23 พฤศจิกายน 2567, 10:22:27
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)  (อ่าน 235667 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 16 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #450 เมื่อ: 10 มกราคม 2555, 16:05:48 »

รัฐบาลลืมตัว กุนซือแดงลืมกำพืด

   Posttoday.com

“แม้จะเป็นที่ยุติระดับหนึ่ง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเป็นที่พอใจอย่างถาวร”   

การเคลื่อนไหวของบรรดาพี่น้องแท็กซี่ -รถบรรทุก ออกมาปิดถนนเรียกร้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 ม.ค. นี้ จนนำไปสู่การเปิดห้องประชุมศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาลนำตัวแทนแท็กซี่ ปลัดกระทรวงพลังงาน และผู้แทนกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมเจรจา จนได้ข้อสรุปรัฐบาลจะแจกบัตรลดราคาเติมก๊าซเอ็นจีวีให้พี่น้องแท็กซี่ทุกรายในราคา 2 บาทต่อกิโลกรัมเป็นเวลา 4 เดือน  และระหว่าง 4  เดือนจะมีตั้งกรรมการร่วมระหว่างตัวแทนฝ่ายแท็กซี่ ตัวแทนฝ่ายรัฐบาลหาทางออกร่วมกันไม่ให้ชาวแท็กซี่ได้รับผลกระทบ

บรรยากาศการหารือของตัวแทนกลุ่มแท็กซี่กับภาครัฐ

ก่อนที่ตัวแทนแท็กซี่นำโดย วิฑูรย์  แนวพานิช ประธานกรรมการชุมนุมสหกรณ์บริการเงดินรถแห่งประเทศไทยจำกัด และประธานเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ในเขต กทม. จะตัดสินใจรับข้อเสนอยอมถอยทัพชั่วคราว

แต่หากติดตามบรรยากาศการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตั้งแต่ต้น ย่อมสะท้อนถึงการสะสมความคับแค้นใจต่อการทำงานรัฐบาลชุดนี้ที่อยากระบายออกมา  เนื่องจาก นี่เป็นต้นเหตุหนึ่งที่บีบให้พวกเขาต้องนัดหมายนำแท็กซี่ออกมากดดันรัฐบาล  เป็นการกดดันรัฐบาลที่พวกเขาส่งเสียงลั่นในที่ประชุมให้รู้ว่า”นี่คือรัฐบาลมาจากประชาชน นี่คือรัฐบาลที่เขาเทคะแนนให้”

ถ้าไล่เรียงดูตัวแทนกลุ่มแท็กซี่เหล่านี้ พบว่าแต่ละคน ล้วนเป็นฝ่ายสนับสนุนแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือแฟนคลับเสื้อแดงเคลื่อนไหวส่งเสริมให้รัฐบาลเพื่อไทยขึ้นเสวยอำนาจนั่นเอง

เมื่อความอัดอั้นของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลระเบิดออกมา  ทำให้ทุกสายตาต้องจับจ้อง ทุกหูต้องรับฟัง

เสียงหนึ่งด้วยการบอกว่า “พวกเราดีใจที่ปลัดกระทรวงพลังงานสละเวลามาหารือ  อีกท่านจากปตท.สผ. ท่านก็เป็นผู้ที่เข้าใจปัญหาของพวกเรามากกว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน    เราไม่มั่นใจ  เราไม่ต้องการคุยกับรมว.พลังงาน  เพราะที่ผ่านมา ก็ไม่ให้เราเข้าพบ ไม่ฟังเรา  ไม่เข้าใจปัญหาพี่น้องแท็กซี่เหมือนท่านปลัดพลังงาน  การตั้งกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐกับตัวแทนแท็กซี่   ถ้ามีรมว.พลังงาน เราก็ไม่ร่วม แต่ถ้าเป็น รองนายกฯ กิตติรัตน์ ก็ยินดี”

ท่าทีชาวแท็กซี่ตรงนี้ กำลังบอกอะไร

กำลังบอกว่า ในช่วงที่ผ่านมา ชาวแท็กซี่ไม่พอใจข้อเสนอการช่วยเหลือจากรมว.พลังงาน และทุกครั้งเหมือนคุยกันไม่รู้เรื่อง  แม้แต่บัตรเครดิตแท็กซี่ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ปรากฎว่า ไม่ได้ผลตามเป้า แท็กซี่เข้าร่วมโครงการแค่พันคนจากแท็กซี่กว่าแสนราย 

เช่นเดียวกับแรงสะสมที่ถูกเปิดออกจากใจอีกเรื่อง "สาเหตุที่พวกเราต้องเดินทางมาครั้งนี้ เพราะคุณชินวัฒน์  ไปออกรายการกล่าวหาว่าพวกเราจ้องเคลื่อนไหวกดดันรัฐให้ปรับค่าวัดมิเตอร์ ทั้งที่ไม่ใช่เลย  รมต.ก็ฟังแต่ชินวัฒน์   ทำไมชินวัฒน์ ถึงไปพูดอย่างนั้น   ชินวัฒน์ก็เคยขับแท็กซี่แต่ตอนนี้ไปขับเบนซ์ ใส่สูทผูกไทค์  ไปเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม  พวกท่านรู้จักมั๊ย ตอนนี้เขาไม่เห็นหัวพวกเราแล้ว"

สำหรับชินวัฒน์ ที่ชาวแท็กซี่เอ่ยถึง คงหนีไม่พ้น "ชินวัฒน์ หาบุญพาด" ซึ่งเคยขึ้นเวทีปราศรัยกับกลุ่มคนเสื้อแดง และในที่สุดได้โบนัสเหมือนกับแกนนำรายอื่นด้วยการได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการรัฐมนตรี เป็นกุนซือใหญ่ประจำกระทรวงต่างๆ โดย ชินวัฒน์ ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารมว. คมนาคม โดยได้รับเงินเดือนตอบแทนการทำงานเกือบครึ่งแสน  อีกทั้งเคยเป็นนายกสมาคมพิทักษ์ผลประโยชน์ผู้ขับรถแท็กซี่ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่ ที่ชื่นชอบ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ก่อตั้งและผู้จัดรายการของสถานีวิทยุชุมชนคนแท็กซี่นั่นเอง

คงพัฒน์  ภู่พวง กรรมการชุมนุมสหกรณ์บริการเดินรถแห่งประเทศไทยจำกัด  ตอกย้ำสาเหตุที่ต้องบุกทำเนียบฯว่า ก็แกนนำแท็กซี่เสื้อแดงที่ลืมตัวเอง  “ เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา  ชินวัฒน์ไปออกรายการทีวีเอเชียอัพเดท ซึ่งมีคุณอดิศร เพียงเกษ คุณสุธรรม แสงประทุม เป็นผู้ดำเนินรายการ เป็นรายการที่พวกเราแท็กซี่เสื้อแดงติดตาม แต่พวกเราก็หงุดหงิด ส่ายหน้าตามๆกัน

คงพัฒน์

แกนนำแท็กซี่ซึ่งสวมเสื้อเสื้อยืดแดง  บอกว่า “ ชินวัฒน์ไปพูดได้ยังไงว่า สาเหตุที่ชาวแท็กซี่ออกมาเคลื่อนไหวต้องการกดดันรัฐบาล ให้ปรับเปลี่ยนมาตรวัดมิเตอร์ แท็กซี่มาชุมนุมเพราะมติครม. ที่จะขึ้นราคาเอ็นจีวี แล้วต่อไปถ้าไม่ยอมลดก็ต้องส่งผลให้แท็กซี่ต้องปรับราคา ประชาชนก็เดือดร้อน

"เขาบิดเบือนประเด็นไม่มีข้อเท็จจริงเลย  ผมก็เสื้อแดงนะครับ เรามาเรียกร้องเพื่อปากท้องประชาชนและเพื่อพี่น้องชาวแท็กซี่ ประชาชนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมก็หนักอยู่แล้ว เราไม่อยากโยนภาระให้ประชาชนอีก แต่คนที่ได้เป็นใหญ่เป็นโตมาพูดอย่างนี้ได้อย่างไร"

คงพัฒน์ ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีบนเวทีเรียกร้อง บอกด้วยว่า รัฐบาลนี้มาจากประชาชน มาจากการสนับสนุนของพวกเรา เมื่อทำอะไรไม่ถูกต้องก็ต้องท้วงติง รัฐบาลต้องฟังความเห็นประชาชน ไม่ใช่ไม่รับทราบปัญหา เขา(ชินวัฒน์) เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ก่อนก็เป็นคนขับแท็กซี่ แต่ตอนนี้ใส่สูทแล้ว ไม่ได้สร้างแรงจูงใจให้คนแท็กซี่แม้แต่น้อย

เสียงของตัวแทนแท็กซี่เหล่านี้ จะว่าไปแล้วก็ถือว่าเคยเป็นเสียงส่วนใหญ่สนับสนุนหลายคนทางการเมืองไต่บันไดขึ้นสู่อำนาจบริหาร 

แต่ ณ  วันนี้ สังคมชาวแท็กซี่แดงก็เหมือนเสียงส่วนน้อยในมุมมองของคนที่ขึ้นสู่อำนาจรัฐไปซะแล้ว

เป็นเสียงส่วนน้อยที่ดูจะไม่แตกต่างจากกระแสเสียงคนเสื้อแดงทางโซเซียลมีเดียที่กำลังส่งผ่านความรู้สึกเอือมระอาอึดอัด       

เป็นเหมือนนักวิชาการที่ถูกปรามาสอีกเหมือนกันว่าเป็นแค่เสียงส่วนน้อยมาติงรัฐบาลอ่อนด้อยต่อการบริหารชาติได้อย่างไร

แต่เสียงส่วนน้อยเหล่านี้ก็พยายามตะโกนดังๆถึงนักเคลื่อนไหวที่ได้ดิบได้ดีว่า "กำลังลืมตัว"

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #451 เมื่อ: 12 มกราคม 2555, 22:43:59 »


6 เดือน “มติชน” เจาะเสื้อผ้าหน้าผม “ยิ่งลักษณ์-ชินวัตร” สิบครั้ง


ASTVผู้จัดการ - “มติชน” หลงความงาม “พญามังกรเสื้อม่วงตระกูลชิน” โงหัวไม่ขึ้น เผยข้อมูล 6 เดือนรายงานเรื่องเสื้อผ้า-หน้า-ผม “ยิ่งลักษณ์-ลูกแม้ว” แล้วกว่า 10 ครั้ง ผู้อ่านตั้งข้อสังเกตเป็นสื่อมวลชนหรือประชาสัมพันธ์ส่วนตัวกันแน่
       

       วันนี้ (12 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวกองบรรณาธิการ ASTVผู้จัดการออนไลน์ได้รับการร้องเรียนว่า ในช่วงที่ผ่านมาสื่อในเครือมติชนได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับการแต่งกายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมีเนื้อหาในทางชี้นำเรื่องเครื่องแต่งกายมากจนผิดปกติโดยวิสัยที่สื่อมวลชนจะทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และแสดงความสงสัยว่าอาจกลายเป็นการมุ่งเน้นประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์มากกว่าการทำหน้าที่สื่อมวลชนหรือไม่ จึงขอให้ผู้สื่อข่าวช่วยตรวจสอบเรื่องนี้
       
       เมื่อผู้สื่อข่าวตรวจสอบตามที่ข้อมูลได้รับ พบว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2555 เว็บไซต์มติชนออนไลน์ได้ตีพิมพ์ข่าวในหัวข้อ “ยิ่งลักษณ์” เฉลยทำไมชอบใส่เสื้อ “สีม่วง”? โดยอ้างถึงสุภาษิตเรื่อง สวิสดิรักษา สุนทรภู่ แต่งถวายสมเด็จเจ้าฟ้าอาภรณ์ พระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ความว่า “...วันอาทิตย์สิทธิโชคโฉลกดี เอาเครื่องสีแดงทรงเป็นมงคลเครื่อง วันจันทร์นั้นควรสีนวลขาว จะยืนยาวชันษาสถาผล อังคารม่วงช่วงงามสีครามปน เป็นมงคลขัตติยาเข้าราวีเครื่อง วันพุธสุดสีด้วยสีแสด กับเหลือบแปดปนประดับสลับสี วันพฤหัสจัดเครื่องเขียวเหลืองดี วันศุกร์สีเมฆหมอกออกสงคราม วันเสาร์ทรงดำจึงล้ำเลิศ แสนประเสริฐเสี้ยนศึกจะนึกขาม หนึ่งพาชีขี่ขับประดับงาม ให้ต้องตามสีสรรพ์จึงกันภัยฯ”
       
       อย่างไรก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์ในวันที่เข้าเยี่ยมกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน อาคารมติชน ย่านถนนประชาชื่น เมื่อวันที่ 9 ม.ค.ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ข่าวลงตีพิมพ์ในเว็บไซต์ โดยระบุว่า ตนเป็นคนชอบสีจำพวกแม่สี อย่างน้ำเงิน แดง เพราะใส่แล้วเข้ากับตน ใส่แล้วออกมาดูดีก็เลยใส่ อย่างสีชมพู (วันที่ให้สัมภาษณ์) ก็ใส่ได้ อย่างสีม่วงใส่แล้วก็รู้สึกดี อย่างไรก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธว่าเป็นเรื่องของสีมงคลเสริมดวง แต่เพราะใส่ออกมาแล้วเข้ากับตนมากกว่าก็เลยใส่ ซึ่งในตู้เสื้อผ้าก็มีเสื้อผ้าสีม่วงเยอะ รวมทั้งสีอื่นที่ตนชอบ แต่ก็มีสีทางการจำพวกขาวดำไม่น้อย
       
       เมื่อผู้สื่อข่าวตรวจสอบข่าวในเว็บไซต์มติชนออนไลน์ ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งกายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในรอบปีที่ผ่านมา พบว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2554 ที่ผ่านมามีรายงาน “ยิ่งลักษณ์” สวมเสื้อม่วงเลือกตั้งแต่เช้า ชวนประชาชนออกมาใช้สิทธิเยอะๆ โดยนำภาพที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์แต่งกายด้วยเสื้อสีม่วงเข้ม กำลังหย่อนบัตรเลือกตั้งจากสำนักข่าวรอยเตอร์ เดินทางมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 32 เขตเลือกตั้งที่ 16 บึงกุ่ม บริเวณโรงเรียนวัดคลองลำเจียก แขวงนวมินทร์ โดยเดินทางมาเพียงคนเดียว รายงานข่าวตอนหนึ่งผู้สื่อข่าวถามว่า ถือเคล็ดอะไรในการใส่เสื้อสีม่วงมาใช้สิทธิเลือกตั้งวันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ไม่ได้ถือเคล็ด เพียงแต่ใส่สบายและสีสันสดใส
       
       ต่อมาวันที่ 7 ก.ย. 2554 เว็บไซต์มติชนออนไลน์ได้เผยแพร่ข่าว “มาดูแฟชั่นเสื้อผ้า หน้า ผม “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เจิด แจ่ม แหล่ม เก๋ แม้ไม่ต้องจัดเต็ม !!” โดยยกย่องว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์สมกับเป็นสตรีหมายเลข 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ที่ไม่ว่าจะขยับไปทางไหนก็กลายเป็นข่าว ถูกแชะภาพ ตามติดไปทุกอิริยาบถ ทุกสถานที่ ให้ตามเก็บกันไม่หวาดไม่ไหว และยิ่งเป็นผู้นำระดับประเทศ ด้วยวัยที่ยังดูสาว แถมยังรูปร่างหน้าตาดีด้วยแล้ว เสื้อ ผ้า หน้า ผม ของนายกฯ ปู ยิ่งต้องเนี้ยบ เก๋ กู๊ด ดูดี มีสไตล์ บนลุคส์สง่าผ่าเผยให้สมสถานะให้มากที่สุด ซึ่งต้องยอมรับสไตล์การแต่งตัวของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นับว่า พอดี มีคลาส และไม่เยอะเกินไปจนดูโอเวอร์จริงๆ
       
       “จะเห็นได้ว่า นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทยจะเน้นแต่งกายโทนเสื้อผ้าสีดำ น้ำเงิน ขาว และเทา เป็นส่วนใหญ่ ในชุดเสื้อเชิ้ต กระโปรงบ้าง กางเกงผ้าบ้างแล้วแต่กาลเทศะการปฏิบัติภารกิจหน้าที่งานบริหารประเทศ ส่วนในสถานการณ์ที่ต้องลงพื้นที่ พบปะประชาชน หรือพิธีเปิดงานต่างๆ หรือแม้แต่ในวันสบายๆ เธอจะเน้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใส หลากหลาย ดูขับให้กลายเป็นความเริงร่าน่าเข้าหาสุดๆ ของผู้หญิงแนวหน้าในอันดับต้นของประเทศ มติชนออนไลน์ จึงได้รวบรวมแฟชั่นการแต่งกาย ที่แมตช์กันทั้งเสื้อ ผ้า หน้า ผมของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในแต่ละวัน ต่างงาน หลากสถานที่มาให้ชมกัน สวยๆ โอๆ เดิร์นๆ ทั้งนั้น ไม่เชื่อพินิจกันดูเอาเองสิ Keep looks สุดๆ” คำอธิบายในข่าวของมติชน พร้อมกับโพสต์ภาพเครื่องแต่งกายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จำนวนมาก
       
       ขณะที่ในช่วงงานฉลองมงคลสมรส ระหว่าง น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาหนีคดีอาญาแผ่นดิน กับนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2554 เว็บไซต์มติชนออนไลน์ได้ตีพิมพ์ข่าว เบื้องลึกเบื้องหลัง “ยิ่งลักษณ์” แปลงร่างเป็น “มังกรเสื้อม่วง” ผงาดกลางงานแต่งหลานสาว โดยกล่าวถึงการแต่งตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะผู้เป็นอา ในชุดผ้าไหมสีม่วงแขนกุดยาวคลุมปลายเท้า พร้อมด้วยผ้าคลุมไหล่สีม่วงติดเข็มกลัดเพชรรูปใบไม้ปักที่บริเวณเอว ซึ่งเปรียบประดุจดัง “พญามังกรเสื้อม่วง” หนึ่งในตัวละครสำคัญจากนิยายกำลังภายในเรื่องดาบมังกรหยก
       
       ซึ่งเว็บไซต์มติชนออนไลน์ได้แปะลิงก์เนื้อหาไปยังเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ ระบุว่า แขกวีไอพีคนหนึ่งในงานเล่าให้ฟังว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ในชุดผ้าไหมม่วงทำให้แขกในงานที่นอกจากจะถ่ายรูปร่วมกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่หน้าทางเข้างานกันอย่างคับคั่งแล้ว หากมองไปในห้องจัดงาน ยิ่งลักษณ์ได้รับเชิญให้ถ่ายรูปร่วมกับแขกในงานมากไม่แพ้กัน และเสียงทักถึงชุดม่วงก็มีเป็นระยะๆ จนมีคำอธิบายของนายกรัฐมนตรีถึงที่มาที่ไปชุดนี้กับแขกในงานว่า “ชุดนี้จะใส่ถ่ายรูปเพื่อถ่ายปฏิทินทำแจกปีใหม่”
       
       อีกด้านหนึ่ง เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2554 เว็บไซต์มติชนออนไลน์ได้ตีพิมพ์ข่าว “แฟชั่น” นายกปู ประเมินผล “เสื้อผ้าหน้าผม” 4 เดือน ยิ่งลักษณ์ "ผ่าน"-"ไม่ผ่าน" โดยเขียนคำบรรยายว่า “ถึงใครจะว่าเธอว่า พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ชัด พูดจาผิดๆ ถูกๆ แถมยังร้องไห้ออกทีวี แต่หากว่าเป็นเรื่องเสื้อผ้า-หน้าผมละก็ รับรองว่านายกหญิงมือใหม่หัดขับคนนี้เป๊ะทุกกระบวนท่า เรียกได้ว่า ไม่ว่าจะโดนกระแสการเมืองรุมเร้า หรือจะมีภาระหน้าที่ต้องปฏิบัติรีบเร่งขนาดไหน แต่ปูขอสวยไว้ก่อน อีกทั้งปลายปี โพลหลายสำนักต่างก็รีบประเมินงานรัฐบาลกันเป็นพัลวัน มติชนออนไลน์ จึงขอประเมินกับเขาบ้าง ว่าผลงานการแต่งกายของนายกหญิงตลอด 4 เดือนที่ดำรงตำแหน่งมานี้ นายกปูสอบผ่าน-หรือไม่ผ่าน มาตัดสินความสวยด้วยสายตาคุณเองเลยดีกว่า...” พร้อมกับโพสต์ภาพเครื่องแต่งกายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จำนวนมาก
       
       ขณะที่เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2554 เว็บไซต์มติชนออนไลน์ได้ตีพิมพ์ข่าว “บีบีซี” เผยภาพ “ยิ่งลักษณ์” ติดอันดับ 1-12 ภาพประจำปี 2011 แห่งทวีปเอเชีย โดยรายงานว่า เว็บไซต์สำนักข่าวบีบีซี สื่อชื่อดังของอังกฤษ เปิดเผย 12 อันดับภาพแห่งปี 2011 โดยมีภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย ติดอยู่ในอันดับด้วย อันเป็นภาพที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์สวมเสื้อผ้าไทยสีเหลือง อมยิ้มเล็กน้อย สำหรับภาพดังกล่าวน่าจะเป็นภาพที่นายกรัฐมนตรีของไทยไปเยือนประเทศกัมพูชาเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2554 ที่ผ่านมา
       
       นอกจากนี้ ในช่วงเช้าของวันที่ 2 ม.ค. 2555 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจยังตีพิมพ์ข่าว 6 ชุดแฟชั่นน่าจดจำ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” โดยได้เลือกภาพเครื่องแต่งกายชุดเด่นของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ระหว่างปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีว่าชุดไหนมีช่วงเวลาที่น่าจดจำ ได้แก่ ชุดสีดำเสื้อสูทสีน้ำเงิน ซึ่งสวมใส่เดินตรวจแถวทหารเพื่อเยี่ยมกองบัญชาการกองทัพบก และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, ชุดสีขาวสวมด้วยสูทสีขาว กระโปรงสีดำ ในช่วงเข้าพรรคเพื่อไทยรอการรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ, ชุดกระโปรงสีขาวด้วยสูทสีเหลืองอ่อน เมื่อครั้งเยือนประเทศบรูไน ระหว่างเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์แห่งบรูไน, เสื้อสีขาวสวมทับด้วยสูทผ้าไหมสีน้ำตาล ระหว่างเยือนประเทศอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ, เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกง และรองเท้าบู๊ตสีแดงระหว่างตรวจน้ำท่วม และเสื้อสีเทา สวมทับด้วยสูทผ้าไหมสีดำมีลวดลาย ระหว่างรับรองแขกนายบัน คี มูน เลขาฯ สหประชาชาติ และนางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ
       
       จากข่าวดังกล่าวของเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ ช่วงค่ำวันเดียวกัน (2 ม.ค.) เว็บไซต์มติชนออนไลน์ยังนำไปเผยแพร่ซ้ำโดยเปลี่ยนพาดหัวข่าวเป็น "มิสนอร่าห์ ประชาชาติออนไลน์" ย้อนให้ชม 6 ชุดแฟชั่นน่าจดจำของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อีกด้วย
       
       นอกจากการรายงานข่าวเครื่องแต่งกาย น.ส.ยิ่งลักษณ์แบบถี่ยิบแล้ว เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานข่าวเกี่ยวกับแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ของคนในตระกูลชินวัตรอีกหลายชิ้น เช่น Before - After “อุ๊งอิ๊ง” เพื่อนเจ้าสาว “หุ่นเพรียว” คำนวณแคลอรี่อาหารทุกคำที่เข้าปาก เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2554 โดยนำเสนอภาพ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ในงานแถลงข่าวกิจกรรม This’s My Future Chiangmai 2011 ที่สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมวอยซ์ทีวี ระบุว่าจากสาวที่เคยอวบก็เปลี่ยนมาเป็นสาวหุ่นเพรียว เคล็ดลับความงาม คือ ใช้วิธีลดความอ้วนแบบธรรมชาติ แค่ลดปริมาณอาหารลงแต่ไม่หักดิบ เคร่งครัดในเรื่องการรับประทานอาหารเป็นอย่างมาก ถึงขนาดคำนวณแคลอรี่อาหารที่จะกินทุกคำ ส่งผลให้ในปัจจุบันมีรูปร่างที่สมส่วน พร้อมกับสุขภาพที่ดีมากขึ้น โดยไม่ต้องกินยาลดน้ำหนัก และรายงานเรื่อง เฉลยปริศนา “ชุดเจ้าสาว” ของเอม-พินทองทา สวยเฟี้ยว! ด้วยแบรนด์ระดับโลก "เวรา แวง" ในวันที่ 13 ธ.ค. 2554
       
       จากข้อมูลของจุลสารราชดำเนินของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ฉบับเดือนมิถุนายน 2554 เว็บไซต์มติชนออนไลน์มีนายปราปต์ บุนปาน บุตรชาย นายขรรค์ชัย บุนปานเป็นบรรณาธิการเว็บไซต์ และมีนายสรกล อดุลยานนท์ เจ้าของนามปากกา “หนุ่มเมืองจันทน์” ดูแลในเชิงธุรกิจ ซึ่งมีเนื้อหาผูกโยงกันระหว่างเว็บไซต์มติชนออนไลน์ และเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจซึ่งมีผู้ดูแลเพียงคนเดียว มีกองบรรณาธิการรวม 12 คน ประกอบด้วยหัวหน้าข่าว 2 คน ผู้สื่อข่าว 5 คน และทีมแปลข่าวต่างประเทศ 3 คน
       
      อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาครั้งหนึ่งเครือมติชนตกเป็นข่าวกรณีนายวิม รุ่งวัฒนะจินดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทยระบุในอีเมลว่าได้จ่ายเงินให้กับบรรณาธิการข่าว และหัวหน้าข่าว 5 สำนัก ซึ่งรวมทั้งหนังสือพิมพ์มติชน และข่าวสด เป็นค่าจ้างเสนอข่าวเชียร์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รายละ 20,000 บาทในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง กระทั่งอีเมลดังกล่าวถูกเปิดเผยผ่านสื่อมวลชน และสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งมี นพ.วิชัย โชควิวัฒน เป็นประธาน จากนั้นได้ออกรายงานมีข้อสรุปว่า ในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยน่าจะมีการ “บริหารจัดการสื่อมวลชน”ทั้งในระดับองค์กรและระดับบุคคลอย่างเป็นระบบ และหนังสือพิมพ์บางฉบับที่ถูกพาดพิงถึงมีการเสนอข่าวที่เป็นประโยชน์แก่พรรคเพื่อไทยอย่างเป็นระบบ แต่ไม่พบว่ามีบุคคลที่รับเงิน 20,000 บาทจากนายวิม เพราะไม่มีหลักฐาน แต่ก็เชื่อว่าผู้ที่ถูกพาดพิงส่วนใหญ่น่าจะไมได้มีพฤติกรรมการรับสินบน แม้จะมีข้อสงสัยต่อท่าทีของผู้ถูกพาดพิงบางรายก็ตาม
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #452 เมื่อ: 19 มกราคม 2555, 08:40:48 »


เบื้องหลัง “พิชัย” เก้าอี้หลุด “อภิวันท์” ยังไม่ถึงฝั่งฝัน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

       
       แน่นอนว่าการปรับ ครม.แต่ละครั้ง ย่อมต้องการเสริมความแข็งแกร่ง กู้ภาพลักษณ์ และเรียกความเชื่อมั่นให้แก่รัฐนาวา โดยเฉพาะรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่ต้องอาศัยจังหวะที่ “วิกฤตน้ำท่วม” เริ่มคลี่คลาย ปรับทัพเร่งเครื่องเดินหน้าสร้างผลงานซื้อใจรากหญ้า ชดเชยกับที่ “เสียรังวัด” ถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกับความล้มเหลวในการบริหารจัดการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา
       
       ความน่าสนใจของการปรับ ครม.งวดนี้อยู่ที่ “ทีมเศรษฐกิจ” ที่มีการรื้อแทบยกแผงหลังเกิด “เกาเหลา” แทบทุกกระทรวง ไล่ตั้งแต่ “คลัง - พาณิชย์ - คมนาคม - พลังงาน - อุตสาหกรรม” คงไว้แต่เพียง “บิ๊กโต้ง - กิตติรัตน์ ณ ระนอง” หัวหน้าทีมที่ยังรั้งตำแหน่งรองนายกฯ และข้ามห้วยจากกระทรวงพาณิชย์มานั่งควบที่กระทรวงการคลัง ส่วนเจ้ากระทรวงพาณิชย์ ตกเป็นของ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” คนสนิทของ “เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์”
       
       ขณะที่กระทรวงหูกวาง “คมนาคม” เป็นทีของ “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่ตกขบวนไม่ได้ร่วม ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 ทั้งที่ถือเป็นคนทำงานให้พรรคมาโดยตลอด มารอบนี้จึงสมหวังเสียที สำหรับ “อุตสาหกรรม” ในโควต้าของพรรคชาติพัฒนา เป็นภาวะจำยอมเพราะเจ้ากระทรวงคนเก่าชูธงขาวยอมแพ้สังขาร จึงเป็นทีของ “ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์” ที่เด่นเรื่องงานวิชาการได้มานั่งแทน ส่วนงานด้านบริหารต้องจับตาดูกันต่อไป
       
       แต่ที่ทำเอา “อาณาจักรเอนเนอยี่คอมเพลกซ์” ที่ทำการของกระทรวงพลังงานต้องสั่นสะเทือนยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่ “น้องน้ำ” บุกมาจ่อคอหอยก็คือ การที่ “เสี่ยแดง - พิชัย นริพทะพันธุ์” พ้นจากตำแหน่งเสนาบดีแบบเซอร์ไพรส์สุดๆ เพราะที่ผ่านมาทั้งบทบาทนายทุนพรรค ทีมนโยบายเศรษฐกิจของพรรค และคนทำงานที่ทุ่มเทให้พรรคแบบสุดตัว แต่กลับถูกปรับออกเร็วกว่าที่คาดไว้มาก ทั้งที่ไม่ได้มีตำแหน่ง ส.ส.รองก้น เพราะเสียสละขอใส่ชื่อไว้ในตำแหน่งท้ายๆของปาร์ตี้ลิสต์ ทำเอาเจ้าตัวออกอาการช็อค เพราะไม่เชื่อว่าจะ “ขาลอย” ไร้ตำแหน่งก่อนเวลาอันควร
       
       แน่นอนว่า “จุดอ่อน” ที่หลายคนมองเห็นทั้งเรื่องมาตรการราคาพลังงาน ประกาศขึ้นราคาก๊าซจนเกิดเรื่องเกิดราวมีม็อบแท็กซี่-รถบรรทุกมาล้อมกระทรวงปิดถนนคัดค้านประเดิมรับปีใหม่ จนทำให้การจราจร กทม.ติดขัดอัมพาตไปเกือบทั้งวัน
       
       หรือ “คูปองเจ้าปัญหา” ส่วนลด 2,000 บาทสำหรับการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเอาไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ ตามโครงการ “มหกรรมสินค้าเบอร์ 5 เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย” ที่ถูกโจมตีว่า “แหกตา” ประชาชน เพราะไม่สามารถใช้ได้จริงตามที่ป่าวประกาศไว้ จนมีการประท้วงปิดถนนที่ จ.สมุทรสาคร เมื่อช่วงก่อนปีใหม่
       
