23 พฤศจิกายน 2567, 06:13:23
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 16 17 [18] 19 20 21  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)  (อ่าน 235315 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #425 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2554, 10:00:51 »

ไอ้เบ้-ถุงปลิดชีพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
      
ตัวละครที่ ส.ส.ประชาธิปัตย์ คือวิลาศ จันทพิทักษ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร ผู้อภิปรายเรื่องถุงปลิดชีพเอ่ยถึง ว่าผู้ที่เป็นธุระจัดหาจัดซื้อถุงยังชีพให้กับศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ผ่านสำนักนายกรัฐมนตรีและกรมป้องกันฯ
       
       ชื่อ “ไอ้เบ้” คือใคร

       
       มันมีความสำคัญอย่างไรในข้อกล่าวหา มีความผิดปกติไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อจัดจ้างสิ่งของหลายอย่างเพื่อนำไปแจกจ่ายประชาชน
       
      ก็พบว่า “ไอ้เบ้” เป็นข้าราชการคนดังของกรมป้องกันฯ คือมีตัวตนจริง ชื่อเล่นจริงๆ คือ “เบ๋” ไม่ใช่ “เบ้” แต่อาจมีการขานชื่อให้เสียงออกแปร่งไป แต่หากเรียก “เบ้” ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด
       

       รายนี้เป็นข้าราชการคนดังของกรมป้องกันที่รู้จักกันดีในแวดวงข้าราชการมหาดไทย เพราะไม่ใช่พวกข้าราชการตัวเล็กๆ เทียบระดับซี ก็ถือว่าชื่อชั้นไม่ธรรมดาคืออยู่ในระดับ 9 ไปแล้ว
       
       เพราะเติบโตในกรมป้องกันฯ มาหลายปี พื้นที่หลักที่ยึดหัวหาดจนมีตำแหน่งใหญ่พบว่าคือจังหวัดแห่งหนึ่งโซนตะวันออกที่มีแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อทางทะเล แต่ไม่ใช่ชลบุรีและระยอง
       
       เส้นทางชีวิตข้าราชการเริ่มตันในจังหวัด จนก้าวขึ้นในตำแหน่งสูงสุดของจังหวัด ผ่านทั้งตำแหน่ง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย-ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต
       
       จนผลงานเข้าตาบิ๊กมหาดไทยบางคน เลยดึงตัวจากพื้นที่มาช่วยราชการในสายงานมหาดไทย
       
       เป็นเสมือนเงาตามตัวกึ่งๆ หัวหน้าสำนักงาน

       
       พร้อมกับตำแหน่งระดับ 9 ที่เติบโตอย่างรวดเร็วอายุอานามก็แค่ 40 ต้นๆ ทำเอาพวกสิงห์มหาดไทยข้องใจว่าทำไมทำงานถูกใจผู้ใหญ่ทั้งสายข้าราชการและฝ่ายการเมือง ไม่ว่าจะยุคภูมิใจไทยคุมกระทรวงมหาดไทยผผลัดเปลี่ยนมาเป็นยุคเพื่อไทยคุมคลองหลอด “ไอ้เบ้” ก็ยังเอาผู้ใหญ่อยู่!
       
       เหตุผลหนึ่งก็เพราะ “ไอ้เบ้” อยู่กับเจ้านายในกระทรวงที่แบ็คอัพการเมืองแน่นปึ้ก ขนาดว่าการเมืองเปลี่ยนขั้วจากภูมิใจไทยมาเป็นเพื่อไทย เจ้านายก็ยังเก้าอี้เหนียวไม่โดนเด้ง แถมทำงานเป็นที่ถูกใจของรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคน
       
       จนมีข่าวปีหน้าอาจได้ลุ้นเก้าอี้ปลัดกระทรวงมหาดไทย หลังพระนาย สุวรรณรัฐ เกษียณอายุราชการในปีหน้า
       
       เมื่อเจ้านายเส้นแน่นปึ้ก ลูกน้องอย่าง “ไอ้เบ้” ก็เลยพลอยสบายไปด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่าตอนนี้ทั้งเจ้านายและลูกน้องคือ “ไอ้เบ้” กำลังเครียดหนัก เหตุเพราะโดนจับจ้องอย่างหนักจากฝ่ายค้าน และสื่อมวลชน มีการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างสิ่งของหลายอย่างที่ศปภ.ซึ่งจัดซื้อโดยสำนักนายกรัฐมนตรีและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดซื้อไปแจกจ่ายประชาชน โดยมีคนพยายามโยง “ไอ้เบ้” เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
       
       จนมีข่าวร่ำลือกันใน ศปภ.ว่า เมื่อเร็วๆ นี้มีรัฐมนตรีบางคนเรียกทีมงานจัดซื้อจัดจ้างไปสอบถามนอกรอบก่อนศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จบสิ้นไปแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 พ.ย. 2554 ที่ผ่านมา โดยหนึ่งในคนที่ถูกเรียกไปสอบถามมีทั้งเจ้านายและตัว “ไอ้เบ้” ด้วย
       
       ข่าวไม่ได้บอกว่า การพูดคุยกันดังกล่าวคุยกันเรื่องอะไร แต่มีเสียงเล็ดลอดออกมาว่า เจ้านายไอ้เบ้บอกน้ำลายท่วมปาก พูดอะไรมากไม่ได้ แต่เรื่องที่อึดอัดใจดูแล้วไม่อยากทำก็พยายามตัดความเชื่อมต่อไม่ให้โยงมาถึงตัวเองและ “ไอ้เบ้” ลูกน้องแล้ว ด้วยการให้ลูกน้องอีกคนรับหน้าเสื่อไป
       
       งานนี้ผู้ใหญ่ในรัฐบาลก็รับปากจะดูแลให้ขอให้ผ่านศึกอภิปรายนี้ไปก่อน ที่อาจจะมีการดูแลเป็นพิเศษให้กับคนรับหน้าเสื่อในการดูแลเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างที่ฝ่ายค้านตรวจสอบ ด้วยการให้เลื่อนตำแหน่งให้เมื่อมีโอกาสโดยเฉพาะหากมีจังหวะในการแต่งตั้งโยกย้ายกลางปี ถ้าตำแหน่งว่าง
       
       แต่ไม่รู้จะมีใครหลอกใครหรือเปล่า

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #426 เมื่อ: 10 ธันวาคม 2554, 14:05:25 »

“คำ ผกา” เปลือยนม “ล้มเจ้า”!? กับวิถีแห่ง “ดอกทอง”
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    

จากกรณีที่ นายอำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” อายุ 61 ปี ถูกศาลตัดสินจำคุก 20 ปี ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2), (3) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
       
       เหตุที่จำเลยใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัวพิมพ์ข้อความอันเป็นการจาบจ้วง ดูหมิ่นพระเกียรติยศ และหมิ่นประมาทใส่ความให้ร้ายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และส่งข้อความดังกล่าวไปยังโทรศัพท์มือถือของ นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ขณะดำรงตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี

       
       หลังจากนั้นก็ได้มีการเผยแพร่บทความออกมาตามโซเชียลเน็ตเวิร์กจำนวนมาก ในทำนองว่า “จำเลยเป็นแพะ” ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดที่แท้จริง ขณะเดียวกัน กลุ่มคนที่แสดงตัวว่ามีทัศนคติเชิงลบกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการรณรงค์ให้มีการแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
       
       อย่างเช่น “นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์” นักรัฐศาสตร์ สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์ ได้ริเริ่มแคมเปญ “ฝ่ามืออากง” โดยให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กส่งภาพตัวเองที่มีข้อความ “อากง” บนฝ่ามือมาร่วมในการรณรงค์ โดยนายปวินได้บอกถึงเหตุผลในการรณรงค์นี้ว่า กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อทำลายฝั่งตรงข้ามมากขึ้น
       
       “หวังว่านี่จะเป็นการส่งสัญญาณที่เข้มข้นไปยังรอยัลลิสต์ เพื่อให้เห็นเหตุผลเบื้องหลังคำตัดสินอากง ได้เห็นว่าพวกเขาหาประโยชน์จากกฎหมายหมิ่นฯ และที่สำคัญกว่าคือ พวกเขาอาจทำให้สถาบันอันเป็นที่รักเสื่อมถอยลงได้จริงๆ ข้อโต้แย้งของผมคือ ยิ่งกฎหมายนี้ถูกใช้มากเท่าไหร่ กลับจะยิ่งทำให้สถาบันฯ อยู่ในสถานะที่ลำบากขึ้น” นายปวิน กล่าว
       
       เช่นเดียวกับ “นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” เจ้าประจำก็ได้เผยแพร่บทความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เสนอให้ช่วยกันเรียกร้องรัฐบาลผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองที่ไม่ใช่ระดับแกนนำ โดยให้รวมถึงทุกฝ่ายที่ถูกดำเนินคดีตั้งแต่หลัง 19 ก.ย.
       
       ความจริงก็คือ นายปวิน พยายามเอา ฝ่ามือของตนที่เขียนคำว่า "อากง" ปิดบังข้อเท็จจริงไม่ให้ประชาชนรับรู้
       
       เพราะ "อากง" ชายวัย 61 ปี ถูกกล่าวหาว่า ส่ง SMS ข้อความเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปเข้าโทรศัพท์ของ นายสมเกียรติ เลขานุการส่วนตัวของ นายอภิสิทธิ์ 4 ครั้ง ระหว่างวันที่ 9-22 พฤษภาคม 2553 ในช่วงที่คนเสื้อแดงกำลังจุดไฟเผาเมือง
       
       ศาลอาญาตัดสินจำคุกอากง 20 ปี ตามมาตรา 112 และกฎหมายความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
       
       การบิดเบือนประเด็นว่า ส่ง SMS เพียง 4 ครั้ง ถูกลงโทษหนักจำคุกถึง 20 ปี ก็ไม่ต่างอะไรจากตรรกะแบบบิดๆ เบี้ยวๆ ที่ว่า "ทักษิณแค่เซ็นชื่อ ยินยอมให้เมียไปซื้อที่ดิน ทำไมต้องติดคุก 2 ปี" ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยการกระทำที่พยายามอ้างกันว่า ไม่เห็นจะเป็นความผิดตรงไหนนั้น แท้จริงแล้ว มีกฎหมายบัญญัติว่า เป็นความผิด ด้วยเหตุผลที่กระจ่างชัด และกำหนดบทลงโทษไว้ชัดเจน
       
       ทั้งนี้ "อากง" ไม่ได้ผิดเพราะส่ง SMS ที่ผิดเพราะส่งข้อความอันเป็นเท็จ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และข้อความนั้น เข้าข่ายการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และเป็นการทำความผิดอย่างเดียวกันซ้ำซากถึง 4 ครั้ง จึงถูกลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวมเป็น 20 ปี ทั้งๆ ที่ ศาลอาจจะลงโทษมากกว่านี้ก็ได้ เพราะความผิดตามมาตรา 112 มีโทษจำคุกระหว่าง 3-15 ปี
       
       หาก "อากง" ส่ง SMS เพียง 2 ครั้ง ก็จะติดคุกเพียง 10 ปี ถ้าส่งครั้งเดียว ก็ติด 5 ปี และหากอากงรับสารภาพ ก็จะได้รับการลดโทษกึ่งหนึ่ง และอาจจะได้รับการรอการลงโทษ ก็ได้ เหล่านี้คือ กระบวนการพิจารณาโทษตามปกติของศาล หาใช่การกลั่นแกล้งหรือความอยุติธรรมที่ "อากง" ได้รับไม่
       
       แต่เมื่อไม่รับว่าผิด และไม่สามารถแก้ข้อกล่าวหาจนศาลสิ้นสงสัยได้ ก็ไม่มีเหตุในการลดโทษ รอการลงโทษ
       
       นอกจากนี้ คดี "อากง " ยังถูกขบวนการล้มเจ้า ที่บังหน้าด้วยการเคลื่อนไหวให้มีการยกเลิก หรือแก้ไข มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นำไปกระพือ ขยายผลเกินความเป็นจริง และมีการบิดเบือน ตัดทอนข้อมูล ให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า "อากง" คือ ผู้บริสุทธิ์ ที่ถูกลงโทษอย่างรุนแรง เพราะมาตรา 112 เป็นต้นเหตุ
       
       "อากง" จะคิดอย่างไรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จะเป็นแดงฮาร์ดคอร์แถวสำโรงหรือไม่ จะเป็นผู้ส่ง SMS ด้วยตัวเอง หรือมีผู้อื่นส่งให้ก็ตามแต่ วันนี้ เขาคือ “เหยื่อ” ของขบวนการล้มเจ้า ที่น่าสงสาร ชะตากรรมของเขาถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกแยก
       
       และที่น่าอดสูที่สุดคือ คดี "อากง" ยังเป็นโอกาสให้ “คำผกา” หรือที่หลายคนเรียกเธอว่า “นักเขียนดอกทอง” (ที่สุดในประเทศไทย) สบช่อง-ฉวยโอกาสอ้างเป็นเหตุแก้ผ้า “โชว์นม” ในโลกไซเบอร์ สมใจอยาก (แม้หลายคนจะไม่อยาก “ชมนม” ของเธอก็ตาม)
       
       **คำ ผกากับวิถีแห่งดอกทอง
       

       อย่างไรก็ตาม จากกรณีศาลตัดสินจำคุก 20 ปี “อากง” ส่ง SMS หมิ่นฯ ดังกล่าว ได้ถูกกลุ่มล้มเจ้านำไปปลุกระดม “บิดเบือน” สร้างละครชีวิตอากงขึ้นมา เพื่อกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของมาตรา 112 ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องติดคุก และเรียกร้องให้มีการแก้ไข
       
       นอกจากนี้ยังทำให้หลายคนที่ “อยากดัง” สบช่องฉวยโอกาสโหนกระแส “อากง” ตะโกนโหวกเหวกโวยวายในโลกออนไลน์และเฟซบุ๊กเพื่อสร้างภาพให้ตัวเองเป็นนักประชาธิปไตยและนักมนุษยชนตัวยง ขณะที่บางคนใช้อากงเป็น “เหยื่อ” เพื่อสนองตัณหาความ “อยากแรง” ของตัวเอง
       
       อย่างกรณีของ “คำ ผกา” หรือ “น.ส.ลักขณา ปันวิชัย” หรือที่หลายคนเรียกขานเธอว่า “นักเขียนดอกทอง” เจ้าของหนังสือ “กระทู้ดอกทอง” ตัวแม่ที่นิยมชมชอบการเปิดเผย “นม จิ๋ม ตด” รสนิยมทางเพศ และเรื่องราวอันเป็นตัณหาราคะของตัวเองให้สาธารณชนได้รับรู้ จนทำให้เธอโด่งดังในการเป็นนักเขียนอย่างว่ามาจนถึงทุกวันนี้ โดยในช่วงที่กระแสความนิยมแผ่วลง เธอก็ถือโอกาสใช้กระแส “อากง” มาเป็นเครื่องมือ “ขายนม” โดยการลงทุนแก้ผ้าจนเหลือแต่นมล่อนจ้อน เพื่อสร้างกระแสความนิยมอัน “ร้อนแรง” ในหมู่คนเสื้อแดงให้กับตัวเอง
       
       โดยในสายตาของหลายคนที่ “รู้ทันคำ ผกา” ต่างก็มองว่าการลงทุนเปลื้องผ้าครั้งนี้ไม่ใช่ทำเพื่อ “อากง” ไม่ใช่เพื่อสิทธิมนุษยชน หรือมนุษยธรรมอะไรนักหนา แต่สิ่งที่เธอทำคือ “การตลาด” เพื่อสร้างภาพ สร้างราคา และสร้าง “ความแรง” ให้กับตัวเอง เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอถนัดและประพฤติปฏิบัติเสมอมา โดยครั้งนี้เธอเรียกการโป๊เปลือยของตัวเองซะโก้เก๋ว่า “Art project” เพราะมันคือโปรเจ็กต์ที่หวังผล(ประโยชน์)ที่จะตามมาสู่ตัวเธอในฐานะนักเขียน คอลัมนิสต์ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของยอดขายหนังสือ หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่เป็นช่องทางหากินของเธอ
       
       ลองไปถามดูก็ได้ ใครที่เคยเป็น ผ. ให้เธอคงไม่มีใครสงสัย ใครที่เคยเป็น “เพื่อนสนิท” และใครที่เคยเอาเธอไปหากินในฐานะคอลัมนิสต์และพิมพ์หนังสือขายให้คงไม่แปลกใจอะไร กับการแก้ผ้า “ขายนม” ของเธอในครั้งนี้ มีแต่สาวกเสื้อแดง นักวิชาการเสื้อแดง และนักเขียนเสื้อแดงที่ฟันยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเท่านั้นที่ยังหลงใน “จุก” ของเธอจนโงหัวไม่ขึ้น “เมานมคำผกา” จนคิดว่าเธอคือ เทพมารดามาโปรด!
       
       อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับการเผยแพร่ภาพเปลือยของ “คำ ผกา” ครั้งนี้มีข้อความ “No Hatre for Naked Heart” อยู่บนเนินอกและเต้านมทั้งสองข้างที่เปลือยเปล่า พร้อมคำว่า “อากง” อยู่บนฝ่ามือ เธอบอกว่า “Art project” ชิ้นนี้ อยากจะสื่อออกไปยังสังคมไทย ให้ถอดอคติส่วนตนออกไปจากจิตใจ และลองเปลือยใจเพื่อสำรวจถึงความมีมนุษยธรรมในฐานะเพื่อนมนุษย์ และตั้งคำถามดูว่าทำไมกรณีของ “อากง” จึงเกิดขึ้นได้ มันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ไหม และมันมากเกินไปหรือเปล่า
       
       “แทนที่จะหลบอยู่หลังตู้เย็น หลบอยู่หลังหน้าจอคอมพ์ อย่างน้อยเราก็ได้ทำอะไรซักอย่าง ที่จะก้าวข้ามความกลัวนั้นไป และส่งข้อความออกไปยังสังคม...ให้สังคมไทยนั้นก้าวพ้นความกลัวไปด้วยกัน” นักเขียนดอกทองกล่าว และว่า “งานชิ้นนี้ เปรียบเสมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ใช้ร่างกายประท้วงต่อความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งการกล้าเปิดกาย-ใจ และการกล้าเปิดเผยตัวตนนี่เอง ที่เป็นการเผชิญหน้าและเอาชนะความกลัวได้อย่างแท้จริง”
       
       งานนี้เธอ “ถอดผ้า” แต่สาบานได้ว่าเธอเองก็ไม่ได้ “ถอดอคติ” ส่วนตนออกไปจากจิตใจ เหมือนที่พร่ำบอกต่อสังคมไทยอยู่ในขณะนี้
       
       นั่นล่ะคือ “คำ ผกา” ที่ภาษาเหนือแปลว่า “ดอกทอง” หญิงสาวที่เติบโตมาจากบ้านสันคะยอม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เรียนจบปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต่อด้วยปริญญาโทและเอกจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ที่ซึ่งทำให้เธอเริ่มมีคอลัมน์แรก “จดหมายจากเกียวโต” ตีพิมพ์ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ โดยใช้นามปากกาว่า ฮิมิโตะ ณ เกียวโต แต่ที่สร้างชื่อให้เธอก็คือคอลัมน์ “กระทู้ดอกทอง” โดย คำ ผกา
       
      ต่อจากนั้นหญิงสาวก็สร้างเรื่องอื้อฉาวเพื่อส่งให้ตัวเอง “ร้อนแรง” ขึ้นเรื่อยๆ จากการ “เปลื้องผ้า” ขึ้นหน้าปกนิตยสาร GM เพราะต้องการบอกว่า “การแก้ผ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิง” และเธอยังมีงานเขียนในนิตยสารอีกหลายฉบับ ซึ่งส่วนใหญ่เธอจะสื่อสารกับคนอ่านด้วยเรื่อง “เซ็กซ์” รวมถึงเรื่องดอกทองที่มีประเด็นทางสังคม-การเมือง และที่ร้อนแรงที่สุดเห็นจะเป็นคอลัมน์วิพากษ์วิจารณ์สังคม-การเมืองในหนังสือ “มติชนสุดสัปดาห์” ที่เรียกทั้งเสียงชมและเสียงด่าไม่แพ้กัน ล่าสุด, ด้วยบทบาทการเป็นเทพีของคนเสื้อแดง ด้วยการชูธงไพร่ต่อต้านอำมาตย์ “นักเขียนดอกทอง” คนนี้จึงได้รับการอุปการคุณให้เป็นพิธีกรรายการ “คิดเล่นเห็นต่างกับ คำผกา” ออกอากาศทาง “วอยซ์ทีวี” โดยเธอวิพากษ์วิจารณ์และด่าทอทุกผู้ทุกนามที่รู้สึกขวางหูขวางตา ยกเว้น “ทักษิณ” และครอบครัวชินวัตร ผู้มีอุปการคุณของเธอที่เป็น “คนเหนือ” ด้วยกัน
       
       “แขก (ชื่อเล่น) เป็นคนไม่เที่ยวกลางคืนนะคะ ไม่โดยสิ้นเชิง เว้นแต่ไปดื่มกับเพื่อนเงียบๆ ... หากเราได้เจอคนที่เราอยากอยู่กับเขา และเขาอยากอยู่กับเรา อยู่ด้วยกันแล้วชีวิตรื่นรมย์ขึ้น ได้พึ่งพา เกื้อกูลกัน คุยกันสนุก มีเซ็กซ์ดีๆ ด้วยกัน ทำไมเราจะไม่อยากอยู่กับใครล่ะคะ?” นั่นคือส่วนหนึ่งใน “ไลฟ์สไตล์” ของเธอ
       
       ส่วนเรื่องลับเฉพาะคนรู้ใจ “คำ ผกา” ที่สื่อหลายสำนักให้ข้อมูลตรงกันก็คือ
     “เวลาสื่อไปขอสัมภาษณ์ คำ ผกา จะคิดเงินอักษรละบาท” เอากะเธอสิ!

       
       แต่บางคนบอกว่าอย่าด่วนสรุป หากยังไม่ได้คุยกับเธออย่างเปิดเปลื้อง...
       
       **กูเบื่อมึง : บทความสะท้อนตัวตนของผู้หญิงเรยา
       
       “อม... (อวัยวะเพศพระ) มาพูดก็ไม่เชื่อ” ! นั่นคือประโยคร้อนแรงของ “คำ ผกา” ในทวิตเตอร์ที่ทำเอาพระเณรสะดุ้งสะเทือนไปตามๆ กันเมื่อไม่นานมานี้
       
       และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้เธอก้าวล่วงมาแล้วทั้งพระเถรเณรชี ไล่มาตั้งแต่ท่าน ว.วชิรเมธี พระไพศาล วิสาโล ท่านเจ้าคุณประยุทธ์ ลามปามไปจนถึง “ท่านพุทธทาส” แต่ด้วยเหตุที่ศิษยานุศิษย์ของท่านเหล่านั้นวางอุเบกขา จึงทำให้เธอยิ่งลามปามไปทั่วด้วยความคะนอง และถือเป็นโอกาสทำมาหากินในฐานะนักเขียนดอกทองของเธอเรื่อยมา
       
       "ทำไมสังคมไทยถึงชอบให้พวกครู หมอ พระ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมมานั่งสอนศีลธรรมเหมือนเป็นเด็กอมมือ...
       
       "ฟ้าเป็นไพร่นะ... คนที่มันตื่นเต้นกับธรรมะ... อย่างกะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่แบบกาลิเลโอที่ค้นพบว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล พวกเห่อธรรมะนี่เค้าเป็นกันอย่างนี้จริงๆ คำก็สติ สองคำก็รู้จักพอ สามคำก็ทุกข์ พอถึงคำที่สี่ก็ต้องเอ่ยคำนี้ออกมา "พุทธทาส" เป็นสูตรสำเร็จยังกะน้ำจิ้มสุกี้"
       
       นั่นคือบางส่วนในบทความที่ชื่อว่า “กูเบื่อมึง” ของ “คำ ผกา” ในมติชนสุดสัปดาห์ ที่สมมติตนเองเป็น “เรยา” ตัวละครอื้อฉาวที่โด่งดัง
       
      หรือเมื่อปี 53 ที่ คำ ผกา วิจารณ์ท่าน ว.วชิรเมธี ค่อนข้างแรงว่า...
       
       “งานของท่าน ว.วชิรเมธี มันเป็นยากล่อมประสาท หลอกขายกันไปวันๆ ไม่ได้ทำให้คนตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม มันเป็นการเอาตัวรอดคนเดียว... แขก (ชื่อเล่น) เลยมองว่ามันเป็นการมอมเมาทางปัญญา สอนให้คนหลีกหนีปัญหา แล้วก็ทำให้มืดบอดต่อปัญหาของคนอื่นในสังคมด้วย คำพูดของ ว.วชิรเมธี มีอะไรที่ลึกซึ้งบ้าง ไม่มี แต่ทำไมคนถึงให้ความสำคัญ เพราะมันออกมาจากพระที่บอกว่าตัวเองอ่านพระไตรปิฎกเจนจบ เป็นศิษย์พุทธทาส”
       
       หรืออีกครั้งที่เธอวิพากษ์วิจารณ์ท่าน ว.วชิรเมธี ว่า... “ดาราคนหนึ่งพูด กับ ว.วชิรเมธีพูด อะไรจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน ก็คือว.วชิรเมธีมีอิมแพคต่อสังคมมากกว่า เพราะฉะนั้นคำพูดของ ว.วชิรเมธีจึงควรได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มากกว่าคำพูดของดาราสักคนหนึ่ง พี่ไม่เข้าใจทำไม ว.วชิรเมธีบอกว่า "ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน" อันนี้เราก็ต้องเอาไปถกเถียงกันว่าพูดในบริบทไหน ในความหมายยังไง แล้วพูดบนฐานของปรัชญาแบบไหน พี่คิดว่ามันผิดฝาผิดตัว พี่คิดว่าแกมีปัญหาในทางตรรกะ ในทางการพูดเปรียบเทียบอะไรแบบนี้...”

       
       นอกจากพระสงฆ์องคเจ้าแล้ว “คำ ผกา” ยังจับผู้หลักผู้ใหญ่และใครต่อใครในบ้านเมืองยัดเยียดให้เป็น “สลิ่ม” ไปเสียหมด ไม่เว้นแม้กระทั่ง “นายแพทย์ประเวศ วะสี” ราษฎรอาวุโส ที่เธอด่าทออย่างสาดเสียเทเสียมาแล้ว
       
       “ที่ผิดปกติ และชวนหัวอย่างที่สามารถเป็น black comedy ได้อย่างสมบูรณ์แบบคือ ความคิดเห็นของ ประเวศ วะสี บุคคลผู้สั่งสมบารมีชื่อเสียงของตนมาจากการสร้างชื่อในฐานะของคนที่ต่อสู้เพื่อโครงสร้างของสังคมที่เป็นธรรม บุคคลที่มีภาพของการเป็นคนดีมีศีลธรรม บุคคลที่เป็นเจ้ายุทธจักรของโครงการที่รณรงค์ให้คนเป็นคนซื่อ มือสะอาด เลิกเหล้า อดบุหรี่ มีศีล บุคคลผู้พร่ำเพ้อถึงสังคมอุดมคติ นิพพาน ปราศจากการเอารัดเอาเปรียบ บุคคลที่รังเกียจทุนสามานย์ การคอร์รัปชั่นและความหื่นกระหายตะกละของนักการเมือง
       
       “นี่คือทัศนะของบุคคลที่ชนชั้นกลาง มีการศึกษาจำนวนมากในสังคมไทยเคารพนบไหว้ว่าเป็นปูชนียบุคคล วิเศษวิโสเหลือประมาณ... นี่คือทัศนะของท่านว่า แรงงานไทยมีค่าแรงวันละ 150 บาทก็พอแล้ว ถ้าให้แรงงานมีที่พัก และอาหาร จากนั้นโปรดอยู่ในความสงบ เอ๊ย อยู่ในความพอเพียง
       
       “พิโธ่เอ๋ย...อนิจจัง อนิจจา ท่านราษฎรอาวุโส นี่เป็นสิ่งที่ฉันหัวเราะมิได้ ร่ำไห้มิออก อึ้งยิ่งกว่าอ่านเจอรายงานของคณะกรรมการสิทธิฯ เรื่องสลายการชุมนุม อึ้งเสียยิ่งกว่าปริศนาว่าด้วยเงิน 600 ล้านปฏิรูปประเทศ (แบบว่าทำใจไปแล้วว่าประชาชนได้ทำทานครั้งใหญ่ไป)...
       
       “อีกหน่อยอาจเพิ่มแพ็กเกจใครเลิกเหล้าได้เด็ดขาดถึงจะมีของขวัญเป็นค่าแรงเพิ่มให้เป็นพิเศษ ใครไปบวช ได้เพิ่มวันละห้าบาท ใครเลิกบุหรี่เอาไปเลยอีกคนละหกบาทขาดตัว ใครวิปัสสนาทุกวันเอาไปเล้ยยยค่าแรงฟรีวันละ 10 บาท ทำเช่นนี้ นิตยสารส่งเสริมความดี รายการคนค้นสัตว์ จะมาแย่งกันทำรายการสารคดีนายทุนดีมีคุณธรรมค้ำจุนโลก
       
       “ท่านราษฎรอาวุโส ค่าแรงวันละ 150 บาท นั้นเท่ากับเดือนละ 4,500 บาท ฉันแค่อยากรู้ว่าหลานของท่านดื่มนมเดือนละกี่บาท? กินขนมเดือนละกี่บาท...
       
       “สุดท้ายนี้ ฉันอยากจะบอกว่า ค่าแรงวันละ 150 บาทจากท่านนั้นเป็นความอำมหิต มันปิดไม่มิดจากหัวใจไร้ความเป็นธรรม ไร้ความปรานีจากคนที่เรียกตนเองว่าราษฎรอาวุโสที่เที่ยวป่าวประกาศว่าตนเองรักความยุติธรรม ไม่อยากเห็นความเหลื่อมล้ำในสังคมและอยากปฏิรูปโครงสร้างประเทศ”
       
       เอากะเธอสิ!
       
      และแม้แต่ “เช็ค-สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ” เจ้าของรายการ “คนค้นฅน” ก็ไม่ได้รับความปรานีจาก “เทพีของคนเสื้อแดง” ในประเด็นที่แรงแบบไม่จำกัดความถ่อย แต่ขอเอามานำเสนอแค่พองาม ในบทความเรื่อง “กูเบื่อมึง” ในมติชนสุดสัปดาห์ ที่ “คำ ผกา” สมมติตัวเองเป็น “เรยา” ความว่า...
       
       “...กําลังกริ้วเรื่องพระ ตวัดสายตามาอ่านเจอบทสัมภาษณ์คนทำรายการ คน ค้น ฅน อาการกริ้วของฟ้าก็มากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ จากนั้นก็ลืมตัวอุทานว่า "ชิบหายแล้ว"...
       
       “ฟ้าเป็นไพร่นะ แม่เป็นแม่ครัว พ่อเป็นยาม ก็ขอใช้ภาษาให้ตรงกับกำพืดของตนเอง อาการประมาณนี้คนในชนชั้นของฟ้าอยากจะเรียกว่า "เด็กเห่อห-มอย" ได้ไหม? …
       
       “คนเราตายไปเอาอะไรไปไม่ได้ก็ถูก แล้วไง? มีอะไรตื่นเต้น? มีอะไรแปลก? ...แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้น ก่อนตายกูจะอยู่ยังไง (โว้ย?)?
       
       “คุณคน ค้น ฅน... ถ้าฟ้าเจอหน้าคุณจังๆ จะขอถามนะว่า "ที่ออกมาพูดเรื่องธรรมะปาวๆ ที่ใบหน้ายังมียางเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า? ยางอายน่ะ รู้จักไหม?...
       
       “แล้วในฐานะที่คุณก็ไปทำสารคดีเอาชีวิตคนจนมาค้าขายทางจอโทรทัศน์จนคุณชักจะมั่งคั่งขึ้นมากับเขาบ้าง คุณไม่เคยตั้งคำถามเลยหรือว่า ทำไมคนกลุ่มหนึ่งถึงขาดโอกาสและยากจน และทำไมคนอีกกลุ่มหนึ่งถึงสามารถสะสมความมั่งคั่งจากรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งได้ไม่ขาดสาย
       
       “หรือคุณเชื่อว่านี่เป็นเรื่องบุญ เรื่องบาป เป็นเรื่องบุญทำกรรมแต่ง หรือคุณรู้ทุกอย่างแต่บิดเบือนเรื่องความยากจน และการขาดโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณะ ให้มันเป็นเรื่อง "ศักดิ์ศรี", "ความกตัญญู", "ความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค" ฯลฯ เด็กๆ ขายปาท่องโก๋หาเงินมารักษาพ่อแม่ที่ป่วย แทนที่จะทำให้เราตั้งคำถามต่อระบบประกันสุขภาพ แต่สารคดีของพวกคุณหันไประบายสีที่ความกตัญญู ความน่ารักของเด็ก ความทรหดอดทนของเด็ก
       
       “จากนั้นคนอย่างคุณก็หาเงินบริจาคเอาไปช่วยเด็ก - ถามหน่อยว่าเราจะแก้ปัญหาความยากจนด้วยการสงเคราะห์กันไปทีละครอบครัวสองครอบครัวอย่างนี้เรื่อยไปหรือ? ถามต่ออีกว่าใครได้ประโยชน์จากการสงเคราะห์อันนี้มากที่สุด ไม่ใช่ครอบครัวเด็กคนนั้น ไม่ใช่ปู่เย็น แต่เป็นคุณเจ้าของบริษัทผลิตรายการสารคดี ที่ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งกล่อง (ในฐานะนักบุญ) ได้ทั้งภาพพจน์ของความเป็นคนดีมีคุณธรรม
       
       “ฟ้าไม่โทษคุณหรอกนะ แต่โทษสังคมไทยสับปะรังเคที่มันหล่อหลอมให้พวกเรากลายเป็นคนที่เห็นความดีงามกันตื้นๆ ง่ายๆ ใครไปวัดก็ว่าดี ใครไม่กินเนื้อสัตว์ก็ว่าดี ใครบริจาคเงินเยอะๆ ก็ว่าดี ใครชอบอ้างชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ก็ว่าดี ใครพูดจาธรรมะธัมโมหน่อยก็ว่าดี ใครไปปฏิบัติธรรมก็ว่าดี ใครชอบหล่นคำว่า 'พุทธทาส' ออกมาบ่อยๆ ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่...
       
