|
|
|
|
|
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์
รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2553, 07:52:04 » |
|
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยราชภัฏหลายแห่งในปีนี้ (พ.ศ. 2553) พบว่า
นักเรียนชั้นหัวกะทิของจังหวัดต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ของมหาวิทยาลันราชภัฏนั้นหันมาสมัครสอบเข้าเรียนสาขาวิชาชีพครูกันมาก เป็นนักเรียนมัธยมปลายที่มีคะแนนผลการเรียนดีของโรงเรียนและสอบข้อสอบคัดเลือกได้คะแนนสูงมาก นอกจากนั้นยังมีจำนวนผู้สมัครมากกว่าสาขาวิชาอื่น ๆ ที่เคยเป็นที่นิยมอีกด้วย
ตัวอย่างเช่นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี นักศึกษาทำคะแนนสอบเข้าสูงสุดได้ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ และคะแนนต่ำสุดที่สามารถผ่านเข้าไปในสาขาวิชาชีพครูได้นั้นอยู่ที่เกือบ ๆ 70 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายถึงคนที่ได้ 60 เปอร์เซ็นต์กว่า ๆ นั้นสอบไม่ติดสาขาวิชาชีพครู หรือ คณะศึกษาศาสตร์ และมีอัตราการแข่งขันสูง เช่น มหาวิทยาลัยสามารถรับนักศึกษาครูได้เต็มที่ 60 คน แต่มีคนเลือกสาชาวิชาชีพครูอันดับหนึ่งกว่า 600 คน หรือ มีอัตราส่วนประมาณ 1 : 10 ในขณะที่บางสาขาวิชา มีคนเลือกน้อยกว่าจำนวนที่เปิดรับด้วยซ้ำ
ทำไมเลือกเรียนครูที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
เด็กเก่ง ๆ เหล่านี้เลือกเรียนครูที่มหาวิทยาลัยราชภัฏแทนที่จะเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยที่เคยมีชื่อเสียงด้านการผลิตครูในอดีต เช่น คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่มีพัฒนาการมาจากวิทยาลัยวิชาการศึกษา และโรงเรียนฝึกหัดครู หรือ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งสองแห่งเป็นแหล่งผลิตครูและนักการศึกษาที่มีชื่อเสียงมายาวนาน
นักศึกษาต่างจังหวัดเหล่านี้เลือกที่จะเรียนครูในมหาวิทยาลัยราชภัฏใกล้บ้านในท้องถิ่นของตนเอง
จากการสอบถามผู้ปกครองและนักเรียนที่มาสมัครเรียนครูที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีได้คำตอบดังนี้
1. ที่มาสมัครเรียนครู เพราะครูเป็นอาชีพที่มั่นคง มีเกียรติ และเป็นข้าราชการ ซึ่งในอนาคตจะมีตำแหน่งงานให้บรรจุเป็นครูจำนวนมาก
2. การเรียนในปัจจุบันนี้ที่ไหนก็เหมือนกัน เพราะได้เงินเดือนและสิทธิต่าง ๆ เหมือนกัน อีกทั้งครูส่วนมากในปัจจุบันก็จบจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นส่วนมาก มีครูจำนวนน้อยที่จบจากมหาวิทยาลัยอื่น ครูของพวกเขาก็จบจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นส่วนมากเช่นกัน
3. มหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นวิทยาลัยครูมาก่อน ได้รับความเชื่อถือในเรื่องของการผลิตครู
4. เรียนที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏค่าใช้จ่ายไม่แพง ใกล้บ้าน ถ้าไปเรียนไกลๆ ค่าใช้จ่ายแพงแล้วไกลบ้าน คิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อน ๆ เพราะส่วนมากเพื่อน ๆ ก็เรียนใกล้บ้านกัน
5. จบแล้วก็เหมือนกัน ไม่เห็นแตกต่างกัน ส่วนมากก็กลับมาทำงานที่บ้านเหมือนกัน และก็เป็นครูที่อยู่สบาย ๆ ไม่ต้องไปสู้กับใครมาก อยากจะก้าวหน้าก็ขยันทำผลงานแข่งกับตัวเอง
