทำคนเดียว จน รมต.คลังมีสิทธิ์ถูกปลดจาก ครม.

ยันนโยบายค่าแรงแพงไม่ฉุดตลาดส่งออก "โต้ง"ยาหอมไม่ขึ้นภาษีทุกประเภท
วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7683 ข่าวสดรายวัน


นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ กล่าวปาฐกถาในการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 29 ที่จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ยืนยันว่าในวันที่ 1 เม.ย. 2555 นี้ จะมีการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท เพื่อเป็นการกระจายรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานไทย เนื่อง จากปัจจุบันผู้ประกอบการใช้แรงงานต่างด้าวมากกว่าแรงงานไทย โดยสาเหตุหนึ่งมาจากอัตราค่าจ้างไม่จูงใจ และปัจจุบันแรงงานต่างด้าวเหล่านี้ก็ขยายครอบครัว ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคม การจัดการระบบการศึกษาของไทย ดังนั้นรัฐบาลจึงยืนยันว่าจะมีการปรับค่าแรงตามที่ได้ประกาศไว้ ที่สำคัญคือจะไม่มีการประกาศขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีใดๆ อีก เพราะถือว่าแรงงานเหล่านี้เป็นผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้ว

นายกิตติรัตน์กล่าวอีกว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกหรือทำให้ไทยสูญเสียศักยภาพในการแข่งขันเพราะมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าคู่แข่ง เนื่องจากหลังจากมีการจ่ายค่าแรงมากขึ้น ตนเชื่อว่าแรงงานเหล่านี้จะมีแรงจูงใจในการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพมากขึ้นทำให้สินค้าของไทยยังเป็นที่ต้องการของต่างประเทศ และแม้ว่าในปีนี้ประเทศไทยจะเกิดปัญหาอุทกภัยขึ้น เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่ยังมีอัตราการเติบโตได้ดีเห็นได้จากการส่งออกในช่วง 8 เดือนแรก ยังมีอัตราเติบโตสูงถึง 27% และทั้งปีจะโตไม่ต่ำกว่า 15%

นายกิตติรัตน์ยังให้ความมั่นใจกับภาคเอกชนอีกว่าในฤดูฝนที่จะถึงนี้ น้ำจะไม่ท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ แต่อาจจะท่วมเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจที่ไม่สำคัญซึ่งจะต้องมีการพิจารณาในเรื่องของการจ่ายค่าชดเชยหรือการเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ทำฟลัดเวย์ต่อไปรวมทั้งการบริหารจัดการน้ำที่รัฐบาลได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ในส่วนของการบริหารลุ่มน้ำทั้ง 25 ลุ่มน้ำ ซึ่งถือว่าเป็นรัฐบาลแรกที่ได้ประกาศนโยบายดังกล่าวซึ่งจะได้ดำเนินการตามแผนแม่บทการจัดการลุ่มน้ำที่ได้มีการจัดทำขึ้นตั้งแต่ปี 2543

"โครงการระยะสั้นจะเห็นเป็นรูปธรรมในอีก 3-5 เดือนนี้ ซึ่งเป็นการขุดลอกคูคลองซ่อมประตูระบายน้ำเพื่อให้ทันต่อฤดูฝนที่จะถึงในเดือนพ.ค. 2555 นี้ ส่วนโครงการระยะยาวคือการทำทางระบายน้ำหรือฟลัดเวย์นั้น เป็นโครงการระยะยาวที่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ และยืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินการในโครงการต่างๆ หลังน้ำท่วมอย่างรอบคอบและไม่ให้เกิดการทุจริตขึ้น" นายกิตติรัตน์กล่าว

รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจกล่าวด้วยว่า รัฐบาลจะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางความร่วมมือกับเอกชนใหม่เพื่อให้สอดคล้องกัน ซึ่งในหลายโครงการเอกชนก็สามารถดำเนินการที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในหลายพื้นที่อย่างชัดเจน โดยเฉพาะโครงการ 1 ไร่ 1 แสน ซึ่งรัฐบาลจะเร่งจัดทำโครงการกระจายรายได้สู่ภูมิภาค เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น ทั้งนี้ เชื่อว่าหากทุกขั้นตอนมีความเป็นธรรมการเติบโตทางเศรษฐกิจจะสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องแน่นอน

หน้า 9

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHdNakV5TVRJMU5BPT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1TMHhNaTB4TWc9PQ==
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4711 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2554, 21:24:59 »

ปลายทางคือ อำเภอพุทธมณฑล สามพราน รวมไปถึงอำเภออ้อมน้อย เมืองสมุทรสาครแห้งแล้ว
ถึงเริ่มสูบที่อำเภอนครชัยศรี ต้นทางของแม่น้ำท่าจีน ??


บรรหาร-อธิบดีกรมชลตรวจการระบายน้ำที่ อ.นครชัยศรี
วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2011 เวลา 19:14 น. สุวิภา บุษยบัณฑูร ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ   
 
วันนี้ (12ธ.ค.) นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทานได้ลงพื้นที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ตรวจการระบายน้ำที่ประตูระบายน้ำคลองโยง และประตูระบายน้ำมหาสวัสดิ์ พื้นที่ชลประทานที่รับน้ำจาก จ.นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม และกรุงเทพมหานครฝั่งธนบุรี หลังติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติม ช่วยให้ขีดความสามารถในการระบายน้ำออกจากทุ่งพระพิมลออกสู่แม่น้ำท่าจีนได้กว่า 10 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ขณะนี้น้ำในทุ่งพระพิมลเหลืออยู่ประมาณ 213 ล้านลูกบาศก์เมตร กรมชลประทานจะเร่งเสริมประสิทธิภาพการสูบน้ำเพิ่มขึ้นอีกวันละ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมเพิ่มการระบายน้ำด้านแม่น้ำท่าจีนทั้งหมดวันละ 12.7 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งน้ำในทุ่งฝั่งตะวันตกออกสู่แม่น้ำท่าจีนและจะผลักดันออกสู่ทะเลต่อไป

ด้านนายชลิต แสดงความมั่นใจว่าสถานการณ์น้ำในทุ่งฝั่งตะวันตก บริเวณทุ่งเจ้าเจ็ด ทุ่งพระยาบรรลือ ทุ่งภาษีเจริญ และทุ่งพระพิมลจะลดลงจนกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายในวันที่ 20-25 ธันวาคมนี้ ประชาชนจะกลับเข้าสู่บ้านที่อยู่อาศัยได้อย่างแน่นอน


http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=97193:2011-12-12-12-56-10&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4712 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2554, 21:27:28 »

ปีหน้างบประมาณซ่อมแซมเขื่อน ประตูน้ำมากมาย ต้องขอคืนไปดูแลเอง จะได้มีเงินทอน ??

