23 พฤศจิกายน 2567, 10:02:29
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 15 16 [17] 18 19 ... 21  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)  (อ่าน 235511 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 16 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #400 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2554, 12:56:52 »

นักวิชาการญี่ปุ่น พูดถึงทักษิณ

บทความนี้สำคัญมาก เขียนโดยนักวิชาการชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย

*ลัทธิสีแดง : ลัทธิแห่งการล่อลวง***
*กล่อง ดวงใจของทักษิณและ นปช.***


ความสำเร็จทางการเมืองของทักษิณมาจากไหน
เมื่อ ทักษิณเตรียมจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เพื่อเตรียมเป็นนายกทักษิณได้
จ้าง คนเขียนหนังสือเรื่อง "ตาดูดาว เท้าติดดิน" แล้วลงพิมพ์ในมติชนยาวต่อเนื่อง หนังสือ เล่มนั้นทำให้คนเกิดความเชื่อว่าทักษิณรวยแล้ว อยากช่วยชาติ จะไม่โกงกิน จาก นั้นทักษิณไปใช้พวกอดีตคอมมิวนิสต์ซึ่งเก่งในการหาความนิยมจากคนยากจน และ คนชนบทมาช่วยคิดหาวิธีจะเอาคะแนนเสียงจากคนเหล่านี้ ซึ่งก็ได้นโยบายแนว สังคมนิยมมา เรารู้จักกันต่อมาว่าเป็นนโยบายประชานิยม

ในระหว่างหา เสียงเลือกตั้ง และก่อนจะตั้งรัฐบาล ทักษิณบอกว่าจะเป็นรัฐบาลที่พูดความจริงกับประชาชน จะไม่โกหก นโยบายและการบริหารหลายอย่างของทักษิณได้ผล คนจนได้จับเม็ดเงินจริงๆ ยิ่งเชื่อใหญ่ ทั้งในเรื่องความรู้ ความสามารถและความดี ดีไปหมด เก่งไปหมด
เมื่อ เหตุการณ์ผ่านไป เราจึงได้เห็นธาตุแท้ของทักษิณกัน  แต่คนที่หลงเชื่อและนิยมชมชอบทักษิณ มองไม่เห็น ทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นเพราะรักเขาแล้ว เชื่อเขาแล้ว เชื่อเขาหมด ความสามารถของทักษิณ อยู่ตรงที่ทำให้คนเชื่อได้จำนวนมาก

เมื่อทักษิณถูก ปฏิวัติ ทักษิณเริ่มต่อสู้เพื่อกลับมาครองอำนาจและพาตัวเองให้พ้นผิด ทักษิณ ทำอย่างไรบ้าง
ทักษิณเป็นคนที่เห็นศักยภาพของธุรกิจสื่อสาร และสื่อมวลชน
ทักษิณ อ่านและเข้าใจเรื่องของสังคมข่าวสาร (information society)
ทักษิณเคยพูด หรืออ้างอิงนักวิชาการไว้ในเรื่องที่ว่า
"ใน โลกยุคข่าวสาร ใครที่ครอบครองข้อมูลข่าวสาร คนนั้นเป็นผู้ชนะ"
คนทั่วไป อาจตีความว่า เป็นการเข้าถึงความรู้หรือข่าวสาร จะทำให้รู้มากแล้วชนะ
แต่ ทักษิณตีความ ว่า เข้าครอบครอง ควบคุม และบังคับข้อมูลข่าวสารให้เป็นไปตาม ที่ตัวต้อง การต่างหาก
ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า control and manipulate information

ทักษิณชนะเลือกตั้งมาถล่มทลาย ก็เพราะความสามารถตรงนี้ ไม่ใช่เพราะเงิน
เราก็รู้ว่าถ้าเลือกตั้งวันนี้ เพื่อไทยก็จะชนะอีก เพราะคนยังหลงเชื่ออยู่
เขาไม่ต้องใช้เงินก็ชนะ ดังนั้น อาวุธของเขาจึงไม่ใช่เงิน
แต่เป็นข้อมูลข่าวสารที่เขาควบคุม บังคับอยู่ ต่างหาก
เงินนั้นใช้ในการควบคุมบังคับข้อมูลข่าวสารเป็นสำคัญ
สิ่งที่ ทักษิณทำ พวกเราเห็นอยู่แล้ว ได้แก่การตั้งกลุ่มเสื้อแดงขึ้นมา
ทีแรก เป็นแค่ไว้ต้านพันธมิตร
เสื้อ แดง ก็แปรรูป ซึ่งเป็นการแปรรูปที่แยบยลมาก คือการจัดตั้งเวทีใช้ชื่อว่า "ความ จริงวันนี้" เอาคู่กับสัญลักษณ์สีแดง
การตั้งรายการ "ความจริงวันนี้" คือการเริ่มต้นทำ "สงครามข้อมูลข่าวสาร"
(information warfare) เริ่มจากการอภิปรายของแกนนำ สามเกลอ วีระ จตุพร ณัฐวุฒิ ฯลฯ
รายการ "ความจริงวันนี้" เริ่มให้ความเท็จตั้งแต่วันแรก และต่อเนื่องตลอดมา

เรา มักนึกถึงเงินของทักษิณ คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทักษิณมีฤทธิ์
แต่ ฤทธิ์ของทักษิณจริงๆ มีที่มาจากความสามารถในการโกหก
ซึ่งเป็นสิ่งที่ ทักษิณเก่งมาก มีทักษะสูงมาก เพราะฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ
เป็นคนโกงที่โกหก เก่งที่สุด ใครที่เคยคุยกับทักษิณ หรือฟังทักษิณพูด
จะรู้ดีว่าได้เคลิบ เคลิ้มไปแค่ไหน ไม่ว่าจะมีการศึกษาระดับไหนก็ต้องเคยเคลิ้มกันมาแล้วทั้งนั้น
นับประสา อะไรกับมวลชนของคนเสื้อแดง กว่าจะรู้ตัวก็สายกันแล้ว จะอย่างไรก็ตาม
ตอนนี้พวกเรารู้ตัวแล้ว แต่ยังมีคนที่ไม่รู้ตัวอีกมากมาย
ต้องช่วยให้เขา เห็นความจริงและรู้ตัวว่าถูกหลอกลวงอย่างไร ทักษิณจึงจะหมดฤทธิ์จริงๆ

เมษายน 2552 ทักษิณสามารถระดมคนได้เกือบแสนคน มากกว่าที่พันธมิตรเคยระดมได้
ทักษิณ กะจะล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยยั่วยุให้ใช้กำลังปราบปราม
จะได้กลายเป็น ทรราชย์ขาดความชอบธรรม แต่โชคดีที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปราบอย่างรอบคอบ ไม่มี คนล้มตาย และมีสื่อต่างชาติคือ CNN เป็นพยานให้ โดยยืนยันซึ่งหน้า ตอนที่ทักษิณให้สัมภาษณ์ CNN ว่า ที่ทักษิณว่าคนตายเป็นร้อยนั้น ไม่เป็นความจริง เมษาเลือดของทักษิณ
จึง ทำให้ทักษิณแพ้ไป นั่นคือ CNN จับโกหกทักษิณได้ต่อหน้าคนทั้งโลกที่ดู CNN อยู่*เห็นหรือยังว่า แพ้ชนะ ยุคนี้ อยู่ที่สงครามข่าวสาร***

หลัง จากทักษิณแพ้เมื่อเมษา 52 ถ้าเราสังเกตจะเห็นชัดเจนว่า ทักษิณวางแผนจะกลับมาอีก
ต้องดูว่าทักษิณลงทุนไปกับอะไรมากที่สุด แล้วใช้สิ่งที่ลงทุนไปทำงานอะไรให้ทักษิณมากที่สุด
ทักษิณให้เงินแกนนำ นปช. แน่นอน ให้เงิน ส.ส.เพื่อไทย แน่นอน ให้เงินหัวคะแนนแน่นอนต้อง จ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการจัดชุมนุม อภิปราย ทั้งค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าเวที ฯลฯ แน่นอน
แต่ที่จ่ายมากที่สุด คือการสร้างเครื่องมือในการทำสงครามข่าวสาร

ทักษิณลงทุนอะไรอีกบ้าง หลังสงกรานต์เลือด?
ตั้ง PTV ออกอากาศผ่านดาวเทียม และออกผ่านเว็บไซท์
เว็บ ไซท์ เสื้อแดง มีเยอะมาก ทักษิณสร้า งทีมเรียกว่า นักรบไซเบอร์ ช่วยกันเผยแพร่ความเท็จ
ลองสำรวจดูว่ามีทั้งหมดกี่ เว็บไซท์ ทั้งที่ใช้ เซิร์ฟเวอร์ ในประเทศและ ต่างประเทศ
วิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์และวารสารแดง สร้างคนหลงลมลวงได้มหาศาล
หนังสือเล่ม แบบ Where are you? ของหมวดเจี๊ยบ แกก็ไปหาทักษิณรับเงินมาเหมือนกัน
นอกจาก นี้ยังมี Hi 5, Facebook, Twitter


สื่อในต่างประเทศ บริษัท Lobbyist ในอเมริกาไปตรวจสอบดูก็จะรู้ว่าบริษัทอะไร ช่วยนัดสื่อระดับโลกไป
สัมภาษณ์ทักษิณ สร้างทั้งความน่าเชื่อถือ และการเอาความเท็จให้กับต่างชาติ
ทำ ให้คนในเมืองไทยเชื่อสนิทหนักเข้าไปอีก
เห็นไหมว่าฝรั่งยังเชื่อถือ รัฐบาลต่างชาติก็หลงลมไปหลายชาติ นึกว่าเก่งเศรษฐกิจ เชิญให้เป็นที่ปรึกษา
ฮุน เซนก็หลงลม แล้วก็ยังมีบริษัทหรือมูลนิธิอะไรที่ฮ่องกงชื่อ Sam Hui ก็เป็น lobbyist ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ความเก่งกาจให้ทักษิณด้วย
นักการ เมือง/นักวิชาการ พวกบ้านเลขที่ 111 และนักวิชาการพวกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน พวก นี้ก็เสื้อแดงทั้งนั้น
การพูดของคนพวกนี้ก็สร้างความน่าเชื่อถือให้ทักษิณมากขึ้น

ส.ส.เพื่อ ไทย รวมทั้งว่าที่ผู้จะสมัคร ส.ส.เพื่อไทย ตลอดจนหัวคะแนน
พวกนี้ก็จะ ช่วยพูดปากต่อปากช่วยกันหลอกลวงราษฎรให้เชื่อว่าทักษิณดี ทักษิณเก่ง ทักษิณ ถูกรังแก บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย อภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชน อภิสิทธิ์ สร้างฉากที่มหาดไทยเพราะไม่ได้อยู่ในรถที่ถูกทุบ ฯลฯ ความเท็จทั้งนั้น แต่คนก็เชื่อ
แกนนำในต่างจังหวัด อย่างขวัญชัย ที่อุดร หรือเพชรวรรต ที่เชียงใหม่และอีกหลายๆ จังหวัด
โรงเรียนการเมืองของ นปช. นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ฝึกแกนนำเพิ่มเติมเอาความเท็จบรรจุลง
ในหลัก สูตร แล้ววางระบบการควบคุมสั่งการ ติดต่อสื่อสาร จ่ายเงิน และหาเหยื่อเพิ่มเสร็จสรรพ
ศึกษาต่อไปอาจจะเจอเครื่องมืออื่นๆ อีก แต่เท่าที่จำแนกให้ดูนี้ก็น่าจะพอแก่การประเมินได้แล้วว่า
เครื่องมือของ การโฆษณาชวนเชื่อของทักษิณนั้น มหาศาลขนาดไหน และประสิทธิภาพสูงขนาดไหน
และ พอจะประมาณได้หรือยังว่า ทักษิณ ทุ่มทุนลงไปขนาดไหน
จริงอยู่ทำทั้งหมด นี้ต้องใช้เงิน แต่ขอให้เห็นประเด็นให้ชัดว่า
เงินไม่ใช่ตัวความสามารถ หลัก เงินถูกนำไปสร้างความสามารถในการหลอกลวงต่างหาก


แล้วเมื่อหลอกคน สำเร็จ จะใช้ให้คนทำอะไรให้ก็ได้ พูดขาวให้เป็นดำก็ได้ จะบอกว่าใครเลวก็ได้
สังเกต ต่อไปจะเห็นว่าปีที่ผ่านมา
 ทักษิณทดลองเครื่องมือของสงคราม (war mechanism) โดย ลองทำ clip เสียงอภิสิทธิ์ ตัดต่อดื้อๆ
ให้เหมือนกับสั่งให้ฆ่าผู้ชุมนุม แล้วปล่อยให้หลุดออกไป
สังเกตดูจะเห็น การทำงานของกลไกสงครามของทักษิณ ชัดเจน แกนนำเอาไปพูดในที่ชุมนุม
ส.ส.เพื่อ ไทยเอาไปพูดในสภา สื่อของทักษิณทุกสื่อเอาออกเผยแพร่ ความเท็จ 100%
ก็ ยังสามารถทำให้คน จำนวนมากหลงเชื่อได้

ปีที่แล้วทั้งปี ทักษิณ phone in ไปทุกจังหวัดที่จัดการชุมนุม
เพื่อสร้างภาพและความเข้าใจ และความเชื่อของคนทุกจังหวัดให้ตรงกัน
ในประเด็นที่คิดมาอย่างดีแล้ว เช่น อำมาตยาธิปไตย รัฐบาลทหารตั้งสองมาตรฐาน
สู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้ จริง ทักษิณถูกรังแก ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย
ช่วยกันทำ ประชาธิปไตยที่แท้จริงไว้ให้ลูกหลาน
หลอกลวงคนทั้งประเทศให้เชื่อว่า การออกมาเคลื่อนไหวนั้นเป็นการกระทำไปเพื่อชาติ
เป็นการกระทำที่รักชาติ เสียสละเพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของทักษิณ

ปีนี้จึงไม่แปลกว่า เมื่อเครื่องมือพร้อมแล้ว ทักษิณก ็ลงมืออีก อย่างที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้
ถ้า เอาเทป video หรือ phone link ของทักษิณมาดู ฟังไปจะพบว่า
 ทุกครั้งที่พูด ทักษิณ จะเน้นว่า ตัวเองและเสื้อแดงพูดความจริง และรัฐบาลพูดเท็จ
และจะใช้เวลา ตรงนี้ประมาณ 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด เพื่อย้ำการหลอกลวงไม่ให้พลาด
จาก นั้นแกนนำก็จะย้ำตามต่อไป คนฟังก็จะเคลิ้ม นึกว่ากำลังฟังความจริงที่ถูกปกปิดอยู่


*ถ้าเช่นนั้น ขบวนการทั้งหมดของทักษิณ มีลักษณะเป็นอะไร***

คำตอบคือ เป็นลัทธินิกายชนิดหนึ่ง ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cult
เหมือนกับโอมชินริ เคียว ที่วางยาพิษคนที่สถานีรถใต้ตินที่ญี่ปุ่น หรือ James Jones ที่
หลอกให้สาวกฆ่าตัวตายจำนวนมาก โดยมีทักษิณ เป็นศาสดา
 มีแกนนำอย่างจตุพร สาม เกลอ และพวก ส.ส.ทั้งหลาย เป็นสมุนรับใช้ และราษฎร คนเสื้อแดงเป็นเหยื่อ
เพียง แต่ทักษิณ เป็น Cult ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกเท่านั้น
ความสามารถของ Cult ทั้งหลาย คือความสามารถในการที่ทำให้สาวกเชื่อสนิทถึงขั้นสั่งให้ ทำอะไรก็ได้
บางแห่งถึงกับให้ฆ่าตัวตายก็ยังทำตาม


ทักษิณอาจยังไม่ถึง ขั้นทำให้คนฆ่าตัวตายได้ แต่ทักษิณหาสาวกได้มากกว่า cult อื่นๆ แน่
ดู ลุงคนที่ขโมยเงินเมียมา 20,000บาท แล้วเดินทางมากรุงเทพฯ คนเดียว
เตรียม ขี้วัวมาเสร็จ แล้วไปที่บ้านอภิสิทธิ์ แล้วขว้างขี้ใส่ โดยไม่ต้องมีใครสั่งเลย
 ก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพของการหลอกลวงของทักษิณ ได้ชัดเจน ถ้าจะมีคนยอมตายเพื่อทักษิณ
ก็ไม่น่าจะเกินวิสัย และเรื่องนี้จะน่ากลัวเพราะอาจให้คนเผาตัวประท้วง หรือบุกเข้าทำร้ายเจ้า หน้าที่ จนต้องปะทะกัน เป็นต้น

*เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว มองเห็นกล่องดวงใจของทักษิณแล้วหรือยัง***
จะฆ่าทศกัณฐ์ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกล่องยิงธนูใส่เอาดาบฟัน ก็ไม่ตาย
ต้องไป หากล่องดวงใจให้เจอ พอเจอแล้วแทง ทศกัณฐ์จึงจะตาย ทักษิณก็เหมือนกัน
ความ สามารถในการหลอกลวงของทักษิณ คือกล่องดวงใจของทักษิณ


 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #401 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2554, 22:53:26 »

เกจินู้ดเปรียบ “ยิ่งลักษณ์” อนุสาวรีย์ขายความอาย-ผู้หญิงยังเอือม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

ASTVผู้จัดการ – “นิวัติ กองเพียร” เหลืออด ฉะ “ยิ่งลักษณ์” ไร้ประสบการณ์บริหารประเทศ วิเคราะห์ท่าทาง “ไม่อ่านหนังสือ-ไม่ดูหนังฟังเพลง” เปรียบพฤติกรรมเหมือน “อนุสาวรีย์ขายความอายต่อชาติตระกูล” อัดประเทศไม่ใช่ที่ฝึกงานหรือจะทำแทนกันได้ เผยแม้แต่ผู้หญิงด้วยกันยังอาย
       
       เมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา ในเว็บไซต์ niwatkongpien.com ของนายนิวัติ กองเพียร อดีตคอลัมนิสต์ชื่อดัง ได้เขียนบทความชื่อ “จดหมายจากหัวหิน” ซึ่งเป็นจดหมายที่เขียนถึงประสบการณ์ชีวิตในช่วงหาที่พักพิง หลังจากที่น้ำท่วมบ้านในกรุงเทพฯ กระทั่งมาอาศัยอยู่ในอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในจดหมายฉบับที่ 2 นายนิวัติกล่าววิพากษ์วิจารณ์ภาพลักษณ์ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ความว่า
       
       “ผมนอนหลับสนิทมากเมื่อคืน เพราะก่อนนอนได้พูดในรายการวิทยุของผมเองที่ทำมายาวนานเกือบห้าปีแล้ว เป็นรายการวิทยุของคลื่นความคิด เอฟเอ็ม ๙๖.๕ ทุกวันเสาร์ เวลาสามทุ่มถึงห้าทุ่ม กับเพื่อนรักคนหนึ่ง ชื่อเล่นว่าหมอ แต่ไม่ได้เป็นหมอ เป็นการ์ตูนิสท์ที่เขียนอยู่ในบางกอกโพสท์กับกรุงเทพธุรกิจ หมอมีชื่อจริงว่า ทิววัฒน์ ภัทรกุลวณิชย์ ใครไม่เคยฟังลองเปิดฟังนะครับ
       
       “เมื่อคืนผมพูดถึงผู้บริหารประเทศที่มาจากกรรมการผู้จัดการบริษัททางธุรกิจ ที่ไม่มีประสบการณ์ในชีวิตนอกเหนือจากงานที่ทำอยู่เลย การพูดต่อหน้าสาธารณะบอกให้ผมรู้ว่าเธอไม่อ่านหนังสือ ท่าทางการแสดงออกบอกให้รู้ว่าเธอไม่ดูหนัง เสียงของเธอไม่น่าฟังแสดงว่าเธอไม่ฟังเพลง คนคนหนึ่งคนใดจะเข้ามาบริหารประเทศด้วยตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่น่าจะเป็นคนไหนก็ได้ เริ่มต้นตั้งแต่การต้องรู้จักตัวเองว่า จะทำงานนี้ได้ไหม และงานต้องทำอะไร การบริหารประเทศไม่ใช่การฝึกงานหรือมาทำแทนใครได้
       
       “มันเป็นความผิดมหันต์นะครับที่มารับหน้าที่ที่ตัวเองไม่สามารถทำได้ มันจะเป็นอนุสาวรีย์ขายความอายต่อชาติตระกูลที่แทบจะไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว มันทำร้ายประชาชนทั้งประเทศให้เจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส เธอไม่มีสิทธิที่จะพูดว่าประชาชนเลือกเธอมา และไม่น่าจะมีสิทธิเป็นนายกรัฐมนตรีได้ถ้าเธอรู้จักตัวเอง
       
       “ผมพูดอะไรออกไปอีกมากมายเหมือนคนเก็บกด เพราะมันเก็บกดจริงจริงครับ ผมไม่อยากเห็นเธอในจอทีวี ไม่อยากได้ยินเสียงเธอ ที่จริงผมเป็นคนที่ชอบผู้หญิงมากมาก โดยเฉพาะผู้หญิงเก่ง ฉลาด และจะยกย่องเชิดชูผู้หญิงเสมอเมื่อมีโอกาส เพื่อนคู่ชีวิตผมบอกผมว่า เธอรู้สึกเสียใจและอับอายที่มีผู้หญิงคนหนึ่งมาทำให้ความเป็นผู้หญิงเสียหายได้ถึงเพียงนี้” นายนิวัติระบุ
       
       สำหรับนายนิวัติ กองเพียร เคยเป็นคอลัมนิสต์ชื่อดังประจำนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ โดยได้รับฉายาว่า "เกจินู้ด" ด้วยเขียนคอลัมน์ที่เป็นเนื้อหาวิจารณ์ภาพเซ็กซี่ กึ่งเปลือย นอกจากนั้น นิวัติ ยังเคยเป็น บรรณาธิการบริหารนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ในเครือมติชน อย่างไรก็ตามในช่วงต้นปี 2552 เครือมติชนกับนายนิวัติก็ได้แยกทางกันเดิน โดยคนในแวดวงสื่อมวลชนสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากสาเหตุที่นายนิวัติเขียนบทความที่มีเนื้อหาขัดใจ นายขรรค์ชัย บุนปาน นายใหญ่ของเครือมติชน โดยหลังจากนั้นเกจินู้ดก็หันมาเปิดเว็บไซต์www.niwatkongpien.com ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการบริหารของหนังสือเพลงดนตรีอีกด้วย
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #402 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2554, 23:03:23 »


รู้จัก “ดีเจจั๊ดจ์” ผู้ด่า “ศปภ. โง่เง่า” จนโดนไล่ออกเผยสุดสงสาร “ปู”
เคยสุขสบายช็อบปิ้งกินข้าวกับลูกผัว ต้องทุกข์เพราะเป็นนายก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


รู้จัก “ดีเจจั๊ดจ์” ผู้กล้าวิจารณ์ “ศปภ.โง่เง่า” ,สับ “ประชา พรหมนอก” แก่ , จวกรัฐบาลเลือกคนผิดฝาผิดตัวแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ,สมน้ำหน้าที่โดนประชาชนด่า , เปิดใจไม่หวั่นวิจารณ์ศปภ.จนโดนไล่ออกจากงาน บอกเป็นความในใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์เพราะทำงานไม่ได้ดั่งใจ สุดสงสาร “ปู” ที่เคยช็อบปิ้งกินข้าวกับลูกและสามีใช้เงินไม่มีหมดในชาตินี้ กลับต้องมาทุกข์ใจนอนไม่หลับเพราะเป็นนายกฯ แต่เป็นสิ่งที่ต้องแลกเพราะอยากถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นนายกหญิงคนแรก
       
       โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คกลายเป็นเวทีระบายความในใจของใครต่อใครหลายคนถึงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมรัฐบาล ไล่มาตั้งแต่ตั้งตอนที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ.ใหม่ๆ ที่สื่อสารไม่ตรงไปตรงมาและไม่ชัดเจนจนโดนวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว มีดาราหลายคนใช้โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คพูดคุยถึงปัญหาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น "หนิง ปณิตา พัฒนาหิรัญ" ที่ทวิตเตอร์ว่า “สส.ที่เลือกมาหายไปไหนหมดอ๊ะ ไม่เห็นทำไรได้ซักคน เห็นแต่เอาหน้าโดยการเอาของที่ ปปช.บริจาคไปเป็นของตัวเองว่ามาจากตน กินกันยังไม่พออีกเหรอ” และอีกหลายต่อหลายคนแต่ที่เด็ดสุดเห็นจะเป็น “หนูดี วนิษา เรซ” ผู้อำนวยการโรงเรียนวนิษา ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามผู้แต่งหนังสือ “อัจฉริยะสร้างได้” ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตว่า “ขอพูดอะไรแรงๆ สักก็ ที่วนิษา ครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้...น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”
       
       “บิลลี่ โอแกน” เองก็มีข่าวว่า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กดุเดือดว่ารัฐบาลไร้ปัญญาแก้ไขน้ำท่วม ไล่ไปร้องไห้ให้ควายดู จนกลายเป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ แม้ว่าเจ้าตัวจะยังไม่ออกมายอมรับว่าเป็นเฟซบุ๊กของตนเองจริงหรือไม่
       
       ล่าสุด “ดีเจจั๊ดจ์ ธีมะ กาญจนะไพริน” แห่งคลื่น สบาย 90 เอฟเอ็ม ของบริษัทพีดี ครีเอชั่น จำกัด ก็ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ศปภ.ผ่านสถานี และจัดรายการ “จั๊ดจ์จัด” ลงยูทูปด้วยถ้อยคำที่ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แต่งตั้งให้ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” อดีตอธิบดีกรมตำรวจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมาเป็นผู้อำนวยการศูนย์ทั้งที่ไม่มีความรู้เรื่องน้ำ เพราะเติบโตมาจากการเป็นตำรวจมาทั้งชีวิต พอออกมาแถลงข่าวทีก็อ่านสคริปท์ และสื่อสารไม่รู้เรื่อง แผนที่ที่เอามาประกอบการแถลงข่าวก็ห่วย ไม่มีเงินจ้างทำกราฟฟิกให้ประชาชนเข้าใจหรือไง งานนี้ดีเจจั๊ดเลยจัดหนักว่า “ทั้งแก่ทั้งโง่” น่าจะไปดูการแถลงข่าวและการทำงานของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.ซะบ้าง สรุปสั้นๆ ว่า “โง่เง่า”
       
      ซึ่งภายหลังที่คลิปวิพากษ์วิจารณ์ศปภ.ดังกล่าวถูกเผยแพร่ลงในยูทูปดีเจจั๊ดก็โดนบริษัทพีดีพักงานและถูกไล่ออกในที่สุด เป็นดีเจทำงานบริษัทใหญ่ๆ อยู่ดีๆ ทำไมถึงไปวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมือง อะไรที่ทำให้ดีเจจั๊ดทะลักจุดแตก วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับดีเจจั๊ดให้มากขึ้น ไหนๆ ก็ออกจากงานแล้ววันนี้ขอบอกว่าดีเจจั๊ดจ์จัดหนักแน่...
       
       “เรื่องราวมันเกิดขึ้นเมื่อวันที่11 ตุลาคม วันนั้นผมจัดรายการคนเดียวพี่ธงธง มกจ๊ก(คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ)ดีเจที่จัดคู่กันไม่อยู่ แล้วศปภ.ก็ขอความร่วมมือมายังคลื่นคือต้องตัดรายการเข้าศปภ.วันละ 3 รอบ 10.00 น., 16.00 น. และ 22.00 น. ซึ่งช่วงที่ผมจัดอยู่เป็นช่วง 15.00 -18.00 น. ก็อยู่ในช่วงแถลงข่าวพอดี แต่วันนั้นศปภ.ไม่แถลงข่าวแต่ก็ไม่แจ้งมาว่าจะไม่แถลงข่าว พอผมเปิดไมค์มาก็เลยพูดเหน็บแนมไปนิดๆ หน่อยๆ ประมาณว่าจะแถลงแล้วทำไมไม่แถลง รายละเอียดจำไม่ได้แล้วแต่โดยเนื้อหาก็ประมาณนี้”
       
       “จากนั้นก็มีการพักงานผม โดยที่ไม่มีการเรียกไปเตือนแต่เป็นการโทรศัพท์มาหาผม โดยให้เหตุผลว่าศปภ.กับกองทัพก็ดำเนินนโยบายเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอยู่แล้ว ดังนั้นการที่เราไปว่าเขามันก็ไม่ถูกต้อง ผมก็ช็อกพอสมควรแต่ก็ยอมรับในการตัดสินใจของเขา ผมเองก็เคยจัดรายการวิทยุมาก่อนและก็เคยถูกพักงานเพราะไปพูดถึงเรื่องการเมือง ตอนนั้นจัดอยู่คลื่นแม็ก 103.0 ของอาร์เอส ผมจัดรายการชื่อจั๊ดจัดซึ่งเป็นชื่อเดียวกับที่ลงในยูทูป ตอนนั้นคุณสมัคร สุนทรเวช เสียชีวิตผมก็เปิดเพลงซึ่งมันในยูทูปที่คุณสมัครเคยร้องไว้ เนื้อหาเพลงประมาณว่าคนเราตายไปเอาอะไรไปไม่ได้ชื่อเสียงเงินทองเกียรติยศทำความดีกันไว้เถอะ ก็มีผู้ใหญ่เรียกไปเตือนและก็โดนพักงานไปหนึ่งสัปดาห์และกลับมาจัดรายการต่อ”
       
       “ส่วนครั้งนี้ผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ไม่ได้มากเท่าครั้งนั้นด้วยซ้ำแต่ผมก็โดนพักงาน 3 สัปดาห์กว่า พอสัปดาห์ที่ 4 ก็โทรมาบอกผมว่าจะมีการปรับผังและจะไม่ให้ผมจัดแล้ว ผมก็เสียใจครับแต่ว่าก็คาดเดาเอาไว้แล้วว่าอาจจะเป็นแบบนี้(จริงๆ แล้วบริษัทเขามีกฎห้ามพูดเรื่องการเมืองในขณะจัดรายการหรือเปล่า) เขาห้ามพูดครับแต่ผมเองเคยโทรศัพท์ไปคุยกับเอ็มดีของคลื่นนี้ว่า ถ้าเป็นช่วงของผมขอพูดเรื่องการเมืองบ้างได้ไหม ก็ได้รับคำตอบว่าพูดได้เพราะเขาเชื่อมั่นฝีมือของผมกับพี่ธงธงว่าจะสามารถพูดให้ไม่แรงเกินไปได้ แต่ตรงนี้ผมไม่มีหลักฐานเพราะเป็นการพูดคุยกันส่วนตัว”
       
       “โปรดิวเซอร์เขาก็บอกว่า จั๊ดจ์ต้องเข้าใจนะว่าบริษัทจะต้องดีลงานทั้งภาครัฐและเอกชน บริษัทพีดีนอกจากจะทำรายการวิทยุและโทรทัศน์แล้วก็ยังมีธุรกิจอีเว้นท์ที่จะต้องดิวกับราชการ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นอะไรยังไงก็ควรจะวางตัวเป็นกลางก่อน และเราเป็นสื่อด้านบันเทิงก็ควรจะยืนอยู่ตรงกลางและไม่ควรมีภาพลักษณ์ที่รุนแรงเอียงไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”
       
       “สำหรับการทำหน้าที่สื่อผมคิดว่าคิดแบบนั้นมันไม่ถูกต้อง แต่ผมก็เข้าใจในมุมมองของบริษัทนะครับที่จะต้องมองในเรื่องของเม็ดเงินการติดต่องาน แต่สำหรับผมเองผมคิดว่าสื่อสารมวลชนจะต้องนำเสนอข้อมูลให้รอบด้าน และข้อมูลรอบด้านมันก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องยืนอยู่ตรงกลางเสมอไป ถ้ามันได้ผ่านการศึกษาข้อมูลมาอย่างละเอียดแล้วว่ามันเป็นแบบนั้น เราก็ควรจะถ่ายทอดข้อมูลออกไป แต่ในการถ่ายทอดมันมีวิธีจบของข้อความที่เราอยากจะสื่อสารออกไปให้ผู้ฟังเอาข้อมูลของเราไปตัดสินโดยใช้วิจารณญาณของเขาเอง”
       
       “ผมว่าการเป็นสื่อมันไม่ควรจะกลัวในเรื่องของการเมืองและผลักเรื่องการเมืองไปอยู่ไกลตัว ผมว่าการเมืองเป็นธรรมดาของชีวิตคนครับ แต่การเมืองเป็นสิ่งต้องห้ามไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นโดยเฉพาะคนบันเทิงส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นว่าตนเองสนับสนุนฝ่ายไหนหรืออะไรยังไง ผมว่าการที่เราสนับสนุนฝ่ายไหนไม่ได้หมายความว่าเราไม่สามัคคี เพราะเลือกตั้งเราก็ต้องเลือกข้างอยู่แล้ว เราก็ต้องมีข้างที่เราปลื้ม มันเป็นการแสดงความคิดเห็นมากกว่าทำไมเราถึงชอบนโยบายของฝั่งนี้”
       
      แล้ว “จั๊ดจ์” เลือกข้างไหน ?
       “ผมขอยืนอยู่ข้างสถาบันพระมหากษัตริย์ครับ อันนี้คือจุดยืนของผม ผมเป็นคนที่รักและเทิดทูนในหลวง ท่านมีคุณูปการต่อประเทศชาติมากมายก่ายกอง ฉะนั้นการเมืองอยากจะเล่นอะไรก็เล่นไปแต่อย่าเล่นถึงพระองค์ท่าน ผมเข้าใจว่ามีคนสนับสนุนเสื้อแดงเสื้อเหลือง ชอบประชาธิปัตย์หรือว่าอยู่พรรคเพื่อไทย หรือว่าจะอะไรก็ตามที แต่ไม่ควรจะล้มล้างระบอบการปกครองที่มีอยู่ในปัจจุบัน คือผมไม่สนับสนุนพวกที่ล้มเจ้าครับ”
       

       “ในยูทูปผมก็มีการพูดถึงมาตรา 112 ที่อยากจะแก้ไขกันเหลือเกิน ผมคิดว่าระบอบการเมืองในปัจจุบันมันดีพอแล้วถ้านักการเมืองมีคุณภาพเล่นการเมืองกันอย่างสะอาดไม่โกง ถ้ามองไปรอบตัวทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมกันเป็นประเทศไทยมันถูกแฝงไปด้วยสัญลักษณ์ ถูกแฝงไปด้วยพระเดชพระคุณ ถูกปลูกฝังไปด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่มันเป็นสิ่งดีงามที่ถ่ายทอดมาโดยสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นที่จะไปล้มล้างไปทำให้พระราชอำนาจของท่านหายไป ถ้าคุณบอกว่าประชาธิปไตยมันจะไม่เต็มใบ แต่ผมว่ามันเต็มใบครับถ้าคุณทำอะไรตามลู่ตามทางที่มันดี ขอแค่คุณอย่าโกงมันเพียงพอแล้ว”
       
