23 พฤศจิกายน 2567, 09:55:21
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 [2] 3 4  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: มาร่วมแบ่งปันสิ่งดีๆ จากสิ่งที่ได้อ่าน+การทำงาน กันครับ  (อ่าน 49160 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #25 เมื่อ: 07 เมษายน 2553, 19:38:24 »


                  “เครือข่ายจุฬาฯ” สุดทนม็อบแดง ร่อนอีเมลปลุกพลังเงียบแสดงพลัง 9 เม.ย.     

                                   
       
       ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายจุฬาฯ เชิดชูคุณธรรมนำประชาธิปไตย (จคป.) และผู้ประสานงานเครือข่ายพลังเงียบ กล่าวว่า จากการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตนทราบดีว่า ทุกคนคงมีความอึดอัดมาก และเกิดความเดือดร้อนกันอย่างถ้วนหน้า จึงประสงค์ที่จะรวมคนที่มีแนวคิดเดียวกันอย่างเป็นกลุ่มก้อน เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านการยุบสภา และไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมที่สร้างความเดือดร้อนต่างๆ ให้กับประชาชน
       
       “การเริ่มต้นครั้งนี้เป็นการเคลื่อนไหวสืบเนื่องมาจากวันที่ 2 เมษายน จากการชุมนุมของกลุ่มเสื้อสีชมพู ซึ่งเราก็ได้เจอกันแล้ว พูดคุยแสดงความคิดเห็นต่อกัน ซึ่งประจวบกับที่ผมก็กำลังรวบรวมรายชื่อคัดค้านการยุบสภาอยู่พอดี และก็ได้กลุ่มของอาจารย์ ตรีดาว อภัยวงศ์ มาช่วยกัน เลยตั้งใจจะจัดเป็นเวทีในการออกแสดงความคิดเห็นที่เป็นภาคประชาชน และก็เริ่มการติดต่อเพื่อชักชวนพลังเงียบที่สนใจโดยการส่งอีเมล และมันก็เป็นลูกโซ่ออกไป ให้คนอ่านที่สนใจได้ลองมาคุยกันถึงความเดือดร้อนจากการชุมนุม ความไม่เห็นด้วย ตลอดจนความอึดอัดต่างๆ ที่น่าจะปรับเปลี่ยนเป็นทิศทางแก้ไขโดยเราจะจัดเตรียมเวทีเครื่องเสียงไว้ให้ได้แสดงเสียงกันอย่างเต็มที่ ส่วนกระบวนการต่อไปก็อาจจะเป็นการรวบรวมเสียงให้เป็นกลุ่มก้อน หรืออาจะแถลงการณ์ความต้องการต่อไป”
       
       ทั้งนี้ เนื้อหาในอีเมลพลังเงียบฉบับดังกล่าวมีดังนี้ พลังเงียบทั้งหลาย ท่านกำลังมีอาการ อึดอัด เครียด วิตก กินไม่ได้ นอนไม่หลับมองไม่เห็นอนาคตของชาติ ขอเชิญมารวมตัวกันในงานชุมนุม
       
      “เราจะไม่เงียบอีกต่อไป ณ สวนจตุจักร ในวันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 16.00 น.เป็นต้นไป (สีอะไรก็ได้ แต่งด สีแดง)"

      ขอขอบคุณ  ASTVผู้จัดการออนไลน์   7 เมษายน 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000048349   

                   gek gek gek

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #26 เมื่อ: 07 เมษายน 2553, 21:14:40 »


                  สธ.หวั่นโรคสมัยใหม่คุกคามคนเมือง ชู 7 เมษา วันอนามัยโลก “พลิกชีวิต-พัฒนาเมือง”

                                                 

                                 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

       กระทรวงสาธารณสุข จัดกิจกรรมเนื่องในวันอนามัยโลก ปี 2553 ตั้งเป้าพัฒนาคุณภาพชีวิตคนเมืองรองรับการขยายตัวของประชากรในเขตเมือง พร้อมหวังลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคสมัยใหม่ที่เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
       
       วันนี้ (7 เม.ย.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยในพิธีเปิด การจัดกิจกรรมเนื่องในวันอนามัยโลก ปี 2553 ณ ห้องประชุมไพจิตร ปวะบุตร อาคาร 7 ชั้น 9 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ว่า

       ทุกวันที่ 7 เมษายนของทุกปี องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้เป็น “วันอนามัยโลก” และในปี 2553 นี้ ประเด็นที่ได้รับความสนใจและถูกกำหนดเป็นเนื้อหาสำคัญของวันอนามัยโลกคือเรื่องความเป็นเมืองกับสุขภาพ โดยกำหนดการรณรงค์ภายใต้หัวข้อ

                  “สุขภาพเขตเมืองเป็นเรื่องสำคัญ” (Urban Health Matters)

       เพราะปัจจุบันความเป็นเมืองกำลังขยายตัวไปทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันพบว่า

ประชากรทั่วโลกที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองมีมากกว่าร้อยละ 50 หรือประมาณ 3,300 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 67 หรือประมาณ 5,000 ล้านคน ในปี 2573

       โดยประชากรโลกประมาณ 2 ใน 3 อยู่ในเขตเมือง และในจำนวนนี้มีแนวโน้มอยู่ในชุมชนแออัดร้อยละ 28 โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ความเป็นเมืองมีการขยายตัวมากขึ้นตามลำดับ และไม่ได้จำกัดเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเมืองปริมณฑล และเทศบาลเมืองต่างๆ เพราะจากข้อมูลปี พ.ศ.2552 ประเทศไทย มีประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองประมาณร้อยละ 36 ของประชากรทั้งประเทศหรือประมาณ 22 ล้านคน และคาดว่าในปี 2563 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า จะเพิ่มเป็นร้อยละ 38 หรือประมาณ 25 ล้านคน
       
       นายจุรินทร์ กล่าวต่อไปว่า การเคลื่อนย้ายประชากรจากชนบทสู่เมืองทั้งเพื่อการประกอบอาชีพและการศึกษาพบว่ายังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อความพร้อมด้านการจัดหาและให้บริการสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ขั้นพื้นฐาน อีกทั้งก่อให้เกิดปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมและปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และคนยากจน เสี่ยงต่อการเกิดโรคสมัยใหม่ เพราะความเป็นเมืองทำให้ประชาชนมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ขาดการออกกำลังกาย บริโภคอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ก่อเกิดโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น รวมทั้งเกิดปัญหาสังคม เช่น อาชญากรรม และยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายที่จะส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนทุกกลุ่มวัย ด้วยการเร่งพัฒนายุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาพประชาชนเขตเมือง ทั้งในด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมเขตเมือง การป้องกันและควบคุมโรค การพัฒนาคุณภาพระบบบริการสาธารณสุขทุกระดับเพื่อลดช่องว่างและความไม่เป็นธรรมด้านสุขภาพของประชาชน โดยกำหนดให้วันที่ 7 เมษายน วันอนามัยโลก เป็นวันเริ่มต้นของการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนเมือง
       
       “พร้อมทั้งจัดทำโครงการ 1,000 เมือง 1,000 ชีวิต พิทักษ์คุณภาพชีวิตคนเมือง เพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการจัดการเมืองของเทศบาลต่าง ๆ เพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยการสรรหาเมืองดีเด่นเข้าร่วมกิจกรรม

       โดยความเป็นเมืองดีเด่นต้องครอบคลุมใน 6 มิติ ได้แก่

ด้านเศรษฐกิจ ด้านวัฒนธรรม ด้านการศึกษา ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสาธารณสุข และ ด้านสังคม

       ซึ่งขณะนี้มีเทศบาลเข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 51 เมือง และกำลังเตรียมการเข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มเติมจำนวน 16 เมือง รวม 67 เมือง และมีบุคคลตัวอย่างที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาคุณภาพชีวิตจนที่ประจักษ์แล้วจำนวน 9 คน ที่จะร่วมรณรงค์และดำเนินการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมยกระดับสภาพแวดล้อมชุมชนแออัดเขตเมือง และพัฒนาภูมิทัศน์และพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองเพื่อการพักผ่อนและการออกกำลังกาย เพื่อให้ประชาชนในเขตเมืองอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัย เอื้อต่อการมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม

       ทั้งนี้ เมืองที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับประกาศเกียรติคุณเป็นเมืองต้นแบบของโลกในที่ประชุมระดับโลก (Global Forum) ณ เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนพฤศจิกายน 2553 ต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในที่สุด

       ขอขอบคุณ  ASTVผู้จัดการออนไลน์   7 เมษายน 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000048554   

                  gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #27 เมื่อ: 08 เมษายน 2553, 14:45:54 »


                          พายาไปหาหมอ ข้อที่คนไข้ควรรู้
 
                           
  
                                 ผศ.ดร.ภูรี อนันตโชติ  
 
       จั่วหัวแบบนี้ หลายคนคงอุทาน “อะไรฟะ พายาไปหาหมอ ? ? ? ” พร้อมกับหน้างงๆ แกมสงสัย ว่าทำไมต้องพา “ยา” ไปหาหมอ เพราะปกติมีแต่เมื่อป่วยแล้วต้องพา “ตัวเอง” ไปหาหมอเพื่อจะไปเอา “ยา” งานนี้ ผศ.ดร.ภูรี อนันตโชติ อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะกรรมการมูลนิธิเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบยา (วพย.) มีคำตอบมาให้หายสงสัยกัน
      
       “ส่วนใหญ่พฤติกรรมคนไข้โดยมากแล้ว คือ เมื่อเกิดอาการป่วย จะมาพบแพทย์แล้วก็รับยากลับบ้าน พอกินยาไปได้สักพักจนอาการป่วยหาย คนไข้มักเลิกกินยา ยาที่ได้รับไปก็จะเหลืออยู่ในบ้าน เป็นแบบนี้หลายๆ หน ยาก็จะเหลือเยอะ กรณีแรกที่เราจะได้หากเราเอายาที่เรามีไปพบแพทย์ หรือจำชื่อยาว่าเรามียาอะไรบ้าง แพทย์ก็จะไม่ต้องจ่ายยาที่เรามี เราก็ไม่ต้องจ่ายเงินค่ายา หรือถ้าเป็นประกันสังคมหรือบัตรทอง ประเทศก็สามารถประหยัดงบประมาณเรื่องยาไปได้มาก”
      
       ประการสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับความปลอดภัยของคนไข้โดยตรงที่อาจารย์เภสัชคนเก่งรายนี้ให้ความกระจ่างก็คือ กรณีของคนไข้บางคน โดยเฉพาะคนไข้สูงอายุ ที่ป่วยด้วยโรคมากกว่า 1 โรค อาจจำเป็นต้องไปพบแพทย์มากกว่า 1 ราย มากกว่า 1 โรงพยาบาล และได้ยารักษาโรคมาหลายชนิด
      
       “ยาบางชนิดหากกินคู่กัน ฤทธิ์ยาจะขัดแย้งกันเอง กินคู่กันไม่ได้ ในขณะที่ยาบางชนิดหากกินคู่กันจะเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน หากกินคู่กันคนไข้อาจจะได้รับฤทธิ์ของยามากเกินจำเป็น เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด กับยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (Non Steroidal Anti-inflamatory Drugs) หรืออาจทำงานแล้วลดประสิทธิภาพของยาตัวใดตัวหนึ่งให้ลดลง เช่นรับประทานยาคุมกำเนิด และยาปฏิชีวนะร่วมกัน ทำให้ยาคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพลดลง และอาจจะตั้งครรภ์ได้
      
       ผศ.ดร.ภูรี อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ในกรณีที่คนไข้เปลี่ยนหมอ ในบางครั้งคนไข้จำชื่อยาไม่ได้หรือเรียกชื่อยาผิดพลาดไม่ถูกต้อง ก็อาจทำให้แพทย์และเภสัชกรไม่ทราบว่าคนไข้ใช้ยาอะไรอยู่ก่อน และยากต่อการวางแผนการรักษาและให้ยา ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความต่อเนื่องกับแผนการรักษาเดิม

                
 
       “คือแพทย์เองก็ไม่มีเวลาซักประวัติคนไข้มากนัก อาจจะด้วยเพราะเวลาน้อย ตรวจคนไข้ตลอดทั้งวัน เวลาเฉลี่ยในการตรวจต่อคนคงมีไม่มากนัก แล้วบางครั้งคนไข้ก็อธิบายไม่เก่ง ไม่กล้าคุยกับแพทย์ การเอายาที่กินอยู่เป็นประจำ หรือยาที่ได้มาจากการรักษาก่อนหน้านี้ไปด้วย จะช่วยในการวินิจฉัยและเลือกแนวทางการรักษารวมถึงการตัดสินใจให้ยาของแพทย์ได้มากขึ้นในเชิงของข้อมูล หรือหากมียาเยอะมาก ก็สามารถใช้วิธีจดลิสต์ชื่อยามาให้แพทย์ดูก็ได้ แต่ต้องจดให้ละเอียดและถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นชื่อยารวมถึงปริมาณขนาดของยานั้น เพราะยาแต่ละชนิดก็มีปริมาณขนาดไม่เท่ากันเพื่อให้แพทย์เลือกสั่งจ่ายตามอาการของคนไข้ที่มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป”
      
       กรรมการมูลนิธิ วพย.รายนี้ กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า การให้ข้อมูลเรื่องยาแก่แพทย์ผู้รักษาหรือ “ปฏับัติการพายาไปหาหมอ” นั้นสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่ง แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำกันเพราะไม่ค่อยตระหนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งนี้คือความปลอดภัยและประโยชน์ของคนไข้โดยตรง เพราะในทางทฤษฎีแล้ว การกินยาคู่ที่ไม่ควรกินด้วยกัน ถ้ากินติดต่อกันนานๆ ก็มีสิทธิ์อันตรายถึงชีวิตได้
       
       “แม้ในทางปฏิบัติการกินยาคู่ที่ออกฤทธิ์ซึ่งกันและกันเมื่อคนไข้รู้สึกผิดปกติหรือไม่สบายตัวด้วยอาการข้างเคียงต่างๆ ก็จะมาพบแพทย์เพื่อให้แพทย์เปลี่ยนยาให้ แต่อย่างไรก็ตาม การให้ข้อมูลแก่แพทย์ให้มากที่สุดก็เป็นประโยชน์และสวัสดิภาพของคนไข้โดยตรงที่ควรใส่ใจ


ขอขอบคุณ  ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 เมษายน 2553

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000048612

          gek gek gek
 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #28 เมื่อ: 08 เมษายน 2553, 15:34:38 »

ตอนนี้ชอบ linkedin.com ครับ ... ย่อโลกทั้งใบ ไว้แค่ในจอคอมพิวเตอร์ ...