เพื่อไทย จ้องยึดเก้าอี้ ก.เกษตรคุมเอง
วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2011 เวลา 09:15 น. สุวิภา บุษยบัณฑูร ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ   
 

นายสุรสิทธิ์ เจียมวิจักษณ์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพรรคพท.เตรียมดึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จากพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.)มาดูแลเอง หลังมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)เกิดขึ้นว่า ตนเคยบอกไปแล้วว่ากระทรวงหลักอย่างกระทรวงเกษตรฯ นั้นควรอยู่ในความดูแลของพรรคพท. โดยเฉพาะหากจะบูรณาการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบควบคู่กับกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และที่ผ่านมาเป็นที่รู้กันว่ากรมชลประทาน ภายใต้การกำกับของกระทรวงเกษตรฯ นั้นมีการบริหารจัดน้ำพลาดน้ำถึงได้ท่วมกรุงเทพมหานคร ( กทม.)  ส่วนการจะดึงกระทรวงเกษตรฯกลับมาดูแลเองแล้วพรรคจะมอบหมายให้ใครเป็นรัฐมนตรีนั้น ถือเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารพรรคที่จะพิจารณา รวมทั้งต้องพิจารณาว่าจะเอากระทรวงใดที่พรรคพท.ดูแลอยู่ไปแลกกับพรรคชาติไทยพัฒนา

นายสุรสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ไม่เพียงเฉพาะรัฐมนตรีในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น แม้แต่รัฐมนตรีในส่วนของพรรคเพื่อไทยเองก็ควรต้องปรับเช่นกัน เพราะบางคนเป็นรัฐมนตรีแล้วขาลอย ไม่รับฟังความเห็นของส.ส. ทั้งๆที่ก่อนจะเป็นรัฐมนตรีนั้นก็ต้องอาศัยส.ส. เพื่อให้ชนะการเลือกตั้งก่อน  ส่วนใครควรถูกปรับออกและมีกี่คนนั้น ไม่ขอบอก เพราะเดี๋ยวจะถูกว่าเอาได้ แต่สื่อน่าจะทราบอยู่

เช่นเดียวกับนายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ รมช.เกษตรและสหกรณ์ พรรคพท. กล่าวว่า การปรับครม.ในตำแหน่งของนายธีระ วงศ์สมุทร  รมว.เกษตรฯ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล แต่หากในอนาคตรัฐบาลจะดำเนินการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนก็ต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการขอเอาโควต้ารมว.เกษตรฯคืนมาให้พรรคเพื่อไทยมาดูแล

“ที่ผ่านมาไม่ใช่นายธีระทำงานไม่ดีเป็นถึงอดีตอธิบดีกรมชลประทาน แต่เท่าที่เห็นบทบาทของนายธีระยังออกมาน้อยมากถ้าเทียบกับนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีอย่างที่เห็นในข่าว”นายพรศักดิ์กล่าว

ในขณะที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.)กล่าวว่า ตอนนี้ ตนคิดว่ายังไม่เหมาะที่มาปรับครม.เพราะมีปัญหาเร่งด่วนรอรัฐบาลให้แก้ไขอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น การสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศหลังจากปัญหาน้ำท่วม


http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=97142:2011-12-12-02-37-55&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4713 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2554, 12:36:39 »

ความรู้ เผื่อจำเป็นต้องใช้บริการ...

"น้ำท่วม"...ฟ้องใคร-อย่างไร?
13 ธันวาคม 2554 10:19 น.

 
       มหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และหลายจังหวัดทั่วประเทศ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อประชาชนมากมาย สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ความเดือดร้อนแผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง สร้างความทุกข์อย่างแสนสาหัสแก่ประชาชนกว่าครึ่งประเทศ
      
       “ สภาทนายความ” เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่เดินหน้าให้ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะเรื่องการเรียกร้องสิทธิตามกฎหมาย ที่พึงจะได้ในทุกกรณี เพื่อให้เกิดการเยียวยาอย่างเหมาะสม ซึ่งเรื่องนี้ นายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ ได้ออกแถลงการณ์ ยืนยันว่าประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนทางกฎหมายอัน เนื่องมาจากภัยพิบัติดังกล่าวสามารถใช้บริการสภาทนายความ ได้ดังนี้
      
       1. กรณีอุทกภัยเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล เช่น ทุพพลภาพ สูญหาย และถึงแก่ความตาย ผู้ประสบภัยหรือ ผู้แทนโดยชอบธรรมสามารถร้องขอให้สภาทนายความช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย เช่น การเรียกร้องค่าเสียหายหรือการเยียวยา การร้องขอต่อศาลเป็นผู้จัดการมรดก หรือร้องขอให้เป็นผู้สาบสูญตามกฎหมาย
      
       2. กรณีทรัพย์สินเสียหาย สูญหาย ผู้ได้รับความเสียหายหรือผู้แทน ร้องขอต่อสภาทนายความในการเรียกร้องผลประโยชน์จากการประกันภัยหรือผู้เกี่ยว ข้อง
      
       3. กรณีลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงานในฐานะผู้ประสบภัยหรือผู้แทน อาจร้องขอให้สภาทนายความติดต่อประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ บริษัทเอกชน หรือดำเนินคดีเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ อันพึงมีพึงได้
      