       เมื่อปี 2538 ที่เกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่ไม่ต่างจากปัจจุบัน ครั้งนั้นในหลวงทรงมีพระราชวินิจฉัยและพระราชทานแนวพระราชดำริการแก้ปัญหาน้ำท่วมจนประเทศชาติรอดพ้นจากวิกฤติด้วยพระปรีชาสามารถ แต่ในขณะที่รัฐบาลของยิ่งลักษณ์ กลับไปดึงเอานักวิชาการต่างประเทศเข้ามาวุ่นวายในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมไปหมด ทั้งที่เรามีกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถเก่งในเรื่องน้ำอยู่แล้ว ที่เรามีเขื่อนไว้กักเก็บน้ำ มีโน่นนี่ระบบที่เกี่ยวกับน้ำ ก็เกิดจากโครงการพระราชดำริและพระปรีชาสามารถของในหลวงทั้งสิ้น แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับให้ความสำคัญกับต่างประเทศ แม้แต่สื่อมวลชนเองก็ไม่นำเสนอข่าวเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี 2538 ของพระองค์ให้แพร่หลาย มีแต่ไปตามติดก้นฝรั่งให้ฝรั่งมาวิพากษ์วิจารณ์การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของประเทศไทย เรื่องนี้ “ดีเจจั๊ดจ์” ให้ความเห็นว่า....
       “ผมรู้สึกว่าหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่ในหลวงทรงทำไว้ให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องน้ำมันชัดเจนอยู่แล้ว เราควรจะน้อมรับเอาพระราชดำริที่เกี่ยวกับเรื่องน้ำมาบริหารจัดการ พระองค์ท่านอยู่กับปัญหาน้ำมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปีแต่นักการเมืองอยู่มา 2 ปีหรืออย่างมากก็ไม่เกิน 8 ปี แต่จริงๆ แล้วอยู่ไม่ถึงสมัยซะด้วยซ้ำ กลับมาลองผิดลองถูกกับประเทศ ทำไมไม่นำเอาแนวทางของในหลวงมาปฏิบัติ ส่วนเรื่องที่เอานักวิชาการต่างชาติมาประเทศไทยเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำโดยเฉพาะนักวิชาการเนเธอร์แลนด์ที่เก่งเรื่องน้ำเอาแนวคิดเขามารวมกับเราได้ก็ดี”
       
       “แม้แต่ข้าราชการของไทยเองก็ดูแลด้านน้ำมานานเขาอยู่กับตรงนี้มานาน กว่าจะขึ้นมาเป็นระดับอธิบดีระดับปลัดกระทรวงเขาต้องทำงานด้านนี้มาแล้วกี่สิบปี เขามีความรู้ความสามารถตรงนี้ดี แต่พอถึงเวลาจะต้องให้เขามาฟังอำนาจการสั่งการจากนักการเมืองที่พึ่งจะมาบริหารประเทศ ผมอยากจะให้นักการเมืองฟังข้าราชการบ้าง และเอาอำนาจที่นักการเมืองมีไปสั่งการให้อำนวยความสะดวกในการทำงานของข้าราชการ”
       
       “อย่างคุณประชาเป็นตำรวจมาตลอดชีวิตอยู่ดีๆ ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมก็พอเข้าใจได้ แต่อยู่ดีๆ เอามาเป็นผู้อำนวยการศปภ.ถามว่ากางแผนที่ออกมาท่านรู้หรือเปล่าอะไรตรงไหน เขื่อนไหนมีกำลังกักเก็บเท่าไหร่ควรจะบริหารเท่าไหร่ ท่านก็อาศัยการอ่านเพิ่มเติมเมื่อตอนที่เข้ามารับตำแหน่ง ท่านอยู่กับตำแหน่งกี่วันล่ะครับ เดือนหรือสองเดือน ? เทียบกับข้าราชการที่ทำงานด้านนี้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เรียนจบมา ใครมันจะมีความรู้ความสามารถกว่ากันล่ะครับ"

   
   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #403 เมื่อ: 19 พฤศจิกายน 2554, 14:13:48 »

มีผู้นำที่สิ้นคิด ประเทศก็มีสิทธิสิ้นหวัง
โดย ประยูร อัครบวร    
       สังคมไทยวันนี้เป็นสังคมที่มีปมแห่งความขัดแย้ง ไปที่ไหนๆ ก็จะมีคำถามที่เกิดจากความห่วงใยว่าเมื่อไหร่ เมืองไทยจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ และใครจะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปในทางที่ดีกว่า ฯลฯ ซึ่งการจะตอบคำถามในแต่ละคำถามนั้นต่างต้องใช้เวลา ด้วยรากเหง้าของความขัดแย้งในสังคมไทยต่างเกิดจากผลประโยชน์ทางการเมืองของนักการเมืองที่มีอำนาจ ที่รู้จักการใช้กลไกการตลาด รู้จักจิตวิทยาฝูงชนทำให้ผู้คนหลงใหลได้ปลื้มกับการได้เละเล็มอำนาจและผลประโยชน์เฉพาะตน รวมทั้งเข้าใจระบบอุปถัมภ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงคนได้ตามใจปรารถนาของนายเงิน
       
       สภาพที่สังคมไทย ที่ผู้คนถูกลากให้เข้าอยู่ในเขาวงกตสีเทา ที่เป็นมายาภาพแห่งการฉลาดแกมโกงของคนส่วนหนึ่ง ความโง่เขลาเบาปัญญาหรือยังสลึมสลือส่วนหนึ่งและยังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่เห็นมายาภาพแล้วทนไม่ได้ จนก่อเกิดคำถามท้าทาย ที่จะออกจากเขาวงกตนี้ ซึ่งสภาพคนที่วิ่งหนีจากเขาวงกตนี้ก็ไม่ต่างกระบวนผู้คนที่ออกมาต่อต้านระบบทักษิณ
       
       เมื่อผู้คนที่ออกมาสู้กับระบบที่ชั่วร้าย ระบบที่เปิดให้โกงกินกันทั่วทุกถิ่นที่ พอเกิดเป็นคดีก็อ้างหน้าตาเฉยว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีใบเสร็จและที่สำคัญวาทกรรมประวัติศาสตร์ที่ว่า
       
       “บกพร่องโดยสุจริต”
       
       คำพูดข้างต้นนี้ ไม่ได้สะท้อนความเป็นผู้นำที่สำนึกในความผิด แต่เป็นการเย้ยหยันสังคมไทยว่าหน้าโง่กฎหมายก็คือกระดาษที่เขียนไว้ประดับในห้องทำงานเท่านั้น ถ้าชนะการเลือกตั้งมา ประชาชนที่ลงคะแนนเสียงเป็นหลักประกันซึ่งเปรียบเสมือนดวงตราประทับรับรองว่าถ้าโกงก็ไม่เป็นไร เพราะโกงในนามตัวแทนประชาชน แถมยังมีระบบลด แลก แจก แถม โดยเฉพาะเงินกระจายแจกไปตามขนาดของชุมชน ซึ่งผลของระบบประชานิยมในวันนี้ คนไทยได้เสพติดและกลายเป็นพวกงอมืองอเท้า รอการช่วยเหลือจากรัฐ โดยไม่รู้สึกรู้สาอย่างที่ทางพระเรียกว่าประพฤติชอบหรือมีสัมมาชีวะ
       

       เมื่อเกิดคำถามว่า “เมื่อไหร่สังคมไทยจะหลุดพ้นจากปมความขัดแย้งหรือหลีกหนีจากเขาวงกตแห่งความชั่วร้ายได้” ผู้เขียนตอบแบบฟันธงได้เลยว่า “ต้องทำลายเขาวงกตเท่านั้น สังคมไทยจึงหนีความขัดแย้งนี้ได้”
       
       ส่วนคำถามที่ตามมาว่า “ใครจะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปในทางที่ดีกว่าหรือใครจะเป็นผู้นำในการฝ่าวิกฤตนี้ได้” ผู้เขียนตอบได้เลยว่า “อยู่ที่ประชาชน” ด้วยรากเหง้าของความขัดแย้งในสังคมได้ถูกพัฒนาสู่ความรุนแรง แบ่งแยกผู้คนอย่างเห็นได้ชัด การแก้ปัญหาจึงยากที่จะอาศัยอัศวินม้าขาวมาคนเดียว
       
       แต่อย่างไรก็ตาม จากประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงในโลกต่างมีที่มาที่เกิดจากคนหรือกลุ่มคนที่มีความคิด มีการศึกษาผนึกกำลังกัน ขับเคลื่อนองค์ความรู้ให้เกิดการยอมรับจนเป็นฉันทามติที่สมาชิกในสังคมยอมรับหรืออีกในหนึ่งคือการสร้างศรัทธาที่ประชาชนมีความปรารถนาร่วมกันในการพัฒนาเปลี่ยนแปลง ซึ่งพันธมิตรจากสหรัฐอเมริกาอย่างคุณบรรจบ เจริญชลวานิช ได้ยกตัวอย่างสังคมอเมริกันในช่วงเริ่มต้นของการสร้างประเทศที่มีบุคคลที่ทรงคุณค่าอย่าง จอร์จ วอชิงตัน เบนจามิน แฟรงคลิน โทมัส เจฟเฟอร์สัน โทมัส เพน จอห์น อดัม ฯลฯ ที่เสียสละเลือดเนื้อ ชีวิต และทรัพย์สิน ทุ่มเทความคิด สร้างความเชื่อมั่น นำการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน...และท่ามกลางการต่อสู้นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของแต่ละคนดังนี้
       
       - ท่ามกลางความลำเค็ญ จอร์จ วอชิงตัน ไม่กล่าวโทษผู้ใด ได้แต่ถามตนเองเสมอว่า ตนเหมาะสม ในการเป็นแม่ทัพกอบกู้ประเทศ ต่อไปหรือไม่
       
       -ท่ามกลางการกดดันของนายทุน เบนจามิน แฟรงคลิน ยืนหยัดบนหลักการของฐานันดรที่สี่ ได้อย่างสมภาคภูมิ
       
       -ท่ามกลางความยินดีต่อความสำเร็จในการก่อกำเนิดชาติ และฟูมฟักจนแข็งแกร่ง โทมัส เจฟเฟอร์สัน ผู้เกิดมารวยบนกองเงิน กลับตายจนบนกองหนี้...
       
      ส่วน โทมัส เพน เป็นนักปฏิวัติเสรีประชาธิปไตยชาวอังกฤษ ถูก เบนจามิน แฟรงคลินชักชวนให้ไปเสี่ยงโชคที่อเมริกา โดยเข้าทำงานเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Pennsylvania Magazine ได้เขียนบทวิพากษ์วิจารณ์ รวมทั้งหนังสือหลายเล่มแต่เล่มที่สำคัญชื่อ Common Sense ได้เป็นแรงบันดาลใจให้คนอเมริกันทำสงครามประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ ซึ่งโทมัส เพน มีความกล้าหาญในการปลุกสำนึก ทั้งเตือนสติ
       
       “คนอเมริกันผู้ซึ่งพล่ามรำพันถึงความรักชาติ แต่ขอเป็นทหาร เฉพาะในยามสบายของหน้าร้อน ให้กลับมาอยู่สู้ศึกอย่างยากแค้นลำเค็ญ ในฤดูหนาวอันยาวนาน...”
       
        จากตัวอย่างของผู้นำในยุคอเมริกันสร้างชาติ จะเห็นได้ว่า ผู้นำเหล่านี้ต่างมีศรัทธาต่อการทำสิ่งที่ดี เพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนรวม มีความกล้าที่จะทำ ไม่ยึดติดในอำนาจและที่สำคัญคือไม่มีความกลัวที่จะทำความดี
       
        เมื่อผู้นำมีศรัทธาในการสร้างชาติ บรรดาชาวอเมริกันที่เป็นเสรีชนก็เข้าร่วมแบบไม่กลัวตาย และที่สำคัญของการเป็นผู้นำนั้นต่างมีสมองหรือกระบวนการคิดที่สื่อถึงประชาชนให้เข้ามาร่วมกระบวนการจากประชาชนสู่ประชาชน จากรัฐสู่รัฐ ทำให้มาหลอมรวมประชาชนที่มาจากหลายสาแหลกแบบอเมริกันชนนั้น ไม่มีข้อสงสัยในตัวผู้นำ ไม่ว่าในความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์สุจริต หรือสติปัญญา ฯลฯ
       
        ส่วนในประเทศไทย ปัจจัยของการสร้างชาติ เปลี่ยนแปลงสังคมสู่สังคมที่ดีกว่านั้น ก็ไม่ได้ต่างสังคมที่เป็นอารยะอื่นๆ ที่ต้องดูความเข้าใจ การรับรู้ของประชาชน และที่สำคัญอย่าทำให้ประชาชนสงสัยและไม่มีความศรัทธาในตัวผู้นำ ที่ถูกยึดถือว่าเป็นแกนนำหลักในการผลักดันสังคม ซึ่งผู้เขียนใคร่เสนอข้อความที่ คุณธัชพงศ์ จันทรปรรณิก พันธมิตรจากสหรัฐอเมริกาส่งมาให้อ่านเป็นข้อคิดว่า
       
        “Thai PM has two sides of brain, the Left brain has nothing right, and the Right brain has nothing left” หรือ “นายกรัฐมนตรีไทยมีสมองสองด้าน สมองด้านซ้ายไม่มีอะไรที่ถูกต้อง และสมองด้านขวาไม่มีอะไรเหลือ (ว่างเปล่า)”
       

        ข้อสรุปข้างต้นนั้น แม้ไม่ได้บอกนะครับว่านายกรัฐมนตรีไทย คนไหน แต่ก็เป็นข้อคิดว่าสังคมไทย เรานั้น “ถ้าผู้นำสิ้นคิด ประเทศไทยเราก็มีสิทธิสิ้นหวัง”

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #404 เมื่อ: 19 พฤศจิกายน 2554, 14:37:21 »

ถอดรหัส อภัยโทษ

    19 พฤศจิกายน 2554 Posttoday.com
 
ประเด็น: พรฎ-อภัยโทษเอื้อทักษิณ ,

"แต่จะเขียนให้เปลี่ยนไปจากนี้ ใจคุณถึงก็ทำไปสิ ในอดีตผมไม่เคยเห็นคนไม่ติดคุกจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ"

โดย.....ธรรมสถิตย์ ผลแก้ว

ใจคุณถึง...ก็ทำไปสิ

ผ่านมาถึงวันนี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดยิ่งลักษณ์บ่ายเบี่ยงชี้แจงรายละเอียดร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ตามที่ตกเป็นกระแสข่าวเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ

การปกปิดข้อมูลด้วยการยกข้ออ้าง เป็นวาระลับพูดไม่ได้ ผ่านการให้สัมภาษณ์ของ ร.ต.อ.เฉลิมอยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่นั่งหัวโต๊ะครม.ในเวลานั้น รวมถึงบรรดารัฐมนตรีสร้างความเคลือบแคลงสงสัยในหลายประเด็น

ทั้งที่ในอดีตเมื่อถึงโอกาสสำคัญ ครม.จะมีมติผ่านความเห็นชอบร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับครั้งนี้เหตุใดถึงกลายเป็นชนวนร้อนทำให้กลุ่มองค์กรภาคประชาชน นักวิชาการออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านถึงขั้นคณาจารย์รวมตัวออกแถลงการณ์ชี้ว่า นี่เป็นร่าง พ.ร.ฎ.แหวกม่านนิติประเพณี ทำลายระบบนิติรัฐของบ้านเมือง

รี

วิษณุ เครืองาม อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำหน้าที่จัดระเบียบวาระให้ความเห็นชอบข้อกฎหมายในหลายรัฐบาล ได้ถ่ายทอดกระบวนการผ่านร่างพ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษจากอดีตถึงปัจจุบันไว้อย่างน่าสนใจชนิดที่ต้องขีดเส้นใต้

วิษณุ ออกตัวก่อนว่า เขายังไม่เห็นรายละเอียดร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษฉบับ ครม. และไม่ยืนยันว่า ครม.ได้พิจารณาเรื่องนี้จริงตามที่มีกระแสข่าวหรือไม่ จึงไม่สามารถบอกได้ว่า การเขียนเนื้อหาลงในร่าง พ.ร.ฎ.ฉบับนี้ผิดแผกไปจากอดีตมากน้อยขนาดไหน แต่ยอมรับอย่างหนึ่ง เป็นสิทธิของรัฐบาลจะเขียนออกมาอย่างไรก็ได้

"แล้วแต่จะเขียนอย่างไรก็ได้ แต่ละฉบับไม่เหมือนกัน รัฐบาลนี้จะเขียนมากน้อยแล้วแต่ แต่พูดอย่างแฟร์ๆ การพิจารณาร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ในการประชุมลับเป็นเรื่องปกติ เราไม่อยากให้รู้กันออกไป เดี๋ยวญาตินักโทษหรือตัวนักโทษจะตั้งข้อสงสัยทำไมถึงไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษจะมีการฮือแหกคุก สมมติต้องรับโทษไม่เกิน 3 ปีทำไมไม่เขียนไม่เกิน 4 ปี เขาจึงพยายามทำเป็นเรื่องลับ"

ต่อข้อสงสัยร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษถือเป็นเรื่องลับในที่ประชุม ครม.เสมอไปหรือไม่วิษณุ ยอมรับว่า "จากประสบการณ์ในอดีต ทุกครั้งเป็นการประชุมลับ" ถามต่อไปว่า ถึงขั้นไม่ต้องแถลงให้สาธารณชนทราบเลยใช่ไหม คำตอบของอดีตแม่บ้าน ครม.ดูจะขัดกับสิ่งที่ รัฐมนตรีในรัฐบาลอ้างว่าพูดไม่ได้อยู่บ้าง วิษณุ บอกว่า ในอดีตเมื่อมีมติ ครม.ในเรื่องนี้จะมีการแถลงให้สาธารณชนรับทราบซึ่งเลขาธิการ ครม.ไม่จำเป็นต้องแถลงก็ได้ เพราะมีโฆษกรัฐบาลทำหน้าที่แถลงอยู่แล้ว

"การแถลงก็แถลงว่า ครม.มีมติผ่านร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษแล้ว แต่ไม่ขอแถลงในรายละเอียด โดยให้กฤษฎีกาไปพิจารณาต่อไป"

