๕๔ นองน้ำ ๕๕ อะไรล่ะ..จะนอง?เปลว สีเงิน2 ธันวาคม 2554 - 00:00
ก็อยากบอกรัฐบาลซักนิด อย่านำ "กรุงเทพฯ แห้ง" เป็นสินค้าตัวอย่างไปโฆษณาบิดเบือนให้ผู้คนหลงเข้าใจว่า "แห้งหมดแล้วทุกที่"....ยังหรอกครับ ยังอีกหลายพื้นที่ ทั้งธนบุรี นนทบุรี ปทุมธานี และชายขอบเมืองกรุง ที่ชาวบ้านและถนนหนทางยังจมอยู่ใต้น้ำ อาทรและเอาใจใส่คนที่ "ท่วมก่อน-แห้งทีหลัง" ให้มากเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นจุดเครียดกับจุดแค้นของคนมันจะ...ระเบิดตูม!
ให้กำลังใจ "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" ครับ ในฐานะ กทม.เป็นพื้นที่จัดงาน "มหกรรมน้ำท่วม" อะไรๆ มันก็มาสุมลงที่ กทม.และผู้ว่าฯ กทม.ทั้งหมด ยิ่งงานเลิกด้วยแล้ว กทม.นอกจากเป็นพื้นที่รับมวลน้ำก้อนใหญ่ นับจากนี้ทั้งภูเขาขยะ และภูเขาปัญหา
ทั้งมนุษย์ ทั้งหมู-หมา-กา-ไก่ จะรุมนำมาสุมทิ้งให้สะสาง!
ตั้งสติให้ดี สมาธิให้มั่น ลุยงานไป ท่องคาถา..อโกธะ..อโกธะ..คือไม่โกรธไว้ อย่าลงไปกัดกะหมา เพราะท่านเป็นผู้ว่าฯ กทม.จงบริหารบุคลิกภาพ "นักการเมืองผู้มีวุฒิภาวะ" ยกจิตเป็นบัวเหนือตม ให้สังคมได้อาศัยเป็นหน้า-เป็นตา ว่าบ้านเมืองนี้ยังมีอารยชนเป็นคนการเมืองอยู่
เอ้า..นี่...คุณ Hollland อีเมล์ข้อความนี้มา น่าจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย อ่านดูนะครับ
ใครที่จะรื้อกระสอบทราย ไม่มีที่ทิ้ง ทำบุญบริจาคให้ "วัดพระศรีมหาธาตุฯ" ได้ นำไปถมที่สร้างวัด มีรถขน ติดต่อ 0-2521-7300
นี่ผมก็ตั้งใจว่าจะไปวัดเหมือนกัน ไม่ได้เอาทรายไปถวายวัดหรอก แต่ตั้งใจจะไป "วัดพระแก้ว" ไปกราบหลวงพ่อพระแก้ว จะพยายามตั้งจิตให้สงบ แล้วสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ เท่าที่จำได้-นึกได้ เสร็จแล้วก็อยากดูรอบๆ พระบรมมหาราชวัง และท้องสนามหลวงว่า ปีนี้เขาจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ กันสวยงามขนาดไหน
เพราะที่เห็นตัวอย่างตามสื่อต่างๆ น่าจะตื่นตา-ตื่นใจมาก และท้องสนามหลวงนับตั้งแต่ กทม.แปลงโฉมใหม่ก็ยังไม่เคยไป จากข่าวการเตรียมงานวันก่อน มีต้นไม้เงิน-ต้นไม้ทองกลางสนามหลวงด้วย แค่เห็นภาพก็ดื่มด่ำเข้าสู่อีกมิติหนึ่งประมาณว่า บ้านเมืองสู่ยุคพระศรีอริยเมตไตรย เป็นแผ่นดินธรรม-แผ่นดินทอง ผู้คนเปี่ยมศีล-เปี่ยมทาน คลาไคลคล้ายนางฟ้า-นางสวรรค์ รุ่งเรืองเฟื่องฟุ้งจรุงด้วยดัชนีวัดความสุข
และมีต้นกัลปพฤกษ์ผุดขึ้น ๔ มุมเมือง!
