22 พฤศจิกายน 2567, 18:01:31
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ณ วันนี้ "ขวัญ-เรียม" คู่รักอมตะ"แผลเก่า" แห่ง"คลองแสนแสบ" จะมีชีวิตรอดมั้ยนี่??  (อ่าน 159631 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #125 เมื่อ: 10 มีนาคม 2553, 11:13:37 »


Panawat & Tae, are you next?

การที่เอาข่าวนี้มา เพื่อให้เกิดความสมดุลของข่าว ใช่แต่ว่า จะยกย่อง น้ำที่บำบัดมาจากน้ำชักโครก สะอาดจนดื่มได้ ดีไปหมดทั้งอย่าง เหมือนกับดาบ มีสองคม

บังเอิญ ให้เกิดความเป็นห่วง น้องๆซีมะโด่ง อย่างน้องยา ที่ไปสิงคโปร์มาแล้ว ได้ทดลองน้ำ NEWater มาอย่างดื่มด่ำ  แต่ถ้าได้อ่านข่าวนี้ อย่าเพิ่งช๊อคคาสำนักงานกฎหมายไปนะครับ


มันเป็นข่าวในนิตยสาร ทางด้านวิทยาศาสตร์ Popular Science บรรยายตรงภาพไว้ดังนี้

Chemical and hormone runoff from farms and wastewater treatment plants could be turning male fish female, threatening the $5.5-billion bass fishing industry

คือสารเคมีและฮอร์โมนที่ไหลออกจากฟาร์ม  ไปสู่โรงบำบัดน้ำเสีย สามารถเปลี่ยนปลาเพศผู้ ให้เป็นเพศเมีย สร้างความอกสั่นขวัญแขวนแก่อุตสาหกรรมปลามูลค่า 5.5 พันล้านเหรียญ

แผนกสำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐฯ US Geological Survey  ได้ศึกษามาเป็นเวลา 9 ปี พบว่า ปลา bass (ปลาตะเพียนฝรั่ง ดังภาพบน) 44% ของปลาชนิดปากใหญ่และปากเล็ก บางแห่งถึง 91% ที่ปลาตะเพียนปากใหญ่ มีสองเพศปนกัน (intersex)  คือปลาตัวผู้ ได้เปลี่ยนอวัยวะเพศผู้ มาเป็นรังไข่อ่อนๆแบบเพศเมีย (sex organs producing immature female eggs)  พบจาก 34 ใน 111 แห่ง ใกล้ลุ่มน้ำโคลัมเบีย โคโลราโด  และมิสซิปซิปปี้

ที่น่าสังเกตุอย่างหนึ่ง ปลาสองเพศนี้ พบทั้งลำธารตอนเหนือ และตอนล่าง ของโรงบำบัดนำเสีย นักวิทยาศาสตร์คาดว่า คงจะเป็นผลมาจากฮอร์โมนที่มาจากอุตสาหกรรมเลี้ยงไก่และวัว

น้องยา น่าสยองนะครับ โรงบำบัดน้ำเสีย อาจจะไม่สามารถที่กรองเอาฮอร์โมนออกไปได้ เหลืออยู่ในน้ำ อ่านรายละเอียดเองนะครับ แล้วเขียนมาเล่าให้ได้อ่านกัน ส่วน อจ. เต้ กำลังจะไปสิงคโปร์  ก็เลือกดื่มเอาก็แล้วกัน

ที่มา:
http://www.popsci.com/science/article/2009-11/what-feminizing-so-many-male-fish-our-rivers
      บันทึกการเข้า

ภาณุ ปาตานี
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,254

« ตอบ #126 เมื่อ: 10 มีนาคม 2553, 22:37:59 »

พี่วณิชย์นะพี่วณิชย์...ทำไมเพิ่งจะมาเฉลยตอนนี้

เสียว..ครับ
      บันทึกการเข้า
เจตน์
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ใครๆเรียกผมว่า "กุ๊ปปิ๊"
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2534
คณะ: ครุฯ พลศึกษา
กระทู้: 6,520

« ตอบ #127 เมื่อ: 11 มีนาคม 2553, 08:37:20 »

เวลาอาบน้ำก็ก้มลงดูหน่อยนะครับพี่ยา....

เผื่อมีอะไรหด อะไรโผล่ขึ้นมาครับ
  เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า

ชีวิตผมเป็นดั่งวงกลม จึงได้แต่ดอมดมความสุขจากคนอื่นๆ
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #128 เมื่อ: 13 มีนาคม 2553, 16:56:57 »



แค่นี้ ยังไม่รับผิดชอบต่อสังคม แล้วจะมาเรียกร้องประชาธิปไตย ไปหาพระแสงหอกหักอันใด


"แดงมักง่าย" ติดส้วมชั่วคราวทิ้ง "อึ" ลงท่อระบายน้ำกทม.

กทม.งานเข้า ผู้ชุมนุมเสื้อแดงติดตั้ง "ส้วม" ริมถนนราชดำเนิน โดยปล่อยท่อน้ำเสียและท่อสิ่งปฏิกูลลงท่อระบายน้ำกทม. ด้านผอ.สำนักปกครองฯ กทม.วอนเห็นใจเข้าหน้าที่ที่ต้องคอยตามล้างสิ่งปฏิกูลในท่อภายหลัง
      
       นายยศศักดิ์ คงมาก ผอ.สำนักปกครองและทะเบียน กทม. กล่าวว่า ได้รับรายงานจากเทศกิจว่า ผู้ชุมนุมได้ติดตั้งห้องสุขาและห้องอาบน้ำชั่วคราวริม ถ.ราชดำเนิน โดยปล่อยท่อน้ำทิ้งและของเสียลงท่อระบายน้ำของกทม.โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาด ปรับไม่เกิน 1หมื่นบาท หรือจำคุก 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ
      
       อย่างไรก็ตามมาตรการทางกฎหมายขณะนี้คงไม่สามารถใช้บังคับกับกลุ่มผู้ชุมนุมได้ เนื่องจากกลัวว่า คนเสื้อแดงแสดงความไม่พอใจก่อเหตุวุ่นวาย จึงได้แต่ขอเรียกร้องให้แกนนำ นปช. และกลุ่มผู้ชุมนุมเห็นใจเจ้าหน้าที่ของ กทม. ที่ต้องคอยทำความสะอาดล้างสิ่งปฏิกูลในท่อระบายน้ำภายหลัง

ที่มา: http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000035554
      บันทึกการเข้า

Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #129 เมื่อ: 15 มีนาคม 2553, 11:43:50 »



การ์ตูน การบัดบำน้ำเสีย เหมาะตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ถึง 80 ปี
ภาษาอังกิด วันละหลายคำ สไลด์แต่ละภาพมีเวลา 10 วินาที
ที่มา : http://www.metrocouncil.org/environment/Kids/01.htm
      บันทึกการเข้า

Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #130 เมื่อ: 19 มีนาคม 2553, 22:33:55 »

  สวัสดีค่ะพี่วณิชย์  เข้ามาชมคลองแสนแสบค่ะยังตามอ่านไม่ครบทีค่ะ...
      บันทึกการเข้า
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #131 เมื่อ: 20 มีนาคม 2553, 16:42:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ Kaimook เมื่อ 19 มีนาคม 2553, 22:33:55
 สวัสดีค่ะพี่วณิชย์  เข้ามาชมคลองแสนแสบค่ะยังตามอ่านไม่ครบทีค่ะ...
อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2553, 22:21:40
คลองด่าน .. เกี่ยวไหมคะ ??

 ประเทศไทยเรามีผู้เชี่ยวชาญ มีอาจารย์ไปเรียนจบโทจบเอก เรื่องสิ่งแวดล้อม จากต่างประเทศมากมาย มีสอนในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ใน แผนกวิศวกรรมสุขาภิบาล  แผนกวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม มีสมาคมสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย  มีกรมควบคุมมลพิษ มีกระทรวงวิทยาศาตร์และเทคโนโลยี่ ทำไมน้ำในคลอง ในบึงในหนอง ในแม่น้ำทั้งหลายในประเทศไทย จึงยังเน่าอยู่???  

ทั้งหลายทั้งปวง มาจากระบอบการเมืองที่ไม่มีธรรมาภิบาล

โชว์ผลสอบคลองด่าน 'มหากาพย์'คอรัปชั่น!! บทพิสูจน์น้ำยาป.ป.ช. ปล่อยคดีหมดอายุหรือ???