       4. ในกรณีการขอพักชำระหนี้เพราะเหตุสุดวิสัย ผู้ประสบอุทกภัยสามารถติดต่อขอให้สภาทนายความช่วยตรวจสอบเงื่อนไขข้อกำหนดใน การชำระหนี้สิน รวมทั้งการขอรับคำชี้แจงและแนวทางแก้ไขเพื่อให้ผู้ประสบอุทกภัยคลายความ กังวลใจในการชำระหนี้ในระหว่างที่ประสบภัยในครั้งนี้ และเพื่อให้กระบวนการขอผลัดผ่อนชำระหนี้ตามสิทธิทางกฎหมายเป็นไปโดยชอบ เช่น การออกจดหมายหรือหนังสือบอกกล่าวแจ้งไปยังเจ้าหนี้ตามสัญญาให้ทราบถึงระยะ เวลาที่ขอเลื่อนการชำระหนี้รวมถึงจำนวนเงินที่เกี่ยวข้อง และผู้ประสบอุทกภัยอาจขอให้สภาทนายความตอบหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้จากเจ้า หนี้ (ถ้ามี) แทนท่านให้อยู่ภายในกรอบเวลาที่ถูกต้องและทันการณ์
      
       5. ในกรณีที่ผู้ประสบอุทกภัยได้รับความเสียหายเพราะเหตุจากการกระทำการหรืองด เว้นกระทำการ หรือทำการโดยประมาทเลินเล่อจากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจนเป็นเหตุให้ท่านได้รับความเสียหายมากเกินกว่า อุทกภัยตามปกติ ท่านสามารถขอรับคำปรึกษาและคำแนะนำในการเรียกร้องหรือฟ้องคดีได้ตามสิทธิของ ท่านจากสภาทนายความ
      
       6. กรณีผู้ประสบภัยที่เกิดปัญหาข้อขัดข้องเกี่ยวกับสิทธิอันพึงได้รับจากการเยียวยาของหน่วยงานรัฐ สามารถปรึกษาสภาทนายความได้
      
       7. บริการให้ความช่วยเหลือของสภาทนายความตามแถลงการณ์ฉบับนี้ ผู้ประสบอุทกภัยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
      
       8. กรณีผู้ประสบภัยต่างจังหวัดสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือจากประธานสภาทนาย ความจังหวัดทุกจังหวัด
      
       นายเกรียงศักดิ์ วรมงคลชัย อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการและรองโฆษกสภาทนายความ ในฐานะประธานคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ปี 2554 ของสภาทนายความ กล่าวว่าในช่วงที่ผ่านมา สภาทนายความได้รับการร้องขอความช่วยเหลือทางกฎหมายกับผู้ได้รับความเสียหายจากปัญหาน้ำท่วมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจำนวนผู้ขอรับคำปรึกษาทางโทรศัพท์ที่มีเฉลี่ยวันละ 50-60 สาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นประชาชนที่บ้านพักถูกน้ำท่วมได้รับความเสียหายอย่างหนัก และรับไม่ได้กับเงินเยียวยาแค่ 5,000 บาท จากภาครัฐ บางรายรวมตัวกันเข้ามา 5-10 ครัวเรือน
      
       ในเบื้องต้นเราได้แนะนำให้รวบรวมหลักฐานสำหรับการเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายโดยเฉพาะ หลักฐานภาพถ่ายเกี่ยวกับความเสียหายมีความจำเป็นยิ่ง ส่วนประชาชนรายใดที่ไม่ได้ถ่ายภาพบ้านขณะน้ำท่วมเอาไว้ หรือกำลังเข้าไปทำความสะอาดบ้านควรถ่ายภาพความเสียหายของทรัพย์สิน เสียก่อน เช่น สภาพน้ำท่วมหลังน้ำลด สภาพทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งภาพถ่ายและหลักฐานอื่นประกอบจะทำให้สามารถประเมินความเสียหาย ในการเรียกร้องค่าเสียหายและการเยียวยาจากภาครัฐได้ง่ายขึ้น
      
       “ สภาทนายความกำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลและข้อเท็จจริงของอุทกภัยในครั้งนี้เพื่อนำมาประมวลประกอบการพิจารณาถึงข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่บุคคล หรือหน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายจะต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าจะต้องรับผิดแล้วจะรับผิดอย่างไรบ้าง แต่ที่ชัดเจนแล้วคือต้องมีการฟ้องร้องเป็นคดีปกครองกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ เนื่องจากประชาชนที่ขอคำปรึกษาส่วนใหญ่ยังค้างคาใจเรื่องการบริหารจัดการที่ล่าช้า การให้ข้อมูลและการแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมที่ไร้ประสิทธิภาพจนทำให้ต้องได้รับผลกระทบอย่างหนักและยาวนาน”
      
       นายเกรียงศักดิ์ เชื่อว่าเราน่าจะเริ่มทยอยยื่นฟ้องได้ทันทีภายหลังน้ำลดโดยอาจรวมฟ้องในส่วนของผู้เสียหายที่มีบ้านพักในหมู่บ้าน หรือละแวกเดียวกันเป็นสำนวนเดียว แต่แยกในส่วนของค่าเสียหายเนื่องจากแต่ละรายเสียหายไม่เท่ากัน ส่วนผู้ได้รับผลกระทบที่เป็นลูกจ้างแรงงานนั้น มีเข้ามาขอคำปรึกษาน้อยมาก เนื่องจากทราบว่าทางภาครัฐและองค์กรนายจ้างกำลังอยู่ระหว่างเจรจาเรื่องการให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งการจ่ายเงินชดเชยตามสิทธิ อย่างไรก็ดีในช่วงต่อจากนี้เชื่อว่าน่าจะมีแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เช่นถูกเลิกจ้าง ไม่ได้รับเงินชดเชยหรือได้รับเงินชดเชยไม่เป็นธรรมเข้ามาขอความช่วยเหลืออีกมาก ซึ่งทางสภาทนายความเตรียมทนายความอาสาไว้กว่าร้อยคนเชื่อว่าจะเพียงพอในการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ประสบภัยในทุกกรณี
      