       “ยาวเกินไปละ ขอตัวไปหาผัวใหม่ก่อนนะ
       
       “ฟ้า (เรยา) ป.ล. กูเบื่อความ FAKE”
       
       อย่างไรก็ตาม ถ้าสังเกตให้ดี โดยไม่จำเป็นต้องดูนมที่ “คำ ผกา” เอามาโชว์ ก็จะเห็นเจตนาของเธอที่ต้องการวิพากษ์วิจารณ์และปะทะกับเฉพาะผู้มีชื่อเสียงในสังคม หรือคนในระดับที่เรียกว่า “เซเลบฯ” หรือไม่ก็ประเด็นใหญ่ๆ ที่เธอรู้ว่าเมื่อวิพากษ์วิจารณ์ด่าทอแล้วจะเกิดแรงกระเพื่อมในสังคม ส่งผลให้ตัวเธอโด่งดังขึ้นมา เหมือนกรณีที่เธอเปรียบเทียบ “นักศึกษาน้องใหม่” ที่ร่วมกิจกรรมรับน้องในมหาวิทยาลัย ด้วยการคล้องป้ายชื่อพร้อมรหัสนักศึกษา ว่าเป็นเหมือน “สัตว์ในฟาร์ม” และเหมือนกับที่เธอเข้าใจใน “เรยา” และท่าเต้นของ “จ๊ะ คันหู” เป็นพิเศษ นั่นแหละ
       
       กรณี “คำ ผกา” ที่หลายคนยกให้เธอเป็น “นักเขียนที่ดอกทองที่สุดในประเทศไทย” และการที่เธอ “เปลือยนม” นั้น ก็ไม่ได้เป็นความผิดปกติเกินความคาดหมายของใครหลายคนที่รู้จักเธอเป็นอย่างดี หลายคนคิดอยู่แล้วสักวันหนึ่ง คำ ผกา ต้องลุกขึ้นมาแก้ผ้าโชว์ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง เพื่อดูดดึงหรือหล่อเลี้ยงกระแสของตัวเองไว้ การเปิดเผย “นม จิ๋ม ตด” จึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาของเธอที่เลือก “จุดขาย” ของตัวเองไว้แบบนี้ อย่าไปถามถึงเรื่อง “ยางอาย” หรือการแคร์ความรู้สึกของสังคม เพราะมันคงไม่ได้อยู่ในสมองและสองนมของเธอนานแล้ว และนี่ก็ไม่ใช่ “ครั้งแรก” ของเธอที่แก้ผ้าต่อสาธารณะ
       
       กรณีฝ่ามืออากง และการ “เปลือยนม” ของคำ ผกา หลายคนอาจดูเป็นการประท้วงที่ “เท่” เก๋ไก๋กลายเป็นแฟชั่นของพวกที่มีหัวคิดก้าวหน้า ก็ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาที่อยากเป็นคนมีหัวคิด “ก้าวหน้า” ตบเท้าเข้ากราบคารวะ “นม” คำ ผกา กันไปเถิด โดยเฉพาะคนที่อยากให้เรื่องนี้ลุกลามบานปลายกลายเป็นขบวนการรณรงค์ทางการเมือง ก็สมควรที่จะเข้าไป “กราบสองเต้า” ของ คำ ผกา งามๆโดยพลัน

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #427 เมื่อ: 10 ธันวาคม 2554, 14:50:11 »

เรียน ทุกท่าน
    ผมส่งบทความ "เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์ เป็นจริง" ตอนสุดท้าย  และตอนที่ 1-7 มาให้อ่านครับ


“..ดวงทักษิณ..เป็น..เสนียดเมือง..”        “พระสงฆ์รูปนั้น”เริ่มต้นด้วยคำพูดที่ผมต้องถามกลับทันทีว่า“ท่านอาจารย์..เสนียดเมือง..ต่างกับ..กาลีบ้านกาลีเมืองอย่างไรครับ?”   (จากตอนที่ 7)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000157008

เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนสุดท้าย)
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    9 ธันวาคม 2554 16:53 น.    


      
สอดแนมการเมือง
       โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

       
       การเคลื่อนไหวชุมนุมขับไล่ทักษิณ ของพันธมิตรฯเป็นไปอย่างต่อเนื่อง นับแต่ปลายปี2547-2548 โดยทักษิณกับพวกได้จ้างและเกณฑ์ผู้คนของตนออกมาปะทะ จนสถานการณ์การเมืองตึงเครียด
       
        แต่ทักษิณก็เป็นนายกฯ จนครบ 4 ปี และสืบทอดอำนาจต่อด้วยการชนะเลือกตั้งอีกครั้งในปี2548 การเป็นนายกฯ รอบสองของทักษิณไม่ราบรื่น เพราะยังโดนประชาชนต่อต้านจนต้องมีการเลือกตั้งใหม่
       
       2549 มีการเลือกตั้งทั่วไปซ้ำอีกครา แต่พรรคฝ่ายค้าน3 พรรคไม่ส่งคนลงสมัคร ทำให้การเลือกตั้งเกิดเรื่องมิชอบ จนศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้เป็นโมฆะ
       
       วันที่ 15 ตุลาคม 2549 กกต.ได้จัดการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ก็ไม่ชอบธรรมอีกตามเคย ทำให้การเมืองไทยยิ่งร้อนระอุ กับการชุมนุมยืดเยื้อของพันธมิตรฯ ที่ยังปักหลักตะโกน“ทักษิณออกไป”ตลอดเวลา
       
       ห้วงนั้น..รัฐบาลทักษิณอ่อนแอจะล้มมิล้มแหล่ แต่ทักษิณก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ถึงขนาดเกณฑ์คนของรัฐบาล ออกมาทำร้ายการชุมนุมของพันธมิตรฯอยู่เนื่องๆ จนสถานการณ์ทำท่าจะบานปลาย
       
       ในที่สุด..ทหารกลุ่มหนึ่งจำต้องออกมาทำรัฐประหาร โค่นล้มรัฐบาลทักษิณลง เมื่อวันที่ 19 กันยายน2549
       
       เหตุการณ์..ตรงกับคำทำนายของ“พระสงฆ์รูปนั้น” ที่ว่า..ทำยังไงๆทักษิณก็ไม่ล้มไม่ไป จนกว่าจะถึงวันที่ 6-26 กันยายน2549 ทักษิณจะหมดอำนาจลง!
       
       ผมพบกับ“พระสงฆ์รูปนั้น”อีกครา หลังรัฐบาลทักษิณถูกโค่นเพียงไม่กี่วัน
       
        “คุณชัช..สมัครจะได้เป็นนายกฯ นะ แต่อายุเขาจะสั้นลง”
       
       สมัคร สุนทรเวช จะเป็นนายกรัฐมนตรี “พระสงฆ์รูปนั้น”บอกผมหลายครั้งแล้ว และผมกับเพื่อนที่ได้ยินก็ไม่เชื่อ และจะแย้งเสมอว่า“เป็นไปไม่ได้”
       
       “สมัคร”หมดอำนาจนานแล้ว พรรคประชากรไทยของเขาเล็กลง..เล็กลง..จนเหลือแต่ซาก..เขาจะเป็นนายกฯ ได้ยังไง?
       
       ทว่า..ด้วยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ไม่ได้ดำเนินคดีความทักษิณกับพวกอย่างจริงจัง ไม่มีการปฏิรูปการเมืองเพื่อยุติการซื้อเสียงเลือกตั้งใดๆเลย ทักษิณมีเงินล้นฟ้าจึงยังเล่นการเมืองได้อย่างอิสระ ทั้งนอกสภา-ในสภา-บนดิน-ใต้ดิน!
       
       เมื่อรัฐบาล“สุรยุทธ์”จัดให้มีการเลือกตั้ง ในปี 2550 ทักษิณได้ดึง สมัคร สุนทรเวช เข้าสังกัดพรรคของเขา ก่อนจะกวาดชัยชนะจากการเลือกตั้งได้อีกครา“ส้มนายกฯ”จึง“หล่นใส่”สมัคร สุนทรเวช ที่ถูกเชิดให้เป็นหุ่นทันที
       
       สมัครเป็นนายกฯ-ผมนึกถึงคำว่า“เก่งกับเฮง”ขึ้นมา บางคนเก่งแต่ดวงไม่เฮง-ชีวิตเจ๊ากับเจ๊ง บางคนห่วยแต่ดวงเฮง-ชีวิตเลยแจ๋วแหววโดยไม่มีเหตุผล แต่บางคนทั้งเก่งทั้งดวงเฮง-จึงสมหวังดังปรารถนาเสมอ
       
       งานนี้..ผมกับเพื่อนแพ้พ่าย“พระสงฆ์รูปนั้น”ราบคาบครับ
       
       สมัคร-เป็นนายกฯ ทุกขลาภ เพราะเป็นนายกฯ หุ่นที่ทักษิณบงการอยู่เบื้องหลัง วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ทักษิณได้เดินทางกลับประเทศไทย แต่อยู่ได้ไม่นาน..ก็ต้องหนีคดีซื้อที่ดินรัชดาฯ ไปพเนจรอยู่ในต่างประเทศตราบทุกวันนี้
       
        25 พฤษภาคม 2551 พันธมิตรฯ ได้เปิดฉากชุมนุมขับไล่รัฐบาลสมัคร ต่อสู้กันชนิดเจ๊งเป็นเจ๊ง-ตายเป็นตายอีกครั้ง ทว่าปีเดียวกันนั้นเอง..สมัคร-ก็ตกสวรรค์จนต้องหลุดจากเก้าอี้นายกฯ เพราะไปทำความผิดกฏหมาย ที่เกี่ยวกับผลประโยน์ทับซ้อนเข้าอย่างจัง
       
        แม้สมัคร-จะยังอยากเป็นนายกฯ ซ้ำสอง แต่ทักษิณก็หักดิบด้วยการตั้งน้องเขย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ แทน สมัครจึงทรุดทั้งกายและใจด้วยโรคมะเร็ง จนต้องเดินทางไปรักษาตัวที่สหรัฐอเมริกาอย่างเงียบๆ
       
       ทราบมาว่า..สมัคร-ได้ลงจากเตียงพยาบาลเพื่อกราบลา“พระสงฆ์รูปหนึ่ง”เป็นครั้งสุดท้ายด้วย
       
       ผมไม่ได้พบกับ“พระสงฆ์รูปนั้น” ตลอดอายุขัยรัฐบาล“สมชาย วงศ์สวัสดิ์”และรัฐบาล“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ด้วยผมยุ่งอยู่กับงานและการชุมนุมของพันธมิตรฯ นั่นเอง
       
       จนกระทั่ง เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ภายใต้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นแหละ..ที่ทำให้ผมอดใจไม่ไหว ต้องตัดสินใจไปพบกับ“พระสงฆ์รูปนั้น”ในค่ำคืนของเดือนพฤศจิกายน 2554
       
       แน่นอน..ไม่พบปะยาวนานถึงสองสามปี เรื่องพูดคุยย่อมมากเป็นธรรมดา สนทนากันจนดึกดื่นเที่ยงคืน..กว่าจะลากลับ ด้วยเรื่องราวแห่งคำพยากรณ์ในหลายเรื่อง แต่ละเรื่องจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่..เวลาจะพิสูจน์ครับ
       
        “ท่านอาจารย์..นายกฯ คนนี้กับบ้านเมืองจะเป็นเช่นไร?”
       
       ผมถามตรงไปตรงมาขณะที่“พระสงฆ์รูปนั้น”ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ
       
        “คุณชัช..คุณยิ่งลักลักษณ์ดวงเหมือนทักษิณ คอยดูนะ..บ้านเมืองจะมีปัญหาหนักขึ้นเรื่อยๆ จากน้ำนองหรือน้ำท่วมแล้ว..จากนี้..เลือดจะนอง..”
       
       “พระสงฆ์รูปนั้น”เกริ่นนำแล้วเงียบไปพักใหญ่ โดยผมยังคงนั่งจับตาและเงี่ยหูฟังอยู่เงียบๆ
       
        “..นับจากวันที่ 7 ธันวาคม ปี 2554 จนถึงเดือนมิถุนายน ปี 2555 ดวงเมือง..จะต้องมีเรื่องใหญ่ๆ เกิดขึ้น และอีก 3 ปีข้างหน้า นับตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปี 2557 ประเทศไทยจะมีทั้งเรื่องอุบัติภัย และปัญหาการเมืองมากมาย โน่น..หลังปี 2557 ประเทศไทยถึงจะดี”
       
        “อาจารย์..นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะอยู่ในตำแหน่งนานไหม?”
       
        ผมถาม..เพราะระอาฝีมือบริหารชาติ อันแสนห่วยแตกของ“ปู”น้อง“แม้ว”ที่ถูกเชิดเป็นนายกฯ ทั้งที่เธออ่อนหัดเกินกว่าจะเป็นนายกฯประเทศไทยได้
       
        “นายกฯ คนนี้..แม้ดวงจะเหมือนพี่ชาย-แต่หลายอย่างต่างกัน เขาอยู่ไม่นานคุณชัช เพราะบ้านเมืองต้องมีการเปลี่ยนแปลง”
       
        “เปลี่ยนแปลงอย่างไร..ท่านอาจารย์?” ผมย้ำถาม..เพราะคำเปลี่ยนแปลงนั้น เปลี่ยนแปลงเป็นรัฐไทยใหม่-ทักษิณชนะ หรือเปลี่ยนรัฐบาลยิ่งลักษณ์-ทักษิณแพ้
       
        “เปลี่ยนไปในทางที่ดีต่อชาติและประชาชนสิ..คุณชัช”
       
        “อาจารย์..แล้วทักษิณล่ะ..เขาจะเป็นเช่นไร?”
       
        “ดวงทักษิณไม่ดีมากๆ ถ้าเขาตายเร็ว..ต้องถือว่าเขาโชคดี แต่หากไม่ตายเร็ว..ชีวิตจะลำบากมากๆ”
       
        ผมไม่ถามต่อ..เพราะมีคำตอบอยู่ในใจมาตลอดว่า สุดท้าย..ธรรมะต้องชนะอธรรมแน่นอน!
       
        แต่ผมบอกแล้วนะว่า.. ไม่มี“นักทำนาย”ที่ไหนในโลก ที่จะทำนายอนาคตได้ถูกทุกเรื่อง “พระสงฆ์รูปนี้”ก็เคยทำนายพลาดในบางเรื่อง
       
       แต่มนุษย์..ต้องอย่าให้คำทำนาย มาเป็นอุปสรรคขวางการทำงานใดๆ ของเราได้ มนุษย์-กำหนดชะตาชีวิตตนเองได้ แม้บางเรื่องจะแพ้พ่าย“ฟ้าลิขิต”ก็ตาม
       
        ดูสิ..ทักษิณใช้เงินชี้ชะตาเอาชนะการเลือกตั้ง แต่กลับถูก“น้องน้ำ54”ที่น้ำไม่ได้มากกว่า “น้องน้ำ38”สอยแทบร่วง เพราะรัฐบาล“ปู”ที่“แม้ว”บงการอยู่ข้างหลัง บริหารจัดการผิดจนน้ำท่วมประเทศครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์
       
       ทำให้คนไทยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ตายกว่า 600 คนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสกว่า 3 ล้านครัวเรือน ประเทศเสียหายกว่า 1.1 ล้านล้านบาท
       
        เท่านั้นไม่พอ..นายกฯ ยิ่งลักษณ์ยังปล่อยให้คนในรัฐบาล หากินบนความทุกข์ของผู้ประสบภัยน้ำท่วม ด้วยการโกงกินถุงยังชีพและการซื้อข้าวของอีกสารพัด
       
       ร้ายกว่านั้น..รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังเอาแต่เล่นสงครามน้ำลายทางการเมือง บนความเดือดร้อนของผู้คนที่ถูกน้ำท่วมอีกต่างหาก ทั้งปล่อยให้ ส.ส.รัฐบาลนำชาวบ้านไปรื้อคันกั้นน้ำและเปิดประตูน้ำ จนการระบายน้ำใน กทม.ปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา
       
       น้ำท่วมเพราะนักการเมืองชั่ว น้ำท่วมทำให้เห็นชัดเจนว่า นักการเมืองชั่วทั้งหลายนั่นแหละ คือ ตัวอันตรายต่อความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง!
       
       ตราบใดที่ประเทศไทยไม่มีการปฏิรูปการเมือง ขจัดหรือยุติการซื้อเสียงเลือกตั้งไม่ได้ ทักษิณกับนักการเมืองชั่วจะยึดอำนาจรัฐ เพื่อทำความชั่วได้ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง!
       
       ทักษิณและนักการเมืองชั่วจะพ่ายแพ้ ถ้าประเทศไทยใช้ระบบการเมืองที่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย ที่ทำให้ทักษิณกับพวกซื้อเสียงหรือโกงการเลือกตั้งไม่ได้ นั่นแหละ..ชาติกับประชาชนจึงจะชนะนักการเมืองชั่ว บ้านเมืองก็จะดีขึ้นไงล่ะครับ..
       
      ท่านผู้อ่าน..ให้เวลา-พิสูจน์“คำพยากรณ์” ให้ปาก-ท่องคำว่า..อะไรจะไม่เกิด-ก็ไม่เกิด อะไรจะเกิด-ก็ให้มันเกิด ให้ใจ-อย่าซีเรียสเครียดไปกับคำทำนาย ให้สมอง-รู้ไว้ใช่ว่า..ใส่บ่าแบกหาม..ดีไหมครับ!

สามารถอ่านคำทำนายตอน 1 - 7 ก่อนหน้านี้ได้จากลิ้งค์ข้างล่างนี้ครับ

เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนหนึ่ง)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000134664

เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนสอง)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000137708

เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนสาม)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000140862

เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนสี่)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000144272

เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนห้า)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000147456

เมื่อคำทาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนหก)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000150649

เมื่อคำทำนาย..โหราจารย์..เป็นจริง!(ตอนเจ็ด)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000153949
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #428 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2554, 08:57:20 »

8 เหตุผลที่ "ธีระชัย" จะถูกคัดออก

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


เหตุผลหลายประการที่ทำให้ชื่อของ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.การคลัง อยู่ในลำดับต้นๆ ของรัฐมนตรี ที่จะถูกคัดออก


  ในการปรับคณะรัฐมนตรีเร็วๆ นี้ หลังจากทำงานมาได้เพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น


 ประการแรก ตอบแทนเรียบร้อยแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่า คุณธีระชัย มีส่วนสำคัญในการคลี่คลายปมปัญหาหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่น ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พัวพันอยู่เมื่อหลายปีก่อน คุณธีระชัย ที่ขณะนั้นเป็นเลขาธิการ ก.ล.ต. ออกมารับแทนทั้งหมด การได้ตำแหน่งในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 จึงเป็นการตอบแทนบุญคุณ ซึ่งเป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิบัติมาตลอด

 2. ไม่ใช่ตัวเลือกลำดับแรกๆ ตั้งแต่แรกๆ ของการฟอร์มทีมรัฐบาล คุณธีระชัย ถูกวางตัวให้เป็นแค่ระดับรัฐมนตรีช่วยเท่านั้น แต่เพราะว่า ตัวจริง ที่ไปทาบทามไว้ ไม่ว่าจะเป็น นายวิชิต สุรพงษ์ชัย และ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ปฏิเสธทั้งหมด หวยจึงมาตกที่คุณธีระชัย แทน

 3. ข้าราชการไม่ยอมรับ ผ่านไป 4 เดือนคุณธีระชัย พยายามอย่างยิ่ง ที่จะได้รับการยอมรับจากข้าราชการ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเท่าใด เมื่อเทียบกับอดีตรมว.คลัง กรณ์ จาติกวณิช แล้ว ข้าราชการมองว่า คุณธีระชัย ยังห่างชั้น

 4. เงาปริศนาอยู่เบื้องหลัง การที่คุณธีระชัย แต่งตั้งคนที่ใกล้ชิดกับคนที่ใกล้ตัวตัวเอง มาเป็นที่ปรึกษาพิเศษ เป็นหัวหน้าคณะผู้ทำงาน เพื่อทำหน้าที่กรองงานต่างๆ หวังว่างานต่างๆ จะเดินหน้าไม่ติดขัด แต่กลับกลายเป็นดาบที่เชือดตัวเองให้เจ็บปวด เมื่อเกิดหลายกรณีที่หัวหน้าคณะดังกล่าวทำเกินหน้าที่ จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงเงาปริศนาที่ซ่อนอยู่ และเป็นรัฐมนตรีตัวจริงเสียงจริงหรือไม่

 5. บุคลิกภาพเข้าถึงยาก ข้าราชการในกระทรวงการคลัง บอกว่า คุณธีระชัย ไม่เปิด เข้าถึงยาก และไม่ฟังใคร คิดว่าความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ซึ่งไม่ใช่บุคลิกที่ควรจะเป็นของผู้ที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ในยุคที่พรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาล ที่ปะยี่ห้อ คิดเป็น คิดไว ทำเป็น ทำไว เป็นเครื่องหมายการค้าที่เหนียวแน่น

 6. การประสานงานมีปัญหา โดยเฉพาะการประสานงานกับกระทรวงต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล นอกจากจะไม่เข้าขา ไม่ไปในแนวทางเดียวกันแล้ว ยังจะมีปัญหาเนืองๆ กับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอย่าง กิตติรัตน์ ณ ระนอง โดยเฉพาะแผนพัฒนาตลาดทุน ที่ กิตติรัตน์ ในฐานะลูกน้องเก่า ออกมาเบรกแผนแปรรูปตลาดหลักทรัพย์

 7. ตลาดเงิน-ตลาดทุนไม่ยอมรับ ภาพของ ธีระชัย ที่กดดันอย่างหนักต่อ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ให้ดำเนินนโยบายการเงิน ตามที่ตัวเองต้องการ ผ่านนโยบายต่างๆ ทั้งเรื่องการตั้งกองทุนมั่งคั่ง หรือการรื้อกรอบเงินเฟ้อ ส่งผลสะท้อนถึงนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ที่ตลาดมองว่า ควรจะทำงานสอดประสานกันมากกว่าจะประสานงา

 8. ผลงานไม่เข้าตา เป็นเหตุผลสำคัญที่สุด เพราะตลอด 4 เดือนในตำแหน่งนี้ รวมถึงสถานการณ์น้ำท่วม ชื่อของคุณธีระชัย จมหายไปกับสายน้ำ การออกนโยบายช่วยเหลือผู้ประสบภัยไม่เข้าตาสังคม ที่สำคัญไม่เข้าตาพรรคเพื่อไทยที่มุ่งนโยบายประชานิยมเป็นหลัก โครงการรถคันแรก ถูกขับเคลื่อนโดย รัฐมนตรีช่วย บุญทรง เตริยาภิรมย์ ส่วนโครงการบ้านหลังแรก ถูกผลักดันโดย วิรุฬ เตชะไพบูลย์ โดยที่คุณธีระชัย แทบไม่ได้แสดงบทบาทแต่อย่างใด

 ใครที่จะมาแทน คุณธีระชัย นั้น ยังไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่า ทักษิณ ชินวัตร ที่เร่งกู้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลให้พ้นน้ำโดยด่วน โดยที่ การคลัง จะต้องมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนแผนฟื้นฟูฯ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมาทำหน้าที่คุมรอบนี้ ต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ ทำงานเป็น ฉับไว และตรงประเด็น แต่จะใช่ "ว" และ "ป" หรือไม่ "ทักษิณ" เท่านั้น จะเป็นผู้ให้คำตอบ อีกไม่นานคงรู้กัน
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #429 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2554, 11:16:25 »

"อากง"ฮีโร่พวกล้มเจ้าหรือตาเฒ่าจิตป่วน!
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม    
      
“เชื่อว่าจำเลยเป็นเจ้าของโทรศัพท์ และซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ใช้ก่อเหตุ ข้อความมีลักษณะแสดงความอาฆาตมาดร้าย ใส่ความทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทั้งที่ข้อความดังกล่าวล้วนไม่เป็นความจริง การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง พิพากษาว่าให้ลงโทษตามมาตรา 112 อันเป็นบทลงโทษสูงสุด ให้จำคุกจำเลย 4 กระทง ๆ 5 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 20 ปี”
       

       พลันสิ้นเสียงคำพิพากษาผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ นายอำพล ตั้งนพกุล หรือ อากง ชายชราในวัย 61 ปี ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูงที่ฟังอย่างสงบนิ่งในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังสิ้นคำพิพากษา นายอำพล ได้หันไปถามเจ้าหน้าที่ศาลเพราะฟังไม่ชัด เจ้าหน้าที่จึงบอกไปว่า "ลุงติดคุก 20 ปี" นายอำพล ถึงกับปลงตกในชีวิต
       
       หลังคำพิพากษา กรณีดังกล่าวก็กลายเป็นประเด็นร้อนแรง โดยกลุ่มคนที่เป็นปรปักษ์ต่อสถาบันต่างออกมาวิพากษ์ วิจารณ์ถึงบทลงโทษดังกล่าว บางคนพาลด่าว่าโทษรุนแรงเกินไป บางคนก็บอกว่าอากงเป็นผู้บริสุทธิ์ อากงถูกใส่ร้าย อากงคือเหยื่อมาตรา 112 โดยเฉพาะ น.ส.ลักขณา ปันวิชัย หรือ “คำ ผกา”นักเขียนดังถึงกับลงทุนเปลือยหน้าอกพร้อมเขียนข้อความว่า “No Hatre for Naked Heart” และเขียนคำว่า “อากง” บนฝ่ามือข้างขวา นอกจากนี้สังคมคนไม่เอาเจ้าก็ได้หยิบยกกรณีของอากงมาร้องแรกแหกกระเชออยู่ในสังคมโซเชียลมีเดียและในสื่อสีแดงอยู่ในขณะนี้ ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวจะเป็นการใส่ร้ายอากงอย่างที่กล่าวหากันหรือไม่ เราลองมาย้อนรอยคดีและพยานหลักฐานที่มัดตัวอากงจนดิ้นไม่หลุดอีกครั้ง
       
       ย้อนหลังไปเมื่อ วันที่ 9-12 พฤษภาคม 2553 ปรากฎว่ามีเบอร์โทรศัพท์ลึกลับส่งข้อความหมิ่นสถาบันไปให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นากยกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถึง 4 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีหลายคนได้รับข้อความดังกล่าว รวมทั้ง นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสีอีกด้วย
       
       ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2553 นายอภิสิทธิ์ ได้มอบอำนาจให้นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขาฯส่วนตัวเข้าแจ้งความ กับทาง พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อสืบสวนหาตัวผู้ก่อเหตุจาบจ้วงสถาบันสูงสุด เนื่องจากข้อความกระทบกระเทือนจิตใจคนไทยเป็นอย่างมาก
       

       ไม่รอช้า พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศรัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ขณะนั้น) ก็ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งสั่งตั้งคณะกรรมการร่วม โดยมี กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมและเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และแต่งตั้งให้ พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา รอง ผบก.ปอท.เป็นหัวหน้าคณะสืบสวนสอบสวน
       
       จากการตรวจสอบพบว่าเบอร์ที่ส่งเอสเอ็มเอสมาจากซิมการ์ดหมายเลขเดียวกันทั้งหมด แต่ซิมการ์ดดังกล่าวได้เลิกใช้ไปแล้ว ส่วนโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวตรวจสอบพบว่ายังมีการเปิดใช้อยู่ แต่ได้มีการเปลี่ยนซิมการ์ดใหม่ จากนั้นทางกองปราบปรามได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ 4 -5 นาย ลงพื้นที่ใน ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เนื่องจากตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวเปิดใช้อยู่ในพื้นที่นั้น โดยเจ้าหน้าที่ฝังตัวหาข่าวนานกว่า 2 สัปดาห์
       
       นอกจากนี้ได้ตรวจสอบข้อมูลที่โทรศัพท์เครื่องดังกล่าวโทรเข้า-โทรออกย้อนหลัง กระทั่งเรียกตัวพยานรายหนึ่งซึ่งเป็นบุตรสาวผู้ต้องสงสัยมาให้ปากคำ พยานคนดังกล่าวให้การว่าโทรศัพท์เครื่องนั้นนายอำพล เป็นคนใช้จริง โดยใช้ทั้งซิมการ์ดปัจจุบันและซิมการ์ดที่ส่งข้อความหมิ่นสถาบัน
       
       ต่อมาพนักงานสอบสวนได้รวมรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับ กระทั่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับ ที่ 1659 /2553 ลงวันที่ 29 ก.ค.53 ข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตาม ป.อาญา มาตรา 112
       
       3 สิงหาคม 2553 เวลา 7 โมงเช้า พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศรัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป. พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา รอง ผบก.ปอท.พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผกก.1 บก.ป.และพ.ต.ท.สุทธิเวท บุญยรัตกลิน สว.กก.1 บก.ป.ยศและตำแหน่งในขณะนั้นนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบกว่า 20 นาย เข้าปิดล้อมซอยวัดด่านสำโรง 17/1 และ 19 หมู่ที่ 4 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ลึกเข้าไปซอยเกือบ 100 เมตร ด้านซ้ายมือเป็นห้องแถวถืออิฐก่อปูนสองชั้น แบ่งซอยเป็นห้องเช่า กว่า 10 ห้อง สนนราคาค่าเช่าตกเดือนละ 1,200 บาท บริเวณห้องเช่าชั้นล่าง ห้องกลางคือเป้าหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
       
       เสียงเคาะประตูหลายครั้งปลุกนายอำพล ให้ลุกขึ้นมาเปิด เมื่อประตูเปิดออก เจ้าหน้าที่ได้ยื่นหมายจับและหมายค้นให้ดู พร้อมขอเข้าตรวจค้น ภายในห้องสี่เหลี่ยมคับแคบพบข้าวของระเกะระกะ มีเบาะนอนขนาดใหญ่วางอยู่ด้านหน้า และเด็กเล็กๆซึ่งเป็นหลานของนายอำพล 3 คน กำลังงัวเงียและตื่นตระหนก เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้ภรรยานายอำพล นำเด็กๆไปอยู่บริเวณหลังห้อง
       
       จากการตรวจค้นพบโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง โดยเครื่องที่ใช้ส่งเอสเอ็มเอสหมิ่นสถาบันคือ ยี่ห้อโมโตโรล่า สีขาว ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า
       
       “พระองค์ท่านไปทำอะไรให้ลุง” พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศรัตรู ถามพลางจ้องตารอคำตอบจาก นายอำพล แต่ชายชรานิ่งเงียบ มีเพียงแววตาเฉยชาราวกับไม่รู้สึกรู้สาในสิ่งที่ตนเองกระทำลงไปตอบกลับมาเท่านั้น
       

       ราวๆครึ่งชั่วโมง ก็มีกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทราบข่าวประมาณ 20 คนได้แห่กันมาที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่เห็นท่าไม่ดีเกรงจะมีการแย่งตัวผู้ต้องหา จึงรีบนำตัวนายอำพลเข้ากองปราบปรามมาสอบสวนต่อ
       
       “ผมไม่ได้ทำ โทรศัพท์ผมเสียจึงเอาไปซ่อม และได้เลิกใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ไปนานแล้ว”นายอำพล ให้การปฏิเสธในวันที่ถูกสอบเครียด
       
       จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายอำพลพาไปดูร้านซ่อมโทรศัพท์ ภายในห้างสรรพสินค้าอิมพิเรียล สาขาสำโรง ที่นายอำพลอ้างว่านำไปซ่อม แต่นายอำพลกลับแสร้งทำเป็นจำไม่ได้
       
       เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนคดีดังกล่าวนายหนึ่งเล่าว่า คดีนี้เป็นคดีสำคัญกระทบกระเทือนกับสถาบันสูงสุดของประเทศ การสืบสวนจับกุมจำต้องกระทำอย่างรอบคอบและรัดกุมที่สุด เจ้าหน้าที่ใช้เวลาสืบสวนกระทั่งตามจับกุมโดยใช้เวลาเดือนกว่า แต่อากงก็ได้ ปฏิเสธทั้งๆที่โทรศัพท์เครื่องที่ส่งข้อความมิบังควรถูกซุกซ่อนอยู่ในบ้านของอากงเอง
       
       ส่วนข้อครหาที่ว่าอากง ไม่มีใจฝักใฝ่กลุ่มคนเสื้อแดงและไม่น่าจะทราบเบอร์โทรศัพท์บุคคลสำคัญ ซึ่งข้อมูลจากฝ่ายสืบสวนทราบว่า นายอำพล คือเสื้อแดงระดับฮาร์ดคอร์ปากน้ำคนหนึ่งที่ถูกขึ้นบัญชีดำโดย กอ.รมน.และมักเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่เสมอ โดยในที่ชุมนุมจะมีการแจกจ่ายใบปลิวเบอร์โทรศัพท์บุคคลสำคัญที่กลุ่มคนเสื้อแดงเกลียดชังเพื่อให้สมาชิกโทรไปด่าหรือส่งข้อความป่วน
       