เห็นข่าว “เครือข่ายสื่อมวลชนต่อต้านทุจริตแห่งชาติ” หรือ “ส.ท.ช.” ที่ออกมาเคลื่อนไหว กดดันคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้เร่งรัดพิจารณาในคดีทุจริตโครงการจัดการน้ำเสียคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ หลังจากที่คดีนี้ยืดเยื้อมายาวนานกว่า 5 ปีแล้วนั้น ต้องบอกว่า มีข้อสงสัยกับการทำงานของป.ป.ช.เหมือนกัน

เพราะถ้าจำกันได้ “ตัวละครการเมือง” ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีอื้อฉาวนี้ แยกเป็น 2 ส่วนคือเรื่อง “ที่ดิน” กับเรื่อง “การดำเนินโครงการ” ที่ส่อไปในทางทุจริต!!!


และผลพวงของเรื่อง “ทุจริตที่ดิน” ที่แยกออกไป “ฟ้องเดี่ยว” กับ “วัฒนา อัศวเหม” อดีตรมช.มหาดไทย จนกระทั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2551 ชี้ขาดว่ามีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจหน้าที่ตำแหน่งโดยมิชอบ ใช้อำนาจข่มขู่หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณประโยชน์ และที่เทขยะมูลฝอย เพื่อนำไปขายให้กับกรมควบคุมมลพิษ เพื่อก่อสร้างโครงการบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ


โดยองค์คณะผู้พิพากษา เห็นสมควรให้ลงโทษจำคุก 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 ริบพระเครื่องผงสุพรรณเลี่ยมทอง และเนื่องจากจำเลยหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา ศาลฎีกาฯจึงได้ออกหมายจับจำเลย ให้มารับโทษตามคำพิพากษาต่อไป การที่จำเลยหลบหนีคดีนี้มีอายุความ 15 ปี นับแต่วันที่จำเลยหลบหนี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 98 (ติดตามอ่าน...ศาลจำคุกวัฒนา10ปี ข้อหาทุจริตคลองด่าน ออก'หมายจับ'ล่าตัว! หลังหลบหนีไป'เขมร' ได้ที่ http://thaiinsider.info/space/content/view/10366/28)


แต่เมื่อหันมามองเรื่อง “ทุจริตการดำเนินโครงการ” ที่พบว่ามีนักการเมืองคนดังเข้ามาเกี่ยวข้องคือ “ยิ่งพันธ์ มนะสิการ” กับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ในฐานะอดีตรมว.วิทยาศาสตร์ฯ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการในโครงการอื้อฉาวนี้

เพียงแต่ว่า “ยิ่งพันธ์” ได้เสียชีวิตไปแล้ว จึงเหลือเพียง “สุวัจน์” เท่านั้น ที่ยังตกเป็น “ผู้ถูกกล่าวหา” ในคดีนี้


คดีทุจริตอื้อฉาวคลองด่านนี้ หากจำกันได้ “ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์” รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในปี 2546 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตขึ้นมา ซึ่งมี “พล.ต.ท.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในเวลานั้น เป็นหัวหน้าชุดสอบสวน ซึ่งเมื่อมีการสอบสวนแล้วเสร็จ และพบว่าคดีมีมูล จึงมีการสั่งการให้ “อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ” ในเวลานั้น คือ “อภิชัย ชวเจริญพันธุ์” ไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เมื่อวันที่ 18 มี.ค.2546 ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะสรุปสำนวนการสอบ และส่งต่อให้คณะกรรมการป.ป.ช. เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2546


ต่อมา “ประพัฒน์” ก็ได้สั่งการให้อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อคณะกรรมการป.ป.ช. อีกทางหนึ่ง เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2547

ซึ่งหากนับเวลาตั้งแต่มีการไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อป.ป.ช. ทั้งของพนักงานสอบสวนกองปราบปราม หรืออธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ก็กินเวลามานานถึง 5-6 ปีแล้ว แต่ปรากฏว่า “คดีทุจริตการดำเนินโครงการ” ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

แต่ปมที่น่าสนใจในเวลานี้ก็คือ “คดีทุจริตการดำเนินโครงการ” ที่อื้อฉาวนี้ เริ่มตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา และเรื่องนี้มีการชี้มูลเบื้องต้นถึง “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ว่ามีความผิดอาญา มาตรา 157 ซึ่งมีอายุความ 15 ปี เพราะ “สุวัจน์” เป็นผู้ลงนามในการเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2538 เพื่อให้กรมควบคุมมลพิษ ตกลงกับสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ในการจัดทำรายละเอียด แผนการใช้เงินและสัดส่วนของแหล่งเงินจากต่างประเทศ และ “สุวัจน์” ก็เป็นคนที่นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2538 เพื่อให้อนุมัติงบประมาณโครงการนี้ 13,612 ล้านบาท โดยให้ทำสัญญาการว่าจ้างเป็นแบบเหมารวม ที่ผู้ประกวดราคาต้องทำการซื้อที่ดินสำหรับก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียด้วย


นั่นหมายความว่า คดีนี้จะหมดอายุความประมาณเดือนมิ.ย. 2553 จึงเป็นเรื่องที่ต้องจับตาเป็นอย่างยิ่งว่า “ป.ป.ช.” จะปล่อยให้ “คอรัปชั่นแบบมหากาพย์” นี้หมดอายุความลงไป โดยไม่สามารถเอาผิดนักการเมืองหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องได้เลยหรือ

เพราะคดีที่เกี่ยวข้องกับทุจริตที่ดิน ก็เอาผิด “วัฒนา อัศวเหม” ไปแล้ว ส่วนคดีทุจริตการดำเนินโครงการ จะเอาผิดใครไม่ได้เชียวหรือ???


ทั้งนี้ “สุวัจน์” จะผิดหรือไม่ผิด เป็นเรื่องที่ต้องไปต่อสู้กันในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง...เอาเอง

ซึ่ง “เขา” อาจหาหลักฐาน-ข้อเท็จจริง...มาหักล้าง “ข้อกล่าวหา” ก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่การปล่อยให้ยืดเยื้อ...จนคดีความหมดอายุ


เพราะนั่นเท่ากับเป็นการตบหน้า “ป.ป.ช.” เองว่า มีน้ำยาจริงหรือไม่!!!

อีกทั้งเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า มีการเลือกปฏิบัติ “2 มาตรฐาน” หรือเลือกจะ “เอาผิด” เฉพาะคนอย่างนั้นหรือ???

 
ถ้าเช่นนั้น “ความหมายของตราสัญลักษณ์สำนักงานป.ป.ช.” ที่ระบุในเว็บไซต์ http://www.nccc.thaigov.net/nccc/office/mean.php ว่า


- อุณาโลม หมายถึง มหาบุรุษความยิ่งใหญ่
- รัศมี หมายถึง การแผ่ไพศาล
- โล่ หมายถึง การป้องกันอันเป็นหน้าที่พิเศษของงานป.ป.ช.ซึ่งเป็นการป้องกันมิให้มีผู้กระทำการทุจริต และในโล่ดังกล่าว ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนคือ

1.พานรัฐธรรมนูญ หมายถึง กฏหมายสูงสุดของประเทศเป็นศูนย์อำนาจรัฐและก่อให้เกิดมีคณะกรรมการป.ป.ช.ขึ้น
2.ตุลหรือตาชั่งและธรรมจักร หมายถึง ความยุติธรรมและคุณธรรม
3.กงจักรสายฟ้าและลูกศร หมายถึง ความรวดเร็วในการปราบปรามการทุจริต


ก็คงไม่ศักดิ์สิทธิ์ดังที่ว่าแน่ๆ...
พูดแล้วก็อดนึกถึงคำของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งกล่าวไว้เมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา ในการประชุมนานาชาติว่าด้วยการต่อต้านทุจริต ครั้งที่ 14 ตอนหนึ่งระบุไว้ว่า “ในทางการเมืองก็เช่นกัน ระหว่างที่ผมเดินทางกลับจากสหรัฐฯ ได้อ่านหนังสือชื่อ democracy kill ซึ่งวิเคราะห์ถึงความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยในหลายภูมิภาค โดยสาเหตุสำคัญมาจากเรื่องผลประโยชน์การทุจริต และการแย่งชิงอำนาจ จนทำให้ขบวนการประชาธิปไตยที่ควรจะศักดิ์สิทธิ์ ถูกบั่นทอน นำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงในหลายสังคม การทุจริตคอรัปชั่นจึงถือเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นในทุกประเทศ เพียงแต่อาจมีความหนักเบาต่างกัน และแต่ละประเทศก็มีมาตรการป้องกันที่ต่างกัน การประชุมครั้งนี้น่าจะช่วยจุดประกายความใสสะอาดให้กับประเทศไทยและประชาคมโลก และทำให้ทุกฝ่ายมีจิตสำนึก ตื่นตัวในการต่อต้านการทุจริตอย่างจริงจัง”