       อย่างไรก็ตามเหตุลึกๆที่ทำให้ “พิชัย” ต้องถูกเลื่อนขาเก้าอี้จนหลุดจาก ครม.นั้นไม่ได้มาจาก 2 ประเด็นดังกล่าว เพราะการดำเนินนโยบายลอยตัวราคาพลังงานนั้นถือเป็นแนวทางของรัฐบาลนี้อยู่แล้ว ตามความต้องการของ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ที่จ้องหาประโยชน์จากธุรกิจพลังงานตาเป็นมัน อีกทั้ง “ม๊อบรถบรรทุก” ที่โผล่มาคราวนั้นก็ถือเป็น “กากี่นั้ง” คนกันเองกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่การที่ “พิชัย” ไม่ออกตัวไปเคลียร์ด้วยตัวเอง เพราะมี “ผู้ใหญ่” ในกระทรวงบอกว่าเรื่องนี้นายกฯจะเคลียร์เอง รัฐมนตรีไม่ต้องทำอะไร
       
       แต่เมื่อเรื่องบานปลาย จน “ยิ่งลักษณ์” เรียกประชุมด่วน พอทั้งคู่ปะหน้ากัน จึงได้รู้ความจริงว่างานนี้ “เสี่ยแดง” โดนต้มเสียแล้ว เช่นเดียวกับ “คูปองเจ้าปัญหา” ที่เป็นไอเดียของ “ผู้ใหญ่” ในกระทรวงคนเดิมที่ริเริ่มขึ้นมา แต่เมื่อเกิดปัญหาก็โยนให้เป็น “ไอเดียกระฉอก” ของรัฐมนตรี จนมีการโยนเรื่องราวว่ามีการทุจริตเก็บ “เงินทอน” กันในโครงการนี้
       
       เรียกได้ว่า “พิชัย” โดนดัดหลังเต็มๆเพราะไว้ใจคนมากเกินไป
       
       แถม “ฟาดหาง” มาเล่นงาน “เด็ก” อย่างลูกชายของรัฐมนตรีที่เป็นโฆษกกระทรวงว่า “กินหัวคิว” จากบริษัทจัดงานอีเวนต์โนเนมเข้ามา ไม่ยอมใช้ “ผู้รับเหมาเจ้าเดิม” ที่ผูกปีว่าจ้างกันมานามนม ซึ่งเป็นปมขัดแย้งตั้งแต่เมื่อ “พิชัย” เข้ามารับตำแหน่ง เหตุเพราะลูกชายหวังดีอยากจัดระบบระเบียบการใช้สอย “งบประชาสัมพันธ์” ของกระทรวงใหม่ทั้งหมด
       
       โดยให้ “ผู้รับเหมาเจ้าเดิม” เข้ามาประมูลงานตามระเบียบ ไม่ใช้วิธีพิเศษอย่างที่ผ่านมา ด้วยวิธีการที่หักดิบไม่ยอมประนีประนอม กลายเป็น “ทุบหม้อข้าวเก่า” และทำให้คนในกระทรวงไม่พอใจ จนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต และมีคนวิ่งแจ้นนำความไปฟ้อง “นายใหญ่” ถึงเมืองดูไบว่า เด็กคนนี้ไร้สัมมาคารวะเข้ามาเป็น “ก้างชิ้นโต” ทำให้เก็บเกี่ยวกินกันไม่คล่องคอเหมือนเช่นเดิม
       
       ทั้งนี้อาจจะรวมไปถึงผลประโยชน์ก้อนโตของกระทรวงพลังงานที่จะเกิดขึ้นในช่วงกลางปีนี้ ที่กำลังจะมีการประมูลสัมปทานหลายสิบใบเกี่ยวกับการขุดเจาะ-สำรวจแหล่งพลังงาน ซึ่ง “นายใหญ่-นายหญิง” ต้องการใช้มือทำงานที่ไว้ใจได้อย่าง “อารักษ์ ชลธารนนท์” ลูกหม้อชินคอร์ป เข้ามากำกับดูแลด้วยตัวเอง
       
       “พิชัย” จึงต้องกระเด็นตกเก้าอี้ไปแบบช็อคๆ
       
       ขณะที่ “ผู้มาใหม่” แม้จะมีมากถึง 10 คน แต่ก็ยังมีคนอกหักผิดหวังอยู่เต็มพรรคเช่นเดิม เพราะเกม “เก้าอี้ดนตรี” ที่มีโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีให้นั่งแค่ 35 ที่ แต่มี “คนกระสัน” ในอำนาจรออยู่เพียบ ทั้ง ส.ส.ที่มีมากกว่า 200 คน บวกกับคนทำงานเบื้องหลังอีกหลายสิบชีวิต
       
       แต่คนที่อกหักช้ำแล้วช้ำอีกคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากขวัญใจเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ “อภิวันท์ วิริยะชัย” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่เคยเป็นแคนดิเดตเข้าชิงดำตำแหน่ง “ประมุขนิติบัญญัติ” ให้เป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล แต่สุดท้ายต้องขอบายถอนตัวปล่อยให้ “ขุนค้อน - สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” รับตำแหน่งไปเชยชม
       
       ก่อนจะมามีหวังอีกครั้งเมื่อครั้งจัดทัพ ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 แต่ชื่อก็หลุดในช่วงโค้งสุดท้าย ว่ากันว่า “นายหญิง” ไม่ปลื้มกับบทบาทแนวคิดที่ผ่านมา จนตกขบวนอดเป็น “เสมา 1” รมว.ศึกษาธิการอย่างที่หวัง เช่นเดียวกับการปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ 2 ที่ต้องอกหักซ้ำสองในตำแหน่ง โดยมี “สุชาติ ธาดาธำรงเวช” คว้าตำแหน่งเสนาบดีศึกษาธิการไปครอง เพราะแม้ “อภิวันท์” จะทำงานสร้างผลงานเข้าตากรรมการจนน่าจะได้ตำแหน่งทางการเมืองเป็นรางวัล แต่ก็มี “ชนัก” ที่ติดหลังจาก “วีรกรรม” ในอดีต ซึ่งเจ้าตัวรู้ดีที่สุด
       
       “กรณีที่ผมไม่ได้ตำแหน่งในรัฐมนตรีครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะว่ายังมีจุดอ่อน และยังไม่เหมาะสมกับตำแหน่งใดๆ เมื่อไรเหมาะสมก็อาจจะได้เป็น ที่ผ่านมาคนเขาก็เชียร์เยอะ แต่อาจจะยังไม่เหมาะสม ณ ขณะนี้” เป็นคำพูดของ “อภิวันท์” ที่รับสภาพหลังรู้ตัวว่าไม่มีชื่อใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 2
       
       “จุดอ่อน” ที่เจ้าตัวกล่าวถึงนั้นไม่ใช่การเป็น “หัวขบวน” ของกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างแน่นอน เพราะคนอย่าง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แกนนำแดงตัวพ่อ เจ้าของวรรคทอง “เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง” ยังขึ้นชั้น รมช.เกษตรฯได้ หรือคนอย่าง “สุชาติ” ที่ช่วงหลังเดินสายบรรยายเปิดโรงเรียนคนเสื้อแดงจนกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ก็ยังรีเทิร์นกลับมาเป็นรัฐมนตรีได้อีกหน
       
       ดังนั้นเรื่องที่ “อภิวันท์” มีภาพติดกับคนเสื้อแดงนั้นจึงเป็นเรื่องรอง
       
       แต่เป็น “วีรเกิน” ในอดีตมากกว่าที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง และทำให้ไม่ถึงฝั่นฝันกับเขาเสียที ทั้งการปลุกระดมมวลชนเข้าโอบล้อม หน้าบ้าน “ป๋าเปรม - พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พร้อมขึ้นเวทีโจมตีด้วยถ้อยคำหยาบคาย และหนักไปถึงขั้นปราศรัยว่า “ไม่เชื่อว่า พล.อ.เปรม จะรักชาติมากกว่าคนอื่น เพราะทุกคนต่างก็รักชาติและสถาบันเหมือนกัน” ทั้งที่วันนั้นยังมีตำแหน่งเป็นรองประธานสภาฯอยู่
       
       และหนักไปกว่านั้นกับการหยิบยกกรณีการล่มสลายของ “ราชวงศ์โรมานอฟ” ของรัสเซียมากระทบกระเทียบเปรียบเปรยว่าคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สร้างความไม่พอใจให้แก่คนไทยทั้งประเทศ และยังกลายเป็นโลโก้ติดตัวนำมาซึ่งฉายา “รองฯโรมานอฟ” อีกด้วย ภาพลักษณ์นี้เองที่ทำให้ “นายใหญ่ - นายหญิง” รวมไปถึง “ยิ่งลักษณ์” ต้องคิดหนัก
       
       ด้วยประการฉะนี้แลทำให้ “อภิวันท์” จึงต้องผิดหวังไปไม่ถึงฝันอีกครั้ง

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #453 เมื่อ: 25 มกราคม 2555, 10:02:34 »

สายตรง'ชินวัตร'คุมเบ็ดเตร็จ

   posttoday.com

โดย...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

หลังจากปรับ ครม.ยกกระบิ 16 ตำแหน่ง มีคนใหม่ “เข้าออก” ฝ่ายละ 9 คน รวม 18 คน เล่นเอาคนที่ถูกปรับออกตั้งตัวไม่ติดเพราะไม่คิดว่าจะมากมายเพียงนี้ ล่าสุดถึงคิวปรับเปลี่ยนเก้าอี้เลขานุการ และที่ปรึกษารัฐมนตรี เมื่อ ครม.มีมติแต่งตั้งข้าราชการการเมืองยกแผงวานนี้ 41 ตำแหน่ง

ตามหลักเกณฑ์ รัฐมนตรี 1 คน จะมีเลขานุการได้ 1 ตำแหน่ง และที่ปรึกษาอีก 1 ตำแหน่ง เมื่อรัฐมนตรีถูกปรับออก คนที่เป็นเลขาฯที่ปรึกษารัฐมนตรีรายนั้น ต้องพ้นจากเก้าอี้โดยอัตโนมัติ

ถึงแม้ ครม.ยังแต่งตั้งเลขาฯที่ปรึกษา ไม่ครบจำนวน แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้เคยนั่งเก้าอี้เลขาฯที่ปรึกษาในตำแหน่งเดิมอยู่แล้ว บ้างก็สลับกระทรวง บางส่วนหลุดเก้าอี้และตั้งใหม่ กระจายให้กับนักการเมืองอาวุโสที่สอบตกตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัญญาณจะดูแลให้ทั่วถึง

พรรคเพื่อไทยได้วางระบบไว้ว่าจะเป็นผู้คัดเลือกคนในพรรคมาเป็น “เลขาฯที่ปรึกษา” เอง เว้นแต่รัฐมนตรีบางรายที่เส้นใหญ่ เสียงดัง อาจได้สิทธิในการเลือก “คนรู้ใจ” มาเป็นมือขวาข้างกาย แต่ก็มีไม่มาก ซึ่งเป็นการดึงอำนาจการแต่งตั้งขึ้นตรงกับผู้บริหารพรรคที่เป็นครอบครัวชินวัตร

ตามคุณสมบัติของ “เลขาฯ-ที่ปรึกษา” จะเป็น สส.ไม่ได้ พรรคจึงตอบแทนเก้าอี้ตัวนี้ให้กับ สต. หรือผู้สมัครสอบตก

ครั้งนี้รายเดิมที่ยังเหนียวอยู่ในตำแหน่ง แต่แค่โยกเปลี่ยนเก้าอี้ เช่น ภาคิน สมมิตร เดิมเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี สลับมาเป็นที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ (บุญทรง เตริยาภิรมย์) เอกพจน์ วงศ์อารยะ โยกจากเลขานุการ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ รมช.คลัง (ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย)

แต่ที่เป็นไฮไลต์ครั้งนี้คือ ตำแหน่งเลขานุการ รมว.มหาดไทย เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ ที่มีการดึงคนใกล้ชิดตระกูลชินวัตร มาคุมเก้าอี้สำคัญ

โดยให้ ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เลขานุการส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มานั่งเก้าอี้เลขาฯ มท.1 (ยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค) โยก อารี ไกรนรา อดีตหัวหน้าการ์ด นปช. ไปเป็นเลขานุการ รมช.เกษตรฯ ช่วย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรี นปช. ป้ายแดง และตั้ง ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สะใภ้ตระกูลชินวัตร เป็นเลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ (สุชาติ ธาดาธำรงเวช) สลับเก้าอี้เดิมที่เป็นเลขานุการ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

การตั้งสองคนคู่ใจตระกูลชินวัตรมาเป็นมือขวาใน 2 ตำแหน่งนี้ ชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งคน “ไว้ใจ” มาคุมกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นกระทรวงใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการขยายฐานเสียงและใกล้ชิดประชาชนรากหญ้า

เพราะทั้ง รมว.มหาดไทย รมว.ศึกษาธิการ ตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา ต่างมีปัญหาในการประสานงาน ซึ่งคนในพรรคไม่พอใจสูง

ยงยุทธ รองนายกฯ และ มท.1 แม้จะไม่ถูกปรับออก แต่ สส.ในพรรคหงุดหงิดที่ไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องของ สส. และการดูแลปัญหาประชาชนในพื้นที่ จนวันนี้ก็ยังมีเสียงบ่นไม่ขาดสายจากคนในพรรค

สำหรับ อารี เลขาฯ มท.1 ที่ถูกโยกพ้นเก้าอี้ ก็มาจากโควตาเสื้อแดงที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตั้งปลอบใจกลุ่ม นปช.ในช่วงตั้งลำรัฐบาลใหม่ๆ แทนตำแหน่งรัฐมนตรี เก้าอี้เลขาฯ มท.1 ของ อารี ถือเป็นตำแหน่งทางการเมืองสูงสุดของ นปช. ในรัฐบาลปู 1 แต่เมื่อ ปู 2 ได้ตั้ง ณัฐวุฒิ เป็น รมช.เกษตรฯ และเป็นคน จ.นครศรีธรรมราช เหมือนกับ อารี กลุ่มเสื้อแดงก็ต้องหลีกทาง

ไม่ต่างจาก วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ตลอดเวลาที่เป็น รมว.ศึกษาฯ มีปัญหาไม่ลงรอยกับ สส.ในพรรค และปัญหาในการทำงานมาก จนลูกพรรคเปิดศึกกับ วรวัจน์ ในที่ประชุมพรรคหลายรอบ ลามไปถึงการฟ้องร้อง “นายใหญ่” จนที่สุด วรวัจน์ ต้องถูกโยกพ้นจาก รมว.ศึกษาฯ เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แทน

ภารกิจของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายปกครอง ประกอบด้วย กำนัน 7,446 ตำบล นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ทั่วประเทศ 878 แห่ง ปลัดจังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ รวมแล้วนับหมื่นตำแหน่ง เป็นกระทรวงที่ต้องใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด และยังมีงบประมาณลงที่กรมการปกครองร่วมแสนล้านบาทต่อปี ไม่นับผลประโยชน์อื่นมหาศาลที่กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบ เช่น การให้ใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืน

ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ มีงบที่ดูแลนับแสนล้านบาทเช่นกัน จากงบสนับสนุนโครงการเรียนฟรี 15 ปี โครงการแท็บเล็ตที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงอีก 4,000 ล้านบาท และขุมกำลังจากบุคลากรครูทั่วประเทศกว่า 4 แสนคน ทุกพรรคที่เป็นแกนนำรัฐบาลจะไม่ยอมให้ 2 กระทรวงนี้ไปตกอยู่กับพรรคร่วม เพราะใครคุมครู ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ ได้ ก็ช่วยขยายฐานเสียงให้กับพรรค เนื่องจากใกล้ชิดและมีอิทธิพลชี้นำกับประชาชนสูง

การปรับ ครม. ปู 2 ได้เห็นแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ดึงคนไว้ใจที่สุดจากตระกูลชินวัตร และกลุ่มชินคอร์ป เข้ามาคุมกระทรวงสำคัญ เช่น อารักษ์ ชลธาร์นนท์ อดีตผู้บริหารไทยคม เป็น รมว.พลังงาน นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองประธานกรรมการบริษัทในเครือชินคอร์ป เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ คุมด้านสื่อ และ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตที่ปรึกษาด้านคมนาคมของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็น รมช.คมนาคม รวมถึง กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยชินวัตร รองนายกฯ ที่ถูกโยกมาควบ รมว.คลัง และเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล และ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เพื่อนเตรียมทหารรุ่นของ พ.ต.ท.ทักษิณ คุม รมว.กลาโหม

พ.ต.ท.ทักษิณ ยึดหลักใครไม่เหมาะให้รีบปรับ หมดเวลาสำหรับการทดลองงาน ถึงเวลาที่ต้องให้ “สายตรง” คนใกล้ชิดมาคุม “หัวใจ” ขุมอำนาจและฐานเสียงของรัฐบาล นี่จึงตอกย้ำอีกครั้งจากการตั้ง “ผดุง” ผู้เป็นเงาข้างกายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอด 5 ปี ในเก้าอี้นายกฯ ที่ถูกส่งมาเป็นหูเป็นตาในเลขาฯ มท.1 จัดการปัญหา กระจายทรัพยากร จัดฐานอำนาจ เพราะ ผดุง มีประสบการณ์ประสานงานกับฝ่ายต่างๆ มาตลอดในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึง ทพญ.ศรีญาดา สะใภ้ชินวัตร และทีมงานนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ที่ส่งมาประสานจัดการปัญหาความต้องการของ สส.ในพรรคเพื่อไทยให้ลงตัวที่สุด

วินาทีนี้ต้องใช้สายตรงของกลุ่มชินวัตรเท่านั้น...
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #454 เมื่อ: 25 มกราคม 2555, 10:04:50 »

ร้องผู้ตรวจการฯสอบมติครม.เยียวยาเสื้อแดง

   
เครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน ร้องผู้ตรวจการแผ่นดินสอบมติครม.เยียวยาเสื้อแดง

นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน เดินทางมายื่นเรื่องร้องเรียนต่อนางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาส ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และนายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้ตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2555 เรื่องการอนุมัติเงินเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองในช่วงปี2548-2553

นพ.ตุลย์ กล่าวว่า ตามที่ครม.ได้มีมิติให้ใช้งบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากากรชุมนุมทางการเมืองในช่วงดังกล่าวนั้น ผู้ที่เสียชีวิตจากการชุมนุมจะได้รับเงินไม่น้อยกว่า 7 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินภาษีอากรจากคนทั้งชาติ เห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในช่วงวันที่ 12 มี.ค. 53 เป็น การชุมนุมที่ใช้อาวุธรุนแรงไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้แกนนำนปช. รวมทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯก็ยังอยู่ในระหว่างการฟ้องร้องดำเนินคดีก่อการร้าย ดังนั้นการอนุมัติเงินเยียวยา โดยรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจึงเป็นการอนุมัติเงินเยียวยาเงินให้กับผู้ที่มาชุมนุมผิด กฎหมาย เพราะรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ไม่ได้ละเมิดกลุ่มนปช. เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการสลายการชุมนุมที่เป็นไปตามหลักกฎหมายและ หลักปฏิบัติสากล

นพ. ตุลย์ กล่าวต่อว่า การอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายของครม.จะต้องมีกฎหมายรองรับคือ พ.ร.บ.งบประมาณแผ่นดินที่ผ่านการเห็นชอบจากสภาฯ และจำนวนเงินที่อนุมัติต้องเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.เงินเดือนข้าราชการ จึงเห็นว่ามติครม.ดังกล่าวที่อนุมัติให้จ่ายเงินค่าเยียวยากับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากากรชุมนุมทางการเมืองในช่วง 2548-2553 ไม่มีกฎหมายรองรับ จึงน่าจะเป็นการอนุมัติโดยไม่มีอำนาจและเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

ทั้งนี้นอกเหนือจากผู้ที่มาร่วมชุมนุมกับกลุ่มนปช.จนเสียชีวิตในปี 2553 ก็ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง อาทิ เหตุการณ์ 14 ตุลา เหตุการณ์ 6 ตุลา เหตุการณ์ความไม่สงบใน 4จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยอีก จำนวน 800 คนก็ไม่ได้รับเยียวยา ดังนั้นการอนุมัติเงินเยียวยาศพละ 7ล้านบาทจึงเป็นการเลือกปฏิบัติจ่ายเงินให้กับผู้ที่สนับสนุนรัฐบาล โดยอ้างว่ารัฐบาลก็จ่ายเงินเยียวยาให้กับกลุ่มอื่นร่วมด้วย ทางเครือข่ายฯจึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบการอนุมัติสั่งจ่ายเงินตามมติครม.ดังกล่าวถูกกฎหมายหรือไม่ หากมติครม.ดังกล่าวไม่ได้เป็นไปตามพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 245 ดำเนินการให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาเพิกถอนมติครม.ดังกล่าว

ด้านนางผาณิต กล่าวว่า ทางผู้ตรวจการแผ่นดินยินที่จะรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา โดยยืนยันว่าจะดูแลเรื่องนี้ให้ดีที่สุด เนื่องจากเห็นว่ากรณีดังกล่าวมีบุคคลที่ไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก และมีหลายคนได้รับผลกระทบ ดังนั้นทางผู้ตรวจการแผ่นดินจะเร่งดำเนินการพิจารณาและตรวจสอบทันที

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #455 เมื่อ: 25 มกราคม 2555, 10:28:00 »

อหังการแห่ง "วรเจตน์และแก๊ง"

ผมชักชอบ "วรเจตน์ แอนด์ เดอะ แก๊ง" ขึ้นมาแล้วซีแฮะ นับวัน "ตลกร้าย" ขึ้นทุกที ยึดธรรมศาสตร์เป็นศูนย์กลาง "แดงล้มสถาบัน" ล่าสุด...ใช้ฤกษ์ตรุษจีน ประกาศจัดระเบียบ "สถาบันพระมหากษัตริย์-ศาล-กองทัพ-สถาบันการเมือง" ใหม่ คนที่เป็นพระมหากษัตริย์ต้องสาบานตน  ประธานศาลต้องรัฐบาลตั้ง และ ผบ.เหล่าทัพต้องนายกฯ เท่านั้น...ตั้ง"
    เสียดายที่ผมไม่ได้ไปร่วมฟังกับขบวนการแดงที่ธรรมศาสตร์วานซืนนี้  (๒๒ ม.ค.๕๔) ได้แต่อ่านตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่เขานำมารายงานเป็นข่าวไว้  แค่อ่านยังมันเข้าไส้ ไม่รู้ไปคิดเค้นรูปแบบและวิธีการแปลงบ้าน-แปลงเมืองอย่างนี้มาแต่ไหน    
    นับถือ...นับถือ นรกจกเปรตดีจริงๆ!
    แต่มองปร๊าดก็รู้ว่า แนวคิดและรูปแบบ เหมือนปิง-วัง-ยม-น่าน ไหลรวมเป็น "อำนาจประเทศรวมศูนย์" ที่ตัวผู้นำสูงสุดคนเดียว และผู้วาดหวังยิ่งใหญ่อมตะนิรันดร์กาล (แต่กำลังเข้าสู่จุด..สั้นจู๋) คนนั้นคือใคร คงไม่ต้องบอก!?
    ตอนนี้ ประธาน คอ.นธ. "อุกฤษ มงคลนาวิน" แม่น้ำอีกสายที่รับงานมา กำลังนำกฎหมายต่างๆ อันว่าด้วยอำนาจ ๓ สถาบัน ขยำรวมสูตร "หนึ่งผู้นำ-อำนาจเดียว" สูงสุด!
    ผมเล่าก็คงไม่ได้รสชาติ เพราะงูดินหรือจะดั้นเมฆได้เทียมทันฝูงมังกรโคโมโดอย่างท่านอาจารย์ธรรมศาสตร์ที่เรียกว่า "กลุ่มนิติราษฎร์"
    อย่ากระนั้นเลย เพื่อคงเนื้อหาไม่ให้ผิดเพี้ยน ผมจะลอก "ไทยโพสต์" ฉบับวันจันทร์ ที่เขารายงานเป็นข่าวหน้า ๑ ไว้มาให้ท่านละเลียดอ่านกันอีกที ดังนี้
    ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มนิติราษฎร์ นำโดยนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ นายปิยบุตร แสงกนกกุล นายปูนเทพ ศิรินุพงศ์ นายฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล นางจันทจิรา เอี่ยมมยุรา นางสาวตรี สุขศรี ได้จัดงานอภิปรายในหัวข้อ "ลบล้างผลพวง รัฐประหาร-นิรโทษกรรม-ปรองดอง" พร้อมกับเสนอแนวทางลบล้างผลพวงจากการรัฐประหารทั้งหมด และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๕๐ ในส่วนที่ยึดโยงกับการรัฐประหาร
    นายวรเจตน์เสนอให้ยกเลิก รธน.๕๐ ทั้งฉบับ ก่อนจะมีการยกร่างใหม่ ซึ่งขั้นตอนคือ แก้ ม.๒๙๑ เพื่อตั้งคณะกรรมการจัดทำรัฐธรรมนูญนิติรัฐและประชาธิปไตย จำนวน ๒๕ คนขึ้นมา โดยให้ ส.ส.ตามสัดส่วนจำนวนของแต่ละพรรคการเมืองเป็นผู้เลือก ๒๐ คน ส.ว.เลือกตั้ง ๓ คน และ ส.ว.สรรหา ๒ คน
    จากนั้นให้คณะกรรมการฯ วางกรอบการแก้ไข รธน.ภายใน ๓๐ วัน โดยอาจตั้งอนุกรรมการฯ ไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ แล้วยกร่าง รธน.ฉบับใหม่ เพื่อเข้าสู่สภาผู้แทน และวุฒิสภา เพื่อรับฟังความคิดเห็น  จากนั้นคณะกรรมการฯ นำกลับไปแก้ไขและให้ประชาชนทำประชามติ หากประชาชนเห็นชอบก็ใช้ รธน.ฉบับใหม่
    "แต่หากประชาชนไม่เห็นด้วย ก็กลับไปใช้ รธน.๕๐ ซี่งประชามติจากประชาชนถือว่าเป็นสิทธิ์เด็ดขาด หากใช้แบบนี้ก็ ๙ เดือน เป็นการเชื่อมโยงกับประชาชนมากที่สุด และเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย ที่ให้ตัวแทนจากประชาชนเป็นผู้แต่งตั้ง"
    "โดยพรรคไหนที่มีจำนวน ส.ส.มาก ก็ได้โควตาในการเลือกตัวแทนคณะกรรมการฯ เข้ามามากตามสัดส่วน จริงๆ แล้วเราไม่ต้องการให้ ส.ว.สรรหาเข้ามาเลือก แต่เกรงว่าจะเกิดปัญหา จึงต้องลดสัดส่วนให้เหลือ ๒ คน ทั้งนี้  คุณสมบัติคณะกรรมการฯ จะต้องไม่เป็น ส.ส. หรือ ส.ว. หรือข้าราชการการเมือง”
    สำหรับแนวทางการร่าง รธน.นั้น จะยึดกรอบ รธน.๓ ฉบับแรก ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิ.ย.๒๔๗๕ และ รธน.ปี ๔๐ ในเรื่องการให้สิทธิเสรีภาพประชาชน โดยเนื้อหาทุกหมวดใน รธน.จะต้องแตะต้องได้ ซึ่งจากเดิมที่มีข้อห้ามเอาไว้
    "โดยจะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ศาล กองทัพ และสถาบันการเมือง"
    หลักการจะมีอยู่ ๔ ส่วน คือ ๑.บททั่วไป ๒.สิทธิเสรีภาพ ๓.สถาบันทางการเมือง องค์กรอิสระ และเรื่องที่ ๔.เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
    คือ การต่อต้านรัฐประหาร และลบล้างผลพวงจากรัฐประหาร ประเทศไทยยังเป็นราชอาณาจักร ที่ยังมีประมุขของรัฐ คือพระมหากษัตริย์ แต่ต้องวางโครงสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างประมุขของรัฐกับองค์กรผู้ใช้อำนาจอื่นๆ ให้สอดคล้องกัน
    "โดยกำหนดให้ประมุขของรัฐ จะต้องสาบานตนว่า จะปฏิบัติตาม  รธน. และพิทักษ์ รธน.ก่อนเข้ารับตำแหน่ง”
    ตรงนี้ เขารายงานถึงบรรยากาศในห้องประชุมว่า นายวรเจตน์กระทุ้งเสียงดุดัน พลันเสียงตะโกนโห่ร้องของคนเสื้อแดงก็ดังลั่นห้องประชุม และนายวรเจตน์ก็เมามันต่อว่า  
    ให้ยกเลิกองค์กรอิสระตาม รธน.ในปัจจุบันที่ไม่มีสถานะตาม รธน.ในรูปแบบเนื้อหา โดยให้ มีสภาเดี่ยว มาจากการเลือกตั้ง แต่หากประชาชนต้องการให้มี ๒ สภา คือ ส.ว. และ ส.ส. จะต้องมาจากกระบวนการเลือกตั้งทั้งหมด
    "ตุลาการระดับประธานศาล จะต้องได้รับการเสนอชื่อจาก ครม.และเห็นชอบจากรัฐสภา ตำแหน่งคณะตุลาการต่างๆ จะต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินต่อที่สาธารณะ เช่น นักการเมือง ขณะที่ศาลล่าง จะต้องให้มีผู้พิพากษาศาลสมทบ หรือผู้พิพากษาที่ได้รับการคัดเลือกจากประชาชน เข้าไปร่วมตัดสินคดีร่วมด้วย"
    เจ๋งจริงๆ ใช้สมองกันหลายคืนมั้ยเนี่ย...กว่าจะกระฉูดออกมาแบบนี้ แต่อันที่จริง ก็ไม่น่าต้องเสียเวลาอ้อมเขาวงกต บอกไปตรงๆ ให้สิ้นเรื่องก็ได้ว่า
    ต่อไปนี้จะปฏิรูปการเมืองไทยจาก "การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ในปัจจุบัน
    ไปเป็น "การปกครองระบบสภาเปรซิเดียม" แบบที่เลนิน-ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย ล้มราชวงศ์โรมานอฟของพระเจ้าซาร์ นิโคลัส พร้อมพระราชินีอเล็กซานดรา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๐