จากเหตุผลที่รวบรวมได้พอทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมอาชีพครูกำลังเป็นที่นิยมให้หมู่นักเรียนที่กำลังเลือกเรียนสาขาวิชาที่จะออกไปประกอบอาชีพ และเป็นนิมิตหมายที่ดีว่า
เราจะได้คนเก่ง ๆ มาเป็นครูอีกครั้ง หลังจากที่คนเก่งว่างเว้นเลือกเรียนครูมายาวนานในอดีต คนที่เก่งเท่านั้นจึงจะสามารถสอบเข้าวิทยาลัยครูได้ มีการแข่งขันกันสูง และส่วนมากจะได้เป็นนักเรียนทุนกันทุกคน หมายถึง เมื่อจบแล้วมีงานทำ แน่นอน
แต่ในระยะต่อมาสถานภาพของอาชีพครูตกต่ำเพราะถูกแย่งชิงไปเป็นฐานอำนาจทางการเมือง ถูกย้ายสังกัดหลายครั้ง เงินเดือนน้อย ไม่มีเงินเพิ่มพิเศษเหมือนข้าราชการอื่น ถูกใช้งานมาก โดนหน่วยงานอื่นในอำเภอหรือจังหวัดขอให้ช่วยทำงาน (ขอร้องแกมบังคับ) ทำการสอนหนักเพราะขาดครู เผชิญกับเด็ก ๆ ในสภาพที่มีปัญหาและเป็นพื้นที่เสี่ยงภัย ครูไม่มีขวัญกำลังใจในการทำงาน ประสิทธิภาพต่ำ ทำให้คุณภาพของเด็กและประชาชนต่ำไปด้วย จนทำให้ไม่สามารถพัฒนาประเทศให้สามารถแข่งขันหรือพัฒนาทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ ได้ประเทศเพื่อนบ้านที่เคยล้าหลังกลับนำหน้าประเทศไทย
หลังจากยอมรับว่าต้นตอของปัญหาเกิดจากคุณภาพของการศึกษา จึงจำเป็นต้องหันมาพัฒนาอาชีพครูขึ้น เริ่มมีการปฏิรูปการศึกษา ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง และให้ความสำคัญกับคุณภาพของครู ความก้าวหน้าในอาชีพครู รวมทั้งรายได้ของครู พรรคการเมืองที่ไม่เคยสนใจ ไม่เคยเหลียวแลอาชีพครูเริ่มกลับมาสนใจครูเพื่อต้องการฐานเสียงในระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งเป็นสำคัญ จึงทำให้ทิศทางค่านิยมเลือกเรียนครูเริ่มกลับมาอีกครั้ง รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์ http://www.krismant.com/
ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยรัฐ วันจันทร์ ที่ 5 เมษายน 2553 http://www.thairath.co.th/content/edu/74954
จน โง่ เจ็บ อะไรที่สำคัญ ที่ควรแก้ไขก่อน
ถ้าไม่โง่ มีความรอบรู้ ฉลาด จะมีความสามารถแก้ปัญหา แก้ จน แก้ เจ็บ ได้
เรื่อง โง่ จึงควรเป็นอันดับแรกที่ต้องแก้ไขเหมือน เวียดนาม ฯลฯ มุ่งแก้ก่อนจริงไหมพวกเรา
|
3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
|
|
|
|
|
|
prapasri AH
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2553, 21:07:24 » |
|
"การทำงานของระบบ Primary health care ถือ ว่าสำคัญมากเป็นการสกัดกันไม่ให้ผู้ป่วยไปโรง
พยาบาลโดยไม่จำเป็น แต่ถ้ามีกรณีฉุกเฉินก็ไปโรงพยาบาลได้เลย"
ประเทศอื่นเขาไม่มีป้าย โรงพยาบาล กับคลินิกมากมายเหมือนบ้านเรา
พี่แอ๊ะดูเกือบทุกประเทศ หาป้ายร.พ ไม่เจอเลย
บ้านเราลองมองจากทางด่วนซิ มีแต่ป้ายชื่อโรงพยาบาลและคลินิก
ป่วยกันจริงๆ คนไทยนี่
|
ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
|
|
|
|
|
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์
รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2553, 11:20:06 » |
|
|
3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
|
|
|
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์
รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2553, 21:35:17 » |
|
[narongsak.com] Fw: 16ข้อแห่งความยิ่งใหญ่ของเวียตนามเหนือไทย From: narongsak@yahoogroups.com on behalf of chat mail ...... Sent:Monday, May 31, 2010 9:39:57 PM To:....................