เพราะการคอรัปชั่น ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการพัฒนาประชาธิปไตย...จริงๆ

เปิดหลักฐานผลการสอบสวนของคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริต ที่มี “พล.ต.ท.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในเวลานั้น เป็นหัวหน้าชุด...คัดเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ "นักการเมือง"

สุวัจน์-วัฒนา-ยิ่งพันธ์
ซึ่งมีปมที่ต้องสังเกตให้ดีๆ คือ มีการสรุปว่า “วัฒนา อัศวเหม” มีพฤติการณ์เข้าข่ายสนับสนุนเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ประกอบมาตรา 157

ขณะที่ “ยิ่งพันธ์ มนะสิการ-สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ถือเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ ทำให้รัฐเสียหาย อันเป็นการกระทำที่ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยเฉพาะในส่วนของ “สุวัจน์” ถือเป็นรัฐมนตรีและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เป็น “ผู้ริเริ่มผลักดันโครงการ” ให้เปลี่ยนแปลงไปจากมติครม.เดิม โดยรวมเอาแผนงานโครงการของกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงมหาดไทย มารวมกันแล้วดำเนินการให้มีการก่อสร้างแบบจ้างเหมารวม และให้ผู้ก่อสร้างเป็นผู้จัดซื้อที่ดิน เพื่อหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ อันมีพฤติการณ์ที่ไม่ชอบ โดยการผลักดันให้โครงการฯมีผลโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มผู้รับเหมา ซึ่งมีบริษัทเครือญาติได้รับประโยชน์

ที่มา: http://thaiinsider.info/2009news/column/specialscoops/4145-2009-09-29-04-33-25

      บันทึกการเข้า

Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #132 เมื่อ: 20 มีนาคม 2553, 16:52:00 »











 ที่มา: http://thaiinsider.info/2009news/column/specialscoops/4145-2009-09-29-04-33-25
      บันทึกการเข้า

Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #133 เมื่อ: 24 มีนาคม 2553, 14:35:22 »

อย่าเพิ่งตกใจ  ไม่ใช่ที่คลองแสนแสบนะครับ  เพราะในลำคลอง แทบจะไม่มีสัตว์น้ำ เหลืออยู่แล้ว ยกเว้นที่หลุดมาจากบึงหนองจากที่อื่นๆ ภาพที่เห็นข้างล่าง จากทะเลสาบจึกแบ๊ก ทีเวียตนาม

มลภาวะวินาศ-- ราษฎรที่อาศัยอยู่รอบๆ นำเรือเล็กออกตักปลาตายในทะเลสาปจึกแบ๊ก (Truc Bach) ในกรุงฮานอย วันจันทร์ (22 มี.ค.) ที่ผ่านมา ปลาหลากชนิดและหลายขนาดนับเป็นตันๆ ตายลงเนื่องจากมลภาวะซึ่งทำให้น้ำกลายสภาพ มีกรดสูง แต่ 1 สัปดาห์ผ่านมาทางการท้องถิ่นก็ยังไม่ได้เอาใจใส่มากมายนัก สื่อของเวียดนามกล่าว. 
 
 







ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ปลานับเป็นตันๆ ลอยอืดเต็มทะเลสาบจึกแบ๊ก (Truc Bach) ที่มีชื่อเสียงในกรุงฮานอยกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเชื่องช้า เจ้าหน้าที่ตรวจคุณภาพน้ำ และพบว่า มีความเป็นกรดสูง ทั้งนี้ เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋ (Tuoi Tre)
       
       ภาพที่สำนักข่าวรอยเตอร์นำออกเผยแพร่ในวันเดียวกัน แสดงให้เห็นปลาหลากหลายขนาดและชนิด ลอยอยู่บนผิวน้ำเป็นหย่อมๆ มองไม่เห็นสิ่งใด ราษฎรที่อาศัยอยู่รอบๆ นำเรือลงไปตักปลาตายขึ้นจากน้ำ ลดความเหม็น
       
       นายด่งแท็งห่า (Dong Thanh Ha) เจ้าหน้าที่สถาบันวิจัยประมงที่ 1 กล่าวว่า ได้ทดสอบน้ำในทะเลสาบเสร็จในช่วงบ่ายของวันจันทร์ (22 มี.ค.) ที่ผ่านมา แต่ผลที่ได้ไม่ปรากฏเหตุผิดปกติใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเข้มข้นของออกซิเจนในน้ำ
       
       แต่ปัจจัยค่าความเป็นกรดด่างของน้ำลดลงเล็กน้อย ต่ำกว่ามาตรฐาน 7.0 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าน้ำในทะเลสาบมีความเป็นกรด ทำให้ต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมและตรวจสอบเพื่อระบุหาสาเหตุของความเป็นกรดดังกล่าวเพิ่ม นายห่า กล่าว
       
       หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่เริ่มเก็บปลาตายที่ได้ส่งกลิ่นเหม็น ทำให้นักท่องเที่ยวและลูกค้าตามร้านอาหารรอบทะเลสาบต่างหันหน้าหนี เตื่อยแจ๋ กล่าว
       
       ราษฎรในพื้นที่แจ้งว่า ปลาที่ตายอยู่ในทะเลสาบถูกพัดลอยไปตามน้ำ ผ่านท่อระบายน้ำ ทำให้ทะเลสาบอื่นๆ เริ่มเน่าเสียไปตามๆ กัน

ที่มา : http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9530000040708

      บันทึกการเข้า

ไข่ย้อย88
Full Member
**


หนุ่มชาวดง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 261

« ตอบ #134 เมื่อ: 30 มีนาคม 2553, 10:58:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ Intania๑๖ เมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2553, 17:11:09
แต่ละปี เรามีนักเรียนนักศึกษา ไปแข่งขันคณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกค์ ชีวะ ในต่างประเทศ ได้เหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง คล้องเต็มคอกลับมาประเทศไทย

เรามีนักวิชาการ มีบัณทิต เอาทุนไปเรียนต่างประเทศ นานาประเทศ ปีๆหนึ่งหลายร้อยหลายพันคน เป็นเวลานานร่วม 100 ปีมาแล้ว แสดงว่า เรามีคนไทยเป็นล้านๆ คนที่ผ่านการศึกษามาจากต่างประเทศ ไปดูงานต่างประเทศ ล้วนแต่ผลาญเงินภาษีอากรของประชาชน ไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่


เดี๋ยวนี้การศึกษาไทยเรา ส่งเสริมการพัฒนาด้าน IQ สูงเหลือเกิน แต่ MQ. EQ นั้นน้อยมาก จึงไม่แปลกเลยที่เด็กที่มีความเป็นเลิศด้านวิชาการจะมีนิสัยแย่ (ทั้งที่เจอกับตัวเอง และจากผู้มีประสบการณ์โดยตรง)

ถ้าคนเก่งๆ ในบ้านเรามีจิตสำนึกที่ดี คิดที่จะนำความรู้มาพัฒนาประเทศมากกว่าหาผลประโยชน์ส่วนต้ว
ประเทศเราก็คงพัฒนาไปไกลกว่านี้ แต่ก็ต้องไปดูที่ผู้บริหารบ้านเมืองด้วยนะครับว่ามันเป็นเช่นไร

การไปดูงานต่างประเทศของราชการไทย มันไม่ได้ไปดูงานครับ พวกเค้าไปเที่ยวกัน จึงไม่แปลกที่ไม่มีอะไรพัฒนาหลังจากไปดูงานเลย 
      บันทึกการเข้า

เกิดมามีเพียง 1 ครั้ง ลองใช้ครั้งหนึ่งกับมันให้คุ้ม
ไข่ย้อย88
Full Member
**


หนุ่มชาวดง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 261

« ตอบ #135 เมื่อ: 30 มีนาคม 2553, 11:49:44 »

อ้างถึง
ข้อความของ ดร.มนตรี เมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2553, 21:47:46



และเช่นกัน กทม.ได้มีความพยายามที่จะใช้หลักการ Polluter-pays principle ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น โดยคิดค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำเสียจากประชาชนโดยตรง โดยคำนวณเป็นสัดส่วนจากมิเตอร์น้ำประปา

แต่ในที่สุดก็ทำได้เพียงการรวบรวมน้ำเสียจากบ้านเรือน  เข้าสู่กระบวนการบำบัด แต่ไม่สามารถใช้หลักการ Polluter-pays principle โดยรัฐเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการบำบัดเอง และปล่อยน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัดแล้วลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ เช่นแม่น้ำ ต่อไป

เคยได้ยินข่าวนี้เหมือนกันครับว่าที่ไม่เก็บงินค่าบำบัดเพราะผู้บริหาร กทม. กลัว "คะแนนเสียง" จะตก
ก็เลยไม่ได้เก็บเงินค่าบำบัด
      บันทึกการเข้า

เกิดมามีเพียง 1 ครั้ง ลองใช้ครั้งหนึ่งกับมันให้คุ้ม
ไข่ย้อย88
Full Member
**


หนุ่มชาวดง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 261

« ตอบ #136 เมื่อ: 30 มีนาคม 2553, 13:12:32 »

อ้างถึง
ข้อความของ ดร.มนตรี เมื่อ 06 มีนาคม 2553, 18:50:42
โดยภาพรวมเป็น การผลิตน้ำด้วยเทคโนโลยี RO ธรรมดาๆ หน่ะครับ ...