    หรือจะให้เป็นการปกครองระบบคู่ขนานแบบคอมมิวนิสต์จีน คือมี "พรรคเพื่อระบอบทักษิณพรรคเดียว" กับ "รัฐบาลเพื่อระบอบทักษิณรัฐบาลเดียว" คลอไปด้วยกันเป็น "รัฐบาลกลาง" ซึ่งแบบนี้ อำนาจทั้งหมด ทั้งรัฐบาล ทั้งศาล ทั้งกองทัพ ทั้งสภา ทั้งพรรค ทั้งหลาย-ทั้งปวง
    จะรวมศูนย์หนึ่งเดียว!?
    ครับ..เนื้อหาสาระจากวรเจตน์และคณะแถลงยังไม่หมด อ่านจากข่าวต่อเลยนะครับ คือเมื่อจัดระเบียบสถาบันกษัตริย์ สถาบันบริหาร สถาบันนิติบัญญัติ  สถาบันตุลาการแล้ว ก็มาถึง "สถาบันกองทัพ" นายวรเจตน์บอกว่า
    "การปฏิรูปกองทัพ จะต้องมีผู้ตรวจการกองทัพที่แต่งตั้งจากรัฐสภา  และผู้บัญชาการเหล่าทัพ จะต้องได้รับการแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรี อีกทั้งผู้ใต้บังคับบัญชา สามารถปฏิเสธคำสั่งที่ขัดกับ รธน.และกฎหมายอื่นๆ  ต่อผู้บังคับบัญชาได้"    
    "นอกจากนี้ ไม่อนุญาตให้องค์กรอิสระสามารถแปรญัตติงบประมาณรายจ่ายประจำปี เช่น รธน.๕๐ ที่อนุญาตให้ทำได้ และต้องกำหนดให้การรัฐประหารมีความผิดทางกฎหมายอาญา และภายหลังที่ประชาชนได้อำนาจกลับคืนมาแล้ว  ให้ดำเนินคดีแก่ผู้ชิงอำนาจจากประชาชนได้ในภายหลัง โดยอายุความการดำเนินคดี ให้เริ่มนับตั้งแต่ได้มีการเริ่มคดีแล้ว"
    ด้านนายปิยะบุตรกล่าวเสริมว่า "สาเหตุที่เราไม่ตั้งสภาร่าง รธน. เนื่องจากมีจำนวนสมาชิกมาก ยากต่อการแก้ไข อีกทั้งผู้ที่เขียนกฎหมายก็เป็นเพียงคนกลุ่มเล็กเท่านั้น รวมถึงวิธีนี้อาจจะต้องใช้เวลานาน และมีการดึงเรื่องกันไปมา  นอกจากนี้ เราได้นำโมเดลของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการใช้ รธน.มาปฎิบัติใช้กับประเทศไทย"
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานยังมีการเปิดโอกาสให้คณะนิติราษฎร์ตอบคำถามที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า นิติราษฎร์รับงานช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  นายฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล หนึ่งในกลุ่มนิติราษฎร์กล่าวว่า
    "ข้อเสนอของนิติราษฎร์อยู่ตามหลักวิชาการ เคารพกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นธรรม ซึ่งหลักการทั้งหลายเหล่านี้ จำเป็นอย่างยิ่งในนิติรัฐและระบบประชาธิปไตย แต่หากผลดังกล่าว ได้หรือเสียประโยชน์ ก็เป็นการได้หรือเสียประโยชน์บนพื้นฐานของหลักการ และความยุติธรรม
    โดยจุดยืนของนิติราษฎร์ ปฏิเสธการรัฐประหารถึงที่สุด เรื่องคำพิพากษาที่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณและพวก มีความสัมพันธ์โดยตรงกับรัฐประหาร จึงจำเป็นที่ต้องเสนอให้ลบล้างคำพิพากษา"
    “เรื่องคุณทักษิณเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก และคุณทักษิณก็เป็นนายกฯ ได้ไม่นานหรอก และหากคุณทักษิณมีปัญหา พวกเราจะจัดการคุณทักษิณเอง โดยเราเพียงต้องการให้อุดมการณ์ของนิติราษฎร์อยู่ไปยาวนาน”
   ครับ...เป็นอันว่า "จบข่าว" วรเจตน์เพื่อวรเชษฐาทักษิณ ประเด็นที่ควรสนใจทั้งหมด สรุปได้ดังนี้
    -ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๕๐
    -แก้มาตรา ๒๙๑ เพื่อตั้งคณะกรรมการจัดทำรัฐธรรมนูญนิติรัฐและประชาธิปไตย ๒๕ คน
    -ให้ ส.ส.ตามสัดส่วนจำนวนแต่ละพรรคการเมืองเลือก ๒๐ คน ส.ว.เลือกตั้ง ๓ คน ส.ว.สรรหา ๒ คน
    -ให้คณะกรรมการวางกรอบแก้ไขรัฐธรรมนูญภายใน ๓๐ วัน
    -อาจตั้งอนุกรรมการฯ ไปรับฟังความเห็นประชาชนทั่วประเทศ แล้วยกร่าง รธน.ฉบับใหม่ นำเข้าสู่สภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา เพื่อรับฟังความคิดเห็น  จากนั้นนำกลับมาแก้ไข และให้ประชาชนทำประชามติ หากเห็นชอบก็ประกาศใช้
    -หากประชาชนไม่เห็นชอบ ก็กลับไปใช้ รธน.๕๐
    -ตามแนวทางนี้ จะใช้เวลาทั้งหมด ๙ เดือน
    -มีสภาเดียวจากการเลือกตั้ง
    -ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ศาล-กองทัพ-สถาบันการเมือง
    -พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนจะพิทักษ์รัฐธรรมนูญก่อนรับตำแหน่ง
    -ประธานศาลต้องได้รับการเสนอชื่อจาก ครม.และรัฐสภาเห็นชอบ
    -ผบ.เหล่าทัพ ต้องได้รับการแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรี
    -ต้องลบล้างคำพิพากษาทักษิณกับพวก

    โหย...เจ๋งว่ะ จารย์!
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #456 เมื่อ: 25 มกราคม 2555, 10:33:03 »

“พิชาย-คมสัน” ซัด “นิติราษฎร์” ไร้เดียงสา หนุนทุนนิยมสามานย์ครอบงำประเทศ    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันที่ 23 ม.ค. เมื่อเวลา 20.30 น. คณาจารย์ “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” ได้แก่ รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และนายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ถึงประเด็นข้อเสนอของ “นิติราษฎร์”
       
       รศ.ดร.พิชายกล่าวว่า ถ้าดูรูปแบบข้อเสนอของนิติราษฎร์ ที่ให้มีคณะจัดทำรัฐธรรมนูญ 25 คน มาจากฝ่ายการเมืองทั้งสิ้น คือ ส.ส.20 คน และ ส.ว.5 คน โดยมองว่าเป็นตัวแทนของประชาชน แต่มันก็ขัดแย้งกับสิ่งที่นิติราษฎร์คัดค้าน เพราะส.ส.ชุดนี้ก็มาจากรัฐธรรมนูญที่มาจากรัฐประหารที่พวกนี้ต่อต้าน คือไม่ว่าจะเสนออะไรภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญนี้ ก็เท่ากับยอมรับอำนาจรัฐประหาร ฉะนั้นถ้าไม่เห็นด้วยจริง ควรใช้วิธีการอื่น ที่ไม่ได้เป็นไปตามวิถีรัฐธรรมนูญปี 50
       
       วิธีการที่เสนอ เป็นการเสนอเกินขอบเขตเส้นแบ่งการยอมรับของสังคมไปมาก เช่นข้อเสนอให้กษัตริย์สาบานตน เป็นข้อเสนอที่เกินกว่าคนไทยที่มีจิตใจปกติจะยอมรับได้ สะท้อนว่าเจตนาจริงๆ ไม่ได้อยากเสนอสิ่งที่อยู่บนพื้นฐานของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่เขาต้องการเสนอ อาจเพื่อทำลายรัฐธรรมนูญฉบับนี้
       
       ด้านหนึ่งสะท้อนเจตนาว่าต้องการบางสิ่งบางอย่างทางการเมืองให้เกิดขึ้นมาเพื่อลบล้างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยอาจต้องการยั่วยุทหารให้ปฏิวัติ เสร็จแล้วก็ให้มวลชนออกมาต่อต้าน เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง นั่นคือเป็นเกม จึงเสนอให้เกินเลย และโฟกัสไปที่สถาบันฯ
       

       รศ.ดร.พิชายกล่าวต่อว่า เห็นได้ชัดว่าการเสนอของนิติราษฎร์เป็นการปูพรมแดงให้เผด็จการทุนสามานย์ทั้งหลาย ให้ครองอำนาจในสังคมไทยได้อย่างราบเรียบ โดยไม่ให้มีผู้มีอำนาจเชิงคุณธรรมทั้งหลายมาหยุดยั้ง ฉะนั้น นิติราษฎร์เป็นกองหน้าของทุนนิมยมผูกขาด ไม่ใช่เป็นกองหน้าของประชาธิปไตยแต่อย่างใด แล้วบอกว่าตัวเองก้าวหน้า ทั้งๆที่หาความก้าวหน้าไม่เจอ เพราะข้อเสนอ ย้อนไปปี 2475 ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีทุนนิยมผูกขาดในสังคมไทยด้วยซ้ำไป
       
       รศ.ดร.พิชายยังกล่าวว่า ข้อเสนอนิติราษฎร์ คือ ต้องการย้อนรอยรัฐธรรมนูญปี 40 คือมอบอำนาจให้นักการเมืองที่มาจากการทุจริตในการเลือกตั้ง แสวงหาประโยชน์จากการบริหารประเทศ เอาอนาคตของประเทศไปอยู่ในมือนักการเมืองพวกนี้อีก หลังจากรัฐธรรมนูญปี 50 พยายามถ่วงดุลอำนาจต่างๆ ไว้
       
       ข้อเสนอข้อ 8 เสนอในแง่โครงสร้างทางการเมืองและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เช่นการใช้สภาเดียว หรือสองสภา แต่ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งก็จะไม่พ้นสภาผัวเมีย

       
       ข้อ 9 ให้ผู้พิพากษาศาลสูง ก็คือศาลฎีกา ได้รับการเสนอชื่อโดยคณะรัฐมนตรี และได้รับความเห็นชอบโดยรัฐสภา อันนี้ไปจำลองอเมริกามา แต่ก็ไม่ดูรัฐมนตรีบ้านเรา บางคนยังมีแบล็กลิสต์ บางคนยังมีคดีก่อการร้ายอยู่เลย แล้วให้คนเหล่านี้แต่งตั้งศาลสูง ยิ่งทำให้ระบบยุติธรรมมีปัญหามากขึ้น
       
       ไม่ใช่ตนรังเกียจการเลือกตั้ง แต่ทุกวันนี้ความจริงในสังคมไทย เวลาเอาระบบเลือกตั้งเข้าไป ระบบคุณธรรมหายหมด มีปัญหาหมด เพราะมีการเสนอผลประโยชน์กัน เพราะโครงสร้างอุปถัมน์ และจิตสำนึกยังมองการเลือกตั้งเป็นการแลกเปลี่ยนเฉพาะหน้า ที่ อ.วรเจตน์เสนอ พื้นฐานที่สำคัญที่เสนอ คือมองคนไทยเปี่ยมไปด้วยเหตุผล มีความรู้ เป็นปัจเจกชนนิยม ไม่มีระบบอุปถัมน์ ซึ่งไม่ใช่สังคมไทย ข้อเสนอเหล่านี้จะยิ่งทำลายระบบต่างๆ ของประเทศ
       
       ที่หนักข้อไปอีก คือ ผู้ตรวจการกองทัพ โดยให้แต่งตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎร โดยนัยยะเหมือนเป็นการดูถูกกองทัพ ให้อยู่ในมือกลุ่มทุน ทำตามบัญชาการของนักการเมือง และแยกกองทัพออกจากสถาบันกษัตริย์ เขาก็วางเกมอันนี้ไว้สำหรับคนที่เป็นเจ้าของพรรคให้ควบคุมกองทัพ
       
       ด้าน นายคมสันกล่าวว่า ข้อเสนอของนิติราษฎร์เป็นข้อเสนอเก่า ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และข้อเสนอใหม่ แต่ค่อนข้างวิปริตอีกประมาณครึ่งหนึ่ง เพราะเสนอไม่ดูสภาพความเป็นจริงของสังคมไทย เสมือนกับเชื่อว่านักการเมืองของไทยไร้มลทินโดยสิ้งเชิง และเสนอแบบไร้เดียงสา ไม่แตะต้องรากเหง้าของปัญหาอย่างแท้จริง
       
       อีกเรื่องที่ไม่พูดถึงคือการพยายามสร้างระบบเผด็จการทุนนิยมผูกขาดโดยพรรคการเมือง โดยลืมไปว่าพรรคการเมืองไทยไม่ได้มีฐานรากมาจากประชาชนอย่างแท้จริง
       
      นายคมสันกล่าวอีกว่า รูปแบบข้อเสนอของนิติราษฎร์พยายามบอกว่าตัวเองก้าวหน้ามาก ซึ่งดูจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ แต่เคยเกิดในประเทศฝรั่งเศสแล้ว คือ การร่างรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐที่ 5 โดยให้ประธานาธิบดีคัดเลือกบุคคลมาทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ของนิติราษฎร์ตะขิดตะขวงใจในการให้ประมุขของรัฐเป็นผู้แต่งตั้ง จึงให้นักการเมืองมาทำสิ่งเหล่านี้
       
       ข้อเสนอของนิติราษฎร์ คือ การสร้างฝ่ายบริหารให้เข้มแข็ง ที่สำคัญสร้างระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ และหากเกิดขึ้นแล้ว จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลยต่อไปในอนาคต นอกจากรัฐธรรมนูญจะถูกฉีกโดยรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง
       
       อีกทั้งเป็นการเอาอำนาจรัฐให้ไปอยู่ภายใต้กลุ่มทุนนิยมผูกขาด ให้สามารถครอบงำสถาบันประมุข ศาล ตุลาการ และกองทัพอย่างสมบูรณ์แบบ และไม่มีการตรววจสอบทัดทานใดๆทั้งสิ้น สุดท้ายต้องการให้ประมุขของรัฐเป็นเพียงสัญลักษณ์ของสังคม เป็นข้อเสนอที่วิปริตต่อสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง เหมือนข้อเสนอของคนบ้า เหมือนเด็กเรียนใหม่ ชุ่ยทางวิชาการอย่างยิ่ง
       

       นายคมสันกล่าวอีกว่า มองรากเหง้าสังคมไทยจริงๆ มาจากการผูกขาดระบบอุปถัมน์ ถ้าใช้ข้อเสนอของนิติราษฎร์ ฉิบหายทั้งเมือง ข้อเสนอบางอย่างไม่ใช่ของใหม่ เช่นเอารัฐธรรมนูญพื้นฐานปี 2475 และ 2489 มาใช้ ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2489 ก็คือการเอา 2475 มาใช้ทั้งยวง และนี่อาจเป็นอีกหนึ่งวิธีที่เขาเอามาใช้ คือเอารัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งมาใช้แทนเลย แล้วยกเลิกของปี 50 ไป แล้วบอกว่ามีการจัดสร้างโครงสร้างให้เข้ากับยุคร่วมสมัย ใช้คำว่าร่วมสมัย คือการเอาของใหม่ผสมกับของเก่า แต่นี่ที่เสนอมาส่วนใหญ่มันเก่า
       
       ถ้าเดินตามโครงสร้างที่นิติราษฎร์เสนอ จะเกิดระบบเผด็จการผูกขาดเบ็ดเสร็จ โดยที่ไม่มีใครทำอะไรต่อได้แล้ว ไม่ใช่ประชาธิปไตยแต่สร้างเผด็จการภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย ลองกลับไปดูในแง่เนื้อหา พบว่าสิ่งที่ใหม่คือเรื่องประมุขของรัฐ แต่ก็สอดคล้องกับปี 2475 ตอนนั้นคณะราษฎร์พยายามเสนอ แต่ถ้ารู้ความจริง จริงๆแล้วสิ่งที่คณะราษฎรทำไม่ได้ยิ่งใหญ่มากมาย แต่กษัตริย์ทรงเมตตา ไม่อยากให้เกิดสังคมนองเลือด เพราะถ้ารบกันจริงๆก็แพ้ แล้วคณะราษฎร์ก็บอกว่านั่นคือการอภิวัติ แต่จริงๆ ก็คือการรัฐประหารอีกรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้น
       
       รัฐธรรมนูญปี 2540 ถ้ามองในทฤษฎีผลไม้เป็นพิษ รัฐธรรมนูญปี 40 ก็มาจากรัฐประหาร เพราะมาจากรัฐธรรมนูญปี 2534 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 8 ปี 2538 ซึ่งมาจากรัฐประหาร ฉะนั้นทฤษฎีผลไม้เป็นพิษของนิติราษฎร์ใช้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นสิ่งที่เสนอมาก็ใช้ไม่ได้ทั้งหมด
       
      นายคมสันกล่าวอีกว่า การพูดถึงเรื่องหลักการ การแบ่งแยกอำนาจ อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน มันเป็นของเดิมหมด หลักนิติรัฐก็ของเดิม ความเป็นกฎหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญก็ของเดิม มีเพิ่มขึ้นมาคือเรื่องสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้การเมืองครอบงำประมุข ให้กษัตริย์สาบานตนก่อนรับตำแหน่ง โดยเอารูปแบบประธานาธิบดีมาใช้ แต่ลืมว่าประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้ง เป็นเพียงเรื่องการให้สัญญากับปวงชน แต่ของเราจะให้ไปสาบานตนต่อสภา ซึ่งปัจจุบันเราตั้งคำถามอะไรคือการเลือกตั้งที่แท้จริง มีใครบอกได้หรือไม่ว่าไม่มีการทุจริต อ.วรเจตน์ ทำไมไม่ระบุว่าการเลือกตั้งอย่างแท้จริงคืออะไร
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #457 เมื่อ: 25 มกราคม 2555, 10:39:39 »

ครม.ปู 2 ถึงคราวแปรรูปประเทศเป็น “บริษัทแม้วจำกัด” !!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ผ่าประเด็นร้อน
       
       หลังจากมีการเปิดเผยออกมาจากปากของ ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เลขานุการส่วนตัวของ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันจันทร์ที่ 23มกราคมว่า ตัวเองจะเข้ามารับตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อ้างว่าเพื่อให้การทำงานในกระทรวงมหาดไทยมีความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากขึ้น
       
       ล่าสุดเมื่อบ่ายวันรุ่งขึ้น (24 มกราคม) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก็ประทับตราแต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการเข้ามาแทน อารี ไกรนรา หัวหน้าการ์ดคนเสื้อแดง ที่ต้องลุกไปนั่งที่อื่น
       
       ถามว่าทำไมต้องให้ความสำคัญกับแค่ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ต้องบอกว่า หากพิจารณาจากตัวบุคคลที่เข้ามาก็ต้องถือว่า “พิเศษ” และต้องเพ่งมองว่าเข้ามาด้วยจุดประสงค์ใด เพื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์แล้วรับรองว่าไม่ธรรมดา
       
       เพราะ ภาพของ ผดุง ในความเข้าใจของคนทั่วไปก็ไม่ต่างจาก “คนรับใช้” ที่ซื่อสัตย์ของ ทักษิณ ชินวัตร ทำทุกอย่างตามบัญชาของเจ้านาย ทำได้แม้แต่ “งานนอกสั่ง” หากพิจารณาแล้วเห็นว่ามีผลดีต่อทักษิณ ซึ่งเมื่อครั้งที่ ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี เขาก็เป็นคนประสานงาน ติดต่อและสั่งการแทนในแทบทุกเรื่อง ในงานเบื้องหลัง ไม่เว้นแม้กระทั่ง “งานใต้ดิน”
       
       ดังนั้นการเข้ามาของ ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ คราวนี้จึงมองว่านี่คือ มท.1 ตัวจริง ที่จะทำหน้าที่สั่งการแบบไม่เป็นทางการแทน ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตามพิธีการ และขณะเดียวกันหากพิจารณาจากคำพูดก่อนที่จะได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ผดุง ก็ให้เหตุผลแล้วว่า เพื่อให้การบริหารภายในกระทรวงมหาดไทยมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นก็แสดงว่าที่ผ่านมาการทำงานของ ยงยุทธ ล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพ จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ อย่างไรก็ดีหากถึงขั้นเปลี่ยนตัว มท.1 มันอาจเกิดแรงกระเพื่อม รวมไปถึงเกิดภาพที่เป็นลบหากปรับ ยงยุทธ ออกไป เนื่องจากเป็นถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
       

       ในภาพรวมของรัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังจากมีการปรับคณะรัฐมนตรีเป็น ครม.ยิ่งลักษณ์ 2 จำนวน 16 ตำแหน่ง และรวมถึงตำแหน่งเลขานุาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนใหม่เป็น ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ ทำให้มองเห็นภาพไม่ต่างจาก “บริษัททักษิณ จำกัด” เพราะล้วนแล้วแต่คนกันเอง หรือคนรับใช้ประเภทเด็กในบ้านที่ซื่อสัตย์ทั้งนั้น โดยเฉพาะในตำแหน่งสำคัญ
       
       หากไล่เรียงตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงมาก็มี อารักษ์ ชลธาร์นนท์ จากบริษัทไทยคมฯเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นต้น
       
       สำหรับภารกิจของแต่ละคนนาทีนี้คงไม่ต้องสาธยายซ้ำให้เสียเวลา เพราะระดับ “คอการเมือง” ก็คงรับรู้กันจนเลี่ยนไปแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อมีตัวละครอย่าง ผดุง เข้ามาใหม่ มันก็เหมือนกับการต่อจิ๊กซอร์ให้เติมเต็ม เป็นภารกิจที่ครอบคลุมทั้ง เศรษฐกิจ ทุน ความมั่นคง รวมไปถึงงานทางด้านการปกครอง ทุกอย่างครบวงจร ความหมายก็ไม่ต่างจากบริษัท ทักษิณ จำกัด และเมื่อภาพออกมาเป็นแบบนี้ อย่าได้แปลกใจที่การทำงานของรัฐบาลชุดนี้จะถูกมองว่ามี “วาระซ่อนเร้น” ทำเพื่อขยายอิทธิพลส่วนตัว โดยใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่ในมือเป็นใบเบิกทาง
       
       ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบจากคณะรัฐมนตรีในตำแหน่งสำคัญดังกล่าว รวมทั้งเมื่อมาบวกกับความพยายามเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป้าหมายเพื่อให้ ทักษิณ พ้นความผิด และกลับมามีอำนาจทางการเมืองเต็มรูปแบบอีกรอบ กำลังมีการขับเคลื่อนกันอย่างเต็มที่ มันก็ชัดยิ่งกว่าชัดว่า เวลานี้กำลังแปรรูปประเทศไทยให้กลายเป็นบริษัททักษิณ ซึ่งบริษัทที่ว่านั้นก็ไม่ใช่แบบมหาชน แต่เป็นแค่บริษัทจำกัด เท่านั้น !!
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #458 เมื่อ: 26 มกราคม 2555, 19:42:39 »

วาสนาของไพร่ “เต้น” อยู่บ้าน 10 ล.“ก่อแก้ว” รวย 80 ล.“เมียกี้ร์” ขี่ฮาร์เลย์ฯ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ASTVผู้จัดการ – เปิดบัญชีทรัพย์สิน “เต้น-ณัฐวุฒิ” ไพร่ระดับ “ซุป’ตาร์-เสนาบดีเกษตรหน้าใหม่” พบอยู่บ้านจัดสรรสุดหรู 270 กว่า ตร.ว.ราคาร่วม 10 ล้าน รถ 3 คัน หนึ่งคันทะเบียน “777” สวยกิ๊ง “ก่อแก้ว” ขึ้นชั้นมหาเศรษฐีรวยหุ้น-ห้องชุดเฉียด 80 ล้าน “เมียกี้ร์” ไม่ระบุรายได้ แต่ ขี่ ฮาร์เลย์ เดวิดสัน 3 ปี ซื้อรถ 3 คัน
       
       การแต่งตั้ง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นับเป็นการสร้างความประหลาดใจให้กับสังคมไทยเป็นอย่างมาก ประการหนึ่งเนื่องจากนายณัฐวุฒินั้น ถือเป็นแกนนำระดับตัวกลั่น หรือหากเรียกภาษาวัยรุ่น ก็คือ “ซุป’ตาร์” ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่ว่าจากเหตุการณ์การบุกไปทำลายทรัพย์สินสาธารณะที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ที่พักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2550, การเป็น 1 ใน 3 ผู้ดำเนินรายการหลักของรายการ “ความจริงวันนี้” เรื่อยมาจนถึงเหตุการณ์สงกรานต์เลือด 2552 และเผาบ้านเผาเมือง 2553
       
       ทั้งนี้ คำปราศรัยของนายณัฐวุฒิ ที่ติดหูติดตาชาวบ้านชาวเมืองมากที่สุด คงหนีไม่พ้นประโยคที่ว่า “เผาไปเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง” ซึ่งในเวลาต่อมาก็เกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองอย่างที่นายณัฐวุฒิ กล่าวยุยงจริงๆ
       
       อีกประการหนึ่งก็คือ นายณัฐวุฒิ นั้น ถือเป็นผู้ที่นำวาทกรรม “อำมาตย์-ไพร่” มาใช้กันอย่างแพร่หลายในการชุมนุมและบนเวทีของกลุ่มคนเสื้อแดง ในปี 2553
       
       “อะไรเป็นตัวชี้วัดว่าใครเป็น “ไพร่” ใครเป็น “อำมาตย์” นั่นคือ รูปการณ์จิตสำนึก จิตสำนึกของไพร่ต้องยอมรับในความเสมอภาคและเท่าเทียม ไม่ดำรงชีวิตแบบอภิสิทธิ์ชน ไม่ใช้โอกาสที่ดีกว่าไปเบียดบังคนอื่นที่ด้อยกว่า ไพร่คือประชาชนธรรมดาที่เคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์” นั่นคือ ความแตกต่างระหว่างไพร่ กับ อำมาตย์ ในทัศนะของ นายณัฐวุฒิ ที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเมื่อเดือนมีนาคม 2553
       
       เมื่อ นายณัฐวุฒิ ได้รับแต่งตั้งเป็น รมช.เกษตรฯ เมื่อวันที่ 18 ม.ค.2555 ผู้สื่อข่าว ASTVผู้จัดการ จึงสืบค้นข้อมูล การเปิดเผยรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายณัฐวุฒิ และครอบครัว หลังเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จากการเลือกตั้งทั่วไป 3 ก.ค.2554 พบว่า นายณัฐวุฒิและครอบครัว ที่ประกาศตนว่าเป็นไพร่นั้น มีทรัพย์สินมากถึง 21.86 ล้านบาท ขณะที่มีหนี้สินราว 6.74 ล้านบาท หรือทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินถึง 15.12 ล้านบาท
       
       ในวันที่ 2 ส.ค.2554 นายณัฐวุฒิ ได้แจ้งต่อ ป.ป.ช.ว่า ครอบครัวมีทรัพย์สินทั้งสิ้น 21,864,458.69 บาท แบ่งเป็นทรัพย์สินของนายณัฐวุฒิ 14,896,105.84 บาท ทรัพย์สินของ นางสิริสกุล ใสยเกื้อ ภรรยา (อดีตทำงานเป็นพนักงาน บ.การบินไทย) 5,754,746.41 บาท และบุตร 2 คน ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 1,213,606.44 บาท ขณะที่ครอบครัวมีหนี้สิน 6,738,043.40 บาท
       
       ทรัพย์สินที่มีมูลค่ามากที่สุดของ นายณัฐวุฒิ และครอบครัว คือ ที่ดิน 6 รายการในจังหวัดนนทบุรี นครศรีธรรรมราช และ สุราษฎร์ธานี แบ่งเป็นที่ดินของนายณัฐวุฒิ เอง 5 รายการ และภรรยา 1 รายการ รวมมูลค่า 9,326,800 บาท โดยที่ดินใน จ.นนทบุรี ยังเป็นที่ตั้งของโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง มูลค่า 1,500,000 บาท อีกด้วย
       
       จากบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหน้าที่ 7 และ 8 ของ นายณัฐวุฒิ ระบุว่า สิ่งปลูกสร้างและที่ดินใน จ.นนทบุรี ของ นายณัฐวุฒิ คือ บ้านจัดสรรในหมู่บ้านเศรษฐสิริ ถนนนนทบุรี ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ 274 ตารางวา ตั้งอยู่บนโฉนดเลขที่ 220018 ได้มาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2548 มูลค่ารวม 9.0 ล้านบาท (แบ่งเป็นมูลค่าที่ดิน 7.5 ล้านบาท และ สิ่งปลูกสร้าง 1.5 ล้านบาท)
       
       โดยเมื่อผู้สื่อข่าวสืบค้นจากรายละเอียดจากอินเทอร์เน็ต พบว่า บ้านในหมู่บ้านเศรษฐสิริที่เป็นทรัพย์สินของนายณัฐวุฒิ น่าจะเป็นหมู่บ้านเศรษฐสิริ สนามบินน้ำ ที่พัฒนาโดย บมจ.แสนสิริ โครงการประเภทบ้านเดี่ยว สไตล์ Thai Contemporary ราคาเริ่มต้น 5-16 ล้านบาท ขณะที่ราคาขายต่อในปัจจุบันอยู่ที่ราว 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยผู้สื่อข่าวตรวจสอบในเว็บไซต์ขายบ้านแห่งหนึ่ง พบว่า “บ้านเดี่ยว 2 ชั้น หมู่บ้านเศรษฐสิริ-สนามบินน้ำ เนื้อที่ 104.40 ตร.วา นนทบุรี สภาพพร้อมอยู่” ถูกตั้งราคาขายไว้ที่ 13.5 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าบ้านและที่ดินของนายณัฐวุฒิในปัจจุบันน่าจะสูงกว่านี้มาก และน่าจะสูงกว่า 9 ล้านบาท เนื่องจากที่ดินของนายณัฐวุฒิและครอบครัวมีเนื้อที่มากถึง 274 ตร.วา
       
       นอกจากบ้านและที่ดินแล้ว นายณัฐวุฒิ และครอบครัวยังมีทรัพย์สิน เป็นรถยนต์อีก 3 คัน ประกอบไปด้วย รถยนต์ทะเบียน ฮธ 777 กรุงเทพมหานคร (ได้มาเมื่อ 4 มี.ค.53) มูลค่าปัจจุบันประมาณ 3 ล้านบาท, รถยนต์ทะเบียน กพ 4141 นนทบุรี (26 ธ.ค.50) มูลค่า 750,000 บาท และ รถยนต์ทะเบียน กย 530 นนทบุรี (22 พ.ย.53) มูลค่า 938,000 บาท
       
       เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าทรัพย์สินและหนี้สินที่นายณัฐวุฒิมี กับเพื่อนๆ แกนนำ นปช.แล้ว นายณัฐวุฒิ นับว่า มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินมากกว่าเพื่อนๆ หลายคน เพราะทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินสุทธิกว่า 15 ล้านบาท ขณะที่เกลอแกนนำ นปช.อย่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ที่วาสนายังไม่ถึงตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 8,224,825.64 บาท, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท มีทรัพย์สินน้อยกว่าหนี้สิน 65,151.89 บาท, นายพายัพ ปั้นเกตุ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 2,445,586.41 บาท
       
       อย่างไรก็ตาม นอกจาก นายณัฐวุฒิ ที่เรียกตัวเองว่า “ไพร่” แต่กลับมีทรัพย์สินมากมายในหลักสิบล้านบาทแล้ว ในกลุ่มแกนนำ นปช.ซึ่งในเวลานี้ยกระดับสถานะทางสังคมเป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ ก็ยังมีผู้ที่มีทรัพย์สินที่มากมายไม่แพ้กัน และอาจจะมากกว่าด้วย อย่างเช่น นพ.เหวง โตจิราการ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 15,254,319.34 บาท ขณะที่ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ก็มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินสูงถึง 74.05 ล้านบาท
       
       สำหรับ นายก่อแก้ว ซึ่งในอดีตเป็นหนึ่งในพิธีกรตัวเสริมของรายการความจริงวันนี้ ทรัพย์สินในบัญชีที่แจ้งต่อ ป.ป.ช.ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนในบริษัท นิวสตาร์อินเตอร์แนชั่นแนล จำกัด จำนวน 112,500 หุ้น มูลค่าสูงถึง 58,018,897.01 บาท และ โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างมูลค่า 20 ล้านบาท
       

       ขณะเดียวกัน นางระพิพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และภรรยาของนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ในวันที่ 2 ส.ค.2554 ก็แจ้งรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตนเองและสามีหลังเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย โดยไม่ได้แจ้งรายได้-รายจ่ายประจำ ทั้งของตนเองและสามี (นายอริสมันต์) แต่มีทรัพย์สินเป็นเงินฝาก 2,988,135.78 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างมูลค่า 3,720, 267.43 บาท และยานพาหนะมูลค่า 4,590,000 บาท ขณะที่มีหนี้สินรวม 9,715,357.51 บาท
       