       “ผมขอยืนยันว่าจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มีความมั่นคง เป็นศูนย์รวมจิตใจและความรักสามัคคีของคนในชาติ และจะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เหนือความขัดแย้งทุกรูปแบบ พร้อมทั้งจะดำเนินการตามกฏหมายกับบุคคลที่ล่วงละเมิดสถาบันอย่างจริงจังเพื่อป้องกันมิให้มีการล่วงละเมิดพระบรมเดชานุภาพได้ ” พล.ต.ท.ไถง กล่าวเสียงเข้มในวันจับกุม
       
      ถือเป็นการปิดคดีที่ใช้เวลานานร่วมเดือน การสืบสวนสอบสวนกระทำในลักษณะคณะกรรมการร่วม และพยานหลักฐานมัดแน่นทั้งสืบจากข้อมูลการใช้โทรศัพท์ โดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้นอกจากนี้ยังมีคำให้การที่มัดตัวอากงโดยลูกสาวอากงเอง กระทั่งศาลพิพากษาจำคุก 20 ปี อย่างไรก็ตามแท้ที่จริงแล้ว ชายชราในวัยไม้ใกล้ฝั่งที่หลานๆเรียกขานเขาว่า"อากง"จะเป็นฮีโร่ของพวกล้มเจ้าหรือเป็นตาเฒ่าจิตป่วนลบหลู่สถาบันสูงสุดที่คนไทยให้ความเคารพนับถือ พยานหลักฐานที่สู้กันในกระบวนการยุติธรรม และคำพิพากษาของศาลก็น่าจะเพียงพอที่จะตอบคำถามของสังคมได้แล้ว

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #430 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2554, 22:04:12 »

โฆษกศาลฯ แจง 5 ประเด็น “อากง” ติดคุก ชี้ ยังมีสิทธิ์สู้คดี-วอนคำนึงความรู้สึกประชาชนก่อนแก้ ม.112
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
   

      โฆษกศาลยุติธรรม ชี้แจงคดี “อากง” หลังถูกปั่นกระแสเรียกร้องแก้ไข-ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เผย ศาลชั้นต้นชั่งน้ำหนักแล้วผิดจริง แต่ใช้สิทธิ์อุทธรณ์-ฎีกา ได้ตามกฎหมาย ชี้ บทลงโทษไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ แต่ขึ้นอยู่กับข้อหาและพฤติการณ์ โต้พวกโจมตีศาลไม่เข้าใจประวัติศาสตร์-ธรรมเนียมประเพณี แจง มาตรา 112 แก้ไขได้ถ้าล้าสมัย แต่ต้องมองความรู้สึกประชาชน-อย่าใช้อารมณ์ชักจูงในทางเสียหาย ติชมด้วยใจเป็นกลาง
       
       วันนี้ (14 ธ.ค.) เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ตีพิมพ์บทความหัวข้อ “อากงปลงไม่ตก” ของ นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม ซึ่งกล่าวถึงกรณีที่ นายอำพล ตั้งนพคุณ อายุ 61 ปี ซึ่งถูกตั้งฉายาว่า “อากง” ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งศาลอาญามีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 20 ปี เมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ากระแสสังคมให้ความสนใจรวมทั้งต่างชาติที่วิพากษ์วิจารณ์ศาลยุติธรรมไทยในทางไม่สร้างสรรค์
       
       นายสิทธิศักดิ์ กล่าวว่า ศาลและกระบวนการยุติธรรม ไม่เคยขัดขวางการแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดๆ ขอเพียงการแสดงออกตั้งอยู่บนฐานคติที่ปราศจากอคติ ภายใต้หลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักนิติธรรม หลักเหตุผล หรือหลักความเชื่อส่วนตนที่สุจริตมีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ดูเหมือนหลายคนที่วิจารณ์ผลคดีข้างต้นในทางลบยังมิได้รู้เห็นพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงในสำนวนความอย่างถ่องแท้ จึงขอตนำความจริงบางประการของสำนวนคดีนี้ ประกอบกับประเด็นที่สังคมตั้งข้อสงสัยมานำเสนอเพื่อเป็นข้อมูลแลกเปลี่ยน
       
       โดยประเด็นอากงไม่ได้กระทำความผิด เหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุก นายสิทธิศักดิ์ ชี้แจงว่า หากเป็นการตัดสินกันเองโดยบุคคลกลุ่มคนนอกศาลและกระบวนการยุติธรรม คงจะหาเหตุผลรองรับความชอบธรรมยาก เพราะเป็นความเชื่อส่วนตนที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เป็นอัตวิสัยที่อาจปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุน ในขณะที่คดีนี้ผ่านกระบวนการสอบสวน การกลั่นกรองจากอัยการ แล้วเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่ อันเป็นหลักการสากลและหลักกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อสู้คดีอย่างเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นธรรม
       
       “ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า อากง หรือจำเลยมีความผิด เพราะศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้ว เชื่อว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องของอัยการโจทก์จริง แต่ถ้าจำเลยไม่เห็นด้วยไม่พอใจในผลคำพิพากษา ก็ยังสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้ตามกฎหมาย ซึ่งในอดีตมีคดีที่ศาลสูงเห็นต่างจากศาลชั้นต้นพิพากษากลับหรือแก้คำพิพากษาศาลล่าง ก็ไม่น้อย ดังนั้นเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด การจะด่วนสรุปว่าอากงเป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยเสร็จเด็ดขาดนั้น ก็ยังมิใช่เป็นเรื่องที่แน่แท้เสมอไปดังที่บางคนมีความเชื่อและเข้าใจในทำนองนั้น แท้จริงแล้ว อากงยังถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด” นายสิทธิศักดิ์ กล่าว
       

       • ชี้ถ้อยคำหยาบคาย-อาฆาตกษัตริย์ต่างกรรมต่างวาระเข้าข่ายท้าทาย-ไม่สำนึกผิดชอบชั่วดี
       
      ประเด็นต่อมา เหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษถึงจำคุก ซึ่งการที่ศาลลงโทษจำคุก 20 ปี เป็นโทษที่หนักเกินไป นายสิทธิศักดิ์ เห็นว่า ปกติการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นบุคคลธรรมดาที่เป็นการดูหมิ่นใส่ความทำให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงเกียรติคุณอย่างร้ายแรง กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดมีโทษถึงจำคุก ศาลยุติธรรมก็เคยลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษมาแล้ว สำหรับคดีนี้ มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายแสดงความอาฆาตมาดร้าย จาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์และพระราชินีด้วยถ้อยคำภาษาที่ป่าเถื่อน และต่ำทรามอย่างยิ่ง เกินกว่าวิญญูชนคนทั่วไปจะพึงพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามกัน
       
      โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กระทำต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์พระประมุขของประเทศ อันเป็นที่เคารพยกย่องเทิดทูนของปวงชนชาวไทยและทั่วโลก ในหลวงทรงครองสิริราชย์มาเป็นเวลากว่า 65 ปี ทรงครองแผ่นดินด้วยหลักทศพิธราชธรรม ห่วงใยทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎร์ตลอดเวลา แม้ในยามทรงพระประชวร พระองค์ก็ยังทรงงานเพื่อแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชนเช่นอุกทุกภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทุ่มเทพระวรกายตลอดพระชนม์ชีพ ทรงงานเพื่อความผาสุกของประเทศชาติและประชาชนทุกหมู่เหล่า ในกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ก็บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมิใช่คู่กรณีที่มีความขัดแย้งสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่จำเลยแม้แต่น้อยนิด รวมทั้งพระองค์ท่านทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองจากมวลชนทุกหมู่เหล่า จึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยหรือบางคนจะพยายามบิดเบือนว่า คดีนี้มาจากมูลฐานทางการเมือง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นธรรมและห่างไกลจากความเป็นจริง
       
       “คดีนี้มีข้อเท็จจริงบางประการที่ผู้วิจารณ์อาจยังรู้ไม่ครบถ้วนและเข้าใจคลาดเคลื่อน คือ นอกเหนือจากพฤติการณ์แห่งคดีหรือข้อความหมิ่นประมาทที่มีความรุนแรงและร้ายแรงอย่างมากแล้ว ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า ผู้กระทำไม่ได้กระทำความผิดแค่ครั้งเดียว แต่มีการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ ด้วยถ้อยคำดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายถึง 4 ครั้ง มีถ้อยคำที่แตกต่างกันทุกครั้ง แสดงถึงเจตนาที่จงใจกระทำผิดกฎหมายอย่างท้าทายไม่ยำเกรงอาญาแผ่นดิน ไม่มีจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธมาตลอดจนถึงในชั้นศาลจึงไม่มีเหตุลดโทษ บรรเทาโทษตามกฎหมาย ซึ่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กฎหมายระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี” นายสิทธิศักดิ์กล่าว
       
      โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวในบทความว่า การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยในความผิดแต่ละครั้งจำคุกกระทงละ 5 ปี ตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นโทษบทหนักนั้น เป็นการลงโทษสูงกว่าโทษขั้นต่ำของกฎหมายเพียง 2 ปี ยังเหลืออัตราโทษอีก 10 ปี ที่ศาลมิได้นำมาใช้ เมื่อนำโทษทั้ง 4 กระทงมารวมกันเป็น 20 ปี คนทั่วไปที่ไม่รู้จึงเข้าใจผิดคิดว่าศาลลงโทษครั้งเดียว 20 ปี เห็นว่าโทษหนักไป แต่ถ้าเทียบกับพฤติการณ์ความร้ายแรงแห่งคดีแล้ว หลายคนที่รู้จริงเห็นตรงข้ามว่าโทษเบาไปหรือเหมาะสมแล้วก็มี
       
       • โทษขึ้นอยู่กับความผิด-พฤติการณ์มิใช่อายุ-เจตนาทำร้ายสถาบันไม่มีใครอยากปล่อยลอยนวล
       
       สำหรับประเด็นอากงอายุมากแล้วควรได้รับการลดโทษ ปล่อยตัวไป หรือได้รับการประกันตัว นายสิทธิศักดิ์ ชี้แจงว่า แม้สังคมทั่วไปจะเรียกจำเลยว่า “อากง” ฟังดูประหนึ่งว่าจำเลยชราภาพมากแล้ว แต่ตามฟ้องจำเลยอายุ 61 ปี มิได้แก่ชราจนต้องอยู่ในความอนุบาลดูแลของผู้ใดสามารถเข้าใจและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ แสดงว่า เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และมิได้แก่เฒ่าคราวปู่ทวด สำหรับบุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคมสถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความหลงผิดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
       
       “ไม่มีใครอยากให้คนเช่นนี้ลอยนวลอยู่ในสังคมเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่องหรือแก่ผู้อื่นอีก เพราะสักวันคนใกล้ตัวของคนเหล่านี้อาจตกเป็นเหยื่อด้วยก็ได้ มาตรการที่เหมาะสมจึงควรตัดโอกาสในการกระทำผิด ลงโทษให้หลาบจำสาสมไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่กระทำความผิดคิดวางแผนไตร่ตรองในการกระทำความผิดอย่างแยบยลแนบเนียนด้วยแล้ว ก็ยิ่งสมควรใช้วิธีการที่เหมาะสม ในการคุ้มครองรักษาความสงบสุขของประเทศชาติและประชาชนด้วย” โฆษกศาลยุติธรรม กล่าว
       
       นายสิทธิศักดิ์ กล่าวต่อว่า ไม่แน่แท้เสมอไปว่าชราชน ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับการลดโทษ ลงโทษน้อย หรือปล่อยตัวไปเสมอไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อหาความผิด ความเสียหายและพฤติการณ์การกระทำแต่ละคดีที่ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป ส่วนการจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็นเรื่องๆ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108, มาตรา 108/1
       
       • โต้กลับพวกโจมตีศาล “ไม่เข้าใจประวัติศาสตร์-ธรรมเนียมประเพณี” ชี้มีข้อจำกัดเพื่อความมั่นคง
       

       ส่วนประเด็นที่ว่า ศาลไทยไม่มีมาตรฐานสากล ควรรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคล
 นายสิทธิศักดิ์ชี้แจงว่า ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (International Covenant on Civil and Political Rights) ICCPR ได้บัญญัติรับรองในข้อ 19 ว่า
 1) บุคคลมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากแทรกแซง
2) บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา ได้รับและสื่อสารข้อมูลและความคิดทุกชนิด โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ไม่ว่าด้วยวาจา เป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยการพิมพ์ ในรูปแบบของศิลปะหรือโดยสื่อประการอื่นใดที่บุคคลดังกล่าวเลือก
3) การใช้สิทธิตามวรรคสองของข้อนี้ต้องประกอบด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบอันเป็นพิเศษ ดังนั้น สิทธิดังกล่าวจึงอาจอยู่ภายใต้ข้อจำกัด บางประการ แต่ข้อจำกัดนั้นต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติและเท่าที่จำเป็น คือ เพื่อเคารพต่อสิทธิหรือชื่อเสียงของบุคคลอื่น และ เพื่อคุ้มครองความมั่นคงแห่งชาติ ความสงบเรียบร้อยของประชาชนสาธารณสุขหรือศีลธรรมอันดี
       
       นอกจากนั้น กติการะหว่างประเทศฯ ยังได้ให้ความคุ้มครองสิทธิของบุคคลในการที่จะไม่ถูกล่วงละเมิดทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเกียรติภูมิไว้ด้วยตามข้อ 17 ซึ่งกำหนดว่า
1.ไม่มีบุคคลใดที่จะต้องตกอยู่ภายใต้การแทรกแซงตามอำเภอใจหรือโดยมิชอบด้วยกฎหมายต่อความเป็นส่วนตัว ครอบครัว หรือการติดต่อสื่อสาร หรือการโจมตีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อเกียรติภูมิและชื่อเสียง
 2.บุคคลมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายจากการแทรกแซงหรือการโจมตีเช่นว่านั้น ฉะนั้นแม้การแสดงความคิดเห็นถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่กติการะหว่างประเทศฯ ให้การยอมรับ แต่ในขณะเดียวกัน กติการะหว่างประเทศฯ ก็ได้กำหนดไว้ด้วยว่าการใช้สิทธิดังกล่าวต้องทำด้วยความสำนึกรับผิดชอบและไม่ล่วงละเมิดสิทธิของบุคคล เนื่องจากบุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิ ในการรักษาชื่อเสียงและเกียรติภูมิของตนและต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายด้วยเช่นกัน
       
       ทั้งนี้ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR เป็นสนธิสัญญาพหุภาคี ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ได้ให้การรับรองเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2509 และมีผลใช้บังคับเมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ.2519 สนธิสัญญานี้ให้คำมั่นสัญญาว่าภาคีจะเคารพสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ของบุคคล ซึ่งรวมถึงสิทธิในชีวิต เสรีภาพในศาสนา เสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการรวมตัว สิทธิเลือกตั้ง และสิทธิในการได้รับการพิจารณาความอย่างยุติธรรม จนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ.2552 กติการะหว่างประเทศนี้มีประเทศลงนาม 72 ประเทศ และภาคี 167 ประเทศ
       
       ประเทศไทย เข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญานี้โดยการภาคยานุวัติ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2539 และมีผลบังคับใช้กับไทย เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2540 อันสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 45 ที่ว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การพิมพ์และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น แต่เสรีภาพดังกล่าวก็ยังถูกจำกัดได้โดยกฎหมายหากเป็นไปเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิ หรือความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน”
       
       นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 5 บัญญัติว่า ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต และมาตรา 421 ก็บัญญัติว่า การใช้สิทธิ ซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีมาตรฐานเช่นเดียวกับหลักการสากลข้างต้น อันแสดงว่าประเทศไทยให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน มีกฎหมาย ที่ความก้าวหน้าทันสมัยทัดเทียมอารยประเทศ เพียงแต่ภายใต้ระบอบการปกครองบ้านเมืองที่แตกต่างกัน ทุกประเทศจึงควรที่จะต้องให้เกียรติเคารพในความต่างที่เป็นจุดแข็งทางวัฒนธรรมและสังคมของแต่ละประเทศ
       
       “หากผู้วิจารณ์คนใดยังศึกษาภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ไม่ลึกซึ้งถึงแก่นแท้หรือมีข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วนเพียงพอ ไม่เข้าใจในขนบธรรมเนียม ประเพณี สังคมประเทศใดแล้ว การแสดงความเห็นว่าศาลหรือกระบวนการยุติธรรมของประเทศอื่นในทำนองห่วงใยว่าจะไม่มีมาตรฐานสากลนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง และหมิ่นเหม่ต่อการกล่าวหากันอย่างไม่เป็นธรรม อาจทำให้คิดไปว่าผู้วิพากษ์เจือปนด้วยอคติที่ผิดหลงมีวาระซ่อนเร้น ประเทศไทยมีเอกราชทางการปกครองและการศาลมาช้านาน และประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” โฆษกศาลยุติธรรม ระบุ
       
      • ม.112 ฝ่ายนิติบัญญัติแก้ไขได้ แต่ต้องมองความรู้สึกประชาชน-วอนอย่าใช้อารมณ์ชักจูงในทางเสียหาย
       
       สำหรับข้อเรียกร้องควรยกเลิกความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายคอมพิวเตอร์นั้น โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวว่า กฎหมายทุกฉบับออกหรือตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นผู้แทนมาจากปวงชนชาวไทย สามารถแก้ไขปรับปรุงและยกเลิกได้ ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าล้าสมัยไม่เหมาะสม ศาลเป็นเพียงผู้ใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์ที่สภานิติบัญญัติตราขึ้น มีกฎหมายหลายฉบับเขียนให้ศาลแทบใช้ดุลพินิจไม่ได้หรือ ต้องลงโทษสถานหนักในบางข้อหา เช่น ผลิตนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภท 1 แม้เพียง 1 เม็ด หรือข้อหาฆ่าบุพการี ต้องประหารชีวิตสถานเดียว เป็นต้น แม้การแก้ไขยกเลิกกฎหมายจะกระทำได้ก็ตาม แต่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ความสงบเรียบร้อยของสังคมและผลกระทบข้างเคียงอื่นที่อาจตามมาด้วย อย่าให้อารมณ์หรือกระแสแห่งการปลุกปั่นยั่วยุชักจูงไปในทางที่เสียหายได้
       

       “คดีอากง เป็นแค่ปฐมบทในการพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลย ตามครรลองแห่งเสรีภาพที่กฎหมายเปิดช่องไว้ตราบใดที่คดียังไม่ถึงที่สุด การด่วนรวบรัดตัดความกล่าวโทษบุคคลหรือองค์กรที่ทำหน้าที่รักษากติกาสังคมอาจยังไม่เป็นธรรมนัก อย่างไรก็ตาม คนทุกชาติ ทุกภาษา ต่างหวงแหนรักในแผ่นดินเกิดของตนเองเคารพและศรัทธาในศาสดาที่เป็นผู้นำทางศาสนาของตนเอง ความแตกต่างทางความคิดเชื้อชาติศาสนาการปกครองบ้านเมืองศิลปวัฒนธรรม ประเพณี มิใช่สิ่งผิดปกติในสังคมโลก แต่การกล่าวร้ายใส่ความ แสดงความอาฆาตมาดร้ายศาสดาของศาสนาอื่น เป็นพฤติการณ์ที่ผู้เจริญมิสมควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะน้ำผึ้งหยดเดียวอาจกลายเป็นความหายนะของชาติได้ ดังนั้น หากอยากรู้ปัจจุบันและอนาคตของชาติใด ขอจงศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศนั้น” นายสิทธิศักดิ์ กล่าว
       
       โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับชาติไทยดำรงคงเอกราชมีเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย เป็นที่ชื่นชมยกย่องของคนทุกชาติทุกภาษา เพราะผู้คนในสังคมไทยยังมีความรักสามัคคี มีน้ำใจ เอื้ออาทรผ่อนปรนเข้าหากัน ไม่ก้าวร้าวรุนแรงโดยขาดสติไร้เหตุผลรักหวงแหน เทิดทูนในชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์จากรุ่นสู่รุ่น และปลูกฝังถ่ายทอดเป็นมรดกสู่ลูกหลานจนถึงปัจจุบัน หากคนไทยยังรักและภูมิใจในแผ่นดินเกิด ขอได้โปรดช่วยกันรักษาสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ การจะติชมวิพากษ์เป็นเสรีภาพที่กระทำได้ ขอเพียงมีจิตเป็นกลาง ไม่มีอคติ และบนฐานคติที่สร้างสรรค์ พึงอย่าได้ใช้สิทธิส่วนตนเกินส่วนจนเกินขอบเขตก้าวล้ำสิทธิเสรีภาพผู้อื่น
       
       “อย่าได้แสดงความพยาบาทอาฆาตมาดร้าย ประหัตประหารด้วยอาวุธลมปากและความเท็จต่อผู้อื่น โดยอ้างเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุอื่นมาสร้างความชอบธรรมแก่ตนเอง อย่าให้ลูกหลานในอนาคตเหลือแค่ความทรงจำแห่งความภาคภูมิในอดีตบนซากปรักหักพังของชาติไทย ที่ผองชนรุ่นปัจจุบันได้ทำลายล้างไปอย่างตั้งใจและมิได้ตั้งใจ” นายสิทธิศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #431 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2554, 21:58:12 »



ปชป.ปูดสุนัยใช้งบหลวงเลี้ยงข้าวเสื้อแดง

   กรุงเทพธุรกิจ

โฆษกปชป. ปูด "สุนัย"  ใช้งบหลวงเลี้ยงข้าวเสื้อแดงที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ระหว่างบินยื่นฟ้องศาลโลกกรณีสลายชุมนุม

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า กรณีที่นายสุนัย จุลพงศธร ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) การต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่าการเดินทางไปกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อยื่นหนังสือฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ไปเป็นการส่วนตัว ไม่ได้เบียดบังงบประมาณของราชการ และไม่ได้อ้างกรรมาธิการ

อย่างไรก็ตาม  แต่จากข้อเท็จจริงที่ตนเองได้รับจากผู้หวังดี ที่อยู่ที่กรุงเฮก บอกว่านายสุนัยไปวางกล้าม อวดเบ่ง มีกลุ่มคนเสื้อแดงไปรับประทานข้าวในร้านอาหารกลางเมือง ซึ่งหากใช้งบประมาณส่วนตัวก็ไม่เป็นไร แต่กลับให้สถานทูตดูแล ต้องใช้งบประมาณราชการไปรับรอง  อยากถามว่านายสุนัยไปในฐานะอะไร แล้วมีสิทธิอะไรในการไปก้าวก่ายการทำงานของเจ้าหน้าที่สถานทูต ไปใช้เครือข่ายของเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงาน ไปใช้งบหลวงระหว่างที่ไปพำนักที่นั่น

นายชวนนท์ กล่าวอีกว่า ยังจับข้อโกหกได้ว่าเมื่อนายสุนัยไปยื่นจดหมายถึงรองประธานศาลโลกให้ไต่สวนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กรณีมีการเสียชีวิตจากการชุมนุม ได้ระบุชัดว่าทำในฐานะสส. และประธานกรรมาธิการต่างประเทศ สภาฯ ​ ดังนั้นคงต้องให้กรรมาธิการการต่างประเทศออกมาชี้แจงว่ามีมติส่งประธานกรรมาธิการฯไปทำหน้าที่นี้หรือไม่ เพราะนายสุนัยจะมาแอบอ้างแล้วโกหกประชาชนไปวันๆ ก่อนไปพูดอย่าง พอไปถึงก็ไปทำอีกอย่าง ฉะนั้นคงต้องตรวจสอบด้านจริยธรรม สภาผู้แทนราษฎรอีกทางหนึ่งด้วย
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #432 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2554, 22:01:48 »

"ศิริโชค" บุกทำเนียบยื่นหนังสือบล็อกคลิปเสียง "สุนัย" หมิ่นสถาบัน "เหลิม" รับปากจะดำเนินการตามกฎหมาย

กรุงเทพธุรกิจ

 

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการกำหนดนโยบายการป้องกันและปราบปรามการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสมผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยเนื้อหาระบุว่า ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เนื่องจากมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอผ่านทางเว็บไซต์ยูทูบความยาวประมาณ 45 นาที ซึ่งเป็นการบรรยายของนายสุนัยระหว่างพบกับกลุ่มคนเสื้อแดงในต่างประเทศ มีเนื้อหาที่หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในหลายช่วง จึงขอให้ ร.ต.อ.เฉลิมดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อพิสูจน์ความจริงใจของรัฐบาลในการปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของคนไทย


"การยื่นหนังสือครั้งนี้ตนไม่ได้ประสงค์จะให้เบี่ยงเบนเรื่องนี้เป็นประเด็นทางการเมือง และไม่ต้องการให้พรรคเพื่อไทยนำไปอ้างว่าพรรคประชาธิปัตย์นำสถาบันหลักของชาติมากล่าวร้ายป่ายสีทางการเมือง จึงหวังว่า ร.ต.อ.เฉลิมจะเดินหน้าตรวจสอบ เพราะหากไม่ดำเนินการใดๆ จะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีทัศนคติต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ต่างจากนายสุนัย" นายศิริโชคกล่าว


ด้าน ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ยืนยันว่าจะดำเนินการทุกอย่างไปตามกฎหมาย ใครทำผิดกฎหมายก็ต้องได้รับโทษ โดยจะใช้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่มีหน้าที่โดยตรงทำงาน และตนในฐานะประธานปราบเว็บหมิ่นสถาบัน จะทำงานตรวจสอบควบคู่กันไปด้วย ทั้งนี้ ตนได้รับการติดต่อจากบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว และต่อไปจะขอความร่วมมือจากบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ในการดำเนินการบล็อกเว็บหมิ่นสถาบันด้วย ตนไม่ถือว่าการยื่นเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง หรือคนต่างพรรค เพราะการปกป้องสถาบันถือเป็นสิทธิและหน้าที่ของคนไทยทุกคน และส่วนจะตรวจสอบบล็อกเว็บที่มีเสียงของนายสุนัยได้ภายในกี่วันนั้น ขอเวลาตรวจสอบก่อน
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #433 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2554, 22:09:58 »

อับดุลเอ๊ย...เอ๊ย!!!

    ท่านขุนน้อย

15 ธันวาคม 2554 - 00:00

  เห็นลีลาของ ดอกเตอร์เหลิม ในช่วงนี้...ต้องเรียกว่าไหลลื่นพอๆ กับ ดอกเตอร์อับดุล เอาเลยทีเดียว คือออกไปในแนว...อับดุลเอ๊ย...เอ๊ย...รู้ว่านี่อะไร...รู้...รู้ว่าอยู่ที่ไหน...รู้...รู้ว่าใครทำอะไร...รู้ คือรู้ไปหมดในทุกๆ เรื่อง ทั้งๆ ที่นอนคลุมโปงปิดหัว ปิดหู อยู่แท้ๆ แถมระหว่างตอบคำถามในทุกๆ คำตอบ ยังสลับฉากด้วยการขายยา และหลอกรับประทานผู้ดู ผู้ชมทั้งหลาย ชนิดรอบวงซะอีกล่วย!!!
                            --------------------------------------------------------
    แม้ว่าในช่วงจัดโผ ครม.คราวแรก...รายชื่อของ ดอกเตอร์เหลิม หวิดจะหลุดแหล่ มิหลุดแหล่ หวีดหวิว ฉิวเฉียด ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด เอาเลยก็ว่าได้ ถึงขั้นที่เจ้าตัวต้องออกมารำพึง รำพัน ตัดพ้ออยู่ซักพักใหญ่ๆ รวมทั้งต้องเปิดไฟเขียวให้บรรดา ส.ส.อีสานผู้ใกล้ชิด ออกมาง่ำๆ แง่ๆ แสยะเขี้ยวให้เห็นถึงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จะค่อยๆ หล่นลงมาใส่นิ้วหัวแม่โป้งข้างซ้าย และเมื่อกระชากเท้าหลบไม่ทัน จึงได้เป็นรองนายกฯ ไปตามความใฝ่ฝัน และแรงปรารถนาจนได้ แต่เมื่อได้มีฐานะ ตำแหน่ง เป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ด้วยประสบการณ์ ความเชี่ยวกราก ขนาดเขี้ยวที่ยาวกว่าใครๆ ในบรรดาแถว 3 แถว 4 ทั้งสิ้น รัฐบาล หนูไม่รู้ ของคุณน้อง ปู ยิ่งลักษณ์ ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยบุญ บารมี ของ ดอกเตอร์เหลิม ในแบบแทบจะทุกๆ เรื่อง ทุกๆ กรณี จนกลายมาเป็นมวยหลักเป็น มิดฟิลด์ตัวจ่าย หรือเป็นผู้ขับเคลื่อนรัฐบาลตัวจริงไปแล้ว ณ ขณะนี้...
                            -----------------------------------------------------------
    ด้วยสถานะ ตำแหน่ง ในแบบที่ว่า...จึงไม่ถึงกับน่าแปลกใจอะไรมากมาย ที่เมื่อเกิดอะไรขึ้นมาเมื่อไหร่ อับดุล ก็ต้องร้อง เอ๊ย ซะทุกทีไป แต่อย่าดันไปถามว่า อับดุลเอ๊ย...เอ๊ย...ไอ้ปื๊ดอยู่ที่ไหน อันนี้นอกจาก อับดุล จะไม่เอ๊ยแล้ว ดีไม่ดี อับดุล จะลุกขึ้นมาถีบผู้ถามเอาง่ายๆ หรือเว้นไปจากเรื่องนี้แล้ว อับดุล ย่อมสามารถตอบคำถามได้ในทุกๆ เรื่อง ทุกๆ กรณี ส่วนจะตอบถูก ตอบผิด อย่าไปเสียเวลาสนใจอะไรมากมาย เพราะสิ่งซึ่งน่าสนใจยิ่งไปกว่าคำตอบทั้งหลาย นั่นก็คือว่า...ระหว่างที่กำลังถาม กำลังตอบ กำลัง เอ๊ยไป...เอ๊ยมา นั้น อับดุล จะขายยาให้ใคร หรือจะหลอกรับประทานใคร อันนี้นี่แหละ...ที่สำคัญซะยิ่งกว่า!!!
                            -----------------------------------------------------------
    เพราะไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนก็แล้วแต่ ถ้าหากเคยรู้มือ รู้ตีน กันมา...ต่างก็หวาดเสียว อับดุล ไปด้วยกันทั้งนั้น แม้กระทั่ง นายใหญ่ ก็เถอะ ระหว่างที่กำลังร้อง อับดุลเอ๊ย...เอ๊ย แบบไปๆ-มาๆ นั้น ก็ใช่ว่าจะวางใจ ไว้ใจ อับดุล ไปซะในทุกๆ เรื่อง ทุกๆ กรณี หรือใช่ว่ากล้าจะรับประทานยาที่ อับดุลขายให้ พร้อมจะซดเฮือกๆ ในทุกเรื่องที่นำเสนอ เพราะเจอเข้ากับรายการ สับขาหลอก ใครต่อใคร ในกรณี พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ จนป่านนี้ก็ยังไม่เป็นที่สรุปแน่ชัดว่า ใครกันแน่!!! ที่เป็นฝ่ายโดนสับขาหลอก ฝ่ายมัน หรือฝ่ายเรา ออกอาการมึนซ์ซ์ซ์งงง์ง์กันไปทั้งบาง หลังจากรับประทานยาชุดของ อับดุล เข้าไปชุดใหญ่ๆ...
                              -------------------------------------------------------------
    ด้วยเหตุนี้...เพื่อป้องกันความหวาดเสียว หรือลดความหวาดเสียวของ อับดุล ย่อมต้องมีการหันไปพึ่งบริการ เจ๊ใหญ่ และใครต่อใคร เอาไว้คอยถ่วงๆ ไว้คอยจำแนก แยกแยะ ตัวยาแต่ละชนิด ที่ อับดุล นำเสนอมาให้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีขึ้นมา ในตอนไหน เมื่อไหร่ บรรยากาศมันจึงออกไปทางชุลมุน ชุลเก หวาดหวั่น ขวัญสยอง ชนิดแทบไม่รู้ว่าไผเป็นไผ สายไหนเป็นสายไหน ใครเป็นสายตรง สายอ้อม สายพี่เมีย น้องเมีย หรือสายผัวโดยตรง ฯลฯ ต่างฝ่ายต่างเลยต้องยกขบวนไปฮ่องกง สิงคโปร์ กันเป็นเทือก ในขณะที่ อับดุลยังมัวแต่ร้องเอ๊ยไป เอ๊ยมา รู้หมด รู้ทุกเรื่อง แต่ยังไม่มีโอกาสที่จะรู้ชะตากรรมของตัวเอง ว่าจะออกหัว ออกก้อย ถ้าหากมีการปรับ ครม.ชุดใหม่ขึ้นมาจริงๆ...
                            --------------------------------------------------------------
    เพราะแม้ว่าการเป็น อดีตตำรวจเก่า จะทำให้สถานะของ อับดุล ดูมั่นคง เข้มแข็ง อยู่ไม่น้อย...โดยเฉพาะออกจะเป็นอะไรที่สอดคล้อง เหมาะสม กับการสถาปนา รัฐตำรวจ ให้เป็นรูป เป็นร่าง เป็นจริง เป็นจัง ขึ้นมาให้จงได้
แต่อย่างที่ใครต่อใครเคยพูดๆ เป็นภาษิตสอนใจ เอาไว้นั่นแหละว่า ถ้าเจองู...กับเจอแขก...ให้ตีตำรวจเอาไว้ก่อน ปฏิบัติการฆ่าน้อง-ฟ้องนาย-และขายเพื่อน อันถือเป็นคุณลักษณะประจำเหล่าของบรรดาตำรวจไทย นับแต่ชั้นยศนายพลขึ้นไป ย่อมเป็นสิ่งซึ่งรู้ๆ กันอยู่มาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้...ถึงจังหวะปรับคณะรัฐมนตรีขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ใช่ว่าสถานะของ อับดุล จะสามารถดำรงความเป็นมวยหลัก เป็นมิดฟิลด์ตัวจ่าย ให้กับรัฐบาลในทุกๆ เรื่อง เหมือนอย่างเท่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ โอกาสที่จะได้ยินเสียงตะโกนเรียก เสียงขานรับแบบ อับดุลเอ๊ย...เอ๊ยอย่างเช่น ณ ขณะนี้ อาจต้องเปลี่ยนเป็น อับดุลโว๊ย...โอ๊ย!!! ไปแทนที่เอาเลยก็ไม่แน่...
                            ----------------------------------------------------------------
    สรุปรวมความแล้ว...เมื่อพิจารณาถึงความชุลมุน ชุลเก ในคณะรัฐมนตรีหรือในคณะรัฐบาลขณะนี้ มันน่าจะเป็นไปตามที่คุณน้อง ปู ยิ่งลักษณ์ เธอปรารภ รำพึง เอาไว้นั่นแหละ คงต้องยืดเวลาออกไปซักพักใหญ่ๆ รอวัน รอเวลาให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเข้าที่ เข้าทาง ตกผลึก ลงตัว กว่าเท่าที่เป็นอยู่ มันถึงจะไม่เกิดอาการแตกดังโพล๊ะ เกิดรายการติดดาบปลายปืน หันมาไล่เสียบ ไล่แทงกันเอง จน ป้อมค่าย อาจถูกตีแตกจากภายในจนได้ แต่ก็อย่างว่าวัน เวลาเท่าที่เหลือ มันคงเหลืออยู่น้อยเต็มที ความล้มเหลวของรัฐบาลตลอดช่วงระยะ 3-4 เดือนที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะล้มเหลวต่อไปเรื่อยๆ ถ้าหากไม่คิดจะทำอะไรขึ้นมาบ้างในช่วงนี้ โอกาสที่จะ ไปทั้งยวง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และจะไปพึ่ง อับดุล รายเดียว...ก็คงไม่ไหวแล้ว!!! ประเภททั้งๆ ที่นอนคลุมโปง แต่รู้หมดไปทุกๆ เรื่อง อันนี้...ต้องเรียกว่าถือเป็นการ หลอกขายยา ล้วนๆ...
                            ------------------------------------------------------------------
    ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก C.S. Lewis...ท่านได้เห็น และ ได้ยินอะไร...ขึ้นอยู่กับว่าท่านยืนอยู่ ณ ที่ใด และขึ้นอยู่กับว่าท่านเป็นคนประเภทใด...
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #434 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 12:06:17 »