คล้าย FB ... แต่จะนำมาใช้เพื่อการทำงาน เช่น นัดหมาย  สัมมนา (Webinar) ฯลฯ


http://th.linkedin.com/pub/dr-montri-charoensri/13/155/a13




      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #29 เมื่อ: 08 เมษายน 2553, 18:58:13 »


                   ต้องปฏิรูปที่จิตสำนึก

                    

         วันนี้ ไทเกอร์ วูดส์ นักกอล์ฟอาชีพหมายเลข 1 ของโลก จะลงแข่งขันกอล์ฟในรายการ "เดอะ มาสเตอร์" เมเจอร์แรกของปีนี้ ที่ สนามออกัสต้า เนชั่นแนล กอล์ฟคลับ หลังหยุดไป 5 เดือน เพราะจากถูกภรรยาจับได้ว่ามีกิ๊ก เพื่อเยียวยาปัญหาในครอบครัว เยียวยาจิตใจตนเองเรื่องเพศสัมพันธ์

         เรื่องที่ ไทเกอร์มีกิ๊ก แม้จะเป็น "เรื่องส่วนตัว" เป็นปัญหาในครอบครัว แต่ สังคมอเมริกัน กลับถือเป็น "เรื่องส่วนรวม" ที่ยอมรับกันไม่ได้

         ห้าเดือนที่ผ่านมา ไทเกอร์ วูดส์ ถูกสังคมอเมริกันลงโทษอย่างรุนแรง การนอกใจเมีย การโกหกสังคมว่าเป็นคนดี เป็นสิ่งที่ สังคมประชาธิปไตยอเมริกันยอมรับไม่ได้ แม้แต่ "สปอนเซอร์" ก็ยังถอนจนหมดสิ้น แต่ สังคมไทย กลับเห็นเรื่องนี้เป็น เรื่องธรรมดา เพราะในสังคมไทยทำกันปกติ แม้แต่เรื่อง การทุจริตคอรัปชันของนักการเมือง ก็ยังเห็นเป็น เรื่องธรรมดา

                    

         เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึง "จิตสำนึก" ของ สังคมอเมริกัน ได้พัฒนาไปถึงขั้นสูงแล้ว มองเห็นเรื่องการนอกใจภรรยา การโกหกสังคมเป็นเรื่องร้ายแรงที่ให้อภัยไม่ได้ แม้ไม่มีกฎหมายลงโทษ แต่สังคมก็ช่วยกันลงโทษแทน แม้แต่สปอนเซอร์ก็ยังต้องถอน เพราะละอายใจตัวเองที่จะต้องฝืนความรู้สึกของสังคม

         ก่อนลงแข่งขัน ไทเกอร์ วูดส์ ให้สัมภาษณ์สื่อครั้งแรกหลังซ้อมที่สนามออกัสต้า เริ่มต้นด้วยการขอโทษทุกฝ่ายที่ตัวเองโง่เขลาทำผิดเรื่องนี้ ขอโทษแม่ ขอโทษครอบครัว (ภรรยาและลูก) ขอโทษทุกคน และประกาศว่า จะพยายามทำให้ตัวเองดีขึ้น เข้มแข็งขึ้นต่อไป

         แม้จะโดนสื่อถามคำถามหนักๆ ไทเกอร์ก็ตอบด้วยความใจเย็น ยอมรับในคำพิพากษาของสังคม ไทเกอร์บอกสื่อว่า คุณรู้ไหม ผมไม่เพียงโกหกหลอกลวงคนจำนวนมาก ผมยังหลอกลวงตัวเองด้วย สิ่งที่ผมทำไว้ ผมต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่

         ผมเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังก็เพื่อจะบอกกับ ประเทศไทย และ สังคมไทย ว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ประเทศไทยและสังคมไทยจะต้อง

                    "ปฏิรูปจิตสำนึกคนไทย"

         กันอย่างเร่งด่วน ก่อนจะถดถอยยิ่งกว่านี้ แทนที่จะ ปฏิรูปการเมือง หรือ ปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่อง "ปลายเหตุ" แต่ "จิตสำนึก" คือ "ต้นเหตุ" ที่แท้จริง

         ประเทศไทย ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประชาธิปไตย ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ มา 78 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จนถึงวันนี้เราได้แค่ "การเลือกตั้ง" อย่างเดียว แถมยังมีการ "ซื้อเสียง" ที่ไม่ต่างไปจาก 5-60 ปีก่อน เพียงแต่เปลี่ยนจาก สิ่งของ อาหารการกิน เช่น ปลาทู มาเป็น "เงิน" เท่านั้น

         แต่ "จิตสำนึก" คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึง "ประชาธิปไตยที่แท้จริง" ทำให้รู้จักแต่ "สิทธิตัวเอง" แต่ไม่รู้จัก "สิทธิของคนอื่นในสังคม" ไปจนถึง "หน้าที่ของพลเมือง" ที่ทุกคนพึงมีในระบอบประชาธิปไตย

         การ "ปฏิรูปจิตสำนึก" ไม่ใช่เรื่องนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ และไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำ ผมว่าง่ายกว่าการปฏิรูปการเมืองเพื่อให้ ส.ส.ในสภามีจิตสำนึกเสียอีก

         เวลานี้ก็มี ภาคเอกชนไทย  มากมายที่กำลังช่วยกัน "ปฏิรูปจิตสำนึกในสังคม" เพื่อ "สร้างจิตสำนึกใหม่" ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น เช่น การสร้างจิตสำนึกเรื่อง CSR เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมที่กำลังฮิตมากๆ การสร้างจิตสำนึกเรื่องการปลูกป่า เพื่อลดภาวะโลกร้อน เป็นต้น

         เมื่อการปลูกฝังเรื่อง จิตสำนึกที่รับผิดชอบต่อสังคม จิตสำนึกการปลูกป่า เรายังทำได้ แล้วเรื่องการปลูกฝัง จิตสำนึกประชาธิปไตยที่ถูกต้อง เพื่อให้คนไทยมีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมมากขึ้น ซึ่งเป็น "จิตสำนึกสาธารณะ" เหมือนกัน ทำไมเราจะทำไม่ได้ ผมเชื่อว่าเราสามารถทำได้ รัฐบาลไม่ทำ เอกชนก็ควรช่วยกันทำ เพื่อประเทศชาติของเรา สังคมของเรา

         ประชาธิปไตย ต้องยึด "ชาติ" เป็นหลัก อย่าง อเมริกา ก่อนเริ่มแข่งขันกีฬานัดสำคัญทุกครั้งเขาจะต้อง "ร้องเพลงชาติ" เพื่อแสดงความ "รักชาติ" และการปราศรัยใหญ่ของ "ประธานาธิบดี" ทุกครั้ง ผู้นำสหรัฐฯ จะต้องบอกว่า เขาทำเพื่อประเทศสหรัฐฯและประชาชนชาวอเมริกัน ผมอยากเห็นวันหนึ่งในอนาคตจะมีนักการเมืองไทยสักคนที่กล้าลุกขึ้นมาประกาศ "จิตสำนึก" ของตัวเองว่า ผมรักชาติ และ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อประเทศไทยและคนไทย ไม่ใช่เพื่อตัวเอง.

                                                                                                 "ลม เปลี่ยนทิศ"

 ขอขอบคุณ ไทยรัฐออนไลน์ วันพฤหัสบดี ที่ 8 เมษายน 2553

http://www.thairath.co.th/column/pol/thai_remark/75411

                   ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ      

         ในทรัพยากร 3  M ได้แก่ Man , Money และ Management นั้น M  Man นั้นสำคัญที่สุด ในภาวะขาดแคลนทรัพยากรอื่น แต่ถ้ามี M Man มนุษย์ที่่ดี มีคุณภาพ มีจิตสำนึกทำเพื่อส่วนรวม ก็สามารถปรับทรัพยากรที่ไม่พอเพียงให้เกิดประโยชน์ได้

         ประเทศไทย จึงสมควรต้องมุ่งพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ ได้พบข่าว เรื่อง สวัสดิการสังคม พบว่า ประชาชนอยากได้


                          ด้านการศึกษา เป็นอันดับหนึ่ง รองลงมา เป็นด้านสุขภาพ

         เราปฏิรูปสิ่งภายนอก แต่ไม่มุ่งปฏิรูปทรัพยากรมนุษย์ พลเมือง ยังคง จน โง่  เจ็บ ทำให้นักการเมืองที่ไม่มีจิตสำนึก เข้ามาทำธุรกิจการเมือง ลงทุนซื้อเสียง ให้ได้รับเลือกเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร สส.  เพื่อเข้ามกอบโกยจากการได้อำนาจให้ออกกฏหมาย ทุจริตเชิงนโยบาย ให้เห็นกันอยู่  
  
                          จนประเทศไทยติดอันดับมีคอรัปชั่นสูงประเทศหนึ่งในโลก

                                                 gek gek gek


        
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #30 เมื่อ: 08 เมษายน 2553, 22:20:23 »


                          เครือข่ายจุฬาฯ ยกเลิกชุมนุม 9 เม.ย.

                      

         วันนี้ (8 เม.ย.) ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายจุฬาฯ กล่าวว่า เดิมเครือข่ายจุฬาฯ จะนัดชุมนุม “เราจะไม่เงียบอีกต่อไป” ณ สวนจตุจักร ในวันศุกร์ที่ 9 เม.ย.2553 เวลา 16.00 น. แต่เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และไม่อยากให้กลุ่มคนเสื้อแดงใช้เป็นข้ออ้างว่า รัฐบาลปล่อยให้คนกลุ่มอื่นมาชุมนุม ดังนั้น เครือข่ายจุฬาฯ ยกเลิกการชุมนุมดังกล่าว.

ขอขอบคุณ น.ส.พ.เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี ที่ 08 เมษายน 2553

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentID=58951

         นำมาบอกพวกเราว่ายกเลิกชุมนุมแล้ว หลังประกาศภาวะฉุกเฉินร้ายแรง แล้ว จะนำความสันติ หันหน้าเข้ามาคุยกัน เพื่อให้ได้ชนะ ชนะ ได้ทุกๆ ฝ่าย

                           ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #31 เมื่อ: 09 เมษายน 2553, 16:12:14 »


                              เหลืองมาแล้ว  
 
      
 
             พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)และคณะ ร่วมกันกดดันให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับกลุ่มเสื้อแดง เพราะถือเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมายและส่อเค้านำไปสู่ความรุนแรง  
 
             ขอขอบคุณ น.ส.พ.แนวหน้า วันศุกร์ ที่ 9/4/2010  ที่เอื้อเฟื้อข่าว
 
http://www.naewna.com/news.asp?ID=206702


                   gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #32 เมื่อ: 09 เมษายน 2553, 16:29:26 »


                          
 
         นับจากนี้เหลืออีกไม่กี่อึดใจก็จะถึง "วันปีใหม่ไทย" วันมหาสงกรานต์ปี 2553 ตรงกับ วันพุธ "นางสงกรานต์" มีนามกรว่า "มณฑาเทวี"ทรงพาหุรัด ทัดดอกจำปา ขี่ลา ถือเหล็กแหลมมีไม้เท้าเป็นอาวุธ กินนมเนยเป็นอาหาร โบราณท่านว่า... ข้าวของจะแพง เกิดความเดือดร้อนเจ็บไข้ !

         ปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่เกิดควบคู่กับเทศกาลสงกรานต์ทุกปีคือ "อุบัติเหตุจราจร" ผู้คนนับ ร้อย นับพันต้องจบชีวิตลงบนท้องถนน

          ปัญหาการเกิดอุบัติเหตุ บนท้องถนนที่นำไปสู่การบาดเจ็บรุนแรง และเสียชีวิตจำนวนมาก ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ ที่แม้รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ จะร่วมมือกันรณรงค์ หามาตรการต่างๆมาใช้เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุอย่างไร ก็ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะได้ผลสำเร็จ จำนวนตัวเลข ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในแต่ละปี ยังคงสูงอยู่มาก เมื่อเทียบกับต่างประเทศ

          ปฏิเสธไม่ได้ว่า "ตำรวจ" เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทหลัก ในการดูแลความปลอด ภัย ของประชาชนบนท้องถนน แต่ก็ต้องยอมรับว่า การทำงานของตำรวจที่ผ่านมา ยังมีข้อจำกัดหลายด้าน โดยเฉพาะการนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์ปัญหา และนำมาใช้ในงานป้องกันอุบัติเหตุ ที่ต้องเร่งแก้ไข

          เมื่อเร็วๆนี้ในงานสัมมนาเรื่องการบังคับใช้กฎหมายจราจรเพื่อลดอุบัติทางถนน จัดโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ร่วมกับศูนย์วิชาการความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ที่โรงแรมอิมพีเรียล หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ต.อ.วณัฐ อรรถกวิน รองผู้บัญชาการตำรวจภูธร จัง หวัดนครราชสีมา ได้นำเสนอเครื่องมือช่วยลดอุบัติเหตุ นั่นคือ

                      "แผนที่อุบัติเหตุ" และ "นาฬิกาอุบัติเหตุ"

         ซึ่งเป็นเครื่องมือใช้ในการรวบรวม จัดระบบ และนำไปสู่การวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุที่มีอยู่กระจัดกระจาย เพื่อนำมาใช้ในงานป้องกันอุบัติเหตุ

         เป็นเครื่องมือที่เริ่มนำมาใช้ ใน โครงการ 365 วันอันตราย หยุดการตายด้วยวินัยจราจร โดย พ.ต.อ.วณัฐ บอกว่า เครื่องมือทั้ง 2 นี้ มีวิธีทำงานคือ

         การจดบันทึกสถิติการเกิดอุบัติเหตุ ทั้งในเชิงพื้นที่ และในเชิงเวลา เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยในการทำ งานลดการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่ง ศูนย์อุบัติเหตุจราจร ตำรวจภูธรจังหวัดราชสีมา ได้นำมาใช้และพบว่า สถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุลดลงเป็นอย่างมาก

          เขาบอกว่า เนื่องจาก จ.นครราชสีมาเป็นเมืองท่าที่มีรถผ่านจำนวนมาก เมื่อเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้ง จะทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนัก โดยเฉพาะบริเวณเนิน ดังนั้นทางศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ จึงได้จัดทำแผนที่และทำสถิติการเกิดอุบัติเหตุ ไว้ใช้ โดยมีลักษณะทำเป็นตาราง ครอบคลุมพื้นที่ถนนทั้งหมดในโคราช ที่มีความยาว ถึง 8,000 กว่ากิโลเมตร เป็นทางหลวงแผ่นดิน 2,400 กิโลเมตร ทางหลวงชนบท 1,400 กิโลเมตร ถนนตามตำบล หมู่บ้าน อีก 5,000 กว่ากิโลเมตร

          นอกจากนี้ยังมีถนนย่อยในหมู่บ้านจำนวนมาก ใน 32 อำเภอ มี 3,000 กว่าหมู่บ้าน และมีสถานีตำรวจ 50 กว่าสถานี ซึ่ง

          แผนที่อุบัติเหตุดังกล่าว จะทำให้ทราบว่าจุดไหน เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด และอยู่ในความรับผิดชอบของโรงพักใด
          
          ขณะที่นาฬิกาอุบัติเหตุ พ.ต.อ.วณัฐ อธิบายว่า คือการบันทึก เพื่อทำให้เห็นช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุบ่อย ส่งผลให้มีการกำหนดจุดและเวลาตั้งด่านตรวจได้ดีขึ้น


         " ในส่วนของสถิติต่างๆ ที่เก็บรวบรวมไว้ ยังถูกนำมาวิเคราะห์ โดยมีการตั้งกรรมการที่บูรณาการภาครัฐ , เอกชน, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มาดำเนินการ่วมกัน กรรมการ จะนำแผนที่มาดู เพื่อกำหนดจุดเสี่ยงต่างๆ แล้วหามาตรการแก้ไข เช่น

         การตั้งจุดตรวจเพื่อคุมเข้มวินัยจราจร ซึ่งมีผลพลอยได้ ให้เจ้าหน้าที่จับคนขนยาเสพติด ได้จำนวนมาก เรียกได้ว่านอกจากช่วยลดอุบัติ เหตุ แล้วยังช่วยแก้ปัญหาอาชญากรรมอีกด้วย" พ.ต.อ.วณัฐว่าอย่างนั้น

         อย่างไรก็ตาม การกวดขันจับกุมเพียงอย่างเดียว คงไม่อาจนำไปสู่ความสำเร็จได้ เพราะหลายกรณีของการเกิดอุบัติเหตุ ก็มีสาเหตุมาจากสภาพถนน สภาพแวดล้อม หรือปัจจัยอื่นๆ จึงต้องมีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มาวิเคราะห์แล้วหามาตรการป้องกันร่วมกัน

         พ.ต.อ.วณัฐ ย้ำว่าหัวใจสำคัญในงานป้องกันอุบัติเหตุจราจรคือ เจ้าหน้าที่ทุกนายต้องตระหนักว่า

         เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ก็เหมือนเกิดการ "ฆ่ากันตาย" พนักงานสอบสวนจะต้องรายงานผู้บังคับ บัญชาทางวาจาทันทีจากที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นให้ส่งรายงานเป็นลายลักษณ์อักษร วิเคราะห์สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ แล้วจะมีการรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ ในเชิงภาพรวมอีกครั้ง ก่อนจะส่งกลับไปยังโรงพักแต่ละแห่ง เพราะถ้าไม่รู้สาเหตุจริงๆ ก็จะป้องกันการเกิดอุบัติเหตุไม่ได้

         "ปีก่อนหน้านี้ จังหวัดนครราชสีมากวดขันวินัยจราจรและมีการจับกุมผู้ขับขี่ที่ผิดกฎไป 3.4 แสนราย แต่เมื่อมีโครงการ 365 วันฯ ปรากฏว่ามีการจับกุมเพิ่มขึ้นกว่า 5 แสนกว่าราย ในจำนวนนั้น มีเยาวชนอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก" พ.ต.อ.วณัฐ กล่าวและว่าสิ่งที่ตามมาคือ อุบัติเหตุจราจร ลด ลงอย่างเห็นได้ชัด

                   "แผนที่อุบัติเหตุ" และ"นาฬิกาอุบัติเหตุ"

         เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือ ในการจัดระบบและ วิเคราะห์ข้อมูล ในการช่วยลดอุบัติเหตุ ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังนำไปสู่การสร้าง การมีส่วนร่วมกับฝ่ายต่างๆ ในการป้องกันอุบัติเหตุ และในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ สถานีตำรวจภูธรหลายพื้นที่ก็จะนำเครื่องมือนี้มาใช้อีกครั้ง เพื่อเป็นตัวช่วยในการทำงานลดอุบัติเหตุบนท้องถนน

ขอขอบคุณ SCOOP@NAEWNA.COM  วันที่ 9/4/2010

http://www.naewna.com/news.asp?ID=206692

             win win win

         วิธี นาฬิกา และ แผนที่อุบัติเหตุนี้ เป็นการนำข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุ มาวิเคราะห์ เพื่อใช้ในการวางแผนป้องกัน    ปิ๊งๆ ที่ทำกันอยู่นั้น ร.พ.มีหน้าที่บันทึกข้อมูลอุบัติเหตุให้ จังหวัด แต่รับไปแล้ว ก็ไม่มีการนำมาทำเป็นรูปธรรมให้เห็นจริง

         ต่อไปนี้ นาฬิกา และ แผนที่อุบัติเหตุ จะต้องนำมาใช้ เป็นนิมิตรหมายอันดี ที่ จะลดอุบัติเหตุ ได้ถูกจุด
 เกาถูกที่คันได้จริง ๆ
 
                            win win win

 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #33 เมื่อ: 09 เมษายน 2553, 17:55:40 »


                                   "พระยาพลเทพ" แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
                                         เปลว สีเงิน 8 เมษายน 2553

                                                    

         วันที่  ๗  เมษายน  ย้อนหลังกลับไป  ๒๔๓  ปี  จะเป็นวันที่  ๗  เมษายน  พ.ศ.๒๓๑๐  คือวันที่  "ไทยเสียกรุงศรีอยุธยา"  แก่พม่า  ครั้งที่  ๒  ณ  สมัยแห่งพระเจ้าเอกทัศน์นั่นเอง

        "พระมหาบุญโฮม ปริปุณณสีโล" วัดท่าไทร สุราษฎร์ธานี ท่านเรียบเรียงไว้ในเว็บไซต์ของท่านว่า

        วันอังคารเดือน   ๕  ขึ้น  ๙  ค่ำ  ปีกุน  (จ.ศ.๑๑๒๙)  ตรงกับวันที่  ๗  เมษายน  พ.ศ.๒๓๑๐  เวลาประมาณบ่ายสามโมง  พม่าจุดไฟสุมรากกำแพงเมืองตรงหัวรอที่ริมป้อมมหาชัย  และยิงปืนใหญ่ระดมเข้าไปในพระนครจากบรรดาค่ายที่รายล้อมทุกค่าย  พอเพลาพลบค่ำกำแพงเมืองตรงที่เอาไฟสุมทรุดลง  เวลา  ๒  ทุ่ม  แม่ทัพพม่ายิงปืนเป็นสัญญาณให้ทหารเข้าพระนครพร้อมกันทุกด้าน   ทหารอยุธยาที่รักษาหน้าที่เหลือกำลังจะต่อสู้  พม่าก็สามารถเข้าพระนครได้ในเวลาค่ำวันนั้นทุกทาง  นับเวลาตั้งแต่พม่ายกมาตั้งล้อมพระนครได้  ๑  ปี  กับ  ๒  เดือน  จึงเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าข้าศึก

                                                     .............................

        สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เสียกรุงมาจาก   "คนทรยศ"  ตามคำให้การของชาวกรุงเก่า  หน้า  ๑๗๔  บอกว่า  "...มีคนไทยชื่อ  

                พระยาพลเทพ  ข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาเอาใจออกห่าง   ลอบส่งศาสตราวุธเสบียงอาหารให้แก่พม่า  

        สัญญาว่าจะเปิดประตูคอยรับเมื่อพม่าเข้าโจมตี  และ ประตูที่พระยาพลเทพเปิดให้ก็เป็นประตูเมืองทางทิศตะวันออก  เข้าใจว่าคงเป็นบริเวณหัวรอ  หรือจะห่างจากบริเวณนี้ก็ไม่เท่าใด  ซึ่งพม่าก็ได้ระดมเข้าตีปล้นกรุงศรีอยุธยามาทางนี้  ตามที่พระยาพลเทพนัดหมายไว้  โดยเข้าไปได้ในเวลากลางคืน  ส่วนวันตามคำบอกของชาวกรุงเก่านั้น  ตรงกับวันที่กรุงแตกดังกล่าวมาแล้วข้างต้นเหล่านี้  เป็นเรื่องที่เชลยไทยได้เห็นในขณะนั้น..."

        การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งนี้   เป็นการสูญเสียที่ใหญ่หลวงของชาติไทย  ทหารพม่าไล่ฆ่าฟันผู้คนล้มตายเป็นอันมาก   ทรัพย์สินสมบัติสูญเสียถูกทำลาย  ถูกขุดค้นไปทั่วทุกแห่งหน  โดยตั้งใจจะไม่ให้ไทยมีทรัพย์สมบัติอะไรเหลืออยู่  แม้แต่วัดวาอารามอันวิจิตรงดงาม  เป็นที่เคารพในพระพุทธศาสนา  ซึ่งเป็นศาสนาเดียวกับพม่า  พม่าก็เอาไฟเผาและเอาไฟสุมพระพุทธรูปพระศรีสรรเพ็ชรดาญาณ   เพื่อให้ทองคำหุ้มองค์ละลาย  เก็บเอาทองคำที่หุ้มองค์พระพุทธรูปหนัก  ๒๘๖  ชั่ง  (๒๓๘.๓๓  กิโลกรัม)  ไปใช้ประโยชน์ที่เมืองพม่า  อีกทั้งได้กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยและทาสยังเมืองพม่า  พม่าเอาไฟเผาบ้านเรือนทำลายข้าวของต่างๆ  อยู่  ๑๕  วัน

         ครับ...ก็จับตากันต่อไปว่า   กรุงรัตนโกสินทร์   พ.ศ.๒๕๕๓  ณ  วันนี้-ยุคนี้  ยังจะมี  

                "พระยาพลเทพ"  อยู่หรือไม่  หรือฝากเชื้อเนื้อหน่อไว้กับใคร

         ในความหมายไส้ศึกชอนไชไทยประเทศให้เป็นที่เทวษอาดูร  ประดุจดั่งกรุงศรีอยุธยาคราดับสูญ  เพราะคนในชาติเชื้อเนื้อตระกูลข้าราชการ...ทหาร-ตำรวจ  และ นักการเมือง!?

                                   gek gek gek

ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยโพสต์ วันพฤหัสบดี ที่ 8 เมษายน 2553

          http://thaipost.net/news/080410/20519

                          so sad so sad so sad
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #34 เมื่อ: 09 เมษายน 2553, 19:10:32 »


         กทม.ผุดไอเดีย 'ให้ขุดถนนเฉพาะกลางคืน กลางวันกลบมิด' เริ่ม 1 ก.ค.
                                              
                              

         นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.)  เปิดเผยว่า

         ในฐานะกำกับดูแลสำนักการโยธา ที่มีโครงการก่อสร้างทั้งสะพาน อุโมงค์ ถนนและโครงการปรับปรุงต่าง ๆ ที่ผ่านมา เมื่อมีการก่อสร้างปรับปรุงในแต่ละจุดแม้จะมีประโยชน์ในระยะยาวเพราะปรับปรุงให้ดีขึ้นหรือมีการก่อสร้างโครงการใหม่เพื่อแก้ไขปัญหา

         แต่ก็สร้างผลกระทบให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทาง เช่น การปรับปรุงสะพานข้ามทางแยก 13 แห่งที่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ตนจึงมีนโยบายจะดำเนินโครงการ

                   “ก่อสร้างกลางคืน”

         เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการก่อสร้างที่ต้องมีการปิดการจราจรหรือทำให้ช่องทางการจราจรลดน้อยลง ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบในวงกว้าง โดยต่อไปในการก่อสร้างทุกโครงการทั้งสะพานข้ามทางแยก อุโมงค์ทางลอด สะพานข้ามคลอง  การปรับปรุงโครงการต่าง ๆ ที่ กทม.ดำเนินการเองหรือให้ผู้รับเหมาดำเนินการต้องให้มีการเสนอแผนก่อสร้างเฉพาะช่วงกลางคืนเท่านั้น

         โดยสามารถก่อสร้างได้ตลอดคืนและปิดการจราจรได้เต็มที่แต่มีการเสนอทางเลือกให้ประชาชนสามารถสัญจรได้บางช่องทาง และ

         เมื่อถึงตอนกลางวันตั้งแต่ช่วงเช้าต้องคืนผิวจราจรเช่นเดิมหรือมีการใช้แผ่นเหล็กปิดหรือกลบให้สนิทเพื่อคืนผิวจราจรเช่นเดิม