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
ตอนนี้เวียดนามกำลัง "ฮิต" ติดตลาด มีคนสนใจไปลงทุนกันมากมาย... มีเสน่ห์มากกว่าไทยด้วยซ้ำไป เวียดนามยังไม่อาจไล่ทันไทยในเร็ววันนี้หรอกครับ (ปลอบใจสักหน่อย).แต่มีศักยภาพที่จะยิ่งใหญ่เหนือไทยได้ในวันหน้า... เราควรสังวรและพิจารณาให้ดี หลายเรื่องเราควร "เอาเยี่ยงกา" มาลองดูกันครับ
1. สนามบินสะดวกกว่าไทย อันที่จริงสนามบินหลายแห่งในประเทศไทยทันสมัยกว่าสนามบินกรุงฮานอยและนครโฮชิมินห์ แต่ที่เวียดนาม เครื่องบินจอดถึงงวงเสมอ...ไม่ต้องต่อรถโค้ชให้เสียอารมณ์แบบบ้านเรา และ ที่สำคัญในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า นครโฮชิมินห์จะมีสนามบินใหม่ที่ ใหญ่กว่าสุวรรณภูมิของเราในขณะนี้เสียอีก
2. คนเวียดนามรักชาติ ไม่ต้องดูอื่นไกล เขานิยมอาหารของเขาเอง..ประเภทอาหารแฟชั่น/ขยะของฝรั่งเข้าไปตีกิน ในประเทศเขาได้ยาก...คุณสมบัติที่ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้น (แม้ทางความคิด) กับใครเช่นนี้เชื่อว่าเหนือกว่า "เลือดไทย" ที่ทำท่าจะเจือจางลงทุกวัน
3. "ผ้าขี้ริ้วห่อทอง" คนเวียดนามที่เราเห็นแต่งตัวดูปอน ๆ นั้น...เขาชอบสะสมทอง ว่าง ๆ ก็เอามาชื่นชมเล่นเงียบ ๆ... เขาไม่ต้องการทำตัวหรูหรา…เพราะเดี๋ยวถูกเพ่งเล็ง เขามีเงินสะสมไว้มาก แต่ไม่เปิดเผย... ซื้อของก็มักใช้เงินสด ซื้อบ้านอาจมีกู้เงินบ้าง แต่ก็ยังจำกัดมาก
ข้อนี้อาจทำให้ระบบการเงินของประเทศไม่หมุนเวียนมากนัก…แต่ผมก็ยังนิยมความมัธยัสถ์... มากกว่าการสุรุ่ยสุร่าย สังเกตง่าย ๆ....
อีกอย่างหนึ่งก็คือสนนราคาของอาหารเวียดนามนั้น.. หาได้ถูกกว่าไทย.... มาตรฐานค่าครองชีพไม่ได้ต่ำกว่าไทยเลย...
นี่แสดงว่า....เขามีแหล่งรายได้ที่ไม่เปิดเผยหรือรับ job ทำงานพิเศษต่าง ๆ.. ไม่ใช่กินแต่เงินเดือนปกติ
4. คนเวียดนามชอบค้าขาย เปิดร้านค้าขายแทบทุกหัวระแหง ในทุกท้องที่มีสินค้าครบถ้วนไม่ต้องไปเดินห้างใหญ่หรือ ไม่ต้องไปย่านการค้าใด...ด้วยความนิยมค้าขายโดยสายเลือดบวกกับความขยันขันแข็งเช่นนี้... โอกาสที่เวียดนามจะแซงไทยได้ คงไม่ไกลเกินเอื้อม
5. มีขอทานน้อยกว่าไทย ในนครโฮชิมินห์ที่มีประชากรไม่แพ้กรุงเทพมหานคร...แต่แทบจะหาขอทานไม่พบ มีแต่คนอุ้มลูกจูงหลานมาขายหมากฝรั่งให้พอรำคาญเล่น คนใจอ่อนก็อุดหนุนกันไปบ้าง แต่ประเภทเป็นขอทานแท้ ๆ...แทบไม่เคยพบ ทางการเขาเอาจริง จับและกวาดต้อนไปฝึกอาชีพ....ไม่ปล่อยให้เกลื่อนถนนแบบไทยที่มี กระทั่งขอทานเขมรมาเพ่นพ่านเต็มไปหมด (น่าอนาถแท้ ๆ ประเทศไทย)
6. (แทบ) ไม่มีปัญหายาเสพติด หรือเด็กเกเร-อันธพาล ที่เวียดนามใครขืนเสพหรือค้ายาเสพติด...มีโอกาสเกิดใหม่สูงมาก....เขาไม่ค่อยขังให้เปลือง ข้าวแดงเสียด้วย…ย่านอิทธิพลค้ายาหรือขาใหญ่แบบสลัมเมืองไทย... แทบหาไม่ได้…ที่เคยมีก็ถูกรื้อไปสร้างแฟลตกันแทบหมดแล้ว
7. เศรษฐกิจ "กระดี๊กระด๊า" ดูดีไปหมด! ทั้งนี้เพราะเติบโตปีละ 7-10% มาหลายปี ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เวียดนามก็กระอักแบบไทย...แต่ฟื้นตัวเร็วกว่าและ ฟื้นตัวอย่างมั่นคงกว่าไทยมาก...อนาคตของประเทศแลดูสดใส อยู่ในช่วงขาขึ้น... มีการพัฒนาสาธารณูปโภคอย่างขนานใหญ่และต่อเนื่อง
8. ให้การต้อนรับกระทั่งมหาวิทยาลัยต่างชาติ นี่เป็นมิติที่ขอย้ำถึงการส่งเสริมการลงทุนของต่างชาติในเวียดนาม..มหาวิทยาลัยชั้นนำของ ต่างประเทศสามารถเข้าไปตั้งสาขาได้....ผิดกับของไทยที่กีดกันมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศ... มหาวิทยาลัยไทยหลายแห่งกลัวการออกนอกระบบ..เพียงเพราะเกรงใจอาจารย์ที่เป็นข้าราชการ... จะสูญเสียผลประโยชน์....แต่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของนักศึกษาและประเทศชาติ
9. แทบหา "บ้านว่าง" (บ้านที่สร้างเสร็จแต่ไม่มีผู้เข้าอยู่) ไม่ได้เลย ที่อยู่อาศัยทุกระดับราคาต่างมีคนเช่าหรือซื้ออยู่อาศัย ที่ว่างมีไม่ถึง 5-10% นี่แสดงว่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจของอสังหาริมทรัพย์…แทบไม่ปรากฏให้เห็นในเวียดนามเลย
10. ระบบผ่อนบ้านมีหลักประกัน (ของไทยยังล้าหลังกว่า!) ในเวียดนามบ้านสร้างเสร็จก็แสดงว่า....การผ่อนชำระค่าบ้านเสร็จพอดี...ซึ่งเป็นลักษณะ escrow account ที่ป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการ...นำเงินไปหมุนทางอื่นหรือ นำไปซื้อรถเมอร์เซดีส....โครงการต้องนำเงินงวดของการผ่อน....มาก่อสร้างบ้านจนแล้วเสร็จ.. และหากใครจะขอกู้ ....ก็ต้องติดต่อสถาบันการเงินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว.... เมื่อสถาบันการเงินตกลง....สถาบันการเงินนั้น...ก็จะผ่อนชำระกับโครงการ จนแล้วเสร็จแทนเราต่อไป
11. กล้าย้ายสถานที่ราชการออกนอกเมือง แล้วนำที่ดินทำเลทองมาพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือหรืออื่น ๆ ในฟิลิปปินส์ถึงขนาดย้ายค่ายทหารออกไปนอกเมือง เพื่อนำที่ดินทำเลทองมาพัฒนาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ... แต่สำหรับไทย คงทำไม่ได้เพราะ "เขตทหารห้ามเข้า" (ฮา) หรือเพราะเรามัก "เจาะยาง"ด้วยการตีขลุมว่า ... ขืนเอาทรัพย์สินไปหาผลประโยชน์เชิงพาณิชย์....อาจเกิดการการฉ้อราษฎร์บังหลวง.. นี่คือกระบวนการกีดกัน/ยับยั้งความเจริญของชาติอย่างแท้จริง
12. กฎหมายเวนคืนศักดิ์สิทธิ์ ทางราชการเวียดนามสามารถย้ายชาวบ้านได้ทุกบริเวณที่ต้องการ....อาจมีอิดออดบ้าง แต่ต้องไปภายในเวลาที่รวดเร็ว ....จะมาอ้างรักถิ่นฐานอนุรักษ์เครือข่ายเพื่อนบ้านหรือรักษา จิตวิญญาณชุมชน ไม่ได้เด็ดขาด....และโดยความศักดิ์สิทธิ์นี้เอง.... พื้นที่แปลงขนาดใหญ่จึงสามารถนำมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที...นี่เป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้เวียดนามก้าวล้ำนำไทยที่
"ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก" เช่นทุกวันนี้
13. กฎหมายมีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว บางครั้งแม้แต่ข้าราชการยังตามไม่ทัน....แต่เป็นข้อดีอย่างยิ่งที่ทำให้กฎหมายสามารถ ตอบสนองสถานการณ์ใหม่ ๆของการพัฒนาประเทศ ....
ไม่เหมือนไทย ที่การแก้ไขกฎหมายเพื่อชาติและประชาชนเชื่องช้าเป็นที่สุด.... เช่น เรามี พรบ.ผังเมืองตั้งแต่ 2475 แต่มีผังเมือง กทม. ฉบับแรกเมื่อปี 2535 หรืออีก 60 ปีถัดมา! เพราะชนชั้นนำของประเทศ...ไม่ต้องการให้ที่ดินของตนเสียผลประโยชน์นั่นเอง.
14. ปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างจริงจัง ท่านเชื่อหรือไม่กัปตันเครื่องบินเวียดนามแอร์ไลน์...ถูกไล่ออกเพียงเพราะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เข้าประเทศ...มูลค่าเพียงหลักแสนบาท...โดยไม่ผ่านด่านศุลกากร ..นักฟุตบอลเวียดนาม 4 คน.... ที่ไปรับสินบนในงานแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ฟิลิปปินส์เมื่อปี2548…ขณะนี้ยังติดคุกหัวโตอยู่เลย เรื่องนี้ประเทศไทยในยุคคุณธรรมนำการเมือง.... เทียบอะไรเขาได้หรือไม่
15. การเมืองเวียดนามมีแต่ความมั่นคง ไม่มีรัฐประหาร ผมได้รับเชิญจากสมาคมนายธนาคารมาเลเซีย (Malaysian Investment Bankers Association) ไปพูดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เขาบอก (เชิงขอบคุณประเทศไทย) ว่า หลังรัฐประหารของไทย... มาเลเซียได้รับอานิสงส์ไปเต็ม ๆ...เงินลงทุนแทนที่จะมาไทย.... กลับไปมาเลเซีย ...ที่เวียดนามก็เช่นกัน...นักลงทุนไปกันมากมาย.... นักลงทุนทั่วโลกแทบจะข้ามหัวประเทศไทยไปหมด...เพราะเขาไม่นิยมรัฐประหาร!