       นายเกรียงศักดิ์ กล่าวด้วยว่า แม้ว่าในกรณีที่รัฐได้มีการเยียวยาผู้ได้รับผลความเสียหายจากเหตุการณ์อุทกภัยนั้น ก็ไม่เป็นการตัดสิทธิของประชาชนผู้ที่ได้รับความเสียหายในการใช้สิทธิทางกฎหมายตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมแต่อย่างใด ดังนั้นประชาชนที่ต้องการเรียกร้องสิทธิตามกฎหมาย สามารถขอคำปรึกษาที่สภาทนายความได้ในวันและเวลาทำการ โดยหากไม่อาจติดต่อประธานสภาทนายความในจังหวัดที่มีอุทกภัยหรือในจังหวัดภูมิ ลำเนาของท่านได้ สามารถส่งคำร้องการขอรับความช่วยเหลือมายังสภาทนายความโดยตรง ที่เบอร์ 0-2629-1430 ต่อ 112-113


จาก http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9540000158175
 
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4714 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2554, 12:40:46 »

สภาวะอากาศ ตามพยากรณ์ของอุตุนิยมวิทยา เมื่อเช้านี้............


พยากรณ์อากาศ ประจำวันที่ 13 ธันวาคม 2554
ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.  บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ยังทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีอากาศหนาวเย็น สำหรับพื้นที่ภูเขาสูงจะมีอากาศหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งเกิดขึ้นได้บางแห่ง จึงขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากอากาศที่เปลี่ยนแปลงในระยะนี้
อนึ่ง มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ยังคงมีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้ฝั่งตะวันออกตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ส่วนอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณชายฝั่งทะเลระวังอันตรายจากคลื่นสูงและลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง สำหรับชาวเรือขอให้เดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง



      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4715 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2554, 12:55:01 »

ถ้าทำเพื่อประชาชน งบมีไม่พอ

แย่งงบฟื้นฟูอุตลุด ครม.ถังแตกอนุมัติแค่ 2 หมื่นล้าน ‘วรวัจน์’ เดือดถูกหั่น
ข่าวหน้า 1                                                                                                                          13 ธันวาคม 2554 - 00:00