คุยด้วยเรื่องดีๆ แล้วมีความสุขนะครับ แต่มีเรื่องเพื่อความไม่ประมาทกันอยู่เรื่อง ไม่ใช่เรื่องจากผมหรอก แต่จากคุณ chanpinawan albert ถึงตัวอยู่ต่างประเทศ ก็ยังมีเรื่องราวข่าวสารดีๆ ในเมืองไทยฟอร์เวิร์ดกลับมาให้คนไทยอย่างผมที่ไม่มีที่ไป และไม่รู้จะไปไหนได้อ่านอยู่บ่อยๆ อย่างเรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อจากนี้ ผมก็สองจิต-สองใจอยู่เหมือนกันว่าจะนำลงดีมั้ย แต่เมื่อมองในด้านที่เตือนสติ กระตุ้นให้ผู้คนยึดมั่นใน ทาน ศีล ภาวนา จะเป็นประโยชน์มาก ดังนั้น ท่านก็อ่านและไตร่ตรองตามด้วยสติ ให้เป็นไปดังพระพุทธวจนะก็แล้วกันนะครับว่า "ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา"
จากฟอร์เวิร์ดคุณ chanpinawan albert มีดังต่อไปนี้
นองน้ำแลเลือดจะนอง '
ญาณ' ของพระพรหมวชิรญาณ
เรื่อง ไตรเทพ ไกรงู / ภาพ ศูนย์ภาพเนชั่น โหราศาสตร์เป็นวิชาที่ใช้ทายกาลล่วงหน้าหรือดูการล่วงหน้า ใช้สำหรับพยากรณ์ผลกรรมของมนุษย์โดยอาศัยดวงดาวเป็นเครื่องพยากรณ์ แสดงเหตุและผลของดวงดาว ทำให้สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าของวิถีทางของมนุษย์และเหตุการณ์ของโลกทั่วๆ ไป
ทั้งนี้ตามหลักพุทธศาสนา ตามที่แสดงไว้ในกัมมวิภังคสูตร ๑๔ ประการ คือ บางคนอายุยืน บางคนอายุสั้น บางคนมีโรคน้อย บางคนมีโรคมาก บางคนมีผิวพรรณดี บางคนมีผิวพรรณทราม บางคนมีศักดามาก บางคนมีศักดาน้อย บางคนมีทรัพย์สมบัติมาก บางคนมีทรัพย์สมบัติน้อย บางคนมีตระกูลสูง บางคนมีตระกูลต่ำ บางคนมีปัญญามาก บางคนมีปัญญาน้อย ในทางพระพุทธศาสนาได้มีพุทธานุญาตให้พระภิกษุสงฆ์เรียนรู้วิชาโหราศาสตร์ในเรื่องฤกษ์ยาม เพื่อจะได้รู้เวลาทำอุโบสถสังฆกรรม อันเป็นกิจในพระพุทธศาสนา จึงได้มีชื่อ วัน/เดือน/ปี และฤกษ์แสดงไว้ท้ายบอกวัตรพระเป็นประเพณีสืบต่อมา
ปัจจุบันมีพระสงฆ์ที่ขึ้นชื่อว่า "ดูหมอแม่น” หลายสิบรูป และหนึ่งในจำนวนนี้คือ พระพรหมวชิรญาณ (ประสิทธิ์ เขมังกโร) หรือเจ้าคุณพรหมฯ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าอาวาสวัดยานนาวา ซึ่งที่ผ่านมามีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักธุรกิจ นักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล แวะเวียนไปหาไม่เคยขาด