พิจารณาประโยคข้างต้นจะเห็นความแตกต่างระหว่าง ครม.ในอดีตกับ ครม.ปัจจุบัน มีเจตนาที่จะให้ความจริงประชาชนมากน้อยขนาดไหน เพราะครม.ในอดีตแถลงมติเห็นชอบ พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ แต่ ครม.ปัจจุบันปกปิดไม่พยายามที่จะบอกอะไรเลย จริงอยู่เรื่องของรายละเอียดอาจต้องขอสงวนไว้เป็นความลับ แต่กับการติดตามสัมภาษณ์คนในรัฐบาล หรือแม้แต่ อำพน กิตติอำพน เลขาธิการครม.คนปัจจุบัน ว่าเรื่องนี้บรรจุอยู่ในระเบียบวาระหรือไม่ ผ่านหรือไม่ ก็ไม่มีความชัดเจนออกมา

แกะรอยเส้นทาง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษกันดูบ้าง อดีตเลขาธิการ ครม. บอกว่า ในอดีตเมื่อมีโอกาสสำคัญจะมีคณะกรรมการพิเศษที่ตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินการเฉลิมฉลองในโอกาสสำคัญอยู่แล้ว โดยจะเสนอรูปแบบกิจกรรมออกมาเป็นแพ็กเกจ ตั้งแต่จัดให้มีพิธีทำบุญ อุปสมบท ปล่อยนักโทษ จากนั้นเข้าสู่กลไกทำงานผ่านหน่วยงานราชการ ซึ่งกรณีพระราชทานอภัยโทษเป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์รวบรวมข้อมูล สมัยก่อนเสนอกระทรวงมหาดไทย เพราะเป็นต้นสังกัด แต่ปัจจุบันกรมราชทัณฑ์สังกัดกระทรวงยุติธรรม ก็จะต้องทำเรื่องเสนอกระทรวงยุติธรรม จากนั้นเสนอเข้าครม. เมื่อ ครม.ผ่านความเห็นชอบจึงส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่าง

การส่งร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นอีกประเด็นต้องจับตามอง วิษณุ บอกว่า ที่ผ่านมาไม่จำเป็นต้องนำเรื่องเข้ากฤษฎีกาคณะพิเศษขึ้นอยู่กับสำนักงานพิจารณาก่อนว่า มีความจำเป็นมากน้อยขนาดไหน ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาอะไรมาก ก็ส่งให้สำนักงานเป็นผู้พิจารณาช่องทางมี 3 ทาง ให้สำนักงาน ให้คณะกรรมการ หรือให้คณะกรรมการคณะพิเศษพิจารณา หลังจากพิจารณาเสร็จ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาส่งกลับ ครม. เพื่อนำความขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายก่อนประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา

"การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาจะให้สำนักงานหรือคณะกรรมการได้ทั้งนั้นเพราะเป็นเรื่องสั้นๆ ง่ายๆ สำนักงานเอาไปทำเองก็ได้ ไม่เหมือนเรื่องล้างมลทินเป็นเรื่องใหญ่ต้องเข้าคณะกรรมการ นี่คือประสบการณ์นะ ส่วนเรื่องนี้เป็นอย่างไรผมไม่รู้"

แม้จะไม่เห็นรายละเอียดของร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ แต่ทุกกระแสเสียงดูจะเข้าใจทำนองเดียวกัน เป็นการเขียนร่าง พ.ร.ฎ.เพื่อมุ่งช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษามีความผิดคดีที่ดินรัชดาฯจำคุก 2 ปี แต่กำลังได้รับการพ้นโทษทั้งที่ยังไม่ได้เข้ามานอนคุก

จึงมีคำถามตามมาว่า การเขียนเนื้อหาร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษโดยไม่ต้องถูกคุมขังทำได้หรือไม่ มือกฎหมายและเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกฤษฎีกา ยอมรับว่าทำได้แต่เหมาะหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

"ทำได้นะ แต่ควรทำหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่โดยปกติที่ผ่านมาคน กำลังรับโทษอยู่จึงจะได้ชื่อว่าควรแก่การได้รับพระราชทานอภัย แต่จะเขียนให้เปลี่ยนไปจากนี้ ใจคุณถึงก็ทำไปสิ ในอดีตผมไม่เคยเห็นคนไม่ติดคุกจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ"

ถามย้ำ ถ้ายังเดินหน้าเขียนไว้ในร่าง พ.ร.ฎ.ไม่ต้องจำคุกก็ได้รับการพระราชทานอภัยโทษต่อไปจะกระทบต่อหลักนิติรัฐหรือไม่ ถึงตอนนี้วิษณุปฏิเสธที่จะตอบคำถาม "ผมไม่ตอบลงในรายละเอียด แม้จะมีความรู้สึก แต่ไม่ตอบ"

แม้วิษณุไม่ขอทำนายว่าเขา (รัฐบาล) จะกล้าตัดหลักเกณฑ์ผู้ได้รับการพระราชทานอภัยโทษไม่จำเป็นต้องถูกคุมขังหรือไม่ แต่ด้วยถ้อยความขีดเส้นใต้ตัวหนา "ใจคุณถึงก็ทำไปสิ"หากถอดรหัสออกมาก็ดูเป็นการส่งสัญญาณไปถึงสถานการณ์ทางการเมืองในอนาคตจะเป็นเช่นไร

ด่านหินกับบทเรียนในอดีต

ย้อนกลับไปดูเนื้อหาร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษที่ ครม.ไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่แหล่งข่าวระบุออกมาดังนี้ มีการกำหนดหลักเกณฑ์ของนักโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว คือ เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีนอกจากนั้นยังมีการตัดคำแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2553 ฉบับที่เขียนในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเนื้อหา

ระบุว่า ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษ จะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติดและไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งยังไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับการเข้ารับโทษ

ถ้าเป็นไปตามที่สื่อต่างๆ นำมาเสนอ เท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าข่ายได้รับการขอพระราชทานอภัยโทษ โดยที่ไม่ต้องเข้ารับการคุมขังแม้แต่วันเดียว ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งตรงกับที่ ร.ต.อ.เฉลิม เคยทำเอกสารแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชนก่อนหน้านี้

วิษณุ อธิบายว่า "ประเภทที่รับการพระราชทานอภัยโทษไม่ว่าจะเป็นประเภทยาเสพติด คอร์รัปชัน สมัยก่อนได้รับการพระราชทานอภัยโทษหมด แต่ตอนหลังมีการปราบยาเสพติดกันมาก จึงเขียนยกเว้นคดียาเสพติด ส่วนเรื่องทุจริตเท่าที่จำได้ ผมไม่เคยเห็น แปลว่าอยู่ในข่ายด้วย ที่เอาเรื่องยาเสพติดเพราะนโยบายรัฐบาลสิบปีที่ผ่านมาเน้นเรื่องยาเสพติด แต่ถ้าวันนี้นโยบายรัฐบาลจะเน้นเรื่องป้องกันทุจริต คุณอาจจะยกเว้นไว้ก็ได้"

คำอธิบายของวิษณุสอดรับกับ พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2553 ที่เขียนขึ้นในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่ไม่ต้องการให้นักโทษคดียาเสพติด นักโทษเกี่ยวกับคดีทุจริตคอร์รัปชันได้รับการพระราชทานอภัยโทษ จึงมีการเขียนคำแนบท้าย พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับการพระราชทานอภัยโทษ จะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติดและไม่เกี่ยวกับการทุจริต ทั้งยังไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับรับโทษ อีกนัยรัฐบาลมีนโยบายปราบปรามยาเสพติดจริงจัง และมีนโยบายต่อต้านการทุจริต จึงสกัดกันช่องทางการพระราชทานอภัยโทษไว้ด้วย

แต่ถ้ารัฐบาลชุดปัจจุบันมีการตัดเนื้อหาข้อยกเว้นของรัฐบาลยุคประชาธิปัตย์ จะทำให้ถูกมองว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายปราบปรามยาเสพติด ไม่ให้ความสำคัญกับการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันได้หรือไม่ วิษณุตอบตามหลักการว่า "ถ้านโยบายรัฐบาลไม่สนใจเรื่องอย่างนี้ จะตัดออกไปหมดก็ได้ จะยกเว้นอะไรก็ได้"

ไม่ว่าจะตัดหรือยกเว้นความผิดใดๆ ออกไปถึงกระนั้นวิษณุให้ข้อมูลเพิ่มเติม "แต่ พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษบางฉบับในอดีตเคยขอให้ยกเว้นคดีความผิดความมั่นคงต่อรัฐแต่ปรากฏว่ายังไงก็ไม่ได้พระราชทานอภัยโทษหรอกต่อให้คุณเข้าข่าย"

หรือนี่กำลังจะบอกว่า แม้จะยกร่าง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษให้เป็นไปตามความต้องการของฝ่ายการเมืองหรือเอื้อประโยชน์ให้คนใดคนหนึ่งหรือไม่ก็ตาม แต่ทว่ายังต้องฝ่าด่านหินอีกหลายด่าน เพราะฉะนั้นความหวังจะได้รับการพระราชทานอภัยโทษอภัยโทษ อาจไม่ง่ายอย่างที่หวังก็ได้

ถามทิ้งท้ายว่า พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษจะต้องดำเนินการให้ทันวันที่ 5 ธ.ค. หรือไม่วิษณุ บอกว่า ไม่จำเป็น แต่ย้อนกลับมาวันที่ 5 ธ.ค. จะมีผลปลายเดือน ม.ค. ก็ได้

'ผมทำงานให้รัฐไม่ใช่รัฐบาล'

นับตั้งแต่ใช้ชีวิตข้าราชการมา 30 ปี ทำงานในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มายาวนาน 15 ปี กับรัฐบาล 10 ชุด นายกรัฐมนตรี7 คน วิษณุ เครืองาม ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งสุดท้ายทางราชการ นั่นก็คือ เลขาธิการครม. ตามการทาบทามของ พ.ต.ท.ทักษิณ นายกรัฐมนตรีสมัยนนั้น ให้ไปทำหน้าที่รองนายกฯดูแลงานด้านปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูปกฎหมาย เริ่มลิ้มลองรสชาติการเมืองมากขึ้น จนได้ไปขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงสังกัดพรรคไทยรักไทย ทำให้หลายคนคิดว่าจะก้าวไปเป็นนักการเมืองเต็มตัว แต่เมื่อเข้าไปคลุกวงในบรรดานักการเมือง ได้เห็นอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างทำให้รู้ตัวว่า "นี่ไม่ใช่ตัวเอง" จึงต้องถอยออกมาในที่สุดถึงกระนั้น มือกฎหมายระดับแถวหน้าเมืองไทย ยังได้รับความไว้วางใจจากวงการราชการ ภาคธุรกิจ เอกชน แต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการชุดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคณะ

กรรมการกฤษฎีกา อนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) บอร์ดรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ แต่งานที่รักและอยู่ในจิตวิญญาณไปแล้ว นั่นก็คือการเป็นอาจารย์สอนหนังสือประจำสถาบันการศึกษาหลายแห่งแม้จะเว้นวรรคหน้าข่าวการเมืองไปนานแต่ระยะหลังปรากฏชื่อ ศ.ดร.วิษณุ เป็นผู้ดำเนินรายการ บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ กฎหมายหลักธรรมาภิบาล ทางหน้าจอเคเบิลทีวี ล่าสุดมีชื่ออยู่ในคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.)โดยมี ดร.โกร่ง-วีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธาน ไล่เรียงดูรายชื่ออุดมไปด้วยระดับกูรูชั้นนำของประเทศมาร่วมกันคิดอ่านวางแผนฟื้นฟูประเทศหลังจากเผชิญมหาอุทกภัยถล่มเมือง

อดไม่ได้ถามไถ่กันซึ่งหน้า เป็นอย่างไรบ้างที่ได้กลับมาร่วมงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์ วิษณุปฏิเสธทันควัน "ไม่ได้มาทำงานกับรัฐบาล แต่มาทำงานให้รัฐ"

ทันทีที่มาทำงานให้ "รัฐ" ได้ร่วมประชุม กยอ.นัดแรกไปแล้ว วิษณุ บอกว่า ไม่ได้เข้ามาเพื่อทำหน้าที่ดูแลงานกฎกหมายโดยตรง แต่ได้รับมอบหมายจากวีรพงษ์ ในเรื่องการจัดสร้างองค์กร เพราะเขามองว่า ตามระเบียบสำนัก

นายกรัฐมนตรี ตั้ง กยอ. มีอำนาจหน้าที่น้อยมาก ในขณะที่ปัญหาอุทกภัยเป็นสถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ว่าหลังน้ำลดแล้วฟื้นฟู แต่ต้องมองถึงสถานการณ์ในอนาคตด้วยว่า จะเผชิญวิกฤตที่หนักหน่วงกว่านี้อีกหรือไม่ ซึ่งเขาไม่ได้มองเฉพาะอุทกภัย แต่มองไปถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่นด้วย จึงควรจะมีการตั้งเป็นองค์กรเฉพาะ มีการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) มาบังคับใช้ ซึ่งจะทำให้การบริหารงานเป็นไปด้วยความคล่องตัวในระยะยาว

"ตอนนี้มีโมเดลหลายแบบ ก็ต้องมาดูจะใช้รูปแบบต่างประเทศหรือไม่ เขาส่งมาให้เยอะจากกูเกิลนั่นแหละ" วิษณุหยอดมุขเล็กน้อยก่อนจะยกตัวอย่างรูปแบบองค์กรต่างประเทศเช่น เทนเนสซีวัลเลย์ในสหรัฐ โครงการเอ็มไพร์สเตต กรณีการลงทุนของประเทศนิวซีแลนด์ หรือบางประเทศมีการจัดตั้งบรรษัทลงทุนที่คล้ายกับบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมและเขียนตัวบทกฎหมายให้อำนาจจัดการอย่างชัดเจนว่ามีอำนาจทำอะไรได้บ้าง

ไม่เพียงงานระดับชาติ งานส่วนตัวก็ไม่ใช่ย่อย ตั้งแต่เป็นรองนายกฯ ก็สร้างความฮือฮาด้วยการถ่ายทอดประสบการณ์สมัยนั่งเป็นแม่บ้านห้องประชุม ครม.ผ่านตัวหนังสือ "ครัวครม." เขย่าวงการร้านอาหาร กระทั่งเมื่อก่อนเกิดเหตุน้ำท่วม ก็เปิดตัวพ็อกเกตบุ๊กเล่มล่าสุดสะเทือนทำเนียบรัฐบาล "โลกนี้คือละคร" เป็นการบอกเล่าเบื้องหน้าเบื้องหลังการทำงานร่วมกับนักการเมืองมากหน้าหลายหน้าตา หลายต่อหลายเรื่องใน ครม. ที่ประชาชนไม่รู้ก็ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านหนังสือเล่มนี้

ตอนหนึ่งในหนังสือโลกนี้คือละคร หน้า301 วิษณุ เปิดเผยเทคนิคการให้สัมภาษณ์ว่า"การสัมภาษณ์จะมีอย่างไรก็ตาม ต้องยึดหลักว่า หากไม่อยากพูด ก็ไม่ต้องพูด แต่ถ้าพูด ควรพูดความจริง ไม่ควรกล่าวความเท็จเพราะถูกจับได้ไล่ทันจนไปกันใหญ่ ถ้าพูดความจริงหมดไม่ได้ ก็พูดเท่าที่พูดได้ ที่เหลือก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ"

เนื้อหาตอนนี้ ช่างเข้ากับสถานการณ์ที่บรรดา ครม.ต่างหาทางชิ่งหนี ปกปิดรายละเอียดร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.)พระราชทานอภัยโทษ ซึ่งถ้าจะหาทางออกเพื่อคลี่คลายความสงสัย ก็น่าจะขอยืมเทคนิคที่วิษณุเขียนไว้ในหนังสือนี้มาลองใช้ดูก็ได้

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #405 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2554, 20:11:52 »

เจาะเหตุผล"ณรงค์"หัวขบวนฟ้องรัฐ

    20 พฤศจิกายน 2554 posttoday.com

เราต้องฟ้องเพื่อชดใช้ให้ผู้ได้รับความเสียหาย ซึ่งไม่ได้บอกว่าฟ้องใคร แต่จะฟ้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เคยตั้งใจว่าจะฟ้องรัฐบาลหรือนายกฯ

โดย...ทีมข่าวการเมือง

มหาอุทกภัยถล่มเมืองสร้างความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินประชาชนและส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจเอกชนมหาศาล แม้รัฐบาลจะยัดเยียดต้นเหตุมาจากธรรมชาติ แต่เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่

ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นหัวขบวนที่ออกมาจุดประเด็นให้ประชาชนใช้สิทธิทางกฎหมายฟ้องเรียกค่าเสียหาย เปิดทางนำไปสู่การตรวจสอบภัยพิบัติครั้งนี้เป็นเพราะการบริหารจัดการน้ำผิดพลาดหรือไม่



ผมกำลังถูกแรงกดดันจากคนจนครับ โดยเฉพาะพี่น้องผู้ใช้แรงงานถูกปลดออกจากงานและไม่มีเงิน หรือบางคนทำงานอยู่แต่ได้รับเงินเดือนไม่เต็ม และคนจนอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ตามแถวริมคลอง บางคนออมเงินมา 10 ปี แสนบาท สร้างบ้านเล็กๆ 7-8 หมื่นบาท น้ำมาทีเดียวหายวับไปกับตา” นักวิชาการผู้ต่อสู้เรียกร้องสิทธิผู้ใช้แรงงาน เปิดเผยสาเหตุที่ลุกขึ้นมาฟ้อง

ณรงค์ บอกว่า เมื่อมีการนำเสนอข่าว ออกไปว่า ณรงค์ จะรวบรวมประชาชนฟ้อง ก็มีคนโทร.มาหา ซึ่งไม่ใช่เฉพาะผู้ใช้แรงงาน แต่มีนักธุรกิจเอกชนพันล้านที่ได้รับผลกระทบ โทร.มายืนยันว่าได้จดแจ้งความเสียหายกับสภาทนายความแล้วที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย แล้วบอกว่าขอให้เดินหน้าต่อ


ผมคิดว่าเหมือนเรือจ้าง บางทีเราไม่สามารถบอกได้ว่าคนไหนลงเรือผมได้บ้าง เมื่อทุกคนอยากจะลงเรือรับจ้างประจำทางก็ต้องไปกับเรา ทั้งคนจน นักธุรกิจ แยกไม่ได้แล้ว ถ้าคนนั้นลงเรือมาด้วยความบริสุทธิ์ใจที่ต้องการไปปลายทางกับเราก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะเขาเสียหายจริง

ณรงค์ ยอมรับว่า ไม่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมากนัก แต่มีสภาทนายความ และนักกฎหมายท่านอื่นมาร่วมด้วย ทำให้เขาเปลี่ยนบทบาทเป็นตัวประสานด้วยการลงพื้นที่รับจดแจ้งความเสียหายจากประชาชนเป็นข้อมูลให้สภาทนายความฟ้องร้อง

“เรื่องที่จะฟ้องมีอยู่ 5 กรอบ ครอบ คลุมคนจน คนรวย คือ 1.ความเสียหายที่เกิดจากชีวิตและสุขภาพ เช่น สูญหาย ทุพพลภาพ เจ็บป่วย ประสบภัย 2.ทรัพย์สินเสียหาย 3.เสียโอกาส เช่น ลูกจ้างตกงาน ขาดรายได้ 4.คนที่เป็นหนี้สินไม่สามารถผ่อนชำระได้จนถูกปรับ 5.คนที่เสียหายอันเกิดจากการกระทำหรือไม่”

เมื่อจำแนก 5 หมวดหมู่เรียบร้อยก็จะมาพิจารณาว่าเรื่องนี้ฟ้องศาลปกครอง หรือฟ้องศาลแพ่ง หรือฟ้องศาลอาญา ซึ่งการพิจารณาประเด็นไหนจะฟ้องใคร จะฟ้องศาลอะไร อยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย

ประเด็นที่นักวิชาการผู้นี้เห็นว่ารัฐบาลบริหารน้ำผิดพลาด เริ่มจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 16 ส.ค.