     แบ่งเค้กน้ำท่วมอุตลุด ครม.ยิ่งลักษณ์ถังแตก ประชุมนัดพิเศษอนุมัติได้แค่ 20,110 ล้านบาท จากขอมากว่า 6 หมื่นล้าน ที่เหลือให้รอหลัง ก.พ.ที่งบประมาณผ่านสภาฯ โวเงินจะถึงมือใน 3 วัน "วรวัจน์" เดือดถูกหั่นงบที่ขอไป 2.4 พัน ล. จับเด็กเป็นตัวประกัน 2,600 โรงเรียนอาจเลื่อนเปิดหากไม่มีเงิน "ปู" ท่องคาถาต้องโปร่งใส ไม่ซ้ำซ้อน สั่งยึดบัตรประชาชนเป็นหลักฐานในการจ่าย
     เมื่อวันจันทร์ ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ เพื่อพิจารณางบประมาณฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย วงเงิน 60,983.207 ล้านบาทที่หน่วยงานต่างๆ เสนอมา โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังประชุมว่า เป็นการหารือกันต่อเนื่องจากที่ ครม.ได้อนุมัติไปกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งอยู่ในงบประมาณ 1.2 แสนล้านบาทที่เราตั้งไว้เพื่อการฟื้นฟู โดยระหว่างรองบประมาณที่จะได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จึงนัดหารือกันเพื่อซักซ้อม และถกถึงความซ้ำซ้อนต่างๆ เพื่อให้เกิดการใช้งบอย่างเต็มที่ โดยสิ่งแรกที่เราให้ความสำคัญในการเร่งเยียวยาคือ เงิน 5,000 บาท รวมถึงพื้นที่เกษตรกรรมที่เสียหายต่างๆ ที่เหลือจะเน้นการดูแลฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ชำรุด
     น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังกล่าวอีกว่า ในหลักการไม่ได้ตัดงบประมาณ แต่ต้องบริหารจัดการเรื่องการใช้อย่างเร่งด่วน โดยก้อนแรกจัดสรรเลยกว่า 2 หมื่นล้านบาท หลังจากนั้นจะทยอยให้เบิกจ่ายหลังงบประมาณผ่าน และยังมีก้อนสุดท้ายของ 2 หมื่นล้านบาทนั้น ก็ต้องดูให้แน่ใจไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในหน่วยงาน ต้องพิจารณาให้แน่ใจว่าการใช้เงินทุกบาททุกสตางค์เป็นไปอย่างตรงวัตถุประสงค์ ดูแลให้ถึงมือประชาชนโดยเร็ว
     "เราได้ตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) แล้ว ดังนั้นในส่วนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นตัวรวมใหญ่ๆ อาจต้องประสานกับ กยน.เพื่อให้แน่ใจว่า เส้นทางต่างๆ ที่เราทำไม่ได้บล็อกหรือขวางทางน้ำ ซึ่งอันนี้จะอยู่ในส่วนของ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนหลังที่ต้องมีการประสานงานบูรณาการทุกส่วน เพื่อให้เกิดความแน่ใจ ไม่ซ้ำซ้อน และไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการน้ำอย่างถาวร" น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว
         นายกฯ ยังชี้แจงถึงการใช้งบให้โปร่งใสว่า ครม.ได้เน้นย้ำผู้ว่าราชการจังหวัดต้องดูแลความโปร่งใสอย่างเต็มที่ และ ครม.ยังมีกลไก 2 ส่วน คือ 1.ให้ ครม.แต่ละคนรับผิดชอบรายจังหวัดไปทำงานร่วมกับผู้ว่าฯ ให้แน่ใจว่าการใช้งบเป็นไปอย่างโปร่งใส ถึงมือประชาชน และ 2.ภายใต้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะตั้งคณะผู้ตรวจของทุกกระทรวง ลงไปตรวจงานซ้ำอีกเสริมกับ ครม.
     นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.ได้หารือค่าใช้จ่ายฟื้นฟู เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย ซึ่งเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอมา และดำเนินการได้ทันทีภายในเดือน ม.ค.55 เป็นเงิน 20,110.55272 ล้านบาท จากที่ขอมา 60,983.207 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูใน 3 โครงสร้าง คือ 1.ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน 2.ด้านฟื้นฟูคุณภาพชีวิต และ 3.ด้านโครงสร้างพื้นฐาน
     นางฐิติมากล่าวอีกว่า ยังเหลือเงินที่จะดำเนินการได้อีกกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้ให้แต่ละจังหวัดนำเสนอมา โดยรัฐมนตรีที่กำกับดูแลต้องดูข้อมูลให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ส่วนงบ 20,110.55272 ล้านบาทที่อนุมัติไป จะลงไปทันทีภายใน 3 วัน ซึ่งการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ย้ำบทบาทหน้าที่ของผู้ว่าฯ โดยเฉพาะการให้เงินช่วยเหลือ 5,000 บาท รวมถึงโครงการต่างๆ ที่จะฟื้นฟูต้องโปร่งใส ไม่ซ้ำซ้อน และหากมีการเปลี่ยนโครงการต้องรายงานรัฐมนตรี และส่งมายังคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ที่มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานทราบทุกเรื่องด้วย
สำหรับโครงการที่จะใช้งบเร่งด่วนมีทั้งสิ้น 9 โครงการ คือ 1.การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครัวเรือนละ 5 พันบาท ใน 62 จังหวัด รวมกรุงเทพมหานคร 2,635,110 ครัวเรือน วงเงิน 13,175.55 ล้านบาท 2.โครงการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตตามข้อเสนอของจังหวัด 314.5 ล้านบาท 3.โครงการเตรียมความพร้อมให้นักเรียนและโรงเรียน 2,006 แห่ง 456 ล้านบาท 4.โครงการช่วยเหลือประชาชนด้านสาธารณสุขในพื้นที่ประสบอุทกภัยร้ายแรง 9 จังหวัด 121.9 ล้านบาท 5.โครงการป้องกันและบรรเทาปัญหาการถูกเลิกจ้าง 100,000 ราย เป็นเงิน 606 ล้านบาท 6.โครงการจัดศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน 17.8 ล้านบาท 7.โครงการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถาน 296 แห่ง 1,382.6 ล้านบาท 8.โครงการฟื้นฟูเร่งด่วนทางสายหลักและโครงข่ายสำคัญ 708 สายทาง 1,813.8 ล้านบาท และ 9.โครงการฟื้นฟูทางหลวงชนบท 11 สายทาง เป็นเงิน 139.8 ล้านบาท
ในขณะที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกฯ กล่าวว่า โครงการดำเนินการได้ทันทีในเดือน ม.ค.วงเงิน 20,110.5572 ล้านบาท นายกฯ ได้ให้หลักการเบิกจ่าย 5 ข้อ คือ 1.คำนึงถึงงบประมาณที่ใช้ได้จริง 2.สศช.และสำนักงบประมาณต้องตรวจดูความซ้ำซ้อน 3.จัดลำดับความสำคัญของโครงการ 4.บูรณาการรวมกับงานด้านอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน และ 5.เงินที่ลงไปในชุมชนต้องเข้าไปถึงพี่น้องประชาชน
     แหล่งข่าวจาก ครม.แจ้งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ขอบคุณที่ทุกคนสละวันหยุดมาทำงาน และย้ำว่าต้องเร่งพิจารณางบช่วยเหลือ โดยจัดลำดับตามหลัก 5 ข้อเป็นหลัก และให้เร่งดำเนินการทันที โดยเชื่อว่าหลัง ก.พ.55 ซึ่งงบประมาณผ่านแล้วปัญหาก็จะคลี่คลายลง
     รายงานแจ้งอีกว่า ในที่ประชุมรัฐมนตรีหลายคนแสดงความไม่พอใจในงบประมาณที่ได้รับ หรือได้รับเพียงเล็กน้อย อาทิ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ ก็ได้แจ้งว่ามีโครงการต้องใช้เงิน 2,417 ล้านบาท แต่ไม่มีอยู่ในวาระเลย ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์อธิบายว่า หากทุกคนยืนยันตัวเลขของตัวเองหมด เงินคงไม่พอ ดังนั้นต้องไปดูว่าโครงการที่จำเป็นเร่งด่วนคืออะไร ทำให้นายวรวัจน์แย้งว่า โครงการที่แจ้งมาถือว่าจำเป็นทั้งหมด และที่สำรวจมามีความเสียหายกว่า 5 พันล้านบาทด้วยซ้ำ แต่หลังจาก ครม.ให้ทบทวนจึงเหลือแค่ 2,417 ล้านบาท สำหรับ 2,600 โรงเรียน และหากให้รอถึงเดือน ก.พ.55 ก็อาจต้องเลื่อนเปิดเรียนไปอีก
     ในขณะที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม ก็ชี้แจงด้วยว่า ในฐานะที่ดูงบประมาณโครงสร้างพื้นฐาน หลายกระทรวงต้องกลับไปทำงบประมาณมาใหม่ ซึ่งงบนี้ยังไม่รวมงบประมาณที่กระทรวงกลาโหมจะขอมาอีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท และเงินเยียวยาที่จะขอมาอีก ดังนั้นทุกคนต้องปรับลด แต่นายวรวัจน์ยังยืนยันว่างบประมาณ 2,417 ล้านบาทรอไม่ได้ ในที่สุดนายกฯ ได้ให้นายวรวัจน์ไปหารือกับ พล.อ.อ.สุกำพล และดูว่ามีตรงไหนที่ต้องปรับลดหรือเกลี่ยได้บ้าง               
รายงานแจ้งอีกว่า นายกฯ ยังแสดงความหนักใจในงบประมาณของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องจากขอมาสูงถึง 18,000 ล้านบาท โดยเฉพาะงบที่ต้องใช้ฟื้นฟูไร่นา และกำลังเข้าสู่ฤดูการเพาะปลูกรอบใหม่ หากไม่เร่งมอบเงินก็จะเกิดปัญหา ยังไม่รวมไปถึงงบประมาณในส่วนของเมล็ดพันธุ์พืช พันธุ์ข้าว               
     "นายกฯ ได้ย้ำว่า วงเงินที่อนุมัติไม่ได้หมายความว่า นำงบประมาณที่ได้ไปเทลงให้ประชาชนทั้งหมด ต้องไปตรวจดูความซ้ำซ้อน โดยอิงจากหมายเลข 13 เป็นหลัก เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อไม่ให้เงินกระจุกตัวจุดใดจุดหนึ่ง" รายงานระบุ               
     น.ส.อนุตตมา อมรวิวัฒน์ รองโฆษกฯ กล่าวว่า ครม.นัดพิเศษยังได้หารือเกี่ยวกับโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชนเมือง (เอสเอ็มแอล) และโครงการชุมชนพอเพียง ซึ่งนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ได้ชี้แจงว่า โครงการเอสเอ็มแอลได้ถูกเปลี่ยนวัตถุประสงค์ไปจากรัฐบาลชุดก่อน ไม่ส่งเสริมให้ดำเนินการบางประเภท และมีโครงการที่ยังค้างอยู่ ซึ่งเป็นการเกิดขึ้นช่วงรอยต่อรัฐบาล
     ส่วนนายยงยุทธก็ให้ความเห็นว่า การดำเนินโครงการเอสเอ็มแอลที่ผ่านมา ถือเป็นเป็นเรื่องที่ผิดวัตถุประสงค์และอุดมการณ์ของโครงการ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ยืนยันว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวต้องไม่มีการล็อบบี้ หรือจัดสรรให้เงินเป็นไปตามความต้องการของคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ต้องทำให้เงินถูกใช้อย่างคุ้มค่า เป็นไปตามความเห็นของประชาคมแท้จริง
แหล่งข่าวแจ้งอีกว่า นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมช.การคลัง ได้เสนอแนะถึงปัญหาโครงการเอสเอ็มแอล ที่ประชาชนเริ่มมีการทวงถามแล้วว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร เพราะมีการเปลี่ยนแปลงไปมาในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา ดังนั้นจึงจะมีการเสนอ ครม.ในวันที่ 13 ธ.ค.นี้.