บ้านเราก็ทำได้ ....เพียงแต่ไม่มีความจำเป็นต้องทำ ครับ


จริงๆแล้ว โดยความเห็นส่วนตัว ... แม้แต่ที่อเมริกาเอง ก็ยังไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนี้ครับ


เนื่องจากยังมีอีกหลายทางเลือก เพื่อแก้ปัญหา ตามโจทย์ที่ให้มา ...



เว้นเสียแต่ว่า...ต้องการผลในเชิงประชาสัมพันธ์ สร้างสีสัน เท่านั้นเอง


เนื่องจาก โครงการนี้ฟังดูแล้วมันแรงมี ผลกระทบ ต่อความรู้สึกของประชาชนดี   ^_^



อย่างไรก็ดีต้องขอบคุณสำหรับข้อมูลที่นำมาแบ่งปัน นะครับ


เห็นด้วยกับพี่มนตรีครับ

บ้านเรามีทรัพยากรน้ำที่สะอาดมากมาย การนำมาทำน้ำประปาก็ไม่ต้องใช้ต้นทุนอะไรสูงมากนัก ระบบปัจจุบันที่ใช้อยู่ก็เพียงพอ และเรื่องการทำน้ำเค็มเป็นน้ำจืดก็ไม่จำเป็นสำหรับบ้านเรา

แต่ที่เราควรตระหนักคือ การใช้ทรัพยากรที่เรามีให้คุ้มค่า เริ่มตั้งแต่แหล่งต้นน้ำ น้ำที่มีอยู่ และก็น้ำเสียที่เกิดขึ้น เพราะถ้าเราไม่รักษาหรือดูแลให้ดี ก็จะทำให้คนไทยเราเองเดือดร้อน (เดือดร้อนยังไงคิดเอาเองนะครับ เยอะเหลือเกิน)
      บันทึกการเข้า

เกิดมามีเพียง 1 ครั้ง ลองใช้ครั้งหนึ่งกับมันให้คุ้ม
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #137 เมื่อ: 30 มีนาคม 2553, 15:27:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ ไข่ย้อย88 เมื่อ 30 มีนาคม 2553, 11:49:44
อ้างถึง
ข้อความของ ดร.มนตรี เมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2553, 21:47:46
และเช่นกัน กทม.ได้มีความพยายามที่จะใช้หลักการ Polluter-pays principle ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น โดยคิดค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำเสียจากประชาชนโดยตรง โดยคำนวณเป็นสัดส่วนจากมิเตอร์น้ำประปา

แต่ในที่สุดก็ทำได้เพียงการรวบรวมน้ำเสียจากบ้านเรือน  เข้าสู่กระบวนการบำบัด แต่ไม่สามารถใช้หลักการ Polluter-pays principle โดยรัฐเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการบำบัดเอง และปล่อยน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัดแล้วลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ เช่นแม่น้ำ ต่อไป
เคยได้ยินข่าวนี้เหมือนกันครับว่าที่ไม่เก็บงินค่าบำบัดเพราะผู้บริหาร กทม. กลัว "คะแนนเสียง" จะตก
ก็เลยไม่ได้เก็บเงินค่าบำบัด
สวัสดีครับ น้องไข่

พอดีกำลังจะเขียนเรื่องถังดักไขมัน เพื่อป้องกันไม่ให้ท่อระบายน้ำอุดตันและเพื่อไม่ให้โรงบำบัดน้ำเสียต้องทำงานหนัก เลยขอเขียนเพิ่มเติม ที่น้องไข่มาเสริมเรื่องการไม่เก็บค่าบำบัดน้ำเสียของ กทม.  

แต่ในสหรัฐอเมริกา เข้าใจว่าทุกเมือง จะเก็บค่าบำบัดน้ำเสีย  Sewer Service Charge อย่างที่นครลอสแองเจลิส เก็บเฉพาะกับธุรกิจ แพงพอๆกับค่าใช้น้ำเลยทีเดียว  




หรือตัวอย่างที่เมือง Half Moon Bay อยู่ตอนใต้ของเมืองซานฟรานซิสโก เก็บค่าบำบัดน้ำเสีย  Sewer Service Chargeทุกแห่ง แพงที่สุดก็คือร้านอาหาร โรงแรม ธุรกิจ ที่อยู่อาศัย โรงเรียน และสำนักงาน


บางแห่ง เช่น ที่เมืองซานโฮเซ่ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เช่นกัน แต่เก็บอัตราแน่นอนสำหรับที่อยู่อาศัย ส่วนพาณิชย์กรรม สถาบัน และอุตสาหกรรม จะมีอัตราการคำนวณต่ออัตราพื้นที่ ต่อเอเค่อร์ (=2.5 ไร่)

อ้างอิง : http://www.sanjoseca.gov/esd/stormwater/storm-sewer-rates.asp
      บันทึกการเข้า

Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #138 เมื่อ: 30 มีนาคม 2553, 16:12:00 »

อ้างถึง
ข้อความของ ไข่ย้อย88 เมื่อ 30 มีนาคม 2553, 13:12:32
อ้างถึง
ข้อความของ ดร.มนตรี เมื่อ 06 มีนาคม 2553, 18:50:42
โดยภาพรวมเป็น การผลิตน้ำด้วยเทคโนโลยี RO ธรรมดาๆ หน่ะครับ ...
บ้านเราก็ทำได้ ....เพียงแต่ไม่มีความจำเป็นต้องทำ ครับ
จริงๆแล้ว โดยความเห็นส่วนตัว ... แม้แต่ที่อเมริกาเอง ก็ยังไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนี้ครับ
เนื่องจากยังมีอีกหลายทางเลือก เพื่อแก้ปัญหา ตามโจทย์ที่ให้มา ...
เว้นเสียแต่ว่า...ต้องการผลในเชิงประชาสัมพันธ์ สร้างสีสัน เท่านั้นเอง
เนื่องจาก โครงการนี้ฟังดูแล้วมันแรงมี ผลกระทบ ต่อความรู้สึกของประชาชนดี   ^_^
อย่างไรก็ดีต้องขอบคุณสำหรับข้อมูลที่นำมาแบ่งปัน นะครับ


เห็นด้วยกับพี่มนตรีครับ

บ้านเรามีทรัพยากรน้ำที่สะอาดมากมาย การนำมาทำน้ำประปาก็ไม่ต้องใช้ต้นทุนอะไรสูงมากนัก ระบบปัจจุบันที่ใช้อยู่ก็เพียงพอ และเรื่องการทำน้ำเค็มเป็นน้ำจืดก็ไม่จำเป็นสำหรับบ้านเรา

แต่ที่เราควรตระหนักคือ การใช้ทรัพยากรที่เรามีให้คุ้มค่า เริ่มตั้งแต่แหล่งต้นน้ำ น้ำที่มีอยู่ และก็น้ำเสียที่เกิดขึ้น เพราะถ้าเราไม่รักษาหรือดูแลให้ดี ก็จะทำให้คนไทยเราเองเดือดร้อน (เดือดร้อนยังไงคิดเอาเองนะครับ เยอะเหลือเกิน)