สลิ่มโจ๊ก‏

 
1. คิวแม่งยาวจัง
ตาสีกับตาสาเข้าคิวรอรับถุงยังชีพแถวยาวมาก ระหว่างรอตาสีก็ด่าทักเหลี่ยม
ว่าเป็นตัวต้นเหตุแห่งความลำบากยากแค้น ตาสาชักรำคาญก็เลยบอกว่า
ถ้าเกลียดมันนักก็ไปถุยใส่รูปที่ติดอยู่ข้างรถบรรทุกด้านโน้นสิวะ อั๊วจะจองคิวนี้ไว้ให้มึง
ตาสีก็เลยเดินออกไปทางที่ตาสาบอก 
ระหว่างที่ตาสารอคิวอยู่ สักพักตาสีก็เดินหัวเสียกลับมา
 
ตาสาก็ถามว่า  หารูปที่ว่าไม่เจอหรือไงวะ
ตาสีบอกว่า  เปล่าหรอก กูเห็นแล้วมันหมดอารมณ์
ตาสาถามอีกว่า  ทำไมล่ะ 
จะไม่เสียอารมณ์ได้ไง ตาสีบอก ที่ตรงนั้นคิวแม่งยาวกว่าคิวที่ตรงนี้อีก


2. ตาสีตาสาเจอะทักเหลี่ยม

ตาสี ตาสา ตกอับเลยต้องออกไปจี้ปล้น พอดีเดินไปเจอคนหน้าเหลี่ยม
ตาสี: หยุดเดี๋ยวนี้ ส่งเงินทั้งหมดของแกมาเร็ว
คนหน้าเหลี่ยม :แกรู้ไหมว่าอั๊วเป็นใคร อั๊วคือทักเหลี่ยม พ่อเสื้อแดงนะมึง
ตาสี : เอ้า ถ้างั้นเปลี่ยนใหม่ก็ได้ ส่งเงินทั้งหมดของพวกกูคืนมา

3. ประกาศข่าวด่วนจากสรยวย:

ขอแจ้งข่าวด่วนให้ท่านได้ทราบว่าขณะนี้มีผู้ก่อการร้ายชุดดำ อ้างว่าเป็นแก๊งลูกน้องปลัด
ได้จับทักเหลี่ยมไปเพื่อแลกกับเงินหนึ่งพันล้านบาท มิเช่นนั้นจะจุดไฟเผาให้ตาย
เราจึงประกาศขอให้ท่านผู้ชมท่านผู้ฟังช่วยกันบริจาคเงินคนละเล็กคนละน้อยเพื่อช่วยท่านผู้นำของพวกเรา

หลังจากสักพักที่สรยวยดำเนินรายการต่อไป ก็ปรากฏตัววิ่งข้างล่าง บอกว่า อั๊วขอบริจาคน้ำมันก๊าด 1 ลิตร


4. ประกาศจากกรมไปรษณีย์

หลังจาก พรบ.นิรโทษกรรมมีผลบังคับใช้ กรมไปรษณีย์ก็ได้ออกแสตมป์รูปทักเหลี่ยมออกมาเพื่อหวังเลียดวงใจทักเหลี่ยม
       แต่เกิดความสับสนในหมู่ผู้ใช้  คือส่วนใหญ่จะถุยน้ำลายใส่ผิดด้าน

5. ตาสีคุยกับคนอเมริกัน
ตาสีคุยกับคนอเมริกัน : ที่อเมริกา คุณทำอะไรกับไอ้พวกคอรัปชั่นโกงกินภาษีของประชาชน
คนอเมริกัน: เราจับเขาเข้าคุก แต่เราก็ดูแลอย่างมีมนุษยธรรม เราให้อาหารให้น้ำให้เสื้อผ้า
                 ระหว่างรอการตัดสินที่ยาวนานของศาล
ตาสี: โธ่เอ๋ย  เรื่องจิ๊บจ้อย ที่เมืองของเรานี่คะแนนเสียงส่วนใหญ่จะเลือกให้มันเป็นนายก


6. เทวดากับตาสี
เทวดาพูดกับตาสี: ที่เจ้าถวายเครื่องเส้นมานี่ เจ้าจะเอาอะไร
ตาสี: ลูกช้างขอมีเงินทองสักแสนล้าน
เทวดา: เฮ๊ย ข้าเป็นแค่เทวดาโว๊ย ไม่ได้เป็นทักเหลี่ยม

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #435 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 12:54:54 »

หลังจากถูกกระหน่ำ ประณามอย่างหนัก จากชาวใทย ผ่าน เฟชบุ๊ก

สหรัฐยืนยันเคียงข้างคนไทย-ไม่แทรกแซงกิจการภายใน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    1
   
       สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ออกคำแถลงการณ์ผ่านทางเฟสบุ๊กและทวิตเตอร์ มีใจความว่า ดังที่เอกอัครราชทูตเคนนี ได้กล่าวว่า รัฐบาลไทย และสหรัฐอเมริกานั้น มีความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ และวัฒนธรรมของประเทศไทยอย่างสูงที่สุด
        เมื่อเร็วๆ นี้ นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดี และนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ รวมถึงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ได้ถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 84 พรรษา
        ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นมิตรเก่าแก่ที่สุดในเอเชียของสหรัฐฯ และสหรัฐฯ ยังคงยืนยันที่จะเคียงข้างประชาชนไทยตลอดไป โดยเคารพกฎหมาย และสำหรับกิจการภายในของประเทศไทยนั้น สหรัฐฯ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดทั้งสิ้น และสนับสนุนให้มีเสรีภาพในการแสดงออก ในทุกประเทศทั่วโลก และถือว่าเป็นเสรีภาพที่มีสิทธิพื้นฐานของมนุษย์
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #436 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 16:10:44 »

ระเบิด3ลูกกลบข่าวคืนพาสปอร์ต'ทักษิณ'?

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

   
 ตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องวางระเบิด 3 ลูก ที่เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ เหมือนแหกตาประชาชน
เพิ่อกลบข่าว กระทรวงการต่างประเทศ คืนพาสปอร์ตให้"ทักษิณ"

เหตุคนร้ายวางระเบิด แสวงเครื่องในพื้นที่ลาดกระบัง กรุงเทพฯ โดยระเบิดอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน มีสก็อตเทปสีดำพันระเบิดไว้ โดยระเบิดมีความกว้าง 5 นิ้ว ยาว 10 นิ้ว บรรจุในท่อพีวีซีและห่อด้วยถุงพลาสติกเพื่อใช้พรางสายตาอีกชั้นหนึ่ง และจุดระเบิดด้วยรีโมตคอนโทรล

จุดแรก นำไปวางไว้ที่ กองขยะข้างรั้วของธนาคาร เจ้าหน้าที่ทำการเอกซเรย์ระเบิดก่อนใช้อุปกรณ์ตัดสายไฟเพื่อทำลายแผงวงจรระเบิด จากการตรวจสอบอย่างละเอียด คนร้ายจะกดระเบิดด้วยรีโมตคอนโทรล

ส่วนจุดที่สอง  คนร้ายใช้ระเบิดแสวงเครื่องวางไว้ บนถนนมอเตอร์เวย์ ช่วงคู่ขนานกาญจนาภิเษก 39 จุดนี้ พบระเบิดแสวงเครื่อง 2 ลูก อยู่ในท่อพีวีซีสีดำ ในสภาพพร้อมใช้งาน ติดนาฬิกาปลุก 2 เครื่อง ตั้งเวลาการทำงานไว้ในเวลาประมาณ 12.55 น.

จุดที่สาม บริเวณถนนลาดกระบัง 13 คนร้ายวางระเบิดแสวงเครื่อง 2 ลูก และนาฬิกาปลุกไว้ในพงหญ้าใต้สะพานคนข้าม ตรงข้ามตลาดนัดสุวรรณภูมิ ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้สามารถเก็บกู้ได้ครบทั้ง 3 จุด แล้ว

รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พร้อมด้วยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ประกอบด้วย ผบ.ตร. พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์  รอง ผบ.ตร.พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา  ผบช.น.พล.ต.ท.วินัย ทองสอง  นำตัวนายจิรวัฒน์ จันทร์เพ็ง อายุ 45 ปี ชาวสกลนคร ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วางระเบิดสามจุดในพื้นที่ กทม.เมื่อคืนที่ผ่านมา แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน

โดยร.ต.อ.เฉลิม และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่นั่งประกบผู้ต้องหาทั้งสองข้างไม่เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวซักถามผู้ต้องหาแต่อย่างใด และเมื่อผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามรายละเอียดในเรื่องต่างๆ ร.ต.อ.เฉลิม จะเป็นผู้ชิงตอบเองหมด

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหาที่จะไม่พูดอย่างใด และการแถลงข่าวในครั้งนี้ใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น โดย ร.ต.อ.เฉลิม อ้างว่าจะต้องรีบเดินทางไปประชุมสภาผู้แทนราษฏร จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจรีบนำตัวนายจิรวัฒน์ เดินทางกลับไปทันที

เรื่องวางระเบิด3ลูก ที่กทม. เหมือนแหกตาประชาชน

ก่อนหน้านี้ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นคนประกาศเองว่าจะมีระเบิด 10 จุดในช่วงใกล้ปีใหม่ แต่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตอบนักข่าวว่า เรื่องนี้ ไม่มีรายงาน

และเป็นร.ต.อ.เฉลิม ผู้ประกาศจะเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ที่แปลงร่างในชื่อกฎหมายปรองดอง ทำให้คนด่าทั้งเมืองว่าเป็นการออกกฎหมายเพื่อช่วยทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น

ตกเป็นผู้ร้ายในสายตาผู้คนได้ไม่กี่วัน ก็เกิดการวางระเบิด โดยหนุ่มสกลฯ ถิ่นคนเสื้อแดง และเป็นร.ต.อ.เฉลิม ที่ไปถึงที่เกิดเหตุก่อนผบ.ตณง และเป็นผู้จัดแถลงข่าว ได้ 2 เด้ง เด้งหนึ่งคือ ให้ตำรวจยุค "เพรียวพันธ์" เป็นฮีโร่ เกิดเหตุแเล้วจัวกับคนร้ายได้ทันที

ผิดกับคดียิงหัวคะแนนนายอี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ ผู้สมัครส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่อี้ ออกมาให้ข้อมูลว่าผู้บงการคือนักการเมือง รู้จักนักการเมืองใหญ่ในพื้นที่ดอนเมือง คดีนี้กลับคืบหน้าแบบช้าๆ และชิงตัดตอนว่า คดีเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับการเมือง

นอกจากนี้ รู้สึกคล้าย ๆ จะกลบเกลื่อนข่าวคืนพาสปอร์ตให้ "ทักษิณ"

ล่าสุด นายสุพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า คืนพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว และท้าให้ฝ่ายค้านฟ้องร้องหากเห็นว่าทำผิดกฎหมาย

ภาพที่ "เฉลิม" นำผู้ต้องหาวางระเบิดแถลงข่าว ช่างไม่แตกต่างกับ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ พร้อมด้วยตำรวจจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ปปท.) และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้นำตัวนายเอกวิทย์ ทองดีวรกุล อายุ 22 ปี ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.สงขลา เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และมือแฮกเกอร์เฟซบุ๊คของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหากรณีเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงของผู้อื่นโดยมิชอบ มาแถลงข่าว ที่ น.อ.อนุดิษฐ์ชิงตอบคนเดียวทั้งหมด

สุดท้ายเรื่องนี้ก็เงียบหายไปกับสายลม

และเชื่อขนมกินว่าเรื่องระเบิดนี้ก็เช่นกัน
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #437 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2554, 11:07:28 »

“สำนวนพิษ” เหตุที่ต้องปลด”เฉลิม”
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    

      
 -ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อาจจะอยู่เย็นเป็นสุขเมื่อนั่งเก้าอี้ มีอำนาจวาสนา แล้วพูดจาโอ้อวด เสมือนหนึ่งผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน
       
       แต่ถ้าเมื่อไหร่หมดราคาค่างวด ตกจากเก้าอี้ ไม่มีตำแหน่งให้ทำงาน เฉลิม ก็อาจจะไม่มีที่ยืนในสังคม
       
       การกระทำของเฉลิม ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งควบคุมตำรวจ 2 แสนทั่วประเทศ กำลังทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป
       
       โอกาสกลับเมืองไทยอย่างสง่าผ่าเผยถูกปิดตายทันที หลังจากเฉลิมขึ้นมาควบคุมตำรวจ

       
       ผลงานของเฉลิมที่ไม่อาจจะนับเป็นผลงานได้ เพราะใครที่ควบคุมดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น
       
       ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็น ผบ.ตร. หรือความพยายาม ร่าง พ.ร.ฎ.นิรโทษกรรม ด้วยการใส่ชื่อทักษิณ เป็นหนึ่งใน 26,000 คน
       
       ปัจจุบันเฉลิมกำลังเดินหน้า “เปลี่ยนสีแปรธาตุสำนวนการสอบสวน” ทุกคดีที่ทำให้ศัตรูของทักษิณติดคุก หรือมีมลทินให้ได้
       
       แต่การกระทำเช่นนี้ จะทำให้ศัตรูยิ่งกลายเป็น “คู่อาฆาต” มิตรกลายเป็นคนห่างเหิน คนยืนตรงกลางเริ่มหมั่นไส้
       
       ความเกลียดชังกำลังสะสมปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ
       
       
       หากเป็นไปตามโผโยกย้ายนายตำรวจระดับ พล.ต.ต. ที่เปิดเผยตามสื่อมวลชน
       
       มีรายชื่อ 2 คน ที่กระชากเส้นแบ่ง “คุณธรรมความดี” ของสังคมไทยให้ขาดออกจากกัน นั่นคือ
       
       พล.ต.ต.มานิตย์ วงศ์สมบูรณ์ ผบก.สทส. อดีต ผบก.น.1 ซึ่งเคยถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณีสลายการชุมนุมเสื้อเหลือง บริเวณเซ็นทรัลเวิลด์ จะได้รับการแต่งตั้งเป็นรอง ผบช.น.
       
       พ.ต.อ.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ หรือ โอ๋ สืบ 6 รอง ผบก.ปส. 3 เคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลมีความผิดพากลุ่มคนทำร้ายผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ จะขยับเป็น ผบก.น. 6

       
       ศิริโชค โสภา ส.ส. สงขลา ในฐานะ รมว.กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ เงา (ไอซีที เงา) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Sirichok Sopha เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า พ.ต.อ.วัลลภ ประทุมเมือง รองผู้บังคับการ น. 9 เป็นบุคคลที่สังคมต้องจับตา เพราะเป็นตำรวจคนสนิทของ ร.ต.อ.เฉลิม อยุ่บำรุง และเป็นผู้อาสาเข้ามาดำเนินการพลิกสำนวนที่พนักงานสอบสวนชุดที่แล้ว มีความเห็นว่า การตายของนักข่าวญี่ปุ่น ไม่มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าเป็นการตายที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
       
       “ แต่บัดนี้มีความพยายามที่จะพลิกสำนวนให้การตายเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้อัยการส่งศาลตาม มาตรา 150 วรรค 3 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อให้ศาลทำการไต่สวน และทำคำสั่งแสดงว่า ผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และสาเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทำร้าย ให้กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทำร้าย เท่าที่จะทราบได้ "
       
       และเมื่อศาลมีความเห็นว่า เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้ว ก็จะโยง นายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ เป็นผู้สั่งการ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องตาย เพื่อที่จะเอาเป็นตัวประกันในการออกกฎหมายนิรโทษกรรม หรือกฎหมายปรองดอง
       
       โดยแหล่งข่าวในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ถ้า พ.ต.อ.วัลลภ ประทุมเมือง ประสบความสำเร็จในการพลิกสำนวน ก็จะได้ปูนบำเหน็จเป็นนายพล ในการโยกย้ายที่จะถึงในเร็วๆนี้ ซึ่งจะเป็นจริงหรือไม่ ก็ต้องติดตามกันต่อไป
       
       ศิริโชค ยังเขียนอีกว่า ผมไม่เคยรู้จักนายตำรวจท่านนี้ แต่เจอครั้งแรกในห้องสอบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมนายอภิสิทธิ์ และก็มีความรู้สึกได้ทันทีว่ามีความอคติ และมีความตั้งใจที่จะโยงนายอภิสิทธิ์ให้ผิดให้ได้ จึงได้มีการตรวจสอบประวัตินายตำรวจท่านนี้ ก็เลยถึงบางอ้อ เพราะได้รับทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า พ.ต.อ.วัลลภ ประทุมเมือง จะเป็นผู้รายงานตรงถึง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง โดยจะทำเป็นชาร์ต เป็นเพาเวอร์พอยท์ ทั้งๆที่ในข้อเท็จจริง มีหน้าที่รายงานถึง พ.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ประธานคณะกรรมการสอบสวนเท่านั้น ผมจึงไม่แปลกใจว่า ทำไมนักการเมืองอย่าง เฉลิม จึงรู้เรื่องคดีนี้มาก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ เพราะเป็นผู้ให้นโยบายเท่านั้น
       
      การแปรเปลี่ยนสำนวนการสอบสวน เป็นความถนัดของ เฉลิม แต่จะทำให้ “ทักษิณ” ตายทั้งเป็น เหมือนคดี “ยิงหัวดาบยิ้ม”
       
       แม้กระทั่งสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอ เกี่ยวกับการเสียชีวิตของประชาชน ทหาร จำนวน 91 ศพ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุตธรรม ผู้กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็ยังสั่งให้มีการเปลี่ยนพนักงานสอบสวน เพื่อสร้างสำนวนขึ้นมาใหม่
       
       ทีมงานของเฉลิม ที่เกี่ยวข้องกับคดีดาบยิ้ม ยังได้รับการตบรางวัลเป็น “ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.)” เพื่อมาทำหน้าที่ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55
       
       เฉลิม กำลังส่งอดีตผู้ต้องหา เป็นคนรับผิดชอบการรับจำนำข้าว...มันน่าทึ่งมาก
       
       โดยเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอแต่งตั้ง พ.ต.ต.ศราวุฒิ สกุลมีฤทธิ์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) โดยให้มีผลตั้งแต่ วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป
       
       พ.ต.ต.ศราวุฒิ เคยเป็นอดีตสมาชิกพรรคพลังประชาชน และเคยตกเป็นจำเลยร่วมกับนายดวง (ดวงเฉลิม) อยู่บำรุง ลูกชายคนสุดท้องของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในคดีฆ่า ด.ต.สุวิชัย รอดวิมุต หรือ ดาบยิ้ม ตำรวจกองปราบปราม ในคลับทเวนตี้ ถนนรัชดาภิเษก เมื่อคืนวันที่ 29 ต.ค. 44 โดย พ.ต.ต.ศราวุฒิ ถูกอัยการยื่นฟ้องเป็นผู้ต้องหาในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และทำร้ายร่างกาย ต่อมาศาลอาญาได้มีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง พ.ต.ต.ศราวุฒิ และต่อมาอัยการไม่อุทธรณ์ ทำให้คดีนี้ถึงที่สุด
       

       การเสียชีวิตของหัวคะแนนคนสำคัญของ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขตดอนเมือง พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเฉลิม แสดงตัวเป็นพหูสูต บอกว่า “เป็นเรื่องส่วนตัว” ก็เหมือนจงใจฉีกกระชากเส้นแบ่งความยุติธรรมอีกครั้ง
       
       หลายคนคิดในใจดังๆว่า เฉลิม พยายามปกป้องพรรคพวกตัวเอง เพื่อสร้างบารมีในพื้นที่ดอนเมือง ผ่าน การุณ โหสกุล
       
       ทั้งนี้ เมื่อเวลา 18.30 น.ของวันที่ 10 ธันวาคม ที่ผ่านมา “นายชุติเดช สุวรรณเกิด” ถูกอาวุธปืนยิงเสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณหลังตลาดนัดโกสุมรวมใจ แขวงดอนเมือง เขตดอนเมือง กทม.
       
       สถานที่เกิดเหตุ เป็นลานจอดรถหลังตลาด เจ้าหน้าที่พบกองเลือดจำนวนมากอยู่บริเวณหน้าที่ก่อสร้างร้านค้า นายชุติเดช สุวรรณเกิด อายุ 38 ปี ถูกกระสุนไม่ทราบชนิดยิงเข้าที่ใบหน้า โหนกแก้มซ้ายทะลุด้านหลัง และที่หน้าอก
       
       หลังจากนั้น เฉลิมก็แอบอ้างของเก่าล้าสมัยว่า ในฐานะที่เคยเป็นพนักงานสอบสวนเชื่อว่า เป็นเรื่องความแค้นส่วนตัว
       
       แต่ต่อมา นางณัฐทัย เครื่องสาย อายุ 21 ปี ภรรยานายชุติเดช จึงนำบุตรสาววัย 5 ขวบ แถลงข่าว เรียกร้องพนักงานสอบสวนคดีให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา โดยนางณัฐทัยแถลงทั้งน้ำตาว่า อยากฝากไปยัง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ระบุเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวการเมืองนั้น ไม่ใช่แน่นอน ขอยืนยันในฐานะภรรยาที่นอนด้วยกันทุกคืนว่าเป็นเรื่องการเมืองแน่นอน
       
       "เรื่องวิถีกระสุน ดิฉันเป็นคนจับศพสามีคนแรก ร่างของสามีอยู่ในสภาพนอนหงาย มีเลือดกลบปาก เชื่อว่าถูกยิงจากด้านหน้าแน่นอน เป็นลักษณะการตามไปยิงซ้ำ และความแค้นส่วนตัวทางการเมือง ก็เป็นสาเหตุให้ยิงในลักษณะดังกล่าวได้" นางณัฐทัย กล่าว
       
       ภรรยานายชุติเดช บอกข้อมูลกับนักข่าวว่า นายชุติเดช ไม่ได้มีธุรกิจรถบรรทุกตามที่ตำรวจอ้าง มีเพียงแผงพระเป็นตู้เล็กๆ เท่านั้น และถ้าเกี่ยวข้องกับธุรกิจมืด เราคงรวยกว่านี้ ตอนนี้ทั้งค่าเช่าบ้าน ค่าไฟ ค่าน้ำ ยังค้างอยู่เลย ซึ่งนายชุติเดช รู้จักคนเยอะมาก และกำความลับของดอนเมืองไว้เยอะ
       
       แม้กระทั่งเรื่องที่เคยมีปัญหากับ เสธ.บ.นั้น เคยมีจริง แต่ผ่านมา 3 ปีแล้ว และเคลียร์จบกันไปแล้ว จึงไม่ใช่ เสธ.บ. แน่นอน เพราะตอนที่นายชุติเดช จะลงสมัคร ส.ข. เสธ.บ. ยังโทร.มาหา ถามว่าให้ช่วยหรือไม่ มีเงินใช้หรือไม่ เพราะรู้ว่า นายชุติเดชไม่มีเงิน ต้องขายรถเอาเงินมาทำป้ายหาเสียง ประเด็นของ เสธ.บ. ขอให้ตัดทิ้งได้เลย
       
       นายแทนคุณ อธิบายข้อมูลที่มีอยู่ในมือ พร้อมกับยืนยันอย่างหนักแน่นอนว่า การสังหารนายชุติเดชครั้งนี้ เกี่ยวกับผู้มีอิทธิพล ธุรกิจผิดกฎหมาย บ่อนการพนันย่านดอนเมือง ซึ่งในช่วงหาเสียงราวเดือน เม.ย.-มี.ค. ตนได้ประสานข้อมูลให้ตำรวจเข้าจับกุมหลายแห่ง ทำให้มีฝ่ายเสียประโยชน์ จนมีคนมาบอกว่า ถ้าผมไม่ได้เป็น ส.ส. นายชุติเดช ตายแน่
       
       " ตัวละครที่บงการสังหารนายชุติเดช ประกอบด้วย คนอักษรย่อ ว. ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลย่านดอนเมือง ในเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมาย มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนาย ก. เป็นนักการเมือง รวมถึงนาย ม. ซึ่งเป็นผู้จัดหามือปืนจากซุ้ม จ.สุโขทัย มาลงมือ โดยตอนแรก ว. สั่งให้ลูกน้องอีกคนหามือปืน แต่นายชุติเดช ยังมีบุญคุณกับลูกน้องคนดังกล่าว เลยโอนงานไปให้ ม. เป็นคนหา และในอดีตนายชุติเดช เคยเป็นมือขวาของนักการเมือง ก. โดยมี ว. เป็นมือซ้าย แต่พอนายชุติเดชแยกตัวไป ว. ก็กลายเป็นมือขวา โดยธุรกิจผิดกฎหมายที่เชื่อมโยงกับ ว. มีหลายอย่าง " นายแทนคุณ กล่าว
       
       แปลไทยเป็นไทยอีกครั้งอักษรย่อเหล่านี้ ทำให้หน้าของ “ไอ้เก่ง” ลอยมาตามหน้าหนังสือพิมพ์
       
       แต่การที่เฉลิม พยายามสร้างก๊กในพรรคเพื่อไทย ด้วยโอบอุ้ม “ไอ้เก่ง” หลายคนเชื่อว่า ชีวิตทางการเมืองไม่น่าจะจบได้สวย
       
       ที่สำคัญ หาก “ไอ้เก่ง” ยังลอยนวล
       ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย อาจจะได้ชื่อใหม่ไปอีกแบบ
       
      ล่าสุด “การุณ โหสกุล” ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 1 ปี ปรับ 40,000 บาท ในคดีหมิ่นประมาท ที่ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ฟ้อง นายการุณ หรือ เก่ง โหสกุล ส.ส.เขตดอนเมือง พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา โทษจำคุก จึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ทั้งให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาโดยย่อใน นสพ.เดลินิวส์ ไทยรัฐ และ มติชน เป็นเวลา 3 วัน โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
       
       แต่ตามความรู้สึกของคนทั่วไปในเรื่องความยุติธรรม สังคมไม่อยากให้ “ไอ้เก่ง” อยู่นอกคุก

       
       ประเด็นสำคัญคือ ทักษิณ จะเลี้ยงคนสร้าง “สำนวนการสอบสวน” แบบเฉลิม เพื่อก่อชนวนสงครามความยุติธรรมกระนั้นหรือ
       
       หากยังต้องการกลับเมืองไทยอย่างสง่าผ่าเผย “เฉลิม” ก็ไม่ควรอยู่ในแผนที่กลับประเทศ !!
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #438 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2554, 13:32:39 »

"ดร.ไชยันต์ ไชยพร" วิเคราะห์แผนพ้นคุกของ "ทักษิณ" นับถอยหลัง 10 ปี ประชาธิปัตย์ฟื้นชีพ



"ดร.ไชยันต์ ไชยพร" นักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์โฉมหน้าการเมืองปีหน้า

เผ็ดร้อนทั้งเรื่องทักษิณและพวก-การฟื้นชีพของพรรคประชาธิปัตย์ และอำนาจของฝ่ายกองทัพ




- กระดานการเมืองปี 2555 มีทั้งมิติพรรคการเมือง มิติทักษิณ มิติปรองดอง การกลับมาของ 111 จะเป็นอย่างไร

ถ้าพูดถึงการเมืองปีหน้า โดยที่ยังไม่พูดถึง factor (ปัจจัย) เรื่องคุณทักษิณ ชินวัตร ก็หมายความว่าพรรคเพื่อไทยมีคะแนนเสียง 265 รวมกับพรรคร่วมรัฐบาลเป็น 300 เสียง บวกกับสถานการณ์และความนิยมของประชาชน ยังไง ๆ ก็ควรจะต้องอยู่ถึง 4 ปี แต่ปัญหาของพรรคเพื่อไทยที่เราเห็นชัดมากตั้งแต่ช่วงน้ำท่วม คือปัญหาเกิดจากภาวะผู้นำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร นายกรัฐมนตรี) เอง พรรคร่วมรัฐบาลยังไงเขาก็ไม่อยากให้ยุบสภา หากจะมีการปรับเปลี่ยนอะไร ก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี

แต่เมื่อในความเป็นจริง หากนำ factor คุณทักษิณเข้ามา เมื่อเปลี่ยนตัวนายกฯ ต่อให้เอาใครก็ได้ในพรรค เพื่อไทยมาเป็นนายกฯ ไม่ว่าจะเป็น คุณเฉลิม (อยู่บำรุง รองนายกฯ) คุณประชา (พรหมนอก รมว.ยุติธรรม) หรือคุณยงยุทธ (วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย) คุณทักษิณก็ คงยอมไม่ได้ เพราะเขาเคยให้คุณสมัคร (สุนทรเวช) มาเป็นนอมินีเขา แต่เมื่อถึงเวลาเมื่อคุณสมัครไม่สามารถทำในสิ่งที่คุณทักษิณต้องการโดยเร็วได้ ทำให้หลังจากคุณสมัครพ้นตำแหน่ง เขาก็ไม่เลือกคุณสมัคร กลับเลือกคนที่ใกล้ตัวเข้ามาอีกคือ คุณสมชาย (วงศ์สวัสดิ์) เขาก็เลือกคนที่ใกล้ตัวที่สุด ต้องเป็นคนที่เขาไว้ใจและคุมได้

ต่อให้ 3 คนนี้เก่งแค่ไหน แต่อำนาจการคุมและตัดสินใจไม่มี เพราะ ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยทุกคนเห็นแล้วว่า คุณเฉลิม คุณประชา คุณยงยุทธ เป็นแค่นอมินี ต่อให้เก่งแค่ไหนเขาก็ไม่สนใจ พวกนี้เขาจะวิ่งตรงเข้าหาคุณทักษิณ ทำให้ในช่วง ม.ค.-พ.ค.นี้ หากเปลี่ยนตัวนายกฯก็ยังมีปัญหาอยู่