http://www.thaipost.net/news/131211/49577
      บันทึกการเข้า
มีนา
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2515
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 1,865

« ตอบ #4716 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2554, 13:58:19 »

น้องเหยง..มาดูรายงานอากาศ  23-25 ธ.ค.ตั้งใจไปตราด
คงจะคลื่นลมแรงไม่น่าสนใจนั่งเรือไปเกาะ  กลัวติดเกาะ
ใกล้ๆค่อยมาดูรายงานฯอีกครั้ง
      บันทึกการเข้า
TU14
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 342

« ตอบ #4717 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2554, 17:35:33 »

นี้ ไปตราดมีพี่ฐาปนทัศน์อยู่ นี้รู้จักหรือเปล่า
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4718 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2554, 20:15:31 »

สวัสดีครับพี่ตุ๊ พี่มีนา

คลื่นลมในอ่าวไทยค่อนข้างแรงครับ ติดตามอีกสักพัก คงได้ข้อสรุป
หากคลื่นลมแรง ไม่ต้องลงเรือ เที่ยวตามตัวเมืองก็ปลอดภัยดีครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4719 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2554, 20:16:54 »

ครม. ให้วันหยุดช่วงปีใหม่เพียง 4 วัน

มติครม.ประกาศให้วันที่ 31ธ.ค.54 - 3 ม.ค. เป็นวันหยุดเทศกาลปีใหม่
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 13:29:00 น.

 
นางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี มีมติให้วันที่ 31 ธันวาคม 2554 - 3 มกราคม 2555 เป็นวันหยุดยาวติดต่อกัน 4 วัน ช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้ประชาชนได้เดินทางไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด และให้ประชาชนได้มีเวลาหยุดซ่อมแซมบ้านเรือนที่ถูกน้ำท่วมขัง โดยครอบคลุมภาครัฐ ภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจ

ส่วนสถาบันการเงิน ต้องรอมติคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อนว่า จะให้วันที่ 3 มกราคม 2555 เป็นวันหยุดหรือไม่

 
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1323757985&grpid=00&catid=&subcatid=
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4720 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2554, 21:02:04 »

เพิ่งสร้างได้ไม่นาน คือปี ค.ศ. 1994 ถึงปีนี้ สะพานมีอายุเพียง 17 ปี
ทางการจีนระเบิดสะพานทิ้งแล้วครับ..กลัวความไม่ปลอดภัย ??


ฮือฮา จีนระเบิดสะพานแขวนแห่งใหญ่ทิ้ง ป้องกันหลังเสี่ยงอันตราย รองรับรถยนต์เกินอัตรา(ชมคลิป)
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 11:07:47 น.
 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ว่า ทางการจีนได้ระเบิดสะพานข้ามแม่น้ำ"หลิวหยาง"ยาว 760 เมตร ในมณฑลหูหนาน จนกลายเป็นกองหินจากปฎิบัติการระเบิดสะพานที่ทางการเห็นว่าไม่ปลอดภัยที่จะใช้อีกต่อไป โดยเหตุการณ์ดังกล่าวมีประชาชนหลายร้อยคนเข้ามาชมภาพการระเบิดสะพาน ที่เป็นเหตุการณ์ที่มีให้เห็นไม่บ่อยนัก

รายงานระบุว่า สะพานแห่งนี้ถือเป็นสะพานใหญ่ที่สุดของจีนที่ถูกทำลาย โดยถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1994 และตอนแรก เจ้าหน้าที่วิศวกรประเมินว่าสะพานเหล่านี้จะสามารถรองรับรถยนต์ได้วันละไม่เกิน 39,000 คันต่อวัน แต่ปัจจุบันรถยนต์ที่ใช้สะพานแห่งนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนถึงกว่า 80.000 คัน ขณะที่สะพานแห่งใหม่จะถูกสร้างขึ้นในเดือนม.ค.ปี 2012

 