เจ้าคุณพรหมบอกว่า โหราศาสตร์ไม่ใช่ศาสตร์แห่งความหลุดพ้น พระพุทธเจ้าใช้คำว่า "เดรัจฉานวิชา” หรือ "โลกิยวิชา” ด้วยซ้ำ เพียงแต่สามารถเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์บรรเทาทุกข์ในระดับโลกิยชนที่ยังอยู่ในโลกนี้ได้ เพียงแต่ไม่ควรเชื่ออย่างงมงายเท่านั้น สิ่งที่ประเสริฐที่สุดก็คือ การประพฤติธรรม ทุกศาสตร์มีประโยชน์ ผู้ที่ฉลาดหรือผู้ที่มีปัญญาต้องรู้จักนำความรู้จากโหราศาสตร์มาใช้ให้เป็นประโยชน์ เหมือนการพยากรณ์อากาศ เขาไม่ได้พยากรณ์ให้ฟังแค่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นั่นที่นี่ แต่ต้องการให้คนฟังวางแผนล่วงหน้า โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ เป็นเรื่องของหลักสถิติที่มีการบันทึกกันมาอย่างต่อเนื่อง ในอดีตเราใช้ดวงดาวในการคำนวณเหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทุกวันนี้แม้ว่าเราจะมีดาวเทียมในการพยากรณ์อากาศ แต่ดวงดาวบนท้องฟ้ายังคงใช้ได้อยู่ ไม่ว่าศาสตร์อะไร ถ้าเราใช้เป็นย่อมเกิดประโยชน์
การที่เรารู้เรื่องโหราศาสตร์ เรารู้เอาไว้เพื่อที่จะป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ถ้าใช้ไม่เป็นย่อมเกิดโทษ ถ้าบอกว่าดวงไม่ดีแล้วนอนอยู่บ้านเฉยๆ คงไม่ใช่ ยังต้องทำงานปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าต้องทำด้วยความระมัดระวัง
ทั้งนี้ เจ้าคุณพรหมจะเน้นย้ำเสมอๆ ว่าอย่ามงายเชื่อสิ่งใดโดยไม่มีเหตุผล ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย คนหวังปกติสุขก็ต้องทำความดีเป็นปกติ โหราศาสตร์เป็นเพียงศาสตร์สื่อชี้ให้เห็นแนวทางกว้างๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเตรียมตัวรับกับสถานการณ์นั้นด้วยความไม่ประมาท เช่น มีการพยากรณ์ล่วงหน้าว่ากรุงเทพฯ น้ำจะท่วมมาตั้งแต่ต้นปี ๒๕๕๔ หากเราหาวิธีป้องกันแต่เนิ่นๆ ความเสียหายคงไม่มากอย่างที่เป็นอยู่ อย่างที่วัดได้หากระสอบทรายมาทำแนวป้องกันตั้งแต่น้ำเข้าอยุธยา รัฐบาลชุดนี้ในช่วงเข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ สนใจแต่เรื่องอื่น ไม่ได้สนใจเรื่องภัยธรรมชาติเท่าที่ควร คิดว่าการบริหารงานตามปกติจะเอาอยู่ แต่สุดท้ายก็เอาไม่อยู่เพราะน้ำมามากกว่าปกติ
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ได้ศึกษาด้านโหราศาสตร์ในปี ๒๕๕๔ นี้เป็นเพียงแค่การทดสอบ ความเสียหายที่ปรากฏยังถือว่าไม่มาก เมื่อเปรียบกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปี ๒๕๕๕ ซึ่งจะหนักว่าปีนี้ทุกด้าน ไม่เฉพาะเรื่องธรรมชาติเพียงอย่างเดียว เรื่องเหตุบ้านการเมืองก็สาหัสไม่แพ้ พ.ศ.๒๕๕๔ โดยเฉพาะในช่วงรอยต่อระหว่าง พ.ศ.๒๕๕๔ กับ พ.ศ.๒๕๕๕ ก็ต้องระวังในเรื่องความแตกแยกทางความคิด
"ตั้งแต่ต้นปี ๒๕๕๕ จะมีปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคมความวุ่นวายของประเทศชาติจะไม่ธรรมดา หนักและร้ายแรงยิ่งกว่าเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กลางปีนองเลือด พอปลายปีน้ำก็นอง และจะอยู่ต่อเนื่องไปอีก ๒ ปี คือ พ.ศ. ๒๕๕๖ และ พ.ศ.๒๕๕๗ เมื่อขึ้น พ.ศ.๒๕๕๘ บ้านเมืองจะสงบสุข เศรษฐกิจจะรุ่งเรือง" เจ้าคุณพรหมกล่าว