         ยกเว้นการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่หรือก่อสร้างบ้านให้เป็นไปตามระเบียบเดิมที่ ห้ามก่อสร้างหลัง 22.00 น. เพราะอยู่ใกล้บ้านเรือนประชาชนหากให้ก่อสร้างกลางคืนจะมีผลกระทบต่อการพักผ่อน  
    
         นายพรเทพ กล่าวต่อว่า ตนได้มอบหมายให้สำนักการโยธาเสนอรายละเอียดโครงการทั้งหมดที่ยังไม่ก่อสร้างในปี 2553-2555 รวมทั้งแผนระยะยาวมาให้พิจารณาเพื่อจะให้สำนักการโยธาไปจัดทำแผนงานดำเนินการใหม่เพื่อให้ก่อสร้างในช่วงกลางคืนเท่านั้น ส่วนโครงการที่ได้จัดแผนไปแล้วหรือมีการลงนามในสัญญาไปแล้วก็ให้ดำเนินการตามแผนเดิม โดยคาดว่าโครงการก่อสร้างกลางคืนน่าจะเริ่มได้ราวกลางปีนี้คือราววันที่ 1 ก.ค. นี้ คาดว่าโครงการนี้จะทำให้ประชาชนพอใจ

         ขอขอบคุณ น.ส.พ.เดลินิวส์ วันศุกร์ ที่ 09 เมษายน 2553 ที่เอื้อเฟื้อ ข่าว

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=354&contentID=59034

                                           หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า

         เส้นผมบังภูเขา รถมาก กลางวัน กลางคืน รถน้อย ก็ก่อสร้าง กลางคืน อากาศก็ไม่ร้อน ทำงานสบาย ก่อนเลิกงาน ก็กลบให้ใช้งานได้ตอนกลางวัน แล้วก็ไปนอนพักตอนกลางวัน เปิดแอร์นอน ให้เย็นฉ่ำ นอนพักเอาแรง สบายใจเฉิบ กลางคืน ค่อยทำงาน

         คิดได้ง่าย ๆ แต่ทำไมคิดไม่ออกกันนะ พวกเรา

                                           เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #35 เมื่อ: 09 เมษายน 2553, 21:40:44 »


         "จุรินทร์"เร่งยกสถานีอนามัย9.7พันแห่งเป็น รพ.สต.คุ้มครองสุขภาพ ของประชาชนในหมู่บ้าน

                                

        พณฯ ท่าน จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.)ดำเนินการจัดทำแผนเร่งรัดในการยกระดับสถานีอนามัย (สอ.) 9,770 แห่ง เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โดยจะประสานสำนักงบประมาณเพื่อของบประมาณในส่วนของ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟู และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ.2552 เพิ่มเติมอีก 8,200 ล้านบาท เพื่อใช้ปรับปรุงกายภาพของ สอ. พัฒนาบุคลากรและความพร้อมในส่วนอื่นๆ

         นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า การยกระดับแบ่ง สอ.เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่

1.รพ.สต.เดี่ยว มี 2,800 แห่ง จะมีบุคลากรหลัก 4 ตำแหน่ง คือ เจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน นักวิชาการสาธารณสุขชุมชน แพทย์หรือพยาบาลเวชปฏิบัติหรือพยาบาลวิชาชีพ และสหวิชาชีพ วิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่ง เช่น เภสัชกร เป็นต้น และ

2.รพ.สต.เครือข่าย ซึ่ง 1 เครือข่ายจะประกอบด้วย รพ.สต. 2-3 แห่ง รวม 2,700 เครือข่าย ภายใน รพ.สต.จะมีบุคลากรเพิ่มจาก 4 ตำแหน่งแรกอีก 3 ตำแหน่ง เป็นสหวิชาชีพต่างๆ ส่วน รพ.สต.ที่นำร่องในปี 2552 ทั้ง 1,000 แห่ง อยู่ระหว่างการประเมินผล

         “กรณีรถพยาบาล 829 คัน ที่เดิมจะใช้งบ พ.ร.ก.ที่อนุมัติ 1,400 ล้านบาทในการจัดซื้อใช้ใน รพ.สต.นั้น

                                

         นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.กำลังดำเนินการทบทวนว่าควรจะยกเลิกหรือไม่” นายจุรินทร์กล่าว

                                

        ด้าน นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล รองปลัด สธ. กล่าวว่า งบไทยเข้มแข็งในส่วนของ พ.ร.ก.ที่จะขอเพิ่มจะใช้ยกระดับ สอ.เป็น รพ.สต.ในปี 2553 แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

1.สอ.ที่รับผิดชอบประชากรต่ำกว่า 3,000 คน จัดสรรแห่งละ 5 แสนบาท มี 2,800 แห่ง

2.รับผิดชอบ 3,001-7,000 คน แห่งละ 7 แสนบาท มี 5,470 แห่ง และ

3.มากกว่า 7,000 คน แห่งละ 9 แสนบาท มี 1,500 แห่ง และ

4.สอ.ที่เป็นอาคารชั้นเดียวและก่อสร้างใหม่ 400 แห่ง จัดสรรแห่งละ 4,050,000 บาท

        อนึ่งก่อนหน้านี้มีการจัดสรรงบประมาณในส่วนของ พ.ร.ก.เพื่อปรับปรุง สอ.เป็น รพ.สต. เพียง 2,000 แห่ง แห่งละ 1.35 ล้านบาท จาก สอ.ทั้งหมด 9,770 แห่ง

         ขอขอบคุณ น.ส.พ.คมชัดลึก วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2553

                 http://www.komchadluek.net/detail/20100405/54932/%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A29.7%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%9E.%E0%B8%AA%E0%B8%95.%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99.html

                                     gek gek gek

         สถานพยาบาลใกล้บ้าน ที่่มีคุณภาพ เข้าถึงง่าย เป็นไปตามตัวชี้วัดตัวที่ 3 และ 4 ของ การสาธารณสุขมูลฐาน ที่จะทำให้ประชาชนสุขภาพดี ดูแรื่อง สาธาณสุขมูลฐาน ที่ประเทศสมาชิกของ องค์การอนามัย ร่วมกันคิด ให้เกิดสุขภาพดีถ้วนหน้าของชาวโลก ตั้งแต่ปี 2529 ผ่านมา ปี 2553 เป็นเวลา 24 ปี มาแล้ว แต่ตัวชี้วัด 4 ตัวชี้วัด ก็ยังไม่สำเร็จ ข่าวที่นำมาลงนี้ มีนโยบายที่จะให้ สถานีอนามัยที่มีอยู่ทุกตำบลแล้ว พัฒนาเป็น ร.พ.สร้างเสริมสุขภาพตำบล จะทำให้สุขภาพดีถ้วนหน้าของพลโลก ในประเทศไทย ใกล้เป็นจริงได้ ดู เพิ่มเติมได้ที่

                        http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3394.0.html

                                     ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #36 เมื่อ: 10 เมษายน 2553, 11:24:22 »


                              เงินภาษีบาปตั้ง สสส.การศึกษา

                                            

           เดินหน้าตั้ง  สสส.ทางการศึกษา  ดึงเงินภาษีบาปจากเหล้าบุหรี่  50,000-200,000  ล้าน  ตั้งเป็นกองทุนพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยรศ.ธงทอง  จันทรางศุ  เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการดำเนินการจัดตั้ง  พ.ร.บ.จัดตั้งสถาบันส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน  หรือ  (สสส.ทางการศึกษา)  ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว  อยู่ในระหว่างการนำเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อไป

                                            
    
           ด้าน  รศ.ดร.สมพงษ์  จิตระดับ  ซีมะโด่ง รหัสเข้าจุฬาฯ 15 อาจารย์คณะครุศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ในฐานะคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษา  ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน  กล่าวถึงสาระสำคัญของร่าง  พ.ร.บ.ดังกล่าว  หรือที่รู้จักกันดีว่า  สสส.ทางการศึกษา  ใช้หลักการเดียวกันกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ  หรือ  สสส.  คือ  จะมีสำนักงานและคณะกรรมการบริหารที่มีความเป็นอิสระ  คล่องตัว  ขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรี  มีนโยบายสำคัญในการแก้ปัญหาทรัพยากรทางการศึกษาที่ใช้ในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน  ครู  และบุคลากรทางการศึกษา  เนื่องจากงบประมาณแผ่นดินด้านการศึกษาในแต่ละปีมากกว่าร้อยละ  80  เป็นงบฯ  เงินเดือนครู  ส่วนงบฯ  ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษามีเพียงร้อยละ  0.81  ดังนั้น  สสส.ทางการศึกษา  จะเป็นหน่วยงานที่จะช่วยสนับสนุนงบฯ  ด้านการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน  ครู  บุคลากรทางการศึกษา  ซึ่งสามารถคิดริเริ่มโครงการต่างๆ  และเสนอมาของบฯ  จาก  สสส.การศึกษาได้
    
           สำหรับแหล่งเงินของสถาบันส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้ฯ  นั้นจะนำมาจากภาษีเหล้า   บุหรี่  ซึ่งเป็นแหล่งเงินเดียวกันกับ  สสส.ได้รับ  โดยในส่วนของสถาบันส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้ฯ  จะนำมาใช้ร้อยละ  1  หรือประมาณปีละ  1,200-1,500  ล้านบาท  ดังนั้นโรงเรียนต่างๆ  ก็จะมีงบประมาณที่จะนำมาพัฒนาผู้เรียน  หรือครูสามารถคิดโครงการต่างๆ  ซึ่งเดิมขาดเงินสนับสนุน  ก็สามารถขอมาที่สถาบันส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้ฯ  ได้  คาดว่าจะได้ในวงเงิน  50,000-200,000  บาท  และขณะนี้ร่าง  พ.ร.บ.ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีและเข้าสู่การพิจารณาของสภา  โดยส่วนตัวคาดหวังว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใดๆ  เกิดขึ้นในช่วงนี้  เพราะงานปฏิรูปการศึกษากำลังเดินหน้าไปด้วยดี

            เมื่อถามว่าแหล่งที่มาของเงินภาษีเหล้า  บุหรี่  จะทำให้เกิดความเห็นขัดแย้งต่อที่มาของเงินที่จะนำมาพัฒนาเด็กและเยาวชนหรือไม่  รศ.ดร.สมพงษ์กล่าวว่า  จุดเริ่มต้นของ  สสส.ก็มีความขัดแย้งเรื่องภาษีบาปเช่นกัน  แต่ภายหลังการทำงานก็ใช้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า   งบฯ  ที่  สสส.สนับสนุนด้านสุขภาพนั้นได้ผล  การวิพากษ์วิจารณ์ก็เงียบไป  

           ดังนั้นในส่วนของการศึกษาก็เป็นห่วงว่าจะถูกวิจารณ์เช่นกัน  แต่ตนเชื่อว่าปัญหาคุณภาพของผู้เรียนเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ไขและมีความพยายามแก้ไขมานาน  และส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัญหาเรื่องเงิน  แต่หากโครงการต่างๆ  สามารถทำให้คุณภาพผู้เรียนดีขึ้น  ก็เชื่อว่าการวิจารณ์หรือความเห็นคัดค้านก็จะหมดไป.

            ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยโพสต์ การศึกษา วันเสาร์ ที่ 10 เมษายน 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว

                                     http://thaipost.net/news/100410/20619

                                                 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

           สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ด้านที่สาม หลังจากทำให้มีด้านที่ 1 คือ ความรู้ ว่า โง่ เป็น 1 ในวงจรอุบาทว์ หรือ วงจรแห่งความเสื่อม จน โง่ เจ็บ   มี การรวมตัวกันของผู้ที่ได้รับความรู้ เป็นด้านที่ 2 จนเกิดด้านที่ 3 ด้านการเมือง เพื่อสนับสนุนด้วย

                              ทั้งเชิงบวก และ เชิงลบ ให้เกิดการกระทำตามขึ้น ด้วยการ ออก

           พ.ร.บ.จัดตั้งสถาบันส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน:สสส.ทางการศึกษา

                                                 win win win


 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #37 เมื่อ: 10 เมษายน 2553, 19:51:14 »


                             คาถาแก้ทุกข์และสุข
    
              ขอขอบคุณเวบพระจันทร์ดอทคอม วันที่ : 7 ก.พ. 53   
 
        http://www.prajan.com/webboard/view.php?id=13015    
    
                จากหนังสือ “โชคดี” โดย

                      

               พระอาจารย์มิตสุโอะ คาเวสโก

                   แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป

                        

           ในอดีตมีพระราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรฮีบรู พระนามว่า โซโลมอน พระราชาได้สั่งให้เจ้าเมืองทุกเมืองทำของวิเศษให้อย่างหนึ่งโดยของสิ่งนั้นต้องมีคุณสมบัติพิเศษคือ..........