16. ข้อสุดท้ายนี้น่ากลัวที่สุดกล่าวคือ.... เวียดนามกำลังรวมตัวกัน....แต่ไทยกำลังจะแตก....นับจากสิ้นสุดสงครามเวียดนาม เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา....เวียดนามเป็นปึกแผ่นแน่นแฟ้นยิ่ง ๆ ขึ้น.... คนเวียดนามโพ้นทะเล ส่งเงินกลับบ้านจำนวนมหาศาลถึง 150,000 ล้านบาท .(5).แต่ประเทศไทยของเรากลับ กำลังจะแตกแยก...ภาคใต้ไม่แน่ว่า...จะต้องปล่อยให้ปกครองตนเองหรือกลายเป็น ประเทศอิสระในไม่ช้าไม่นานนี้ (โอมเพี้ยง ขอให้เดาผิด).... การแตกแยกคุกรุ่นของคนในประเทศ...กลับยิ่งเพิ่มขึ้นหลังรัฐประหาร.... ไทยกับเวียดนามสวนกระแสกันอย่างนี้ ....แล้วไทยจะเหลือหรือ....ผมไม่ได้เชียร์เวียดนาม.... แต่หวั่นใจว่าไทยเราจะถอยหลัง...
ก็ได้แต่หวังว่าข้อคิด 16 ข้อนี้จะทำให้เราได้ "เสียวสันหลัง" กันเสียบ้าง ปรองดองกันเถอะครับ จำไว้ว่า
"เข่นฆ่ากันทำไม… เราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งผอง ...ไทยฆ่าไทย ให้ชาติอื่นครอง วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลาน" .......
หมายเหตุ
ดร.โสภณ พรโชคชัยเคยเป็นที่ปรึกษารัฐบาลเวียดนาม...ด้านการวางระบบการประเมิน ค่าทรัพย์สินประจำการอยู่ที่กรุงฮานอย…แต่ได้เดินทางไปศึกษาเกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์ในนครอื่นด้วย…
ดร.โสภณมีอาชีพเป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ ...ยังเป็นกรรมการที่ปรึกษาหอการค้าไทยสาขาอสังหาริมทรัพย์... ผู้แทนสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติ (IAAO) ประจำประเทศไทย และกรรมการสภาที่ปรึกษา Appraisal Foundation ซึ่งก่อตั้งโดยสภาคองเกรสเพื่อการควบคุมการประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกา
Email: sopon@thaiappraisal.org
|
3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
|
|
|
|
|
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์
รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2553, 14:13:06 » |
|
เป้าหมายปฏิรูปศึกษาทศวรรษที่ 2
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ
รมว.ศึกษาธิการ ระบุ นายกรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างตัวบ่งชี้และ เป้าหมายการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง 4 หัวข้อ...จากการ ประชุมคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (กนป.) ครั้งที่ 3/2553 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า
ที่ประชุมซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบในหลักการ ร่างตัวบ่งชี้ และ
เป้าหมายการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง 4 หัวข้อ คือ
1. คนไทยและการศึกษาไทยมีคุณภาพและมาตรฐานสากล
2. คนไทยใฝ่รู้
3. คนไทยใฝ่ดี และ
4. คนไทยคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาได้
เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาบรรลุเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ดำเนินงานในปี 2561
ขอขอบคุณเวบไทยรัฐ วันศุกร์ที่ 4 มิ.ย.2553 http://www.thairath.co.th/content/edu/87242
|
3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
|
|
|
|
|
|
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์
รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2553, 08:05:00 » |
|
ขอขอบคุณคอลัมภ์ การศึกษา-สาธารณสุข เวบไทยโพสต์ วันจันทร์ 12 ก.ค. 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว http://www.thaipost.net/news/120710/24723
เตรียมจัดสอบให้นักเรียน ค้นหาตัวเองก่อนเลือกสาขาเรียนในมหาวิทยาลัย
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เตรียมเก็บข้อมูลการมีงานทำของบัณฑิต ตามคำ เรียกร้องของ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน)สมศ.