ดังนั้นสิ่งที่เร็วที่สุดคือทำอย่างไร ให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ออกมาก่อนที่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะพ้นจากการถูก เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน เช่น ถ้า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกมาปุ๊บ แล้วยุบสภาทันที เพื่อดูว่าประชาชนจะเอาเขาไหม และ ยังทำลายแรงต้านของการชุมนุมด้วย อย่างนี้ถือว่าสวย เพราะเมื่อนิรโทษกรรมได้แล้วก็หมายความว่า คุณทักษิณก็เล่นการเมืองได้ แล้วบ้านเลขที่ 111 ก็เล่นการเมืองได้อยู่แล้ว ทำให้คนที่จะมาเป็นนายกฯก็คือ คุณทักษิณ นี่คือสูตรที่ สวยที่สุด ที่คุณทักษิณคิดว่าควรจะเป็น แล้วมีสมาชิกบ้านเลขที่ 111 เป็นรัฐมนตรี มันคือพรรคไทยรักไทยเก่า คนที่เชียร์คุณทักษิณก็จะแฮบปี้มากเลย ว่านี่มันคือสุดยอดเลย เพราะยอดฝีมือแต่ละคนไม่ต้องพูดถึง ประเทศไทยหลังจากนี้คงดีแน่เลย นี่คือสูตรที่คุณทักษิณอยากให้เป็นมากที่สุด

แต่ปัญหาคือหาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกบังคับใช้ไม่ได้ แล้วไม่มีการยุบสภา เมื่อบ้านเลขที่ 111 ที่ช่วยพรรคมาตลอดพ้นโทษออกมา แล้วได้เป็นเพียงแค่รัฐมนตรี หรือรองนายกฯ ผมว่านี่เป็นปัญหามากเลย เพราะคนที่อยู่ ในบ้านเลขที่ 111 ซึ่งไม่ใช่มือระดับ พระกาฬ เขายินดีเป็นรัฐมนตรี รองนายกฯ ภายใต้คุณยิ่งลักษณ์ ภายใต้คุณเฉลิม คุณประชา แต่คงไม่ใช่คุณหญิงสุดารัตน์ คุณจาตุรนต์ ฉายแสง ไม่ใช่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คนเหล่านี้ไม่ ยอมเป็นแค่รัฐมนตรีธรรมดา แต่ถ้าเป็น ก็ต้องเป็นรัฐมนตรีให้คุณทักษิณคนเดียวเท่านั้น

เป็นปัญหาของคุณทักษิณ ที่จะทำอย่างไรให้การปรับ ครม. ช่วงหลังเดือน พ.ค.2555 เมื่อสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กลับมา จะปรับให้มันลงตัว หล่อเลี้ยงให้คน 111 ยังอยู่พรรคเพื่อไทย ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันยากมากเลย

เพราะขณะนี้คนในพรรคเพื่อไทยถือว่าเป็นรุ่นที่ 3 ต่อจากพวก 111 และพวก 109 ซึ่งคนรุ่นที่ 3 ของพรรค เพื่อไทย เขาก็ถือว่าเขา fight (ต่อสู้) มาขนาดนี้ ผมจึงยังมองไม่ออกว่า คุณทักษิณจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

- แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่า พ.ร.บ. นิรโทษกรรม การถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ และพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เมื่อมีการแตะชื่อของคุณทักษิณ มักจะถูกอีกฝ่ายหนึ่งมาต่อต้าน

ถ้าเป็นพระราชกฤษฎีกาก็จะมีปัญหา เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ แล้วเขาพยายามลักไก่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องพระราชทานอภัยโทษทุกปี แต่เรื่องนี้ออกโดยรัฐมนตรีมันไม่ควร อาจมีคนต่อต้าน ได้ แต่ถ้าออกโดยกระบวนการรัฐสภา ซึ่งมีความชอบธรรมมากที่จะออก พ.ร.บ. นิรโทษกรรม แล้วมันก็สอดคล้องกับแนวคิดกระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน

ฉะนั้นการนิรโทษกรรมก็คือ นิรโทษกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย ผมคิดว่ากระแสสังคมก็ต้องคิดว่าเรื่องอาจจะจบ กระแสที่ไม่เอาเหลือง ไม่เอาแดง ก็อาจจะบอกว่าจบสักทีดีกว่า

แล้วเรื่องในอนาคตที่สำคัญอีกประการคือ เรื่อง 91 ศพ หากตัดสินแล้วมีปัญหา ไม่ถูกใจตามที่พี่น้อง เสื้อแดงคาดหวังเรื่องนี้ก็จะถูกจับ มาเชื่อมโยงกับเรื่องอากง ก็จะโยงเป็น ภาพรวมเดียวกันทั้งหมดว่านี่คือผลพวงของระบอบอำมาตย์ เมื่อศาลตัดสิน เรื่อง 91 ศพ ไม่ถูกใจ รวมถึงอากง เรื่องฎีกามันก็จะเป็นปัญหาพรรค เพื่อไทยเขาไม่ได้แฮบปี้กับตรงนี้เลย เรื่องคดีอากงเขาไม่อยากยุ่ง เรื่อง 91 ศพ หากตัดสินไม่ดี เขาก็ไม่สนใจ เพราะรัฐบาลอยากอยู่ในอำนาจนาน ๆ แต่คนที่จะออกมาคือพี่น้องเสื้อแดง เพื่อเรียกร้องคดี 91 ศพ คราวนี้พี่น้องเสื้อแดงก็จะตั้งคำถามรัฐบาลพรรค เพื่อไทยว่า จะเกี้ยเซียะกับอำมาตย์เพื่ออยู่ในอำนาจ หรือทำเพื่อมวลชนเสื้อแดง

- มวลชนเสื้อแดงก็จะกลายเป็นก้าง ตำคอรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

ก็เป็นหอกข้างแคร่ทันที คราวนี้ก็ยืนดูเขาตีกันจริง ๆ

- ความรุนแรงจะเกิดขึ้นเหมือนก่อนหน้านี้หรือไม่

โอ้โห...ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันนะ การที่มวลชนเสื้อแดงมีปัญหากับพรรคเพื่อไทย ก็จะซ้ำรอยกับกลุ่มพันธมิตรฯที่มีปัญหากับพรรคประชาธิปัตย์ มันเป็นอย่างนี้ตลอด ผมเห็นชัดยังไงก็มีความขัดแย้ง 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากรัฐบาลเป็นฝ่ายปฏิบัติงาน แต่มวลชนขับเคลื่อนโดยขบวนการ เมื่อคุณเป็นรัฐบาลก็ต้องประสานประโยชน์ ประนีประนอมที่จะอยู่ ผมคิดว่าทำตามอุดมการณ์ อุดมคติ ไม่ได้หรอก

แต่ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าคุณ ยิ่งลักษณ์สลัดคุณทักษิณทิ้ง แล้วเป็นผู้นำขึ้นมาจริง ๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แต่ผมไม่แน่ใจ เพราะพอถึงจุดจุดหนึ่ง คุณก็รู้ว่าอำนาจอยู่ในมือ ใคร ๆ ก็รักคุณ พี่น้องเสื้อแดงก็รักคุณ อำนาจอยู่ในมือแล้ว แม้จะดูอ่อนแอ กตัญญูพี่ชาย แต่ถึงเวลาคุณแข็งเพื่อเอาประเทศก่อน เวลานั้นบ้านเลขที่ 111 ก็ต้องพึ่งคุณ เพราะประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยเพราะคุณยิ่งลักษณ์ และคุณทักษิณ แต่พอถึงคราวนี้คุณยิ่งลักษณ์เป็นตัวของตัวเอง บอกว่าเรื่องพี่ชายให้พักไว้ก่อน แล้วหันมาคุมบ้านเลขที่ 111 ได้ ผมคิดว่าก็เป็นอีกสูตรหนึ่งที่เป็นทางออก แต่ถ้าบอกเป็นไปได้มันก็ยาก แต่ในประวัติศาสตร์บางครั้งคนที่ดูอ่อนแอที่สุด มันก็สร้างปาฏิหาริย์ได้เหมือนกัน แต่ถ้าทำไม่ได้ บ้านเมืองก็จะยุ่ง

- เป็นไปได้หรือไม่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะก้าวข้ามปัญหา พ.ต.ท.ทักษิณ

งานนี้สนุก ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ทำแบบนี้ได้ มวลชนก็จะปวดหัวเลย สมมติว่าคุณทักษิณให้คนบ้านเลขที่ 111 เป็นนายกฯ แต่ยังคุมได้ทุกอย่าง แล้วยังสามารถ พาประเทศเดินหน้าไปได้ ประชาชน จะต้องการคุณทักษิณไปอีกทำไม ประชาชนส่วนหนึ่งอาจบอกว่า พ.ต.ท. ทักษิณกลับมาแล้วยุ่ง อย่ากลับเลย

- สมมติฐานที่นายกฯจะตัดสินใจชิงลาออกก่อนเวลาเป็นไปหรือไม่

ถ้าลาออกก็หมายความว่า ต้องมีคนที่ขึ้นมาแทน ซึ่งจะเป็นใคร คุณยงยุทธตัดทิ้งได้เลย อ่อนกว่าคุณยิ่งลักษณ์อีก คนบ้านเลขที่ 111 ไม่เอาคุณเฉลิม เพราะเขาถือว่ามาตีกิน ชุบมือเปิบ คุณประชาก็ไม่ได้อีก เพราะไม่ใช่ ไทยรักไทยแท้

ฉะนั้นเรื่องของเรื่องมันจึงอยู่ที่ตัวคุณยิ่งลักษณ์ และหากคุณทักษิณลดอัตตาตัวเองได้ พอถึงเดือนพฤษภาคม 2555 บ้านเลขที่ 111 ออกมาแล้ว และบอกให้น้องปู (น.ส.ยิ่งลักษณ์) ยุบสภาซะ เพราะที่ผ่านมาบริหารงานง่อนแง่น เมื่อถึงเวลาก็ยุบสภา ปล่อยให้บ้านเลขที่ 111 เข้ามา โดยคุณทักษิณสั่งการในพรรค คนก็ต้องวิ่งเข้าหาแก

- ทางแก้คือให้คุณทักษิณกลับมาเป็นนายกฯเสียเอง แล้วจัดการใหม่ทั้งหมด

นี่คือสูตรที่คุณทักษิณคิด และคุณ ยิ่งลักษณ์ก็คิด เป็นสูตรที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายในสายพรรคไทยรักไทย และพรรคเพื่อไทย เพราะต้องยอม กันว่าหากคุณทักษิณกลับมาแล้วก็ จะ select (เลือก) ว่าเอา 111 คนไหนมาวางตำแหน่งนี้ แล้วคนที่ไม่ใช่ 111 แต่ทำงานดีก็เอามา คราวนี้ก็จะแน่นปึ้กเลย

- แต่คุณทักษิณจะกลับมาด้วยเงื่อนไข พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีแรงต้านหรือแรงเสียดทาน เลยหรือ

ก็คือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทุกฝ่าย เท่ากับล้างหมดเลย เหมือนที่กลุ่ม นิติราษฎร์เสนอ ก็นำมาเขียนเป็นกฎหมาย เป็น พ.ร.บ. แล้วล้างให้หมดเลย เพราะแดง เหลืองมีไม่เยอะ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้เป็นแดงและเหลือง ฉะนั้นดูแล้วพวกคนกลาง ๆ น่าจะเอา แล้วก่อนที่จะนำ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เข้าสภา น่าจะประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับประชาชนว่ามันจะเป็นทางออกของประเทศ และขึ้นอยู่กับคนที่อาจจะ เบื่อความขัดแย้งที่ผ่านมามากแล้ว อยากให้มันจบ ๆ ไป

- มองปรากฏการณ์ในพรรคประชาธิปัตย์อย่างไร

การปรับเปลี่ยนในพรรคประชาธิปัตย์มันเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเมื่อถึงเวลา หลังจากคุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ) นำพรรคล้มเหลวในการเลือกตั้ง ก็ต้องเลือกเลขาธิการชุดใหม่เข้ามาทำ แต่ก็สู้กระแสของพรรคเพื่อไทยไม่ได้ เพราะสามารถเอาคำว่าประชาธิปไตยมาอยู่ฝั่งเขาได้ เวลานี้มันเป็นการแย่งชิงคำว่าประชาธิปไตยอยู่กับใคร ตราบใดที่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงยังดึงได้ อยู่ พรรคประชาธิปัตย์ก็คงยาก ต่อให้ ชูประชานิยมอย่างไรก็กลายเป็นไปชูประชานิยมเก่าอยู่ดี

พรรคประชาธิปัตย์ ความจริงเขาก็รู้ตัวว่าจะต้องเป็นฝ่ายค้านถึง 4 ปี แต่เนื่องจากน้ำท่วม เขาก็มีความหวังขึ้นมาว่ามีประชาชนจะออกมาปั่นป่วน เสื้อแดงที่รับผลกระทบอาจเกิดความไม่พอใจ จนในที่สุดแล้วรัฐบาลคุมไม่ได้ ก็จะมีการยื่นถอดถอน แต่ความหวังของพรรคประชาธิปัตย์เป็นความหวังที่ยืน อยู่บนความฟลุกของน้ำท่วม เรื่องทหาร ไม่ต้องห่วง ยังไงทหารก็พยายามอยู่ ในกรอบในร่องในรอย

- นอกจากจะรอให้ประชานิยมล่มสลายแล้ว จะมีปัจจัยอะไรอีกหรือไม่ที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์คืนชีพอีกครั้ง

10 กว่าปีมั้งกว่าจะฟื้น ผมบอกได้เลย รอไปเลย เพราะการเมืองสมัยนี้มีแนวโน้มเป็นเช่นนั้นเสมอ ดูสิงคโปร์มีพรรคครองอำนาจยาวนาน 50 กว่าปี อังกฤษ 10 กว่าปีถึงจะเปลี่ยนรัฐบาล การเมืองไทยจะเข้าสู่โหมดแบบนั้น แต่ไม่ใช่โหมดเผด็จการเหมือนพม่า แต่เป็นโหมดนโยบายที่ออกมาแล้วติดกระแสสังคมและต้องการก็จะอยู่ยาว พรรคประชาธิปัตย์จะขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเกิดความแตกแยกในพรรคเพื่อไทยเอง หากคุณทักษิณยังอยู่ก็คงเป็นไปไม่ได้



      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #439 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2554, 13:40:24 »

3 หนุ่มเนื้อทอง Here of the Year
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    
      เก่ง-การุณ โหสกุล Here of the Year

      ชั่วโมงนี้ พ.ศ.นี้ คงต้องยอมรับกันว่า ชื่อและชั้นของเจ้าของฉายา “จอมถีบแห่งทุ่งดอนเมือง” อย่าง “นายการุณ โหสกุล” ส.ส.ผู้ทรงเกียรติแห่งพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากพฤติกรรมอัน “ดิบ เถื่อนและถ่อย” ครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงท้ายปี
       
       จนหลายคนถึงกับยกตำแหน่ง Here of the Year ให้ด้วยความยินยอมพร้อมใจ
       

       ยิ่งล่าสุดเมื่อเกิดคดีสังหารสะท้านทุ่งดอนเมือง โดยคนร้ายบุกยิง “นายชุติเดช สุวรรณเกิด” หัวคะแนนของ “นายแทนคุณ จิตต์อิสระ” อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตดอนเมือง อย่างอุกอาจกลางตลาดต่อหน้าลูกและเมีย รวมถึงชาวบ้านร้านตลาดเป็นจำนวนมากด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ชื่อของนายการุณเข้ามาพัวพันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องก็ตาม
       
       เพราะใครๆ ก็รู้ว่า นายการุณคือผู้กว้างขวางและผู้ทรงอิทธิพลแห่งเขตดอนเมือง
       
       ขณะที่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเอง นายการุณก็ดังสะท้านเมืองอีกคำรบสมกับตำแหน่ง Here of the Year เพราะมีอันต้องคำพิพากษาในคดีอาญาข้อหาทำร้ายร่างกายและหมิ่นประมาท “นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์” อดีต ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายการุณมีความผิดจริง โดยให้จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 12 เดือนและปรับกระทงละ 20,000 บาท รวม 4,000 บาท
       
       เดชะบุญที่ศาลมีเมตตาให้รอลงอาญา ไม่เช่นนั้น นายการุณคงต้องเข้าไปนอนในมุ้งสายบัว
       
       ทั้งนี้ ทั้งสองเหตุการณ์และทั้งสองคดีที่เกิดขึ้น ทำให้หลายคนอดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า ทำไมคนเยี่ยงนี้ถึงได้เชิดหน้าชูตากลายเป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติของเขตดอนเมืองได้
       
       และที่สำคัญคือ พฤติกรรมของจอมถีบแห่งทุ่งดอนเมืองผู้นี้ ก็ใช่ว่าคนดอนเมืองจะไม่รับรู้ หากแต่รับรู้มาโดยตลอด แต่เขาก็ยังสามารถฝ่าฟันเข้ามาเป็น ส.ส.ได้สำเร็จ ดังนั้น นายการุณจึงไม่ใช่คนธรรมดา แถมยังเป็นส.ส.ที่ทรงอิทธิพลชนิดที่แม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยต้นสังกัดรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้
       
       ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ กรณีจอมถีบแห่งทุ่งดอนเมืองนำชาวบ้านไปพังคันกั้นน้ำจนน้ำเน่าทะลักเข้าคลองประปาจนมีปัญหากับชาวปากเกร็ด
       
       และตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการที่จอมถีบแห่งทุ่งดอนเมืองนำชาวบ้านเข้ารื้อบิ๊กแบ๊กที่เขตดอนเมืองหน้า ศปภ.อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
       
       แถมในคราวที่นารีขี่ม้าขาวลงพื้นที่เขตดอนเมืองไปบิ๊กคลีนนิงหลังน้ำท่วมและพบเจ้าอาวาสวัดดอนเมืองจนสร้างตำนานอันลือลั่น นายการุณยังติดสอยห้อยตามดูแลอย่างใกล้ชิดอีกต่างหาก
       
       ดังนั้นเมื่อเกิดคดีสะเทือนขวัญฆ่านายชุติเดช จึงไม่แปลกใจอะไรที่สังคมจะเชื่อมโยงและต่อจิ๊กซอว์ไปถึงคนที่คุณก็รู้ว่าใคร
       
       อย่างไรก็ตาม สำหรับความทรงอิทธิพลของนายการุณในพื้นที่ทุ่งดอนเมืองนั้น จัดได้ว่าไม่ธรรมดาชนิดที่ไม่มีใครกล้าหือเพราะรู้ซึ้งถึงสรรพคุณของนายการุณว่าเป็นคนเยี่ยงไร
       
       หากยังจำกันได้กับเหตุการณ์ที่นายการุณถูกชาวบ้านต่อยปากแตกจนเย็บถึง 5 เข็มในช่วงน้ำท่วมทุ่งดอนเมืองที่ผ่านมา คงรู้ซึ้งถึงความเป็นนายการุณได้เป็นอย่างดี
       
       คดีนี้คู่กรณีของนายการุณเป็นชาวบ้านธรรมดาชื่อว่านายฐิติพันธุ์ บุญใหญ่
       
       นายฐิติพันธุ์ให้การว่า ได้มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับนายการุณเพราะไม่พอใจที่นายการุณขี่เจ็ตสกีมาด้วยความเร็วสูงทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่มากระแทกเรือที่ตนเองพายมากับพวกรวม 4 คน จนเรือพลิกคว่ำ ทำให้ทุกคนตกลงไปในน้ำ จากนั้นนายการุณได้ขี่เจ็ตสกีวนกลับมา ก่อนจะมีปากเสียงกันขึ้น ตนทนไม่ไหวจึงชกที่ใบหน้านายการุณ
       
       สุดท้ายนายฐิติพันธุ์ต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีทำร้ายร่างกายนายการุณ และเรื่องก็เงียบหายไปราวกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
       
       แต่ในโลกออนไลน์ก็เป็นที่ร่ำลือกันถึงชะตากรรมของนายฐิติพันธุ์ว่า น่าเป็นห่วงไม่น้อย
       
       เช่น ผู้ใช้นามแฝง "คนอยู่ในเหตุการณ์" ระบุว่า "ข่าวจริงบางส่วนครับ ต่อยจริงแต่คงไม่ถึงขนาดเย็บถึง 5 เข็มหรอกครับ ไม่รู้ว่า ไปให้หมอเซ็นรับรองให้หรือเปล่า แต่ชาวบ้าน อ่วมเลย โดนส่งลูกสมุนมารุมยำเละ ตอนนี้ พยายามส่งคนมาไกล่เกลี่ยอยู่"
       
       และผู้ใช้นามแฝง "pp" ระบุว่า "confirm เรื่องนี้ : Couture Jinna อันนี้เรื่องจริงค่ะ ข้างบ้านเพื่อนพี่เองค่ะ เขาเล่าให้ฟังเมื่อเช้า สรุปคือชาวบ้านตาดำๆ ต้องเสียค่าปรับให้คนละ 5,000 ส่วนเก่งลอยนวลไป ตอนนี้ทุกคนก็ต้องย้ายออกนอกพื้นที่ก่อนเพื่อความปลอดภัยแบบสะบักสะบอมค่ะ พวกสั่งให้สามในสี่ถอดเสื้อแล้วเอาเสื้อมามัดแขนด้วยนะคะ แต่อีกคน 1 ใน 4 เป็นผู้หญิง"
       

       อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของ “นายการุณ” ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น หากไล่เลียงเกียรติประวัติและผลงานออกมาก็คงยาวเป็นหางว่าว
       
       ในต้นปี 2548 “การุณ” โดนศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ปรับเงินนายการุณในความผิด ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2496 ม.27 ฐานลักลอบนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลบเลี่ยงภาษีศุลกากร เป็นเงินจำนวน 30,254,052 บาท และถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 8 ก.พ. เนื่องจากหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และถูกนำตัวไปควบคุมที่ห้องขังใต้ถุนศาลอาญา ต่อมาญาติได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินย่านดอนเมืองจำนวน 2 แปลงเนื้อที่ 1 ไร่ 84 ตารางวา ราคาประเมิน 4,800,000 บาท มาประกันตัวออกไป
       
      นอกจากนี้ ในปีเดียวกัน ศาลฎีกายังมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ของ “นายการุณ โหสกุล” จากพรรคไทยรักไทย เพราะมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ประกาศยกเลิกใบปริญญาบัตรของผู้สมัครฯ โดยคดีนี้สืบเนื่องจาก “ชัยณรงค์ เทียนมงคล” ผอ.กกต.กทม. ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีการะบุว่า กกต.เขต 14 ได้ตรวจพบว่าคุณสมบัติของนายการุณไม่ต้องด้วย พ.ร.บ.เลือกตั้ง ประกอบรัฐธรรมนูญ ม.107
       
       กล่าวคือ เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 48 กกต.เปิดรับสมัครรับเลือกตั้งที่อาคารกีฬาเวสน์ กทม. โดยนายการุณใช้หลักฐานประกอบการสมัครเป็นวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยรามคำแหง และเอกสารแสดงวุฒิการศึกษาอื่นๆ ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายเลือกตั้ง แต่เนื่องจาก กกต.ได้ประกาศรายชื่อเป็นผู้สมัครแล้ว จึงขออาศัยเหตุดังกล่าวเพิกถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งของนายการุณ และสุดท้าย ศาลก็มีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้งดังกล่าวของนายการุณ

       
       นอกจากนี้ นายการุณยังมีคดีความติดตัวเป็นห่างว่าวในอีกหลายคดีด้วยกัน
       
       เริ่มจากต้นเดือน มี.ค. 48 “การุณ” ถูกกล่าวหาว่าทำร้าย “นางสมศรี ด่าน” หนึ่งในทีมงานของพรรคชาติไทย คู่แข่งในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ก.ที่นางรัชดาวรรณ โหสกุล (อดีต)ภรรยานายการุณลงสมัครในนามของพรรคไทยรักไทย ทั้งนี้ นางสมศรี ได้เข้าแจ้งความที่ สน.ดอนเมือง ว่าถูกนายการุณทำร้ายร่างกาย โดย "ถูกเตะเข้าที่แขนซ้าย" จนได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งนายการุณยังด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย และแม้นางสมศรีจะเข้าไปในรถแล้ว ยังถูกกลุ่มของนายการุณยืนล้อมรถไว้
       
       และราวเดือน มิ.ย. ปีเดียวกัน “การุณ” ก็สร้างวีรกรรม “โชว์ความเป็นลูกผู้ชาย” ด้วยการตบ ถีบ และจิกผม “รัชดาวรรณ เกตุสะอาด” ส.ก.เขตดอนเมือง อดีตภรรยาของเขาที่สนามบิน เพราะไม่พอใจที่นางรัชดาวรรณไม่กลับบ้าน แต่นางรัชดาวรรณไม่กลับ เพราะศาลมีคำสั่งให้ทั้งคู่หย่าขาดกันตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.2548 ที่ผ่านมา
       
       ต่อมา 3 กันยายน 49 “การุณ” พร้อมพวก 5 คน รุมทำร้ายร่างกายชายอายุ 53 ปี ซึ่งเป็นรปภ. โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง โดย รปภ. แจ้งความดำเนินคดีว่า นายการุณพร้อมพวกอีก 5 คน รุมทำร้ายร่างกาย
       
       นอกจากนี้เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 50 “การุณ” ยังตกเป็นผู้ต้องหาทำร้าย พ.ต.ท.บัญชา คล้ายน้อย รอง ผกก. 2 บก.ป. ขณะเข้าไปสืบสวนหาข่าวการเล่นพนันไก่ชน ในสนามชนไก่คลอง 5 หมู่ 14 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
       
       หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 51 “การุณ” ก็ได้แผลงฤทธิ์จนเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศ ด้วยการกระโดดถีบและสำรากวาจาอันหยาบคายเข้าใส่ “สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กลางสภาอันทรงเกียรติ จนถูกศาลพิพากษาให้ลงทัณฑ์ไปเป็นที่เรียบร้อย
       
       นอกจากนี้ ในวันที่ 28 ต.ค. ปีเดียวกัน “การุณ” ยังได้ขู่เตะ “น.ส.รสนา โตสิตระกูล” ส.ว.กทม. กลางห้องประชุมรัฐสภา อีกด้วย
       
       และเมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา “การุณ” ก็ตกเป็นข่าวว่าถูก “น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล” รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ “ถีบ!” จนถลา หลังการประชุมสถานการณ์น้ำท่วมระหว่างรัฐบาลกับกทม. ภายในโรงเรียนฤทธิ์ยวรรณลัย 2 เขตสายไหม ในข้อหา “หมั่นไส้” !!!
       
       เรียกว่า เรื่องของนายการุณล้วนแล้วแต่เป็นไปในทางฉาวโฉ่สมกับฉายาใหม่ล่าสุด Here of the Year อย่างไม่มีใครกล้าเถียงเลยทีเดียว
       
      'เหลิม' อับดุล !ถามอะไรตอบได้ …ตอบได้ ? ยกเว้นเรื่อง “ไอ้ปื้ด”

       นับเป็นหนึ่งใน 'หนุ่มเนื้อทอง' ของรัฐบาลเพื่อไทย เนื่องเพราะช่วงนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีที่มีวลีเด็ดว่า “ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แค่ทำสิ่งที่กฎหมายห้าม” นั้นเข้าไปมีบทบาททุกที่ มีส่วนร่วมในทุกเรื่อง กับวางท่าโชว์พาวฯ ด้วยลีลาว่ารู้ลึกรู้จริง …รู้ทุกเรื่อง ...อยากรู้อะไรให้ถามเหลิม ?
       
       **รองฯเหลิม ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน

       
       เริ่มตั้งแต่คดีคดีปล้นบ้าน 'นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม' ปลัดกระทรวงคมนาคม.ซึ่งรองฯเหลิมออกมา ’ฟันธง“ ก่อนจะจับตัวคนร้ายได้เสียอีกว่า เงินที่ถูกปล้นไปนั้นได้มาจาก ’การทุจริต“ อย่างแน่นอน พร้อมกับบอกว่าจะแฉให้สังคมเห็นกันเป็น ’ฉาก ๆ“ ว่าใครอยู่เบื้องหลัง
       
       ตามด้วยคดียิงคนสนิทของ 'อี้' แทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขตดอนเมือง พรรคประชาธิปัตย์ ที่รองฯเหลิมออกมาสรุปว่า.... แค่ดูจากบาดแผลซึ่งกระสุนถูกยิงจากท้ายทอยทะลุปากก็รู้แล้วว่า 'ไม่ใช่คดีการเมือง' ? แต่น่าจะเป็นความขัดแย้งส่วนตัว ทั้งๆที่ตำรวจเจ้าของคดียังไม่ได้มีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงแต่อย่างใด และภรรยาของ 'นายชุติเดช สุวรรณเกิด' ผู้ตายนั้นมั่นใจว่าเป็นเรื่องการเมือง เนื่องจากผู้ตายเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของนักการเมืองใหญ่ในดอนเมือง การที่ย้ายขั้วมาช่วยงานนายแทนคุณก็ทำให้นักการเมืองดังกล่าวไม่พอใจเป็นอย่างมาก
       
       ต่อด้วยกรณีลอบวางระเบิดที่กองสลากเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งรองฯเหลิมระบุว่าเป็นเรื่องการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยอ้างความเป็นตำรวจเก่าที่ผ่านโรงเรียนสืบสวนของกรมตำรวจมา ทำให้เขารู้ตื้นลึกหนาบางว่าคนที่สั่งวางระเบิดนั้นเป็นกลุ่มที่จ้องล้มรัฐบาล รู้กระทั่งว่าผู้บงการคนหนึ่งมีอักษรย่อ 'ป.ปลา' และอีกคนหนึ่งเป็นโรคพาร์กินสัน มีอักษร 'พ.พาน'
       
       นอกจากนั้นรองฯเหลิมยังออกมาตีปี๊บเขย่าขวัญว่าจะมีการวางระเบิดช่วงปีใหม่นี้ ในลักษณะเดียวกับเหตุระเบิดช่วงปีใหม่ในปี 2550 พร้อมทั้งเข้าไปนั่งประชุมกับตำรวจ สั่งการเสร็จสรรพให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานด้วยความระมัดระวังและเพิ่มความถี่ในการตรวจตรา
       
       “คาดว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในช่วงปีใหม่นี้ ผมจึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตับตาอย่างเข้มงวด โดยเราจะใช้แผนเฝ้าระวังสถานการณ์ช่วงใหม่ เมื่อปี 50 ที่มีระเบิด 10 จุดเป็นต้นแบบ ทั้งลักษณะการวางระเบิด สถานที่เกิดเหตุ และเป้าหมายที่ต้องการ ส่วนเหตุการณ์วางระเบิดที่กองสลากนั้น พบว่าคราวนี้มีกลุ่มคน 4 กลุ่มที่ทำ คือกลุ่มที่เคลื่อนไหวประจำ กลุ่มที่สูญเสียอำนาจ กลุ่มตำรวจที่เคยผูกพันกับพรรคการเมืองบางพรรคแล้วใส่ชุดดำยิงชาวบ้านในเหตุการณ์ชุมนุมที่ราชประสงค์เมื่อเดือน เม.ย.และพฤษภาคม ปี 2553 พอยิง เสร็จก็เปลี่ยนชุดดำใส่ชุดตำรวจ ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มนักการเมือง”
       
       ล่าสุด รองฯเหลิมก็ออกมาวางท่าให้สัมภาษณ์ว่า เขารู้ตัวคนยิง 'เสธ.แดง' พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แดงฮาร์ดคอร์ที่ถูกลอบสังหารในช่วงการชุมนุมที่ราชประสงค์ ว่าเป็นตำรวจยศรองผู้บัญชาการ ซึ่งแฝงตัวเป็นชายชุดดำ และเป็นกลุ่มที่ทำงานภายใต้การสั่งการของนักการเมือง โดยตั้งข้อสังเกตว่าจุดที่ เสธ.แดงถูกยิงเสียชีวิตนั้นเป็นจุดที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด หากไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐจะไม่สมารถเข้าไปได้
       
       เข้าทำนอง “ เหลิมรู้ เหลิมเห็น ถามอะไรตอบได้ ผู้หญิงรู้จัก ผู้ชายรู้จัก ” ศักยภาพเหนือชั้นกว่า 'อับดุล'ตามวิกขายยาที่เด็กๆพากันชื่นชมหลงใหลหลายเท่าตัว
       
       แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีใครตอบได้ว่า รองฯเหลิมรู้ได้อย่างไร ที่สำคัญถ้ารู้ขนาดนี้ทำไมไม่มีการ 'จับกุม' ผู้กระทำผิด

       
       **ชิงผลงาน ผลาญงบ
       
       นอกจากจะเป็น 'เหลิมอับดุล' ที่รู้ไปหมดทุกเรื่องแล้ว เขายังอหังการถึงขั้นเข้าไป 'แย่งซีน' ชิงผลงานจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้มากด้วยบารมีเพราะมีฐานะเป็นถึงพี่ชายของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร 'นายหญิง' แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า โดยรองฯเหลิมอาศัยตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปตั้งโต๊ะจัดแถลงข่าวการจับกุมยาเสพติดล็อตใหญ่ๆ หลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่จริงๆแล้วตัวเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการติดตามจับกุมแต่อย่างใด แต่อาศัยความหน้ามึนเข้าไป 'ชุบผลงาน'ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์แม้จะไม่พอใจแต่ก็ต้องเก็บอาการ เพราะเขามานั่งในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ก็ด้วยฝีมือของรองเหลิมฯ ที่เป็นคนวางแผนเขี่ย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนก่อนให้พ้นทาง เพื่อให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ได้ขึ้นมานั่งในเก้าอี้นี้แทน
       
       ล่าสุด ร.ต.อ.เฉลิมยังโชว์พาวฯออกโรงขึงขังว่าจะเร่งปราบปรามเว็บฯหมิ่นสถาบันให้สิ้นซาก หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งจาก 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' นายกรัฐมนตรี ให้รับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ของรัฐบาลในการควบคุมปราบปรามเว็บไซท์ผิดกฎหมายจาบจ้วงสถาบัน ในฐานะประธานกรรมการที่มีชื่อเรียกยาวเหยียด ว่า “คณะกรรมการอำนวยการกำหนดนโยบายการป้องกันและปราบปรามการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ผิดกฎหมาย หรือไม่เหมาะสม ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” แต่สิ่งแรกที่รองฯเหลิมทำหลังประชุมเสร็จหาใช่การสั่งการให้มีการปิดเว็บไซต์ที่ลงบทความหมิ่นเบื้องสูงหรือดำเนินคดีกับผู้ที่ให้ร้ายใส่ความสถาบันแต่อย่างใด หากแต่เป็นการชงเรื่องเข้า ครม.ขอจัดซื้อเครื่องมือเพื่อบล็อกสัญญาณเว็บไซต์ที่มีลักษณะหมิ่นสถาบัน ในวงเงินถึง 400 ล้านบาท !
       