สวัสดีครับ น้องไข่ รอบที่สอง

ความจำเป็นที่จะแปลงน้ำทะเล ให้เป็นน้ำจืดหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงก็คือ ทั่วโลกมีโรงงานร่วม 15,000 แห่ง ส่วนมากจะอยู่ที่ตะวันออกกลาง ที่สิงคโปร์มีโรงงาน 1 แห่ง  ที่สหรัฐอเมริกา มีที่เมืองแทมป้า รัฐฟลอริด้า  และกำลังจะสร้างขึ้นอีกหลายแห่ง ตามรัฐที่อยู่ใกล้ทะเล ไว้ท้ายๆ จะเอาเรื่องนี้ มาเขียนให้อ่านครับ รวบรวมข้อมูลไว้บ้างแล้ว

ในประเทศไทย ดูแล้วไม่น่าจะมีความจำเป็น แต่เรามีโรงงานแปลงน้ำทะเลเป็นน้ำจืด ที่ใช้ระบบ Reverse Osmosis (RO) ถึง 3 แห่งด้วยกัน ที่เกาะสมุย เกาะล้าน และเกาะสีชัง กำลังจะติดตั้งเพิ่มที่เกาะเต่าและเกาะพะงัน  

อย่าลืมว่า พลเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับธุรกิจโรงแรม-ท่องเที่ยว-ร้านอาหารที่เกิดขึ้นมากมาย ตามสถานที่ท่องเที่ยวชายทะเล ย่อมขาดแคลนน้ำจืด  ครั้นจะอาศัยจากแหล่งน้ำธรรมชาติ แบบในอดีต คงจะไม่เพียงพอ

โปรดอ่านข่าวจาก นสพ. เดลินิวส์ ลงวันที่ 14 กพ. 2553 (วันวาเลนไทนส์ ที่เศร้าที่สุด เมื่อ ไอ้ขวัญ-อีเรียม ไม่มีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป)


จ่อติดตั้งเพิ่ม 'เกาะเต่า-พะงัน'

ปัญหาเรื่องขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง เป็นเรื่องซ้ำซากที่พูดถึงทุกปีทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยมีปริมาณฝนตกหนาแน่น แต่ขาดการจัดสรรระบบน้ำ อีกทั้งขาดแคลนแหล่งเก็บน้ำอย่างเพียงพอ แนวทางหนึ่งที่จะทำให้มีน้ำสำหรับอุปโภคในชีวิต ประจำวัน คือ การแปลงน้ำทะเลเป็นน้ำจืด จะช่วยให้ชุมชนที่อาศัยในเขตทะเลและพื้นที่เกาะต่าง ๆ มีน้ำใช้อย่างเพียงพอ

ประเทศไทยสามารถแปลงน้ำทะเลเป็นน้ำจืด ได้ 3 แห่งแล้วด้วยกัน ได้แก่ กิจการประปาเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มีกำลังการผลิต 6,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2548 กิจการประปาเกาะล้าน เมืองพัทยา จ.ชลบุรี มีกำลังการผลิต 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2551 และกิจการประปาสีชัง ในเทศบาลตำบลสีชัง อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี มีกำลังการผลิต 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เริ่มดำเนินการปี 2547

นิพนธ์ บุญเดชานันทน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทยูนิเวอร์แชล ยูทีลิตี้ส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้ใช้เทคโนโลยีการผลิตน้ำประปาจากทะเล โดยใช้ระบบ รีเวอร์ส ออสโมซีส อาร์โอ (Reverse Osmosis) หรือการแยกเกลือออกจากน้ำ เป็นรายแรกของประเทศไทยเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลสำคัญ ซึ่งลักษณะการทำงานของระบบนี้คือให้น้ำผ่านเยื่อเมมเบรน ซึ่งเป็นแผ่นที่มีรูละเอียดมาก จนกระทั่ง กรองสารละลายที่เป็นเกลือ เชื้อไวรัส แบคทีเรีย ที่อยู่ในน้ำทะเลออกจนหมด ได้เพียงโมเลกุลน้ำเพียว ๆ ดังนั้น น้ำจึงมีความสะอาดมากกว่าน้ำปะปา แต่ไม่เหลือแร่ธาตุใดอยู่ในน้ำ
“ที่ผ่านมาเราถูกโจมตีจากชาวบ้านว่าดื่มน้ำอาร์โอไม่ได้รับเกลือแร่ แต่มีงานวิจัยออกมาแล้วว่าร่างกายไม่ได้รับแร่ธาตุจากน้ำ แต่จะได้จากอาหาร 5 หมู่ที่เรารับประทานเข้าไปมากกว่า การที่ได้รับแร่ธาตุจากน้ำเป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ” ผู้บริหารบริษัทฝากชี้แจง

กระบวนการผลิตน้ำอาร์โอมีต้นทุนที่แพงกว่าน้ำประปาปกติ เพราะการอัดน้ำลงในเยื่อเมมเบรนจะ ใช้ไฟฟ้าในปริมาณที่สูง ดังนั้นราคาของน้ำอาร์โอจะแพงกว่า 5-7 เท่า โดยราคาน้ำอาร์โอ 1,000 ลิตร เท่ากับ 70 บาท ขณะที่ปริมาณเท่ากันในน้ำประปาชาวบ้านจ่ายค่าน้ำเพียง 10-20 บาท
กรรมการผู้จัดการ บริษัทยูนิเวอร์แชล ยูทีลิตี้ส์ กล่าวว่า การลงทุนแปลงน้ำทะเลเป็นน้ำจืดของบริษัทต้องทำในลักษณะช่วยเหลือประชาชนร่วมมือกับภาครัฐ โดยผลิตน้ำแล้วขายให้การประปานครหลวงในฐานะบริษัทเอกชนที่แยกตัวออกมาจากการประปานครหลวง เพื่อบริหารการจัดการน้ำด้านต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเงินลงทุนของแต่ละแห่งมีขนาดต่างกัน เช่นที่เกาะสมุยลงทุน 160 ล้านบาท ซึ่งการประปาภูมิภาครับซื้อน้ำอาร์โอไปผสมกับน้ำผิวดินของพื้นที่เพื่อผลิตน้ำประปาส่งไปตาม ท่อของโรงแรม รีสอร์ทและชุมชนอีกต่อ ส่วนที่เกาะสีชังซึ่งมีกำลังการผลิตน้อยสุด ส่วนใหญ่จะอำนวยความสะดวกให้กับชุมชน เพราะที่นี่มีโรงแรมอยู่แห่งเดียว

ขณะเดียวกันในพื้นที่เกาะสีชังในช่วงหน้าฝนชาวบ้านจะใช้น้ำฝนที่เก็บไว้ในภาชนะที่มีอยู่ทุก ๆ บ้าน ตามวิถีแบบเดิม กำลังการผลิตจะเหลือ 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน แต่ในช่วงหน้าแล้งจะเพิ่มเป็น 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน นี่จึงเป็นปัญหาหนึ่งของผู้ประกอบการที่จะไปลงทุนแปลงน้ำทะเลเป็นน้ำจืด ต้องพิจารณาดูศักยภาพของชุมชนว่ามีกำลังที่จะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายตามราคาของค่าเทคโนโลยีด้วย นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงพื้นที่ที่มีปริมาณไฟฟ้าอย่างเพียงพอ เพราะเครื่องเมมเบรนใช้ปริมาณไฟฟ้าสูง

สำหรับการขยายพื้นที่และขยายกำลังการ ผลิตนั้นผู้บริหารบริษัทยูนิเวอร์แชล ยูทีลิตี้ส์ กล่าวว่า ปริมาณความต้องการน้ำบนพื้นที่เกาะสมุยเพิ่มขึ้นจาก การท่องเที่ยวที่ขยายตัว เวลานี้อยู่ระหว่างการศึกษาในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าการต่อท่อส่งน้ำจากแผ่นดินใหญ่ใน จ.สุราษฎร์ธานี กับการติดตั้งระบบอาร์โอเพิ่มว่าอย่างไหนจะคุ้มค่าใช้จ่ายมากกว่ากัน ขณะเดียวกันในพื้นที่เกาะล้านไม่ต่างจากเกาะสมุยขณะนี้เริ่มมีการเกิดขึ้นของโรงแรม รีสอร์ท ซึ่งอยู่ระหว่างหารือเหมือนกรณีของเกาะสมุย ส่วนพื้นที่เกาะที่จะไปติดตั้งระบบอาร์โอ เพิ่มซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างศึกษาเช่นกัน คือเกาะเต่า จ.ชุมพร และเกาะพะงัน ใน จ.สุราษฎร์ธานี ล่าสุดเริ่มมีปัญหาน้ำบาดาล ที่ใช้เป็นน้ำหลักด้อยคุณภาพ ในบางช่วงชาวบ้านต้องซื้อน้ำจากแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเมื่อเทียบราคา จากอาร์โอแล้วยังแพงกว่า ส่วนพื้นที่เกาะช้าง จ.ตราด ที่มีขนาดใหญ่และมีการเติบโตด้านการท่องเที่ยวสูงเช่นกันนั้น ที่ผ่านมามีการศึกษามาแล้วว่าเกาะช้างยังไม่คุ้มทุน เพราะมีแหล่งน้ำผิวดินจากน้ำตก ซึ่งมีปัญหาวิกฤติเฉพาะหน้าแล้ง อีกทั้งลักษณะพื้นที่เป็นเนินเขา การวางท่อต่อน้ำอาร์โอยังไม่คุ้มทุน