“การประชุม ครม.เมื่อ 16 ส.ค. 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้รับผิดชอบติดตามสถานการณ์ประเมินเรื่องน้ำท่วม แล้วให้วิเคราะห์ดูว่าน้ำจะท่วมจังหวัดไหนอีก เมื่อส่งสัญญาณแล้วว่าน้ำจะท่วมจังหวัดไหน ก็ให้หาทางป้องกันแก้ไขด้วย นี่เป็นคำสั่งตามมติ ครม.ในวันดังกล่าว แต่ผมติดตามมติ ครม. พบว่าทั้งสองกระทรวงไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรเลย ทั้งที่นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยาน้ำท่วมแล้ว มันเลี่ยงไม่ได้เลยจะต้องเข้าปทุมธานี นนทบุรี กทม. แต่เราไม่รู้ว่าจะเข้าเมื่อไหร่”

“1 เดือน กับ 15 วัน ไม่ได้ส่งสัญญาณ หรือส่งผมก็ไม่รู้นะ แต่ผมไม่รู้เลย ผมอยู่ทวีวัฒนา ไม่รู้สัญญาณเลย มารู้อย่างเดียวว่าเขาสั่งหยุดราชการ 27 ต.ค.-31 ต.ค. แล้วบอกว่า 31 ต.ค.น้ำทรงตัว เอาอยู่ ผมยื้อเต็มที่น่ะ แต่ตื่นขึ้นมาวันที่ 1 พ.ย. น้ำท่วมเลย ไหนบอกว่าเอาอยู่ไง การส่งสัญญาณผิด หรือไม่ส่งสัญญาณเนิ่นๆ ถือว่าเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ถือว่าเข้าข้อ 5 ของสภาทนายความ”

ณรงค์ กล่าวว่า สมมติเมื่อมีการส่งสัญญาณว่าอีก 15 วันน้ำเข้า กทม. กทม.ต้องเคลียร์แล้วทั้งสิ่งกีดขวางทางน้ำต่างๆ เพื่อรองรับน้ำที่กำลังจะมา ถ้า กทม.ไม่ทำ กทม.ก็ผิด ไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ควรปฏิบัติ ถูกมั้ย แบบนี้ก็ฟ้อง กทม.ได้ เพราะฉะนั้นคนที่เกี่ยวข้อง เราไม่ได้บอกว่าเป็นใคร ไม่ได้บอกพรรคการเมืองไม่เกี่ยว คุณไปไล่กันเองในศาล

“เราต้องฟ้องเพื่อชดใช้ให้ผู้ได้รับความเสียหาย ซึ่งไม่ได้บอกว่าฟ้องใคร แต่จะฟ้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เคยตั้งใจว่าจะฟ้องรัฐบาลหรือนายกฯ แต่เหตุการณ์จะไล่ไปเอง ก็ถือว่าเป็นเรื่องของศาลจะพิจารณา” ณรงค์ กล่าวย้ำ

สียงวิจารณ์ว่า ณรงค์ เป็นฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งถ้าไม่ใช่รัฐบาลพรรคนี้บริหารประเทศ จะออกมาเป็นแถวหน้าฟ้องร้องหรือไม่ ณรงค์ตอบว่า จะคิดกันอย่างไรก็ตาม แต่ในอดีตเคยทำงานร่างนโยบายให้พรรคไทยรักไทย เคยทำงานร่วมกับนักการเมืองหลายคน และไม่เคยได้รับประโยชน์อะไรเลย แถมซ้ำยังถูกนักการเมืองเหล่านั้นฟ้องดำเนินคดีเขาอีก

“ผมไม่เคยขออะไรจากพรรคไทยรักไทย คุณไปถามเลย พวกเกรียงกมล พวกภูมิธรรม ถามหมอมิ้ง นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ เคยเรียกร้องตำแหน่งอะไรจากพรรคบ้าง ไม่มี ไม่เคยเรียกร้อง” ณรงค์ กล่าวทิ้งท้าย


ชี้ปมผิดพลาด 4 ประการ

ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์การเมือง ณรงค์ มองอุทกภัยที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาด 4 ประการ จากเชิงระบบ 3 ประการ และความผิดพลาดของการจัดการอีก 1 ประการ

ผิดพลาดเชิงระบบ คือ เรามีนักประวัติศาสตร์ นักอุทกศาสตร์ นักธรณีวิทยา มีสารพัดนักที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่รู้หรือว่า กทม.เมื่อหลายพันปีมาแล้ว กทม.อยู่ใต้ทะเล ไม่รู้หรือว่าเมื่อทะเลตื้นเขิน กทม.คือปากอ่าว คือทางน้ำลงในทะเล เมื่อเป็นทางน้ำลงจากเหนือ ปิง วัง ยม น่าน การตั้งเมืองของ กทม.ในอดีตถูกต้องแล้ว เพราะอดีตเป็นประเทศเกษตรกรรมกทม.สมัยก่อนทุกบ้านหันหน้าลงคลอง ไม่ได้หันหน้าเข้าถนน ก็ถูกต้องแล้วในอดีต ถ้าเรามีภูมิประเทศอย่างนี้ก็รู้ทันทีว่าเมื่อนครสวรรค์น้ำเข้ามาต้องผ่านพระนครศรีอยุธยา แต่เดิมคือ หนองโสน ปทุมธานี ชื่อปทุมก็เป็นบัว บัวอยู่ในน้ำ รู้อยู่แล้ว ถ้ารู้อย่างนี้ทำไมคุณจะมาทำ

ผิดพลาดข้อที่ 2 คือ นโยบายผิดพลาด ทำไมคุณมาตั้งให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมนักเศรษฐศาสตร์ทำอะไรอยู่ที่ไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ แล้วคุณเคยคิดนโยบายป้องกันน้ำหรือไม่ นิคมอุตสาหกรรมไปตั้งได้อย่างไร ถ้าคุณคิดป้องกันไว้ก่อน

เปรียบเทียบกรณีเนเธอร์แลนด์สามารถสร้างเมืองในทะเลได้ เพราะรู้ว่าต้องอยู่ใต้ทะเล ต้องทำอย่างไร แต่ประเทศไทยมีนักเศรษฐศาสตร์วางแผนทางเศรษฐกิจ แต่ไม่เคยตั้งคำถามเลยว่า ถ้าคุณจะอยู่กับน้ำจะทำอย่างไร ปี 2485 น้ำท่วม กทม. ต้องพายเรือไปประชุมที่สภา ก็เห็นกันอยู่ว่าน้ำท่วม กทม.ได้ แล้วไม่คิดบ้างหรือ วันนี้นักสารพัดทำไมมาตั้งนิคมอุตสาหกรรมตรงนั้น

ผิดพลาดข้อที่ 3 โลกร้อน แกนโลกเอียง น้ำแข็งถล่มทลาย พูดกันมา 10 ปีแล้วไม่ใช่หรือ กระทั่งมาถึงปีนี้ ตั้งแต่เดือน มี.ค. ใครๆ ก็รู้ว่าปีนี้เกิดอะไรขึ้น มีแต่น้ำฝน นี่ขนาดเราเป็นสามัญชนคนธรรมดา แล้วผู้เชี่ยวชาญไม่มีสำนึกนี้บ้างหรือ ไม่สะกิดใจบ้างหรือ แล้วคุณไม่ส่งสัญญาณเตือนบ้างหรือ อย่างนักเศรษฐศาสตร์ยังพูดทุกปีว่าปีนี้จีดีพีจะโตเท่าไหร่ พวกอุทกศาสตร์ไม่ยอมพูด กรมชลประทานไม่ยอมพูดหรือไง เพราะอะไร

ผมไม่ใช่ขงเบ้ง วิทยาศาสตร์มันเยี่ยมกว่าขงเบ้งอีก แล้วทำไมคุณไม่ใช้ล่ะ ถูกหรือเปล่า ความผิดพลาดของข้อมูลเป็นเรื่องธรรมชาติหรือ แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าฝนจะตกกี่เปอร์เซ็นต์ แต่คุณประมาณได้ นักเศรษฐศาสตร์ยังประมาณเลยปีนี้จะโตกี่เปอร์เซ็นต์ เอาแค่ประมาณก็พอแล้ว แค่ประมาณคนก็ตกใจแล้ว เตรียมตัวได้แล้ว ถ้าบอกว่าปีนี้น้ำจะมากขึ้น 25% คุณต้องหาทางอย่างนี้ๆ เตรียมการไว้ก่อน สามารถพูดล่วงหน้าได้เป็นปี หรือหลายเดือน ทำไมไม่พูด

ผิดพลาดข้อที่ 4 การจัดการ พอคุณลงมือจัดการกั้นลูกเดียว ข้อที่ 2 ก็ยอมรับแล้วว่าไม่อยากปล่อยน้ำเพราะกลัวน้ำท่วมนา ให้เก็บเกี่ยวก่อน ผมมีความรู้ฟิสิกส์เบื้องต้น ที่ไหนก็ตามที่น้ำสะสม มวลน้ำจะมาก คุณยิ่งกั้นไว้มวลน้ำยิ่งมาก มวลน้ำมากจะหนักมาก แรงกดดันเท่ากับมวลน้ำบวกการไหล น้ำมวลมากแต่อยู่กับที่ แรงแต่ยังไม่มากพอ น้ำไหลเร็วแต่น้อยแรงก็น้อย แต่น้ำมากและไหลแรง โห เสียหายเลยครับ นี่ฟิสิกส์เบื้องต้นนะ นักอุทกศาสตร์ไม่รู้หรือว่าถ้าคุณกั้นน้ำไว้มากๆ มวลน้ำจะหนัก และยิ่งฝนตกเรื่อยๆ และมาจากที่สูงลงจากที่ต่ำ การมีแรงโน้มถ่วงจะหนัก นี่หลักพื้นฐาน แล้วคุณไม่เตือนหรือ คนจัดการเขื่อนไม่คิดหรือ

ที่บอกว่าต้องการกั้นน้ำไม่ให้ท่วมนาก็ถูกต้อง ผมนับถือคุณธีระ (วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์) ที่กล้าพูด และคิดว่าเจตนาดีนะ เพียงแต่ผลที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหาย ถ้าคุณธีระประมาทเลินเล่อ ไม่คิดถึงตรงนี้ได้ ดังนั้นในกฎหมายประมาทเลินเล่อ ก็ถูกฟ้องได้เท่านั้นเอง ผมยอมรับคุณธีระที่แบกรับ แต่คนอื่นไม่ยอมรับ พอระบายน้ำทำไมตะวันออก คลองพระโขนงยังห่างตลิ่งเยอะเลย อุโมงค์น้ำอุตส่าห์สร้างไว้ไม่ผ่านเลย อย่างนี้ธรรมชาติหรือเปล่า หรือแม้แต่ด้านสมุทรปราการรออยู่ แต่ยังแห้ง เพราะอะไรน้ำไม่ไป ถามว่าถ้าคุณปล่อยตามธรรมชาติระบายไปหรือไม่ ตอบว่า ไป แต่ที่ไม่ธรรมชาติคืออะไร เพราะมอเตอร์เวย์ขวางอยู่ สะพานข้ามก็เสาเต็มไปหมด น้ำไม่ไหลแล้วน้ำจะไปถึงหรือ ตรงนี้ธรรมชาติหรือเปล่า

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #406 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2554, 09:21:47 »

"มัลลิกา" ซัด "การุณ" หน้าหนาโกหกผ่านทีวี แฉเจอถีบยกพวกมาเป็นฝูง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
"มัลลิกา" สุดทน "เก่ง การุณ" โกหกป้ายสีผ่านทีวี แฉเจอถีบหันไปฟ้องบอดี้การ์ด ถลามากันเป็นฝูง ถามกลับ "ใครเกาะใครดัง?" พ้อช่อง 9 ให้การุณแก้ตัวโดยไม่มีข้อมูลของอีกฝ่าย ชี้ข้อ กม.ผู้ชายทำร้ายต้องป้องกันตัว ย้อนถามมีผู้ชายมารังแก คุณยอมเหรอ? ส่วนในยูทิวบ์พบคลิปเหตุการณ์ถีบสะท้านการเมืองดังกล่าวชื่อ “เก่ง การุณ เรียกผู้หญิงว่า อีควาย”
       
       วันที่ 20 พ.ย. น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความลงในเว็บไซต์ทวิตเตอร์ @MallikaBoon โดยกล่าวถึงกรณีที่นายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพฯ เขตดอนเมือง พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์นายวุฒิธร มิลินทจินดา ในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ กล่าวปฏิเสธว่าไม่ได้ถูก น.ส.มัลลิกาถีบ และเมื่อนายวุฒิธรถามย้ำว่า น.ส.มัลลิกาเป็นคนบอกเอง นายการุณโต้กลับว่า “อยากดังป่ะครับ”
       
       โดย น.ส.มัลลิกาโพสต์ข้อความว่า ความจริงไม่อยากจะพูดเรื่องผู้ชายกากๆ คนนี้ แต่ไม่ชอบที่ช่อง 9 ใช้คุณวู้ดดี้ (นายวุฒิธร) แก้ตัวให้คนๆ นี้ โดยที่ไม่มีข้อมูลของอีกฝ่ายไม่ว่าคู่กรณีจะเป็นใคร ตอนที่ตนดัง เป็นผู้ประกาศ เป็นพิธีกร นายการุณยังเป็นคนขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างอยู่เลย ตนถามว่าใครเกาะใครดัง ใครอยากไปแปดเปื้อนคนอย่างนี้
       
       ตอนแรกคิดว่าการที่ไม่พูด จะเป็นการวัดใจนักเลงอย่างนายการุณว่าจะไม่ให้อายไปกว่านี้ แต่โกหกแถมใส่ร้ายคนอื่นออกทีวีหน้าหนาๆ ด่าผู้หญิงอีควาย กระดกก้นกระแทกขาผู้หญิงอย่างแรงจนเซถลา จึงเจอขาข้างขวาง้างถีบกลางหลังเต็มๆ แรงด้วยรองเท้าเบอร์ 38 จนถลาคะมำไป 3 ศอก ก็แค่ไปสะกิดว่า คุณๆ กำลังยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ ดันกระแทกเสียงกลับมาว่า “ใหญ่กว่านี่กูก็ไม่สน” เอาก้นมาบังหน้าก็แค่โกรธมันนะ แต่ก้นกระแทกผู้หญิงนี่สิ ซึ่งข้อกฎหมายระบุว่า เมื่อผู้ชายทำร้ายต้องป้องกันตัว ไม่เช่นนั้นเขาอาจทำร้ายมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงถีบได้เต็มที่เต็มแรง เสียงนายการุณร้องดังอั๊ก
       
       “แหม ทีตอนโดนทำโวยวาย หันไปฟ้องบอดี้การ์ด ถลามากันเป็นฝูง ฉันน่ะปิดข่าวจะตายกลัวแกอาย แต่ไปถามแคทช่อง 7 ชีเป็นคนทวิตแถมประกาศออกช่อง 7 จำไว้ค่ะว่า เกิดมาไม่ได้อยากถีบใครไม่ว่าจะชายหรือหญิง ไม่ว่าจะไอ้เก่งหรือไอ้กากนอกจากด่า แต่ถ้ามีผู้ชายมารังแก เป็นคุณๆยอมเหรอ ถามจริง” นางสาวมัลลิกาโพสต์ข้อความปิดท้าย
       
       สำหรับเนื้อหาที่ น.ส.มัลลิกาโพสต์ในเว็บไซต์ทวิตเตอร์มีดังต่อไปนี้
       
       “1.ความจริงไม่อยากพูดเรื่องผู้ชายกากๆคนนี้ แต่ไม่ชอบที่ช่อง9ใช้คุณวู้ดดี้แก้ตัวให้คนๆนี้ โดยที่ไม่มีข้อมูลของอีกฝ่ายไม่ว่าคู่กรณีจะเป็นใคร?”
       