       กระนั้น แม้ นางระพิพรรณ ไม่ระบุถึงรายได้ของตัวเองในเอกสารที่ยื่นแก่ ป.ป.ช.แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นางระพิพรรณ และครอบครัวกลับครอบครองรถใหม่ถึง 3 คัน คือ ปี 52 รถยนต์โตโยต้า ทะเบียน ศจ 7793 กรุงเทพ (ได้มาเมื่อ 22 ก.ย.2552) มูลค่าปัจจุบันประมาณ 3 ล้านบาท, ปี 53 รถฮาร์เลย์ เดวิดสัน ทะเบียน ลขล 333 กรุงเทพ (ได้มา 11 ต.ค.2553) มูลค่าปัจจุบัน 9.9 แสนบาท (นางระพิพรรณ น่าจะกรอกเอกสารผิดเป็น 9.9 ล้านบาท) และ รถยนต์ฮอนด้า (ได้มา 3 ก.พ.2554) มูลค่าปัจจุบัน 6 แสนบาท (นางระพิพรรณ น่าจะกรอกเอกสารผิดเป็น 6 ล้านบาท) รวมมูลค่าทั้งหมด 4,590,000 บาท
       
       หลังเข้ารับตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ แม้ นายณัฐวุฒิ จะพยายามแก้ตัวว่า ถึงจะได้เลื่อนชั้นเป็นอำมาตย์ระดับเสนาบดี แต่ตัวเองยังยืนยันในจุดยืนของความเป็นไพร่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่มูลค่าทรัพย์สินระดับเศรษฐีของตนเองและพรรคพวก รวมถึงคำให้สัมภาษณ์ที่ว่า “ไพร่ต้องไม่ดำรงชีวิตอย่างอภิสิทธิ์ชน” ก็จะยังคงค้ำคอและหลอกหลอน รมช.เกษตรฯ และ เศรษฐีไพร่คนนี้ไปตลอดกาล
       
       ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง :
       - เปิดเผยรายการทรัพย์สินและหนี้สินของรัฐมนตรี, ส.ส., ส.ว. และหน่วยงานภาครัฐ จากเว็บไซต์ ป.ป.ช.
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #459 เมื่อ: 26 มกราคม 2555, 20:41:35 »

"กนก" ถามฝ่ายหนุนแก้ ม.112 "พ่อแม่สั่งสอนหรือเปล่า?"
มติชนออนไลน์


เมื่อวันที่ 25 ม.ค. เว็บไซต์ข่าวประชาไท รายงานว่า นายกนก รัตน์วงศ์สกุล ผู้ประกาศข่าวเครือเนชั่น ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก "Kanok Ratwongsakul" วิจารณ์กลุ่มที่สนับสนุนให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า


"ทุกๆ 10 นาที จะมีคนโพสต์ต่อต้านกลุ่มที่จะขอแก้มาตรา 112 ลงที่เฟซบุ๊กนี้ ผมก็ตามอ่านตลอด บางคนลงรูปของอาจารย์นิติฯ ธรรมศาสตร์ ที่เป็นหัวหอกแก้มาตรานี้ ซึ่งผมจะลบออกทุกครั้ง เพราะไม่อยากเห็นหน้าคนกลุ่มนี้บนเฟซบุ๊กผม ถ้าพวกนี้อายุ 30 – 40 กว่าปี ตามที่เสธ.หนั่นไล่ให้ไปอ่านประวัติศาสตร์ ผมสงสัยว่า พ่อแม่เขายังอยู่หรือเปล่า รุ่นพ่อรุ่นแม่น่าจะทันได้เห็น ′ในหลวง′ ทรงงานมาตลอด ถ้าลูกไม่ใส่ใจในความเป็นกษัตริย์นักพัฒนา มัวแต่ดื้อด้านจะแก้กฎหมายท่าเดียว แล้วพ่อแม่พวกนี้ทำอะไรอยู่..ไม่ห้ามปรามเลยหรือ? หรือวายชนม์ไปหมดแล้ว? ผมขอโทษนะครับ อย่าหาว่าผมก้าวล่วง แต่อยากถามคนกลุ่มนี้จริงๆว่า พ่อแม่คุณอบรมสั่งสอนหรือเปล่า?"
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #460 เมื่อ: 26 มกราคม 2555, 20:57:38 »

โลกเย้ยหยันไทย! ประจาน‘แบล็กลิสต์’เสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ
thaipost.net
   
  โลกเย้ยไทย ตั้งเพื่อนซี้จอมเผด็จการมือเปื้อนเลือด "มูกาเบ" เป็นรัฐมนตรีดูแลเอกลักษณ์ของชาติไทย สื่ออเมริกา-ยุโรปหลายสิบสำนักพร้อมใจประจาน "นลินี" เละ เปิดภารกิจสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์แห่งชาติ ดูแลการเฟ้นหาครอบครัวประชาธิปไตยตัวอย่างในประเทศไทย รวมถึงบุคคลดีเด่นและหน่วยงานดีเด่นของชาติ
    การได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์แห่งชาติ ของนางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกขึ้นบัญชี Specially Designated Nationals (SDN) ของสำนักงานควบคุมสินทรัพย์ต่างชาติ กระทรวงการคลังสหรัฐ ถูกสื่อชั้นนำในตะวันตกทั้งในสหรัฐและยุโรปนำเสนออย่างกว้างขวาง โดยตั้งข้อสังเกตเชิงเสียดสีว่า บุคคลที่มีส่วนสนับสนุนการสังหารหมู่ในซิมบับเวได้เป็นผู้เผยแพร่เอกลักษณ์ของชาติไทย
    โดยตลอดทั้งวัน ปรากฏพาดหัวข่าว 'Crony' of Mugabe to promote Thai national image ในสื่อออนไลน์ชั้นนำของตะวันตกหลายสิบสำนัก
      วอชิงตันโพสต์ บอสตันโกลบ เอบีซีนิวส์ และสื่อโทรทัศน์ เช่น เอบีซี ซีบีเอส รวมไปถึงซิมบับเวทรีบูน ได้เผยแพร่รายงานข่าวของสำนักข่าวเอพี ต่อกรณีที่รัฐบาลไทยได้แต่งตั้งนางนลินี

    เอพีรายงานว่า หน่วยงานในสังกัดของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแห่งนี้ มีเป้าหมายที่จะส่งเสริมค่านิยมของชาติ อาทิ ความสำคัญของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นางนลินีเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาและที่ปรึกษาของกระทรวงพาณิชย์ จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการบริหารรัฐกิจ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และเคยเป็นผู้บริหารของบริษัทหลายแห่ง
    เมื่อปี 2551 กระทรวงการคลังสหรัฐได้ขึ้นบัญชีนางนลินีเป็นบุคคลที่ถูกควบคุมสินทรัพย์ในสหรัฐ (เอสดีเอ็น) โดยระบุว่านางเป็น "คนสนิท" ของประธานาธิบดีแห่งซิมบิบเว โรเบิร์ต มูกาเบ ที่ถูกสหรัฐคว่ำบาตร และได้ "อำนวยความสะดวกในการติดต่อธุรกิจทางการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และอัญมณี" ให้แก่นางเกรซ ภริยาของมูกาเบ
    เอพีรายงานด้วยว่า เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นางนลินีได้แถลงข่าวว่า นางได้พบกับมูกาเบและภริยา เมื่อคนทั้งสองเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2545 และต่อมานางได้มี "ความสัมพันธ์ทางสังคม" กับคนทั้งสอง แต่ "ไม่มีการติดต่อธุรกิจแต่อย่างใด" และว่า "ดิฉันไม่คาดคิดว่ามิตรภาพนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของดิฉัน โดยเฉพาะเมื่อดิฉันก้าวเข้าสู่วงการการเมือง"

    สำหรับงานในสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์แห่งชาตินั้น นางนลินีต้องส่งเสริมเกี่ยวข้องกับ 4 สถาบันหลัก คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และยังมีรายละเอียดปลีกย่อยรวมไปถึงจารีตประเพณี วัฒนธรรม เกียรติภูมิประเทศ
    ที่น่าสนใจบุคคลซึ่งสหรัฐขึ้นแบล็กลิสต์ว่าให้การสนับสนุนการสังหารประชาชนชาวซิมบับเว กับประธานาธิบดีโรเบิร์ต มูกาเบ มีหน้าที่ดูแลการคัดเลือกครอบครัวประชาธิปไตยตัวอย?างในประเทศไทย ตามกรอบคุณธรรม จริย
ธรรม และค?านิยมพื้นฐาน อันเป?นแนวทางสําคัญในการพัฒนาประชาธิปไตยที่สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์แห่งชาติกำหนดไว้ ทั้งยังดูแลการเลือกบุคคลดีเด่นและหน่วยงานดีเด่นของชาติอีกด้วย
    ก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทยพยายามบอกกับประชาชนว่า นางนลินีไม่ได้ถูกแบล็กลิสต์ห้ามเข้าประเทศสหรัฐ เป็นแค่การแซงก์ชั่น แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่าการแซงก์ชั่นนางนลินีนั้น ร้ายแรงกว่าการห้ามเข้าประเทศมาก เพราะเมื่อนางนลินีถูกขึ้นบัญชีเอสดีเอ็น ก็มีแนวโน้มสูงว่าเธอไม่อาจเดินทางเข้าสหรัฐได้อีกต่อไป
    คำสั่งซึ่งลงนามโดยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ระบุว่า สินทรัพย์ใดๆ ของบุคคลและบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีเอสดีเอ็น ซึ่งอยู่ภายในเขตอำนาจทางกฎหมายของสหรัฐ ต้องถูกอายัด และพลเมืองสหรัฐได้ถูกห้ามมิให้ติดต่อทางการค้า หรือทางการเงินกับบุคคล หรือบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีนี้
     ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินรับตรวจสอบการแต่งตั้งนางนลินี และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ อาจเข้าข่ายผิดประมวลจริยธรรมว่า ตนไม่กล้าแสดงความคิดเห็นข้ามฝั่ง ให้ตนปราบปรามยาเสพติดเถอะ กำลังสนุก เป็นเรื่องของเลขาธิการ ครม. เจ้าตัวเขาชี้แจงได้ เมื่อไปร้องท่านก็ต้องเรียก
    รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยเผยว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 24 ม.ค. ที่ร้านอาหารแดทอิส ย่านพระราม 9 นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงาน, นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข แกนนำ ส.ส.ภาคกลาง ได้นัด ส.ส.พรรคเพื่อไทย มาสังสรรค์ในโอกาสวันปีใหม่จีน หรือวันตรุษจีน มี ส.ส.มาร่วมงานกว่า 70 คน ส่วนใหญ่เป็น ส.ส.ภาคกลาง และอีสานบางส่วน ในขณะที่ ส.ส.ภาคเหนือ และ กทม.มากันประปราย โดยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย, นายศักดา คงเพชร รมช.ศึกษาธิการ, นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม, นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็มาร่วมด้วย
    แขกคนสำคัญคือ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีต รมว.คมนาคม สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่ได้ถือโอกาสกล่าวกับ ส.ส.สั้นๆ ว่า อยากให้รัฐมนตรีตั้งใจกันทำงาน เพราะไม่อยากให้มีการปรับ ครม.บ่อย ถ้ารัฐมนตรีชุดปัจจุบันทำงานดีแล้ว สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมา
    มีรายงานอีกว่า ส.ส.ที่มาร่วมงานส่วนใหญ่พยายามรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน โดยมอบบทบาทการนำให้กับนายพงษ์ศักดิ์ เพราะถือเป็นแกนนำระดับผู้ใหญ่ มีเพาเวอร์ที่เมื่อแสดงความเห็นแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งแกนนำสำคัญคนอื่นๆ ต้องรับฟัง
    นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย เผยว่า ตนและเพื่อน ส.ส.ประมาณ 60-70 คน ทั้งจากภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสานบางส่วน ได้ไปกินข้าวเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่จีน โดยมีผู้ใหญ่ในพรรค เช่น นายเผดิมชัย, นายวิทยา และนายยงยุทธ มาร่วมด้วย งานนี้เป็นการจัดของภาคกลาง แต่ก็มีภาคอื่นๆ มาด้วย เมื่อครั้งตอน ส.ส.ภาคอีสานจัดงาน ภาคอื่นๆ ก็มาเหมือนกัน ทั้งนี้ นายพงษ์ศักดิ์ถือเป็นผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานนี้ ยืนยันว่าไม่มีการหารือประเด็นการเมือง เป็นการกินข้าวกันเท่านั้น
    สำหรับบรรยากาศการเข้ามาทำงานวันแรกหลังเข้ารับตำแหน่งของนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เขากลับมาสร้างภาพด้วยการนั่งรถเมล์เข้ากระทรวงอีกครั้ง หลังเคยสร้างความฮือฮามาแล้วเมื่อครั้งรับตำแหน่ง รมว.คลัง โดยคราวนี้มีกลุ่มคนเสื้อแดงนับสิบคนตามเชียร์ไม่ห่าง.
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #461 เมื่อ: 27 มกราคม 2555, 12:00:29 »

“ยิ่งลักษณ์”ที่เวทีดาวอส กลัวหน้าแตกขอพูดไทย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


สะเก็ดไฟ
       
       เห็นภาพ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ท่าหน้าทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย ด้วยอากัปกริยาที่ไม่แตกต่างจากนักท่องเที่ยว
       
       บอกได้คำเดียวว่า "ปวดใจ"
       

       ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ในสภาพเปราะบางทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ และ การเมือง ผู้นำประเทศซึ่งมีหน้าที่กอบก็วิกฤติยังมีแก่ใจสอดไส้หมายเที่ยวในวาระงานเยือนประเทศอินเดีย โดยไม่รู้สึกละอายใจแต่อย่างใด
       
       ที่น่าเศร้าไปกว่านั้นคือ การที่ประเทศไทยมีนายกฯนกแก้วชื่อ "ยิ่งลักษณ์" ได้ทำให้บ้านเมืองเสียโอกาสทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญไปเสียแล้ว
       
       การประชุม World Economic Forum Annual Meeting 2012 หรือ การประชุมเศรษฐกิจโลก ที่มีขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 มกราคมนี้ ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์ โดย “ยิ่งลักษณ์” ได้ชื่อแค่ว่าได้ไปร่วมงาน แต่หาได้มีบทบาทใด ๆ ที่จะใช้เวทีนี้ให้เป็นประโยชน์ในการเรียกความเชื่อมั่นจากต่างชาติ หลังจากที่ประเทศไทยเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตน้ำมาหมาด
       
       กำหนดการของ ยิ่งลักษณ์ กลับมีเพียงแค่ การกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับบทบาทสตรีต่อการบริหารประเทศ
       
       หัวข้อว่าแย่แล้ว วงสนทนายิ่งแล้วใหญ่ เพราะ สุนทรพจน์ ที่นายกฯนกแก้วจะไปอ่านนั้นเป็นการพูดคุยในวงเล็ก ๆ ซึ่งรัฐบาลไทยจัดเองเพื่อโปรโมทประเทศไทยในงาน Thailand night มิใช่ในเวทีผู้นำตามที่พยายามตีฆ้องร้องป่าวสร้างภาพให้ “ยิ่งลักษณ์” ดูอินเตอร์แต่อย่างใดไม่
       
       แต่สิ่งที่น่าจะดีสำหรับประเทศไทยอย่างหนึ่งคือ “นายกฯนกแก้ว” ตัดสินใจที่จะกล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษาไทย!
       
       หลายคนคงถอนหายใจโล่งอก เพราะหากอ่านผิดอย่างน้อยต่างชาติก็ฟังไม่ออก และคนแปลเขาก็คงไว้หน้าไม่แปลผิดให้ผู้นำไทยไปเสียฟอร์มต่อหน้าต่างชาติ
       
       ที่น่าแกะรอยคือ ในเวทีเดียวกัน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กลับได้รับเชิญให้เข้าร่วมนำเสนอแนวคิดเรื่อง “The Future of Urban Development Launch of a Cross Industry Initiative” ร่วมกับผู้นำ 4 เมือง จากกรุงลอนดอน กรุงมอสโคว นครเทียนจิน และเมืองชางชา สาธารณรัฐประชาชนจีน
       
       ขนาดผู้นำท้องถิ่นของไทยคือ ผู้ว่า กทม.ยังได้รับเชิญให้เข้าร่วมนำเสนอแนวคิดตามหัวข้อที่กล่าวข้างต้น แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้นำประเทศไทยซึ่งกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุม World Economic Forum on East Asia ในอีกสี่เดือนข้างหน้า คือ ระหว่างวันที่ 30 พ.ค. - 1 มิ.ย. 55 ที่กรุงเทพมหานคร กลับไม่ได้แสดงวิสัยทัศน์ในเวทีนี้
       
       มีเสียงกระซิบมาจากข้าราชการที่แอบส่ายหน้า แต่ไม่กล้าเปิดตัวบอกว่า ความจริงเขาให้เกียรติเชิญให้ “ยิ่งลักษณ์” ได้พูด แต่เวทีนี้หินเกินกว่าที่ “ยิ่งลักษณ์” จะก้มหน้าอ่านโพยได้ จึงไม่กล้าที่จะตอบรับ เพราะกลัวตายคาเวทีโลก เนื่องจากการแสดงวิสัยทัศน์ไม่ใช่สักแต่มีสคริปต์ก็ใช้ได้ แต่ต้องสามารถตอบคำถามสดได้ด้วย
       
       เวทีนี้มีผู้เข้าร่วมการประชุมรวมทั้งหมดกว่า 2,600 คน ประกอบด้วยผู้นำรัฐบาลกว่า 40 ประเทศ นักการธนาคารชั้นนำระดับโลกจำนวน 19 คน เจ้าหน้าที่รัฐบาล นักธุรกิจชั้นนำระดับโลก นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ผู้นำสหภาพแรงงาน ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และนักวิชาการ
       
       คงพอเห็นเหตุผลแล้วว่า ทำไม “ยิ่งลักษณ์” จึงขอบายภารกิจนี้ เพราะมันยากกว่าการแต่งตัวเฉิดฉายให้สื่อซื้อได้มาชื่นชมความงามด้านแฟชั่น ชนิดที่เรียกว่าฟ้ากับเหว
       
       แต่อาจจะดีสำหรับประเทศไทยก็ได้ เพราะถ้าดึงดันอยากโชว์อาจสร้างความเสียหายให้กับประเทศมากกว่า

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #462 เมื่อ: 28 มกราคม 2555, 19:11:46 »

อย่างนี้ซิจึงจะเรียกว่า ธรรมศาสตร์ของแท้

กลุ่มนิติมธ. 2501 ยื่นจม.เปิดผนึกถึงอธิการฯ มธ. จี้ลงโทษอาจารย์คณะนิติราษฎร์

วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 18:56:18 น.


   
ชมรมนิติมธ.2501 นำโดย นายสุเทพ นิรันดร และนายสุชาติ สหัสโชติ ประธานชมรม ออกแถลงการณ์และทำจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ดำเนินการห้ามไม่ให้มีการใช้สถานที่ของม.ธรรมศาสตร์รณรงค์ยกเลิกหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 8 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 อันเป็นพฤติกรรมเหิมเกริมจาบจ้วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด และให้กลุ่มอาจารย์นิติราษฎร์ ซึ่งประกอบด้วยอาจารย์ชายหญิงคณะนิติศาสตร์ 5 คน และคณะอื่นอีกบางคณะ ให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่อาจารย์ทันที เพื่อไม่ให้นักศึกษารับความคิดมิจฉาทิฐิมาเป็นแบบอย่างต่อไป พร้อมทั้งให้มีการดำเนินการสอบสวนเพื่อลงโทษทางวินัยกลุ่มอาจารย์นิติราษฎร์ ซึ่งมีการแสดงออกอย่างชัดเจนว่า เป็นผู้ไม่นิยมเลื่อมใสการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ข้าราชการไทยทุกคนจะต้องมี

   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #463 เมื่อ: 30 มกราคม 2555, 19:25:13 »

ข่าวดีอีกข่าวครับพี่น้อง ยามที่พวกมารครองเมือง

จารุวรรณ'มอบทนายความแจ้งคำวินิจฉัยศาลรธน.ให้'พิสิษฐ์'ระวังปฏิบัติหน้าที่ละเมิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
 ไม่เช่นนั้นจะถูกดำเนินคดีแพ่ง-อาญา



นายสุวัตร อภัยภักดิ์ เปิดเผยว่า ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจากคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา แจ้งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 51/2554 ให้นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รักษาราชการแทนผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่วินิจฉัยว่าประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 ไม่ขัดหรือแย้งกัน

กล่าวคือประกาศคปค.เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐมีความต่อเนื่องในลักษณะของบทเฉพาะกาล ส่วนพ.ร.บ.ตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 มาตรา 34(2) ที่นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ มาตรา 33 แล้วผู้ว่าการสตง. ยังพ้นจากตำแหน่งเมื่ออายุ 65 ปี บริบูรณ์อีกกรณีหนึ่ง หมายความว่า คุณหญิงจารุวรรณ ซึ่งพ้นจากผู้ว่าการสตง. แล้ว ในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการสตง. ตามบทเฉพาะกาล ที่มีผลบังคับใช้อยู่ คุณหญิงจารุวรรณ ยังต้องปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ว่าการสตง. ไปพรางก่อน จนกว่าจะมีคณะกรรมการและผู้ว่าการสตง. คนใหม่ ซึ่งผู้จะมาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการสตง.คนใหม่ จึงอยู่เงื่อนไขที่ว่าจะพ้นจากตำแหน่งตามวาระ 5 ปี และยังต้องพ้นไปเมื่ออายุ 65 ปีด้วย

นายสุวัตร กล่าวว่า จากผลของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ดังกล่าว ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรคห้าซึ่งบัญญัติว่า "คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์การอื่นของรัฐ" ดังนั้น คำวินิจฉัยจึงผูกพันนายพิศิษฐ์ และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค.2554 เป็นต้นมา

นายสุวัตร ระบุว่า ขอให้นายพิศิษฐ์ ระมัดระวังในการทำการใดๆ อันจะเป็นการผิดไปจากคำวินิจฉัยของศาบลรัฐธรรมนูญ มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่งต่อไป

จารุวรรณ'มอบทนายแจ้ง'พิศิษฐ์'ใช้อำนาจสตง.ระวังผิดแพ่ง-อาญา

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #464 เมื่อ: 31 มกราคม 2555, 23:12:06 »

ผลงาน"สวย"ช่วยได้ไหม
Posttoday.com
โดย....อสนีบาต

วันเวลาผ่านไปรวดเร็ว เข้าสู่สิ้นเดือนมกราคม รัฐบาลยิ่งลักษณ์สร้างผลงานอะไรเป็นรูปธรรมบ้าง

ถ้าจะเป็นที่รับรู้ผ่านสายตาประชาชี  คงต้องซูฮกกับผลงานการเปลี่ยนแปลงตัวเอง  ตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะสังเกตตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา  ทั้ง เสื้อผ้า หน้า ผม โดดเด่นเป็นพิเศษ ชนิดซุปเปอร์โมเดลต้องถอยไป ด้วยรัศมีความงามเปล่งประกาย ตั้งแต่ลานแคทวอล์คไทยคู่ฟ้าโกอินเตอร์ไปถึงดาวอส

แทบจะไม่มีเสียงวิจารณ์หรือมีก็น้อยเต็มทน  คนอ๊ารายแต่งองค์ทรงเครื่องเฉิดฉายสวยเริ่ดขนาดนี้ ไม่ว่าจะเข้าทำงานในทำเนียบรัฐบาล หรือจะเยื้องกายขึ้นเวทีโชว์วิสัยทัศน์  ตบท้ายด้วยงานรื่นเริงบันเทิงใจ  ล้วนตกเป็นเป้าสายตา

ทั้งชุดม่วงตัวโปรดปรานในงานแต่งหลานสาว  ชุดราตรีสีเงินเด่นอร่ามในงานเลี้ยงทบ.กับการได้พบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์  ประธานองคมนตรี หรือจะชุดดำขับเน้นภาวะผู้นำเข้มแข็งไม่อ่อนปวกเปียกสั่นประหม่า ตามด้วยชุดสูทสตรีสีน้ำตาลรัดรูปตกแต่งด้วยกระดุมเม็ดใหญ่หลายเม็ดหรือจะแจ๊กเกตดำพองลมให้เห็นถึงความน่าเกรงขามไทยแลนด์ ณ ดินแดนดาวอส


ความโดดเด่น สุดสวยแบบนี้ คือลักษณะพิเศษ ที่นายกฯยิ่งลักษณ์ได้ค้นพบตัวเองแล้วว่ารูปลักษณ์ภายนอกสามารถครองภิภพได้ เพราะทำให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์จนหลงลืมภูมิปัญญาความรู้ในตัวผู้นำไปโดยพลัน แม้แต่สื่อไทยภายใต้คอนโทรลยังลงทุนเปิดพื้นที่คอลเลคชั่นให้ผู้นำไทย ดูกันไปดูกันมาก็สบายตา และมันก็สามารถเข้าตากรรมการในระดับสื่อต่างประเทศ อย่างเดลิเมลล์ นำไปเขียนถึง การแต่งองค์ทรงเครื่องนายกฯหญิงไทย ช่างผสมผสานกลมกลืนดีนักแลระหว่าง สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐ และ คาร์ล่า บรูนี่ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งฝรั่งเศส   โดยสไตล์แต่งกายของนายกฯหญิงไทย ผสมผสานระหว่างความมีรสนิยมดีมีระดับของนางโอบามา และความคลาสิกสง่างามของนางบรูนี่  

สารพัดชุดออกงานทั้งท็อปบู๊ทลุยน้ำท่วม ชุดสัญจรตะลุยท้องนา มางานแต่ง แปลงโฉมงานราตรี  นารีโกอินเตอร์ เริ่ดทั้งน้านส์คร้าคุณ  เขาถึงยกให้เป็นผลงานคุณ...ภาพ....

อีกผลงานรูปธรรม ด้วยการบริหารกิจการภายในพรรคพวกตัวเอง ตบรางวัลให้ตำแหน่งรัฐมนตรี เลขานุการที่ปรึกษารัฐมนตรีถ้วนหน้า  ช่างเสียดายห้าเดือนที่ผ่านมาเหมือนนั่งผลาญเวลาไปวันๆเพราะการปรับครม.แต่ละครั้งเท่ากับต้องกลับมานับหนึ่งใหม่ในหลายด้าน

เห็นได้จากบรรดาข้าราชการแต่ละกระทรวง  แทนที่จะนำนโยบายไปปฏิบัติ แต่ต้องมาเพลิดเพลินกับการปรับแต่งข้อมูล ลบชื่อเปลี่ยนป้ายรัฐมนตรีประจำกระทรวงกันใหม่   บางรายเป็นรัฐมนตรีใหม่ถอดด้ามไม่เคยอยู่ในตำแหน่งบริหารงานต้องขอเวลาศึกษาเรียนรู้ เผลอๆกว่าจะลงตัวมีสัญญาณปรับครม.รอบสาม กลายเป็นว่ายังไม่ทันทำงานถึงคราวต้องอำลากระทรวงซะแล้ว  
   

บางรายเป็นรัฐมนตรีมาก่อนแต่ย้ายมากระทรวงใหม่ ไม่มีความแคล่วคล่องแต่ถูกไฟท์บังคับให้มานั่งทำงานจึงต้องทำตัวเสมือนผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ลูกน้อง ข้าราชการมั่นใจได้นายเก่งจริง บางรายมาพร้อมอาการร้อนวิชา ปฏิเสธนโยบายอดีตรัฐมนตรี ขอปั๊มนโยบายใหม่ตามที่ตัวเองต้องการชนิดปรับเปลี่ยนหัวทิ่มสามร้อยหกสิบองศา ทำเอาอลหม่านทั้งกระทรวงต้องปรับตัวกันยกใหญ่

ไม่หมดเพียงเท่านี้  ยังมีบรรดาอดีตรัฐมนตรี ผู้สมัครส.ส.สอบตก ผู้รับใช้พรรคมานาน รอลุ้นมติครม.เพื่อหวังว่าตัวเองจะมีชื่อได้รับแต่งตั้งตำแหน่งเทกระโถนที่ยังเป็นโควต้าตกค้าง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งโฆษกรัฐบาล รองเลขานายกฯ หรืออย่างกรณี ผู้แทนการค้าไทยซึ่งว่างลงหลังจากนลินี ทวีสิน ขึ้นเป็นรัฐมนตรีไปแล้ว คราวนี้ต่อพงษ์ ไชยสาสน์ จำต้องลดชั้นนั่งตบยุงห้องเย็นทำเนียบรัฐบาล จากรัฐมนตรีมาเป็นผู้แทนการค้าไทย เสียศักดิ์ศรีเล็กๆแต่ก็ยังดีกว่าตกงาน ถือเป็นตำแหน่งรักษาน้ำใจ

พรรคการเมืองนี้เขาจัดสรรกันดี โดยเฉพาะความถนัดกลเกมเก้าอี้ดนตรีโดดเด่นกว่าการบริหารการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ   ขนาด อารี ไกรนารา หัวหน้าการ์ดเสื้อแดง หลังได้ใช้เวลาห้าเดือนกับตำแหน่งเลขานุการรมว.มหาดไทย ด้วยผลงานเท่าที่พอจำได้ จัดคอนเสริตช่วยผู้ประสบอุทกภัย และการลงพื้นที่โชว์บารมี จนผู้ว่าราชการจังหวัดภาคใต้ต้องระดมเมนูอาหารใต้มาปรนนิบัติราวกับราชา ถึงคราวหมดวาสนามาเป็นแค่ผู้ช่วยเลขานุการรมช.เกษตรและสหกรณ์ อาจจะโชว์พาวไม่ได้เหมือนอยู่กระทรวงคลองหลอดเพราะต้องตาม”รัฐมนตรีเต้น” ไปทำวิจัยช่วยพี่น้องเกษตรกรให้ราคายางขยับ แต่ก็เป็นอีกรายที่ยังมีตำแหน่งติดตัวดีกว่าไปเป็นหัวหน้า รปภ.เฝ้าเวทีคอนเสริ์ต

ครั้นจะมองถึงเนื้องาน เอาแค่ยุทธศาสตร์รับมืออุทกภัยในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว กับการเอ่ยอ้างออกพรก.กู้เงินเพื่อนำเม็ดเงินกว่าสองแสนล้านบาทมาใช้เพื่อการนี้ กลับปรากฎเสียงบ่นอื้ออึงของคณะกรรมการ ที่อุดมไปด้วย นักวิชาการด้านทรัพยากรน้ำ  ถูกบรรดานักการเมืองผู้มีตำแหน่งใหญ่โตสั่งให้ปิดปากอย่าบังอาจแย่งซีนโชว์ความรอบรู้ต่อสาธารณชนมากนักเพราะเห็นแล้วหมั่นไส้

จึงมีกระแสข่าวออกมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล จะขอถอนตัวจากที่ปรึกษา กยน. หรือสมิทธ  ธรรมสโรช บ่นน้อยอกน้อยใจ อยากลาออกซะงั้น  เหตุเพราะเข้าไปทำงานเห็นอะไรต่อมิอะไรมากมายที่นักการเมืองไร้ศักยภาพทำไว้  ไม่ว่าจะเป็นความไม่ก้าวหน้าของงาน เพราะการที่ฝ่ายการเมืองไม่เข้าใจหลักของการบริหารจัดการป้องกันปัญหาภัยธรรมชาติอย่างเป็นระบบ ถนัดแต่จ้องละเลงงบประมาณลงพื้นที่ที่เห็นว่าเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาน้ำเท่านั้นเอง  เมื่อเป็นอย่างนี้จะไปตลอดรอดฝั่งได้อย่างไร

กรุณามองขึ้นไปบนท้องฟ้าสภาพอากาศแปรปรวนอีกแล้ว คิดถึงปริมาณน้ำในเขื่อน  ป่านนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีการดำริจัดตั้งหน่วยงานบูรณาการทั้งระบบแจ้งเตือนทิศทางเดียวกันหรือยัง   ดูแล้วเศร้าใจยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง

แล้วอย่างงี้ "ความสวย"จะช่วยได้ไหม
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #465 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 09:34:31 »

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ วิเคราะห์ ความผิดฐาน“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”ฯ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

 ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ท่ามกลางกระแสหนุน-ค้านการแก้ไขมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาที่กำลังร้อนแรงสุดขีด บทวิเคราะห์ “ความผิดฐาน “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” : เอกลักษณ์ประชาธิปไตยไทยในกระแสประชาธิปไตยโลก” ของนักกฎหมายชื่อดัง บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นอีกหนึ่งมุมมองทางวิชาการด้านกฎหมาย ที่น่าจะนำมาเป็นข้อมูลเพื่อพิจารณาใคร่ครวญในความเห็นต่างที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน
       
       ความผิดฐาน“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” : เอกลักษณ์ประชาธิปไตยไทยในกระแสประชาธิปไตยโลก
       

       โดย   ศาสตราจารย์ ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
                ราชบัณฑิตและเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า

       
       ในช่วงที่ผ่านมา มีข้อเสนอให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยนักวิชาการไทยบางคน และมีการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยตามมา จากทั้งชาวต่างประเทศและชาวไทย หากสรุปข้อวิพากษ์วิจารณ์ทั้งปวงก็จะเห็นได้ว่า อยู่บนสองฐานคิดหลัก คือ
       
       ๑. ความผิดฐานนี้ขัดต่อหลักการประชาธิปไตยเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกและวิพากษ์วิจารณ์ (freedom of expression)
       
       ๒. มีการใช้ข้อกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานนี้เพื่อประโยชน์ในทางการเมืองของผู้กล่าวหา
       
      บทความนี้ต้องการวิเคราะห์หลักวิชาการเพื่อดูว่าการคงความผิดฐานนี้ไว้ถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกต้อง มีฐานคิดใดรองรับ ถ้าไม่ถูกต้อง เพราะอะไร? และการใช้กฎหมายนี้ มีปัญหาหรือไม่ ถ้ามีต้องแก้อย่างไร ?
       