ด้าน เชิดชาย ปิติวัชรากุล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ กล่าวเสริมว่า ระบบการผลิตน้ำอาร์โอ ยังสามารถนำไปใช้กับระบบน้ำผิวดินที่ไม่สะอาด ที่เป็นน้ำเสีย สามารถกรองแม้กระทั่งสิ่งที่เจือปนมากับน้ำ เหล็ก กำมะถัน เพื่อให้ได้น้ำสะอาด หรือโรงแรม รีสอร์ทที่อยู่ในพื้นที่ติดทะเลสามารถรวมกลุ่มเพื่อติดตั้งเครื่องผลิตน้ำอาร์โอ ซึ่งระบบนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายในสิงคโปร์ และอิสราเอล

“ระบบน้ำอาร์โอเป็นระบบน้ำสำรองของประเทศ เพียงแต่ว่าในขณะนี้ยังไม่คุ้มทุนถ้าเทียบกับการใช้น้ำผิวดิน หรือการนำน้ำเสียมารีไซเคิล”
น่าจะเบาใจได้อีกเปลาะว่าวิกฤติแห่งน้ำยังมี ทางรอดอีกทางเลือก

ที่มา: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=48485&categoryID=522
      บันทึกการเข้า

Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #139 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553, 12:11:52 »



ภาพที่เราเห็นข้างบนนี้ เป็นสิทธิบัตร Grease Trap ถังดักไขมัน  ที่ค้นคิดโดย Nathaniel T Whiting และขอจดสิทธิบัตรเมื่อปี 1883 แล้วได้สิทธิบัตร หมายเลข 306,981 เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 1884 จากสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า  ของสหรัฐอเมริกา US Patent and Trademark Office (USPTO) นับถึงวันนี้ ก็กว่า 125 ปีมาแล้ว (ตรงกับรัชสมัย รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)




ถังดักไขมันที่ใช้ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากการออกแบบของนาย Nathaniel T Whiting ปี ค.ศ. 1884 (พ.ศ. 2427) มากน้อยเท่าไหร่ แม้เวลาจะผ่านเลยมานานก็ตามที


ไขมัน ต่างๆ FOG (Fat, Oil, Grease) เกิดมาจาการประกอบอาหาร จากบ้านเรือน จากร้านอาหาร โรงอาหาร และจากโรงงาน ถ้าไขมันเหล่านี้ ถูกปล่อยลงในคูน้ำ ไหลไปยังลำคลอง บึงหนอง แม่น้ำ ทะเล อะไรจะเกิดขึ้น ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ที่จะให้ไขมันเหล่านี้สลายตัวมันเองโดยธรรมชาติ แต่กว่าที่มันจะสลายลงไปได้ ไขมันที่มาใหม่ก็มาสมทบในแต่ละวัน จนไม่มีโอกาสจะสลายตัวให้ไปหมด ยิ่งการเพิ่มของพลเมืองมากขึ้นทุกวัน การทำงานของโรงบำบัดน้ำเสียก็จะเป็นภาระมากขึ้น




      บันทึกการเข้า

Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #140 เมื่อ: 31 มีนาคม 2553, 13:24:04 »










วัตถุประสงค์
1. เพื่อกำจัดไขมันเบื้องต้น ไม่ให้ท่อระบายน้ำเสียอุดตัน โดยเฉพาะในประเทศเขตหนาว ไขมันสามารถที่จะจับตัวเป็นก้อนแข็งได้ง่ายในประเทศเขตร้อน
2. เพื่อลดขบวนการยุ่งยาก ที่จะส่งผลไปยังโรงบำบัดน้ำเสีย
3. สามารถนำเอาไขมัน มารีไซเคิล ใช้ประโยชน์ในทางอื่นได้อีก

ระบบการทำงานของถังดักไขมันก็คือ น้ำเสียที่ออกจากการประกอบอาหาร ไหลลงสู่ถัง ไขมันเป็นส่วนที่เบากว่าน้ำ จะลอยขึ้นสู่ผิวบน เมื่อสะสมนาน ราวๆ 1 - 3 เดือน จะมีการดูดเอาไขมันและเศษอาหาร ที่อยู่ก้นถังออก น้ำที่ปราศจากไขมัน จะไหลออกจากปากท่อที่อยู่ต่ำ ไปยังโรงบำบัดน้ำเสีย

หลายๆประเทศ ไม่ว่าทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป ออสเตรเลีย และบางประเทศในเอเชีย ได้ตระหนักถึงปัญหานี้ดี ได้ออกกฎหมาย มาเพื่อบังคับใช้
ที่เมืองนิวยอร์ค ได้ออกกฎหมายบังคับ ถ้ากิจการที่ฝ่าฝืน มีโทษปรับถึง 1 หมื่นเหรียญ/ครั้ง/วัน
http://www.nyc.gov/html/dep/html/businesses/busgrease_wide.shtml


      บันทึกการเข้า

ภาณุ ปาตานี
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,254

« ตอบ #141 เมื่อ: 01 เมษายน 2553, 10:43:37 »

ยังติดตามอ่านอยู่นะครับพี่ เพียงแต่ตอนนี้งานยุ่งนะครับ
      บันทึกการเข้า
ไข่ย้อย88
Full Member
**


หนุ่มชาวดง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 261

« ตอบ #142 เมื่อ: 01 เมษายน 2553, 12:42:24 »

ตอนนี้ทางมูลนิธิชัยพัฒนาได้มีการจัดสร้างถังดักไขมันประมาณ 1000 ถัง เพื่อไปติดตั้งตามครัวเรือน(ซึ่งสถานที่ยังไม่แน่นอน) ครับ

ตอนนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานครับ มีการพูดคุยกับบริษัทผู้ผลิตแล้ว และจะมีการศึกษาผลหลังจากติดตั้งถังดักไขมันแล้ว

พวกน้ำมันหรือไขมัน มีผลต่อการบำบัดน้ำเสียครับ เช่น
1. ไปขัดขวางการทำงานของจุลินทรีย์ในน้ำ เพราะตามธรรมชาติแล้วจะมีพวกจุลินทรีย์ช่วยบำบัดน้ำเสียครับ
2. คราบไขมันที่ผิวน้ำ หรือที่เราเห็นเป็นคราบน้ำมัน จะขัดขวางก๊าซออกซิเจนและแสงไม่ให้ลงไปในน้ำ
    เพราะจุลินทรีย์ก็ต้องใช้ก๊าซออกซิเจนในการหายใจเหมือนคนเราครับ
    แสงที่ส่องผ่านลงน้ำ จะมีพวกพืชน้ำใช้สังเคราะห์แสง และปล่อยก๊าซออกซิเจนให้กับน้ำ ถ้าแสงส่งผ่านน้อยลง การสังเคราะห์แสงก็จะน้อยลง sing
      บันทึกการเข้า

เกิดมามีเพียง 1 ครั้ง ลองใช้ครั้งหนึ่งกับมันให้คุ้ม
ไข่ย้อย88
Full Member
**


หนุ่มชาวดง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 261

« ตอบ #143 เมื่อ: 01 เมษายน 2553, 13:26:18 »