       “2.ตอนมัลลิกาดัง เป็นผู้ประกาศ เป็นพิธีกร ไอ่คนคนนี้ยังเป็นวินมอเตอร์ไซค์อยู่เลย ใครเกาะใครดังยะ ใครอยากไปแปดเปื้อนคนอย่างนี้?”
       
       “3.ตอนแรกคิดว่าการที่ไม่พูด จะเป็นการวัดใจนักเลงอย่างไอ่นี่ว่าจะไม่ให้อายไปกว่านี้! แต่โกหกแถมใส่ร้ายคนอื่นออกทีวีหน้าหนาๆ”
       
       “4."ด่าผู้หญิงEควาย กระดกก้นกระแทกขาผู้หญิงอย่างแรงจนเซถลา จึงเจอขาข้างขวาง้างถีบบบบกลางหลังเต็มๆแรงด้วยรองเท้าเบอร์38จนถลาหน้าคะมำไป3ศอก"”
       
       “5.ก็แค่ไปสกิดว่าคุณๆกำลังยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ดันกระแทกเสียงกลับมาว่า"ใหญ่กว่านี่กูก็ไม่สน"เอาก้นมาบังหน้าก็แค่โกรธมันนะ!แต่ก้นกระแทกผู้หญิงนี่สิ”
       
       “6.ข้อกฎหมายระบุว่า"เมื่อผู้ชายทำร้าย ต้องป้องกันตัวไม่เช่นนั้นเขาอาจทำร้ายมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงถีบได้เต็มที่เต็มแรง"เสียงไอ่นี่ร้องดังอั๊ก”
       
       “7.แหม! ทีตอนโดนทำโวยวาย หันไปฟ้องบอดี้การ์ด ถลามากันเป็นฝูง ฉันน่ะปิดข่าวจะตายกลัวแกอาย แต่ไปถามแคทช่อง7 ชีเป็นคนทวิตแถมประกาศออกช่อง7!!”
       
       “8.จำไว้ค่ะว่า เกิดมาไม่ได้อยากถีบใครไม่ว่าจะชายหรือหญิงไม่ว่าจะไอ่เก่งหรือไอ่กาก นอกจากด่า! แต่ถ้ามีผู้ชายมารังแก เป็นคุณๆยอมเหรอ?ถามจริง”
       
       อนึ่ง ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกันบนเว็บไซต์ยูทิวบ์ ได้มีผู้ใช้นามแฝง “realmkii” โพสต์วีดีโอคลิปหัวข้อ “เก่ง การุณ เรียกผู้หญิงว่า อีควาย” ความยาว 54 วินาที ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการประชุมป้องกันน้ำท่วมที่โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย 2 เขตสายไหม เมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยในวีดีโอคลิปนายการุณกล่าวว่า “ใหญ่กว่านี้กูก็ไม่สน” และคำว่า “อีควายกูรู้จักมึง” ก่อนที่จะเกิดการชุลมุน
       
       จากนั้นนายการุณกล่าวว่า “เฮ้ย... บ้านี่เฮ้ย สี่อเยอะแยะ” น.ส.มัลลิกาโต้กลับไปว่า “มันเตะฉันก่อน” นายการุณโต้กลับไปว่า “ใครเตะคุณ” น.ส.มัลลิกาตอบกลับด้วยอารมณ์ว่า “ก็มันเอาก้นมาเตะฉัน” นายการุณกล่าวหัวเราะแล้วพูดว่า “เฮ้ย... ทำอะไรให้มัน...” ก่อนที่จะเดินห่างออกไป
       
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #407 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2554, 09:49:16 »

สหรัฐฟังสำเนียงนายกฯปูไม่ออก

    posttoday.com

ประเด็น: พรฎ-อภัยโทษเอื้อทักษิณ ,

ก.ต่างประเทศสหรัฐฯแพร่คำแถลงร่วมยิ่งลักษณ์-ฮิลลารีในโอกาสเยือนไทยฟังสำเนียงอังกฤษนายกฯไม่ออก12คำ

เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่ถ้อยคำการแถลงข่าวร่วมกันระหว่างน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย และ นางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ในโอกาสที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมาที่ทำเนียบรัฐบาลไทย       

ทั้งนี้ปรากฎว่ากระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ระบุคำว่า inaudible หรือได้ยินไม่ชัด ในคำแถลงของน.ส.ยิ่งลักษณ์ถึง12คำ โดยใน2คำพูดของน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ได้ยินไม่ชัดนั้นเป็นการตอบคำถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการออก พ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษที่กำหนดคุณสมบัติเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ลิงก์ประกอบข่าวhttp://www.state.gov/secretary/rm/2011/11/177263.htm

 



 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #408 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2554, 10:00:56 »

การเมืองเรากำลังถดถอย ขณะที่เพื่อนบ้านเดินหน้า

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


การเมืองไทยกำลังจะล้าหลังอย่างมาก เมื่อเพื่อนร่วมอาเซียนอย่างฟิลิปปินส์ กล้าสั่งจับอดีตประธานาธิบดี ในข้อหาโกงเลือกตั้ง,


  และพม่าประกาศให้ออง ซาน ซูจี สมัครรับเลือกตั้งเพื่อเข้ามาเล่นบทประชาธิปไตยรัฐสภาอย่างคึกคัก
 ส่วนอินโดนีเซีย เขากระโดดข้ามรั้ว, ออกจากสภาพ “รัฐทหาร” มาเป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบมาหลายปีดีดักแล้ว

 แต่ “พี่ไทย” ยังเต็มไปด้วย “ศรีธนญชัย” ที่พยายามจะหาช่องว่างของกฎหมายเพื่อที่จะกระทำการต่างๆ เพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มของตน ไม่สนใจว่าผลประโยชน์ของชาติเป็นเช่นไร

 อีกทั้งคำว่า “ปรองดอง” ก็เป็นเพียงคำหาเสียงของนักการเมืองที่ขาดความจริงใจในแนวคิด และขาดความจริงจังในทางปฏิบัติโดยสิ้นเชิง

 ไทยจึงกลายเป็นประเทศที่ค่อยๆ ถูกลดอันดับในแง่ของการเป็นชาติที่มีการพัฒนาทางด้านการเมืองทั้งๆ ที่เคยอยู่แถวหน้าเพราะความไร้คุณภาพของนักการเมืองและระบบการศึกษาที่หมดสภาพ, ไม่อาจจะสร้างทัศนคติและค่านิยมแห่งความโปร่งใสและธรรมาภิบาลอย่างจริงจัง

 อดีตประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโย แม้จะเคยปกครองประเทศถึงเกือบสิบปี แต่เมื่อถูกสอบสวนกรณีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของเธอในฐานะผู้นำประเทศเพื่อบิดเบือนผลการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อปี 2007 ให้คนที่เธอสนับสนุนได้ชัยชนะ จนคณะกรรมการเลือกตั้ง ฟ้องร้องเธอและศาลออกหมายจับเธอถึงโรงพยาบาลที่เธอรักษาตัวอยู่

 ก่อนหน้านี้ อดีตประธานาธิบดีโจเซฟ เอสตราดา ก็ถูกศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาคอร์รัปชัน และอาร์โรโย ที่รับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อมาก็สั่งอภัยโทษเขาในเวลาต่อมา

 วันก่อน เธอพยายามจะเดินทางออกนอกประเทศ อ้างว่าไปรักษาตัว แต่ถูกรัฐบาลของประธานาธิบดีเบนิญโญ อคิโน ที่สาม สั่งอายัดตัว ไม่ให้ขึ้นเครื่องบิน เพราะมีคำสั่งศาลชั้นต้นสั่งระงับการเดินทาง แม้ว่าก่อนหน้านี้ศาลฎีกาจะมีคำวินิจฉัยว่าเธอมีเสรีภาพในการเดินทางแม้จะเป็นผู้ต้องหาก็ตาม

อย่างน้อยก็แสดงว่าความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายที่ไม่ละเว้นแม้แต่ผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสูงสุด เพราะความเป็น “นิติรัฐ” ต้องทำให้เกิดความเสมอภาคทางกฎหมาย ไม่ว่าคุณจะเป็นชาวบ้านหรือผู้มีตำแหน่งแห่งหนใหญ่โตเพียงใดก็ตาม

 ที่พม่า, สัญญาณส่งออกมาชัดแล้วว่าเพื่อนบ้านด้านตะวันตกของเราประเทศนี้ กำลังจะออกจากยุคมืดของเผด็จการทหาร และการเลือกตั้งปีที่แล้วกำลังเปิดทางให้มีการปฏิรูปทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม

ออง ซาน ซูจี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้กับอำนาจเถื่อนของเผด็จการบอกว่า เธอจะสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งซ่อมเพื่อจะได้มีบทบาทในรัฐสภาเพื่อร่วมกับรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดี เต็งเส่ง ในการพาประเทศให้พ้นจากสภาพเป็น “คนป่วย” ที่ถูกทั้งโลกประณามว่าได้ขัดขวางประชาชนคนพม่าในการใช้สิทธิทางการเมืองของตนอย่างเสรีมาตลอด

 ประธานาธิบดีสหรัฐ โอบามา บอกที่บาหลี ว่า จะส่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ฮิลลารี คลินตัน ไปพม่าในเดือนหน้า ซึ่งต้องถือว่าเป็นการบอกกล่าวกับชาวโลกว่าอเมริกา ยอมรับการเปลี่ยนแปลงไปในทางสร้างสรรค์ของรัฐบาลพม่า ถึงขั้นที่จะเปิดประตูฟื้นสัมพันธ์ทางการทูต และระงับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มีมาหลายปี

 หากฮิลลารี คลินตัน ไปเยือนพม่าจริงในเดือนหน้า, ก็เท่ากับเป็นครั้งแรกใน 50 ปีที่วอชิงตันส่งคนระดับรัฐมนตรีไปเยือนประเทศที่ถูกตราหน้าว่าเป็นเผด็จการที่คบหาด้วยไม่ได้มาตลอดระยะเวลาที่คนรุ่นหนุ่มสาวพึงจะจำได้ทีเดียว

 ขณะที่พม่า ฟันฝ่าอุปสรรคทางการเมืองเพื่อเดินไปข้างหน้า, คนไทยเรามองรอบๆ ตัวกลับจะเห็นแต่ร่องรอยของการถอยหลังเข้าคลองทางการเมือง เพราะนอกจากเราจะไม่สามารถสร้างความปรองดองในชาติอย่างเป็นกิจจะลักษณะแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในเวทีการเมืองของเราก็ยังชี้ไปในทิศทางที่ย่ำแย่ลง และการเผชิญหน้าเพื่อจะเอาชนะคะคานทางการเมืองดูจะรุนแรงขึ้นด้วยซ้ำไป

 คงไม่ต้องให้ใครวิเคราะห์ให้เราฟัง คนไทยเองก็คงจะเห็นแจ้งประจักษ์แล้วว่า เพื่อนบ้านเราสามารถสลัดความล้าหลังและความเถื่อนถ่อยทางการเมืองได้ ขณะที่เรายิ่งวันก็ยิ่งถดถอยและเสื่อมทรามลงอย่างชัดเจน

 เพราะเราอยู่ในสถานะ “ลูกผีลูกคน” มานานจนไม่รู้ว่าจะหลุดออกไปจากสภาพนี้ได้เมื่อไหร่, และอย่างไร


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #409 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2554, 22:52:27 »

คลายเครียด....








      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #410 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2554, 23:09:29 »

ตร.มะเขือเทศ สนอง “เหลิม” จ่อเป่าคดีเสื้อแดงอีเมลขู่นักข่าวสาว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

ตำรวจส่อแววสนอง “เสื้อแดง” เตรียมยุติคดี นปช.ส่งอีเมลข่มขู่นักข่าวช่อง 7 อ้างถามไอซีทีแล้ว หาต้นตอคนส่งไม่ได้ ขณะราชบัณฑิตยฯ บอกข้อความ “จัดให้หน่อย” ไม่เข้าข่ายข่มขู่ สอดคล้องความเห็น “เฉลิม” เคยตีความกลางสภาทุกวลี ด้านเสื้อแดงอีกกลุ่มอ้างชื่อ “ชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย” ยื่นหนังสือผู้บริหารช่อง 7 ลงโทษ “สมจิตต์” ฐานบังอาจจี้ใจดำ ถามรองนายกฯ จนเสียมวย ผิดจรรยาบรรณสื่อ
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเย็นวันที่ 21 พ.ย. น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ได้รับการติดต่อจาก พ.ต.ท.อภิชาติ นาคสุข พนักงานสอบสวนในคดีที่ น.ส.สมจิตต์ แจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.พรทิพย์ ปักษานนท์ ในข้อหาข่มขู่ทำให้เกิดความกลัวจากการส่งต่ออีเมลลูกโซ่ในเครื่อข่ายคนเสื้อแดง ที่มีเนื้อหาว่า “จำหน้าหล่อนไว้นะครับ เจอหน้าที่ไหน จัดให้หน่อยนะครับ” โดย พ.ต.ท.อภิชาติ แจ้งว่า ได้ทำหนังสือไปยังกระทรวงไอซีที เพื่อให้ช่วยตรวจสอบถึงต้นตอการโพสต์ข้อความดังกล่าว แต่ทางไอซีที ตอบกลับมาว่า ไม่สามารถที่จะหาต้นตอได้ เนื่องจากต้องมีอีเมลเฮดเดอร์ มาตรวจสอบ ซึ่งหาก น.ส.สมจิตต์ ไม่สามารถที่จะให้ข้อมูลในส่วนนี้ได้ ก็จะสอบปากคำ น.ส.พรทิพย์ เพิ่มเติม แต่เท่าที่ทราบ น.ส.พรทิพย์ เป็นเพียงผู้ส่งข้อความต่อในหมู่เพื่อนของตนเองเท่านั้น จึงไม่เข้าข่ายการทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ อีกทั้งทางพนักงานสอบสวนยังได้ทำหนังสือไปยังราชบัณฑิตยสถาน เพื่อให้คำจำกัดความเกี่ยวกับคำว่า “จัดให้หน่อย” ว่า เข้าข่ายการข่มขู่ทำให้เกิดความกลัวได้หรือไม่ ซึ่งได้รับการตอบกลับมาว่า ไม่ได้เข้าข่ายให้เกิดความกลัว หรือความตกใจ ดังนั้น ในชั้นต้นนี้ หากไม่มีหลักฐานเพิ่มเติมทางพนักงานสอบสวนเห็นว่า ไม่เข้าข่ายที่จะส่งฟ้อง แต่ก็ต้องดูว่า หลังจากสรุปสำนวนส่งให้อัยการ ทางอัยการจะเห็นตรงกับพนักงานสอบสวนหรือไม่
       
       อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า คดีดังกล่าวมีการแจ้งความตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ผ่านมาเกือบ 3 เดือนแล้ว แต่พนักงานสอบสวนกลับเพิ่งแจ้งความเห็นเบื้องต้นในการสรุปสำนวนมายัง น.ส.สมจิตต์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับเหตุการณ์การปะทะคารมระหว่าง น.ส.สมจิตต์ สัมภาษณ์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เรื่อง การออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อีกทั้งข้ออ้างที่ระบุว่า มีการยื่นให้ราชบัณฑิตยสถานให้คำจำกัดความนั้นก็สอดคล้องกับคำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่ตอบคำถามกระทู้สดในสภาว่า คำว่า “จัดให้หน่อย” ตามราชบัณฑิตยสถาน ไม่ได้หมายถึงการข่มขู่ และ น.ส.พรทิพย์ ซึ่งเป็นผู้ส่งต่ออีเมล ก็พูดชัดเจนว่า ไม่ชอบคำถามที่ น.ส.สมจิตต์ ถามต่อนายกฯ ถือเป็นสิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตยได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 ถ้าตนเป็นตำรวจลงบันทึกประจำวันจะแจ้งเลยว่า “ไม่เข้าข่ายตามที่จะส่งฟ้อง”
       
       อีกทั้งประกอบกับในวันนี้ (21 พ.ย.) ได้มีตัวแทนกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย ยื่นหนังสือต่อผู้จัดการฝ่ายข่าว ช่อง 7 เพื่อให้ดำเนินการลงโทษ น.ส.สมจิตต์ โดยระบุว่า ได้ตั้งคำถามกับ ร.ต.อ.เฉลิม ในลักษณะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเลือกข้างพรรคการเมืองซึ่งถือว่าขัดต่อจริยธรรมของสื่อมวลชน
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบการเคลื่อนไหวของชมรมดังกล่าว พบว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา บุคคลกลุ่มนี้ได้เข้าร่วมกับ นายสิงห์ทอง บัวชุม อดัตผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวจัดงานทำบุญวันเกิด 4 ภาคให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด 62 ปี ที่วัดแก้วฟ้า โดยในการจัดงานครั้งดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่ามีกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากในงานดังกล่าวได้นำรูปหล่อพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์มาร่วมพิธีและใช้ชื่องานว่า “62 ปี คืนคนดีกลับบ้าน บูชาคุณแผ่นดิน” โดยหลายฝ่ายเห็นว่าเป็นการมิบังควรที่นำ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปเทียบเคียงกับรูปหล่อของบูรพกษัตริย์ เนื่องจากมีการนำรูป พ.ต.ท.ทักษิณ ขนาดเท่าตัวจริงวางอยู่ตำแหน่งด้านหลังเป็นประธาน และนำรูปหล่อบูรพกษัตริย์มาตั้งบวงสรวง
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #411 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2554, 09:48:11 »

มารู้จัก พิธีกรแดง...สถานีโทรทัศน์ Thai PBS นายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