           ของสิ่งนี้จะสามารถเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกของพระราชาได้ “หากมีความทุกข์ก็จะหายจากทุกข์ หากมีความสุขอยู่ก็จะคลายความสุขลง ไม่ว่ากำลังร้องไห้หรือหัวเราะอยู่ก็จะสามารถหยุดอารมณ์ทั้งสองอย่างนั้นได้”

           เมื่อครบกำหนด เจ้าเมืองใหญ่เมืองใดๆก็ไม่สามารถหาของตามที่พระราชาต้องการได้ แต่มีเจ้าเมืองเล็กๆอยู่เมืองหนึ่งได้บอกว่ามี

                      

                          แหวนวิเศษ

           มีคุณสมบัติอย่างที่พระราชาต้องการมาถวาย พระราชาจึงรีบให้มาเข้าเฝ้า เมื่อพระราชาได้เห็นแหวนวงนั้นแล้ว ปรากฏว่าเป็นเพียงแหวนทองธรรมดาเรียบๆวงหนึ่งเท่านั้น พระราชาก็สงสัยว่าแหวนนี้จะมีความวิเศษได้อย่างไรกัน เมื่อพระราชานำไปใช้ก็ปรากฏว่าแหวนวงนี้สามารถเปลี่ยนอารมณ์ของพระองค์ได้จริงๆ ไม่ว่าพระองค์กำลังมีความทุกข์หรือความสุขอยู่ก็ตาม เพียงแหวนวงนี้มีข้อความสั้นๆสลักไว้ว่า

                         “แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป”

           ยามใดที่พระราชามีความสุข ความยินดี หรือมีความทุกข์ ความโกรธ ความกังวลไม่สบายใจใดๆก็ตาม เมื่อมองไปที่แหวนนี้ซึ่งเตือนสติพระองค์ว่า

           “แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป” ทำให้พระองค์เข้าใจว่า สิ่งที่พระองค์กำลังประสบอยู่ไม่ว่าสุขไม่ว่าทุกข์ มันไม่จีรังยั่งยืน เกิดขึ้นมาแล้วก็จากไป นับแต่นั้นมาพระราชาก็ไม่คิดที่จะนำความทุกข์มาเป็นกังวล มีความสุขก็ไม่ได้ยึดติดกับความสุขนั้น ทำให้พระราชาสามารถตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้อย่างถูกต้องและตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อประชาชนของพระองค์จนได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นที่รักใคร่ของประชาชน

                            ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

           ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องประสบกับโลกธรรม ๘ คือ ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ต้องมีเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็นธรรมดา หากเราสามารถเตือนสติตนเองได้ว่า “แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป” ก็จะช่วยให้เราทำใจเป็นกลาง ทำใจเป็นปกติได้เมื่อความรู้สึกต่างๆเกิดขึ้น เช่น หงุดหงิด โกรธ น้อยใจ เสียใจ ขี้เกียจ วิตกกังวล หรือมีความรู้สึกตื่นเต้น ยินดีพอใจก็ตาม

          ให้เรามีสติ ปรับปรุงลมหายใจยาวๆ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ให้เกิดความรู้สึกตัว รักษาใจเป็นกลางๆ ทำใจสงบ และทำใจปล่อยวางว่า

                              “แล้วสิ่งนั้นจะผ่านไป”

           เมื่อมีทุกข์ ทุกข์นั้นไม่จีรังยั่งยืน ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะนำทุกข์มากังวล เมื่อมีสุข สุขนั้นก็ไม่จีรังยั่งยืนเช่นกัน เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO
                          
          นำบทความธรรมะ มาให้พวกเราอย่าไป ทุกข์ กับเหตุการณ์รุนแรง ระหว่าง เสื้อแดง นปช.กับ รัฐบาล ให้ถือ อุเบกขา ทำหน้าที่ของตนเองให้เต็มความสามารถ ให้ดีที่สุด ส่วนเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ให้ใช้ คาถาแก้ทุกข์และสุขว่า

                               “แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป”

                                  sing sing sing
    
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #38 เมื่อ: 11 เมษายน 2553, 08:14:21 »


                          

           พณฯ ท่่าน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์พิเศษ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ จำเป็นต้องทำเพื่อรักษากฎหมาย ไม่เช่นนั้นต่างชาติจะมองว่าประเทศอ่อนแอ ยันต้องพิสูจน์ผลการเสียชีวิตด้วยความโปร่งใสเป็นธรรม โดยพร้อมอยู่ทำหน้าที่ต่อเพื่อรักษาบ้านเมืองให้สงบ...

           เมื่อเวลา 23.45 น.วันที่ (10 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ออกแถลงการณ์พิเศษผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ โดยกล่าวว่า  

           ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับครอบครัวผู้เสียชีวิต ในเหตุการณ์ เมื่อช่วงค่ำของวันนี้  นับตั้งแต่มีปัญหาเรื่องการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้ทางการเมืองที่มีบุคคลเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในประเทศและมีความเห็นแตกต่างอย่างรุนแรง  

           โดยรัฐบาลพยายามบริหารสถานการณ์โดยยึดถือประโยชน์ของประเทศโดยเฉพาะการรักษาระบบและกฎหมาย ซึ่งเห็นว่าตลอดระยะเวลาการชุมนุม รัฐบาลไม่เคยปฏิเสธข้อรียกร้องของผู้ชุมนุมเลยแต่ประสงค์เพื่อการพูดคุยโดยใช้เหตุและผลเพื่อหาข้อยุติกันทุกฝ่าย เป็นครั้งแรกที่นายกฯมาเจรจากับแกนนำเป็นระยะเวลาถึง 2 วัน

           นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า  ในที่สุดการเจรจาก็ไม่บรรลุผล รวมทั้งการชุมนุมก็นำไปสู่การละเมิดกฎหมาย เกินกว่าที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองหรือรองรับได้  ปัญหาที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดคือในด้านหนึ่งผู้ชุมนุมพยายามยกระดับการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ อีกด้านสังคมอยากให้รัฐบาลพยายามบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุม แม้ว่าตลอดระยะเวลารัฐบาลใช้วิธีอดทนอดกลั้นมาโดยตลอด ถูกตำหนิว่าอ่อนแอไม่บังคับใช้กฎหมายโดยเฉพาะกับกลุ่มที่ได้รับความเดือนร้อนที่ต้องการให้การชุมนุมยุติลง เพราะหลายฝ่ายต้องการให้การชุมนุมยุติลง เนื่องจากมีผู้พยายามพร้อมใช้ความรุนแรง และก่อให้เกิดวินาศกรรมหลายครั้ง

           “สถานการณ์ใน 2- 3 วันที่ผ่าน ทำให้รัฐบาลไม่มีทางเลือก จึงต้องแสดงแดงออกด้วยการบังคับใช้กฎหมาย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของผู้ชุมนุมกระทบกระเทือนต่อความเชื่อมั่นว่า ของประชาชนทั่วไปว่ากฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวกระทบกับสถาบันที่สำคัญในการปกป้องอธิปไตยและสถาบันหลักของชาติ ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินการใดเลยจะสะท้อนความอ่อนแอ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

           นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ด้วยเหตุผลนี้ จึงต้องแสดงออกการบังคับใช้กฎหมาย โดยเลือกขอพื้นที่บางส่วนเพื่อคืนกับประชาชนทั่วไป รัฐจึงต้องแสดงออกด้วยการบังคับใช้ กฎหมาย โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด ที่ชัดเจน คือ โดยเฉพาะการกำหนดแนวทางที่ใช้จะกระสุนจริง คือ มีสองกรณีคือยิงขึ้นฟ้าและเจ้าหน้าที่ปกป้องตัวเองจากอันตรายอย่างจวนตัว โดยตลอดเวลาช่วงบ่ายจนค่ำ

           จากข่าวสารพบว่า การชุมนุมและการพยายามขอคืนพื้นที่ประสบปัญหาอุปสรรคต่างๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่าพบภาพของอาวุธ โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการใช้อาวุธ เอ็ม 79 ซึ่งทำให้ทหารเสียชีวิตจำนวนหนึ่ง  ขณะเดียวกันมีผู้เสียชีวิตที่เป็นพลเรือนอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะต้องการทำการพิสูจน์ว่าเสียชีวิตที่ไหน อย่างไร เมื่อไร สาเหตุใด การสูญเสีย ทั้งนี้ขอร้องว่าขณะนี้ไม่ควรหยิบยกประเด็นโดยกล่าวหาว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นฝีมือของฝ่ายใด

           นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า กรณีความสูญเสียที่เกิดขึ้นต้องดำเนินการพิสูจน์เพื่อให้ความจริงเกิดขึ้นในสังคม ตนและรัฐบาลยังมีหน้าที่ในการคลี่คลายสถานการณ์ต่อไปและพยายามทำทุกทาง ที่จะให้บ้านเมืองสงบและอยู่ในความถูกต้อง ขอให้คำมั่นว่าการดำเนินการของรัฐบาลจะตรงไปตรงมา โปร่งใส เป็นธรรม คิดถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ประชาชนสูงสุด ประชาชนเป็นหลัก  จะไม่ยึดผลประโยชน์ของตัวเองแม้แต่น้อยนิด

           ขอขอบคุณ น.ส.พ.ไทยรัฐออนไลน์ วันอาทิตย์ ที่ 11 เมษายน 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว

                            http://www.thairath.co.th/content/pol/76137

                                            sorry sorry sorry
  
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #39 เมื่อ: 11 เมษายน 2553, 11:01:35 »


                 บุญยอดหวั่นไพร่แดงลำพองวอนปชช.อย่ากดดันแต่รัฐบาล

                 ขอขอบคุณ ASTVผู้จัดการออนไลน์   11 เมษายน 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว

                 http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000050440

                            

                “บุญยอด” รู้ประชาชนผิดหวัง ยืนยันรัฐทำงานตามหลักสากล ให้เด็ดขาดเพื่อสะใจคงไม่ได้ วอนสังคมอย่ากดดันรัฐบาลฝ่ายเดียวเพราะทำให้แกนนำแดงลำพองใจ
      
                 นายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังถูกประชาชนจำนวนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เด็ดขาดต่อการจัดการกับกลุ่มเสื้อแดง แต่ตนมองว่า ประชาชนกำลังหลงประเด็น และควรจะหันไปกดดันแกนนำนปช. มากกว่า เพราะเป็นผู้กระทำความผิดกฎหมาย สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างมากมาย โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณถนนราชประสงค์และสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ที่ต้องได้รับผลกระทบอย่างมาก จากการประท้วงเช่นนี้
      
                “ยอมรับว่าประชาชนคาดหวังกับการทำงานของรัฐบาลมาก แต่การตัดสินใจทำอะไรก็ต้องอยู่บนพื้นฐานความถุกต้องตามหลักสากล จะให้เด็ดขาดสะใจมันก็ไม่ได้ แต่ในเมื่อเราเห็นชัดเจนว่ากลุ่มเสื้อแดงมีการทำผิดอย่างนี้แล้วทำไมสังคมไม่ช่วยกันออกมากดดันเรียกร้องให้พวกเขาหยุดกันบ้าง ควรแสดงพลังให้คนพวกนั้นเห็นว่าสังคมเริ่มไม่พอใจมากขึ้นทุกที และต้องการให้บ้านเมืองมีความสงบกลับคืนมาโดยเร็ว ไม่ควรจะนิ่งเฉย หรือ มากดดันกับรัฐบาลฝ่ายเดียว ยิ่งทำให้กลุ่มเสื้อแดงยิ่งได้ใจและลำพองจนมากขึ้น”

                                            ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

             พวกเราคิดว่าอย่างไร ควรยุติธรรม กดดันทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ใช่กดดันเฉพาะ รัฐบาล ควรกดดันฝ่ายแกนนำเสื้อแดง ให้เข้าสู่โต๊ะเจรจาตามที่ รัฐบาลต้องการ ให้บ้านเมืองสงบด้วยสันติวิธี แทน

                                             gek gek gek

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #40 เมื่อ: 11 เมษายน 2553, 16:23:39 »


              ปัญหาท้าทาย ช่วยชาวนาใช้ยักษ์ทำงาน แทรกเรื่องนี้ไว้ให้ผ่อนคลาย เหอๆๆ

           มีชาวไร่คนหนึ่งไปไถไร่เป็นประจำ วันหนึ่งไปไถโดนโถวิเศษที่ฝังอยู่ในดินแตกไป
ปรากฎว่ามียักษ์ตัวโต
โผล่มา จากนั้นบอกว่า

           จะยอมเป็นทาส ให้ชาวไร่ใช้งานทุกอย่างได้ตลอดเวลา แต่มีข้อแม้ว่าหากไม่ใช้เขา
ปล่อยให้เขาว่าง เขาจะทำร้ายชาวไร่ทันที


           ชาวไร่จึงบอกให้ยักษ์ไปสร้างบ้าน 3 หลัง ขุดบ่อ 3 บ่อ ยักษ์สร้างเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ
หมดงานแล้วยักษ์ก็จะทำร้ายชาวไร่

                                

           ชาวบ้านก็พยายามหางานให้เรื่อยๆ แต่ยักษ์ก็ทำเสร็จหมดทุกอย่าง

           สุดท้ายชาวบ้านบอกให้ยักษ์สร้างม้าที่มีฝีเท้าดีกว่ายักษ์ให้ 1 ตัว แล้วชาวไร่ก็รีบขี่ม้าไปหา
ฤาษีที่เป็นพระอาจารย์ เพื่อให้ช่วยแนะนำว่า ควรจะหางานอะไรให้ยักษ์ทำจะได้ไม่ว่าง โดยมียักษ์
ตามมาติดๆ แต่ไล่ไม่ทันเพราะม้าฝีเท้าเร็วกว่า

          ฤาษีมีปัญญาดี จึงบอกชาวไร่ให้ใช้ยักษ์..........

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

          นำมาให้พวกเราคิดว่าถ้าเป็นฤาษีปัญญาดีจะบอกชาวไร่ให้ใช้ยักษ์ทำอะไรที่ไม่มีทางเสร็จ

                            Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?Huh?