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=NZzfx1McKlg" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=NZzfx1McKlg</a>

http://www.youtube.com/watch?v=NZzfx1McKlg&feature=player_embedded

จาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1323749283&grpid=01&catid=&subcatid=
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4721 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2554, 20:47:55 »

สวัสดีครับ


วันนี้เข้าเว็ปจนค่ำ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4722 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2554, 21:01:14 »

เนื่องจาก 2-3 วันที่ผ่านมา เกิดอาการอักเสบที่นัยตา
มีน้ำตาไหลออกมามากในขณะนั่งหรือนอนอ่านหนังสือ หรือนั่งอ่านข้อมูลจากจอคอมพ์
ต้องให้คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านนัยตา ตรวจ
พบว่า เป็นต้อลม มีอาการอักเสบของเยื่อตา เพราะการมองจอคอมพ์นาน และไม่กระพริบตา
นัยตาแห้ง จนเมื่อกระพริบตา จะกลายเป็นการที่ขอบของตาช่วงกระพริบตา ไปสร้างความระคายเคือง
เมื่อเยื่อยตาอักเสบ จำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมหยอดช่วย พร้อมทานยาแก้อาการระคายเคือง
คุณหมอให้พักการใช้สายตากับเครื่องคอมพ์สักระยะ (15 วัน)
ซึ่งเอ่ยได้เพียงว่า ต้องทำใจและพยายามลดการใช้คอมพ์ ในแต่ละวันลง คงงดการใช้ยากแน่นอนครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4723 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2554, 21:02:21 »

ดังนั้น หากช่วงนี้ลดการเข้าใช้คอมพ์ และเข้าเว็ปน้อยลง คงไม่ว่ากันนะครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4724 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2554, 21:09:07 »

ข้อเสนอของจีน ต่อการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของไทย

ฟังข้อเสนอป้องกันน้ำท่วมใหญ่จากพี่เบิ้มจีน กักเก็บบน แบ่งแยกกลาง ระบายล่าง
30 พฤศจิกายน 2554 13:38 น.

 
       ASTVผู้จัดการออนไลน์ - คณะผู้เชี่ยวชาญจากประเทศจีนที่เข้ามาให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาน้ำท่วมใหญ่สรุปมาตรการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมลุ่มเจ้าพระยาต้องผสานด้านวิศวกรรมภายใต้รูปแบบกักเก็บตอนบน แบ่งแยกตอนกลาง ระบายตอนล่าง เข้ากับการจัดตั้งองค์กรจัดการลุ่มน้ำแบบครอบคลุม
       
       ความสูญเสียมูลค่าหลายแสนล้านจากมหาอุทกภัยครั้งนี้ ทำให้หลายฝ่ายมีข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาน้ำท่วมใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่เพียงแต่ข้อเสนอจากผู้เชี่ยวชาญภายในประเทศเท่านั้น ก่อนหน้านี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังขอความช่วยเหลือไปยังประเทศจีน ซึ่งทางการจีนได้ส่งคณะผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะตามคำขอของรัฐบาลไทย
       
       รายงานของคณะผู้เชี่ยวชาญจากจีนที่เสนอแนะต่อรัฐบาลไทย ซึ่งเสนอโดยนายหลิวหนิง (Liu Ning) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงชลประทาน (vice minister of irrigation ministry เมื่อเดือนตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา สรุปความได้ว่า ในระหว่างที่ก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานั้น ควรมีมาตรการด้านวิศวกรรมและมาตรการที่ไม่ใช่เชิงวิศวกรรมผสานเข้าด้วยกัน ขณะเดียวกันก็ต้องจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การจัดหาน้ำ การชลประทาน และการเดินเรือไปพร้อมกันด้วย
       
       มาตรการด้านวิศวกรรม คณะผู้เชี่ยวชาญจากจีนให้คำแนะนำที่สำคัญโดยยึดหลักการตามรูปแบบ “กักเก็บตอนบน แยกแบ่งตอนกลาง ระบายตอนล่าง ควบคุมทะเลหนุน” รวมทั้งการก่อสร้างเขื่อนในลักษณะที่สามารถควบคุมได้ในช่วงตอนกลางบนสายน้ำที่มีคันกั้นน้ำที่สมบูรณ์แบบ
       
       สำหรับบริเวณที่ราบตอนกลางและล่างสายน้ำ ควรสร้างประตูที่บังคับได้ ประตูระบายนํ้าหลาก สถานีสูบน้ำ ระบบผันน้ำคูคลอง จัดตั้งเขตกักเก็บนํ้าท่วมขัง ส่วนในบริเวณปากทางแม่น้ำควรจัดระบบเครือข่ายแม่น้ำ ขุดลอกลำคลอง สร้างประตูสกัดคลื่นน้ำ ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการใช้น้ำในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในเวลาเดียวกันด้วย
       
       ในด้านมาตรการที่มิใช่เชิงวิศวกรรมนั้น ควรจัดตั้งองค์กรจัดการลุ่มน้ำแบบครอบคลุม ประสานผลประโยชน์ทรัพยากรทางน้ำกับฝ่ายเกี่ยวข้อง กำหนดแผนการป้องกันน้ำท่วมและขั้นตอนปรับเปลี่ยนบริเวณลุ่มน้ำในภาวการณ์ฉุกเฉินให้มอบอำนาจให้ศูนย์อำนวยการดำเนินการป้องการน้ำท่วมอย่างเป็นเอกเทศ มีการจัดตั้งศูนย์พยากรณ์ตรวจจับทางอุทกวิทยาเขตลุ่มน้ำ ดำเนินการตรวจจับฝนตก น้ำท่วมบริเวณลุ่มน้ำ ณ. เวลาจริง โดยมีการพยากรณ์แต่เนิ่นๆ
       
       การสนับสนุนทางเทคนิคเพื่อกำหนดนโยบายในการบัญชาการป้องกันภัยน้ำท่วม มีดังนี้
       
       ประการที่หนึ่ง เกี่ยวกับการป้องกันน้ำท่วมในตัวเมืองกรุงเทพฯ ในหลักการวิเคราะห์ความเสี่ยงแล้ว อาจต้องคำนึงถึงการป้องกันน้ำท่วมเมืองชั้นในขนานใหญ่ โดยอาศัยถนน ลำคลองที่มีอยู่แบ่งส่วนเป็นเขตป้องกันน้ำท่วมต่างๆ อีกทั้งดำเนินมาตรการหนึ่งอย่างหรือหลายอย่างเพื่อป้องกันมิให้เกิดรูรั่วของแต่ละเขตซึ่งจะกระทบถึงส่วนรวม
       