       ถ้าเราวิเคราะห์โดยอาศัยหลักวิชา ไม่ใช่อาศัยความเห็น (opinion) ที่มาจากความรู้สึกชอบหรือชังอันเป็นอคติ (bias) ก็เห็นจะต้องแยกการวิเคราะห์เรื่องนี้เป็นสองประเด็นหลัก คือ
       
       ๑. หลักการประชาธิปไตยและการกำหนดให้การกระทำบางอย่างเป็นความผิด (criminalization) ในส่วนที่เกี่ยวกับประมุขของรัฐ
       
       ๒. วัฒนธรรมไทยกับความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย : เอกลักษณ์ประชาธิปไตยไทยในกระแสประชาธิปไตยโลก
       

       ๑. หลักการประชาธิปไตยและการกำหนดให้การกระทำบางอย่างเป็นความผิดในส่วนที่เกี่ยวกับประมุขของรัฐ
       
       ๑.๑ หลักนิติธรรม (The Rule of Law)
       
       นักปรัชญาอาชญาวิทยาชั้นแนวหน้าต่างยอมรับว่า การที่จะกำหนดให้การกระทำบางอย่างเป็นความผิดอาญา (criminalization) ก็ต่อเมื่อ “มีความเป็นธรรม” (fair) ที่จะกระทำเช่นนั้น (Dennis Baker, 2007; Joel Feinberg, 1984) โดยต้องมีเหตุผลที่เป็นภาวะวิสัย (objective) ที่อธิบายได้ เหตุผลนั้นก็คือ การกระทำดังกล่าวมีฉันทามติทางสังคม (societal consensus) ของผู้คนว่าการกระทำนั้น “เป็นผลร้ายต่อสังคม” (harmful to the society)
       
       “ผลร้าย” (harm) นี้ อาจเป็นผลร้ายต่อความสงบเรียบร้อย เช่น การฆ่าคน การลักทรัพย์ นอกจากกระทบต่อเหยื่อ (victim) ของการกระทำแล้ว ยังกระทบต่อสังคมโดยรวม เพราะทำให้เกิดความกลัวและความไม่สงบ หรืออาจเป็นผลร้ายต่อความมั่นคง เศรษฐกิจของสังคมก็ได้ นอกจากนั้น ยังอาจเป็นผลร้ายต่อศีลธรรมอันดี (good moral) ก็ได้ ดังเช่นที่หลายสังคมยังกำหนดให้เพศสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเป็นความผิด ทั้งๆ ที่ผู้นั้นยินยอม (statutory rape)
       
       ว่ากันอันที่จริง การกระทำนี้อาจไม่ก่อความเสียหายเป็นส่วนตัวให้ผู้มีเพศสัมพันธ์ที่ยินยอมเลยแม้แต่น้อย (เพราะเขาสมัครใจ) แต่สังคมก็เห็นว่าเป็นผลร้ายต่อศีลธรรม จึงกำหนดให้เป็นความผิดอาญา ความผิดอื่นๆ ลักษณะนี้ยังมีอีกมาก เช่น การเปลือยกายต่อหน้าธารกำนัล อาจไม่เป็นผลร้ายต่อส่วนตัวใคร เพราะผู้เปลือยก็อยากอวด ผู้เห็นก็อยากดู แต่สังคมเห็นว่าผิดศีลธรรม จึงกำหนดเป็นความผิดอาญา
       
       โดยสรุป ความเสียหายหรือผลร้ายต่อตัวเหยื่อ (victim) ที่ถูกกระทบสิทธิ อันเป็นฐานของการกำหนดว่าการกระทำใดเป็นความผิดอาญานั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ความเสียหายต่อสังคมต่างหากที่เป็นตัวชี้ขาดว่าการกำหนดความผิดอาญานั้นมีความเป็นธรรมหรือไม่ บางเรื่องอาจไม่มี “เหยื่อ” เป็นตัวคน เพราะคนไม่เสียหายดังตัวอย่างข้างต้น แต่ “เหยื่อ” คือ สังคมทั้งสังคม ที่รับการกระทำนั้นไม่ได้ !
       
       หลักการของอาชญาวิทยานี้เป็นส่วนหนึ่งของ “หลักนิติธรรม” ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของหลักการประชาธิปไตยที่ใช้กฎหมายที่เป็นธรรมอยู่เหนืออำเภอใจของมนุษย์ ไม่ให้มนุษย์กำหนดสิ่งใดๆ ให้เป็นความผิดอาญาได้ตามใจ
       
       ๑.๒ หลักการประชาธิปไตยกับการคุ้มครองประมุขของรัฐ
       
       นอกจากหลักนิติธรรมแล้ว ก็เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ประชาธิปไตย มีหลักการสำคัญสองส่วนหลัก คือ
       
       ส่วนแรก อำนาจสูงสุดในการปกครองอยู่ที่ประชาชน รัฐบาลผู้ปกครองต้องมาจากความยินยอมของประชาชน โดยประชาชนใช้อำนาจเอง (ประชาธิปไตยทางตรง) หรือประชาชนเลือกตั้งผู้แทนให้เข้ามาใช้อำนาจแทน (ประชาธิปไตยทางอ้อม) และประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมือง
       
       ส่วนที่สอง คือ คนทุกคนในสังคมมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (human dignity) เสมอภาคเท่าเทียมกัน (equality) และมีสิทธิเสรีภาพ (freedom) ที่จะจำกัดได้ก็โดยกฎหมายที่ประชาชนออกเอง หรือออกโดยผ่านผู้แทน และมีกลไกคุ้มครองการละเมิด สิ่งเหล่านี้ให้ยุติลงโดยศาลที่เป็นกลางและอิสระ
       
       ประเทศใดๆ ที่เป็นประชาธิปไตยก็ยึดหลักการทั้งสองนี้ รวมทั้งประเทศไทยด้วย แต่ละประเทศต่างนำหลักการนี้ไปใช้รูปแบบต่างๆ กัน เช่น บางประเทศเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อาทิ อังกฤษ เบลเยี่ยม สเปน ญี่ปุ่น ไทย ฯลฯ บางประเทศก็เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข อาทิ สหรัฐอเมริกา อินเดีย เกาหลี ฯลฯ แต่ไม่ว่าระบบบการปกครองจะต่างกันอย่างไร ทุกประเทศก็ยึดถือหลักการทั้งสองนี้เหมือนๆ กัน โดยเฉพาะหลักการที่สอง
       
       ความจริงระบอบประชาธิปไตยยังมีระบบรัฐบาลที่แตกต่างหลากหลายกันออกไปหลายรูปแบบอีก เช่น ประเทศที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุขก็อาจเป็นระบบประธานาธิบดี (presidential system) คือ ประธานาธิบดีเป็นทั้งประมุขของรัฐ และประมุขรัฐบาล ลงมือบริหารประเทศเอง มีความรับผิดชอบทางการเมือง เช่น สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ หรือเกาหลี แต่บางประเทศก็มีประธานาธิบดีเป็นประมุขและไม่ได้บริหาร ทั้งไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง แต่มีนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลบริหารและรับผิดชอบทางการเมืองแทน เช่น อินเดีย หรือเยอรมนี อันเป็นระบบรัฐสภา (parliamentary system)
       
       ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็แตกต่างกัน หลายประเทศเป็นระบบรัฐสภา คือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ได้ทรงบริหารราชการแผ่นดิน แต่ทรงทำตามคำแนะนำของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จึงไม่ต้องทรงรับผิดชอบทางการเมือง จึงมีคำพูดที่ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงปกเกล้าฯ (the King reigns) แต่ไม่ได้ทรงปกครอง (but not rules)” ประเทศเหล่านี้ก็มีอังกฤษ เบลเยี่ยม สเปน นอร์เวย์ ญี่ปุ่น และไทย เป็นต้น แต่พระมหากษัตริย์บางประเทศก็ทรงปกเกล้าและปกครองบริหารประเทศไปด้วย โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มมุสลิม อาทิ ซาอุดิอาระเบีย บรูไน ฯลฯ
       
       แต่ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยรูปแบบใดๆ ก็ตาม ต่างก็ยอมรับว่า “ประมุขของรัฐ” (head of state) มีฐานะต่างจากคนทั่วไปทุกคนในประเทศนั้น เพราะไม่ได้มีฐานะบุคคลแต่มีฐานะเป็น “สถาบัน” (institution) และเป็น “ผู้แทนรัฐหรือประเทศ”
       

       หลักการนี้เป็นหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เป็นกฎหมายจารีตประเพณี และเป็นหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย
       
       ดังนั้น ในกฎหมายระหว่างประเทศ ประธานาธิบดี หรือพระมหากษัตริย์ก็ทรงมีเอกสิทธิ์และความคุ้มกัน (privileges and immunities) หลายประการ อาทิ ไม่อาจฟ้องร้องหรือดำเนินคดีใดๆ ต่อประมุขของรัฐได้ในขณะที่ดำรงตำแหน่ง ด้วยเหตุนี้ ความพยายามฟ้องประธานาธิบดีฟิเดล คาสโตร ในสเปนก็ดี ความพยายามฟ้องประธานาธิบดีเจียง เจ๋อ หมิน ในสหรัฐอเมริกาก็ดี หรือความพยายามฟ้องประธานาธิบดีโรเบิร์ต มูกาบี ในอังกฤษก็ดี ศาลต้องยกฟ้องหมด มีข้อยกเว้นกรณีประธานาธิบดีปิโนเชของชิลีที่ฟ้องได้ในศาลอังกฤษ เพราะชิลีและอังกฤษต่างเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการทรมานที่สละเอกสิทธิ์ของประมุขของรัฐ!
       
       ในรัฐธรรมนูญของประเทศประชาธิปไตยก็ยกประมุขของรัฐไว้แตกต่างจากบุคคลธรรมดาโดยเฉพาะประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อาทิ
       
       รัฐธรรมนูญนอร์เวย์ ปี ๑๘๑๔ มาตรา ๕ บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะ (sacred) และจะถูกกล่าวหาหรือตรวจสอบมิได้”
       
       รัฐธรรมนูญเดนมาร์ก ปี ๑๙๕๓ มาตรา ๑๓ บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ไม่ต้องทรงรับผิดทางการเมือง องค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะ (sacrosanct) …”
       
       รัฐธรรมนูญเบลเยี่ยม ปี ๑๙๗๐ มาตรา ๘๘ บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันละเมิดมิได้ (inviolable) รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบแทนพระมหากษัตริย์”
       
       รัฐธรรมนูญสเปน มาตรา ๕๖ (๓) บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันละเมิดมิได้ (inviolable) และไม่ต้องทรงรับผิดชอบใดๆ ทางการเมือง”
       
       รัฐธรรมนูญลักเซมเบิร์ก มาตรา ๔ บัญญัติว่า “องค์แกรนด์ดยุกทรงดำรงอยู่ในฐานะอันละเมิดมิได้ (inviolable)”
       
       จะเห็นได้ว่าประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ต่างก็บัญญัติรัฐธรรมนูญรองรับพระราชสถานะอันศักดิ์สิทธิ์ (sacred)เป็นที่เคารพสักการะหรือละเมิดมิได้ (inviolable) ทั้งสิ้น ข้อสำคัญ คือ ความคุ้มครองนี้มิได้คุ้มครองเฉพาะตำแหน่งพระมหากษัตริย์ แต่คุ้มครองไปถึงส่วนตัวหรือส่วนพระองค์ด้วย ดังจะเห็นได้ว่าการใช้ถ้อยคำว่า “the person of the King” หรือ “องค์พระมหากษัตริย์” อันเป็นการคุ้มครองที่รัฐธรรมนูญถวายไว้มากกว่าประมุขของรัฐที่เป็นประธานาธิบดี
       
       นอกจากรัฐธรรมนูญแล้ว ในประเทศประชาธิปไตยของโลกก็ยังมีบทบัญญัติของกฎหมายธรรมดาคุ้มครองประมุขของรัฐ และองค์กรอื่นๆ ของรัฐในฐานะสถาบันอีก เช่น คุ้มครองรัฐสภา คุ้มครองศาล
       
       ในอังกฤษ ต้นแบบประชาธิปไตยระบบบรัฐสภาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีหลักคอมมอน ลอว์ และกฎหมายลายลักษณ์อักษรคุ้มครองทั้งพระมหากษัตริย์ รัฐสภา และศาล
       
       พระมหากษัตริย์นั้น มีพระราชบัญญัติว่าด้วยกบฏ ปี ๑๘๔๘ (The Treason and Felony Act, 1848) มาตรา ๓ ซึ่งกำหนดองค์ประกอบความผิดฐานกบฏไว้หลายอย่างรวมทั้งการละเมิดต่อพระเกียรติยศของสมเด็จพระราชินีนาถ เช่น การนำเสนอการมีประธานาธิบดีแทนสมเด็จพระราชินีนาถก็อาจมีความผิดฐานนี้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินคดีตามพระราชบัญญัตินี้ครั้งสุดท้ายเกิดในปี ๑๘๘๓ ตั้งแต่นั้นมากฎหมายฉบับนี้ก็ “หลับ” ไป คือไม่มีการใช้บังคับอีกเลย
       
       นอกจากนั้น ตามคอมมอน ลอว์ ทั้งสภาสามัญ และสภาขุนนาง ต่างมีอำนาจลงโทษอาญาฐาน “ละเมิดรัฐสภา (contempt) หรือละเมิดเอกสิทธิ (breach of privilege)” ได้ โดยสามารถพิจารณาและมีมติให้ตำรวจรัฐสภาไปจับมาขังได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของศาลยุติธรรม และหากมาอุทธรณ์ต่อศาล ศาลก็ไม่มีอำนาจพิจารณา ต้องยกฟ้อง (ดู Brass Crosby’s Case 19 St. Tr. 1147) อำนาจนี้รวมถึงการลงโทษคำพูดหรือข้อเขียนที่ใส่ความหรือหมิ่นประมาทสภาใดสภาหนึ่ง หรือสมาชิก (Erskine May, 1983, p.124, 152)
       
       นอกจากนั้น ยังมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล (contempt of court) ซึ่งเป็นความผิดตามคอมมอน ลอว์ และพระราชบัญญัติ Contempt of Court Act 1981 ซึ่งอาจทำให้ผู้ละเมิดอำนาจศาลมีทั้งความผิดอาญาและทางแพ่ง ฐานความผิดก็คือการไม่เคารพศาล เช่น ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ไม่เคารพผู้พิพากษา ขัดขวางกระบวนพิจารณา หรือหมิ่นประมาทศาลด้วยการโฆษณา ถ้ากระทำต่อหน้า (direct contempt) ศาลสั่งขังได้ทันที ถ้ากระทำนอกศาล (indirect contempt) ก็เป็นหน้าที่ของอัยการที่ฟ้องคดี
       
       นอกจากอังกฤษแล้ว ประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอื่นๆ ก็มีกฎหมายทำนองนี้หลายประเทศ อาทิ นอร์เวย์ กำหนดความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ (defamation) หรือผู้สำเร็จราชการแผ่นดินต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี (มาตรา ๑๐๑ ประมวลกฎหมายอาญา) และถ้ากระทำผิดต่อพระบรมวงศานุวงศ์ทางเพศ (มาตรา ๑๙) ละเมิดเสรีภาพส่วนตัว (มาตรา ๒๑) หรือใส่ความดูหมิ่น (มาตรา ๒๓) อาจได้รับโทษเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของโทษที่กระทำต่อบุคคลธรรมดา (มาตรา ๑๐๒) แต่ที่น่าสนใจ คือ การกล่าวหาเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของนอร์เวย์จะกระทำได้เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงเห็นชอบเท่านั้น
       
       ในเบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ สเปนต่างก็มีความผิดฐานนี้ทั้งสิ้น กล่าวคือในเบลเยี่ยม ความผิดฐานนี้ถ้าเป็นการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ จำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสามปี และปรับ ๓๐๐-๓,๐๐๐ ฟรังค์ กรณีหมิ่นพระบรมวงศานุวงศ์ จำคุกตั้งแต่สองเดือนถึงสองปี และปรับ ๑๐๐-๒,๐๐๐ ฟรังค์ ในเนเธอร์แลนด์ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หากหมิ่นพระราชินีหรือพระสวามีจำคุกสี่ปี ในสเปนต้องระวางโทษจำคุกหกเดือนถึงสองปี นอกจากนั้น ในหลายประเทศที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ ก็มีความผิดอาญาฐานดูหมิ่นประมุขของรัฐต่างประเทศ เช่น เยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ โปแลนด์ (wikipedia, lèse majesté)
       
       ๑.๓ หลักความเสมอภาค เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการคุ้มครองสังคม
       
       จริงอยู่แม้ว่าหลักการประชาธิปไตยจะเชิดชูความเสมอภาคและเสรีภาพ โดยเฉพาะเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการโฆษณาความคิดเห็นก็จริง แต่ความเสมอภาคก็ไม่ใช่ความเสมอภาคแบบเถรตรงซื่อๆ ซึ่งทำให้การเลือกปฏิบัติ (discrimination) ทุกประเภทกลายเป็นขัดหลักความเสมอภาคหมด ทั้งๆ ที่การเลือกปฏิบัติบางอย่างมีเหตุผลและความจำเป็น เช่นการสอบเข้ารับราชการหรือมหาวิทยาลัยเพราะมีที่จำกัด
       
       ว่ากันอันที่จริง การสอบเข้าก็เป็นการเลือกปฏิบัติ แต่เป็นการเลือกปฏิบัติที่เป็นธรรม (fair discrimination) ที่ยอมรับกันทั่วไปว่าไม่ขัดหลักความเสมอภาค การคุ้มครองประมุขของรัฐแตกต่างจากคนทั่วไปก็ดี การคุ้มครององค์กรของรัฐแตกต่างจากคนทั่วไปก็ดี ก็เป็นการเลือกปฏิบัติที่เป็นธรรมที่ทำกันทั่วไปทุกประเทศ ไม่เห็นใครบอกว่าขัดหลักความเสมอภาค นี่คือหลักเสมอภาคที่อริสโตเติล บอกว่า การปฏิบัติต่อสิ่งที่ที่แตกต่างกันโดยปฏิบัติเหมือนๆ กันต่างหากที่ไม่ยุติธรรม การเลือกปฏิบัติในทางบวก (positive discrimination) เพื่อช่วยคนพิการ คนด้อยโอกาสในสังคมมากกว่าช่วยเหลือคนทั่วไปจึงทำได้ และควรทำโดยไม่ขัดหลักเสมอภาคแต่อย่างใด
       
       เสรีภาพก็เช่นกัน ปราชญ์ทั่วโลกก็ยอมรับว่าเสรีภาพที่เสรีเต็มร้อยโดยไม่มีข้อจำกัดเลยจะทำให้เกิดอนาธิปไตยและความวุ่นวาย เหตุนี้ คำประกาศสิทธิมนุษย์และพลเมืองฝรั่งเศส ปี ๑๗๘๙ ข้อ๔ จึงกำหนดว่า “เสรีภาพ ก็คือ ความสามารถที่จะกระทำการใดก็ได้ที่ไม่เป็นการรบกวนผู้อื่น ดังนั้นการใช้สิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์แต่ละคนจะมีก็แต่เพียงข้อจำกัดเฉพาะที่ต้องยอมให้สมาชิกอื่นของสังคม สามารถใช้สิทธิเหล่านี้ได้เช่นเดียวกัน ข้อจำกัดเช่นว่านี้ จะกำหนดขึ้นได้ก็แต่โดยบทกฎหมายเท่านั้น”
       
       หลักการนี้ ก็ปรากฏในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ปี ๑๙๔๘ ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะข้อ ๑๙ ที่ว่าด้วยเสรีภาพแห่งความคิดเห็นและ การแสดงออก (freedom of expression) แต่ก็อยู่ภายใต้ข้อ ๒๙ โดยเฉพาะ (๒) ที่ว่า “ในการใช้สิทธิและเสรีภาพของตน บุคคลทุกคนย่อมอยู่ภายใต้ข้อจำกัดที่กำหนดโดยกฎหมาย เพื่อประโยชน์ที่จะได้มาซึ่งการยอมรับและเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นตามควร และที่จะสอดคล้องกับศีลธรรม ความสงบเรียบร้อยของประชาชน และสวัสดิการทั่วไปในสังคมประชาธิปไตย”
       
       อันที่จริง ทุกประเทศประชาธิปไตยก็ยอมรับว่าเสรีภาพมีข้อจำกัด และการจำกัดเสรีภาพนั้นต้องทำโดยกฎหมายที่ปวงชนเป็นผู้ออก หรือผู้แทนประชาชนเป็นผู้ออก จึงไม่เคยมีประเทศใดหรือใครเคยบอกว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือการแสดงออกนั้นก่อให้เกิดความสามารถที่จะด่าใคร ดูหมิ่นใคร หรือหมิ่นประมาทใครๆก็ได้ ทุกประเทศยอมรับว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกหยุดลง เมื่อต้องคุ้มครองผู้อื่น ในชื่อเสียง เกียรติยศของผู้อื่น(จึงกำหนดเป็นความผิดฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาท) คุ้มครองผู้เยาว์ (ในหลายประเทศ การแพร่ภาพเปลือยหรือลามกของผู้ใหญ่ทำได้ แต่การแพร่ภาพดังกล่าวของเด็กเป็นความผิด) คุ้มครองศีลธรรม (เมืองไทยห้ามขาย ห้ามฉายหนังโป๊ เมืองไทยห้ามเปิดบ่อน เมืองมุสลิมถือว่าการมีเพศสัมพันธ์ชายกับชายเป็นความผิดอาญาร้ายแรงฯลฯ) คุ้มครองความสงบเรียบร้อยละความมั่นคง (ห้ามโฆษณาเชิญชวนคนมาร่วมก่อการร้าย ฯลฯ)
       
       ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ข้อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกที่ยอมรับหลักการร่วมกันของทุกประเทศว่า เป็นไปเพื่อคุ้มครองผู้อื่น คุ้มครองศีลธรรม เพื่อคุ้มครองความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย เมื่อนำมาใช้ในแต่ละประเทศ การให้ความหมายของคำว่า “ศีลธรรม” ว่าอะไรคือศีลธรรมที่ต้องคุ้มครอง? และต้องคุ้มครองเพียงใด? อันเป็นเรื่องขอบเขต (extent) และระดับ (degree) ของข้อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกก็แตกต่างกันไป การให้ความหมายของคำว่า “ความมั่นคงหรือความสงบเรียบร้อย” ก็มีปัญหาเรื่องขอบเขตและระดับที่ไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศ
       
       ตรงนี้คือหัวใจสำคัญของปัญหา เพราะทุกคนยอมรับข้อจำกัดเสรีถาพในการแสดงออกร่วมกัน แต่ถกเถียงกันในเรื่องที่เป็นข้อจำกัดว่าคืออะไร มีระดับใด
       
       ปัญหามีต่อไปว่า ใครจะเป็นผู้ตัดสินว่าการที่ประเทศหนึ่งถือว่าเรื่องนั้นไปจำกัดไม่ได้ แต่อีกประเทศหนึ่งถือว่าเรื่องนั้นต้องจำกัด ประเทศใดทำถูก
       
       ในสหรัฐอเมริกา ในอังกฤษ เสรีภาพในการแสดงออกมีมากถึงขั้นวิพากษ์วิจารณ์พระคริสต์ได้ ฉายหนังลามกได้ ชายรักร่วมเพศกอดจูบกันในที่สาธารณะได้ แต่ในประเทศมุสลิม อย่าว่าแต่ทำโดยแสดงออกเปิดเผยเลย แม้กระทำในที่ลับตัวต่อตัวด้วยความยินยอม ก็เป็นความผิดอาญาร้ายแรง เพราะขัดต่อหลักศาสนาและกฎหมายอิสลามอย่างรุนแรง!
       
       ใครเป็นประชาธิปไตย ใครไม่เป็นประชาธิปไตย ใครถูก ใครผิด?
       
       เรื่องนี้เป็นความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งระหว่างกฎหมายกับจริยศาสตร์ (Law and Ethics) กล่าวคือ อะไรคือสิ่งที่ดีหรือถูก เป็นสิ่งที่ควรทำเพราะถูกจริยธรรม (ethical) อะไรคือสิ่งที่เลวหรือผิด เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ (unethical) เพราะเป็นผลร้ายต่อสังคม (harmful to the society)
       
       ถ้าเราถือว่าทั้งโลก ความถูก-ผิดมีเพียงหนึ่งเดียว และความถูกผิดเพียงหนึ่งเดียวนั้นก็คือที่ “เรา” เท่านั้นเชื่อว่าถูกหรือผิด เราก็คือผู้เผด็จการทางจริยธรรม ที่ต้องการเอาสิ่งที่เราเชื่อขึ้นเป็นมาตรฐานของคนทั้งโลก (Ethical dictatorship) หรือที่เรียกให้ไพเราะตามศัพท์จริยศาสตร์ว่า จริยธรรมสมบูรณัติ (ethical absolutism)
       
       แต่ถ้าเราถือว่าในปัญหาข้างต้นไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด ต่างก็เป็นประชาธิปไตยในวิถีของตน ตามวิถีแห่งจริยธรรมสัมพัทธ์ (ethical relativism) คือถือว่าประเทศแต่ละประเทศ สังคมแต่ละสังคมมีวัฒนธรรมและจริยธรรมที่หลากหลาย แตกต่างกันได้และไม่มีใครผิด เป็นความหลากหลายที่โลกต้องการ เราต้องการ เราก็จะเข้าใจผู้อื่นได้มากขึ้น ง่ายขึ้น และไม่ทำตัวเป็นพระเจ้าตัดสินถูกผิดของมนุษย์ผู้อื่นทั้งโลกด้วยมาตรฐานของตัวเราเอง !
       
       คนที่เปิดใจกว้างเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่น เคารพวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของสังคมอื่น ยอมรับความหลากหลายเห็นความแตกต่าง ฟังเหตุ ฟังผล ก็จะเริ่มเข้าใจว่าความเป็นประชาธิปไตยก็ดี ความเสมอภาคก็ดี เสรีภาพในความคิดและการแสดงออกก็ดี ก็ย่อมแตกต่างกันไปตามประเทศ ตามสังคม ตามวัฒนธรรม และจริยธรรมของคนส่วนใหญ่ในแต่ละประเทศและแต่ละสังคม ข้อสำคัญก็คือ จะแตกต่างกันอย่างไรหลักการประชาธิปไตย ความเสมอภาคและเสรีภาพต้องไม่ถูกทำลาย
       
       หัวใจของเรื่องก็คือ “สังคม” (society) ต้องเป็นตัวตั้ง การเมืองการปกครองหรืออะไรๆก็แล้วแต่เกิดหลังสังคมและถูกคิดขึ้นเพื่อประโยชน์ทางสังคมทั้งสิ้น แม้รากเหง้าของระบอบประชาธิปไตยในเวลานี้ก็มีทฤษฎีสัญญาสังคม (Social Contract) รองรับอยู่มิใช่หรือ?
       
       ดังนั้น ในขณะที่สังคมหนึ่งยอมรับว่าประชาธิปไตย คือ ระบอบการปกครองสังคมที่ดีที่สุดในเวลานี้ และประชาธิปไตยก็มีหลักการสำคัญดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะหลักความเสมอภาคและเสรีภาพพร้อมข้อจำกัด สังคมแต่ละสังคมก็ย่อมมีสิทธิอิสระ (self determination) ที่จะกำหนดในรายละเอียดโดยไม่ทำให้เสียหลักการว่าอะไรคือข้อจำกัดที่ว่านั้น
       
       การที่สังคมอังกฤษให้การดูหมิ่นศาลการดูหมิ่นสภาเป็นความผิด และศาลหรือสภาลงโทษได้ทันทีโดยไม่ต้องดำเนินคดีเหมือนคดีทั่วไป ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องในสังคมอังกฤษ แต่คนอังกฤษไม่มีสิทธิไปตัดสินว่าสังคมที่ไม่ลงโทษการดูหมิ่นสภาหรือศาลเป็นสังคมไม่เป็นประชาธิปไตย! และคงไม่มีใครที่เป็นคนใจกว้างไปกล่าวหาอังกฤษว่าไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่มีหลักนิติธรรม เพราะสภาและศาลลงโทษคนละเมิดได้เองโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการปกติอันเป็นการเลือกปฏิบัติ !
       