ที่หวังนำข้อมูลมาใช้เป็น
1.การประเมินสถาบันอุดมศึกษารอบ 3
2.ให้นักเรียนค้นหาตัวเองให้พบ ว่ามีความถนัดในวิชาชีพอะไร และอยากเรียนอะไร
ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทางสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) (สมศ.) ได้หารือ และ ขอให้ทาง สทศ.ช่วยจัดเก็บและติดตามข้อมูลการมีงานทำของบัณฑิต เพื่อ
จะนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของตัวชี้วัดในการประเมินสถาบันอุดมศึกษาในรอบที่ 3 เนื่องจาก ที่ผ่านมายังไม่มีหน่วยงานกลางที่จะทำข้อมูลนี้โดยตรง
ซึ่ง สทศ.ยินดีที่จะทำให้ และการเก็บข้อมูลนี้จะทำเป็นระบบออนไลน์ ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เข้ามาให้ข้อมูล ทั้งนี้คาดว่าจะต้องใช้เวลาในการวางระบบดังกล่าว 7-8 เดือน
"ก่อนที่จะมีการเปิดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาให้ข้อมูล สทศ.จะต้องมีการทำประชาพิจารณ์ ก่อนว่าจะมีการสอบถามเรื่องใดบ้าง เพื่อให้ครอบคลุมข้อมูลที่ต้องการ คำถามเบื้องต้น ที่ สทศ.จะถามและผู้ที่จะต้องเข้ามาให้ข้อมูลมี 4 ฝ่าย คือ
1.นักศึกษา จะถามว่าพอใจในการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยหรือไม่ จบออกมาแล้ว จะมีงานทำหรือไม่ จะไปทำงานอะไร ที่ไหน
2.อาจารย์ พอใจการดำเนินการของมหาวิทยาลัยหรือไม่ พึงพอใจกับบัณฑิตจบออกแล้วอย่างไร
3.ผู้ปกครอง พอใจกับการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยหรือไม่ และ พึงพอใจกับคุณภาพของบุตรหลานที่จบออกมาหรือไม่อย่างไร และ
4.ผู้ประกอบการที่ว่าจ้างบัณฑิต พึงพอใจกับการทำงานหรือไม่ อย่างไร"
ผอ.สทศ.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ทางคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ได้เสนอให้
สทศ. ทำข้อสอบให้นักเรียนได้เข้ามาค้นหาตัวเองว่ามีความถนัดหรือศักยภาพทางด้านใด เพื่อนักเรียนจะได้นำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกเรียนต่อสาขาใด
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ สทศ.ตั้งใจและอยากจะทำมานานแล้ว และจากนี้ สทศ.จะต้องมีการวาง ระบบออนไลน์ให้นักเรียนเข้ามาสอบเพื่อค้นหาตัวเอง
คาดว่าระบบจะเสร็จและสามารถให้นักเรียนได้เข้ามาสอบเพื่อค้นให้พบตัวเองว่า ชอบเรียนอะไร หรืออยากทำอาชีพอะไร เพื่อนำไปใช้ได้ ก่อนที่จะสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยได้ทันปีการศึกษา 2554.
|
3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
|
|
|
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์
รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2553, 18:59:29 » |
|
ขอขอบคุณเวบคมชัดลึก วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว http://www.komchadluek.net/detail/20100712/66320/%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E2%80%9C%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E2%80%9D%E0%B8%A3.%E0%B8%A3.%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89.html
“รีสอร์ทแห่งการเรียนรู้”ร.ร.วัดสวนส้ม"ครูที่พูดไม่ได้" แต่มากมายด้วยความรู้
แม้ว่าโรงเรียนวัดสวนส้ม จ.สมุทรปราการ จะถูกรายล้อมด้วยโรงงานอุตสาหกรรม ทว่าภายในกลับมี “รีสอร์ทแห่งการเรียนรู้” ครูที่พูดไม่ได้ ตามนิยามของอดีตปลัดกระทรวงศึกษา "โกวิท วรพิพัฒน์" ไม่ว่าจะเป็นการเพาะเห็ด สวนวัฒนธรรม สวนวรรณคดี สวนหิน สวนสมุนไพร ผักกางมุ้ง ศาลารักการอ่าน สวนสุขภาพ