ผู้ดำเนินรายการตอบโจทย์ทางสถานีโทรทัศน์ Thai PBS นายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา
เป็นชาวจังหวัดจันทบุรีโดยกำเนิด สำเร็จการศึกษาที่ ร.ร. เตรียมอุดมศึกษา พญาไท และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มอาชีพในสายงานข่าวและสิ่งพิมพ์ โดยรับผิดชอบงานด้านเศรษฐกิจและการเมืองในค่ายสิงพิมพ์หลายแห่ง ต่อมาในยุคฟองสบู่แตก เมื่อ พ.ศ. 2540 ได้ผันตัวเองเป็นนักเขียนและบรรณาธิการ โดยจัดทำหนังสือทางเลือกใหม่สำหรับคนหนุ่มสาว ชื่อว่า OPENBOOK (OP portunity + EN trepreneur) อยู่ร่วมยุคกับนิตยสารเด็กแนวหัวใหม่ เช่น a day ของ โหน่ง วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์

นิตยสาร OPEN Positioning ตัวเองเป็นนิตยสารที่ไม่พึ่งโฆษณาและเป็นกำลังใจ ให้ความคิดไฟฝันให้กับผู้คนในยุคที่ซบเซาจากพิษเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างดีในระยะแรก แต่ก็ประสบปัญหาทางการเงินด้วยเป็นนิตยสารที่ไม่พึ่งพาโฆษณา ภิญโญแก้ปัญหานี้โดยการขอเจรจาขอรับการสนับสนุนจากค่าย GM (นิตยสารผู้ชาย ย่านดุสิต ที่ได้รับอิทธิพลมาจากนิตยสาร GQ (Gentle Quart) ของปกรณ์ พงษ์วราภา ซึ่งก็ยืนระยะมาได้ช่วงหนึ่ง แต่เมื่อถึงจุดที่หากจะพยุงให้นิตยสารดำเนินต่อไปได้ GM ก็ต้องเข้ามาควบคุมทิศทางอย่างเต็มตัว นี่จึงเป็นเหตุให้ภิญโญต้องหาวิธีอยู่รอดใหม่ โดยการทำนิตยสารออนไลน์ (ปัจจุบัน คือ onopen.com) ควบคู่ไปกับการทำหนังสือเล่ม ซึ่งก็ได้เริ่มต้นควบคู่กับการทำนิตยสารโอเพ่นในยุคแรก

สำนักพิมพ์โอเพ่นบุ๊คส์จัดพิมพ์หนังสือที่ให้แนวคิด มุมมองทางเศรษฐกิจสังคมสำหรับคนรุ่นใหม่ (นักศึกษา ปัญญาชนรุ่นใหม่) ที่มีคุณภาพมากมาย อาทิ หนังสือ October ที่เป็นการรวบรวมบทสัมภาษณ์หรือบทความคัดสรรจากนักคิดคนสำคัญทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ (ที่รวบรวมเป็น Volume ตามระยะเวลาที่เหมาะสม) ได้ไปผงาดในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย Cornell ซึ่งถือเป็นหนังสือภาษาไทยฉบับแรกที่มีโอกาสไปเผยแพร่ที่นั่น

ต่อมาเมื่อสำนักพิมพ์โอเพ่นบุ๊คส์ได้ตั้งมั่น มีชื่อเป็นที่จดจำในตลาดแล้ว ภิญโญได้มอบหมายให้เครือข่ายคนรุ่นใหม่ มาร่วมบริหารงานและผลิตผลงานให้แก่สำนักพิมพ์ “มิตรน้ำหมึก” เหล่านี้ประกอบไปด้วยนักคิด นักเขียน นักวิชาการ ศิลปิน ที่มีชื่อหลายคน เช่น ปกป้อง จันวิทย์ อภิชาติ สถิตนิรามัย (เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์) สฤณี อาชวนันทกุล วรพจน์ พันธ์พงศ์ ปราบดา หยุ่น เกษียร เตชะพีระ (รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์) นิธิ เอียวศรีวงศ์ แทนไท ประเสริฐกุล วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ (ชีวิตสัตว์ป่าในเมืองไทย) วรศักดิ์ มหัทธโนบล ไชยวัฒน์ ค้ำชู วาณิช จรุงกิจอนันต์ (เสียชีวิต) วาด ระวี สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ (TDRI) ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข (เว็บไซต์ประชาไท) วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ (สำนักพิมพ์สารคดี) เป็นอาทิ

ในปัจจุบัน สำนักพิมพ์โอเพ่นบุ๊คส์ ได้แตกไลน์ออกไปตั้งสำนักพิมพ์ย่อย OPENWORLD ที่เน้นการผลิตหนังสือด้านเศรษฐกิจ สังคม ปรัชญา ประวัติศาสตร์ การเมือง ที่มีความร่วมสมัย จนเป็นสำนักพิมพ์ที่อยู่แนวหน้าของหนังสือในแนวทางนี้ และภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ได้ก้าวสู่บทบาทใหม่ของวงการสื่อสารมวลชนในฐานะ พิธีกรในรายการสัมภาษณ์ช่วงท้ายของข่าวภาคดึกของสถานีโทรทัศน์ TPBS โดยสร้างจุดขายด้วยการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายให้หลากหลาย ไม่เลือกฝ่าย ไม่เลือกประเด็น ทั้งคนสำคัญและประชาชนคนธรรมดา ตั้งแต่ นายทักษิณ ชินวัตร นายอานันท์ ปันยารชุน นางอังคณา นีละไพจิตร นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายพิภพ ธงไชย พลตรีจำลอง ศรีเมือง นายประพันธ์ คูณมี พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน กลุ่มเคลื่อนไหวปากมูล กลุ่มเคลื่อนไหวมาบตาพุด กลุ่มสหภาพแรงงาน ส.ส.เพื่อไทย ส.ส. ประชาธิปัตย์ และนักวิชาการทุกแขนง ฯลฯ

แม้ว่าการนำเสนอแง่มุมความคิดของคนในสังคมอย่างหลากหลายไม่เลือกฝ่ายจะเป็นสิ่งดี แต่จากบางคำถามในการสัมภาษณ์ และท่าทีต่อแขกรับเชิญก็อาจบ่งบอกได้ว่า ภิญโญมีศรัทธาทางการเมืองเป็นอย่างไร ซึ่งนั่นก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของภิญโญเอง อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีก็สุ่มเสี่ยงต่อความเหมาะสมในการวางตัวของสื่อ เช่น การสัมภาษณ์ทักษิณในวันเลือกตั้ง (รวมทั้งช่อง 3 โดยกิตติ สิงหาปัด) หรือ การบินไปสัมภาษณ์ที่ดูไบเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งไม่มีฟรีทีวีเคยทำเช่นนี้มาก่อน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลมิได้ดำเนินการใด ๆ ตามกฎหมายในกรณีของทักษิณ ชินวัตร และสื่อสารมวลชนก็มิได้ชี้แนะความถูกต้องแก่ประชาชนในเรื่องความถูก – ผิด ลอยตัวอยู่เหนือความขัดแย้งใด ๆ ของสังคม ซึ่งไม่มีความหมายต่อความอยู่รอดของสื่อสารมวลชน
*-*
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #412 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2554, 09:52:03 »

นี่แหละสันดานแม้ว !!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

      
เกาะกระแส
       โดย...ก้อนกรวด
       
      00 การโบกมือส่งสัญญาณถอย ของ ทักษิณ ชินวัตร ทำนองว่าจะไม่ขอรับประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษ ฉบับปี 2554 โดยอ้างเรื่องความ “ปรองดอง” ของคนในชาติ ฟังเผินๆก็ดูดี น้ำตาแทบไหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดต่อมาที่ว่าแม้เขาจะไม่ได้รับความยุติธรรมมากว่า 5 ปีแล้วก็ตาม สำหรับคนที่ตามไม่ทันก็อาจเคลิบเคลิ้มหลงลมว่านี่คือ “โคตรเสียสละ” ประเภทที่ไม่เคยมีมนุษย์หน้าไหนเคยทำมาก่อน
       
       00 แต่ขอโทษถ้าคนอย่างเอ็งไม่ได้รับความยุติธรรม แล้วใครในประเทศนี้จะได้รับความยุติธรรมบ้างเล่า และความหมายของคำว่า “ยุติธรรม” ของเอ็งนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะถ้าอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมหลังจากถูกรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.49 ก็ต้องขอโต้แย้งว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง เนื่องจากข้อหาและความผิดของทักษิณ นั้นเกิดขึ้นก่อนการรัฐประหาร ทั้งสิ้น และที่สำคัญการพิจารณาคดีเกิดขึ้นจากศาลยุติธรรม ไม่ใช่ “ศาลเตี้ย” และที่ผ่านมาก็ได้เปิดโอกาสให้ต่อสู้คดีเต็มที่ มีทั้งจ้างทนายราคาแพง ทำแม้กระทั่ง “คิดติดสินบนศาล” แต่เมื่อไม่มีใครเล่นด้วย รู้ดีว่าต้องติดคุกแน่จึงเผ่นออกนอกประเทศ ไม่ยอมรับโทษเหมือนคนอื่น คิดจะเอาเปรียบคนอื่นตลอดเวลา คนแบบนี้นอกจากไม่สมควรให้อภัยแล้ว เจอหน้าเมื่อไหร่ต้อง “รุมกระทืบ” ให้จมดินเท่านั้น
       
       00 สาเหตุสำคัญก็คือการ “สอดไส้” ขอพระราชทานอภัยโทษ มีแต่ได้ อย่างมากแค่ “เสมอตัว” ไม่มีขาดทุน เป็นการโยนหินถามทางไปก่อน เช็กกระแสฝ่ายต่อต้านว่าเข้มแข็งแค่ไหน ขณะเดียวกันถ้าอาศัยช่วงชุลมุนผ่านไปได้ก็ผ่านไปได้เปลาะหนึ่ง เพราะคิดว่าอย่างน้อยโทษจำคุกก็จะหายไปก่อน ส่วนคดีอื่นๆทีเหลือก็ค่อยว่ากันไปภายหลัง เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด ยังไม่เริ่มแค่คาอยู่ในศาลเท่านั้น อย่างไรก็ดีเมื่อถูก “รุมด่า” มากขึ้นแบบขยายวง ก็ต้องถอยกรูดออกมาก่อน และที่สำคัญเป็นการถอยเพื่อรักษารัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ให้ “พัง”ก่อนกำหนด เพราะถ้าขืนดันทุรังเดินหน้าอีกมุมหนึ่งมันก็ได้ไม่คุ้มเสีย
       

       00 ประกอบกับสถานการณ์ในขณะนี้ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดูไม่ดีเอาเสียเลย โดยเฉพาะฝีมือในการรับมือเยียวยาปัญหาน้ำท่วมทำงาน “ห่วยแตก” ผิดความคาดหมาย ตั้งแต่ตัวนายกฯยิ่งลักษณ์ ไล่ลงมาจนถึงบรรดารัฐมนตรีแต่ละคนทำงานไม่เอาอ่าว มีแต่ “ราคาคุย” ทำงานจริงไม่ได้เรื่องสักคน ดังนั้นถ้ายังขืนเดินหน้าชาวบ้านก็จะยิ่งหงุดหงิด ไม่เป็นผลดีแน่นอน
       
       00 มองในแง่ดีก็ต้องบอกว่าคำแถลงถอยของ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะเจ้าของเรื่องโดยตรง โดยให้ยึดตามร่างเดิมในยุครัฐบาล ปชป.ปี 2553 ที่ยังพ่วงข้อห้ามคดียาเสพติดและคดีคอรัปชั่น รวมไปถึงคำยืนยันว่า “ต้องติดคุกก่อน” มันก็เหมือนสัญญาประชาคมถ้าผิดไปจากนี้ก็ต้องเจอสหบาทาแน่ อย่างไรก็สิ่งที่ต้องจับตาอย่างไม่กระพริบก็คือ การแก้ไข รธน.เพื่อลบล้างความผิดของ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งหมด ที่คาดว่าจะเริ่มในปลายปีหรือต้นปีหน้า กรณีนี้น่าจะเป็นความหวังสูงสุด โดยอาศัยเสียงในสภา แต่ถ้ารัฐบาลน้องสาวยัง “โชว์โง่” อยู่ไม่เลิกมันก็เหนื่อยเหมือนกัน !!
       
       00 คดีโจรปล้นบ้านอดีตปลัดกระทรวงคมนาคม สุพจน์ ทรัพย์ล้อม ได้เงินไปหลายล้านบาท ซึ่งตัวเลขยังสับสนว่าเป็นเท่าใดกันแน่ บางข่าวบอกว่ามีถึงสองร้อยล้าน หรือตามข่าวที่หนึ่งในโจรบอกว่ามีเงินสดเก็บเอาไว้อีกเป็นพันล้านบาท มันไม่ธรรมดาอยู่แล้ว อีกทั้งเมื่อดูการทำงานของตำรวจยัง “ปิดบัง” อะไรชอบกล มันก็ยิ่งทำให้ชวนให้อยากรู้ไปกันใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อความชัดเจนน่าจะใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ร่วมด้วย เช่น การพิสูจน์ลายมือบนธนบัตรด้วย บางทีอาจได้เบาะแสเชื่อมโยงไปถึงคนที่นำมามอบให้ด้วย หากเป็นเงินไม่สุจริต !!
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #413 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2554, 14:46:28 »

แอบฟัง 2 สามีภรรยาคุยกัน หลังจากกลับจากเมืองไทย

Bill: How's the situation in Thaiand?
สถานการณ์ที่เมืองไทยเป็นอย่างไรบ้าง
Hillary: Regretful.
น่าเสียดาย
Bill: Flooding?
น้ำท่วมหน่ะหรือ
Hillary: Nope. The Prime Minister!
เปล่า นายกรัฐมนตรี
Bill: Why?
ทำไม
Hillary: I wished she should have replaced Monica.
อยากให้หล่อนมาแทนที่ มอนีก้า ( สาวฝึกงานที่ทำเนียบขาว แ้ล้วออกมาปูดว่ามีอะไรกับ บิล คลินตัน)
Bill: Don't get it. 
ไม่เข้าใจ
Hillary: She wouldn't be talkative. Eventhough if she talked, nobody would understand anything!
หล่อนจะได้ไม่ปากโป้ง หรือถ้าพูดก็ไม่มีใครเข้าใจอะไร


 เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #414 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2554, 14:50:21 »

เป็นคนไทย พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ไม่มีใครว่าโง่

เป็นนายกฯ พูดไทยด้วยสมองตัวเอง แล้วใช้ล่ามแปล ไม่มีใครว่าโง่

เติ้งเสี่ยวผิง พูดได้ทั้งฝรั่งเศส และอังกฤษ เจรจากับผู้นำอเมริกาท่านพูดภาษาจีนให้ล่ามแปลให้ฝรั่งฟัง
อเมริกาเสนอเงื่อนไขอะไรมา ท่านพูดภาษาอังกฤษคำเดียว "NO"

แต่ "โง่" แล้วแอ็คอาร์ต พูดผิด อ่านผิดซ้ำซาก คนไทยอายที่มีผู้นำประเทศ "NANO BRAIN"
(คำนี้ขออนุญาตนำมาจากความคิดเห็นที่ ๒๑ ศัพท์คำนี้ยอดเยี่ยม ทันสมัยมาก คิดได้ไง)
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #415 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2554, 11:33:00 »

วิพากษ์!ภาษา'ยิ่งลักษณ์ กับความเป็นผู้นำ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

วิพากษ์'ภาษา-ภาวะผู้นำ'ยิ่งลักษณ์'ด้อยทั้งอังกฤษและภาษาไทย'สมเกียรติ'ย้ำใช้ภาษาไทยเจรจาตปท.ด้าน'ชาญวิทย์'มองผิดพลาดเรื่องปกติ

 รายการคมชัดลึก ทางเนชั่นแชลแนล เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ได้เสวนาในหัวข้อ"ภาษา ภาวะผู้นำ...นายกฯ(หญิง)ยิ่งลักษณ์" นายสมเกียรติ อ่อนวิมล อดีตวุฒิสมาชิก และนักวิชาการสื่อสารมวลชน กล่าวว่า ภาษาอังกฤษของน.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้การไม่ได้อย่างฉะฉาน เหมือนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นอกจากนั้นการใช้ภาษาไทยควบกล้ำ ตะกุกตะกัก ผิดแล้วไม่แก้ บางอย่างไม่ควรผิด


 "ในส่วนภาษาไทยต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพราะเป็นผู้นำต้องเป็นแบบอย่าง หากเป็นภาษาอังกฤษ ใช้การไม่ได้ไม่ว่ากัน แต่อย่าใช้เมื่อไม่พร้อม ควรใช้ภาษาไทยและใช้ล่ามแปลเอาจะเป็นการดีทั้งยังเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรม ปัญหาคือ เมื่อใช้ภาษาอังกฤษไม่ถูกต้อง โครงสร้างผิด ในทางนโยบายต่างประเทศจะก่อให้เกิดความเสียหายได้ "

 นายสมเกียรติ กล่าวว่าในการกล่าวสุนทรพจน์ควรจะกล่าวเป็นภาษาไทย เมื่อเป็นนักการเมือง นักสื่อสารการเมือง ต้องสื่อสารให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง ให้ความรู้ ให้สังคมได้รับข้อมูลข่าวสารเพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ภาษาอังกฤษในขณะนี้ เพราะการสื่อสารเป็นการแสดงออกซึ่งภาษาในการพูด อาเซียนด้วยกันประกาศให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทำงานของอาเซียน ดังนั้นในอาเซียน ผู้นำต้องพูดภาษาอังกฤษได้ ผู้เป็นนายกฯควรจะคัดเลือกคนที่ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ ทุกพรรคการเมืองถ้ามีโอกาสให้เลือกใหม่ เพราะภาษาทำให้เข้าถึงความรู้ วัฒนธรรมใหม่