       ทันทีที่มีข่าวนี้ออกมาก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งจากประชาชนทั่วไปและผู้คนในสังคมออนไลน์ เพราะวิธีที่ 'ง่าย'และ 'ได้ผล' ที่สุดในการแก้ปัญหากรณีจาบจ้วงเบื้องสูงก็คือการสั่งให้บรรดา 'แกนนำเสื้อแดง' ที่มีสัมพันธ์อันแนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกับพรรคเพื่อไทยเลิกปลุกระดมแนวคิดล้มเจ้า ไม่ใช่ปากว่าตาขยิบ แกล้งทำไม่รู้ไม่เห็นปล่อยให้คนเหล่านี้เดินเกมจาบจ้วงได้ตามอำเภอใจ
       
      **กับภารกิจ 'พาทักษิณกลับบ้าน'
       
       ภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งของ ร.ต.อ.เฉลิมก็คือการอาสา 'พาทักษิณกลับบ้าน' ดังนั้นนับแต่เข้ามารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี 'เหลิมฝั่งธน' ก็เดินเครื่องเต็มที่ นับตั้งแต่แอบชงเรื่องเข้า ครม.เพื่อออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ)อภัยโทษ เพื่อช่วยเหลือ นช.ทักษิณ ชินวัตร โดยระบุคุณสมบัติของผู้ที่จะขอพระราชทานอภัยโทษว่าต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และตัดคำแนบท้ายที่เขียนไว้ในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ว่า “ผู้ที่จะยื่นของอภัยโทษต้องไม่ใช่นักโทษที่ต้องคดียาเสพติดและคดีคอร์รัปชั่น” แต่เมื่อข่าวรั่วออกมาทำให้เกิดกระแสคัดค้านอย่างหนักจากหลายภาคส่วนว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและเป็นการกระทำที่ไม่บังควร ครม.ยิ่งลักษณ์จึงรีบพลิกลิ้นดึงเรื่องกลับก่อนที่สถานการณ์จะบานปลาย
       
       เมื่อแผนแรกไม่สำเร็จ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ไม่รอช้าพยายามเดินหน้าผลักดันให้มีการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)นิรโทษกรรม ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งซึ่งจะสามารถช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้พ้นจากความผิด และเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมเคยประกาศไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง แม้จะมีกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวางทั้งจากพรรคฝ่ายค้าน ภาคประชาชนและกลุ่มองค์กรต่างๆ แต่ ร.ต.อ.เฉลิมก็หาได้ใส่ใจ ยังคงยืนยันว่าจะออก พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้ได้ แต่ด้วยลูกไม้ของนักการเมืองเก๋าเกมที่คร่ำหวดในสภามากว่า 20 ปี เขาจึงเล่นแร่แปรธาตุหาทางเลี่ยงบาลีโดยเปลี่ยนไปใช้คำว่า พ.ร.บ.ปรองดอง เพื่อหวังลดกระแสต่อต้าน
       
       ขณะเดียวกัน รองฯเหลิมก็ยังไม่ทิ้งลายในการไล่บี้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างประชาธิปัตย์ โดยงัดเอาคดี '91ศพ' ซึ่งคนเสื้อแดงและนักข่าวต่างชาติถูกฆ่าตายในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ เมื่อปี 2553 ขึ้นมาปัดฝุ่น โดยจี้ให้นครบาลเรียกให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ผอ.ศอฉ.(ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน)มาสอบปากคำ นอกจากนั้นที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิมยังให้สัมภาษณ์ในลักษณะชี้นำว่าจากการเข้ามากำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เพียง 3 เดือน เขาสามารถพิสูจน์ได้ว่า นายฮิโรยูกิ มูราโมโต นักข่าวญี่ปุ่นประจำสำนักข่าวรอยเตอร์ เสียชีวิตจากฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ และเรื่องนี้เป็นคดีสำคัญระดับประเทศเพราะทางสำนักข่าวรอยเตอร์ที่เป็นต้นสังกัด รวมถึงทูตญี่ปุ่นได้เรียกร้องและกดดันให้เร่งดำเนินการหาตัวคนผิด อีกทั้ง ร.ต.อ.เฉลิมยังอ้างว่ามีข้อมูลว่าชายชุดดำที่ยิงกลุ่มผู้ชุมนุม 91 ศพนั้นเป็นตำรวจจากทางภาคอีสาน ซึ่งมีทั้งระดับนายพล และพันตำรวจเอก ที่เติบโตมาจาก จ.บุรีรัมย์ ทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะพุ่งเป้าไปที่ 'คนชื่อพม่า หน้าลาว เว้าเขมร' คนเนรคุณในความหมายของ นช.ทักษิณ ชินวัตร
       
       จัดหนัก จัดเต็ม ขนาดนี้ 'ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง' จึงมีผลงานเข้าตากรรมการ โดยเฉพาะในสายตาของ 'นายใหญ่' ที่ตอนนี้มีฐานะเป็นนักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่น และถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน '3 หนุ่มเนื้อทอง' ของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงในขณะนี้
       
       "ไอ้กี้ร์" หนุ่มเนื้อทอง 2 มาตรฐาน คำว่าผิดไม่อยู่ในสามัญสำนึก!

       ถ้าหากจะหยิบยก แกนนำคนเสื้อแดงขึ้นมาสักคนหนึ่งที่เป็นขวัญใจของสาวก แม่ยกคนเสื้อแดง อันดับต้นๆ คงจะต้องมีชื่อของ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำฮาร์ดคอร์ อย่างไม่ต้องสงสัย
       
       เอาแค่ไม่ต้องอื่นไกล วันที่ไอ้กี้ร์โผล่หัวเข้ามอบตัวต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ หลังจากมีข่าวว่าหลบหนีไปอยู่ประเทศกัมพูชาตั้งแต่หลังเหตุการณ์คนเสื้อแดงเผาเมืองเมื่อเดือน พ.ค.2553 วันนั้นบรรดาสาวกแม่ยกคนเสื้อแดงก็ได้แห่แหนไปเจอหน้าไอ้กี้ร์กันอย่างเนืองแน่นเลยทีเดียว
       
       ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ เมื่อศาลพิเคราะห์แล้วเห็นควรที่จะยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ก็ทำเอาสาวเสื้อแดงรายหนึ่งถึงกับกรีดร้องและเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาจนเจ้าหน้าที่ต้องนำตัวไปปฐมพยาบาล ขณะที่อีกส่วนหนึ่งพากันร่ำไห้เสียใจที่ผู้นำของเขาหมดสิ้นอิสรภาพ ราวกับว่าไอ้กี้ร์เป็นญาติสนิท มิตรสหาย หรือคนในครอบครัวตัวเองติดคุกเองเลยด้วยซ้ำไป ราวกับว่าไอ้กี้ร์สร้างคุณูปการต่อชาติบ้านเมืองมากมายก่ายกองเสียนี่กระไร
       
       และแล้วสุดท้าย ไอ้กี้ร์ก็ต้องเข้านอนในคุกตามระเบียบ
       
       ทั้งนี้ ความเป็นหนุ่มเนื้อทองของนายอริสมันต์เห็นจะหนีไม่พ้นการที่เขาประกาศและดำรงตัวเป็นแกนนำแดงสายฮาร์ดคอร์อย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้กระทั่งในวันที่ยื่นคำร้องขอประกันตัว เขาก็ยังยืนยันอย่างหนักแน่นว่า เขาไม่ได้ทำความผิด และมิได้สำนึกต่อการกระทำผิดของตัวเอง
       
       "หลังมีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ จะขอเข้ามอบตัวและสมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. แต่มีผู้ใหญ่หลายคนบอกให้ชะลอการมอบตัว เพราะไม่ได้รับการยืนยันว่าจะปลอดภัย และเกรงว่าจะเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย จึงเสียสละไม่กลับมา จะรอจนการเลือกตั้งจบลงด้วยดี และได้รัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย แต่ปรากฏว่าช่วงประสานงานกลับมามอบตัวเกิดเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ จึงรอให้สถานการณ์น้ำแห้งลง และทราบข่าวว่ามี ส.ส.หลายพรรคร่วมเป็นกรรมาธิการปรองดองแห่งชาติ เพื่อให้ประเทศชาติเกิดความสามัคคี ตนเห็นเป็นโอกาสอันดี และอยากเห็นบ้านเมืองเกิดความปรองดอง จึงเข้ามอบตัว"
       
       "ตลอดเวลาผมเป็นผู้ถูกกระทำ ยืนยันว่าตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผมเป็นคนรักสงบ มีความยุติธรรม ไม่นิยมความรุนแรง เป็นคนเรียบร้อย เที่ยงตรง จะต่อสู้ในกรอบของกฎหมาย พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ต่อสู้คดีต่อศาลอย่างไม่ผิดเงื่อนไขในทุกคดี" นายอริสมันต์ กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
       
       คำเบิกความต่อศาลของ นายอริสมันต์ เรียกว่าทำเอาละครน้ำเน่าหลังข่าวต้องเรียกพี่ไปเลยทีเดียว เพราะหากประชาชนประเทศนี้ หูไม่หนวก ตาไม่บอดไปหมดประเทศแล้ว ก็ย่อมจะพอจำได้ในสิ่งที่นายอริสมันต์ก่อกรรมทำเข็ญไว้กับประเทศไทยอย่างเหลือคณานับเกินคำบรรยาย ยาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียว
      
       ไม่ว่าจะเป็น 12 มี.ค.2553 ที่เวที จ.อุดรธานี วันนั้น ไอ้กี้ร์ผู้เรียบร้อยและรักสงบ กล่าวว่า "ครั้งนี้จะเป็นการคิดบัญชีรัฐบาลทรราชอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพวกอำมาตย์เฒ่าทั้งหลาย คุณไม่ต้องมาบอกว่าสถานที่สำคัญที่เขาจะไปก่อวินาศกรรม คุณไม่ต้องไปปูดข่าวบอกว่าสถานที่ที่เป็นศาสนสถานของพวกมุสลิม โรงพยาบาลแล้วก็ถนนราชวิถี สะพานข้ามแม่น้ำ โรงพยาบาลศิริราช สนามบิน ทำเนียบ กระทรวงสำคัญๆ ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ ค่ายทหาร บ้านบุคคลสำคัญ และศาลยุติธรรม และองค์กรอิสระ คุณไม่ต้องบอก ถ้าหากว่าคุณใช้ความรุนแรงกับคนเสื้อแดง รับรองว่าไอ้สิ่งที่คุณพูดถึงนี้จะไม่เหลืออยู่ในประเทศไทยอย่างแน่นอน”

       
       29 ม.ค. 2553 เวทีหน้ากองบัญชาการกองทัพบก ถ.ราชดำเนิน "ผมได้เขียนสรุปง่ายๆ ว่า ต่อไปนี้การที่จะสู้กับอำมาตย์ จะสู้กับพวกกองทัพที่มันรับใช้อำมาตย์มาทำการปฏิวัติ เราต้องรวมใจกันเป็นหนึ่ง ด้วยสโลแกน ออลฟอร์วัน รวมใจเป็นหนึ่งล้มอำมาตย์ครับ พี่น้องนัดกันคราวหน้าถ้ารู้ว่าเขาจะปราบปรามไม่ต้องเตรียมอะไรมาก มาด้วยกัน ขวดแก้วคนละใบ มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า บรรจุให้ได้ 75 ซีซี ถึง 1 ลิตร ถ้าเรามา 1 ล้านคนในกรุงเทพมหานคร มีน้ำมัน 1 ล้านลิตร รับรองว่า กรุงเทพ เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน”
       
       "การสู้ของคนเสื้อแดงแบบง่ายๆ อย่างนี้ บอกให้ทหารได้รับได้ทราบ บอกให้ทหารสุนัขรับใช้อำมาตย์ได้รู้ว่า ถ้าคุณทำร้ายคนเสื้อแดง แม้เลือดหยดแต่หยดเดียวนั่นหมายความว่า กรุงเทพฯ จะเป็นทะเลเพลิงทันที ส่วนต่างจังหวัด จตุพร (พรหมพันธุ์)ได้บอกแล้ว ให้รอฟังข่าวว่า พี่น้องที่อยู่ในต่างจังหวัด ไม่ได้มาไม่เป็นไร ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นทันทีรวมตัวกันที่ศาลากลาง ไม่ต้องรอเงื่อนไข จัดการให้ราพณาสูรเหมือนกัน"
       
       แน่นอน หากใครฟังคำพูดและเฝ้าดูพฤติกรรมของ นายอริสมันต์แล้ว คงจะไม่แปลกใจเลยหากศาลจะอนุมัติหมายจับนายอริสมันต์ ความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการภายในสถานการณ์ฉุกเฉินเข้าข่ายความผิด และ พ.ร.บ.ความมั่นคง มาตรา 11 (1) และความผิดข้อหาร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ (รัฐสภา) กักขังหน่วยเหนี่ยว และข่มขู่ โดยบุกรุกรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 53
       
       ต่อมา 6 พ.ค.53 ศาลออกหมายจับ ข้อหาความผิดก่อการร้าย ขู่บังคับรัฐบาล ประทุษร้ายต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ และการกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการ ข้อหาสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง และศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับ ตามที่ดีเอสไอเสนอ
       
       คงจะกล่าวได้ว่าถึงแม้ระยะเวลาผ่านไปปีเศษ แต่เชื่อว่าคนไทยยังจำพฤติกรรมอันรุนแรงและเลวทรามของอริสมันต์ได้ดี ที่เป็นแกนนำมวลชนคนเสื้อแดงบุกเมืองพัทยาล้มการประชุมผู้นำอาเซียน จนสถานที่ใช้ประชุมได้รับความเสียหาย และทำให้ประเทศไทยเสียภาพพจน์ในสายตาประชาคมโลกดำเนินการปราศรัยปลุกระดมมวลชนทั้งในจังหวัดต่างๆ และใน กทม.ให้เผาบ้านเผาเมือง ภาพการแสดงโรยตัวจากชั้นบนของโรงแรมเพื่อหนีตำรวจอย่างทุลักทุเลก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของคนไทย
       
       ขณะเดียวกัน หากจะตอกย้ำถึงความสำนึกผิดชอบชั่วดีที่ไม่เคยจะมีในกมลสันดานของ นายอริสมันต์แล้ว ก็คงต้องหยิบยกคำสัมภาษณ์ ของนายสิงห์ทอง บัวชุม ทนายของไอ้กี้ร์ ที่ให้สัมภาษณ์แบบหน้าไม่อายว่า "ยอมรับว่าพฤติกรรมของอริสมันต์ที่ดูรุนแรงมีส่วนในส่วนที่ถูกมองว่าฮาร์ดคอร์บางเรื่อง เรื่องคลิปมีผลต่อการให้ประกันตัวหรือไม่ ก็มีส่วน เพราะเรื่องคลิปมีส่วนอยู่โดยเฉพาะที่ดีเอสไอส่งไปที่ศาล แต่เป็นคลิปที่ถูกตัดตอน ไม่ใช่คลิปสมบูรณ์ เป็นคลิปที่ปราศรัยบนเวทีต่างๆ แล้วนำมาต่อกัน ผมเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมวันนี้ศาลได้ให้เหตุผลมาแล้วไม่อยากก้าวล่วง เป็นความผิดร้ายแรง การที่อริสมันต์หนีไปนานกว่าจะมามอบตัว เหตุผลหนึ่งคือกลัวหลบหนี"
       
       ฟังแล้วรู้สึกอย่างไร... คงต้องกล่าวว่าการเอาสีข้างถูของนายสิงห์ทอง คงจะลืมไปแล้วว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ไม่ใช่คนเสื้อแดง ย่อมจะทราบดีว่าอะไรคืออะไร คำพูดของทนายไอ้กี้ร์คงจะมีค่าแค่เพียงเอาไว้หลอกคนเสื้อแดงไปวันๆ เท่านั้นเองว่า ที่ต้องถูกดำเนินคดี ต่างๆนานา เพราะไม่ได้รับความยุติธรรม คนเสื้อแดงมันถูกกระทำสองมาตรฐานตลอด
       
      และที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้เลยในเรื่องสองมาตรฐาน ดูเหมือนว่าจะเป็นนายอริสมันต์ที่ต้องกลืนน้ำลายตัวเสียเฮือกใหญ่มากกว่า เพราะหลังจากที่ต้องตีหน้าตาน่าสงสาร เดินคอตกเข้าคุก ต่างจากตอนทำตัวปากกล้า แสดงอาการเถื่อยถ่อยต่อหน้าสาวกเสื้อแดง ชนิดหน้าเป็นมือหลังมือแล้ว นายอริสมันต์ก็ยังได้สวมวิญญาณอำมาตย์ เพราะชีวิตความเป็นอยู่ในคุกก็ยังไม่วายทำตัวราวกับนักโทษที่ได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเหนือคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นอาหารเรือนจำที่จัดไว้ให้ 3 มื้อ นายอริสมันต์ก็กินไม่ได้ แต่สามารถสั่งพิซซ่า แมคโดนัลด์ มารับประทานได้
       
       อีกทั้งตามปกติ เมื่อผู้ต้องขังถูกส่งตัวมาที่เรือนจำแล้ว จะต้องถูกตัดผมใหม่ หรือกล้อนผมเสียก่อน แต่นายอริสมันต์ ก็ผ่านข้อยกเว้นนี้ไป แถมยังมีการจัดนักโทษหุ่นกำยำมาดูแลมารักขาราวกับว่าเป็นบอดี้การ์ดประจำตัว

       
       ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าใดนัก ที่บรรดานักโทษเสื้อแดงจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เพราะคนที่นั่งเป็นใหญ่เป็นโตในเก้าอี้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ก็เป็น พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันตชัย ยี่ห้อคนระบอบทักษิณการันตี แถมหนำซ้ำยังแสดงการเอาอกเอาใจด้วยการจะย้ายผู้ต้องโทษเสื้อแดงไปคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ด้วยซ้ำไป
       
       กล่าวถึงไอ้กี้ร์ ชั่วโมงนี้ ก็คงได้แต่ต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อไว้ในคุกชั่วคราวก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งในวันที่ 19 ธันวาคม เวลา 14.00น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก และในวันนั้น ไอ้กี้ร์จะได้ชูกำปั้นทำหน้าหยิ่งผยองออกจากคุก หรือ ได้แต่ทำหน้าตาน่าสงสารเดินคอตกกลับเข้าคุก ก็คงต้องติดตามกันต่อไป
       
       แต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับประทานหญ้าเป็นอาหารเหมือนกับคนเสื้อแดง คงจะรู้สึกยินดีไม่น้อยกับการที่จะได้เห็นไอ้กี้ร์ เดินคอตกทำหน้าเศร้าเดินเข้าตารางอีกรอบ ซึ่งหากดูพฤติกรรมที่ผ่านมาแล้ว น่าจะเหมาะสมกับสิ่งพ่อหนุ่มเนื้อทองคนนี้ได้ก่อกรรมไว้กับประเทศนี้ด้วยประการทั้งปวง
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #440 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2554, 11:48:38 »

คำชมของชาวต่างชาติ..ถึงนายกไทย

ฝรั่ง: โอ้! นายกรัฐมนตรีประเทศยูนี่ดีมากๆเลยนะเนี่ย

คนไทย: ดียังไง?

ฝรั่ง: ก็ไอเห็นฮีใส่ขาสั้นออกไปเดินลุยน้ำช่วยประชาชนทุกวัน เยี่ยมมากๆ

คนไทย: หือ? ฮี? ผู้ชายเหรอ?

ฝรั่ง: ใช่ๆก็คนที่ตี๋ๆใส่แว่นไง!

คนไทย: เอ่อ...นั่นชื่อสรยุทธ...

ฝรั่ง: แต่รองนายกบ้านยูตัวเตี้ยไปหน่อยนะ

คนไทย: เอิ่ม... นั่นโก๊ะตี๋........

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #441 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2554, 10:32:03 »

วันที่ “กี้ร์”ต้องเดียวดาย !!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
เกาะกระแส
       โดย...ก้อนกรวด
       
       00 ต้องยอมรับว่า “คาดไม่ถึง” หรืออาจจะเรียกว่าผิดคาดก็ได้ สำหรับกรณีที่ศาลไม่ให้ประกันตัว “พี่กี้ร์” อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนีอีก ในคำสั่งของศาลก็ได้ให้เหตุผลว่า นอกจากคดีร้ายแรงและมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตแล้ว ข้ออ้างของจำเลยนั้นฟังไม่ขึ้น จึงยกคำร้อง ทำให้ต้องกลับไป “อมฮอลล์” ในคุกต่อ
       
       00 เมื่ออ่านรายละเอียดในคำสั่งของศาล พอจับประเด็นได้ว่า สาเหตุสำคัญที่ไม่อนุญาตให้ประกันตัวเหมือนกับ “หัวโจก” ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะ “พฤติกรรมแห่งคดี” นั้นแตกต่างกัน และในคำบรรยายของศาล ทำให้เข้าใจทันทีว่าคำพูดที่เคยปลุกระดมว่า “ให้นำขวดแก้วมาคนละขวด ไปหาน้ำมันเอาข้างหน้า ถ้าเรามาหนึ่งล้านคน หนึ่งล้านลิตร กรุงเทพฯ ต้องกลายเป็นทะเลเพลิงแน่นอน” ชัดหรือยังพี่น้อง และนี่ก็ “ไม่ใช่แดงเทียม” แน่นอน เป็นผู้ก่อการร้าย
       
       00 ในคำสั่งของศาลคราวนี้ทำให้เห็นอีกว่า ศาลก็ “มีตา มีหู” รอบตัวเหมือนกัน ไม่ใช่พิจารณาแค่พยานหลักฐานที่ฝ่ายจำเลยนำส่งไปให้ เพราะสิ่งที่เห็นศาลได้พิจารณาอย่างรอบคอบเหมือนกับได้ติดตามข่าวสารมาตลอด ที่สำคัญยัง “รู้ทัน” เสียด้วยซี เป็นอันว่าชัดเจน เรียกว่าจำนนต่อหลักฐาน จนต้องเดินคอตกกลับไป
       
       00 ที่อ้างตัวเองถูกไล่ล่า จนไม่กล้าเข้ามามอบตัว พร้อมอ้างอิงไปถึง “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ที่ถูกยิงเสียชีวิต อ้างว่าถูกคุกคามเหมือนกับ จตุพร พรหมพันธุ์ และพวก ศาลก็ไม่เชื่ออีก เพราะหลังจากนั้นก็ไม่เห็นมีใครตายสักคน อีกทั้งไม่มีพยานมายืนยัน มีเพียงเจ้าตัวกับเมียมายืนยันเท่านั้น ยังไม่มีน้ำหนัก ศาลก็ไม่เชื่ออีก น่าสังเกตก็คือคราวนี้ไม่มีบรรดาหัวโจกมีชื่อ ไม่ว่าจะเป็น ไอ้ตู่ ไอ้เต้น เหวง-ธิดา ก็ไม่เห็นโผล่หน้ามาให้เห็นเลย หรือว่าเป็นพวกเดียวกับ “อำมาตย์” กันไปหมดแล้ว
       
       00 น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ทีมทนายความ” ก็เป็นคนละชุดของพวกหัวโจกก่อนหน้า เพราะใช้บริการของทนายความชื่อ ศุภชัยวุฒิ ชาวสวนกล้วย ไม่ใช่ คารม พลทะกลาง อย่างที่คุ้นชื่อกันก่อนหน้านี้ ฝ่ายที่ไปยื่นประกันตัวก็ไม่ค่อยคุ้น แม้ว่ามีการเพิ่มหลักทรัพย์จาก 1.5 ล้าน เป็น 4 ล้าน และใช้ตำแหน่ง ส.ส.ของเมียตีค่าอีกกว่า 1.3 ล้านบาท ก็ไม่ผ่าน ทั้งที่พนักงานอัยการก็ไม่ได้คัดค้านการประกันตัวเสียด้วย อย่างไรก็ดี เชื่อว่าเรื่องหลักทรัพย์ไม่น่าจะเป็นประเด็น ประเด็นน่าจะอยู่ตรงที่ว่า “พฤติกรรมแห่งคดี” มากกว่า เพราะมันร้ายแรงกว่า ที่ผ่านมาอาการไม่ต่างจาก “คนบ้า” และหากย้อนเหตุการณ์ในอดีตก็ไม่ควรให้อภัยกับคำพูดที่เหยียบย่ำหัวใจคนไทย โดยการข่มขู่จะ “ถล่มศิริราช” รวมไปถึงการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตำรวจชั้นนายพล ที่บังคับให้พวกเขาวางปืนแทบเท้า หลังจากเสียท่าที่โรงแรมเอสซีปาร์ค
       
       00 มองอีกมุมหนึ่ง การกลับเข้าไปนอนคุกเที่ยวนี้ของ อริสมันต์ เหมือนกับคืนความยุติธรรมให้กับเขาให้เท่าเทียมกับคนอื่น หลังจากที่ต้องหนีเอาตัวรอดไปก่อนหน้านี้ อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากรูปการณ์เท่าที่เห็นแล้วยังไม่อาจประเมินได้เลยว่า คราวหน้าจะได้รับการประกันตัวออกมาได้หรือไม่ เพราะเหตุผลที่นำไปอ้างกับศาลก็โม้ไปหมดแล้วเสียด้วย !!
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #442 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2554, 21:52:22 »

ฉายาเด็ดรัฐบาลยิ่งลักษณ์แอ๊บแบ๊วฟันน้ำนม

   
โดย..อสนีบาต

ตลอดหนึ่งปีมีเรื่องราวทางการเมืองเข้ามาเขย่าอารมณ์ความรู้สึกประชาชน บรรดานักการเมืองขึ้นสู่อำนาจส่วนใหญ่ต่างแสดงพฤติการณ์ที่ก่อให้เกิดความตึงเครียด วิตกกังวล น้อยคนนักสร้างความพึงพอใจหรืออาจมีผลงานก็ถูกเบียดพื้นที่ข่าวไม่ค่อยมีคนกล่าวถึง  ว่าไปแล้วกลุ่มบุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลสาธารณะที่สวมหัวโขนเข้ามาเล่นละครให้ประชาชนได้วิพากษ์วิจารณ์

รอบปีจึงมักมีประเพณีหยิกแกมหยอกในหมู่สื่อมวลชนที่ได้สัมผัสการทำงานของตัวละครเหล่านี้ ผ่านการตั้งฉายาแบบขำขำ เช่นเดียวกับในมุมมองของ…อสนีบาต…สดับตรับฟังเพื่อนพ้องสื่อมวลชนและเพื่อนฝูงรวมถึงประชาชนแลกเปลี่ยนความเห็นถึงบุคคลทางการเมืองเด่น- ดัง - ลืม  สะท้อนออกมาเป็นฉายาแสบๆคันๆไว้ดังนี้ 

ยิ่งลักษณ์ : “แอ๊บแบ๊วฟันน้ำนม”

นับตั้งแต่แสงประชาธิปไตยสาดส่องมาที่พรรคเพื่อไทยเปิดทางสู่อำนาจรัฐ  ตัวชูโรงตำแหน่งนายกฯกำหนดไปที่  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี   ท่ามกลางเสียงอื้ออึง ประเทศไทยจะได้สุภาพสตรีเป็นนายกรัฐมนตรี

ภาพของการหาเสียงเลือกตั้งเต็มไปด้วยความคึกคัก เพราะพรรคเพื่อไทยขับเน้นความสวยงามทางใบหน้าและเรือนร่างออกมาเป็นจุดขายมากกว่าโชว์กึ๊นแสดงวิสัยทัศน์ต่อการกำหนดทิศทางประเทศไทย ป้ายหาเสียงหวานแหวผสมลีลาบ๊องแบ๊วต่อหน้าสื่อโดดเด่นกว่าการให้น้ำหนักแข่งขันทางนโยบายแต่ละพรรคเสียสิ้น  การเมืองไทยช่วงเลือกตั้งจึงหนักไปทางเอ็นเตอร์เทน ชาวบ้านร้านตลาดโขมงโฉงเฉงแต่เรื่องความสวย-ความหล่อ ท้าประลอง

ครั้นเมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ หลายคนได้ประจักษ์ชัดต่อวิธีการบริหารประเทศชนิดพูดไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เพราะแต่ละความมุ่งมั่นถ่ายทอดออกมาทำเอาคนในชาติสรวลเสเฮฮา ไม่เพียงแต่อารมณ์ขันยังผสมอาการสะเทือนใจแม้แต่เรยาต้องอาย จากบทบาทลงพื้นที่สัมผัสผู้ยากไร้ ประสบปัญหาภัยพิบัติต้องน้ำตาร่วงทุกเวที

หรือแม้แต่ ลีลาตอบคำถามสะท้อนถึงก้อนเนื้อทางความคิดที่เป็นลักษณะถามช้างตอบม้า  ถามม้าตอบลา   บ่อยครั้งที่ฉากหน้าได้ยินเสียงเพรียกหาความปรองดองแต่ทว่าหลังฉากกลับมีคนในพรรคขมักเขม้นเล่นกลการเมือง หาทางแก้กฎหมาย เอื้อประโยชน์ นิรโทษกรรมให้คนคนเดียว   ทั้งที่คนเป็นนายกฯสวมใส่เสื้อพรรคเพื่อไทย นั่งประชุมในพรรคด้วยแท้ๆ กลับไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย ตอกย้ำผ่านการสัมภาษณ์  “ ดิฉันไม่ทราบ”  “เรื่องนี้ต้องขอศึกษาก่อน”  จนถูกแซวในเวลาต่อมาสงสัยจะเป็นแฟนธุ์พันธุ์แท้พุ่มพวงจึงถนัดแต่ร้องเพลง “หนูไม่รู้”     

แม้กระทั่งการออกงานราชการ ตรวจแถวสวนสนาม ก็สามารถฝึกกายได้รวดเร็วแปลงร่างเป็นโรบ็อท ทำให้แม่ทัพนายกองลงมาถึงพลทหารต่างอมยิ้มเป็นทิวแถวมิพักพูดถึงลีลาพบปะผู้นำต่างประเทศ ต้องได้ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญอย่างพี่ชายปูทางไว้ก่อนไม่งั้นหนูเอาไม่อยู่ เพราะหนูไม่เป็นตัวของตัวเองต้องมีผู้หลักผู้ใหญ่คอยกำกับ

ถ้าลองปล่อยให้บรรเลงเองโดยลำพังก็เห็นฝีมือกันมาแล้ว ยอดเยี่ยมไหมหล่ะพี่ชายจ๊า  อย่างเหตุการณ์ท่องบทออกอากาศวิทยุ โทรทัศน์ ผ่านรายการน้องปูพบประชาชน สงสัยจะเล่นตลกให้ผู้ฟัง จากหญ้าแฝกเป็นหญ้าแพรก จากพฤศจิกายน เป็น พฤศจิกาคม นี่ไม่จุใจยังโชว์คาเฟ่บนโต๊ะครม. จากเรือดำน้ำเป็นเรือดันน้ำ หรือถ้าจะโกอินเตอร์ก็เห็นจะเป็นในวันเปิดแถลงข่าวร่วมกับฮิลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ ที่ทำเนียบฯ  จนกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐยังเกาหัวแกรกๆเพราะแปลคำพูดนายกฯ( inaudible))ไม่ออก!!