พอดีผมไปเจอข่าวใหม่มา ลองดูครับ
เหตุเกิดที่อ่าวบางน้ำจืด หลังสวน จ.ชุมพร

.: สำนักข่าวไทย
       พบปลาทะเลลึกลอยตายเกลื่อนแนวชายฝั่งอ่าวบางน้ำจืด จ.ชุมพร ชาวประมงเกรงมีสารพิษในทะเล โดยชาวประมงและชาวบ้านในพื้นที่ ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร ต่างเดินมาสังเกตการณ์บริเวณแนวชายฝั่งทะเลอ่าวบางน้ำจืด ระยะทางกว่า 10 กม. หลังปลาทะเลหลากหลายชนิดลอยตายเกลื่อน อาทิ ปลาดุกทะเล ปลาทู ปลาจวด ปลาสร้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาน้ำลึก แต่ละตัวไม่มีบาดแผล บางตัวดีดตัวขึ้นมาจากน้ำคล้ายขาดอากาศหายใจ ซึ่งปลาหลายร้อยตัวลอยตายบนชายหาดมา 2 วันแล้ว

        ชาวบ้านเกรงว่า ผู้ที่บริโภคปลาอาจได้รับอันตราย เนื่องจากบางส่วนนำไปตากแห้ง บางส่วนนำไปปรุงเป็นอาหาร ทั้งที่ยังไม่ทราบสาเหตุการตาย แต่อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ หรือออกซิเจนในทะเล จนปลาช็อกก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม อยากให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนำซากปลาและน้ำทะเลไปตรวจสอบโดยเร็วที่สุด.

http://www.pinonlines.com/node/10505

หรือถ้าใครอยากดูภาพข่าวก็ไปที่เวปนี้ได้เลยครับ
http://music.ohozaa.com/my/thaiTVPlayer.jsp?channel=3&w_y=2010&w_time=T06&dateSelected=31-03-2010&MainStreamLocal=/AutoDetected?s=true:hstrm&StreamDetected=strm8&Streamlist={hidden}
เลื่อนไปดูนาทีที่ 35.50 ได้เลยครับ
      บันทึกการเข้า

เกิดมามีเพียง 1 ครั้ง ลองใช้ครั้งหนึ่งกับมันให้คุ้ม
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #144 เมื่อ: 02 เมษายน 2553, 15:52:19 »


ขอบคุณครับ น้องยา น้องไข่ และชาวซีมะโด่ง ที่แวะมาเยี่ยมเยียน

จากข้อคิดของน้องไข่ จึงได้ไปค้นคว้า เพื่อหารูปแบบถังดักไขมันของมูลนิธิชัยพัฒนา แต่ก็ไม่พบข้อมูลใดๆ ที่จะผลิตถังดักไขมัน จำนวนมาก เพื่อที่จะดู ตย. มาเปรียบเทียบกับของฝรั่ง ซึ่งได้มีการพัฒนามากว่า 125 ปีแล้ว ซึ่งตอนต่อไป จะนำ ตย. ของถังดักไขมันที่มีคุณภาพดีของฝรั่ง มาแสดงให้ดู เพื่อที่จะเป็น ตย. นำไปผลิตใช้งานในประเทศไทยเรา



ที่เวปไซท์เสรีไทย มีผู้อ่าน ที่ใช้นามว่า papar punch ได้ให้ความคิดเรื่อง "ปฎิบัตการเชียงใหม่เอี่ยม"  รณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อม ขยะ การประหยัดพลังงานไฟฟ้า น้ำดื่มน้ำใช้ การทิ้งนำเสีย
ซึ่งก็น่าสนใจ จึงขอนำมาเสนอให้ชาวซีมะโด่งได้ทราบกัน  มาฟัง "เพลงสาวเชียงใหม่" ก่อนนะครับ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=85uuWGzNApE" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=85uuWGzNApE</a>

ข้าเจ้าเป็นสาวเชียงใหม่
แหมบ่เท่าใดน้ำจะเสียหมดแล้ว
น้ำมันเพียงแค่หนึ่งแก้ว
เททิ้งไปแล้ว น้ำจะเสียทั้งคู
ข้าเจ้าจะยะจั๋งใด๋
บ่ว่าบ้านใด
ก็ทิ้งน้ำลงคู
อ้ายก๋อมซึ่งเป็นผู้รู้
อ้ายทำให้ดู
ติดถังดักไขมัน
      บันทึกการเข้า

Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #145 เมื่อ: 02 เมษายน 2553, 16:15:45 »

   

ปฏิบัติการเชียงใหม่เอี่ยม คืออะไร ?
เป็นปฏิบัติการพิเศษที่เกิดขึ้น
เพื่อทดลองสร้างต้นแบบเมืองน่าอยู่ตัวอย่าง
ที่ใช้ความรู้มานำความคิด
และใช้พลังความร่วมมือของคนในชุมชนที่อยู่อาศัย
มาร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง

ปฏิบัติการครั้งนี้
ไม่ใช่เพื่อใคร
แต่เพื่อเมืองเชียงใหม่ และเพื่อการเป็นต้นแบบให้แก่เมืองอื่นๆในประเทศไทยต่อไป

ต้นแบบปฏิบัติการครั้งนี้
จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ
ที่จะนำไปสู่แนวทางการสร้างเมืองน่าอยู่ให้เกิดขึ้น ทั่วประเทศต่อไป

เป้าหมายแรกของปฏิบัติการพิเศษ
คือการร่วมลดปริมาณขยะให้ได้ 30%
การสร้างพฤติกรรมใหม่ในการร่วมลดการปล่อยน้ำเสียลงคลอง
และสร้างพลังการบริโภคอาหารอินทรีย์ เกิดแหล่งการเข้าถึงได้ 99 แห่ง

มาดูกันว่า
การรวมคน รวมความคิด รวมความรู้ รวมความร่วมมือในปฏิบัติการครั้งนี้
จะสามารถเอาชนะอุปสรรค ปัญหา และวิกฤติที่เกิดขึ้นกับเมืองได้หรือไม่ ?


จุดสตาร์ท “ปฏิบัติการเชียงใหม่เอี่ยม”
มีการกำหนดระยะเวลาเริ่มปฏิบัติภารกิจทั้ง 3 อย่าง
เรื่องขยะ น้ำเสีย อาหารอินทรีย์ ในระยะเริ่มต้น คือ 99 วัน
จุดสตาร์ทวันแรก เริ่มต้นตั้งแต่ 1 มกราคม 2553
วันขึ้นปีใหม่ วันเริ่มต้นการรวมพลัง รวมใจของคนในเชียงใหม่
ให้ร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลง

ในระหว่างนี้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึงเดือนธันวาคม
จึงเป็นช่วงการเตรียมความพร้อมของทุกฝ่าย
ทั้งภาครัฐ นักวิชาการ สื่อมวลชน ชุมชน

และที่สำคัญเพื่อ “ลับคม”
ความสามารถของคนรุ่นใหม่ ให้ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง
พี่ๆรุ่นใหญ่จากกรุงเทพ
ทั้งพี่เก้ง GTH พี่ก้อง a day พี่เชค ทีวีบูรพา พี่จูดี้ Jeh United พี่ซุป Super jeew
และอาศรมศิลป์
เตรียมตัว เตรียมใจ แพคกระเป๋าไปสอนทุกเทคนิค ทุกกลเม็ด ให้ถึงเชียงใหม่
ในเดือนพฤศจิกายนนี้

ไม่ใช่เพื่อ “ลับคม” ของคนรุ่นใหม่อย่างเดียว
แต่ภารกิจเวิร์กชอปในครั้งนี้ ยังหวังที่จะหาผู้กล้าในเชียงใหม่
มาร่วมเป็นกำลังสำคัญในการปฏิบัติการเชียงใหม่ต่อไปในระยะยาว

เมื่อปฏิบัติการพร้อม
นักวิชาการมาเพียบพร้อมข้อมูล
เกิดพลังขึ้นในชุมชน
เครือข่ายสื่อช่วยกันบอกเล่าข่าวคราวอย่างต่อเนื่อง
และที่สำคัญ
มีคนรุ่นใหม่ร่วมสานต่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเมือง

1 มกราคม 2553
จุดสตาร์ทร่วม “ปฏิบัติการเชียงใหม่เอี่ยม” จะเริ่มต้นขึ้น
ที่มา : http://www.skyscrapercity.com/showthread.php?t=1079581

หนังสั้นโครงการเชียงใหม่เอี่ยม ร่วมกับ GTH
ดารารับเชิญ อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา (แพทตี้ )
หนังสั้นแนว โรแมนติก-คอมเมดี้

แพทตี้แอนเดอะบวม

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=gHGaEFxuWYg" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=gHGaEFxuWYg</a>
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=MidvChJn9lQ" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=MidvChJn9lQ</a>
      บันทึกการเข้า

ไข่ย้อย88
Full Member
**


หนุ่มชาวดง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 261

« ตอบ #146 เมื่อ: 02 เมษายน 2553, 16:59:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ Intania๑๖ เมื่อ 02 เมษายน 2553, 15:52:19