ทุกๆ กิจกรรมริเริ่มจาก อัมพร สุวรรณจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสวนส้ม นั่นเอง ผอ.อัมพร เล่าว่า7ปีก่อนที่มาประจำอยู่โรงเรียนนี้เห็นสภาพแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในที่ไม่ดี
เช่น ภายนอกมีโรงงานอุตสาหกรรมขณะที่ภายในมีกองขยะมากมายทั้งที่ในโรงเรียนมีพื้นที่กว่า11ไร่ ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนจึงสร้าง
“รีสอร์ทแห่งการเรียนรู้” จัดสภาพแวดล้อมให้มีแหล่งเรียนรู้ ใช้ทุกๆ พื้นที่ของโรงเรียนให้มีประโยชน์มากที่สุด
ทันทีที่เดินมาถึงบริเวณหน้าประตูโรงเรียน ทุกคนจะได้พบบรรยากาศอันรื่นรมย์ แตกต่างจาก สภาพแวดล้อมภายนอกอย่างลิบลับ ไม่ว่าจะเป็น
ม่านไม้ไผ่ ม่านน้ำที่ไหลจากกระบอกไม้ไผ่ ทำให้ได้รับความรู้สึกสดชื่นเย็นฉ่ำ เดินต่อไปจะพบ สวนประเภทต่างๆ กระจายอยู่ทุกจุดพื้นที่ของอาคารเรียน เช่น
สวนพื้นน้ำ สวนสมุนไพร สวนผักไร้ดิน บ่อกบ สวนวิทยาศาสตร์ สวนผักตารางฟุต สวนคณิตศาสตร์ น้ำตกรูปทรงเรขาคณิต และตบท้ายด้วยแปลงสาธิตเกษตรแบบพอเพียง
ครูทุกคนมีหน้าที่ไม่ใช่เพียงให้ความรู้เท่านั้นแต่ต้องช่วยพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ร่วมด้วย
โดยช่วงแรกต้องทำความเข้าใจกับครูทุกคนในโรงเรียน และให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งในการสร้างสวนแต่ละสวน บูรณาการทุกๆ วิชาเข้าด้วยกัน เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง เพราะพื้นที่ศึกษาหาความรู้มีความจำเป็นสำหรับนักเรียนทุกคนและโรงเรียนไม่มีห้องเรียนเพียงพอ ดังนั้นรีสอร์ทแห่งการเรียนรู้ย่อมมีความจำเป็นต่อเด็กๆ อย่างมาก” ผอ.อัมพร กล่าว ผอ.อัมพร บอกว่า แม้ว่าครูมีภาระ งานค่อนข้างมาก แต่ก็ต้องไม่ลืมหน้าที่ของตนเองในการให้ความรู้ สั่งสอน และบูรณาการหลักสูตรเข้ากับชีวิตประจำวันของเด็ก เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้เต็มรูปแบบ เพราะ
การเรียนรู้ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่หากครูคนไหนรู้สึกเหนื่อย ท้อ ขอให้นึกถึง พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงงานหนักเพื่อปวงชนชาวไทย ครูถือเป็นข้าราชการที่ทำงานใต้พระบาทของพระองค์ ควรจะตระหนักและพึงระลึกถึง หน้าที่ของตนเองในการเป็นครูที่ดี ทั้งนี้ในแต่ละสวน เช่น สวนวิทยาศาสตร์ที่มีพืชพันธุ์ไม้สมุนไพร ให้นักเรียนได้ศึกษาควบคู่ไปกับ การทำรายงาน ผลงานและชีวประวัติของนักวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ ที่สามารถเชื่อมโยงได้ ทำให้นักเรียนเข้าใจหลักสูตร และชอบเรียนวิทยาศาสตร์มากขึ้น
ครูอุทัยวรรณ ภัททกวงศ์ ครูภาษาไทย เล่าเสริมว่า รีสอร์ทแห่งการเรียนรู้ไม่ได้เป็นเพียงห้องเรียน ธรรมชาติสำหรับเด็กๆ แต่ยังเป็นปอดของเด็กอีกด้วย เพราะรอบๆ โรงเรียนมีแต่โรงงานอุตสาหกรรม พืชพันธุ์ไม้ ต้นไม้ต่างๆ จึงเป็นเสมือนเครื่องฟอกอากาศสำหรับเด็กๆ และครูอาจารย์
รวมถึงยังเป็นการลดมลพิษทางอากาศแก่ชุมชนอีกด้วย นอกจากนี้ความรู้ทั้ง 8 กลุ่มสาระวิชา ถูกจำลองเป็นสถานที่ทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกสมุนไพร ภูเขาคณิตศาสตร์ ผักบุ้งลอยฟ้า นอกจากให้ความรู้แล้ว ยังทำให้เด็กๆ ได้นำความรู้เหล่านั้น ไปใช้ประโยชน์แก่ครอบครัวของตน
อย่าง "น้องอ้อน" ด.ญ.สุจิตราภรณ์ จันทารักษ์ นักเรียนชั้น ป. 6 เล่าว่า ได้ร่วมทุกสวนในรีสอร์ท แห่งการเรียนรู้ ซึ่งสวนที่ชอบมากที่สุดคือ
สวนคณิตศาสตร์ สวนวิทยาศาสตร์ และเกษตรแบบพอเพียงโดยเฉพาะการปลูกผักบุ้งลอยฟ้าเพราะ ครอบครัวอยู่ในชุมชนแออัดทำให้ไม่มีพื้นที่ปลูกผัก