                                                ดูเฉลยที่ข้างล่่าง
           อย่าิเพิ่งดูคำเฉลย ลองคิดดู งง งง ให้ทำอะไร ที่ไม่มีทางเสร็จ จะได้ไม่ถูกยักษ์ทำร้าย















































                                

           ให้ใช้ยักษ์ให้สร้างเสาสูงๆ ขึ้นหนึ่งต้น และให้ยักษ์ปีนขึ้นไปบนเสาและปีนลงมา
แล้วปีนขึ้นไป ปีนขึ้นปีนลงอย่าได้หยุด ยักษ์ก็เลยมีงานทำตลอด

           ไม่มารบกวนหรืออยากทำร้ายชาวไร่อีกต่อไป


             นำมาจาก Another Side Lifestyle Blog

 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&month=04-2010&date=05&group=1&gblog=308

                               เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ


      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #41 เมื่อ: 12 เมษายน 2553, 08:10:41 »


                              

          นายฮานส์ แวน บาเลน ประธานลิเบอรัลอินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งมี 107 พรรคเสรีนิยมประชาธิปไตยเข้าร่วมเป็นสมาชิกทั่วโลก ได้แถลงถึงการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงว่า

           รัฐบาลไทยจะต้องตัดสินใจระหว่างหลักนิติธรรมกับการเมืองบนท้องถนน  ซึ่งเป็นการตัดสินใจระหว่างระบอบประชาธิปไตยในรัฐสภากับการเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นประชาธิปไตยบนท้องถนน ซึ่งวันนี้แม้ตนจะไม่ได้พบ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯแต่ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกันทางโทรศัพท์ ซึ่งทางเราก็เป็นห่วงและติดตามสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิด และอยากให้เมืองไทยสงบไม่แตกแยก ไม่แยกสีเสื้อ และ

           สนับสนุนให้รัฐบาลดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนี้การที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงมาบุกล้อมรัฐสภานั้น สิทธิในการแสดงออกถือเป็นสิทธิของประชาชน แต่ต้องไม่ละเมิด คุกคาม รุนแรงกับผู้อื่น ตนมีความกังวลกับการชุมนุมที่เกิดขึ้นที่ไกลเกินกว่ารัฐธรรมนูญจะกำหนด

                                      

           ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่มี การแถลงข่าวดังกล่าวเป็นช่วงที่กลุ่มเสื้อแดงกำลังบุกเข้ามายังภายในรัฐสภา ทำให้การแถลงข่าวต้องหยุดลงกลางคัน และต่างรีบแยกย้ายกันออกจากห้องแถลงข่าวทันที

          ขอขอบคุณ น.ส.พ.เดลินิวส์ วันจันทร์ ที่ 12 เม.ย.2553

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=627&contentID=58740

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

           นำข่่าว องค์กรระดับโลก ลิเบอรัลอินเตอร์เนชั่นแนล มีประเทศสมาชิก 107 พรรคเสรีนิยมประชาธิปไตยเข้าร่วมเป็นสมาชิกทั่วโลก เสนอให้

           รัฐบาลไทยจะต้องตัดสินใจระหว่างหลักนิติธรรมกับการเมืองบนท้องถนน  ซึ่งเป็นการตัดสินใจระหว่างระบอบประชาธิปไตยในรัฐสภา กับ การเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นประชาธิปไตยบนท้องถนน

                                           ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #42 เมื่อ: 12 เมษายน 2553, 15:48:38 »


                            

             มาร์คชี้"ก่อการร้าย"ป่วน 10 เม.ย. หวังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ขอขอบคุณ น.ส.พ.ข่าวสดออนไลน์ วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRJM01UQTFOemN6TlE9PQ==

           เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 12 เม.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่า ขณะนี้เริ่มเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีบุคคลจำนวนหนึ่งซึ่งถือเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งอาศัยผู้ชุมนุมบริสุทธิ์มาเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือก่อความไม่สงบในบ้านเมืองหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ปัญหานี้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ จนถึงศอฉ.กำหนดที่จะต้องดำเนินการต่อไป โดยมุ่งหมายเพื่อแยกแยะกลุ่มก่อการร้ายออกจากผู้บริสุทธิ์

           จึงขอเรียกร้องประชาชนว่าอย่าได้เข้าร่วมกระบวนการนี้ เมื่อแยกแยะชัดเจนก็จะกำหนดมาตรการต่อไปเพื่อแก้ไขสถานการณ์ไม่สงบ ส่วนปัญหาข้อเรียกร้องเรื่องความไม่ยุติธรรม ปัญหาประชาธิปไตยต้องแก้โดยฝ่ายการเมือง ทั้งนี้ตนและพรรคร่วมได้หารืออย่างต่อเนื่องนำข้อเสนอที่ใช้ในการเจรจากับแกนนำนปช.มาเร่งรัดปรับให้เป็นทางออกแก้ปัญหาการเมืองต่อไป การดำเนินการ 2 ส่วนนี้คือจำเป็นต้องแยกแยะให้ชัดเจนกับกลุ่มบริสุทธิ์และกลุ่มผู้ก่อการร้าย และการแก้ปัญหาการเมืองต้องทำอย่างคู่ขนาน ซึ่งขณะนี้หน่วยงานต่างๆ พรรคร่วมดำเนินอย่างเป็นเอกภาพเพื่อมุ่งไปสู่การแก้ปัญหาไม่สงบทั้งหมด  

           เหตุการณ์ปัญหาในวันที่ 10 เม.ย. จะต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและต้องมีผู้แสดงความรับผิดชอบ ซึ่งรัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการประมวลเหตุการณ์เหมือนช่วงหลัง เม.ย. ปีที่แล้ว ยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมให้ความร่วมมือกับองค์กรที่มีหน้าที่โดยตรงและคณะกรรมการที่เป็นอิสระอย่างเช่นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ยืนยันว่าการเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นจะต้องทำอย่างต่อเนื่องทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ รวมถึงปัญหาผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจด้วย ซึ่งรัฐบาลจะเร่งเดินหน้าสะสางอย่างเร็วที่สุด

           OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

นำเหตุการณ์ประวัติศาสตร์มาบันทึกไว้และร่วมเป็นกำลังใจให้ท่านนายกฯพาชาติผ่านพ้นวิกฤตไปให้ได้

                                                     gek gek gek  


                                                      
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #43 เมื่อ: 13 เมษายน 2553, 08:25:16 »


                                       มุกใหม่แบงค์ 1,000 ปลอม

                     

              วันก่อนไปกินข้าวกับเพื่อนที่ร้านเล็ก ๆ ริมถนนใน จ.ปราจีนบุรี   ไปกินกัน  5  คน    กินเสร็จก็สั่งเก็บเงิน ยอมรวม  280  บาท        เพื่อนผมจ่ายแบ็งค์  1,000  บาทให้ไป      แม่ค้าก็รับไปแล้วเดินไปจะทอนเงิน 

              สักพักเดินกลับมาโวยวายว่า แบ็งค์  1,000  บาท ที่จ่ายให้ไปนั้น เป็น " แบงค์ปลอม "      แม่ค้าตะโกนว่าโต๊ะผมเสียงดังมาก  แล้ววางแบงค์ปลอม  1,000  บาท ลงบนโต๊ะ  ตอนนั้นคนในร้านมีอยู่  3 - 4 โต๊ะ ก็เริ่มมอง ๆ มาที่โต๊ะผม

              เพื่อนผมเพิ่งจะกดเงินมาจากตู้เอทีเอ็ม  เป็นแบงค์ใหม่หมด   เลขในแบงค์ก็เรียงกัน    แต่ใบที่แม่ค้าเอามาวางคืนให้เป็นแบงค์เก่า    ก็เลยเถียงกันไปเถียงกันมา   แม่ค้าก็ยังไม่ยอม   เพื่อนผมมันจึงแกล้งบอกว่า จำเลขในแบงค์ได้  แม่ค้าก็ไม่ยอม

              พอดีมีสายตรวจมาซื้อของที่ร้านข้าง ๆ ก็เลยเดินไปเรียกตำรวจมา  บอกให้ช่วยค้นตัวแม่ค้า ดูว่า มีแบงค์ 1,000 บาท ใบอื่นหรือไม่    แม่ค้าไม่ยอมให้ค้นตัว    แต่เดินไปหยิบทอนมาให้  800  บาท ( ทอนเกิน ) แล้วบอกตำรวจว่า ไม่มีอะไร  ( ตำรวจไม่ยอมโวยวาย )         

              เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงนะครับ  อยากจะเตือนทุกคนให้ระมัดระวังมุกใหม่นี้ด้วย   จ่ายแบงค์  1,000  บาท จริง    แต่ถูกหาว่าเป็นแบงค์ปลอม      ทางที่ดีก่อนจ่ายแบงค์ 1,000 บาท     ควรจำหมายเลขในแบงค์ไว้บ้างนะครับ เพื่อความปลอดภัย

                                        ช่วยส่งต่อๆกันให้มาก ๆ นะครับ

ได้มาจากอีเมลล์นำมาบอกพวกเรา ให้ระวังด้วย จำเลขหมายแบงค์ 1,000 ที่จ่ายไปด้วยเพื่อกันเผื่อมีปัญหา
 
                                           win win win


 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #44 เมื่อ: 13 เมษายน 2553, 09:10:18 »


                                                    "Happy Songkran Day 2010"



             สิบสาม เมษามหาสงกรานต์ เราชาวไทย เบิกบาน ทั่วทุกหน
ทำบุญใส่ บาตรเช้า เอามงคล สรงน้ำพระ สุขล้น แสนยินดี

             พอสายรด น้ำดำหัว ท่านผู้ใหญ่ พ่อแม่ครู อวยไชย ให้สุขศรี
มอบมะลิ บูชา บุพการี แล้วชวนเพื่อน น้องพี่ เล่นน้ำกัน

             อากาศร้อน ผ่อนคลาย ได้เย็นฉ่ำ แสนสดชื่น เช้าค่ำ ต่างสุขสันต์
หยอกกระเช้า เศร้าหาย มลยพลัน ครอบครัวพร้อม สรวลสรร อ ิ่มเอมใจ

             เป็นโอกาส  แสนดี ปีละหล ลูกหลานครบ ทุกคน ร่วมปีใหม่
สืบสาน ประเพณี แบบบบไทยไว้ ยิ้มระรื่น สดใส ในสงกรานต์

              ปีใหม่ไทย หวังให้ ประสบโชค คลายความทุกข์ เศร้าโศก สุขหฤหรรษ์
ขอมวลมิตร ทุกท่าน จงสำราญ ทุกทิวา ราตรีกาล ตราบนานเนา!


              

              

              

              

              

    

                                            หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า



      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #45 เมื่อ: 13 เมษายน 2553, 10:25:50 »


                                "มหาประชาชนเท่านั้นที่"ชาติต้องการ"

         ท่านผู้อ่านที่มีความเจ็บปวดต่อสถานการณ์ "ไทยทรยศแผ่นดินไทย" กันเองทั้งหลาย เวลานี้ ไม่จำเป็นต้องถามกันแล้วว่า "อะไรเกิดขึ้นต่อชาติบ้านเมืองอันเป็นที่รักของเรา" และก็ไม่ต้องถามด้วยว่า

         " เราควรจะทำกันอย่างไร" ณ ขณะนี้ ท่านยังจำประโยคอมตะประโยคหนึ่งได้ใช่ไหมที่ว่า " พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ" ผมค้นพบแล้วว่า ผู้ที่ประเทศชาติต้องการแท้จริง และตลอดกาล ไม่ใช่ใคร ที่ไหน คือ

                                ประชาชนมือเปล่า เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายนี่เอง

         จงกุมสติกันให้มั่น อย่าถาม-อย่าโทษใครทั้งนั้น ทั้งหลายทั้งปวงมันพิสูจน์ด้วยตัวมันเองชัดแจ้งแล้วว่า กลียุคบ้านเมืองขณะนี้ ไม่ใช่จากน้ำมือของพี่น้องประชาชนเสื้อแดง แต่มันมาจากบุคคลคนหนึ่งที่ทรยศต่อชาติบ้านเมือง ต่อพี่น้องประชาชนทุกคน วางแผน-สั่งการ-ซ่องสุมและจัดตั้ง

                      

                        "กองกำลังทรยศชาติ" มันคนนั้นคือ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"

         อ้างมาทวงประชาธิปไตย หลอกใช้พี่น้องประชาชนตามจังหวัดต่างๆ สวมเสื้อแดงมารวมตัวกันชุมนุมเรียกร้อง แล้วใช้กองกำลังทรยศชาติที่ผ่านการฝึกและเพาะเลี้ยงมาแล้วอย่างดี แทรกซึมปะปนเข้ามา ทำทีเป็นว่าร่วมชุมนุมกับพี่น้องเสื้อแดง สงบ-สันติ ด้วยซื่อบริสุทธิ์

         แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ มันแฝงเข้ามาพร้อมแผนก่อการจลาจล-ยึดประเทศ และรออาณัติสัญญานจากตัวการใหญ่ที่จะสั่งผ่านวิดีโอลิงค์ โดยอาศัยคราบพี่น้องประชาชนเสื้อแดงที่ชุมนุมกันอย่างบริสุทธิ์ใจบังหน้า ลุกขึ้นก่อการจลาจล เผาบ้านเผาเมืองหวังยึดครองประเทศแล้วสถาปนาอำนาจเถื่อนเป็นประชาธิปไตยระบอบเจ้ามูลเมือง แล้วอัญเชิญกบฏแผ่นดิน

         "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ให้กลับเข้ามา สถาปนาอำนาจใหม่ตาม "ต้นแบบ" ที่มันแอบฝังใจ

         นั่นคือ "การปฏิวัติประชาชน ๑๔ กรกฎา" ล้มสถาบันกษัตริย์ แล้วสถาปนาอำนาจใหม่ ดังที่รู้จักกันทั่วไปว่า "ปฏิวัติฝรั่งเศส"


         ทักษิณจงใจใช้วันที่ ๑๔ กรกฎาตั้งพรรคไทยรักไทย หลายคนเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง เมื่อมีนักวิชาการที่ร่วมงานตั้งพรรคครั้งนั้นออกมาแฉเบื้องหลัง แต่ถึง ณ วันนี้ จาก ๘-๑๓ เมษายน ๒๕๕๒ ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ปอกเปลือก-เปลือยตัวเองให้เห็นเนื้อใน "ไอ้บกฏแผ่นดิน" ล่อนจ้อน ทรยศชาติ ประชาชน ออกมาบัญชาการปล้นบ้าน-ชิงเมือง อันเห็นประจักษ์ตา และเป็นที่สิ้นความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ กันไปแล้ว

         ท่านผู้อ่านและประชาชนผู้รักชาติ รักบ้านรักเมืองทั้งหลาย ผมเยิ่นเย้อเพราะต้องการย้ำให้ท่านเข้าใจว่า

         กลียุคบ้านเมืองครั้งนี้ อย่ามองฉาบฉวยเฉพาะหน้า จงใช้สติมองด้วยแยกแยะ อย่าเหมาโทษพี่น้องเสื้อแดงทั้งหมด เพราะเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าเมื่อพี่น้องเสื้อแดงที่หลงเข้าใจผิดตามคำปลุกปั่น-ยุยงทักษิณแต่แรก เห็นธาตุแท้ทักษิณ และทราบความจริงแล้วว่า ถูกทักษิณหลอกมาเป็น