เมื่อถามถึง "รัฐบาลนี้จะอยู่ครบวาระหรือไม่?" เจ้าคุณพรหมตอบว่า "ถ้าดวงอย่างนี้แล้วบวกกับขาดความสามัคคี ไม่ประสานประโยชน์ต่อกันให้ดี ต่างคนต่างจะเอาประโยชน์ใส่ตัว ไม่ตกลงกันให้ดี ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นก็เกิดขึ้นง่าย อุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะเรารักชาติ รักศาสนา รวมทั้งรักสถาบันพระมหากษัตริย์แต่ปาก ไม่ได้รักเพราะจิตสำนึกของความเป็นคนไทย”
ยุติทุกปัญหาด้วยธรรม
"ความแม่นยำเป็นสิ่งที่หมอดูปรารถนามากที่สุด แต่คราวนี้อาตมาได้แต่สวดมนต์ภาวนาขออย่าให้เป็นตามที่ดูไว้เลย” นี้เป็นคำยืนยันของเจ้าคุณพรหม พร้อมกันนี้เจ้าคุณพรหมแนะนำว่า เมื่อเรารู้ว่าในอนาคตอาจจะเกิดอะไรขึ้น เราสามารถป้องกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ และทุกอย่างที่พยากรณ์ไว้จะไม่เกิดขึ้นเลย หากเราตั้งตัวอยู่บนความไม่ประมาท เอาหลักของพระพุทธเจ้ามาใช้ มีหลักปฏิบัติเพื่อป้องกัน คือ ทาน ศีล และภาวนา
ทาน แปลว่า การให้, การแบ่งปัน, การเสียสละ, การเอื้อเฟื้อ หมายถึง การให้ทานด้วยจิตใจที่ดีงาม การคลายความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว ความโลภในจิตใจมนุษย์ ส่งผลให้เกิดความใส สว่าง สะอาดของจิตใจขึ้นมา
ศีล เป็นข้อปฏิบัติตนขั้นพื้นฐานในทางพระพุทธศาสนา คือทำให้กาย วาจา ใจ สงบ ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เพื่อควบคุมความประพฤติทางกายและวาจา ให้ตั้งอยู่ในความดีงาม มีความปกติสุข เพื่อประโยชน์ขั้นพื้นฐาน คือความสุขและไม่มีการเบียดเบียนกันในสังคม
ภาวนา แปลว่า การเจริญ การอบรม การทำให้มีให้เป็นขึ้น หมายถึง การทำจิตใจให้สงบและทำปัญญาให้เกิดขึ้น ด้วยการฝึกฝนอบรมจิตไปตามแบบที่ท่านกำหนดไว้ ซึ่งเรียกชื่อไปต่างๆ เช่น การบำเพ็ญกรรมฐาน การทำสมาธิ การเจริญภาวนา การเจริญจิตภาวนา
"ความไม่สงบ ไม่ว่าจะที่หนใดในโลกมีอยู่ตลอดเวลา ถ้าพวกเราลดความเห็นแก่ตัวลงมา มีความพอเพียง ไม่ให้แก่ตัวเกินไป นึกถึงประโยชน์ส่วนรวมของบ้านเมือง ยึดพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมานฉันท์ ประนีประนอม ปัญหาย่อมไม่เกิดขึ้น
เรามีปัญญาชนจำนวนมาก แต่เป็นมิจฉาปัญญา ปัญญาดิบที่ขาดสติ ทุกวันนี้สถาบันการศึกษามุ่งเน้นแต่จะสอนวิชาชีพโดยละทิ้งวิชาชีวิต" เจ้าคุณพรหมกล่าวทิ้งท้าย. [/size]
http://www.thaipost.net/news/021211/49053