จึงนำความคิดปลูกผักบุ้งลอยฟ้าปลูกพืชผักสวนครัวไว้รับประทานที่บ้าน รีสอร์ทแห่งการเรียนรู้ จึงเป็นการเรียนรู้ที่สมบูรณ์แบบ เรียน เล่น ทำกิจกรรม และได้ค้นคว้าทดลอง สร้างนวัตกรรมการ เรียนรู้ด้วยตนเอง
จึงอยากขอบคุณ ผอ. ครูทุกคนที่ช่วยกันสร้างสรรค์แหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง โรงเรียนในฝัน ที่สร้างความสุข และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
รีสอร์ทแห่งการเรียนรู้ ร.ร.วัดสวนส้ม เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ ผอ.โรงเรียน คุณครู นักเรียน ร่วมกัน สร้าง พัฒนาโรงเรียนชนบท มีห้องเรียนจำกัด สภาพแวดล้อมย่ำแย่ เป็นรีสอร์ทที่เต็มไปด้วย สวนธรรมชาติ แหล่งเรียนรู้มากมายและสร้างครูที่พูดไม่ได้ให้แก่เด็กและคนในชุมชน โดยสอด แทรกคุณธรรมจริยธรรม ปลูกฝังวิถีชีวิตพอเพียง
สนใจศึกษาวิถีชีวิต รีสอร์ทของ ร.ร.วัดสวนส้ม ต.สำโรงใต้ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ โทร.0-2387-0386 หรือ http://www.school.obec.go.th/suansom/
|
3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
|
|
|
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์
รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2553, 15:40:36 » |
|
ขอขอบคุณวบไทยรัฐวันพุธ 28 กรกฏาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว http://www.thairath.co.th/content/edu/99424
ชี้ 7 วิกฤติอุดมศึกษา-ตามกระแสบริโภคนิยม
ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ทำให้ละเลยหน้าที่หลักของมหาวิทยาลัยไป การปฏิรูปอุดมศึกษาในอนาคตต้องกลับไปฟื้นวิญญาณของความเป็นมหาวิทยาลัยคือ การแสวงหา การค้นคว้าความรู้ใหม่...
ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในฐานะคณะอนุกรรมการการอุดมศึกษาของวุฒิสภา กล่าวว่า การปฏิรูปอุดมศึกษาต้องพยายามก้าวให้พ้นวิกฤติ 7 ประการสำคัญ คือ
1. ขาดทิศทาง นโยบาย และเป้าหมายที่ชัดเจน
2. ตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างอยู่ และเอาตัวรอดกันเอง แม้สถาบันอุดมศึกษาในปัจจุบันจะมีความเป็นอิสระมีเสรีภาพมากขึ้น แต่ผลที่ตามมาคือ ต่างคนต่างอยู่ แข่งขันกันเอง
3. มีความซ้ำซ้อน สูญเปล่าสูง ขาดความร่วมมือกัน ทำให้มีการเปิดหลักสูตรที่ซ้ำซ้อนกันมากขึ้น ก่อให้เกิดการสูญเปล่าสูง
4. การดูแลในเชิงคุณภาพไม่ได้ผลเท่าที่ควร ทำให้ บัณฑิตไม่มีคุณภาพอย่างที่ควรจะเป็น
5. ไม่เชื่อมโยงกับสังคมเท่าที่ควร การรับรู้และผูกพันกับสังคมมีน้อย การเรียนรู้ไม่ทันกับสังคม ในขณะที่สังคมมีปัญหาแต่มหาวิทยาลัยไม่มีคำตอบให้
6. มุ่งประโยชน์ เชิงธุรกิจมากกว่าวิชาการ ทำให้ความเข้มแข็งทางวิชาการลดน้อยลงไป
7. ระบบธรรมาภิบาลยังไม่ เข้มแข็งเท่าที่ควร การบริหารจัดการสถาบันอุดมศึกษามีลักษณะยึดประสบการณ์สูง หลักการบริหารอุดมศึกษาหรือธรรมาภิบาลไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร
ศ.ดร.ไพฑูรย์กล่าวว่า ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยไทยมีลักษณะเป็นบริโภคนิยม ตามกระแสโลกาภิวัตน์ไปเรื่อยๆทำให้ละเลยหน้าที่หลักของมหาวิทยาลัยไป
การปฏิรูปอุดมศึกษาในอนาคตต้องกลับไปฟื้นวิญญาณของความเป็นมหาวิทยาลัยคือ การแสวงหา การค้นคว้าความรู้ใหม่ เพื่อประโยชน์สุข ของบุคคลและแก้ปัญหาของสังคมไปพร้อมกัน จึงเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยควรให้ความสำคัญอย่างจริงจัง.
|
3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
|
|
|
|
|
|