ขอบคุณครับ น้องยา น้องไข่ และชาวซีมะโด่ง ที่แวะมาเยี่ยมเยียน

จากข้อคิดของน้องไข่ จึงได้ไปค้นคว้า เพื่อหารูปแบบถังดักไขมันของมูลนิธิชัยพัฒนา แต่ก็ไม่พบข้อมูลใดๆ ที่จะผลิตถังดักไขมัน จำนวนมาก เพื่อที่จะดู ตย. มาเปรียบเทียบกับของฝรั่ง ซึ่งได้มีการพัฒนามากว่า 125 ปีแล้ว ซึ่งตอนต่อไป จะนำ ตย. ของถังดักไขมันที่มีคุณภาพดีของฝรั่ง มาแสดงให้ดู เพื่อที่จะเป็น ตย. นำไปผลิตใช้งานในประเทศไทยเรา


เรื่องถังดักไขมันนี้กำลังอยู่ในการปรับปรุงแบบครับ ยังไม่ได้เผยแพร่ข้อมูลครับผม แต่ทางเราได้คุยกับตัวแทนผู้ผลิตแล้วครับ

ที่ผมรู้เพราะว่าผมทำงานอยู่โครงการแหลมผักเบี้ยฯ ครับ ของมูลนิธิชัยพัฒนา
      บันทึกการเข้า

เกิดมามีเพียง 1 ครั้ง ลองใช้ครั้งหนึ่งกับมันให้คุ้ม
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #147 เมื่อ: 03 เมษายน 2553, 16:37:04 »


สวัสดีครับ น้องไข่ และพี่น้องซีะโด่ง

แล้วน้องเจียม 2517 ผู้เชี่ยวชาญเรื่องวิศวกรรมสุขาภิบาล หายไปไหน เผื่อมีอะไรจะได้ปรึกษาผู้รู้

ถ้าน้องไข่ ทำงานด้านนี้อยู่ ลองเอาข้อมูลของเมกา เยอรมัน จีน และญี่ปุ่น ไปศึกษาดู เผื่อมีประโยชน์ที่จะผลิตถังดักไขมันแบบอัตโนมัติ จะได้เป็นต้นแบบในประเทศไทย ซึ่งสามารถดักจับไขมันได้ถึง 99%


เพราะเท่าที่ไปเช็คดูจากเวปไซท์กูเกิล ถังดักไขมันในประเทศไทย  ดูจากภาพแล้ว เข้าใจว่าคุณภาพ แบบเดียวกับ Nathaniel T Whiting คิดประดิษฐ์และได้สิทธิบัตร เมื่อปี คศ. 1884 (พศ. 2427) ก็กว่า 125 ปีมาแล้ว   ก็มีบางบริษัทที่พอจะผลิตได้มาตรฐาน  แต่ยังไม่มีแบบอัตโนมัติ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย หรือกรมควบคุมมลพิษ น่าที่ตั้งมาตรฐาน เพื่อให้ผู้ผลิต ได้มีบรรทัดฐาน  เราจะได้มีอุปกรณ์ดีๆไว้ใช้งาน  โปรดดูภาพ











3 ภาพบนนี้ เป็นการสนับสนุน "โครงการคลองสวยน้ำใส" ของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงวิทยาศาสตร์ ที่คลองเจ้าเจ็ด-บางยี่หน อ. บางซ้าย จ. พระนครศรีอยุธยา  เมื่อปี 2549

มาตรฐานดูไม่จืดเลยครับ พอๆกับตัวท่านรัฐมนตรีกระทรวงวิทย์ฯในสมัยนั้น น้องสมชาย 17 กับ น้องยังชิน ผมอาจจะเห็นด้วยกับคุณนะ ที่ว่า จบ ป. 4 ยังมีกึ๋นกว่าคนจบมหาลัย



      บันทึกการเข้า

Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #148 เมื่อ: 03 เมษายน 2553, 17:08:46 »

ในสหรัฐอเมริกาถ้าสินค้าหรืออุปกรณ์ คุณภาพไม่ดี เตรียมปิดโรงงานพับฐานได้เลย เพราะที่นี้ มีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ซื้ออะไรไปแล้ว แม้จะเปิดใช้ ไม่พอใจ หรือแกล้งไม่พอใจ สามารถเอามาคืนได้ในราคาเต็ม ในระยะเวลา 30 วัน  บางแห่งให้ระยะเวลาถึง 90 วัน แต่ต้องมีใบเสร็จ มีกล่องบรรจุมาด้วย (สินค้าบางชนิด แต่มีไม่มาก ที่มีเวลาคืนเพียง 15 วัน บางอย่างก็คืนไม่ได้ บางอย่างเก็บค่า restcoking fee เช่น 20%)  แตกต่างกับเมืองไทยเรา ไม่มีการคืนเงิน เพียงเอามาแลกเปลี่ยนเอาของใหม่ ถ้าเสีย ผู้ผลิตเลยไม่มีความกดดันที่จะต้องผลิตของเยี่ยมออกมา ผลิตออกมาชุ่ยๆ แต่โฆษณาดีๆก็ขายได้

ในสหรัฐฯ  ถังดักไขมัน ก็มีมาตรฐานที่กำหนดโดย ASME (American Society of Mechanical Engineers) สมาคมวิศวกรเครื่องกลแห่งอเมริกา 

ตามโค๊ดดังนี้ รายละเอียดไม่ฟรี แต่ละหัวข้อ ดาวน์โหลดต้องจ่ายเงินซื้อถึง 35 เหรียญ ต่อรายการ
ASME A112.14.3   Grease Interceptors  (100gpm or less)
ASME 112.14.4  Grease Removal Devices (GRD, or automated units)

ขออนุญาตแนะนำ ให้รู้จักกับ ถังดักไขมันอัตโนมัติ ที่มีอุปกรณ์ทำความร้อนภายใน+เทอร์โมสตัท เพื่อเร่งให้ไขมัน ลอยขึ้นสู่ผิวบน ง่ายต่อการดักจับ ยี่ห้อ Goslyn ผลิตในแคนาดา ได้รับรางวัล Kitchen Innovations 2008 จาก National Restaurant Association  สมาคมร้านอาหารแห่งชาติ  เครื่องดักไขมันชนิดนี้ มีใช้ตามร้านอาหารแฟรนไชส์ของ แมคโดดัลส์ เบอร์เก้อร์คิงส์ เคเอฟซี และโรงแรมต่างๆมากมาย







เครื่องดักไขมัน Goslyn คุยว่า น้ำมันขนาด 75 ปอนด์  เครื่องดักไขมันเขา สามารถดักจับได้ถึง 74 ปอนด์ ในขณะที่มาตรฐานของ ASME 112.14.4 ให้ดักไว้ได้เพียง 25 ปอนด์ หรือ 33% ก็ได้มาตรฐานแล้ว

โปรดชมวิดีโอ แล้วจะเข้าใจได้ดีขึ้น


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=XzO3DL3b6Ns" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=XzO3DL3b6Ns</a>
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=Vt2IYyLvL1Q" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=Vt2IYyLvL1Q</a>


      บันทึกการเข้า

Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #149 เมื่อ: 05 เมษายน 2553, 16:19:10 »

   
ประเทศเยอรมัน เป็นประเทศหนึ่ง ที่มีก้าวหน้าทางด้านวิศวกรรมชั้นแนวหน้าของโลก ลองมาศึกษาถังกำจัดไขมันของเยอรมันดู  ยังดีครับที่มีเวปไซท์นี้มีหลายสิบภาษาให้เลือกอ่าน มีภาษาอังกฤษ แต่ไม่มีภาษาไทย  ก็ไม่ต้องไปเรียนภาษาเยอรมัน Deutsch lernen ให้ลำบาก ก็ถือว่าเรียนภาษาอังกิดวันละคำ กับ อจ. ยัส

ถังดักไขมันของเยอรมัน ยี่ห้อ KESSEL  ทำจากสารโพลีเอทธีลีน รับประกันคุณภาพ 20 ปี
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=467srjKHQps" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=467srjKHQps</a>
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=SagsdI3yb_Q" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=SagsdI3yb_Q</a>

มีแคตตาล๊อกให้ดาวน์โหลด นำไปศึกษาในเชิงลึกได้
http://www.kessel.com.au/service-and-download/product-literature.html

ขออนุญาตนำมาแสดงให้ชมเป็นบางส่วน






      บันทึกการเข้า

  หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><