       ประการที่สอง การจัดระบบและขุดลอกคูคลอง ขยายความสามารถในการผลักดันน้ำท่วมตามลำน้ำ เนื่องจากทางลาดน้ำไหลน้อย การไหลต่ำ ฉะนั้นควรขุดลอกเส้นทางน้ำไหล ขจัดสิ่งก่อสร้างและสิ่งกีดขวางน้ำหลาก
       
       ประการที่สาม ควรกำหนดให้เขตเมืองหลักของเมืองหลวงกรุงเทพฯ เป็นเขตอนุรักษ์สำคัญ ควรจัดตั้งสถานที่เก็บกักน้ำท่วมขังชั่วคราวบริเวณที่ราบต่ำบริเวณตอนกลางค่อนเหนือของแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อน้ำท่วมใหญ่มาถึงก็จะแบ่งเก็บกักส่วนน้ำที่เหลือ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของตัวเมืองกรุงเทพฯและบริเวณกว้างที่อื่นด้วย
       
       ประการที่สี่ การมีระบบระบายคูคลองสมบูรณ์แบบ ด้วยการคำนึงที่สมเหตุสมผลโดยการจัดสร้างสถานีปั๊มสูบน้ำ ท่อระบายน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพในการสูบน้ำและระบายน้ำ กรณีที่มีความจำเป็นควรจัดตั้งองค์กรระบายน้ำเร่งด่วนแบบเคลื่อนที่
       
       ประการที่ห้า รวบรวมส่วนก่อสร้างที่เป็นแหล่งน้ำของเมือง ควรมีมาตรการเข้มงวดของการขุดเจาะน้ำใต้ดิน เพื่อลดการจมทรุดบนดิน
       
       ข้อเสนอคำปรึกษาขั้นต่อไป ซึ่งคำนึงถึงสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยที่รุนแรง สภาพการป้องกันน้ำท่วมยังน่าเป็นห่วง
       
       ภายหลังการสังเกตการณ์และการชี้แจงของผู้เชี่ยวชาญฝ่ายไทยบวกกับประสบการณ์การช่วยเหลือและป้องกันน้ำท่วมของประเทศจีน คณะผู้เชี่ยวชาญจากจีน มีข้อเสนอการจัดการเร่งด่วนในปัจจุบันและอนาคตดังต่อไปนี้

       
       1.เพิ่มการประสานงานองค์กรอย่างต่อเนื่อง
       
       2.รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการป้องกันภัยน้ำท่วมขึ้นเพื่อแก้ไขภัยน้ำท่วมที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาล อีกทั้งกองทัพ ตำรวจ และบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ ทำงานแบบรวมศูนย์ ลดขั้นตอนการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอย่างมาก จึงขอเสนอว่า เมื่อถึงช่วงน้ำลดลงก็ควรมีองค์กรที่เป็นเอกภาพในการบัญชาการฟื้นฟูและลดอุบัติภัยต่อไป
       
       3.มีความชัดเจนในการประสานงานครบวงจร ตรวจจับพยากรณ์ปรับความเหมาะด้านวิศวกรรม เร่งให้การช่วยเหลือ การอพยพผู้คน การป้องกันโรค การออกข่าวประชาสัมพันธ์ การฟื้นฟูสาธารณูปโภค การป้องกันความสงบของสังคม การช่วยเหลือหลังพ้นภัยต่างๆ ควรแบ่งงานและร่วมมือกันอย่างชัดเจน ดำเนินการทำงานขจัดภัยน้ำท่วมต่อเนื่อง
       
       แม้ว่าการป้องกันน้ำท่วมของเมืองกรุงเทพฯ ผ่านพ้นช่วงสำคัญ แต่ระดับน้ำยังคงสูงต่อเนื่องอีกระยะยาว ดังนั้นภารกิจการป้องกันน้ำท่วมยังหนักหน่วงอยู่ ยังคงมีจุดที่เปราะบางที่ต้องตรวจจับโดยเฉพาะที่คันกั้นน้ำฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ ปทุมธานี คลองรังสิต และด้านตะวันออกเฉียงเหนือที่เป็นลำคลอง ทางหลวงรวมกันเป็นแนวต้านน้ำท่วมให้กับตัวเมืองกรุงเทพฯโดยเฉพาะส่วนที่เป็นประตูระบายน้ำ ควรมีคนเฝ้าดูแล ไม่ควรเฉื่อยชาเฉยเมย
       
       4.การป้องกันเขื่อน คันกั้นน้ำ ประตูนํ้าและคันกั้นชั่งคราวนั้น ควรมีการดูแลตลอด24 ชั่วโมง หากพบเห็นที่ใดหรือส่วนสำคัญที่มีความเสี่ยงก็ควรจัดหน่วยป้องกันเตรียมไว้ล่วงหน้า เตรียมสิ่งของกู้ภัยไว้ให้พร้อมออกปฎิบัติการได้ทุกเมื่อ สำหรับการบริการน้ำ ไฟและคมนาคมที่เป็นสิ่งปัจจัยสำคัญ สิ่งอำนวยด้านการทหารที่สำคัญซึ่งควรได้รับประกันมีการปฎิบัติงานตามปกติ
       
       นอกจากนี้ โรงงานหรือโกดังอุตสาหกรรมเคมีหรือการผลิตสารพิษอันตรายที่ตั้งอยู่ในเขตป้องกันหรือถูกน้ำท่วมนั้นเป็นจุดที่ต้องให้การป้องกันที่สำคัญหรือหาทางแก้ไขทันด่วน ป้องกันไม่ให้มีภัยระลอกใหม่ตามมา


 
จาก http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9540000152598
 
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 187 188 [189] 190 191 ... 472   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><