         "ประชาชนทักษิณ" ประกอบฉากเผาบ้าน-ชิงเมือง-ล้มสถาบันเบื้องสูง ไม่มีอะไรที่เรียกว่า
                                            "ประชาธิปไตย" ตามที่กล่าวอ้างเลย


         จากหลายหมื่น-ถึงเรือนแสนของพี่น้องเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุมแต่แรก เมื่อเห็น "หางแดง" ทักษิณโผล่ ได้พากันทยอย ถอยตัวออกห่างจากวงชุมนุมไปเรื่อยๆ ถอดเสื้อแดงทิ้งแล้วกลับบ้าน ไม่ยอมถูกหลอกใช้เป็นสะพานไปล้มสถาบัน-ปล้นบ้านชิงเมืองอีก จากเรือนหมื่น-เรือนแสนที่ว่านั้น เหลือเรือนพันหรือแค่หมื่นต้นๆ และนั่นคือ

         " กองกำลังทรยศชาติ" ส่วนหนึ่งที่แฝงเข้ามาด้วยจงใจเจตนาลงมือก่อ! จลาจล โค่นล้มสถาบันบ้านเมือง ดังจะเห็นได้จากรูปแบบ

         การยึดสถานที่ต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ รูปแบบการก่อการทั้งหมด กระทั่งอาวุธสงครามที่นำมาใช้ไม่ใช่ความคิดความอ่าน และยิ่งไม่ใช่ระดับปฏิบัติการของชาวบ้านสวมเสื้อแดงธรรมดาซึ่งไม่มีขีดสามารถและประสบการณ์ระดับนั้น หากแต่ว่า เป็นปฏิบัติการของผู้ผ่านการฝึกด้านศึกสงครามทั้งด้านยุทธการ และด้านยุทธิวิธีอย่างที่

                                        "นักรบป่า" ฝึกอบรมกันมาชนิดช่ำชอง

        จึงเป็นที่สรุปได้ว่า จลาจลยึดประเทศครั้งนี้ เกิดจากแกน "กองกำลังทักษิณ" กบฏแผ่นดินฝ่ายเดียว ประชาชนเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุมส่วนใหญ่ ไม่ร่วมมือ ไม่เป็นใจ ไม่เอาด้วย กับการ

                        กบฏแผ่นดินของทักษิณ เพื่อทักษิณ และโดยทักษิณ โดยแจ้งชัด

         ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมบอกแต่ต้นแล้วว่า ประชาชนเต็มขั้นอย่างเราๆ

                         ท่านๆ เท่านั้นที่ "ชาติต้องการ-ตลอดกาล"

         อย่าปัดว่าธุระไม่ใช่เอาแต่โยนใส่บ่าตำรวจ-ทหาร-ข้าราชการงานเมืองฝ่ายเดียว อย่าโทษใคร อย่าเกี่ยงใคร ในภาวะที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน จงร่วมมือกับรัฐบาล กับกองกำลังตำรวจ-ทหารที่ตั้งขึ้นตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อันมีพลเอกทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญช! าการทหารสูงสุด
เป็นผู้กำกับดูแล


         และจงให้กำลังใจ "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี ผู้ทำหน้าที่ผู้นำด้วยกำลังใจที่พิสูจน์แล้วว่า แกร่งกล้า อดทนและยืนหยัดอยู่ได้ในขณะที่ใครต่อใครอีกหลายคนต่างอยู่ในลักษณะ "ถอดใจให้โจร"

         แต่นายกฯ อภิสิทธิ์ ถึงจะผิด-จะถูกขนาดไหน ในภาวะชาติเผชิญภัย ยังสามารถยืนหยัดเป็นหลักใจ ไม่หันหลังหนีภัยทิ้งให้ประเทศชาติ-ประชาชนต้องเผชิญชะตากรรมเดียวดาย เหมือนขอนไม้ในคลื่นสึนามิ สู้เพื่อชาติ พลาดอย่างอาชาไนย ถึงตาย-เกียรติยศก็ยังดำรงไว้ จงภูมิใจเถอะ

         อย่าให้ความเสียใจมาดับไฟนักสู้ในหัวใจท่านเลย ผมขอเป็นกำลังใจ และยืนอยู่เคียงข้างการทำหน้าที่ผู้นำชาติยามวิกฤติของท่าน

        และข้อสำคัญ ท่านจงฟังและปรึกษาหารือคนอื่นๆ นอกจากที่อยู่รอบตัวไม่กี่คนให้มากเข้าไว้ ไม่มีใครรู้และเจนจบได้ในทุกเรื่อง อย่างกรณีนี้เช่นกัน งานบู๊กันเป็นของฝ่ายปฏิบัติการ ก็ควรฟังทหาร-ตำรวจเขาอะไรที่เป็นงานบุ๋น คือนโยบายบริหาร นั่นจึงเป็นงาน "กลั่นกึ๋น" ของท่านสั่งการออกไป

        เหตุการณ์ครั้งนี้ บ้านเมืองยับเยิน-ย่อยยับยิ่งนัก ไม่ต้องพูดกันแล้วเรื่องจีดีพีเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องความเชื่อมัน ความสำคัญทั้งหมดสรุปรวมอยู่ตรงหน้านี้ว่า จะควบคุมสถานการณ์ และยุติกบฏเผาบ้าน-ยึดเมืองนี้ ได้แบบไหน อย่างไร และ..วันไหน ?

         ลูกผู้ชาย-วันนี้ ไม่ต้องไปโทษใคร ความชอบถ้ามี จงแจกจ่ายและยกย่องเขา ส่วนความผิด เมื่อเสร็จภารกิจกู้สถานการณ์แผ่นดิน ท่านต้องเตรียมคำตอบอันเป็นการ " ตัดสินใจ" ที่สาสมกับความสูญเสียของประเทศชาติครั้งใหญ่จากการบริหารในฐานะผู้นำของท่าน

         เสียลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข เสียไปเถอะครับ ถ้าการเสียนั้นเป็นการเสียเพื่อดำรง "ศักดิ์ศรีแห่งผู้นำ" บอกตรงๆ เห็นหน้าท่านออกทีวีตอนสองยามคืนก่อนท่ามกลาง ผบ.เหล่าทัพที่ก้มหน้า ซ่อนแววตาสงบนิ่ง

         ในบรรยากาศที่เหมือนแถลงอยู่บนขั้วโลกคนเดียว แต่ท่านนายกฯ ยังสามารถรักษาบุคลิกภาพผู้นำ เพื่อไม่ให้ผู้ตามคือประชาชนอย่างพวกผมพลอยถอดใจ วูบหนึ่ง ผมสงสารท่านสุดขั้วใจจริงๆ

         ท่านผู้อ่าน และประชาชนผู้รักบ้านรักเมือง และรักสถาบันทั้งหลาย ณ เวลานี้ เรากำลังถูกกบฏแผ่นดินคุกคามย่ำยีทุกด้าน อย่าแตกแยก อย่าแตกใจ และอย่านิ่งดูดาย เอาแต่เรียกร้องและร้องหาแต่ความ! ช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร และรัฐบาลอย่างเดียว สิ่งสำคัญเฉพาะหน้า เรา-ประชาชน ต้องผนึกแขนงไม้เป็นกอไผ่ รวมพลังต้านภัย ช่วยกันรักษาบ้าน-รักษาสถาบันไว้ไห้จงได้

         อย่าเอาแต่นั่งพูด นั่งด่า อวดวิชาการแก่กล้า โชว์วิสัยทัศน์ด้วยการ "ด่าทุกมาตรการ" ที่ตำรวจ-ทหารและรัฐบาลนำออกมาใช้ ผมบอกได้คำเดียวว่า ถ้ามัวแต่แคร์กระแสโลก กระแสสื่อกลุ่มทุนอย่าง CNN ปล่อยให้โจรฆ่าประชาชน เผาเมือง ล้มสถาบัน โดยตำรวจ-ทหาร-รัฐบาลเอาแต่ "พับเพียบปราบ"

         เพราะเหตุนี้ผมจึงขอย้ำ "ประชาชนคือคนที่ชาติต้องการ-ตลอดกาล" ถ้าประชาชนไม่รวมตัว-รวมใจ
เห็นที ประเทศไทยจะราบคาบ "กบฏไทยผสมเทศ" จะเข้ามายึดครองต้องตามคำว่า " ถิ่นกาขาว"
พวกเรา..ไม่เอากันอย่างนั้นมิใช่หรือ ?


                                           รักนายกฯและจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป

                                                               เปลว สีเงิน

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

           ได้มาจากอีเมลล์ เห็นว่า ควรนำมาให้พวกเรา ได้อ่านด้วย

           เพื่อร่วมเป็น ประชาชน คือ คนที่ชาติต้องการ-ตลอดกาล

 
                                            win win win

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #46 เมื่อ: 13 เมษายน 2553, 11:33:06 »


                                        ที่ประชุมกกต.มีมติ ยุบ ปชป.
               ขอขอบคุณที่เื้อื้่อเฟื้อข่าว น.ส.พ.เดลินิวส์ วันจันทร์ ที่ 12 เมษายน 2553

                         http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=627&contentID=59696

“กกต.”มีมติยุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีเงินบริจาค258ล้านเตรียมแจ้ง อสส.ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

                                

           เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 12 เม.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายธนิศร์ ศรีประเทศ รองเลขาธิการ กกต. ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ  แถลงผลการประชุม กกต.วาระพิเศษ กรณีคดีเงินบริจาค จำนวน 258 ล้านบาท และ เงินกองทุนสนุบสนุนพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาท ที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาอาจกระทำการเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง ทั้งนี้ ที่ประชุม กกต.พิจารณาใน 2 ข้อกล่าวหา โดย

ข้อกล่าวหาแรก กรณีพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเงินบริจาคจากบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านทางบริษัท เมซไซอะ บิสิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด เป็นจำนวนเงิน 258 ล้านบาท โดยทำสัญญาสื่อว่าจ้างทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆเป็นนิติกรรมอำพลาง  เพื่อหลักเลี่ยงการรายงานการรับบริจาคเงินตามที่กฎหมายกำหนด อาจเข้าข่ายกระทำผิดตามมาตรา 66 (2) (3) แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2541 และมาตรา 94 (3) (4) (5) แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 โดย

           ที่ประชุมมีมติคะแนนเสียงข้างมากให้นายทะเบียนพรรคการเมืองแจ้งต่ออัยการสูงสุดพร้อมด้วยหลักฐาน เพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ตามาตรา 95 ของพ.ร.บ.ประกอบรับธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550

ข้อกล่าวหาที่สอง กรณีมีผู้แจ้งข้อกล้าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ใช้จ่ายเงินที่ได้รับจากเงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมืองจากสำนักงานกกต.ให้เป็นไปตามบทบัญญัติตามกฎหมายและการจัดทำการใช้จ่ายและการจัดทำการรายงานใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงที่ยื่นต่อ กกต.อันเป็นการเข้าข่ายตามมาตาม มาตรา62 และ65 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2541 และมาตรา 82 และ 93 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 โดย

           ที่ประชุม กกต. มีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยใช้มติเสียงข้างมากแจ้งต่ออัยการสูงสุดเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตามมาตรา 95 ของพ.ร.บ.ประกอบรับธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550
    
           นายธนิศร์ กล่าวว่า สำหรับขั้นตอนจากนี้ทางกกต.ได้มอบหมายให้นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดตามความเห็นแจ้งต่ออัยการสูงสุด

           เมื่ออัยการสูงสุดได้รับเรื่องแล้วจะจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่หากเห็นว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอก็ต้องแจ้งกลับมายังนายทะเบียนเพื่อตั้งคณะทำงานร่วมกัน แต่หากเห็นว่ายังไม่ได้ข้อยุติ นายทะเบียนพรรคการเมืองก็สามารถส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง

           ทั้งนี้การพิจารณาของนายทะเบียนครั้งนี้ใน2ประเด็นก็เห็นว่า คดีดังกล่าวอาจมีการกระทำความผิดจึงเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญจึงส่งให้ที่ประชุมกกต.พิจารณา เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาทั้ง 2 ประเด็น.

                       OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

                      นำข่าวมาเก็บไว้ให้พวกเรา ได้ศึกษาเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้

                                               gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #47 เมื่อ: 13 เมษายน 2553, 12:11:55 »


                   เรียนรู้ เข้าใจ เข้าถึง และ ร่วมพัฒนา การเมืองของประเทศเรา



ขอขอบคุณ น.ส.พ.เดลินิวส์ วัน อังคาร ที่ 13 เมษายน 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=425&contentId=59667

           จินตนาการใหม่จำได้ว่าเมื่อราว 20 ปีก่อน เหลียวมองประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนมีเพียงสิงคโปร์ชาติเดียว ที่ความเจริญยังขี่ไทยเราได้ ซึ่งเราก็พยายามไล่จี้ตามติดอยู่อย่างสูสีมาโดยตลอด..
    
           เผลอไม่นาน มาวันนี้ไม่ต้องพูดถึงสิงคโปร์ที่เรียกตัวเองได้ว่า ประเทศพัฒนาแล้ว อย่างเต็มภาคภูมิ ยังมีมาเลเซียเพื่อนบ้านทางใต้ของเรา ที่ย่องเงียบแซงหน้าห่างไทยออกไปเรื่อย ๆ ..
    