       การที่สังคมเบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ สเปน ไทย และอีกหลายประเทศตัดสินว่าการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เป็นความผิดมากกว่าดูหมิ่นคนธรรมดา ก็เป็นสิทธิอิสระของสังคมแต่ละสังคมที่ว่านี้ เพราะวัฒนธรรมและศีลธรรมทางสังคมและคนส่วนใหญ่ในประเทศเหล่านี้ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็น “ผลร้าย”ต่อสังคม

       
       ความจริง ข้อจำกัดเสรีภาพที่แตกต่างกันไปตามสังคมนี้ยังมีตัวอย่างอีกมาก เช่น เสรีภาพในการแสดงออกในประเทศส่วนใหญ่ในตะวันออกถูกจำกัดด้วยการห้ามเผยแพร่สิ่งลามก เสรีภาพในการประกอบอาชีพถูกจำกัดด้วยการห้ามเล่นการพนัน หรือการห้ามบ่อนคาสิโน เสรีภาพในร่างกายถูกจำกัดด้วยความผิดฐานรักร่วมเพศในบางประเทศ แต่คงไม่มีใครที่มีจิตใจประชาธิปไตยไปตัดสินว่าประเทศหรือสังคมเหล่านี้ไม่เป็นประชาธิปไตยเพียงเพราะสังคมนั้นๆมีวัฒนธรรมและจริยธรรมอันแสดงให้เห็นข้อจำกัดทางสังคมแตกต่างจากสังคมของตน
       
       ๒. วัฒนธรรมไทยกับความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ: เอกลักษณ์ของประชาธิปไตยไทยในกระแสประชาธิปไตยโลก
       
       ๒.๑ กฎหมายไทยสะท้อนวัฒนธรรมและจริยธรรมไทย
       
       ถ้าศึกษาโครงสร้างความผิดฐานดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทในประมวลกฎหมายอาญาเราจะพบว่ามีความผิดอยู่สามกลุ่ม หกระดับ คือ
       
       กลุ่มที่หนึ่ง ดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทคนธรรมดา ถ้าดูหมิ่นซึ่งหน้า (insult) ตามมาตรา๓๙๓ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ เดือนหรือปรับไม่เกิน๑๐๐๐บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าหมิ่นประมาท (defamation) ตามมาตรา ๓๒๖ ถึง ๓๓๓ ก็ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาก็ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
       
       กลุ่มที่สอง ดูหมิ่นเจ้าพนักงานหรือศาลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าดูหมิ่นเจ้าพนักงาน (มาตรา ๑๓๖) ก็ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษา (มาตรา๑๙๘) ในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี ต้องระวางโทษจำคุก๔-๗ปี หรือปรับ ๒,๐๐๐ ถึง ๑๔,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
       
       กลุ่มที่สาม ดูหมิ่นประมุขของรัฐต่างประเทศ หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถ้าดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาตร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ (มาตรา๑๓๓) (อันเป็นความผิดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ) ต้องระวางโทษจำคุก ๑ ถึง ๗ ปี หรือปรับ ๒,๐๐๐ ถึง ๑๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้ากระทำการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาตร้ายพระมหากษัตริย์ไทย พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (มาตรา๑๑๒) ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๓ ถึง๑๕ ปี ถ้าดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาทผู้แทนรัฐต่างประเทศ ซึ่งได้รับแต่งตั้งมาสู่ราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุก ๖เดือน ถึง๕ปี ปรับ๑๐๐๐-๑๐,๐๐๐บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
       
       จะเห็นได้ว่า ประมวลกฎหมายอาญาไทยจำแนกการกระทำความผิดฐานดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทเอาไว้ตามสถานะ (status) และความสัมพันธ์ของบุคคล อันเป็นการสอดคล้องกับจริยธรรมในสังคมไทย
       
       ความจริง ถ้าดูเรื่องอื่นก็จะพบความจริงที่ว่า กฎหมายไทยในเรื่องนี้ต่างจากหลายประเทศในหลายเรื่องเพราะเรามีจริยธรรมที่ยึดสถานะและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่นความผิดฐานฆ่าคน ถ้าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา (มาตรา๒๘๘) ก็ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ ๑๕ ถึง ๒๐ ปี ถ้าฆ่าบุพการี (บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย) ฆ่าเจ้าพนักงานฯลฯ (มาตรา๒๘๙) ต้องระวางโทษประหารชีวิตสถานเดียว ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเราถือว่าการฆ่าบิดามารดา ตามหลักศาสนาเป็น “อนันตริยกรรม” ตามจริยธรรมถือว่าเป็นการเนรคุณอย่างรุนแรงที่สุด
       
       ความผิดฐานลักทรัพย์ (มาตรา๓๓๔) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน๓ปี ปรับไม่เกิน ๖,๐๐๐ บาท แต่ถ้าลักพระพุทธรูปหรือวัตถุในทางศาสนา (ทุกศาสนา) ที่เป็นที่สักการะบูชาของประชาชนหรือเก็บไว้เป็นสมบัติของชาติ (มาตรา๓๓๕ทวิ) ต้องระวางโทษจำคุก ๓ ปีถึง ๑๐ ปี ปรับ ๖,๐๐๐ ถึง ๒๐,๐๐๐บาท ความผิดฐานลักวัตถุทางศาสนาที่เคารพของประชาชน คงไม่มีในกฎหมายตะวันตก เพราะเขาไม่ได้นับถือเหมือนคนไทย!
       
       ความผิดฐานลักทรัพย์มาตรา ๗๑ กำหนดว่า ถ้าภรรยาหรือสามีกระทำต่อกันไม่ต้องรับโทษ ถ้าผู้สืบสันดานกระทำต่อบุพการี หรือบุพการีกระทำต่อผู้สืบสันดาน หรือพี่น้องร่วมบิดามารดากระทำต่อกัน ให้เป็นความผิดอันยอมความได้ และศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า พ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง ลักทรัพย์กันสังคมยอมให้คนเหล่านั้น “อโหสิกรรม” กันได้ กฎหมายประเทศตะวันตกก็คงไม่มี
       
       ยังมีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างจริยธรรมและวัฒนธรรมของคนไทยส่วนใหญ่ในสังคมไทยที่ปรากฎเป็นกฎหมาย กับจริยธรรมและกฎหมายของตะวันตกอีกมากมาย เช่น กฎหมายไทยห้ามผู้สืบสันดานฟ้องบุพการี ภาษากฎหมายโบราณเรียกว่า “อุทลุม” เพราะถือว่าเป็นการเนรคุณ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖๒) การให้นั้นเมื่อให้แล้วปกติเรียกคืนไม่ได้ เว้นแต่ผู้รับประพฤติเหตุเนรคุณ (มาตรา๕๓๑)
       
       ๒.๒ พระมหากษัตริย์ในวัฒนธรรมและจริยธรรมไทย
       
       ถ้าเราจำแนกประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ ๒๖ ประเทศที่มีอยู่ในโลก เราจะพบว่ามีพระมหากษัตริย์อยู่สองกลุ่มหลักๆ คือ
       
       กลุ่มที่๑ ซึ่งอาจเรียกว่า “พระมหากษัติย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” (Constitutional Monarchy) อาทิ อังกฤษ เบลเยี่ยม นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ สเปน ญี่ปุ่น ไทย ในกลุ่มนี้ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐ ทรงปกเกล้าฯ แต่ไม่ทรงปกครอง แต่มีรัฐบาลที่มาจากประชาชนเลือกตั้ง เป็นผู้ถวายคำแนะนำและปกครอง

       
       กลุ่มที่ ๒ คือกลุ่ม “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงปกครอง” กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นประเทศมุสลิม เช่น ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือบรูไน
       
       สำหรับกลุ่มที่ ๒ คงไม่ต้องวิเคราะห์ เพราะแตกต่างจากของเรามาก แต่แม้ในกลุ่มที่๑ ที่ต่างก็เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ก็ยังมีสถานะต่างกันเป็นสามกลุ่ม คือ
       
       กลุ่มแรก เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีประวัติศาสตร์ยืนยาวมาตั้งแต่ครั้งราชาธิปไตยในสมัยโบราณ และเมื่อเปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตย ก็ยังคงลักษณะเด่นอยู่คือคงความลึกลับและสูงส่ง มีนิติราชประเพณีเคร่งครัด อาทิ อังกฤษ ญี่ปุ่น ซึ่งพระมหากษัตริย์ไม่สู้จะมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับประชาชนมากนัก
       
       กลุ่มที่สอง เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเช่นกัน แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตยก็มีความเปลี่ยนแปลงคือ ทรงปฏิบัติพระองค์เยี่ยงคนธรรมดา เสด็จไปห้างสรรพสินค้าโดยทรงขับรถพระที่นั่งเอง หรือทรงจักรยานไป ความเคร่งครัดของนิติราชประเพณีก็ไม่เท่ากลุ่มแรก สถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในกลุ่มนี้ คือกษัตริย์สแกนดิเนเวีย เช่นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์ค เนเธอร์แลนด์ พระมหากษัตริย์สวีเดนและนอร์เวย์ แต่ความสัมพันธ์กับประชาชนก็ไม่เด่นชัด
       
      กลุ่มที่สาม อยู่กึ่งกลางระหว่างกลุ่มที่๑ และกลุ่มที่ ๒ เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาตั้งแต่ครั้งราชาธิปไตย มีสถานะสูงส่งทั้งทางศาสนา และสังคม มีนิติราชประเพณีที่มีมายาวนาน แต่ก็มีความใกล้ชิดกับประชาชน และเป็นที่เคารพรักของประชาชนอย่างยิ่ง เพราะพระราชกรณียกิจนานัปการที่ทรงประกอบเพื่อประชาชน กลุ่มที่สามนี้มีตัวอย่างเห็นชัดคือ พระมหากษัตริย์ไทย
       
       คนต่างชาติอาจเห็นภาพพระพุทธเจ้าหลวง หรือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ หรือทรงบรมราชขัตติยภูษาภรณ์ในพิธีบรมราชาภิเษกอันแสดงความอลังการ และศักดิ์สิทธิ์
       
       แต่คนไทยนั้นได้เห็นทั้งภาพอลังการ ศักดิ์สิทธิ์อันแสดงความยืนยงและความต่อเนื่องของประวัติศาสตร์ของชาติ ประเพณีโบราณที่เก็บรักษาไว้ และยังได้เห็นภาพที่พระมหากษัตริย์ของเรา พระบรมราชินีนาถ และพระราชโอรส ธิดา ประทับนั่งบนดิน มีรับสั่งด้วยภาษาสามัญกับประชาชนของพระองค์ในถิ่นทุรกันดาร ที่คนธรรมดาไม่อยากไป โครงการต่างๆ ที่ทรงริเริ่มและทำทั่วประเทศกว่า ๓,๐๐๐ โครงการที่ไม่เคยมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประเทศอื่นทรงทำก็เกิดขึ้นเพราะความใกล้ชิดกับประชาชนนี้เอง
       
       สายสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์ไทยกับประชาชนคนไทยมีลักษณะพิเศษที่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ธรรมดาระหว่างประมุขของรัฐที่เป็นสถาบันการเมือง กับประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย แต่เป็นสายสัมพันธ์พิเศษที่มีลักษณะยากแก่ความเข้าใจของคนต่างชาติ ต่างภาษา ดังนี้
       

       ๒.๒.๑ เทวราชาหรือธรรมราชา
       
       ผู้เขียนต่างชาติบางคนไปอธิบายว่า คนไทยถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นเทพตามคติเทวราชาของพราหมณ์ ซึ่งก็ไม่ผิดไปทั้งหมดเพราะเค้ามูลของพระราชพิธีบางอย่างทำให้เข้าใจเป็นนั้นได้ แต่ความจริงแล้ว คติพระพุทธศาสนาต่างหากที่สำคัญกว่า เพราะในอัคคัญญสูตรที่พระพุทธองค์ทรงอธิบายกำเนิดโลกและการปกครองนั้น ทรงแสดงไว้ชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์เป็น “มหาสมมติ” (ผู้ที่มหาชนพร้อมใจกันให้เป็นหัวหน้า) เป็น “ราชา” (ผู้ทำความอิ่มใจ สุขใจให้แก่ผู้อื่น) ที่เป็นพระมหากษัตริย์ได้ก็โดย “ธรรม” มิใช่เกิดขึ้นโดย “อธรรม” และทรงย้ำว่า “กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่ชนผู้ถือโคตร แต่ผู้ใดมีวิชาและจรณะ (ธรรมะ) ผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่เทวดาและมนุษย์”
       
       ด้วยเหตุดังนี้ คติ “ธรรมราชา” ซึ่งหมายถึงพระราชาผู้ทรงปกครองด้วยธรรมะ (อาทิ ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร ราชสังคหวัตถุ ฯลฯ) จึงมีความสำคัญมากกว่าเทวราชา ดังที่พระเจ้าอโศกมหาราชของอินเดียได้ทรงวางแบบอย่างแนวทางไว้ และพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต คือ พระมหาธรรมราชาลิไท และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ได้ทรงดำเนินตาม ดังพระปฐมบรมราชโองการของรัชกาลปัจจุบันซึ่งทรงเปล่งท่ามกลางมหาสมาคมเมื่อพระราชพิธีบรมราชาภิเษกว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” (โปรดดูข้อเขียนของผู้เขียนเรื่อง “ทศพิธราชธรรมกับพระมหากษัตริย์ไทย”)
       
       ๒.๒.๒ จาก “สถาบันการเมือง” มาสู่ “สถาบันหลักทางสังคม”
       
       โดยปกติ พระมหากษัตริย์นั้นทรงเป็นประมุขของรัฐอันจัดเป็นสถาบันการเมืองประเภทหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ทรงมีพระราชดำริทางการเมือง แต่ทรงกระทำตามคำแนะนำของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ยังถือว่าเป็น “สถาบันการเมือง””แต่เป็น “ส่วนอันทรงเกียรติยศ” (dignified part of the constitution) ส่วนคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเป็น “ส่วนปฏิบัติการ” (efficient parts of the constitution) ตามที่นาย Walter Bagehot นักรัฐศาสตร์ชาวอังกฤษได้กล่าวไว้
       
       แต่จากพระราชกรณียกิจตลอดกว่า ๖๐ ปีในรัชกาลด้วยการทุ่มเทพระวรกายและพระสติปัญญาแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนเพื่อ “ลดช่องว่าง” ที่รัฐบาลยังไม่ได้ทำ หรือทำไปไม่ถึง กว่า ๓,๐๐๐ โครงการก็ดี การที่ทรงระงับวิกฤติการณ์ทางการเมืองมิให้ลุกลามร้ายแรงระหว่างรัฐบาลกับประชาชนในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ หรือเหตุการณ์ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ก็ดี ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยได้แปรสภาพจาก “สถาบันทางการเมืองอันเป็นส่วนอันทรงเกียรติยศ” ไปสู่ “สถาบันหลักทางสังคมที่เป็นส่วนปฏิบัติการทางสังคม” ในลักษณะเดียวกับสถาบันครอบครัว หรือศาสนา พระมหากษัตริย์จึงไม่ใช่ “เทวะ” ที่อยู่ห่างไกลบนสวรรค์อันลึกลับ แต่เป็น “พ่อ” ที่คนไทยเรียก “พ่อหลวง” และคนไทยมีความรัก ความผูกพัน ความเทิดทูน ความสัมพันธ์นี้มีมากกว่าในสังคมตะวันตกระหว่างประมุขของรัฐกับราษฎร
       
       ดังจะเห็นได้จากจำนวนคนไทยที่มาร่วมพระราชพิธีฉลองศิริราชสมบัติ ครบ๖๐ปี ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายแสนคนเต็มถนนราชดำเนินและเป็นข่าวไปทั่วโลก ที่พร้อมใจกันเดินทางมาถวายพระพรโดยไม่ได้มีการกะเกณฑ์ใด ๆ และเมื่อทรงพระประชวรเสด็จเข้าโรงพยาบาลศิริราช ประชาชนจำนวนมากก็ไปเข้าเฝ้าทั้งวันทั้งคืน เหมือนลูกเฝ้าไข้พ่อที่ป่วยไข้ นี่คือที่มาของรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับที่บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆมิได้” (มาตรา๘ รัฐธรรมนูญปัจจุบัน) บทบัญญัตินี้เป็น “ผล” ของวัฒนธรรมและจริยธรรมไทยที่เป็นเอกลักษณ์นี้เอง ไม่ใช่ “เหตุ” ที่บังคับให้คนไทยเคารพพระมหากษัตริย์อย่างที่อ้างๆ กัน
       
       วัฒนธรรมการปกครองแบบ “พ่อปกครองลูก” (paternalistic governance) นี้เองที่อธิบายปรากฏการณ์ที่อาจไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศอื่น ๆ คือ เมื่อมีการวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์โดยไม่เป็นธรรม คนไทยส่วนใหญ่ก็รู้สึกเหมือนพ่อตนเองกำลังถูกทำร้ายและยอมรับไม่ได้ เหมือน ๆ กับที่คนไทยยอมรับไม่ได้ที่จะให้ใครมาจาบจ้วงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือแม้พระพุทธรูปที่แทนพระพุทธเจ้า
       
       ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจึงไม่ใช่การทำร้ายพระมหากษัตริย์เท่านั้น แต่เป็นการทำร้าย “พ่อ” ของคนไทยส่วนใหญ่ เป็นความผิดทางสังคมที่ร้ายแรง เหมือนการเนรคุณและด่าพ่อของตนเอง จึงไม่น่าแปลกใจว่า แม้ “พ่อ” จะไม่อยากเอาความผิด (ดังปรากฏในพระราชดำรัสเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘) และทรงเห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ท่านทำได้ แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังต้องการให้คงความผิดนี้ไว้ เพื่อคุ้มครองสิ่งที่เขาเห็นว่าทำร้ายสถาบันที่เคารพของเขา
       
       กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือสังคมไทยถือว่าการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่ใช่ผลร้ายต่อองค์ผู้ถูกหมิ่น แต่เป็นผลร้ายต่อสังคม จริยธรรม และวัฒนธรรมไทย อันเป็นไปตามหลักอาชญาวิทยาที่ว่าการกระทำบางอย่างอาจถูกกำหนดเป็นความผิดอาญา เมื่อมีฉันทามติทางสังคมว่า การกระทำนั้นเป็นผลร้ายต่อสังคม และเป็นข้อจำกัดของเสรีภาพในการแสดงออกในสังคมนี้ เหมือนๆ กับการวิพากษ์วิจารณ์พระผู้เป็นเจ้าในศาสนาอิสลาม ก็เป็นข้อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกของประเทศมุสลิม และคนตะวันตกบางคนไม่เข้าใจ แต่ได้นำพระผู้เป็นเจ้าที่ชาวมุสลิมทั้งโลกเคารพและศรัทธาไปล้อเลียนจนหวิดจะเกิดความรุนแรงไปทั่วโลกมาแล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง!
       
       จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ในสังคมไทยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ได้มีฐานมาจากหลักกฎหมายระหว่างประเทศหรือหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งสากลทั่วไปยอมรับเท่านั้น แต่มีฐานจากหลักจริยธรรมไทย วัฒนธรรมไทย และพระพุทธศาสนา อันเป็นลักษณะเฉพาะของสังคมไทย เหมือน ๆ กับที่คนตะวันตกคุ้มครองสภาของเขาด้วยความผิดฐานละเมิดรัฐสภา (แต่ไทยเราไม่คุ้มครอง!) คุ้มครองศาลของเขาด้วยความผิดฐานดูหมิ่นศาลและละเมิดอำนาจศาล หรือคนมุสลิมคุ้มครองพระผู้ เป็นเจ้า และศาสนาที่เขาเคารพศรัทธา เสรีภาพส่วนบุคคลในการแสดงออกจึงหยุดลงเมื่อไปกระทบกับสิ่งที่สังคมนั้น ๆ ต้องการคุ้มครอง
       
       นี่คือความงดงามของความหลากหลาย คงไม่มีนักประชาธิปไตยที่แท้จริงผู้ใดในโลกที่ต้องการให้ทุกสังคมเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานเดียวโดยให้เสรีภาพของบุคคล (คนเดียว) ในการแสดงออกสามารถอยู่เหนือความต้องการและฉันทามติของคนส่วนใหญ่ในสังคม! ถ้าคน ๆ นั้นมีอยู่ เขาก็ไม่ควรได้ชื่อว่าเป็นนักประชาธิปไตย แต่ควรได้ชื่อว่าเป็นนักเผด็จการทางจริยธรรมผู้ยิ่งใหญ่ ตรงกันข้าม การยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางจริยธรรมและวัฒนธรรมตามคติจริยธรรมพหุนิยม (ethical pluralism) ต่างหากที่เป็นประชาธิปไตยและความใจกว้าง เพราะเข้าใจหลักสิทธิอิสระที่จะเลือกตัดสินใจของแต่ละสังคม (self determination)
       
       ๒.๓. ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับการใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง
       
       จริงอยู่ แม้สังคมไทยและผู้เขียนจะยอมรับว่า ความผิดฐานนี้ยังจำเป็นเพราะเป็นเอกลักษณ์ทางจริยธรรมและวัฒนธรรมไทย แต่ก็ต้องยอมรับเช่นเดียวกันว่า ในหลายกรณี มีการใช้ความผิดฐานนี้กล่าวหากันเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ในความขัดแย้งทางการเมือง ดังที่ปรากฏข่าวเสมอว่า คู่กรณีขัดแย้งทางการเมืองมีการกล่าวหาฝ่ายตรงกันข้ามว่ากระทำความผิดดังกล่าว หากพิเคราะห์ให้ถ่องแท้แล้ว การกล่าวหาดังกล่าวมีสองมิติ ผู้กล่าวหาต้องการให้สังคมประณามหรือใช้สภาพบังคับทางสังคมที่คนส่วนใหญ่เคารพพระมหากษัตริย์เป็นผู้บีบบังคับผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งอาจหมายถึงการทำให้เสื่อมความนิยมลงในกรณีนักการเมือง แต่อีกมิติหนึ่งคือ มิติทางกฎหมายที่อาจทำให้ผู้ถูกกล่าวหารับโทษอาญา
       
       ผู้เขียนไม่มีตัวเลขแน่นอนถึงสถิติการดำเนินคดีฐานนี้ แต่เท่าที่ปรากฏจากคำสัมภาษณ์ทางผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางว่าเวลานี้มีคดีคางดำเนินการอยู่ที่ตำรวจ ๓๒ คดี ๔ คดีสั่งฟ้อง ๒๘ คดีอยู่ระหว่างดำเนินการ (http://www.suthichaiyoon.com/) ถ้าดูเทียบกับสถิติในนอร์เวย์ภายใต้หัวข้อ Crime against the Constitution and the Head of State (statistics Norway http://www.ssb.no)%20_______/ปี ๑๙๙๓-๒๐๐๗ โดยในปี๒๐๐๗ มีคดีสองประเภทนี้เพียง๗คดี (รวมคดีที่ไม่ใช่ความผิดต่อประมุขด้วย) ก็จะพบว่า คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของประเทศไทยมีจำนวนสูงกว่ามาก
       
       การที่จำนวนสูงกว่ามากนี้อาจตีความได้หลายอย่าง คือ อย่างแรก คนไทยรักและหวงแหนสถาบันนี้มาก จึงไม่ยอมให้ใครมาวิพากษ์โดยไม่เป็นธรรม หรืออาจตีความได้ว่าเป็นการกล่าวหากันเพื่อประโยชน์ของผู้กล่าวหา (ไม่ชอบผู้ถูกกล่าวหาเป็นการส่วนตัว, หวังประโยชน์ทางการเมือง)
       
       แต่ถ้ามาดูสถิติคดีที่ขึ้นศาลฎีกาแล้ว จะพบว่ามีคดีเหล่านี้น้อยมาก กล่าวคือตั้งแต่มีกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. ๒๔๕๑ มาจนถึงการใช้ประมวลกฎหมายอาญาฉบับปัจจุบัน ตลอดเวลากว่า๑๐๐ปี มีคำพิพากษาศาลฎีกาเพียง ๔ เรื่อง คือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่๑๐๘๑/ ๒๔๘๒, ๘๖๑/๒๕๒๑, ๑๒๙๔/๒๕๒๑, ๒๓๕๔/๒๕๓๑ และคดีสุดท้ายไม่ใช่คดีอาญา แต่เป็นคดีให้เลิกมูลนิธิ เพราะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คือคำพิพากษาศาลฎีกาที่๓๓๐๔/๒๕๓๒
       
       คำพิพากษาศาลฎีกา ๔ เรื่องที่ตัดสินความผิดฐานนี้ มี ๑ เรื่องที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าไม่มีความผิดคือฎีกาที่ ๑๐๘๑/๒๔๘๒ ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยพูดอวดอ้างตนในขณะทำการเป็นหมอรักษาโรคว่าตนเป็นผู้วิเศษ มีพระขันธ์แก้ว (มีด) ซึ่งสามารถชี้ให้คนเป็นบ้าหรือตายหรือเป็นอะไรก็ได้ พระเจ้าแผ่นดินกับรัฐธรรมนูญ จำเลยจะเรียกให้มากราบไหว้ก็ได้ จำเลยไม่กลัวใครในโลกนี้ กลัวแต่พ่อแม่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น
       
       ศาลฎีกาเห็นด้วยกับศาลอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นแค่อวดอ้างให้คนเชื่อว่า ตนเป็นหมอวิเศษรักษาโรคให้หายได้ ไม่มีเจตนามุ่งร้ายต่อผู้ใด คำกล่าวของจำเลยไม่ทำให้คนทั้งหลายดูหมิ่นหรือเกลียดชังผู้ใดเลย (ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำกล่าวของจำเลยเป็นแค่คำอวดอ้าง มิได้แสดงเจตนาหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายหรือหมิ่นประมาทต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นคำกล่าวอันโง่เขลา) ซึ่งเห็นได้ว่าศาลใช้หลัก “เจตนา” เป็นหลักในการวินิจฉัย
       
       ส่วนในอีก ๓ คดีที่เหลือ แม้ศาลจะฟังว่าเป็นความผิดแต่โทษที่ลงนั้นไม่ได้หนักอย่างที่กฎหมายเปิดโอกาสให้จำคุกได้ ๑๕ ปี เช่น ในฎีกาที่ ๘๖๑/๒๕๒๑ศาลลงโทษจำคุก ๑ ปี ในฎีกาที่ ๑๒๙๔/๒๕๒๑ ศาลพิพากษาจำคุก๒ปี คดีที่ศาลพิพากษาจำคุกสูงกว่าคดีอื่นๆก็คือ ฎีกาที่ ๒๓๕๔/ ๒๕๔๑ ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าเจตนาหมิ่นโดยกระทำ ๒ครั้ง๒กระทง จำคุก ๔ ปี
       
       อย่างไรก็ตาม ความน่ากลัวของความผิดฐานนี้ลดลงมากเนื่องจากน้ำพระทัยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วหากความทราบพระเนตรพระกรรณ หรือมีการทูลเกล้าถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษในความผิดฐานนี้ก็จะทรงมิให้ดำเนินคดี หรือพระราชทานอภัยโทษ รายสุดท้ายคือ นายแฮรี่ นิโคเลด นักเขียนชาวออสเตรเลียที่ศาลอาญาตัดสินจำคุก ๓ ปี แต่ถูกจำคุกจริงเดือนเศษ และขอพระราชทานอภัยโทษก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษด้วยความรวดเร็ว นายนิโคเลดให้สัมภาษณ์ว่า
       
       “ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ ๘๑ พรรษา ผมได้เห็นพลุที่จุดขึ้นจากระยะไกล นักโทษบางคนมีน้ำตาคลอเบ้า ยกย่องสรรเสริญผู้ที่พวกเขาเห็นว่าไม่ได้เป็นเพียงกษัตริย์แต่เป็นเสมือนบิดาของพวกเขา แม้ว่าผมไม่ใช่คนไทยแต่ผมเป็นลูกชายที่รู้ความหมายของความรักที่มีต่อพ่อ ผมยื่นขอพระราชทานอภัยโทษและภาวนาให้พระองค์ทรงทราบถึงชะตากรรมของผมและหวังว่าผมจะได้รับความกรุณาจากพระองค์” (มติชนรายวัน, ๒๒ก.พ.๕๒)
       
       น่าเสียดายว่า นายนิโคเลดไม่ได้ยื่นขอพระราชทานอภัยก่อนถูกจำคุก หาไม่ พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงทราบพระเนตรพระกรรณก่อนศาลพิพากษาอาจ “หลั่งมาเหมือนฝนอันชื่นใจ” ให้มีการถอนฟ้องดังเช่นที่ปรากฏข้อเท็จจริงในหลายกรณี และผู้ที่รู้เรื่องนี้ดี คือ อัยการสูงสุด และอัยการที่รับผิดชอบคดี
       
       พระเมตตาและพระกรุณานี้ทรงประพฤติปฏิบัติมาโดยตลอด โดยเราและผู้วิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลายอาจไม่รู้ เพราะไม่เคยมีข่าว คนที่ได้รับพระเมตตากรุณาเท่านั้นที่จะรู้และเป็นพยานได้ เรื่องนี้ ถ้าไปถามนักวิชาการอิสระที่ใครๆ นับถือและเรียกอาจารย์ทั้งประเทศ ที่ถูกดำเนินคดีหลายครั้งหลายครา แต่ได้รับพระมหากรุณาไม่เอาความ ก็จะได้รับคำยืนยันได้ !
       
       ในพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆที่เข้าเฝ้าถวายชัยมงคลใน วันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า
       
       “ในระบอบรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระเจ้าอยู่หัวผิดไม่ได้….The king can do no wrong….ความจริง The king can do no wrong คือการดูถูกเดอะคิงอย่างมาก เพราะว่าเดอะคิงทำไม can do no wrong….แสดงให้เห็นว่าเดอะคิงไม่ใช่คน แต่เดอะคิงทำ wrong ได้……”
       
       และทรงรับสั่งสรุปว่า วิจารณ์พระมหากษัตริย์ได้ และรับสั่งว่า
       
       “แต่เมื่อบอกว่า ไม่ให้วิจารณ์ ไม่ให้ละเมิด ไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญว่าอย่างนั้น ก็ลงท้าย ก็เลยพระมหากษัตริย์ก็เลยลำบากแย่ อยู่ในฐานะลำบาก ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่ให้วิจารณ์ก็หมายความว่า พระเจ้าอยู่หัวนี่ ก็ต้องวิจารณ์ ต้องละเมิดแล้วไม่ให้ละเมิด พระเจ้าอยู่หัวเสีย พระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไม่ดี ซึ่งถ้าคนไทยด้วยกันก็ยังไม่กล้า สองเอ็นดูพระเจ้าอยู่หัว ไม่อยากละเมิด แต่มีฝ่ายชาวต่างประเทศ มีบ่อยๆละเมิดพระเจ้าอยู่หัว ละเมิดเดอะคิง แล้วก็หัวเราะเยาะว่าเดอะคิงของไทยแลนด์ไม่ได้ก็เป็นคนเสีย เป็นคนที่เสีย” และ
       
       “….ที่จริงควรเข้าคุก แต่เพราะฝรั่งบอกอย่างนั้น ก็ไม่ให้เข้า ไม่มีใครกล้าเอาคนที่ด่าพระมหากษัตริย์เข้าคุก เพราะพระมหากษัตริย์เดือดร้อน เขาหาว่าพระมหากษัตริย์เป็นคนที่ไม่ดี อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคนที่จั๊กจี้ ใครว่าไรซักนิด ก็บอกให้เข้าคุก ที่จริงพระมหากษัตริย์ไม่เคยบอกให้เข้าคุก ตั้งแต่สมัยสมัยรัชกาลก่อนๆ เป็นกบฏ ก็ยังไม่จับใส่คุก ไม่ลงโทษ รัชกาลที่ ๖ท่านไม่ลงโทษ ไม่ได้ลงโทษผู้ที่เป็นกบฏ มาจนถึงต่อมา รัชกาลที่๙ใครเป็นกบฏ ก็ไม่เคยมีแท้ๆ ที่จริงก็ทำแบบเดียวกันไม่ให้เข้าคุก ให้ปล่อย หรือถ้าเข้าคุกแล้วก็ให้ปล่อย ถ้าไม่เข้าก็ไม่ฟ้อง เพราะเดือดร้อนผู้ที่ถูกด่า เป็นคนเดือดร้อน
       
       อย่างที่คนที่ละเมิดพระมหากษัตริย์ และถูกทำโทษไม่ใช่คนนั้นเดือดร้อน พระมหากษัตริย์เดือดร้อน นี่ก็แปลก คราวนี้นักกฎหมายก็ชอบให้ฟ้อง ให้จับเข้าคุก อันนี้นักกฎหมายก็สอนนายกฯ ว่าต้องฟ้อง ต้องลงโทษ ก็สอนนายกฯ ว่าใครบอกให้ลงโทษ อย่าลงโทษเขา ลงโทษไม่ดี ลงท้ายไม่ใช่นายกฯเดือดร้อน แต่พระมหากษัตริย์เดือดร้อน อาจจะอยากให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อน ไม่รู้นะ เขาทำผิด เขาด่าพระมหากษัตริย์ เพื่อให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อน และเดือดร้อนจริงๆ เพราะใครมาด่า เราชอบไหม ไม่ชอบ แต่ถ้านายกเกิดให้ลงโทษ แย่เลย…”

       
       พระราชดำรัสองค์นี้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ต้องตีความใดๆ และแสดงให้เห็นทั้งน้ำพระทัยประชาธิปไตย และพระมหากรุณาตรงไปตรงมาที่สุด
       
       ดังนั้น ที่ฝรั่งบางคนซึ่งยกย่องตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และศึกษากฎหมายหมิ่นประมาทเป็นวิทยานิพนธ์เขียนว่า “กฎหมายนี้เป็นตัวก่อให้เกิดปัญหาการบังคับใช้จนเกินขอบเขตในตัวเอง เพราะไม่มีข้อจำกัดในกฎหมาย” (There are no limits on the law) จึงเป็นข้อเขียนที่อคติและผิดอย่างชัดเจน เพราะข้อจำกัดนั้นอย่างน้อยมี ๒ ประการ คือ ต้องดูเจตนา และศาลย่อมใช้ดุลพินิจกำหนดโทษไม่ร้ายแรงเกินควรได้ประการหนึ่งหากคดีไปถึงศาล และอีกประการหนึ่งก็คือพระมหากรุณา ที่ทรงแสดงให้เห็นว่า ไม่มีพระราชประสงค์ให้ใช้ความผิดนั้นพร่ำเพรื่อ และให้วิจารณ์อย่างเป็นธรรมได้ ทั้งไม่มีพระราชประสงค์ให้จำคุกใครด้วย แต่สิ่งที่ฝรั่งคนนี้วิจารณ์ได้ถูกต้องก็คือ ความน่ากลัวของกฎหมายนี้อยู่ที่ “ตำรวจหรือใครๆก็สามารถใช้กฎหมายนี้กล่าวหาใครก็ได้”
       
       ประเด็นหลังนี้เองที่ทำให้ต้องมาคิดทบทวนกันด้วยความจริงจังว่า จะยังปล่อยให้ใครต่อใครไปกล่าวหาผู้อื่นด้วยข้อหานี้จนเป็นที่มาของความรู้สึกว่ามีการกล่าวหากันพร่ำเพรื่อ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของผู้กล่าวหาและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า “ทรงเดือดร้อน” หรือจะมีการปรับปรุงเรื่องนี้อย่างไร
       
       ข้อสรุปและเสนอแนะ
       
       ผู้เขียนในฐานะคนไทยและนักกฎหมาย เห็นว่า กฎหมายที่เกี่ยวกับการดูหมิ่น หมิ่นประมาทคนไทยทั้ง ๓ กลุ่ม โดยเฉพาะความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นสอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ หลักรัฐธรรมนูญนานาอารยประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สอดคล้องกับหลักอาชญาวิทยาว่าด้วยการกำหนดความผิดไม่ขัดหลักประชาธิปไตย และเป็นข้อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกที่มีเอกลักษณ์ของตนเองตามหลักจริยธรรมและวัฒนธรรมไทยที่คนไทยส่วนใหญ่ยึดถือ ไม่ขัดหลักสิทธิมนุษยชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาติแต่อย่างใด
       
       อย่างไรก็ตาม ก็สมควรมีการปรับปรุงการใช้บังคับกฎหมายดังกล่าว ไม่ให้ใช้พร่ำเพรื่อเกินขอบเขต โดยน่าจะนำแนวทางกฎหมายนอร์เวย์มาปรับใช้ กล่าวคือ คดีความผิดในกลุ่มที่๓ ซึ่งรวมการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทประมุขของ รัฐต่างประเทศนั้น ผู้กล่าวหา สอบสวน และฟ้องร้อง คือ อัยการสูงสุดแต่ผู้เดียว เพื่อมิให้มีการกล่าวหากันได้ง่ายๆ ดังที่เป็นอยู่ และต้องยอมรับร่วมกันว่า การใช้ดุลพินิจของอัยการสูงสุดนั้นเด็ดขาด จะนำไปฟ้องร้องในทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางปกครองมิได้ เพื่อมิให้มีใครนำอัยการสูงสุดไปฟ้องศาลว่า กระทำผิดอาญาฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๑๕๗ และศาลฎีกาเคยตัดสินลงโทษจำคุกอัยการที่สั่งไม่ฟ้องมาแล้วในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๐๙/๒๕๔๙ ทั้งนี้ เพื่อให้สถาบันหลักทางกฎหมายของประเทศไทยได้กลั่นกรองด้วยความรอบคอบเสียก่อน
       
       ///////////////////////////////////////
       
       หมายเหตุ : - บทวิเคราะห์นี้ ตีพิมพ์เป็นหนังสือ เมื่อปี 2552 จัดพิมพ์โดย สถาบันพระปกเกล้า
       - ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #466 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 20:14:06 »

“ปู” กรี๊ด! ไร้เงานักธุรกิจฟังปาฐกถา สั่งระดมคนให้เต็มห้องก่อนขึ้นจ้อ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

สมาคมสื่อ ศก. หรือ “ยิ่งลักษณ์” ไร้ประสิทธิภาพ หลังคนเข้าฟังปาฐกถา“ถอดรหัส GDPปี 55” โหรงเหรง ทำทีมงานวุ่นเกณฑ์ทั้งสื่อ-ช่างภาพ-ผู้ช่วย-นักศึกษากู้หน้านั่งฟังนายกฯ จ้อ ขณะที่ “ปู”เก็บอารมณ์ฉุน ฝืนขึ้นปาถก “มุมมอง ศก.ปี 55”
       
       เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 ก.พ. นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมายังโรงแรมดุสิตธานี เพื่อเปิดงานสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “มุมมองเศรษฐกิจ ปี 55” ณ ห้องนภาลัย ตามคำเชิญของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ที่จัดสัมมนาเรื่อง “ถอดรหัส GDPปี 55”โดยเจ้าภาพจัดงานได้วางคิวให้นายกรัฐมนตรีขึ้นกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษในเวลา10.10 น.แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงเวลานายกรัฐมนตรี กลับไม่สามารถขึ้นกล่าวเปิดงานสัมมนาได้ตามเวลาที่ตั้งไว้ เนื่องจากแขกรับเชิญที่เจ้าภาพโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจแจ้งต่อทีมงานนายกรัฐมนตรีว่า จะมาร่วมงาน 400 คนนั้น ส่วนใหญ่ที่มานั่งในห้องนภาลัย ล้วนแต่เป็นผู้สื่อข่าวสายการเมืองประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ติดตามภารกิจของนายการัฐมนตรีในทุกๆ วัน อีกส่วนเป็นผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจ ที่รวมกันแล้วไม่ถึง 50 คน เช่นเดียวกับตัวแทนภาคธุรกิจ เอกชน หลักๆ ไม่เห็นเข้าร่วมงานแต่อย่างใด
       
       ทั้งนี้ จากการตรวจสอบรายชื่อผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฝ่ายนักธุรกิจพบว่า มีเพียงตัวแทนจากธนาคารภาครัฐเท่านั้น ส่งผลให้บรรยากาศในห้องนภาลัย ที่จัดเก้าอี้ไว้ 400 ที่นั่งบางตา ทำให้ทางทีมรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่สำนักนายกรัฐมนตรี และผู้จัดงานพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่โรงแรม ต้องเดินเกณฑ์ขอความร่วมมือให้ช่างภาพและผู้ช่วยสื่อมวลชนเข้าไปนั่งเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้อย่างโกลาหล เพื่อให้เห็นว่า มีแขกเข้ารับฟังการปาฐกถาของนายกรัฐมนตรีเยอะ แต่ทางช่างภาพปฏิเสธที่จะทำได้ตามที่ขอความร่วมมือ เนื่องจากต้องปฏิบัติหน้าที่ถ่ายภาพข่าว ทำให้เจ้าภาพผู้จัดงานและเจ้าหน้าที่สำนักนายกรัฐมนตรีต้องไปเกณฑ์พนักงานของโรงแรมบางส่วน นักศึกษาฝึกงาน มานั่งเก้าอี้ที่จัดไว้ โดยเน้นให้ไปนั่งด้านหน้า เพื่อให้ภาพออกมาดูไม่น่าเกลียด
       
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #467 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 20:16:10 »

   
นักธุรกิจได้ฟังที่ไปพูดที่ดาวอส เลยไม่กล้ามา


นี่คือวิสัยทัศน์และภาษานายกฯ ยิ่งลักษณ์บนเวทีโลก เมืองดาวอส ตามที่หลายๆ ท่านฟอร์เวิร์ดให้ผมอ่าน


"Of course that male and female...on the balance of the the....ah male and female..ur..must be compliment together and ambitious is more..is...important, but the qualification and the capab the capable ar for this job is..is even more important...that ar that s will be..not...ar that s that s we cannot be ar separate between from male and female.....so that is will be equalize so ur....we have to give the chance ar from.....both male and female in politics...ar especially in Thailand for female will be the symbolic of nonviolent. So i saw that if we have the proportion of male and female mix together....First on the personality so we can fulfill on the thing that the man didn't cover, but ar of course that male cannot do better than....female cannot do better than male in some area, so that's ur mean ar the compliment and nonviolent will help ur especially in Thailand....ur Mister Mutu will say that ar in the roc reconciliation that s mean compliment, so I use that feminine to come up with other people and move Thailand forward for reconciliation at a peaceful for my country. Thank you."

เธอพูดจบ ทันที พิธีกรชายแดกนายกฯ ปูว่า....

Madam Prime Minister I have to also say that you speak better English than I do.


ก็คลิกฟังเฉพาะเสียงเธอได้ที่ http://www.antithaksin.com/VDO/Poo_speech1.mp3

ความยาวประมาณ ๓ นาที และที่ตามเว็บบอกว่า "เธอพูดจบ ทันที พิธีกรชายแดกนายกฯ ปู" นั้น
 ผมเปิดฟังแล้ว ตอนพิธีกรชายพูด มีเสียงหัวเราะครืนปนเสียงตบมือกราวให้
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #468 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 20:20:45 »

ของแถมอีกหน่อยครับ

หลังเธอพูดจบที่ดาวอส......
พิธีกรชาย: "Madam Prime Minister I have to also say that you speak better English than I do."
ปูเน่าตอบว่า: "Thank you. You are OVERCOME!!!!!!"

หรืออีกเวอร์ชั่น   
ก็พิธีกรหรือ Modurator มัวแต่ดู เลยไม่ได้ฟัง
เลยไม่รู้จะพูดอะไรเลยพูดแก้เขิน You speak better English than I do
ลองถามฝรั่งดูประโยคนี้มันเย้ยยันกันนิดๆ

   
ปูเน่าก็ตอบผิด
ต้องตอบ It is my เวรกรรม
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #469 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2555, 13:43:48 »



BEST BAR JOKE EVER

Guy goes into a bar, there's a robot bartender.
The robot says, "What will you have?"
The guy says, "Schooner of New"
The robot brings back the best beer ever and says to the man,
"What's your IQ?"
The guy says," 168."
The robot then proceeds to talk about physics, space exploration and
medical technology.

The guy leaves, but he is curious...So he goes back into the bar.
The robot bartender says, "What will you have?"
The guy says, "Schooner of New"
Again, the robot pours a great beer and gives it to the man and asks,
"What's your IQ?"
The guy says, "100."
The robot then starts to talk about V8 Super cars, MotoGP, Tooheys
beers and Supercheap Auto.
The guy leaves, but finds it very interesting, so he thinks he will
try it one more time.

He goes back into the bar.
The robot says, "What will you have?"
The guy says, "Schooner of New," and the robot brings him another great
beer.
The robot then says, "What's your IQ?"
The guy says, "Uh, about 50."
The robot leans in real close and asks,

"So, you people still happy you voted for Yingluck?"
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #470 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2555, 10:22:42 »

ชาวSocial ถล่ม ICT บนข้อครหา"แบน" Simsimi

ตอนนี้ ยากที่จะปฏิเสธว่า ผู้คนโลกไซเบอร์ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก  เจ้ากุ๊กไก่ ตัวกลมอ้วน สีเหลือง นามว่า SimSimi    แอพพลิเคชั่นทางโทรศัพท์สมาร์ทโฟน และเว็บไซต์ www.simsimi.com  สัญชาติเกาหลี ที่เพิ่งระบาดเข้าสู่กระแสสังคมไทยไปในช่วงเวลาไม่ถึง  3 สัปดาห์  มานี้ กลับได้รับความนิยมในการดาวน์โหลดมาไว้เป็นเพื่อนคุยแก้เหงา   ในรูปของ บอทแชท (Chatting Robot)  มากเสียยิ่งกว่ามาก


ด้วยความยียวนกวนประสาทของเจ้าบอทแชตที่ว่านี้ กับคำถามตอกกลับเราๆท่านๆ ที่อยากลองดีกับ เจ้า SimSimi   ด้วยการพิมพ์ข้อความเพื่อหวังจะสนทนา  อะไรบางอย่าง มักจะสร้างความอึ้ง ทึ่งและกระตุกรอยยิ้มกลั้วเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ใช้ไปไม่มากก็น้อย  ทั้งถ้อยคำเสียดสี  กวน...  น่ารักๆ คำหวานหรือแม้กระทั่งถ้อยคำหยาบคาย คำผวนที่ส่อสองแง่สองง่าม    หรือจะคำนิยามของ"ชื่อ"บุคคลต่างๆ  ทั้งมีชื่อเสียงและบุคคลทั่วไปซึ่งก็แล้วแต่การเข้าไปสอน ป้อนคำเจ้า  SimSimi  ให้มันเรียนรู้ของผู้ใช้ในโลกโซเชี่ยลมีเดียเองนี่ล่ะ

ช่วงเย็นของวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2012 ได้เกิดกระแสท่วมทั้ง Twitter และ Facebook ว่า แอพ SimSimi ที่กำลังโด่งดังสุดขีดในขณะนี้ ไม่สามารถตอบโต้ผู้ใช้กลับมาเป็นภาษาไทยได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานจากแอพบนมือถือ Android, iPhone หรือแม้แต่บนเว็บ เจ้า SimSimi ก็ออกอาการใบ้ทันทีเมื่อผู้ใช้พิมพ์ภาษาไทยพูดกับมัน


หลังจากนั้นผู้ใช้แอพ SimSimi ส่วนใหญ่ก็พากันโวยว่า จะต้องเป็นกระทรวงวัฒนธรรม หรือกระทรวง ICT ทำการแบนแอพ SimSimi อย่างแน่นอน
โลกของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค อย่าง Facebook   บรรดาผู้ใช้ต่างๆ ที่ต่างก็บอกคิดถึงเจ้าไก่   ได้มีการทำรูป เจ้า SimSimi   ตอบโต้  ล้อเลียน จิกกัด  ข้อกล่าวหา "การแบน"  ของทั้งรัฐบาล กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงไอซีที











      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #471 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2555, 23:11:41 »

เปิดข้อมูล'จตุพร'กับพวกขนเงิน25ล.ตั้ง 5บ.ก่อนปิดกิจการปริศนา
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

สำนักข่าวอิศรา เปิดข้อมูล"จตุพร" กับพวก ขนเงิน 25 ล้านจดทะเบียนธุรกิจ 5 แห่งรวดช่วงไทยรักไทยเป็นรัฐบาล ปริศนา!ใช้ออฟฟิศแห่งเดียวกัน


ว็บไซด์ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ก่อนเข้าสู่อำนาจรัฐเป็นรองโฆษกรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ต้นปี 2551 และเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตอนต้นปี 2555  นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ มีธุรกิจ 3 แห่งคือ บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด รับเป็นปรึกษาประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ (รับงานโครงการท่อส่งก๊าซ ของ บมจ. ปตท.) และ บริษัท เพื่อนพ้อง น้องพี่ จำกัด และ บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด รวมเงินลงทุน 3 บริษัท 23 ล้านบาท (มูลค่าตามตามสัดส่วนการถือหุ้น)   

นายจตุพร พรหมพันธุ์ หุ้นส่วนบริษัท เพื่อนพ้อง น้องพี่ จำกัด และ บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด เป็นอย่างไร?


สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า ในช่วงเดือนเมษายน 2544 ที่นายณัฐวุฒิก่อตั้งบริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด  ไม่ถึงปีถัดมานายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ทำธุรกิจเช่นกัน

หากแต่ธุรกิจของนายจตุพรลงทุนร่วมกับนายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย และนายฐาปนา จินดากาญจน์ 
   

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม  2545 นายจตุพรกับพวกจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด 5 แห่งรวด รวมเงินลงทุน 25 ล้านบาท (เฉพาะนายจตุพร 8.6 ล้านบาท)  ได้แก่
         
1.หจก.สยามเชนจ์ พอยท์ จดทะเบียนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2545 ทุน 5 ล้านบาท รับเหมาก่อสร้าง ถมดิน ขุดดิน ปรับหน้าดิน  มีหุ้นส่วน 3 คน   
นายจตุพร 1,600,000 บาท บาท
นายฐาปนา จินดากาญจน์  1,600,000 บาท
นายสถาพร มณีรัตน์ 1,800,000 บาท   
       
2. หจก.วิชั่น แอนด์ ซีนะรี จดทะเบียนวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 ทุน 5 ล้านบาท  ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง ผลิตสื่อโฆษณา  หุ้นส่วน 2 คน
นายจตุพร 4,000,000 บาท   
นายสถาพร มณีรัตน์ 1,000,000 บาท
       
3.หจก. ศรีหมวดเก้า จดทะเบียนวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 ทุน 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ ขุดถ่านหิน ขุด ขนแร่ต่างๆ หุ้นส่วน 2 คน
นายจตุพร 1,000,000 บาท   
นายสถาพร มณีรัตน์ 4,000,000 บาท
         
4.หจก.บุตรตะวัน จดวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 ทุน 5 ล้านบาท ประกอบกิจการ2  ข้อ  ถมดิน ขุดปรับหน้าดิน ขายซื้อที่ดินทั้งหมด และ ประกอบกิจการขนถ่ายขุดถ่านหิน แร่ต่างๆทำเหมืองแร่ทั้งหมด มีหุ้นส่วน 2  คน
นายจตุพร 1,000,000 บาท บาท
นายฐาปนา จินดากาญจน์ 4,000,000 บาท
         
5.หจก. ศรีสมุย ลองสเตย์ จดทะเบียนวันที่ 12 มีนาคม 2545 ทุน 5 ล้านบาท  แจ้งข้อมูลต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ ประกอบธุรกิจบริการให้คำปรึกษาแก่ชาวไทยและต่างชาติเพื่อเป็นสมาชิกประกอบธุรกิจท่องเที่ยวพำนักระยะยาว  ประกอบกิจการอำนวยความสะดวกในการจองที่พัก โรงแรม ในโครงการที่พักระยะยาว และประกอบกิจการให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในการพัฒนาโครงการพัฒนาโครงการหมู่บ้าน หุ้นส่วน 2 คน
นายจตุพร 1,000,000 บาท   
นายสถาพร มณีรัตน์ 4,000,000 บาท           
         
หจก.ทั้ง 5 แห่งมีที่ตั้งเลขที่เดียวกัน เลขที่ 69/12 อาคารอัลฟ่าบิลดิ้ง ชั้น 12 โซนเอ ถนนวิภาวดีรังสิต สามเสนใน พญาไท กรุงเทพฯ
         
น่าสังเกตว่า กิจการของนายจตุพรกับพวกจดทะเบียนก่อตั้งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันและอยู่ในช่วงพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล 
         
จากการตรวจสอบพบว่าทั้ง5 แห่งเปิดดำเนินการเพียงสั้นๆ ไม่ได้แจ้งผลประกอบการต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า  และแจ้งเลิกกิจการพร้อมกันวันที่  24 ธันวาคม 2547
         
อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตว่าทรัพย์สินของนายจตุพรและนายสถาพรที่แจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ในช่วงเวลาถัดมา มีจำนวนไม่มากนัก


ตอนตำแหน่งระบบบัญชีรายชื่อ วันที่ 22 มกราคม 2551 นายจตุพรแจ้งทรัพย์สิน 8,050,892.2 บาท แบ่งเป็น
เงินฝาก 5 บัญชี 2,599,939.46 บาท , โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง บ้านเลขที่ 99/92 หมู่ 4 แขวงคลองถนน เขตสายใหม่ กรุงเทพฯ  2,700,000 บาท   , รถยนต์ 2 คัน  ทะเบียน สอ.2535 กรุงเทพมหานคร 1,750,800 บาท คันที่ 2 ทะเบียน ชศ 2535 กรุงเทพมหานคร มูลค่า 999,312 บาท   รวมมูลค่า  2,750,122 บาท  ไม่มีทรัพย์สินอื่น
หนี้สิน เงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 2,750,112 บาท (หนี้สินมีจำนวนเท่ากับมูลค่ารถยนต์)

บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ (นอกสมรส)  1 คน  เพศหญิง (ขณะอายุ 8 ปี ที่อยู่แจ้งว่า 31/1 หมู่ที่ 77 ซอยริมคลองบางกอกน้อย แขวงศิราราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ) มีเงินฝาก ธนาคารออมสิน 1 บัญชี    840.96 บาท
เบ็ดเสร็จมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 5,300,780.2 บาท
       
ขณะที่นายสถาพร มณีรัตน์ ตอนรับตำแหน่ง ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย วันที่ 22 มกราคม 2551 แจ้งมีทรัพย์สิน 714,592,59 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 384,592.59 บาท ที่ดิน 2  แปลง (อ.ป่าซาง จ.ลำพูน)  เนื้อที่ 5-0-28 ไร่  หนี้สิน 911,298.74 บาท นางลาวรรณ ภรรยา มีทรัพย์สิน 3,302,519.18 บาท  ประกอบด้วยเงินฝาก  1,627,519.18 บาท ที่ดิน 1 แปลง (อ.บ้านธิ จ.ลำพูน) 0-1-69 ไร่ รถยนต์ 3 คัน 1,530,000 บาท  หนี้สิน 1,170,592 บาท บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ มีเงินฝาก 244.08 บาท และที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 0-0-66 ไร่ มูลค่า 25,000 บาท  รวมทรัพย์สินทั้งหมด 4,042,355.85 บาท เบ็ดเสร็จมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,960,465.11 บาท

 


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #472 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2555, 22:57:14 »

ปราบดา หยุ่น ปัญญาชนซีไรต์ กับการ “เนรคุ่น” ไล่ล่า ม. 112
โดย ASTVผู้จัดการรายวั

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-จากการหมกมุ่นอยู่กับการเรียกร้องให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้ช่วงหลังมานี้ ‘คุ่น-ปราบดา หยุ่น’ นักเขียนซีไรต์ชื่อดัง ดู ‘เสียกิริยา’ ไปมาก จากอาการ ‘วีนแตก’ ใส่คนที่ตั้งคำถาม และวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดของเขา หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าช่วงหลังมานี้ นักเขียนซีไรต์เอาแต่เขียนเฟซบุ๊กเหน็บแนม ประชดประชัน แดกดันผู้คนในสังคมไทยที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดแก้ไขมาตรา 112 จนหลายคนเป็นห่วง และหลายคนรู้สึกผิดหวังในตัวผู้เป็น ‘ไอดอล’ ของพวกเขา
       

       หลังจากที่ ‘ปราบดา หยุ่น’ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเครือ ‘เนชั่น’ หลานชายสุดที่รักของ ‘เทพชัย หย่อง’ ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง “ทีวีไทย” ที่ออกมาเสนอตัว เสนอหน้าเคราๆ และหัวเหม่งๆ ของเขาเป็น ‘แกนนำนักเขียน’ (ส่วนมากเป็นนักเขียนเสื้อแดง ที่ชื่นชมและเทิดทูนในตัว ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อย่างหาที่สุดมิได้) ป่าวประกาศ เรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112
       

       ราวกับว่าทุกวันนี้เขาถูกปิดกั้นเสรีภาพทางการคิด การเขียน และการแสดงออกอย่างหนัก และราวกับว่าทุกวันนี้ประชาชนถูกปิดหูปิดตา ถูกกลั่นแกล้ง เอารัดเอาเปรียบ และถูกกดให้เป็นทาส ถ้าไม่ออกมาเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ประชาชนและ ‘นักเขียน’ อย่างเขาก็จะไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้ในชาตินี้
       
       ทั้งๆ ที่หากฉุกคิดสักนิด หรือโยนอคติทิ้งไป ‘ปราบดา’ ก็จะสามารถสัมผัสได้ถึง ‘เสรีภาพ’ ที่เขาสามารถออกมาแหกปาก ทำเท่ เรียกร้องให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และมันก็เป็นเสรีภาพอย่างมากที่ ‘ปราบดา’ สามารถวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ชื่นชมในตัวคนที่มีแนวคิดและพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จนออกนอกหน้า กระทั่งกระโดดเข้าร่วมกับขบวนการรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 หรือ 'ครก.112' โดยมีพวก ‘นิติราษฎร์’ เป็นแกนนำ
       
       มันเป็นเสรีภาพขนาดไหนที่ ‘ปราบดา’ สามารถทำได้ขนาดนี้ และมีที่อยู่ที่ยืนในประเทศไทย เพราะถ้าเป็นที่อื่น หรือหากประเทศไทยไร้ซึ่งเสรีภาพจริงๆ ‘ปราบดา’ จะไม่มีโอกาสแม้กระทั่ง ‘ไอ’ ให้ใครได้ยิน
       
       แต่ ‘ปราบดาและสาวก’ ของเขาต้องการมากกว่านั้น มากกว่าเสรีภาพที่มีอยู่ในปัจจุบัน มากกว่าเสรีภาพที่เคยมีมาจนทำให้เขาเขียนหนังสือจนได้รางวัลซีไรต์ และมีชื่อเสียงโด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นจึงเป็นที่มาของการกระโดดเข้าร่วมขบวนการ ‘นิติราษฎร์’ หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่ากลุ่ม 'นิติเรด' หรือกลุ่ม 'วรเจี๊ยก' ที่มี 'นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์' อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นแกนนำ เสนอให้มีการยกเลิกมาตรา 112 ในความผิดคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยยกระดับการเคลื่อนไหวขึ้นเป็น 'คณะรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา112' หรือ 'ครก.112' ซึ่งประกอบด้วยบุคคลจากหลายสาขาอาชีพ รวมถึงนักเขียน และนักเขี่ย กลุ่มของปราบดา โดยเริ่มล่ารายชื่อประชาชนให้ได้กว่า 1 หมื่นชื่อ เพื่อแก้ไขมาตรา 112
       
       โดยล่าสุด ขบวนการนิติราษฎร์ได้รุกคืบสำแดงความ 'เหิมเกริม' ด้วยการเสนอแนวคิดซึ่งถือเป็นการกดดัน 'สถาบันพระมหากษัตริย์' อันเป็นที่รักและเคารพสูงสุดของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าอย่างชัดเจนโดยถึงกับเสนอแนวคิดให้แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยกำหนดให้พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนก่อนเข้ารับตำแหน่ง ว่าจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ซึ่งส่อเจตนาบีบบังคับ กดดัน และบ่อนทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันอันเป็นที่เทิดทูนของปวงชนชาวไทย

       
       นอกจากแนวคิดปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว ขบวนการนิติราษฎร์ยังเสนอแนวคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเครื่องประเทศด้วยการปฏิรูปสถาบันหลักของชาติครั้งใหญ่ ทั้งกองทัพ ศาล และองค์กรอิสระ โดยกองทัพต้องอยู่ภายใต้อำนาจและคำสั่งของฝ่ายการเมือง ประธานศาลฎีกาและเหล่าตุลาการทั้งหลายต้องอยู่ภายใต้คณะรัฐมนตรีแทนที่จะเป็น ‘พระมหากษัตริย์’ และให้ยกเลิกองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญทั้งหลาย
       
      รวมถึงก่อนหน้านี้ก็มีแนวคิด ‘ห้ามกษัตริย์มีพระราชดำรัสสดต่อสาธารณะ’ จนคนไทยที่จงรักภักดี 'รับไม่ได้' กับการเสนอแนวคิดที่เหิมเกริมและ 'วิปริต' ดังกล่าว
       
       คำถามที่ตามมาจากหลายคนหลายฝ่ายก็คือ ขบวนการนิติเรด-นิติราษฎร์ที่ประกอบด้วยบุคคลจากหลายสาขาอาชีพ รวมถึงพวกนักเขียน และนักเขี่ย กลุ่มของปราบดานี้ ต้องการด่าพระมหากษัตริย์อย่างไม่มีความผิด ใช่หรือไม่ เพราะดูจากแนวคิดและกิจกรรมที่ทำ มันก็ส่อให้เห็นเจตนาว่า ต้องการอย่างนั้นจริงๆ
       
       แล้วอย่างนี้ประชาชนคนไทยที่ ‘จงรักภักดี’ ที่ไหนเขาจะรับได้!
       
       และเมื่อความเหิมเกริมหนักข้อขึ้นทุกวัน และนานวันเข้า ความอดทนอดกลั้นของประชาชนคนไทยผู้ ‘รักในหลวง’ ก็ใกล้ถึงจุดระเบิด เห็นได้จากปรากฏการณ์ ‘กระแสต่อต้าน’ จากผู้คนในสังคมที่เกิดมีขึ้นทุกวัน และนับวันจะยิ่งเข้มข้นและมากขึ้นเรื่อยๆ
       
       และเมื่อ ‘คลิก’ เข้าสู่โลกออนไลน์ ก็จะพบกระแสต่อต้านการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 เกิดขึ้นมากมายและเข้มข้นเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะใน ‘เฟซบุ๊ก’ ที่หลายต่อหลายคนต่างตั้งคำถาม คำด่า คำสาปแช่ง และคำต่างๆ นานาพุ่งเป้ามาที่ ‘ปราบดา หยุ่น’ ผู้นำนักเขียน ในการเรียกร้องให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างไม่มีกาลเทศะ ทั้งๆ ที่มีเรื่องจำเป็น เร่งด่วน และสร้างสรรค์อีกมากมายให้ ‘ปราบดาและสาวก’ ออกมาเรียกร้องกัน แต่ผู้นำทางความคิดอย่าง ‘ปราบดา’ กลับนำพาเหล่าสาวกของเขาออกมาเรียกร้องเอาเป็นเอาตายกับการให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในตอนนี้
       
       ‘กนก รัตน์วงศ์สกุล’ พิธีกรรายการข่าวชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Kanok Ratwongsakul วิจารณ์กลุ่มที่สนับสนุนให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า
       
       "ทุกๆ 10 นาที จะมีคนโพสต์ต่อต้านกลุ่มที่จะขอแก้มาตรา 112 ลงที่เฟซบุ๊กนี้ ผมก็ตามอ่านตลอด บางคนลงรูปของอาจารย์นิติฯ ธรรมศาสตร์ ที่เป็นหัวหอกแก้มาตรานี้ ซึ่งผมจะลบออกทุกครั้ง เพราะไม่อยากเห็นหน้าคนกลุ่มนี้บนเฟซบุ๊กผม ถ้าพวกนี้อายุ 30 - 40 กว่าปี ตามที่เสธ.หนั่นไล่ให้ไปอ่านประวัติศาสตร์ ผมสงสัยว่า พ่อแม่เขายังอยู่หรือเปล่า รุ่นพ่อรุ่นแม่น่าจะทันได้เห็น “ในหลวง” ทรงงานมาตลอด ถ้าลูกไม่ใส่ใจในความเป็นกษัตริย์นักพัฒนา มัวแต่ดื้อด้านจะแก้กฎหมายท่าเดียว แล้วพ่อแม่พวกนี้ทำอะไรอยู่ ไม่ห้ามปรามเลยหรือ? หรือวายชนม์ไปหมดแล้ว? ผมขอโทษนะครับ อย่าหาว่าผมก้าวล่วง แต่อยากถามคนกลุ่มนี้จริงๆ ว่า พ่อแม่คุณอบรมสั่งสอนหรือเปล่า?"
       