เดิมทีผู้คนที่ได้ฟังเกิดอาการตึงเครียด แต่ความผิดพลาดเป็นอาจิณ ทำให้ประเทศนี้ต้องทำใจปรับให้ได้เพื่ออยู่กับความคุ้นชินผู้นำตามระบอบประชาธิปไตย คิดเสียว่านี่คือ มิสโจ๊กเกอร์การเมืองแห่งประเทศไทย

ถ้าเปรียบเหมือนเด็กวัยละอ่อน อายุสัก 3-4  ขวบ ที่ยังไม่เปลี่ยนฟันน้ำนมเป็นฟันแท้ ทางการแพทย์ระบุเด็กวัยนี้จะไม่ประสีประสาต่อความรับผิดชอบชั่วดีมากนัก  ทำอะไรผิดพลาดซุ่มซ่าม ถ้าตามประสาอินเทรนด์จัดอยู่ในประเภทแอ๊บแบ๊วไร้เดียงสา  จึงไม่ต่างอะไรกับนายกฯรายนี้ที่ออกลีลาใสซื่อในยามประเทศเผชิญวิกฤติ   ฉายานี้จึงเหมาะเหม็ง “ แอ๊บแบ๊วฟันน้ำนม “

สุรพงษ์  โตวิจักษ์ชัยกุล :  “ป๊ะป๋ากามิกาเซ่”


ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญต่อการสร้างภาพลักษณ์ เชื่อมกระชับสัมพันธ์ นานาประเทศ  ซึ่งเป็นความโชคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีลูกน้องผู้ภักดีเป็นที่ไว้วางใจอย่าง สุรพงษ์  โตวิจักษ์ชัยกุล เสี่ยใหญ่จากเชียงใหม่  จึงได้รับการสมนาคุณมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ  แต่อาจเป็นความโชคร้ายของคนไทยหรือไม่ต้องมาร่วมพิจารณาเพราะภารกิจระหว่างประเทศตลอด 4 เดือน เน้นหนักไปทางสร้างผลงานตอบแทนบุญคุณอดีตนายกฯ ทั้งการเคลียร์วีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่น  ทั้งคืนพาสปอร์ตเป็นของขวัญคริสมาสต์  ทั้งการจัดแจงบรรดาเจ้าหน้าที่การทูตต้อนรับอำนวยความสะดวกให้ผู้ต้องหาหนีคดีในยามเยือนต่างประเทศ     

แต่ละเรื่องที่สุรพงษ์ดำเนินการเป็นที่จับจ้องตรวจสอบจากองค์กรภาคประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากหมิ่นเหม่เข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่  ฉีกม่านประเพณีระเบียบปฏิบัติของกระทรวงการต่างประเทศ   จนในที่สุดถูกยื่นถอดถอน ดำเนินคดีอาญา แต่เจ้ากระทรวงรายนี้มิได้ไหวหวั่นเดินหน้าสานภารกิจเพื่อพ.ต.ท.ทักษิณต่อไป  ไม่อาจปฏิเสธกับการสร้างผลงานเข้าตานายใหญ่ยิ่งนัก เพราะถ้าเทียบกับบรรดาแกนนำคนเสื้อแดง  ส.ส.ในพรรคออกมาเคลื่อนไหวช่วยเหลือด้านอื่นๆ  ก็ยังไม่รวดเร็วทันใจเท่ากับป๊ะป๋ะสุรพงษ์ ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมยอมดับเครื่องชนพลีชีพเพื่อนายใหญ่  เหมือนเช่นฝูงบินพลีชีพของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2  ทำเอาสูญเสียทั้งตัวเองและฝ่ายตรงข้ามพังกันเป็นแถบ  เวทีโลกต้องยกนิ้วให้ “ ป๊ะป๋ากามิกาเซ่"

เฉลิม อยู่บำรุง :  ประธานหารสอง


จัดเป็นนักการเมืองเขี้ยวลากดิน ไม่ใช่ใครที่ไหน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง  รองนายกรัฐมนตรี ความสามารถในการวางหมากเกมการเมือง พรั่งพรูไอเดียความคิด ถือเป็นลักษณะพิเศษที่ติดตัวมาชนิดที่ห้ามใครลอกเลียนแบบ   หรือการผลิตสำนวนโวหารเสียดสีคู่แข่งทางการเมืองต้องยกให้เขา บ่อยครั้งจึงได้รับความไว้วางใจจากนายกฯยิ่งลักษณ์ ทำหน้าที่ตอบกระทู้แทน หรือถ้าเจอแรงเสียดสีจากฝ่ายค้าน ก็จะเป็นหน้าที่ของ นักการเมืองอาวุโสรายนี้ ปะฉะดะ

ถึงกระนั้นด้วยพฤติกรรมและคำพูด มักจะทำให้ผู้คนต้องมาพินิจพิจารณาถึงเจตนาที่แท้จริง มุ่งหมายอะไรกันแน่   อย่างกรณีข่าวที่เด่นชัด เมื่อครั้งนั่งทำหน้าที่เป็นประธานประชุมครม.แทนนายกฯที่ติดราชการต่างจังหวัด  จัดประชุมครม.ลับผลักดันร่างพระราชกฤษฏีขอพระราชทานอภัยโทษท่ามกลางเสียงวิจารณ์มีการแก้ไขสาระกฎหมายเอื้อให้พ.ต.ท.ทักษิณ  ครั้งแรกก็อ้างความลับไม่ได้แก้ไขสาระ  แต่ต่อมาไปยอมรับกลางสภา รัฐบาลไม่จำเป็นต้องนำเสนอสาระกฎหมายเหมือนรัฐบาลที่ผ่านมา  แต่เมื่อถูกตรวจสอบหนักจากกลุ่มนักวิชาการ ด้านกฎหมาย กฤษฏีกาเห็นว่า ไม่อาจทำได้เพราะจะทำลายระบบนิติรัฐ   ความพยายามออกพรฎ.พระราชทานอภัยโทษให้พ.ต.ท.ทักษิณต้องถอยร่น 

ล่าสุดกับจุดยืนไม่เห็นด้วยต่อการแก้กฎหมายประมวลความอาญามาตรา 112 กรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำเอาแกนนำคนเสื้อแดงตกตะลึง เพราะเพื่อไทยและเสื้อแดงเป็นเนื้อเดียวกัน แต่เหตุใด ร.ต.อ.เฉลิมถึงออกมาแสดงท่าทีเช่นนี้ หรือเพราะร.ต.อ.เฉลิมรับบทเป็นประธานกรรมการปราบเว็ปหมิ่นตามที่ไปยืนยันกับเหล่าทัพจะจัดการให้สิ้นซาก จึงต้องรักษาภาพเอาจริงเอาจัง นี่แหละหนอกรรมของคนมาเป็นประธาน

ล่าสุดประเด็นร้อนแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยแรงผลักดันส.ส.กลุ่มเสื้อแดงต้องการเห็นผลโดยเร็ว แต่ร.ต.อ.เฉลิมกลับมองว่ารอจังหวะที่เหมาะสมแถมเสนอว่าควรประชาพิจารณ์ก่อน ขัดอารมณ์ความรู้สึกคนเสื้อแดงแต่อีกด้านมองว่านี่เป็นหมากเกมสับขาหลอกสร้างข่าวกลบเรื่องบางเรื่องที่รัฐบาลกำลังคิดการณ์ใหญ่อยู่ก็ได้   ทุกลีลาคำพูดจับทางไม่ถูกเดินตามไม่ทัน สมแล้วฉายา” ประธานหารสอง”

ประชา พรหมนอก :   “ผู้ใหญ่บ้าน”

เงียบ พูดน้อย ต่อยหนัก ยกให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เงียบๆอย่างนี้แหละ แต่ภารกิจน่าดูชม ตั้งแต่คอยประสานเคลียร์ข้อข้องใจทางคดีให้กลุ่มคนเสื้อแดงได้รับการประกันตัว  จัดวางข้าราชการกระทรวงให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการเพื่อหวังผลสูงต่อการอำนวยความสะดวกให้กับผู้มีบุญคุณต่างแดน  จะด้วยคำสั่งโยกย้ายอธิบดีคุก  ปรับปรุงคุกวีไอพีต้อนรับนักโทษคดีการเมือง  แต่งตั้งนักวิชาการศึกษาข้อกฎหมายล่าชื่ออภัยโทษ 

แม้แต่มหาอุทกภัยท่วมเมือง ที่ความจริงกระทรวงมหาดไทยต้องรับผิดชอบโดยตรง แต่นายกฯจับพลัดจับผลูท่าไหนมอบความไว้วางใจให้พล.ต.อ.ประชามานั่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.)  ว่ากันว่าเพราะบุคคลิกความเป็นผู้ใหญ่ใจดี เป็นอดีตผบ.ตร. มีบริวารในสำนักงานเก่าเยอะ   แต่ผู้ใหญ่ใจดีก็ต้องรับเละปัญหาสารพันไม่ว่าจะเป็นข้อครหาทุจริต เอื้อประโยชน์ให้นักการเมืองในพรรคเข้ามาแทรกแซงการแจกจ่ายถุงยังชีพ ม็อบรื้อบิ๊กแบ็ค บิ๊กประชาก็ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ จนกระทั่งถูกประเดิมอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐบาลนี้  ด้วยบุคคลิกท่าทีพูดน้อยแบบบ้านๆ  สมานฉันท์นะคร้าบ  ลูกบ้านต้องเกรงใจ  จึงไม่ต่างกับผู้ใหญ่บ้านในถิ่นไกลปืนเที่ยง  สมควรได้ฉายา  “ ผู้ใหญ่บ้าน”


พรศักดิ์  : นินจานิรนาม

บรรดารัฐมนตรี 35 คน หากเอ่ยชื่อ   พรศักดิ์  เจริญประเสริฐ  จะมีประชาชนตอบถูกสักกี่คนว่าบุคคลรายนี้ดำรงตำแหน่งใด  เอ้า! จดจำกันให้ดีๆหรือไม่ก็เขียนแปะข้างฝา  เขาดำรงตำแหน่งรมช.เกษตรและสหกรณ์  เบื้องหลังความสำเร็จที่ทำให้ทุกคนลืมรมต.รายนี้ เพราะความสามารถส่วนบุคคลเวลาเข้ากระทรวงจะใช้วิธีผลุบโผล่เหมือนนินจา หายวับเคลื่อนที่เร็ว ขนาดข้าราชการในกระทรวงยังถามไถ่ รัฐมนตรีท่านนี้หน้าตาเป็นอย่างไร

ทุกครั้งของการทำโพลล์มีใครบ้างจัดอยู่ในกลุ่มรัฐมนตรีโลกลืม  พรศักดิ์ติดกลุ่มเสมอ ขนาดข่าวโพลล์จบไปแล้วซึ่งน่าจะเป็นผลดีที่ทำให้คนรู้จักมากขึ้น  แต่ก็ไม่มีใครจดจำเขาอีก  ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาใช้เวลาส่วนใหญ่กับการอยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน ส่วนงานในกระทรวงเฉลี่ยเข้ามาสัก1-2 วัน

ครั้งหนึ่ง เมื่อช่วงน้ำท่วม พรศักดิ์ยอมรับ เขาได้รับมอบหมายให้ลงพื้นที่ดูแลสถานการณ์น้ำท่วมที่ศรีษะเกษ  ขณะที่ธีระ วงศ์สมุทร  รมว.เกษตรได้ดูแลพื้นที่ชัยนาท  ปรากฎว่า ศรีษะเกษน้ำไม่ท่วม  ทำให้เขาไม่ดัง แตกต่างกับคนอื่นที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมจึงมีชื่อโด่งดัง  ถึงกระนั้นเจ้าตัวบอกถ้าศรีษะเกษน้ำท่วม ป่านนี้เขาคงเป็นที่รู้จักของคนในกรุงเทพฯแน่ๆ    นี่แหละคือเหตุผลทำไมถึงได้ฉายา “นินจานิรนาม”

ฉายารัฐบาล :  แม้วยังชีพ


รัฐบาลชุดนี้พยายามเดินนโยบายตามที่หาเสียงเอาไว้  ภายใต้สโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ “ ทั้งแจกแท็บเล็ตเด็กประถมศึกษา  ผลักดันโครงการถมทะเล  หรือการประสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อกรุยทางให้น้องสาวผู้เป็นนายกฯได้ไปสร้างความสง่าผ่าเผยบนเวทีต่างประเทศ หรือแม้แต่การจัดตัวครม. วางแต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กข้าราชการ  ล้วนแต่ต้องพึ่งบริการพ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาเป็นตัวช่วยกระตุ้นทุกครั้งไป      ขณะที่พรรคเพื่อไทยยืนหยัดอยู่ได้ นอกจากอ้าง 15 ล้านเสียงค้ำยัน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธจะอยู่หรือจะไปในทิศทางไหน ต้องได้รับสนับสนุนจากทุนนายใหญ่หล่องลี้ยง

พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเปรียบเสมือนถุงยังชีพที่รัฐบาลนำมาใช้อย่างสิ้นเปลือง  แม้รู้ว่าจะไม่สามารถปัดเป่าดับทุกข์ปัญหาประชาชนได้  แต่มาเป็นตัวช่วยให้รัฐบาลดำเนินกิจการต่างๆตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ถึงกระนั้นถุงยังชีพไม่มีวันอยู่ได้นานบริโภคแล้วก็หมดไป หรือ ไม่บริโภคก็เป็นข้าวของหมดอายุ แจกใครก็ไม่รับแถมโดนด่าอีกต่างหาก  เช่นเดียวกับการคิดค้นหาวิธีถนอมถุงยังชีพทางการเมือง จะออกกฎหมาย หาช่องทางช่วยเหลือ แต่เจอมวลประชาชนมหาศาลต่อต้านก็เป็นถุงเน่าไร้ค่าในที่สุด     สภาพของรัฐบาลชุดนี้อยู่ได้เพราะทักษิณแต่ก็อาจพังได้เพราะทักษิณเหมือนกับถุงยังชีพ  จึงได้รับฉายา “ แม้วยังชีพ”  นั่นเอง

วาทะแห่งปี :“ดิฉันจะไม่ทำเพื่อกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน

มากมายเรียงร้อยไม่หมด สำหรับวาทะนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ที่แสดงศักยภาพทางความคิดผ่านทางหลอดเสียงออกมาเป็นประโยค แต่ที่แน่ๆ สารพัดถ้อยคำเมื่อแปลความออกมาทำเอาประชาชนมึนงงเสมอ

ตัวอย่าง เคยลั่นวาจายืนยันอุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศ”เอาอยู่แน่นอน”  แต่ก็เอาไม่อยู่จนได้  หรือจะเป็นเรื่องราวที่นำไปสู่ประเด็นสร้างความขัดแย้งทางการเมืองตอบเพียงว่า” ต้องศึกษารายละเอียดก่อน” โดยหารู้ว่าไม่ว่าขบวนการคนรอบข้างเดินหน้าหลายเรื่องก่อเชื้อความร้อนแรง แต่มาถึงป่านนี้จากปี 54- 55 นายกฯยังคงตอบขอศึกษาต่อไป

แต่วาทะใดเล่าจะกินใจ  มีความศักดิ์สิทธิถึงปัจจุบัน  ก็เห็นจะเป็นคำแถลงการณ์ของนายกฯยิ่งลักษณ์ในโอกาสรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28  เมื่อวันที่ 8 ส.ค.54 มีใจความสำคัญว่า "จะนำความรู้ความสามารถ และสติ  ปัญญา ทุ่มเททำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และตั้งใจอย่างเต็มที่ เพื่อนำพาประเทศของเรา ไปสู่ความสงบสุข ความสามัคคีปรองดอง มีเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะเข้ามาทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน  ....ดิฉันจะมุ่งมั่น สร้างสุข สลายทุกข์ ให้แก่ประชาชนอย่างสุดกำลังความสามารถ ดิฉันจะไม่ทำเพื่อกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน”

สิ่งที่กระทำมาตั้งแต่เป็นนายกฯ จนถึงปัจจุบัน ไม่ทำเพื่อกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่ทำเพื่อคนไทยทุกคน กลับตรงข้ามเสียสิ้น แทบจะไม่มีผลงานใดยืนยันกับสิ่งที่พูดนี้ เพราะ 4 เดือนบริหารชาติ  ล้วนให้น้ำหนักมุ่งแก้ไขสิ่งผิดเป็นสิ่งถูก ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชาย  หรือจะเป็นการไฟเขียวแต่งตั้งนักเคลื่อนไหวปลุกระดมผู้ต้องคดีอาญาแผ่นดิน  ได้ขึ้นเป็นใหญ่ในตำแหน่ง ที่ปรึกษา เลขานุการรมต.

เปิดทางให้วีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่น  คืนพาสปอร์ต นำไปสู่การหมิ่นเหม่ขัดกฎหมาย แหกระเบียบปฏิบัติกระทรวงการต่างประเทศ  และยังจะหลับตาไม่รับรู้ถึงความพยายามแก้ไขกฎหมายนิรโทษกรรม แก้ไขรัฐธรรมนูญ วางสเป็ค สสร.ตามข้อเสนอแนะของคนเสื้อแดงล่วงหน้า ด้วยการให้กำหนดคุณสมบัติสสร.ห้ามมาจากคนที่รับใช้เผด็จการ  จำกัดสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย  อีกทั้งเตรียมไล่รื้อที่มาองค์กรอิสระ จ้องลบมาตรา 309 ในรัฐธรรมนูญปี 50 เพื่อลบล้างผลพวงการกระทำของคณะรัฐประหาร จึงไม่ได้แสดงเห็นว่าเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ส่วนรวมแต่อำนวยประโยชน์เพื่อพวกพ้องนักการเมืองเป็นหลัก ส่วนประโยชน์ส่วนรวมหยิบยกแค่กรณีประชาชนได้รับผลกระทบน้ำท่วมโยนเงินชดเชย ครัวเรือนละ 5,000 บาทแล้วก็จากไป หาได้แข็งขันใช้บทเรียนภัยพิบัติครั้งใหญ่ศึกษาวางยุทธศาสตร์เพื่อปกป้องประเทศชาติ ดูแลประชาชนโดยเร็วแต่อย่างใด ตอกย้ำให้เห็นว่า การทำเพื่อประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมักรวดเร็วทันใจกว่าทำเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของประเทศ

คำกล่าว “ไม่ทำเพื่อกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน”  คือพันธะสัญญาสำคัญ  ที่ให้ไว้ต่อสาธารณชนและต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียด้วย  ยิ่งบอกไว้ด้วยว่า”จะทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต”  นายกฯยิ่งลักษณ์ จดจำสคริ๊ปทั้งหมดได้หรือไม่ หากจำไม่ได้จริงๆก็แสดงถึงความไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง

 
 

 

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #443 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 10:02:48 »

“เจ้าแม่ทำเนียบ”ปรี๊ดแตก!! วอล์กเอาท์ตั้งฉายารัฐบาล
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
      
สะเก็ดไฟ
       
       เป็นอีกหนึ่งสีสันในช่วงส่งท้ายปลายปี สำหรับการตั้งสมญานามหรือฉายาให้แก่นักการเมืองของกระจิบกระจอกข่าวสายการเมือง เพื่อสะท้อนการทำงานของผู้แทนประชาชน ที่ผ่านการคลุกคลีตีโมงดวลฝีปากผ่านไมค์ผ่านกล้องกันมาตลอดปี
       
       และก็เป็นธรรมดาเมื่อเปิดโผฉายาประจำปีออกมา บางคนก็ว่า “แหลมคม” เจ็บจิ๊ดไปถึงขั้วหัวใจ คนโดน บ้างก็ว่าไร้ดีกรี “ฮาร์ดคอร์” ยังไม่มันส์ในอารมณ์ ซึ่งจะถูกใจหรือขัดใจผู้เสพสื่อบ้างก็เป็นเรื่องของนานาจิตตัง แต่อย่างน้อยคนถูกตั้งให้มีฉายาก็แฮปปี้ เพราะยังไม่ถูกหลงลืมตกกระแส
       
       หันมาดูเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไปที่มากันบ้าง เป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อถึงวาระนี้เมื่อไร นักข่าวแต่ละสำนักก็จะเตรียมงัดของปล่อยอาวุธดีเบตกันแบบไม่ยั้งตามประสา
       
       เริ่มที่โดย “สื่อสายสภาฯ” ที่ปีนี้ “ปล่อยของ” ออกมาก่อนกับฉายา “สภาฯกระดองปูแดง” ที่ชี้ให้เห็นสภาพ ส.ส.เสียงข้างมากของพรรคเพื่อไทยที่ตะบี้ตะบันพิทักษ์ “น้องสาวนายใหญ่” กันแบบยิ่งกว่าไข่ในหินเสียอีก แถมหลายคนได้ดิบได้ดีมีตำแหน่ง เงินเดือนเรือนแสนก็เพราะสวม “เสื้อแดง” ปลุกระดมชาวบ้านกันมาก่อน
       
       ฉายานี้จึงผ่านไปด้วยมติเอกฉันท์ พร้อมกับยัดเยียดตำแหน่ง “ดาวดับ” ให้แก่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี อีกตำแหน่งในฐานะไม่เห็นคุณค่างานในสภาฯ
       
       ถัดมากับ “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ที่โดนลดชั้นจาก “ขุนค้อน” ผู้เด็ดขาดกลายมาเป็น “ค้อนปลอมตราดูไบ” หรือแม้แต่จิกกันเจ็บๆอย่าง “สังคโลก” ที่มอบให้แก่ ส.ว.ผู้สูงวัยทั้งหลาย เปรียบเป็นของสูงค่า แต่ก็เป็นแค่เครื่องประดับตั้งโชว์ สอดรับกับ “นายพลถนัดชิ่ง” - “ธีรเดช มีเพียร” ประธานวุฒิสภา ที่สอบตกในการทำหน้าที่หลังรับตำแหน่งมาหลายเดือนดีดัก แต่ทำได้เพียงโบ้ยซ้ายทีขวาที พร้องหัวเราะแหะๆเอาตัวรอดไปวันๆ
       
       ที่ว่าไปส่วนใหญ่คอนเซปต์เป๊ะ ความเห็นตรงกันแทบทุกคน
       
       แต่ที่ทำให้บรรยากาศในวันที่ระดมสมองเสนอรายชื่อรอบแรกระอุขึ้นมา ก็เมื่อนักข่าวหนุ่มจากค่ายบางนา โยนฉายา “หล่อดีเลย์”
 สำหรับ “หนุ่มมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ที่ประชุมร่วมพิจารณาแบบทะลึ่งพรวด
       
       ทำเอา “บุษยา อุ้ยเจริญ” หรือ “พี่อ้อ ช่อง 9” ของน้องๆนักข่าว ถึงกับชูมือค้านหัวชนฝา ในฐานะทำข่าวติดตาม “หนุ่มมาร์ค” มานมนาม โดยเฉพาะช่วงเป็นผู้นำประเทศที่ตะลอนๆลุยงานตั้งแต่เช้าตรู่ จนดึกดื่นค่ำคืน ไม่ได้เพิ่งมาตื่นทำงาน “ดีเลย์” ตามที่น้องนักข่าวตั้งข้อสังเกต
       
       ทำเอาอุณหภูมิในห้องนักข่าวสภาฯวันนั้นร้อนฉ่าขึ้นมา จนนักข่าวหนุ่มผู้เสนอเสียงอ่อยเกือบถอนชื่อออก แต่ดีที่มีคนทัดทานไว้ เพราะเห็นว่าคมคายสื่อความหมายถึงอดีตนายกฯรูปหล่อได้หมดจด พอวันรุ่งขึ้นที่มีการโหวตตัดสินดีกรีความแรงของ “พี่อ้อ” ก็ลดลง
       
       และยอมรับโดยดุษฎีกับเสียงโหวตที่ให้กับ “หล่อดีเลย์” อย่างล้นหลาม

       
       ข้ามฟากมาดูกันที่ “สื่อสายทำเนียบฯ” ที่ปีนี้ปล่อยหมัดเด็ดแบบไม่ต้องตีความกับฉายารัฐบาล “ทักษิณส่วนหน้า” ที่เปรียบเป็นกองทัพที่บุกตะลุยแทน “นายใหญ่” ที่จำต้องปักหลักบัญชาการอยู่นอกประเทศ จนรัฐมนตรีต้องผละงานแห่แหนไปรายงานการทำงานถึงต่างแดน แถมบางครั้งต้องให้ “พ่อแม้ว” ออกตัวเป็น “ทัพหน้า” เจรจาความเมืองก่อนที่จะตามไป “เก็บงาน” อย่างเป็นทางการ
       
      ส่วนที่ทำเอากองเชียร์ผิดหวังเล็กน้อยกับสมญาของ “เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ที่แซวความ “แสนรู้” ไปทุกเรื่องยกให้เป็นแค่ “กุมารทองคะนองศึก” เรียกว่าออกหมัดแย็บเบาๆ จน “ทั่นเฉลิม” คงรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย มุมนี้กองเชียร์มองว่าบทบาทของ “เฉลิม” ในช่วงโค้งแรกของรัฐบาลนี้ ตีความออกมาได้หลายแบบ แต่ส่วนใหญ่ออกแนวไม่ผ่านเซ็นเซอร์ซะมากกว่า
       
       ที่คลุมเครือเหมือนชมหรือด่าในคำเดียวคือ “นายกฯนกแก้ว” ที่มอบให้แก่นายกฯหญิงคนแรกของประวัติศาสตร์ชาติไทย ตีความได้ถึงความเป็นคนรักสวยรักงาม แต่ติดตรงพูดตามสคริปต์ ล้อคำถามสื่อแบบถามมาตอบไป ไม่ต่างจากนกแก้วที่เลี้ยงกันอยู่ในบ้าน
       
       ซึ่งเจ้าตัวก็ได้แต่ “อมยิ้ม” รับฉายาแต่ไม่พูดอะไร จนงานนี้สื่อทำเนียบไม่รู้ว่าโกรธหรือเปล่า เพราะ “ยิ่งลักษณ์” ไม่แสดงอารมณ์ร่วมออกมาเหมือนเคย
       
       อย่างที่บอกไปแล้วว่า ความน่าสนใจของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ชาวบ้านคนอ่านข่าวจะถูกใจไหม หรือนักการเมืองจะโกรธจะเคืองกันหรือเปล่า แต่ความเร้าใจกลับอยู่ที่บรรยากาศการเสนอชื่อและการห้ำหั่นกันเองของ “นักข่าว” ที่ต่างก็มีจุดยืนมีความรู้สึกรักใคร่ชอบพอผูกพันธ์กับ “แหล่งข่าว”
       
       เม้าส์กันแซ่ดว่ากว่าจะเคาะออกมาเป็นฉายา “ทักษิณส่วนหน้า” ให้กับ “ครม.ปู” ผ่านการกลั่นกรองปิดห้องถกเถียงตกผลึกกันมาไม่ต่ำกว่า 4-5 หนกันเลยทีเดียว จนมาถึงวันโหวตเหลือแคนดิเดตฉายารัฐบาลอีกเพียบ ทั้ง “บิ๊กแบ็ค - สตันท์มือสอง - ครม.วิดีโอลิ้งค์ - ครม.คนรักแม้ว - ศปภ.ศูนย์สร้างความปั่นป่วนทั่วพิภพ”
       
       ท้ายที่สุด “ทักษิณส่วนหน้า” ก็ยังมาแรงเป็น "ตัวเต็ง" เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศลงคะแนนครั้งสุดท้าย จึงต้องมีการพรีเซ็นต์อธิบายความกันยกสุดท้ายก่อนโหวต จังหวะนี้ “เจ๊ยุ-ยุวดี ธัญญสิริ” เจ้าแม่ทำเนียบฯ คัดค้านหัวชนฝาว่า ผู้สนับสนุนคำๆนี้อคติคิดไปเอง เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่า พฤติกรรมของ “ทักษิณ ชินวัตร” บงการอยู่เบื้องหลังรัฐบาลจริงเท็จแค่ไหน โดยเฉพาะที่ร่ำลือกันว่าอดีตนายกฯทักษิณเดินทางเป็น “หน่วยล่วงหน้า” ไปตามประเทศต่างๆเพื่อ “กรุยทาง” ก่อนที่ “ยิ่งลักษณ์” น้องของตัวเองจะไปเยือนในฐานะนายกฯ ทั้งประเทศจีน กัมพูชา หรือล่าสุดอย่างประเทศพม่า ที่มี “ซูเปอร์ดีล” หวังให้นายกฯไทยโหนกระแสประชาธิปไตย โดยเข้า “อองซานซูจี” ผู้นำฝ่ายค้านและนักต่อสู้ด้านประชาธิปไตยชื่อกระฉ่อนโลกของประเทศพม่า
       
      ฟังมาถึงช่วงนี้นักข่าวน้อยใหญ่ที่ติดตามการทำงานของรัฐบาลมาโดยตลอดถึงกลับส่ายหัวด้วยความฉงนว่า เจ๊ไปอยู่ที่ไหนมา ถึงหลับตาข้างเดียวมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งที่ครองความ “อาวุโสสูงสุด” ในรังนกกระจอกมาอย่างช้านาน
       
       จนทำให้นักข่าวสาวผู้หนึ่งทนไม่ได้ ต้องขออนุญาต “ปีนเกลียว” ชี้แนะผู้เฒ่า โดยยกเอาคำให้สัมภาษณ์ของอดีตนายกฯผู้หลบหนีคดีกับสื่อต่างชาติ ที่ยอมรับเองว่าเดินทางไปไหนมาไหนก่อน “ทัพหลัง” ของนายกฯยิ่งลักษณ์จะไปถึงแทบทุกที่
       
       เมื่อ “จนแต้ม” หมดทางสู้ “เจ๊ยุ” ก็ออกอาการปรี๊ดแตก ก่อนหน้าเบ๊ไม่ยอมรับผลุนผลัน “วอล์กเอาท์” ออกจาก “รังนกกระจอก” ไปกลางคัน ทำเอาสื่อในทำเนียบเกือบ 50 ชีวิตในวันนั้นมองกันเลิ่กลั่ก และรีบไปล็อกประตูปิดตายกลัว “รุ่นใหญ่” จะเปลี่ยนใจย้อนกลับมาร่วมวงแทบไม่ทัน
       
       จากนั้นบรรยากาศก็ราบรื่นด้วยความร่วมมือของสื่อทุกสำนัก จนคลอดออกมาเป็น “ฉายารัฐบาล” ในที่สุด
       
       กลายเป็นอีกบทพิสูจน์ว่า “เก๋า” ด้วยประสบการณ์ เด็กเคารพเพราะฝีมือ หรือว่าเป็นแค่พวก “แก่กินข้าว - เฒ่าอยู่นาน”

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #444 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 10:04:48 »

"ปู" ส่งซิก คนเพื่อแม้ว อยากเป็นรมต. ต้องส่งเสียงดังๆ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
"ยิ่งลักษณ์" ส่งสัญญาน ส.ส.อกหักจากเก้าอีกรมต.ครั้งที่แล้ว อยากเป็นรมต.ต้องส่งเสียงดังๆ ขณะที่ส.ส.เสื้อแดง หนุน"จตุพร" นั่งมท.1 แทน "ยงยุทธ" หลังส่ง"เจ๋งดอกจิก-นายอารีย์" ไปชิมลางแล้วก่อนหน้า
       
      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แหล่งข่าวระดับสูงพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกรณีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวอวยพรปีใหม่กับส.ส.และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ว่า หากส.ส.คิดอะไรให้สมปรารถนา และถ้าคิดในใจดังๆ ก็จะได้สมปรารถนาแน่นอน นั้น นายกรัฐมนตรีจะสื่อถึงรัฐมนตรีบางคน และส.ส.บางกลุ่ม ที่คิดถึงเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี โดยที่ส.ส.ต้องการจะผลักดันคนในกลุ่มของตนเองขึ้นเป็นรัฐมนตรี หลังจากที่พลาดจากเก้าอีกรัฐมนตรีเมื่อครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังไม่ได้เก้าอี้รัฐมนตรีเลย และมีความคาดหวังว่าจะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในครั้งนี้ โดยคาดหวังว่าจะเข้ามาในส่วนของเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นเก้าอี้ที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นั่งควบอยู่ขณะนี้
       
       ทั้งนี้มีการพูดคุยกันในกลุ่มส.ส.เสื้อแดงว่า มีการวางตัวนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแทน ในโควต้าของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งก่อนหน้านี้มีการนำกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปทำงานหลายตำแหน่งในกระทรวงมหาดไทยไว้แล้ว อาทิ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก และนายอารีย์ ไกรนรา อย่างไรก็ตามถ้านายจตุพร ไม่ได้เข้ามารับตำแหน่งแทนนั้น ก็จะต้องให้นายยงยุทธ นั่งตำแหน่งนี้ต่อไป เพราะขณะนี้กลุ่มคนเสื้อแดงคิดว่านายยงยุทธ เป็นสิงห์แก่ อายุมากแล้ว ไม่สามารถทำงานได้แล้ว อีกทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงก็ไว้ใจและเคารพนายยงยุทธ อยู่ด้วย
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #445 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 10:36:30 »

ฉายารัฐบาลย้ำตัวตนห่วยแตกรับใช้ผลประโยชน์ทักษิณ !!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      ผ่าประเด็นร้อน
       
       อาจเป็นเพราะความเกรงใจ หรือมีพวกสื่อเลีย “ระบอบทักษิณ” ปะปนอยู่ไม่น้อยทำให้ต้องลดโทนการให้ฉายาประจำปี ทั้งรัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างๆออกมาแบบไม่ “จัดหนัก” ตามที่คอการเมืองประเภทรู้ทันต้องการนัก
       
       อย่างไรก็ดีถ้าพิจารณาจากความหมาย แม้ว่าจะพยายามจะใช้คำที่เบาที่สุดแล้วก็ตาม แต่ก็สะท้อนภาพออกมาได้อย่างชัดเจนในตัวเอง โดยที่ไม่ต้องมีคำอธิบายความหมายเพิ่มเติมมากนัก
       

       เพราะหากย้อนกลับไปพิจารณาฉายาจากผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาก่อนหน้านั้นก็ตีแสกหน้า ประธานรัฐสภาคือ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ กับฉายา “ค้อนปลอมตราดูไบ” มันก็ออกมาตรงๆว่าที่แท้ “นายคนนี้มันของปลอม” เหมือนกับสัญลักษณ์ “ขุนค้อน” ที่เคยได้รับก่อนหน้านี้นั่นแหละ เพียงแค่ใช้กลยุทธ์การตลาดเพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเอง แต่ในความจริงก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองต้องการ
       