           ส่วนอินโดนีเซียก็ไล่จี้ตามมารดต้นคอไม่ห่าง ขณะที่หลายคนกำลังพูดถึงเวียดนาม ซึ่งทั้งทรัพยากรธรรมชาติ ทำเลที่ตั้ง และที่สำคัญคือทรัพยากรมนุษย์ ที่ไม่อาจประมาทได้แม้แต่น้อย
    
           ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค แห่งมาเลเซีย ประกาศแผนปฏิรูปเศรษฐกิจที่เรียกว่า  โมเดลใหม่ทางเศรษฐกิจ ตั้งเป้ายกระดับพยัคฆ์เหลืองให้เป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2020 โดยจะทำให้เศรษฐกิจมาเลเซียเติบโตปีละ 6.5% ในอีก 10 ปีข้างหน้า
    
           ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ เวียดนามก็กำลังเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ หรือ Mega Project มูลค่าถึงกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่ว่าสนามบินนานาชาติประมาณ 10 แห่ง โดยเฉพาะสนามบินแห่งใหม่ที่ลองแถ่ง ซึ่งยิ่งใหญ่เทียบเท่า หรืออาจจะยิ่งกว่าสนามบินสุวรรณภูมิ
    
           รถไฟความเร็วสูงสายเหนือ-ใต้ ฮานอย-โฮจิมินห์  โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน-บนดินในนครโฮจิมินห์  โรงไฟฟ้านิวเคลียร์  ท่าเรือน้ำลึก  และโครงการสาธารณูปโภคอื่น ๆ กว่า 10 โครงการ
    
           แม้แต่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อนบ้านริมฝั่งโขงของเรา ก็วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยตั้งเป้าหมายในอีก 10 ปีข้างหน้าเช่นกันว่า ประการแรก จะต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศในด้านอุตสาหกรรม ประการที่สอง คือให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 7%  และประการที่ 3 ต้องให้ประเทศหลุดพ้นจากสถานะประเทศด้อยพัฒนา หลุดพ้นจากความเป็นประเทศยากจน ในปี 2020 ภายใต้ระบบเศรษฐกิจที่เรียกว่า  จินตนาการใหม่

           เหลียวมองรอบบ้านแล้ว ก็ย้อนกลับมาดูตัวเองบ้าง ตั้งคำถามกับตัวเองว่า
อีก 10 ปีข้างหน้าเมืองไทยจะเป็นอย่างไร..?


           มีนิทานตลกขำไม่ออกที่เคยอ่านเจอในอินเทอร์เน็ตเรื่องหนึ่ง เล่าว่า..
    
           กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระเจ้าผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในโลกได้ตระเวนไปเยือนดินแดนต่าง ๆ ที่พระองค์สร้างไว้ โดยมีถุงสองใบติดตัวไปด้วย
    
           เมื่อไปถึงสหรัฐ อเมริกา พระองค์ทรงใช้ของในถุงสีขาว สร้างให้อเมริกาเป็นชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ก็ทรงใช้ของในถุงสีดำ ทำให้อเมริกามีศัตรูอยู่ทั่วทุกหัวระแหง และยังเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติร้ายแรงแทบทุกปี ไม่ว่าพายุหิมะ ทอร์นาโด เฮอริเคน และแผ่นดินไหว
    
           เมื่อไปถึงญี่ปุ่น พระเจ้าให้ชาวอาทิตย์อุทัยเป็นผู้ที่มีมันสมองฉลาดล้ำเลิศ มีความเพียรมุมานะพยายาม และมีวินัยสูงยิ่ง แต่ก็ทรงทำให้ญี่ปุ่นเป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ ที่ประชาชนต้องอยู่กันอย่างแออัด และต้องประสบภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวร้ายแรงนับครั้งไม่ถ้วน
    
           ที่ประเทศจีน ทรงสร้างผู้คนที่มีความเชี่ยวชาญทำธุรกิจการค้า ทรงให้แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็มีจำนวนประชากรมากมาย แถมพื้นที่แถบเหนือและตะวันตกยังเป็นทะเลทราย แห้งแล้งกันดาร และหนาวเย็น  รวมทั้งเกิดอุทกภัยและภัยธรรมชาติรุนแรงอื่น ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
    
           ในตะวันออกกลาง ดินแดนที่เต็มไปด้วยทะเลทรายร้อนระอุ ข้างใต้นั้นกลับอุดมด้วยทรัพยากรน้ำมันอันมีค่า
    
           ที่ยุโรป พระเจ้าสร้างผู้คนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยหล่อสง่างาม มีมันสมองชาญฉลาด แต่ต้องอาศัยในดินแดนที่หนาวเย็น และเป็นจุดกำเนิดสงครามโลกถึงสองครั้ง
    
           ที่แอฟริกา มีแต่พื้นที่ทุรกันดาร ผู้คนล้าหลังด้อยพัฒนา แต่กลับเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า ทั้งเพชรนิลจินดา และทองคำ
    
           ทุกหนทุกแห่งที่พระเจ้าไปเยือน จะทรงใช้สิ่งของในถุงสองใบสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นเสมอ

           แต่เมื่อครั้งที่มายังดินแดนขวานทอง พระเจ้าทรงใช้แต่ของในถุงสีขาวสร้างให้เป็นพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวงดงาม ไม่เคยปรากฏภัยพิบัติรุนแรง
    
           พระเจ้าทรงลืมใส่ของจากถุงสีดำไว้ ณ ดินแดนแห่งนี้ ปล่อยให้ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ ยิ้มแย้มแจ่มใส มีน้ำใจงาม มาช้านาน....
    
           จนวันหนึ่ง เมื่อพระเจ้าทรงนึกขึ้นได้ว่าคงจะไม่เป็นธรรมกับดินแดนอื่น จึงกลับมายังแผ่นดินสุวรรณภูมินี้อีกครั้ง พร้อมกับนำถุงสีดำใบเล็ก ๆ มาทิ้งไว้  สิ่งของในถุงนั้นมีอยู่เพียงอย่างเดียว คือ มนุษย์เผ่าพันธุ์หนึ่ง ที่เรียกว่า....
           นักการเมือง.

                                         คุณนายทอม (khunnaitom@gmail.com)

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

           นำมาให้พวกเราต้อง เรียนรู้ เข้าใจ เข้าถึง และ ร่วมพัฒนา การเมืองของประเทศเรา ให้ได้นักการเมืองที่มีจริยธรรม ทำเพื่อประโยชน์ประเทศ เป็นที่หนึ่ง ส่วนตัวเป็นที่สอง เพื่อให้ประเทศเจริญ แล้ว ลาภยศจะตกมาสู่ นักการเมืองนั้น ได้เป็น
           รัฐบุรุษ win แทน เป็น ทรราชย์  จ๊าากกก จารึกไว้ในแผ่นดิน


                                        win win win
                
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #48 เมื่อ: 14 เมษายน 2553, 10:13:48 »


           สกศ.ตั้งธงตัวชี้ความสำเร็จการศึกษา ชงซุปเปอร์ 4 เรื่องสำคัญ ให้ครม.ทราบ

                                    

           รศ.ดร.ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา ( สกศ.) เปิดเผยถึงตัวชี้ความสำเร็จของการศึกษา ซึ่งได้มีการเลื่อนประชุม มาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า

           ตัวชี้วัดความสำเร็จ หรือ เป้าหมายหลักของการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 ที่ สกศ.จะเสนอสู่การพิจารณานั้นจะเป็นซุปเปอร์ตัวชี้วัดที่จะมีผลนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงต่อการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาสถานศึกษาครั้งใหญ่ ในการปฏิรูปการศึกษา ทศวรรษที่ 2 โดยจะเสนอเพียง 4 ประเด็น คือ

ตัวชี้วัดที่ 1. ภายหลังจากปฏิรูปการศึกษารอบ 2 แล้ว อันดับของไทยเรื่องการศึกษาในเวทีโลกต้องดีขึ้น เช่น

           ในการจัดอับดับการศึกษาทั่วโลกของ IMD (International Institute For Management Develop )

           ปัจจุบัน ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 40 กว่า จากประเทศที่ร่วมจัดอันดับทั้งหมดประมาณ 50 ประเทศ  อายจัง แต่เมื่อมีการปฏิรูปรอบ 2 แล้ว จะต้องขยับมาอยู่ในอันดับที่สูงขึ้น win ซึ่งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายฯ จะต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่า จะให้ขยับมาอยู่ในอันดับที่เท่าใด

ตัวชี้วัดที่ 2 คือ ต้องทำให้เด็กไทยใฝ่รู้ใฝ่เรียนมากขึ้น เช่น ผลักดันสนับสนุนให้เด็กสนใจอยากรู้ อยากเรียนทั้งในโรงเรียนและแหล่งเรียนรู้

ตัวชี้วัดที่ 3 ต้องทำให้เด็กไทยใฝ่ดี คือ สร้างให้เด็กเป็นคนที่มีจิตอาสา มีคุณธรรม จริยธรรม และ

ตัวชี้วัดที่ 4 ต้องทำให้เด็กไทยคิดเป็น วิเคราะห์

           อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดที่ 2 ถึง 4 นั้น จะต้องสร้างระบบวัดขึ้นมา เพื่อสะท้อนออกมาปัจจุบัน เราอยู่ที่ตรงไหน และเป้าหมายข้างหน้าจะเดินไปตรงไหน

           สกศ.จะไม่เสนอให้มีตัวชี้วัดหลายตัว เพราะจะทำให้สับสนอีกทั้งเป้าหมายบางเรื่อง ควรตั้งเป็นตัวชี้วัดระดับหน่วยงานมากกว่าตัวชี้วัดในภาพรวม ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรรมการนโยบายฯต้องกำหนดตัวชี้วัด 4ตัวนี้ให้ชัดเจน คาดว่า หลังประชุมเสร็จแล้ว จะมีความชัดเจนมากขึ้น

             ขอขอบคุณ น.ส.พ.แนวหน้า วันพุธ ที่ 14/4/2010

           http://www.naewna.com/news.asp?ID=207258

                                  gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #49 เมื่อ: 15 เมษายน 2553, 16:46:52 »


                          

          ร่วมมือกันทำตามกฏหมาย ดื่มไม่ขับ และ ง่วงไม่ขับ
                  เป็นกฏให้ไม่เดือดร้อนตนเอง และ ผู้อื่น

        
          นายอุทัยรัตน์ ชัยประเสริฐ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม กล่าวย้ำเตือนผู้ใช้รถใช้ถนน หากตรวจพบระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ จะดำเนินคดีปรับขั้นสูงสุด

          ผู้กระทำความผิดมีโทษจำคุก 1 ปี หรือปรับ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตลอดจนถูกสั่งพักใบอนุญาตขับขี่ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ รวมถึงคุมประพฤติโดยให้ทำงานบริการทางสังคม ตลอดจนเข้ารับอบรมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมภายใต้การดูแลของพนักงานคุมประพฤติ

           ส่วนกรณีเมาแล้วขับและทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต มีโทษจำคุก 3 – 10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท รวมทั้งถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

           สำหรับผู้ที่ขับหรือซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท และ กรณีผู้ขับขี่ที่ยอมให้ผู้ซ้อนท้ายไม่สวมหมวกนิรภัย จะถูกปรับเป็น 2 เท่าของโทษที่กำหนด

           ขอให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และร่วมกันสร้างความปลอดภัยทางถนน เพื่อเป็นของขวัญแก่คนในครอบครัว
    
           ข้อมูลข่าวและที่มา ผู้สื่อข่าว : ขนิษฐา ลือสัตย์    Rewriter : พรภัสสร ปิ่นสกุล
                   สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ข่าว : 15 เมษายน 2553
                           http://thainews.prd.go.th/view.php?m_newsid=255304150064&tb=N255304&showpic=1&position=14490&pn=Hotnews-255304150064.jpg

                                         ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

      ร่วมมือกันทำตามกฏหมายและแนะนำเพื่อนๆ เพื่อลดการสูญเสีย ทั้งทรัพย์สิน และ ชีวิตได้

                                         sorry sorry sorry

           เมื่อมีผู้บาดเจ็บจากถูกยิง หรือ แทงมา เป็นหน้าที่ ที่ ร.พ.ต้องแจ้งตำรวจ เข้ามาสอบสวน แต่เมื่อคนเมาแล้วอุบัติเหตุ เข้ามารักษา ตำรวจไม่เคยมา ตามผลเลือดว่า เมาหรือเปล่าเลย ร.พ.จึงไม่กล้าตรวจเลือดหาแอลกอฮอล์ให้กลัวโดนฟ้องละเมิดสิทธิผู้ป่วย  

หมายเหตุ พวกเราที่ได้รับความรู้ เห็นดีด้วย สามารถติดต่อ พณฯ ท่าน ร.ม.ต.ว่าการกระทรวงยุติธรรมได้

                                                                                          

                         รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พณฯ ท่าน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

           ช่วยเสนอ เป็นกฏกระทรวงฯ ประกาศทางสื่้อสารมวลชน ให้ประชาชนทราบว่า เป็นหน้าที่ ที่ ร.พ.ที่รับการรักษา มีหน้าที่ ที่จะต้องเจาะเลือดส่งตรวจระดับแอลกอฮอล์ในเลือด เพื่อประโยชน์ในการรักษา ว่าอาการทางสมอง ที่ตรวจพบจากเลือดออกในสมอง หรือ จากการได้รับแอลกอฮอล์มากเกินไป และ ยังได้ประโยชน์ในทางบังคับใช้เรื่อง เมาแล้วขับด้วย

            ร.พ.สามารถเจาะเลือด ส่ง นิติเวช ใน ร.พ.ที่ีมีหน่วยงานนี้ เมื่อผลออกมา เป็นประโยชน์ต่อแพทย์ในการให้การรักษา และ ถ้าเกิน 50 มิลลิกรัม % ผิดกฏหมาย หลังรักษาหายดีแล้ว ต้องแจ้งให้ตำรวจมาดำเนินคดี เมาแล้วขับด้วย จะทำให้ประชาชนไม่กล้าดื่มแล้วขับได้

            ถือเป็นด้านที่  3 ของสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา เพื่อ ให้เกิดการกระทำตามกฏหมาย ได้ทั้งเชิงบวก เพื่อสังเกตุอาการ และ เชิงลบ ให้ผู้กระทำผิด ต้องถูกลงโทษด้วย ดีไหมพวกเรา จะได้ไม่ดื่มแล้วขับเป็นภัยต่อตนเอง และ ผู้อื่่นด้วย

                                                    gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: 1 [2] 3 4  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><