       ซึ่งทาง ‘ปราบดา หยุ่น’ ผู้นำนักเขียนที่เข้าไปร่วมกับกลุ่มนิติราษฎร์ ก็ออกมาตอบโต้ทันควันโดยโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก TyphoonBooks Thailand ของเขาว่า
       
      "ปกติไม่ชอบพูดเรื่องส่วนตัวเลย แต่บางข่าววันนี้ทำให้อยากบอกว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นคนโชคดีมากๆ คือการมีพ่อกับแม่ที่มอบสิ่งมีค่าที่สุดกับเรามาตลอด นั่นคืออิสระทางความคิดและการใช้ชีวิต สำหรับเรา ความหมายของการอบรมสั่งสอนลูกที่ดีคือแบบนี้ ไม่ใช่แบบที่อบรมให้ไหม้เกรียมไปด้วยการบังคับ และสั่งสอนให้ตกเป็นทาสของขนบงมงาย"
       

       ขณะที่บางรายถึงกับตั้งคำถามว่า ไม่รู้พระมหากษัตริย์ไปทำความเดือดร้อนอะไรให้นักหนา ‘ปราบดา’ จึงตั้งหน้าตั้งตาทำแต่เรื่องนี้ โดยไม่เห็นเขาจะสนใจไยดีหรือพูดถึงความทุกข์ร้อนของประชาชนในเรื่องอื่นและที่อื่นๆ เลย
       
       และเมื่อเจอกับคำถาม คำวิพากษ์วิจารณ์ และคำด่าทอหนักขึ้นทุกวัน ก็ทำให้ ‘ปราบดา’ ผู้เป็น ‘ปัญญาชนซีไรต์’ ถึงกับเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวกราดเกรี้ยวใส่คนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดแก้ไขมาตรา 112 โดยเขาได้โพสต์ข้อความกระแนะกระแหน ประชดประชัน แดกดันคนที่ไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ของเขา อย่างเช่นกรณีที่กลายเป็นวิวาทะร้อนในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็คือข้อความที่เขาโพสต์ว่า
       
       “วัดจากคอมเมนต์ของคนที่ด่าคนอื่นว่า “เนรคุณประเทศชาติ” หรือถามคนอื่นว่า “เป็นคนไทยหรือเปล่า” ดูเหมือนบรรดาคนที่กตัญญูและ “เป็นคนไทย” ส่วนใหญ่จะหยาบคาย ก้าวร้าว และรักความรุนแรงมากถึงมากที่สุด เพิ่งเข้าใจว่าคุณสมบัติของความเป็นคนไทยเป็นเช่นนี้เอง” นี่คือถ้อยคำของปราบดา หยุ่น ‘ปัญญาชนซีไรต์’ ที่เขียนโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กของเขา
       

       และข้อความใน ‘สเตตัส’ นี้เองที่ทำให้ ‘เตชะ ทับทอง’ หนึ่งในตัวแทนทำดีเพื่อพ่อ ออกมาตอบโต้ทันควันเช่นกัน ว่า
       
       "ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ และบรรพบุรุษผมเป็นคนไทย ผมจึงเป็นคนไทย โดยความภาคภูมิ ผมยึดแนวทางกตัญญูต่อแผ่นดินไทย และสถาบันสูงสุดของไทย ยิ่งชีวิต ผมมีความรักสถาบันสูงสุด อย่างมากที่สุด มากเกินกว่าที่คนอย่างคุณจะเข้าใจ ผมอาจจะเป็นคนไทยส่วนน้อย ตามที่คุณเข้าใจ เพราะผมไม่หยาบคาย ไม่ก้าวร้าว แต่สิ่งที่ผมแน่ใจได้คือ คนไทยส่วนน้อยเช่นผมก็ไม่ได้ชื่นชมคุณแต่อย่างใด โปรดจงอภัยให้กับคนไทยส่วนใหญ่ คนไทยผู้ที่ก้าวร้าว คนไทยที่หยาบคายกับคุณ เพราะเขากำลังตอบโต้กับคนที่เนรคุณแผ่นดิน หยาบคายต่อบรรพบุรุษไทย การดูถูกคุณสมบัติคนไทยส่วนใหญ่ที่กตัญญู ถือเป็นความเขลาของปัญญาชนซีไรต์เช่นคุณ ขอบคุณที่ทำให้คนไทยตาสว่าง และแยกแยะได้ว่า พ่อสอนลูกแล้ว แต่ลูกมันไม่รักดี"
       
       นอกจากนี้ ยังมีกลอนดังโดนใจของ ‘พี่คนดี’ (P.khondee) ที่ฮือฮากันในเฟซบุ๊กตอนนี้ โดยมีชื่อกลอนว่า ‘ถึงคุณ PRAVDA’
       
       “คุณปร๊าฟด้า ด่าคนที่ “กตัญญู”     จะด่ากู หรือด่า คนส่วนใหญ่
       
       กูเดือดร้อน ก็เพราะกู “เป็นคนไทย”   ขอใช้ “กู” ดูหยาบไป ขอโทษที
       
       อันคำว่า “หยาบคาย” อาจหมายว่า    “ไม่รู้กา ละเทศะ” ขณะที่
       
       มีคนร้าย ยุแยง แกล้งราวี        ควรหรือเข้า เป็นภาคี ช่วยชักจูง
       
       ส่วน “ก้าวร้าว” นั้นหรือ คือรุกหนัก     “ไม่รู้จัก ที่ต่ำ หรือที่สูง”
       
       ก้าวร้าวล่วง จ้วงเจ้า เข้าชักจูง     เข้าร่วมฝูง คนร้อยเล่ห์ “เนรคุณ”
       
       อย่ากล่าวหา ว่าเรา “รัก ความรุนแรง”    เราไม่เหมือน พวกแร้ง แดงสถุล
       
       แค่เดือดดาล ไม่ได้พาล ทำร้ายคุณ     ไม่ได้คิด ทำหุ่น คุณไปเผา
       
       มัน “มากถึง มากที่สุด” ยังไงหว่า     เขา “เม้นท์” ด่า ไม่ได้ปา ด้วยไข่เน่า
       
       ก็เข้าใจ คงโดนใส่ อยู่ไม่เบา     แต่อย่าเหมา ว่าเรา “รักความรุนแรง”
       
       “คุณสมบัติ ของความ เป็นคนไทย”    คือมักไม่ ทำอะไร ที่แผลง ๆ
       
       คนรู้ผิด ให้อภัย ไม่ไล่แทง     ถ้าไม่เชื่อ ลองแถลง ว่า “เสียใจ”
       
       มันเดือดร้อน อย่างไร ต้องเรียกร้อง          อยากจะให้ ไตร่ตรอง ลองคิดใหม่
       
       เราร่วมดอง เป็นพี่น้อง เพื่อนผองไทย      ขอให้เปลี่ยน “ความเข้าใจ” ได้ไหมคุณ

       
       อย่างไรก็ตาม นับจากวันแรก ที่ปราบดาและสาวกออกมาปล่อยของผ่าน “จดหมายเปิดผนึกถึงเพื่อนนักเขียนไทยทั่วประเทศ เรื่อง: ขอเชิญร่วมลงชื่อในการเรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และยุติการใช้ข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพปิดกั้นการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นทางการเมือง” ความเคลื่อนไหวของ ‘ปราบดาและสาวก’ ก็ยังดำเนินไปด้วยความมุ่งมั่น ‘เอาเป็นเอาตาย’ ไม่สนใจกระแสสังคม และข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นถึงความเหมาะสม รวมถึงประเด็นที่พวกเขาหยิบยกขึ้นมาเป็นเหตุผล เพราะแม้กระทั่งการเปิด ‘แถ-ลง’ ข่าว พร้อมกับบันทึกคลิปวิดีโอของการแถลงข่าวเพื่อนำเสนอผ่านอินเทอร์เน็ต ‘ปราบดาและสาวก’ ก็ยังตอกย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไข มาตรา 112 เหมือนเดิม
       
       “พวกเรามิใช่กลุ่มก้อนที่ต้องการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือระดมแนวร่วมเชิงอุดมการณ์ พวกเราปราศจากผลประโยชน์ส่วนตัวและไม่มีเจตนาแอบแฝงใดๆ นอกเหนือไปจากการเรียกร้องเสรีภาพในการแสดงออกและแสดงความคิดเห็น และความเป็นธรรม อันเป็นปัจจัยสำคัญขั้นพื้นฐานที่ประชาชนในสังคมประชาธิปไตยพึงได้รับ และเป็นหัวใจของการทำงานเขียน ซึ่งผูกพันเกี่ยวข้องกับพวกเราและนักเขียนผู้ร่วมลงชื่อทั้งหมดโดยตรง”
       
       ให้ตายเถอะ! นั่นคือเหตุผลที่ ‘ปราบดาและสาวก’ สำแดงเอาไว้ในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการที่ปรากฏให้เห็นชัดทั้งหน้าและเสียง ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้สังคมได้เข้าใจอีกเช่นเคยว่า การแก้ไขมาตรา 112 จะทำให้พวกเขามีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และความเป็นธรรม อันเป็นปัจจัยสำคัญขั้นพื้นฐานที่ประชาชนในสังคมประชาธิปไตยพึงได้รับและเป็นหัวใจของการทำงานเขียนนั้นหมายความว่าอย่างไร
       
       ใช่หมายความว่า ‘ปราบดาและสาวก’ ต้องการให้แก้กฎหมายมาตรานี้เพื่อทำให้สามารถวิพากษ์วิจารณ์ถึงขนาดที่เรียกว่า ‘ด่า’ สถาบันได้โดยไม่มีความผิด ใช่หรือไม่ หรือการแก้มาตรา 112 จะเป็นประโยชน์ต่องานเขียนของ ‘ปราบดาและสาวก’ อย่างไร
       
       ‘ปราบดาและสาวก’ ไม่เคยตอบคำถามเหล่านี้ชัดเจน เพียงแต่พร่ำบ่น “งึมงำๆ” ว่า “มาตรานี้มีปัญหาและต้องแก้ไข” จนผู้คนอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมพวกเขาถึงอยากแก้มาตรานี้กันนักกันหนา !
       
       มันจะทำให้พวกเขาก้าวขึ้นไปสู่ความมี ‘เสรีภาพ’ ในการทำงานเขียนถึงขีดจุดสุดยอดได้อย่างไร !?
       
       ด้วยเหตุดังกล่าว จงอย่าแปลกใจถ้าหากสังคมจะตั้งคำถามกลับไปที่ ‘ปราบดาและสาวก’ บ้างว่า ในช่วงที่บ้านเมืองเกิดวิกฤต คนเสื้อแดงก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมือง ‘ปราบดาและสาวก’ เคยคิดใช้เสรีภาพในการเขียนของตนเองที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมทำจดหมายเปิดผนึกเพื่อเรียกร้องทวงถามความยุติธรรมให้กับสังคมบ้างหรือไม่
       
       ถามว่า ‘ปราบดาและสาวก’ เคยแสดงความคิดเห็นทางการเมืองต่อการ ‘ทุจริตคอร์รัปชัน’ ของนักการเมืองบ้างหรือไม่ และเคยเรียกร้องหรือมีจดหมายเปิดผนึกเพื่อแก้ไขบทลงโทษนักการเมืองชั่วๆ ให้หนักขึ้นกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่ รวมถึงการกระทำอะไรที่ ‘ปกป้องสถาบัน’ ดังที่อ้างเอาไว้ในจดหมายเปิดผนึกถึงความจำเป็นที่จำต้องแก้มาตรา
       112 ว่า “เป็นการนำเสนอแนวทางที่จะสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับสถาบันกษัตริย์ในระยะยาว” บ้างหรือไม่
       
       ก็แล้วทำไมวันดีคืนดีในช่วงที่คนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยกำลังจะกลับมาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ‘ปราบดาและสาวก’ ถึงกล้าที่จะลุกขึ้นมาเพื่อขอแก้ไขกฎหมายมาตรานี้ ถ้า‘ปราบดาและสาวก’ ไม่ได้มีความคิดที่ดำเนินไปในท่วงทำนองเดียวกัน
       
       หรือไม่รู้ว่ามันจะเป็นท่วงทำนองเดียวกันกับที่ว่ากันว่า มีผู้ชายหัวโล้นคนหนึ่งนั่งอยู่บนเที่ยวบินที่กำลังจะไป ‘ดูไบ’ โดยไม่รู้เหมือนกันว่า ‘ชายหัวโล้น’ ไปพบใครหลังจากที่พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง
       
       คำถามที่หลายคนอยากรู้ ก็คือ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น ผู้เป็นบิดาของ ‘ปราบดา หยุ่น’ ได้พูดคุยกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนผู้มีหัวคิดก้าวหน้า เรียนจบเมืองนอกเมืองนา และถูกอบรมสั่งสอนให้เป็นผู้มี ‘อิสระทางความคิดและการใช้ชีวิต’ บ้างหรือไม่ หรือพูดแล้วเตือนแล้วแต่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนผู้มี ‘อิสระทางความคิดและการใช้ชีวิต’ ไม่ฟัง... หรือว่า อย่างไร ?
       
       หรือกระทั่งสื่อในเครือเนชั่นเอง ทั้งเนชั่นสุดสัปดาห์ กรุงเทพธุรกิจ คมชัดลึก The Nation ต่างก็หุบปากสนิท ตั้งแต่วันแรกที่ ‘ปราบดา หยุ่น’ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ ลุกขึ้นมารวบรวมสาวกของเขาเรียกร้องให้แก้ไขมาตรา 112 บทความหรือรายงานพิเศษหลายชิ้นมิบังอาจแตะต้อง วิพากษ์วิจารณ์ ตั้งคำถาม หรือแม้กระทั่งโจมตีการออกมาเรียกร้องของ ‘ปราบดา หยุ่น’ ถ้าจะมีก็แบบเลียบๆ เคียงๆ โดยพยายามหลีกเลี่ยงให้ห่างจากนักเขียนผู้มีนามสกุลว่า ‘หยุ่น’ ให้มากที่สุด
       
       ไม่ต้องพูดถึงคอลัมน์ ‘กาแฟดำ’ หน้า 2 หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และรายการข่าวอันเข้มข้นเร้าใจใน ‘TPBS’ ที่มี ‘เทพชัย หย่อง’ ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ ‘ทีวีไทย’ ก็ไร้ซึ่งวี่แววของนักเขียนชื่อดังนาม ‘ปราบดา’ มาสร้างสีสันในประเด็น 112 อันโด่งดังนี้
       
       แต่ก็เอาเถอะ คงไม่มีใครแปลกใจกับการทำหน้าที่ ‘สื่อ’ ในเครือเนชั่นต่อกรณีดังกล่าว ตรงกันข้ามหลายคนกลับเห็นใจคนทำงานที่ต้องอึดอัดมากกว่า แค่น่าเสียดายที่ไม่มีใครเขียนถึง ‘ปราบดา หยุ่น’ กับกรณีการออกมาเรียกร้องให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของคุณ ‘คุ่น’ เค้า ก็เท่านั้นเอง
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #473 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2555, 23:13:04 »


ปั๊มเงินเพลิดเพลิน-จำเริญปาร์ตี้น้ำท่วม

   
โดย...อสนีบาต

ท่ามกลางข่าวดีสัปดาห์ก่อน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ปรับฐานเงินเดือนข้าราชการระดับปริญญาตรี เอก โท  รวมถึง ปวช. ปวส. พนักงานราชการขยับขึ้นมาด้วย มีผลตกเบิกย้อนหลัง 1 มกราคม 2555   ก็ต้องร่วมแสดงความยินดีพี่น้องข้าราชการด้วยคน   

การเพิ่มเงินในกระเป๋าข้าราชการเป็นผลจากพันธะสัญญาขอคะแนนเสียงแลกกับการได้อำนาจรัฐเพื่อเข้ามาทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้ได้ทั้งขึ้นเงินเดือนข้าราชการระดับปริญญาตรีให้ได้ 1.5 หมื่นบาท   ปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วไทย แจกแท็บเล็ตให้เด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ฯลฯ

ทว่าข่าวดีจากการปรับฐานเงินเดือน มาพร้อมความสยอดสยองการเงินการคลังของประเทศอยู่ไม่น้อย โปรดสดับตรับฟังให้ถี่ถ้วน นโยบายรัฐบาลเพื่อไทยประกาศไว้แจ่มชัด จะปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการระดับปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท ภายใน 2 ปี "ขอย้ำภายใน 2 ปี" แต่ข้อเท็จจริงมติครม.เมื่อวันที่ 31 ม.ค.  มิได้ปรับฐานเงินเดือนข้าราชการ 1.5 หมื่นบาทซะทีเดียว 

อย่างกรณีระดับปริญญาตรีได้เพียง 11,680 บาท แต่บวกเงินเพิ่มค่าครองชีพ 3 พันกว่าบาท ซึ่งครม.เคยมีมติจัดสรรเงินเพิ่มค่าครองชีพให้ข้าราชการไปก่อนหน้านี้  เมื่อนำมารวมกันแล้วจึงได้ 1.5 หมื่นบาทเท่านั้นเอง


ครั้นบอกว่า ก็นโยบายหาเสียงกำหนดไว้ต้องปรับเงินเดือนให้ได้ 1.5 หมื่นบาทภายในสองปี   ตรงนี้พอทำความเข้าใจได้ระดับหนึ่ง อันนี้เพิ่งเป็นการเริ่มต้นปรับในปีแรก  ยังเหลืออีกปีคือปี 2556 ถึงจะครบสองปีตามสัญญาหาเสียง  คงต้องตั้งหน้าตั้งตารอก่อน  ดังนั้น เมื่อปีแรกปริญญาตรีได้ 11,680 บาท ยังเหลือปีที่สอง ที่จะดำเนินการตามสัญญาหาเสียงให้ได้ 1.5 หมื่นบาท

ประเด็นอยู่ตรงนี้   ความจริงข้อเสนอจาก กพ.ส่งเข้าที่ประชุมครม.วางสูตรไว้เรียบร้อยปีที่สองจะต้องขี้น 1.5 หมื่นบาทครบถ้วน เพียงแต่กระทรวงการคลัง  สภาพัฒน์ หรือแม้แต่ อำพน กิตติอำพน  เลขาธิการ ครม. ซึ่งเคยเป็นเลขาธิการสภาพัฒน์มาก่อน ต่างแสดงความกังวลภาระงบประมาณประเทศ

เอกสารส่งเข้าครม.ผ่านตา…อสนีบาต… มีการเกษียณหนังสือจากเลขาครม.ถึงรองนายกฯไปถึงนายกฯ เขียนทำนอง "หากจะปรับเงินเดือนภายในปี 2 ให้ครบ 1.5  หมื่นบาทต้องพิจารณาให้รอบคอบเพราะกระทบภาระการเงินการคลังประเทศ"

ทุกความเห็นในเอกสารเป็นคำตอบต้องตระหนัก นี่คือสัญญาณเตือนภัยต่อภาวะการเงินการคลังประเทศ   ไม่แปลกใจที่ข้อเสนอ กพ. ให้ขึ้นเงินเดือน 1.5 หมื่นบาทให้สำเร็จภายในปีที่2 ต้องสะดุด  จึงขอให้เตรียมฉายหนังอีกรอบในที่ประชุมครม.วันอังคารที่ 7 ก.พ.นี้ ด้วยการให้ กพ.และ กระทรวงการคลังเสนอสูตรการขึ้นเดือนแบบใหม่เข้ามาใหม่

นั่นหมายความว่า อาจเกิดสูตรที่สาม  สูตรที่ว่า อาจต้องปรับฐานเงินเดือนข้าราชการระดับปริญญาตรี ให้ครบ 1.5 หมื่นบาทพอดีเป๊ะในปี 2557 แทน   ส่วนสัญญาใจที่ว่าจะปรับให้ครบ 1.5 หมื่นบาท ปี 2556 ไม่ใช่แล้ว  แต่อาจขยับเงินเดือนปี 56 ให้อีกเล็กน้อยแล้วเติมเต็มเงินเพิ่มค่าครองชีพเข้าไปก่อน เพื่อให้เห็นว่ายังไงรัฐบาลก็ให้ครบ 1.5 หมื่นบาทแล้วนะ  เรียกได้ว่า พลิกพลิ้วเอาตัวรอดไปก่อน

กล่าวแบบนี้เพื่อให้เห็นว่า การสร้างพันธะสัญญาไว้ระหว่างหาเสียง ถึงวันนี้หายนะกำลังออกดอกออกผล สะเทือนไปถึงงบประมาณรายจ่ายประเทศ

มหกรรมตามสัญญาผลาญงบมีอีกมากที่กำลังโผล่ออกมา กรณีกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีตามที่ครม.อนุมัติไปแล้ว จังหวัดละ 100 ล้านบาท เบ็ดเสร็จ 77 จังหวัดประมาณ 7 พันกว่าล้าน มีการประชุมกรรมการกองทุนดังกล่าวฯไปนัดแรกแล้ว  แต่คนเป็นประธานอย่างกิตติรัตน์  ณ ระนอง รองนายกฯหายแว่บ มอบหมายให้ผู้อื่นทำหน้าที่เป็นประธานแทน ส่วนการประชุมมีการวางกรอบหลักเกณฑ์การใช้เงินกองทุนสตรีเป็นอย่างไร ดูเหมือนยังเงียบฉี่

แต่คนระดับพื้นที่ หลังได้ข่าวเม็ดเงินร้อยล้านกำลังร่วงหล่นมาถึงมือ  เริ่มนึกฝันไปต่างต่างนานา บรรดาแม่บ้านบอกถูกหวยครั้งใหญ่อีกแล้วพี่น้อง  เพราะรัฐปั๊มเงินเอามาให้ ใครคิดอะไรได้ต้องรีบคิด จะใช้เงินก้อนนี้ทำอะไรดี จะเอาไปตั้งศูนย์บรรเทาการทำความรุนแรงจากการโดนสามีกระทืบดีไหม   บางคนอยากขอกู้เงินดอกเบี้ยต่ำไปเปิดร้านเสริมสวย ทาเล็บ ประจำหมู่บ้าน

สารพัดความคิดอันบรรเจิด   ก็เป็นอีกหนึ่งกองทุนในการนำเม็ดเงินก้อนใหญ่จากคลังประเทศรองรับนโยบายหาเสียง  ซึ่งวิธีการของการใช้เงินจากนี้ไปจึงเป็นเรื่องสนุกสนานน่าดูหากการวางหลักเกณฑ์ไม่ชัดเจน

ถ้ารวบรวมการบริหารงบประมาณรัฐบาลชุดนี้ในรอบหกเดือน ต้องยกนิ้วให้บริหารงบรื่นเริง    ตั้งแต่จัดสรรงบ 2  พันกว่าล้านบาทจ่ายให้กับค่าเผาเมือง เยียวยาความตายพี่น้องเสื้อแดงรายละไม่ต่ำกว่า 7 ล้านบาท  จนญาติพี่น้องภาคใต้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ลุกขึ้นมาเรียกร้องขอมาตรฐานเดียวกับเสื้อแดงบ้าง จนต้องเตรียมงบอีกไม่ต่ำกว่าสองพันล้านหรือมากกว่านั้นสำหรับครอบครัวพี่น้องชาวใต้แน่ๆ 

ตามด้วยการดูดเงินอีก 5.6 พันล้านบาทในเบื้องต้น เพื่อจ่ายให้กับการปรับเงินเดือนข้าราชการปีแรกจนสั่นสะเทือนงบประมาณอนาคตที่จะสูงขึ้น

จัดหนักจ่ายเงินกองทุนสตรีไปอีก 7 พันล้านบาทสร้างความปลาบปลื้มดีใจพี่น้องชาวสตรี 

งบประมาณที่ถูกผ่องถ่ายออกไป  จึงหนักไปกับค่าใช้จ่ายทางการเมือง ประชานิยม เอาใจฐานเสียงเป็นหลัก ทั้งๆที่ประเทศเผชิญสถานการณ์อุทกภัย เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าถึงขั้นต้องออกพรก.กู้เงินมาบูรณะประเทศ  หากรู้จักบริหารงบประมาณท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตจะทำให้ประหยัดงบประมาณ แต่รัฐบาลเลือกที่จะไม่ทำ แต่เลือกที่จะบริหารงบประมาณอย่างเพลิดเพลิน

*******************

ทราบข่าวรัฐบาลยิ่งลักษณ์เตรียมจัดงานแถลงผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนต่อประชาชน  ส่วนก่อนหน้าที่จะถึง   ทราบข่าวอีกเช่นกัน วันที่ 10 ก.พ.จะมีการจัดงานใหญ่ไม่ใช่มิดไนท์เซลล์กลางทำเนียบฯ แต่เป็นมหกรรมแทงกิ้วปาร์ตี้บรรดาหน่วยงานรานราชการ เอกชน นักลงทุน ทูตานุทูต ชาวต่างประเทศ  ที่ร่วมแรงร่วมใจกับศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.)  ถือเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ยิ่งใหญ่อีกงาน 

สะดุดอารมณ์ทันที  เพราะจดจำได้ว่า หลังน้ำลดไม่นานมีบัญชาจากนายกฯยิ่งลักษณ์มิใช่หรือ เคยลั่นวาจาไม่ควรจัดงานรื่นเริงในสถานการณ์ประเทศระทมทุกข์  มีการประกาศไว้ในช่วงสัปดาห์มงคลวันที่ 5 ธ.ค.  แต่จู่ๆรัฐบาลอยากจะจัดงานรื่นเริงซะเองในวันที่ 10 ก.พ.นี้

แปลกใจกว่านั้น บอกจะเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ขอบคุณทุกฝ่ายช่วยกันแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่มีการส่งเทียบเชิญพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ร่วมงานด้วยและทันทีมีชื่อพล.อ.เปรม ภาคการเมืองก็จับเชือมโยงทันที  ไม่ใช่ใครที่ไหนก็เหล่าแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ออกมาแถลงรับลูกทันควันว่าการเชิญพล.อ.เปรมร่วมงานเป็นการสร้างความปรองดองเรียกความเชื่อมั่นประเทศไทย

อ้าว! ตกลงงานนี่คือการจัดงานสร้างภาพปรองดองกับพล.อ.เปรม ผู้ถูกกำหนดให้เป็นสัญลักษณ์คู่ขัดแย้งตามที่แกนนำแดงตัวพ่อเคยยัดเยียดเอาไว้แล้วหรือ

ตกลงการจัดงานนี้ไม่ใช่ขอบคุณทุกฝ่ายแก้ปัญหาน้ำท่วมแล้วหรือ

ตกลงวัตถุประสงค์สำคัญของงานคืออะไรกัน

ครั้นจะอ้างว่าเป็นการดึงป๋าเปรมมาร่วมงานเพื่อสร้างภาพความเชื่อมั่น เอ๊ะ!  แล้วนายกฯประเทศไทย หมดความเชื่อมั่นในสายตานักลงทุนต่างประเทศ ทูตานุทูตไปแล้วหรือ จึงต้องพึ่งบริการประธานองคมนตรีบ้าง พึ่งดร.สุเมธ ตันติเวชกุลผู้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทบ้าง อะไรกันนี่!?! 

แต่ที่แน่ๆ การแก้ปัญหาน้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมา เป็นที่ประจักษ์ชัด “รัฐบาลเอาไม่อยู่” ผ่านมาถึงวันนี้ประตูระบายน้ำต่างจังหวัดชำรุด  กระสอบทรายยังเก็บไม่หมด  ถนนหนทางแถวบางบัวทอง- บางใหญ่ บางจุดยังเละตุ๊มเป๊ะ ฝนตกเมื่อไม่กี่วัน รถติดยาวอย่างกับเพิ่งเกิดน้ำท่วมอีกรอบ   การเก็บกวาดภาพอัปลักษณ์ผลพวงจากน้ำท่วมคราวก่อนยังไม่เรียบร้อยดี

แล้วนี่มาจัดงานเลี้ยงขอบคุณประหนึ่งประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาน้ำท่วม สงสัยจะไม่ใช่กระมัง   

น่าจะเป็นการจัดงานเลี้ยงรื่นเริงประจานความล้มเหลว เหยียบย่ำซ้ำเติมความรู้สึกคนไทยที่ยังต้องรับทุกข์จากปัญหาน้ำท่วมมากกว่า                 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #474 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2555, 12:26:35 »

เขาคือ"เศรษฐา ทวีสิน" หนุ่มใหญ่ 50 กะรัต เจ้าพ่อแสนสิริ คนในข่าว เขาคือเพื่อนรักของโต้ง



 10 ก.พ. นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ถึงรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"   หลังเจ้าตัวอ้างว่าถูกลอบร้ายที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น

 

แถลงการณ์ตอนหนึ่ง ระบุว่า  "หลังนายกฯเดินทางกลับ มีผู้พบเห็นนายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ปรากฏกายในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย จึงเป็นเรื่องที่นายกฯต้องชี้แจงต่อสาธารณะให้คลายความสงสัย ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนใดแอบแฝงหรือไม่ เพราะนายกฯคือ “บุคคลสาธารณะ” ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือ “นักธุรกิจชื่อดัง”

 

หลังจากนั้น แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ กระโดดเข้ามาเล่นกับปมปริศนาอย่างรู้งาน

 

 

ประเด็นของ ปชป. คือ การพยายามโยงให้คนเชื่อว่า นายกฯปูกับนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ มีผลประโยชน์ทับซ้อน

 

 

ปมปริศนา พาดพิงถึง  เศรษฐา  ทวีสิน   กรรมการผู้จัดการบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) อย่างเต็มๆ

 

ชั่วโมงนี้ ใคร ๆ ก็อยากรู้จัก เศรษฐา ให้มากขึ้น ...

 

 

 เศรษฐา  ทวีสิน  เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2506  อีกไม่กี่วัน อายุครบ 50 ปี บริบูรณ์

 

จบการศึกษาปริญญาโท การเงิน  Claremont Graduate School สหรัฐอเมริกา

 

เริ่มการทำงานในปี 2529   เป็นผู้ช่วยผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท P&G ประเทศไทย(จำกัด)

 

ปี 2533 กรรมการบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน)

 

ชีวิตส่วนตัว สมรสกับ แพทย์หญิงพักตร์พิไล ทวีสิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ความงามด้านผิวพรรณ และคอลัมนิสต์ชื่อดัง มีบุตรด้วยกัน 3 คน ภาพของเศรษฐาคือ แฟมิลี่แมน

 

เศรษฐา ทวีสิน เป็นเพื่อนสนิทของ"โต้ง"กิตติรัตน์ ณ ระนอง  รองนายกฯและร.ม.ว.กระทรวงการคลัง

 

เศรษฐา และ แสนสิริ สร้างความร่ำรวยจากตลาดหุ้น  อย่างน่าอัศจรรย์

 


 

ล่าสุด ก่อนเกิดเหตุ มีกระแสข่าวว่า เศรษฐา เพื่อนรัก"ขุนคลังโต้ง" อาจมานั่งเก้าอี้แทน" ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน)

มติชนออนไลน์

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><