       จะว่าไปแล้วใครก็ตามที่ติดตามการเมืองมาตั้งแต่ต้นก็จะทราบดีว่าเป็น “ของปลอม” มาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่คราวนี้เมื่อมีการตั้งฉายาพร้อมคำอธิบายให้เห็นภาพโดยพิจารณาจากผลงานการทำหน้าที่มาตั้งแต่ต้นว่าไม่ได้ทำหน้าที่สมกับเป็นประธานรัฐสภา ต้องเป็นกลางอย่างเคร่งครัด ต้องเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติหนึ่งในสามอำนาจหลักนอกเหนือจาก ฝ่ายบริหาร และตุลาการ แต่กลายเป็นว่าทำหน้าที่รับใช้พรรคการเมืองที่ตนเองสังกัดอย่างน่าเกลียด รวมไปถึงยอมทำตามคำสั่งของคนที่ทำผิดกฎหมาย อย่าง ทักษิณ ชินวัตร เพื่อแลกกับตำแหน่งและการได้ยกระดับตัวเองขึ้นมา
       
       นักข่าวประจำสภายังได้ให้ฉายา นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะสมาชิกรัฐสภาว่าเป็น “ดาวดับ” มีคำอธิบายทำนองว่าทำงานไม่สมราคาคุยก่อนหน้านี้เมื่อครั้งชนะเลือกตั้งเข้ามาจนได้เป็นผู้นำรัฐบาลในฐานะ “ดาวเด่น” แต่เวลาผ่านไปทุกอย่างกลับตาลปัตร ไม่ให้ความสำคัญกับงานในสภา เลี่ยงที่จะมาตอบกระทู้ มาชี้แจงด้วยตัวเอง แต่มักมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีคนอื่นมาชี้แจงแทนจนพร่ำเพรื่อ ซึ่งในความเป็นจริงเป็นเพราะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเดี๋ยวถามช้างตอบม้าเลยเบี้ยวเสียดื้อๆจะดีกว่า
       
       มาที่ฉายาของ “นักข่าวสายทำเนียบรัฐบาล” กันบ้างโดยรวมถือว่าเจ็บคันใช้ได้ เริ่มที่ฉายารัฐบาลชุดปัจจุบันว่า “ทักษิณส่วนหน้า” ที่อธิบายว่าไม่ต่างจากศูนย์บัญชาการส่วนหน้าของ ทักษิณ เพราะทุกอย่างต้องทำตามคำสั่งเท่านั้น อีกทั้งรัฐมนตรีแต่ละคนที่จะได้รับตำแหน่งก็ต้องได้รับความเห็นชอบ หรือไม่ก็หากเป็นตำแหน่งสำคัญก็ต้องเดินทางไปขออนุมัติจากเขาเสียก่อน
       
      ถัดมาก็มาถึงตัวละครเอกก็คือ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฉายา “นายกฯนกแก้ว” ที่แม้ว่าดูภายนอกสวยงาม มีสีสันสดใส แต่ทุกอย่างทั้งการพูดการจาล้วนแล้วเป็นการท่องจำ ท่องตามบทที่กำหนดเอาไว้ หากพูดกันให้ตรงๆก็คือ พูดจาเหมือนกับนกแก้วนกขุนทองนั่นแหละ หรือพูดไปตามสคริปต์ ท่องจำโดยที่ตัวเองไม่รู้ความ ผิดๆถูกๆ ความหมายก็คือไม่มีความรู้แท้จริง
       

       หากแยกมาเฉพาะตัว นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อพิจารณาจากฉายาของนักข่าวสภาและทำเนียบรัฐบาลความหมายออกมาก็ไม่ได้แตกต่างกันนั่นคือ ไม่ได้เรื่องได้ราว ไม่ต่างจากคนไร้สติปัญญา ไร้ความสามารถ ต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสดใสสวยงาม และถ้าให้สรุปก็ต้องแบ่งออกมาสองส่วนคืออย่างแรกก็คือตัว นายกรัฐมนตรี ซึ่งก็สรุปให้เห็นภาพดังกล่าว และ รัฐบาล ที่ต้องทำตามคำสั่งของทักษิณ เท่านั้น ขณะที่ระดับรัฐมนตรีที่ได้รับฉายาแตกต่างกันไป ไม่ควรไปเอ่ยถึง เพราะเป็นแค่ระดับ ลิ่วล้อ ถือว่า “กระจอก” เกินไป
       
       อย่างไรก็ดี เมื่อนำเอาสองส่วนมารวมกันเราก็ได้จะได้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่ไร้ความสามารถและบริหารงานเพื่อผลประโยชน์และความต้องการของ ทักษิณ ชินวัตรเท่านั้น ซึ่งดูแล้วห่างไกลจากความหมายเพื่อชาวบ้านส่วนใหญ่
       
       ที่ผ่านมาหากใครติดตามสถานการณ์มาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการบริหารงานของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ก็คงรับรู้มานานแล้วว่า “ห่วยแตก” น่าผิดหวังแค่ไหน เห็นได้ชัดก็คือการบริหารจัดการในช่วงเกิดวิกฤติน้ำท่วม ทั้งระหว่างน้ำท่วมและหลังน้ำลดที่ถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกันเมื่อมองจากผลงานในอดีตและปัจจุบันมันก็ย่อมสะท้อนมองไปถึงอนาคตว่าจะน่าเศร้าใจเพียงใด เพราะในวันหน้าหลังจากปีใหม่เป็นต้นไปเราจะต้องเจอกับปัญหาเศรษฐกิจทั้งภายในภายนอกที่รุมเร้าเข้ามา
       
       สำคัญที่สุดก็คือปัญหาปากท้อง ซึ่งส่วนหนึ่งมีผลพวงสืบเนื่องมาจากปัญหาวิกฤติน้ำท่วมที่ผ่านมา โดยเวลานี้ชาวบ้านกำลังประสบกับเรื่อง “ข้าวยากหมากแพง” สินค้าจำเป็นบางอย่าง เช่น นมข้น สินค้าอุปโภคบริโภค ข้าวสารบรรจุถุง ข้าวราดแกง ที่ปรับราคาขึ้นไปแล้วหรือบางชนิดก็มีการจำกัดการซื้อ เป็นสิ่งที่ชาวบ้านระดับรากหญ้ากำลังทุกข์หนัก
       
       ดังนั้นการที่บรรดาสื่อทั้งที่ประจำรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาลได้สะท้อนการทำงานของคนพวกนี้ออกมาก็ถือว่าเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความไม่เอาไหน ความห่วยแตกไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล และที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือนอกจากไร้สติปัญญาแล้วคนพวกนี้ยังรับใช้ และทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของ ทักษิณ ชินวัตร อีกต่างหาก !!
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #446 เมื่อ: 05 มกราคม 2555, 19:50:59 »

โวยคูปองช่วยน้ำท่วมแหกตา ชาวมหาชัยฮือปิด“พระราม 2”    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์        


เหยื่อน้ำท่วมสมุทรสาครฮือปิดถนนประท้วง หลังพบคูปองซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าแหกตา ซื้อสินค้าไม่ได้ 2 พันบาทตามที่รัฐบาลกำหนด บางร้านให้แค่เป็นส่วนลด ขณะบางร้านปิดหนีเฉย อธิบดีกรมธุรกิจพลังานลงเจรจา ขณะการจราจรถนนพระราม 2 หน้าตลาดมหาชัยติดยาวเหยียด
       
      รายงานข่าวจาก จ.สมุทรสาครแจ้งว่า ตั้งแต่เช้าวันนี้(5ม.ค.) ประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยและมีสิทธิรับคูปองแลกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าครัวเรือนละ 2,000 บาท ตามโครงการมหกรรมสินค้าประหยัดไฟเบอร์ 5 เยียวยาผู้ประสบอุทกภัยของรัฐบาล ได้รวมตัวกันประท้วงที่หน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรสาครและเคลื่อนขบวนปิดถนนพระราม 2 บริเวณใต้สะพานลอยหน้าทางเข้าตลาดมหาชัย ทั้งฝั่งขาเข้าขาออก เนื่องจากคูปองที่รัฐบาลแจ้งว่าสามารถนำไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 จำนวน 12 รายการ ตามที่กระทรวงพลังงานได้กำหนดไว้นั้น เมื่อนำไปใช้ซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ร่วมรายการแล้วปรากฏว่าร้านค้าได้ให้ส่วนลดไม่ตรงกัน และบางร้านก็ไม่รับ และวันนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการใช้คูปองดังกล่าว บางร้านก็ปิด ทำให้พลาดโอกาสที่จะใช้คูปอง กลุ่มชาวบ้านจึงมารวมตัวกันเพื่อขอความชัดเจนในการใช้คูปองว่าสามารถใช้แทนเงินสด 2,000 บาทได้เลยหรือไม่ ไม่ใช่ให้เป็นส่วนลดร้อยละ 20 ตามที่บางร้านตั้งเงื่อนไข หรือไม่เช่นนั้นก็ให้รัฐบาลจ่ายเป็นเงินสดครอบครัวละ 1,500 บาท
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า นายจุลภัทร แสงจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ได้ออกมารับข้อเรียกร้องจากประชาชน และได้ขอให้ไปเจรจาที่ศาลากลางจังหวัดเพื่อไม่ให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเดือดร้อน แต่กลุ่มประชาชนหลายพันคนไม่ยินยอม และยืนยันที่จะขอทราบข้อสรุปที่ชัดเจนชัดภายในวันนี้ว่าสามารถนำคูปองไปซื้อของได้เต็มจำนวน 2,000 บาท เช่นเดียวกับประชาชนที่ได้ซื้อไปแล้ว และให้ยืนยันว่าร้านค้าจะมีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการและไม่ปิดร้านหนี หลังจากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประสานไปยังภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และได้ขอร้องให้ประชาชนเปิดถนน 1 ช่อง เพื่อให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานเดินทางมาเจรจากับประชาชน ซึ่งประชาชนก็ยอมเปิดให้ แต่จะให้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง ถ้าอธิบดียังมาไม่ถึง ก็จะปิดถนนเหมือนเดิม
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเวลาผ่านไป ข้อเรียกร้องยังไม่มีความคืบหน้า กลุ่มประชาชนจึงปิดถนนบริเวณสี่แยกมหาชัยอีกครั้ง ทำให้การจราจรภายในตลาดมหาชัย และถนนพระราม 2 ติดขัดยาวเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร จนกระทั่งเวลาประมาณเกือบ 17.00 น.อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานได้เดินทางมาเจรจากับผู้ชุมนุม ซึ่งผู้ชุมนุมได้ยอมเปิดเส้นทางการจราจรขาออกไป จ.สมุทรสงคราม ส่วนขาเข้ากรุงเทพฯ ยังคงปิดอยู่
       
       ต่อมาเวลาประมาณ 17.20 น. อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนรับข้อเสนอชาวบ้านที่ที่ให้เปลี่ยนเป็นคูปองเงินสดไปหารือกับกระทรวงพลังงาน และขอให้ชาวบ้านเก็บคูปองเอาไว้ ซึ่งกลุ่มชาวบ้านได้ยอมสลายการชุมนุมเมื่อเวลาประมาณ 17.45 น. และนัดฟังคำตอบในวันพุธที่ 11 ม.ค. เวลา 14.00 น. ที่ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #447 เมื่อ: 06 มกราคม 2555, 22:58:41 »


สมเกียรติ อ่อนวิมล รณรงค์หยุดซื้อ “มติชน”

ASTVผู้จัดการ - “สมเกียรติ อ่อนวิมล” เพิ่งตื่น ปี 55 รณรงค์ให้คนเลิกซื้อ นสพ.มติชน ชี้กรณีมติชนสุดสัปดาห์เลียแข้ง “ทักษิณ” โดยยกให้เป็นบุรุษแห่งปีถือว่ารับไม่ได้ ชี้ไม่ทำการบ้าน-ผิดมาตรฐานสื่อมวลชน ไม่สมควรเสียเงินซื้อต่อไป
       
       วานนี้ (5 ม.ค.) แฟนเพจเฟซบุ๊กของ นายสมเกียรติ อ่อนวิมล สื่อมวลชนอาวุโสและอดีตผู้บริหารบริษัทแปซิฟิคฯ ได้มีเผยแพร่ข้อเขียนเรื่อง ปีใหม่ 2555 หยุดซื้อมติชน โดยมีเนื้อหาแสดงความไม่พอใจต่อความไร้ความเป็นมืออาชีพของเครือมติชนในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและนักโทษหลบหนีโทษจำคุกในคดีอาญาเป็นเวลา 2 ปี
       
       นายสมเกียรติระบุว่า หลายสิบปีที่ผ่านมา ตนเป็นผู้อุดหนุนหนังสือพิมพ์ในเครือมติชนมาตั้งแต่แรกเริ่ม ทั้งยังเคยเป็นคอลัมนิสต์ให้หนังสือพิมพ์เล่มดังกล่าว โดยแม้หนังสือพิมพ์มติชนจะเป็นกลางหรือเข้าข้างใครก็ไม่เคยที่จะเลิกซื้อ อย่างไรก็ตาม จากกรณี “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับล่าสุด ฉบับวันที่ 30 ธันวาคม 2554-5 มกราคม 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1637 ที่ ยกย่อง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็น “บุรุษแห่งปี” โดยพาดหัวว่า “บุรุษแห่งปี COMING SOON ไม่นานเกินรอ” ทำให้ตนตัดสินใจเลิกรับมติชน
       
       “เรื่องอยู่ในหน้าที่ 7 เนื้อหาสั้นมาก ไม่เต็มหน้า ไม่มีสาระรายละเอียดอะไรเลย กองบรรณาธิการมติชนไม่ทำการบ้าน ไม่ค้นคว้า ไม่มีหลักเกณฑ์ในการทำรายงานเรื่องบุรุษแห่งปีอะไรเลย คิดเอาเอง เขียนเอาเอง ตามจินตนาการของคนเขียน เป็นจินตนาการที่สั้นมากๆ ด้วย
       
       โดยหลักแล้ว การทำเรื่องขึ้นปกนั้น ต้องถือเป็นงานสำคัญ งานใหญ่ ต้องเตรียมงานกันหลายคนหลายวัน อาจนานเป็นเดือน กองบรรณาธิการควรทำงานหนักกว่านี้ ต้องทำงานหนักจริงๆ การมีความเห็นชื่นชมคุณทักษิณก็เป็นสิทธิและเสรีภาพของมติชน ผมไม่มีอะไรขัดข้องในเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าผมจะเห็นด้วยในเนื้อหาสาระหรือไม่ก็ตาม แต่ผมอยากอ่านงานที่มีการค้นคว้าที่ละเอียดลึกซึ้งกว่านี้ อยากรู้ว่าการเป็นบุรุษแห่งปีของคุณทักษิณ ตามมาตรฐานของมติชนนั้นมีอะไรเป็นพิเศษบ้าง แต่ผมก็หาสาระให้คล้อยตามหรือแม้ที่จะให้โต้แย้งก็หาไม่ได้” นายสมเกียรติระบุ และกล่าวต่อว่า
       
       บทความชิ้นดังกล่าวนั้นสั้นมาก ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องปกที่ควรจะมีการค้นคว้า หาข้อมูลมาสนับสนุนมากกว่านี้แต่ก็ไม่มี ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ไม่ได้มาตรฐานของสื่อสารมวลชน ทำให้ตนคิดว่า เงิน 40 บาท สำหรับมติชนสุดสัปดาห์ และ 10 บาท สำหรับมติชนรายวันนั้นไม่คุ้มค่าที่ตนจะอุดหนุนอีกต่อไป
       
       สื่อมวลชนอาวุโส ทิ้งท้ายไว้ว่า ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่เย็นวานนี้ตนได้บอกกับคนส่งหนังสือพิมพ์ที่มาเก็บเงินที่บ้านว่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปตนไม่รับหนังสือพิมพ์มติชนอีกต่อไปแล้ว ทำให้ประหยัดเงินไปได้อีกเดือนละ 300 บาท
       
       ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2555 เปลว สีเงิน คอลัมนิสต์แห่งหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ก็ได้เขียนบทความในหัวข้อ “โก่งคอขันด้วยนึกว่า “ชนะ” แล้ว!” โดยเหน็บแนม นสพ.มติชน สุดสัปดาห์กรณียกย่องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นบุรุษแห่งปีว่า จริงๆ ควรพาดหัวให้เป็น “มหาบุรุษแห่งศตวรรษ” ไปเลยดีกว่าตามมาตรฐานของหนังสือพิมพ์ที่ให้ราคาตัวเองว่าเป็นมาตรฐานของประเทศ
       
       ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี 2551 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เคยรณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันหยุดซื้อ นสพ.ในเครือมติชนมาแล้ว จากกรณีที่ นสพ.มติชนและ นสพ.ข่าวสด บิดเบือนคำให้สัมภาษณ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, บิดเบือนกรณีระบุว่า นายชิงชัย อุดมเจริญกิจ ศิลปินพันธมิตรฯ ถือระเบิดไว้ในมือในวันที่ 7 ต.ค. 51 ทั้งๆ ที่จริงแล้วเป็นล็อคเกตพระ นอกจากนี้ยังมีกรณีการเผยแพร่ข่าวให้ร้าย “น้องโบว์” อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ผู้เสียชีวิตจากระเบิดแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และให้ร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าควักเนตรพระพรหมที่ทำเนียบรัฐบาลอีกด้วย
       
       
ปีใหม่ 2555 หยุดซื้อ มติชน

       
       “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับวันที่ 30 ธันวาคม 2554 - 5 มกราคม 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1637 เรื่องขึ้นปก ยกย่อง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็น “บุรุษแห่งปี” พาดหัวบนหน้าปกว่า :
       
       บุรุษแห่งปี COMING SOON ไม่นานเกินรอ
       
       เรื่องอยู่ในหน้าที่ 7 เนื้อหาสั้นมาก ไม่เต็มหน้า ไม่มีสาระรายละเอียดอะไรเลย
       
       กองบรรณาธิการมติชนไม่ทำการบ้าน ไม่ค้นคว้า ไม่มีหลักเกณฑ์ในการทำรายงานเรื่องบุรุษแห่งปีอะไรเลย คิดเอาเอง เขียนเอาเอง ตามจินตนาการของคนเขียน เป็นจินตนาการที่สั้นมากๆ ด้วย โดยหลักแล้ว การทำเรื่องขึ้นปกนั้น ต้องถือเป็นงานสำคัญ งานใหญ่ ต้องเตรียมงานกันหลายคนหลายวัน อาจนานเป็นเดือน กองบรรณาธิการควรทำงานหนักกว่านี้ ต้องทำงานหนักจริงๆ การมีความเห็นชื่นชมคุณทักษิณก็เป็นสิทธิและเสรีภาพของมติชน ผมไม่มีอะไรขัดข้องในเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าผมจะเห็นด้วยในเนื้อหาสาระหรือไม่ก็ตาม แต่ผมอยากอ่านงานที่มีการค้นคว้าที่ละเอียดลึกซึ้งกว่านี้
       
       อยากรู้ว่าการเป็นบุรุษแห่งปีของคุณทักษิณ ตามมาตรฐานของมติชนนั้นมีอะไรเป็นพิเศษบ้าง แต่ผมก็หาสาระให้คล้อยตามหรือแม้ที่จะให้โต้แย้งก็หาไม่ได้
       
       บทความสั้นมาก จนไม่ควรจะเป็นเรื่องขึ้นปก
       
       หากมติชนมีมาตรฐานงานสื่อสารมวลชนเพียงเท่าที่เห็นนี้ คิดเงินผม 40 บาท สำหรับมติชนสุดสัปดาห์ และ 10 บาท สำหรับรายวัน ก็ไม่สมควรที่ผมจะเสียเงินอุดหนุนมติชนอีกต่อไป
       
       ในช่วงวิกฤตการเมือง 3-5 ปีที่ผ่านมา การทำงานของหนังสือพิมพ์มติชน ทั้งรายวันและรายสัปดาห์ ผมสรุปเป็นความเห็นส่วนตัวว่า คุณภาพงานข่าวสารของมติชนตกต่ำลงมาก ความคิดของกองบรรณาธิการสับสนอลวน แนวทางหลักเอียงไปทางสนับสนุนคุณทักษิณมากโดยไม่แสดงนโยบายการบรรณาธิการให้ผู้อ่านได้รับทราบให้ชัดเจน ไม่แสดงความโปร่งใสต่อสาธารณชนในเรื่องการถือหุ้นจากกลุ่มการเมือง วิกฤติการเมืองภายในองค์กรมติชนเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ละครั้งไม่ได้รับการชี้แจงให้หายกังขา
       
       ผมอ่านมติชนมาตั้งแต่กำเนิดมติชนในปีแรก และซื้ออ่านโดยให้ส่งถึงบ้านทุกเช้าเสมอมาไม่เคยขาด เขียนบทความลงมติชนก็หลายครั้ง มติชนจะลำเอียงไปทางไหนผมไม่เคยถือเป็นเหตุสำคัญ เพราะผมวิเคราะห์ความอิสระหรือความลำเอียงของมติชนได้ ใครถือหุ้นในมติชนเท่าไรอย่างไรผมก็พอมีข้อมูล
       
       ไม่ว่ามติชนจะเป็นกลาง หรือ ลำเอียงไปทางไหน ผมยินดีซื้อมติชนอ่านมาโดยตลอด
       
       แต่พอมาพบความไม่ขยันในการทำงานค้นคว้าหาความจริงจากเรื่องขึ้นปกมติชน สุดสัปดาห์ฉบับล่าสุดนี้ ก็เป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้าย ทำให้ผมตัดสินใจเด็ดขาดในวันนี้ว่าจะหยุดซื้อมติชนอ่านจากวันนี้เป็นต้นไป
       
       สาเหตุใหญ่มาจากวามไม่ขยันทำงานค้นหาความจริงของมติชนมากกว่าจุดยืนทางการเมืองของกองบรรณาธิการ
       
       เมื่อเย็นวันนี้คนส่งหนังสือพิมพ์มาเก็บเงินที่บ้านพอดี ผมเลยบอกคนส่งหนังสือพิมพ์ให้ทราบว่า :
       
       จากพรุ่งนี้เช้าเป็นต้นไป ขอไม่เอามติชน (10 บาท) เหลือไว้เพียง “โพสต์ทูเดย์” (15 บาท). ฉบับเดียวพอ. ประหยัดเงินไปเดือนละ 300 บาท!
       
       สมเกียรติ อ่อนวิมล
       5 มกราคม 2555
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #448 เมื่อ: 06 มกราคม 2555, 23:02:04 »

สนุกไปเรื่อยๆละครับ ผลงานสุดจ๊าบของรัฐบาลชุดนี้
หลังจากการประท้วงที่สมุทรสาคร นี่ก็มาอยุธยา อีกแล้ว


คนกรุงเก่าปิดถนนประท้วงคูปอง 2 พันห่วย อัดรัฐบาลช่วยคนรวยขูดรีดคนจน


พระนครศรีอยุธยา - ชาวพระนครศรีอยุธยากว่า 200 คน รวมตัวปิดถนนเอเชีย หน้าศูนย์ราชการกรุงเก่าร้องคูปอง 2,000 บาทช่วยน้ำท่วมซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดไฟเบอร์ 5 ของกระทรวงพลังงานสุดห่วย อัดรัฐบาลช่วยแต่คนรวยให้มีรายได้ด้วยการขูดรีดคนจน แฉซื้อตู้เย็น 8,000 บาทลด 1,600 บาทต้องจ่ายเงินสด 6,400 บาท
       
       เมื่อเวลา 12.00 น.วันนี้ (6 ม.ค.55) ที่ศูนย์ราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริเวณด้านหน้ามีชาวบ้านจาก 16 อำเภอในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาราว 200 คน ได้รวมตัวกันปิดถนนสายเอเชียฝั่งขาขึ้น จ.นครสวรรค์ กม.ที่ 18 ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อเรียกร้องการแลกคูปองเงิน 2,000 บาทของกระทรวงพลังงานช่วยเหลือประชาชนที่ถูกน้ำท่วมนำไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดไฟเบอร์ 5 ตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค.54-4 ม.ค.55 ตามร้านที่ร่วมรายการมีทั้งหมด 4 ร้าน
       
       แต่ปรากฏว่า บางร้านติดป้ายไว้ว่า สินค้าหมด ร้านปิด บางร้านมีแต่สินค้าชิ้นใหญ่ ราคาแพง บางร้านนำสิ้นค้าไม่มีคุณภาพมาขายและสุดท้ายไม่รับคูปอง ทำให้ชาวบ้านเดือดอยากได้เงินสดแทน
       
       นางสาวภัสสร แสงแก้ว อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 28/3 หมู่ 2 ต.สามไถ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ตัวแทนชาวบ้าน บอกว่า ชาวบ้านทั้งหมดกำลังเดือดร้อนส่วนใหญ่ที่มามีฐานะยากจนหาเช้ากินค่ำทุกคนมีคูปอง แต่มีปัญหาในการแลกทุกคน จึงอยากได้เป็นเงินสดมากกว่า จึงมารวมตัวเพื่อบอกผ่านทางเจ้าหน้าที่ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือ ส.ส. แต่ก็ไม่มีใครมาสนใจชาวบ้านจนๆ ชาวบ้านจึงได้ตัดสินใจกันออกไปประท้วงปิดถนนสายเอเชียฝั่งขาขึ้น จ.นครสวรรค์ กม.ที่ 18 ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยาดังกล่าว
       
       นางชม้อย พันธ์แก้ว อายุ 77 ปี อยู่บ้านเลขที่ 44 หมู่ 5 ต.เกาะเกิด อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ตนแก่แล้ว เดินทางมารับคูปองต้องรอทั้งวันและนำคูปองไปแลกสินค้าต้องไปกลับบางปะอิน-อยุธยามา 3 วันแล้วทุกร้านลดให้ 20% ซื้อตู้เย็น 8,000 บาทลด 1,600 บาทต้องจ่ายเงินสด 6,400 บาทคนจนจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อจึงอยากได้เป็นเงินสดจะดีกว่าไปซื้อข้าวของจำเป็นจึงต้องมาประท้วง
       
       นางทิพรัตน์ พูลสิทธิโชคชัย อายุ 47 ปี แม่ค้าขายอาหารในตลาดเจ้าพรหม บอกว่า คนจนจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อสินค้าได้ พัดลมตัวละ 1,000 บาทลด 200 บาทต้องจ่ายอีก 800 บาท น้ำท่วมก็หมดตัวแล้วถ้ารัฐบาลช่วยชาวบ้านจริงก็ขอให้จ่ายเป็นเงินสดได้ซื้อกะปิ น้ำปลาเก็บไว้กิน นี่รัฐบาลช่วยเหลือคนรวยให้ขายสินค้าได้มากๆ ไม่ได้ช่วยคนจนเลย
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากชาวบ้านปิดถนนดังกล่าวทำให้การจราจรติดขัดเป็นแถวยาวนับ 10 กิโลเมตร พ.ต.อ.สมบัติ ชูชัยยะ ผกก.สภ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 50 นาย ได้มาดูแลความสะดวกและป้องกันเหตุการณ์จลาจล และให้ผู้ใช้รถใช้ถนนใช้ทางเลี่ยงเมืองอยุธยา-สุพรรณบุรี (สาย 356) ตัดถนนสายปทุมธานี-บางปะหันแทน
       
       นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังใช้ความพยายามเกลี่ยกล่อมชาวบ้านนานกว่า 2 ชั่วโมง เพื่อชาวบ้านเปิดถนน ตรชาวบ้านยอมเปิดเส้นทางแล้วไปรวมตัวที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อรอตัวแทนจากกระทรวงพลังงานมาเจรจาและหาข้อยุติต่อไป
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #449 เมื่อ: 09 มกราคม 2555, 22:56:44 »


พท.แอบติดตั้งกล้อง สอดแนมสื่อ ส.นักข่าวฯ ชี้ ส่อคุกคาม


พรรคเพื่อไทย ระแวงสื่อแอบติดตั้งกล้องวงจรปิด สอดแนมห้องนักข่าว ด้านโฆษกพรรคเล่นลิ้น อ้างตึกไอโอเอต้องมีมาตรการเพิ่มรักษาความปลอดภัย ระบุ กลัวของมีค่าสื่อมวลชนสูญหาย ขณะที่ ส.นักข่าวฯ ชี้ ส่อคุกคามสื่อ “เพื่อไทย” จี้ทบทวน ยกเลิก กล้องสอดแนม
       
       วันนี้ (9 ม.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายอาคาร และสถานที่ของอาคารโอเอไอ ทาวเวอร์ ที่ทำการของพรรคเพื่อไทย ได้นำกล้องโทรทัศน์วงจรปิดมาติดตั้งภายในห้องสื่อมวลชน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ในการแถลงข่าว และนั่งทำงานรวมสื่อมวลชนประจำพรรคเพื่อไทย โดยกล้องตัวดังกล่าวเป็นกล้องที่สามารถหมุนซูมลึก และส่ายรอบตัวได้ 360 องศา ซึ่งภาพจากกล้องตัวนี้จะถูกถ่ายทอดสดไปยังห้องคอนโทรลของฝ่ายอาคารและสถานที่ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเจ้าหน้าที่พรรคได้นำมาติดตั้งในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งไม่มีสื่อมวลชนเดินทางทำข่าว
       
       อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับตำแหน่งใหม่ๆได้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมในบริเวณอาคารลานจอดรถ อาคารด้านหลัง และ บริเวณโถงหน้าลิฟต์ที่พรรคเพื่อไทยแห่งนี้แล้ว เพื่อวางมาตรการรักษาความปลอดภัย
       
       ทางด้าน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ชี้แจงว่า การติดตั้งกล้องวงจรปิดในห้องสื่อมวลชนนั้น พรรคเพื่อไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องของฝ่ายอาคารและสถานที่ของอาคารโอเอไอ ทาวเวอร์ ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้ทำการเช่าสถานที่อยู่ในบางชั้น และบางชั้นมีสำนักงานเอกชนอื่นเช่าอยู่ซึ่งการติดกล้องวงจรปิดนั้น เป็นไปเพื่อการรักษาความปลอดภัย เพราะหลังจากที่พรรคเพื่อไทยเป็นพรรครัฐบาล ปรากฏว่า มีคนเดินเข้าเดินออกพรรคพลุกพล่านมากกว่าปกติในสมัยเป็นฝ่ายค้านถึง 2-3 เท่าตัว จึงมีความกังวลว่าบุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอาจจะเล็ดลอดเข้ามาอยู่ในห้องผู้สื่อข่าว และอาจจะหยิบฉวยอะไรไปได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวในสมัยที่มีการย้ายที่ทำการพรรคเพื่อไทยไปอยู่อาคารบีบีดี บิวดิ้ง ถ.พระราม 4 ก็มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อรักษาความปลอดภัยเช่นกัน โดยที่อาคารนั้นมีการติดตั้งของเดิมไว้อยู่แล้ว
       
       เมื่อถามว่า เหตุใดถึงต้องมีการติดกล้องในห้องผู้สื่อข่าวทั้งที่ในบริเวณประตูทางเข้าออกห้องผู้สื่อข่าว ก็มีการติดตั้งกล้องและมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลอยู่แล้ว นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ในห้องนี้เคยมีการวางสาย และติดตั้งกล้องมาแล้ว แต่ใช้ไปนานๆ มีความเสียหายเกิดขึ้น ฝ่ายอาคาร และสถานที่จึงติดตั้งใหม่ เพราะกังวลเรื่องทรัพย์สินของมีค่าของผู้สื่อข่าว หากสูญหายไปฝ่ายอาคาร ก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
       
       เมื่อถามว่าจะชี้แจงอย่างไร หากถูกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิของสื่อมวลชน นายพร้อมพงศ์ ตอบว่า เป็นเรื่องของฝ่ายอาคารไม่เกี่ยวกับพรรค พรรคเพื่อไทยไม่ละเมิดสิทธิ์ของสื่อมวลชน ยืนยันว่า ไม่มีการเซ็นเซอร์ หรือตรวจสอบว่าใครเป็นแหล่งข่าวเดินเข้ามาให้ข่าวกับนักข่าวในห้องนี้ และไม่มีการถ่ายทอดเสียงอย่างแน่นอน เป็นการใช้เทคโนโลยีช่วยเพื่อรักษาทรัพย์สินเท่านั้น
       
       ทั้งนี้ อาคาร โอเอไอ ทาวเวอร์ เป็นหนึ่งในทรัพย์สินของตระกูลชินวัตร โดยย่อมาจากอักษรย่อ “O-Oke, A-Aim, I-Ing” ชื่อเล่นของบุตรชายและบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยก่อนหน้านี้ อาคารแห่งนี้ใช้ชื่อว่า อาคารไอเอฟซีที ซึ่งเป็นที่ทำการของพรรคไทยรักไทยมาก่อน
       
       ขณะที่ นายปราเมศ เหล็กเพ็ชร์ รองเลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศ กล่าวว่า ดูแล้วก็เข้าข่ายคุกคามการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่มาประจำติดตามความเคลื่อนไหวพรรคเพื่อไทย เพราะตามปกติที่พรรคเพื่อไทยก็มีการติดกล้องวงจรปิดรอบบริเวณพรรคอยู่แล้ว ซึ่งสามารถจับภาพคนเข้าออกได้ตลอดเวลา อีกทั้งยังมี รปภ.ดูแลความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ดังนั้น การจะมาอ้างว่าเพื่อเพิ่มมาตรการการรักษาความปลอดภัย หรือดูแลทรัพย์สินของสื่อมวลชน ก็คงไม่ใช่ อยากเรียกร้องให้พรรคพิจารณาทบทวน ยกเลิกการติดตั้งกล้องวงจรในห้องสื่อมวลชนเพื่อให้นักข่าวรู้สึกว่า มีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่นำเสนอความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยให้ประชาชนรับทราบ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 16 17 [18] 19 20 21  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><