 "การที่นายกฯไม่ปรากฏตัวทางโทรทัศน์เป็นสิ่งดี อยากให้คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯของผมด้วย การร้องไห้ของคุณยิ่งลักษณ์ผมชอบมาก หัวใจจะร้องไห้ก็ร้อง จะสงสารประชาชนก็ร้อง จะร้องกี่ครั้งก็ไม่ว่า และไม่ถือเป็นการแสดงความอ่อนแอ แต่อย่าร้องที่เวทีอาเซียน เวลาที่คุณทักษิณทวิตมาผมรู้สึกหงุดหงิด จะไปทำบุญวัดไหนก็ไปไม่ต้องมาทวิตบอก เพราะอยากให้คุณยิ่งลักษณ์ทำหน้าที่ของตัวเอง ผมอยากเห็นคุณยิ่งลักษณ์ทำงานด้วยหัวใจ เป็นตัวของตัวเองให้เต็มที่" ดร.สมเกียรติ กล่าวและว่า ส่วนเรื่องการเมือง เรื่องน้ำ ตนคงเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ยกเว้นเรื่องที่ติดขัดเช่นภาษาไทย

นายประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส นสพ.เดอะเนชั่น กล่าวว่า การอ่านภาษาอังกฤษของน.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่ในลักษณะที่คาบเกี่ยว จะเห็นได้จากการอ่านสุนทรพจน์ต่อนางฮิลลารี คลินตัน จะเห็นได้ว่ากระทรวงต่างประเทศสหรัฐได้โน๊ตคำมา 12 คำที่ไม่ค่อยได้ยิน ไม่สามารถถอดความได้ ทั้งที่นายกฯอ่านจากสคริป ตนเห็นว่ากระทรวงต่างประเทศไทยควรจะให้คำแนะนำว่าตัวนายกฯเหมาะหรือไม่ที่จะอ่านเป็นภาษาอังกฤษ หากใช้ได้ไม่ดีพอก็ควรใช้ล่าม และในต่างประเทศก็มีการใช้ล่ามเช่นกัน ถ้าพูดไม่ดีผิดเยอะๆ แทนที่จะเป็นการอวด อาจจะกลายเป็นการประจานตัวเอง

เขาเห็นด้วยว่าหน้าที่ของนายกฯคือ การสื่อสารกับสาธาณะให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นความผิดพลาดของกระทรวงต่างประเทศ และนายกฯ ที่จะต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ว่าในการกล่าวสุนทรพจน์ควรกล่าวเป็นภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าเมืองไทยมีการทุ่มทรัพยากรมหาศาลในการเรียนภาษาอังกฤษ จึงต้องกลับมาดูว่าสถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไป ต้องการคนที่มีทักษะภาษาอื่นๆมากกว่า อย่างไรก็ตาม อยากให้เวลานายกฯอีก 3-4 เดือน ไม่ว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ตัวคุณยิ่งลักษณ์มีเวลาเตรียมตัวน้อยกว่านายกฯท่านอื่นๆ แต่ยอมรับว่าประเทศไม่ใช่ที่ฝึกงาน
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #416 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2554, 11:35:44 »

'ยิ่งลักษณ์'โวยข่าวพ.ร.ฎ.อภัยโทษรั่ว

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


"ยิ่งลักษณ์"โวยประชุมลับ ไม่ลับจริง หลังข่าวพ.ร.ฎ.อภัยโทษรั่ว ขณะที่"วรรณรัตน์-ศิริวัฒน์"รีบแจงไม่ใช่คนปล่อยข่าว

ทำเนียบรัฐบาล  - ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (22 พ.ย.)  ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ขอความร่วมมือกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลการประชุม โดยเฉพาะในส่วนของวาระการประชุมลับ หลังจากที่กรณี การพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ) พระราชทานอภัยโทษ...2554 ซึ่งเป็นวาระจร และเป็นการประชุมลับ เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ถูกเปิดเผยและทำให้รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าการกระทำดังกล่าว รัฐบาลต้องการเอื้อประโยชน์ให้แก่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความเคลื่อนไหวกดดันจากหลายกลุ่ม
 
ภายหลังที่นายกรัฐมนตรีกล่าวจบนั้น นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.อุตสาหกรรม และนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.พาณิชย์ ที่มีชื่อเป็น 2 ใน 4 รัฐมนตรี ที่เปิดเผยข้อมูลการประชุมลับดังกล่าวให้กับนักข่าว ได้ยกมือขอชี้แจงต่อที่ประชุมทันที

ทั้งนพ.วรรณรัตน์ และนายศิริวัฒน์ ได้กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นคนให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนตามที่ปรากฏเป็นข่าวแต่อย่างใด  อย่างไรก็ตามในวันนี้ ทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยูบำรุง ที่ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมครั้งก่อน และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ซึ่งเป็นเจ้าของเรื่อง ไม่ได้แสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #417 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2554, 11:51:13 »

มา ครับ
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #418 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2554, 12:57:33 »

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 23 พฤศจิกายน 2554, 11:51:13
มา ครับ
มาก็ดีแล้ว..ดีกว่าไม่มา...งั้นขอต้อนรับ...OVERCOME...จาก ปูเน่า
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #419 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2554, 13:00:26 »

ผ่าแนวคิด "ทางด่วนระบายน้ำ" เตือนย้ายเมืองหลวงถือว่า "โง่"

โดย : ไพศาล เสาเกลียว, ปกรณ์ พึ่งเนตร

   
    คุยกับนักวิชาการจากจุฬาฯ เจ้าของไอเดีย "ทางด่วนพิเศษระบายน้ำท่วม" พร้อมด้วยมาตรการอื่นๆ รวม 11 มาตรการ
สานฝัน "นิว ไทยแลนด์" ของจริง


แม้น้ำทุ่งยังท่วมอยู่ในหลายท้องที่ของกรุงเทพฯ แต่รัฐบาลกลับแสดงท่าทีประหนึ่งว่าน้ำลดหมดแล้ว ด้วยการเดินหน้าฟื้นฟูเยียวยา และสร้างฝัน "นิว ไทยแลนด์" กันอย่างครื้นเครง ไอเดียทั้งที่คิดเองและคนอื่นคิดให้ทะลักทลายเพื่อเรียกความเชื่อมั่นที่หดหายให้กลับคืน

พลิกดูข้อเสนออันหลากหลาย มีข้อเสนอหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นก็คือ "11 แนวทางแก้ไขน้ำท่วมแบบบูรณาการหลายมิติ" ของ ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเคยมีปรากฏทางสื่อแบบแว้บๆ แต่ก็เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย โดยเฉพาะ "ระบบทางด่วนพิเศษระบายน้ำท่วม" หรือ super-express floodway

"กรุงเทพธุรกิจ" จึงเปิดพื้นที่เพื่อนำเสนอรายละเอียดแบบเต็มๆ กันอีกครั้ง

ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่า การแก้ปัญหาภัยพิบัติต้องมองความจริงที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ด้วย อย่างกรุงเทพฯนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นที่ราบน้ำท่วมถึง หรือ flood plain ขนาดใหญ่ เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีลุ่มน้ำย่อยอีกถึง 8 ลุ่มน้ำ ฉะนั้นการจัดการปัญหาต้องมององค์รวมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ไม่ใช่มองแบบแยกส่วนเหมือนปัจจุบัน

"เมื่อสิบกว่าปีก่อนเราเตรียมทุ่งตะวันออก (เขตมีนบุรี หนองจอก คลองสามวา และลาดกระบัง) เอาไว้สำหรับเป็นทางผันน้ำหลาก หรือฟลัดเวย์ ซึ่งก็ทำหน้าที่ได้ดี เพราะมีแค่ถนนบางนา-ตราดขวางอยู่ แต่ปัจจุบันพื้นที่ตรงนั้นกลายเป็นคอขวดหมดแล้ว กระทั่งไม่สามารถดึงน้ำลงทะเลได้สะดวก เพราะมีการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ สร้างมอเตอร์เวย์ และมีชุมชนขวางทางน้ำอีกมากมาย ฉะนั้นจึงต้องหาฟลัดเวย์ใหม่"

ศ.ดร.ธนวัฒน์ ขยายความว่า ทางผันน้ำหลากที่เขาเสนอนั้น เป็นทางด่วนพิเศษ (super-express floodway) ใช้คลองธรรมชาติเข้าช่วย โดยจะไม่ขุดคลองเพิ่ม และใช้คลองชัยนาท-ป่าสักดึงน้ำลงเขื่อนพระรามหก เพื่อให้ไหลลงคลองระพีพัฒน์ จากนั้นก็ผันให้ไหลต่อไปยังคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต และลงสู่คลองด่าน

"จุดสำคัญคือรอบแนวคลองที่ระบุไว้ทั้งหมดจะขอเวนคืนเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ของคนที่อาศัยอยู่ริมคลอง แล้วให้ย้ายออกห่างคลองประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน สามารถเพาะปลูกข้าวได้อย่างเดียว โดยจะให้ปลูกปีละ 2 ครั้ง เมื่อเวนคืนและจ่ายค่าชดเชยเสร็จสิ้น ก็จะสร้างถนนริมคลอง โดยยกถนนให้สูง 6 เมตร กว้าง 3 เมตรทั้ง 2 ข้างคลอง เราก็จะได้ถนนมอเตอร์เวย์เส้นใหม่ที่สามารถเดินทางจากคลองด่านไปภาคอีสานและภาคเหนือได้ในหน้าแล้ง ส่วนหน้าน้ำก็จะทำหน้าที่ผันน้ำลงทะเล และพื้นที่รอบคลองในอนาคตอาจเป็นผืนนาที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลาง"

หัวหน้าหน่วยศึกษาภัยพิบัติ จุฬาฯ อธิบายต่อว่า ทางด่วนพิเศษระบายน้ำที่สร้างขึ้นนี้จะมีหน้าที่ 2 แบบ คือ 1.เป็นแก้มลิงธรรมชาติ สามารถบรรจุน้ำได้ 1,600 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 2.เป็นตัวผันน้ำ โดยสามารถผันน้ำลงทะเลได้ 6,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที วันละ 500 ล้านลูกบาศก์เมตร ฉะนั้นฟลัดเวย์จึงสามารถทำได้ทั้งผันน้ำในหน้าน้ำ และเก็บกักน้ำในฤดูแล้ง

"หากระบบนี้เสร็จเรียบร้อย โรงงานหรือนิคมอุตสาหกรรมที่ว่าจะต้องย้ายฐานการผลิตเพราะน้ำท่วมก็ไม่ต้องย้าย ยังคงอยู่ที่เดิมได้ เพียงแต่ไม่ให้มีการสร้างโรงงานเพิ่มอีก" ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าว

อีกเรื่องหนึ่งที่นักวิชาการผู้นี้เสนอเอาไว้เป็นหนึ่งใน 11 แนวทางแก้ไขน้ำท่วมแบบบูรณาการหลายมิติ ก็คือเรื่อง "เมืองบริวาร" โดยเขาบอกว่า ควรวางแผนพัฒนากรุงเทพฯและเมืองบริวารอย่างเป็นระบบ เพราะหากยังปล่อยให้กรุงเทพฯโตขึ้นเหมือนปัจจุบัน อีก 50 ปีข้างหน้าทุ่งรับน้ำที่เหลืออยู่จะกลายเป็นพื้นที่เมืองทั้งหมด หากน้ำท่วมใหญ่อีกจะเกิดความเสียหายหนักกว่าวันนี้ ดังนั้นต้องคุมไม่ให้มีการขยายเมืองเพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต โดยขีดเส้นไม่ให้กรุงเทพฯโตขึ้น และหาทางออกอื่นให้

"ถ้าย้ายเมืองหลวงถือว่าโง่ เพราะเราลงทุนสร้างมากว่า 200 ปี แค่น้ำท่วมครั้งเดียวก็ใจเสาะหนี ผมจึงมีแนวคิดว่าเราควรขยายเมืองในต่างจังหวัดเพื่อรองรับการเติบโตของกรุงเทพฯ เช่น จ.ราชบุรี สุพรรณบุรี สระบุรี และฉะเชิงเทรา โดยให้เป็นเมืองหน้าด่าน จากนั้นก็สร้างทางด่วนหรือรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมกับกรุงเทพฯ เพื่อให้สามารถเดินทางไปกลับได้ภายใน 1 ชั่วโมง"

ส่วนมาตรการอื่นๆ ที่เสนอใน 11 แนวทาง ได้แก่

- วางแผนแม่บทควบคุมการป้องกันน้ำท่วมโดยใช้สิ่งก่อสร้างในลุ่มน้ำต่างๆ ปรับปรุงระบบระบายน้ำท่วมให้มีประสิทธิภาพทั้งระบบ เช่น ขยายประตูน้ำให้สอดคล้องกับขนาดคลอง วางระบบการดูแลคูคลองและขุดลอกสม่ำเสมอ ควบคุมการสร้างระบบถนนในอนาคตที่ปิดกันทางน้ำท่วมไหลหลาก

- ปรับปรุงระบบเตือนพิบัติภัยล่วงหน้าและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำใหม่ทั้งระบบ

- มาตรการจัดเก็บภาษีน้ำท่วมและการประกันภัยเพื่อกองทุนชดเชยน้ำท่วม แบ่งเป็น ภาษีน้ำท่วมโดยตรงจากพื้นที่ที่มีระบบปิดล้อมป้องกันน้ำท่วม กับ ภาษีน้ำท่วมทางอ้อม เพื่อปกป้องพื้นที่แก้มลิงธรรมชาติ โดยเก็บภาษีสิ่งปลูกสร้างในอัตราสูงมาก

- มาตรการควบคุมการใช้ที่ดินและผังเมืองโดยใช้แผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม

- มาตรการควบคุมการใช้น้ำบาดาลเพื่อลดปัญหาแผ่นดินทรุด ช่วยให้การระบายน้ำดีขึ้น

- มาตรการจัดทำแผ่นแม่บทกำหนดระยะเวลาการเพาะปลูกในลุ่มน้ำท่วมอย่างเป็นระบบให้สอดคล้องกับการแปรปรวนและผกผันของภูมิอากาศในอนาคต เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดกับภาคเกษตรกรรมและการผลิตอาหารของประเทศทั้งระบบ

- มาตรการอนุรักษ์และเพิ่มพื้นที่แก้มลิง ปกป้องพื้นที่แก้มลิงธรรมชาติให้สอดคล้องกับวิถีชุมชน ควบคุมระดับการถมที่ดินทั้งระบบและควบคุมการสร้างถนนในพื้นที่แก้มลิง

- ควรเร่งพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดการพิบัติภัยทั้งระบบและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการจัดการพิบัติภัยของภาครัฐ

- ควรจัดตั้งหน่วยงานดูแลเรื่องพิบัติภัยและส่งเสริมงานวิจัยทั้งระบบอย่างจริงจังเพื่อลดพิบัติภัยด้วยองค์ความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่

ทั้งหมดนี้คือข้อเสนอแก้ไขน้ำท่วมแบบยั่งยืนที่มีฐานทางวิชาการรองรับ ซึ่งไม่ได้จำกัดมุมคิดเฉพาะการสร้างเขื่อนหรือวางระบบปกป้องซึ่งต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลเท่านั้น

แต่สุดท้ายก็ต้องขึ้นกับรัฐบาลว่าจะตัดสินใจอย่างไร หรือจะปล่อยให้ประเทศเผชิญชะตากรรมต่อไป

 

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #420 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2554, 17:42:40 »

                                         ทำเวปต์หมิ่น

                              โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์



มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกปชป.นำภาพนายณัฐวุฒิ ด้วงนิล คณะทำงานสื่อออนไลน์น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซี
                   ทีเคยถูกจับกุมเวปไซต์หมิ่นสถาบัน


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #421 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2554, 17:51:17 »


คลิปนาที "การุณ" เจอ "มัลลิกา" ถีบว่อนยูทูบ ชาวเน็ตร่วมแสดงความเห็นอื้อ

เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ผู้ใช้นามแฝง "realmkii" ได้โพสต์คลิปวิดีโอขึ้นเว็บไซต์ยูทูบ โดยระบุว่าเป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ถีบ นายการุณ โหสกุล ส.ส.เขตดอนเมือง พรรคเพื่อไทย หลังการประชุมป้องกันน้ำท่วมที่โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย 2 เขตสายไหม โดยคลิปดังกล่าวได้มีผู้สนใจเข้ามาแสดงความคิดเห็นและส่งต่ออย่างกว้างขวาง ซึ่งคลิปดังกล่าวมียอดผู้ชมเกือบ 30,000ครั้งในเวลาเพียง 1 วัน

                     คลิ๊กเลยครับ       http://goo.gl/ofpJJ
                          จบแล้ว ให้ดูต่อในคลิปเดียวกัน  คลิปล้อ ปูเน่า OVERCOM นางฮิลาลี่..ฮา สุดๆๆ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #422 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2554, 22:16:17 »

 Subject: FW: ไม่ไหวแล้วโว้ย 

        From OKNATION:


         

        นับวันฉันยิ่งไม่แน่ใจ

        ว่านี่คือประเทศไทยของฉัน

        ปกครองด้วยระบอบใดกัน

        คล้ายระบอบแดกดันอธิปไตย

         

        มีนารีขี่อะไรก็ไม่รู้

        มานำเป็นแม่ปูดูเฉไฉ

        เดินลดเลี้ยวเคี้ยวคดตามสั่งใคร

        แถมพูดภาษาไทยไม่แข็งแรง

         

        “พฤศจิกาคม” เดือนใหม่เธอจำแนก

        “หญ้าแฝก”เป็น”หญ้าแพรก”ยิ่งแปลกแปร่ง

        “สระแก้ว”เป็น”สระบุรี “ ชีพลิกแพลง

        ไปเมืองสิงห์ก็ยังแสร้งเรียกสระบุรี


         

        จะเบลอเบลอเฟอะฟะไปถึงไหน

        ก็มีโพยอยู่ร่ำไปใช่ไหมนี่

        พูดผิดลิ้นพันกันทุกที

        จะโพยมีไม่มีก็เหมือนกัน

         

        แถลงร่างงบประมาณต่อรัฐสภา

        ยังอ่านโพยต่อหน้าให้ขำขัน

        หน่วยสิบร้อยพันพัลวัน

        หมื่นก่อนแสน จึงเฮลั่นกันทั้งสภา

         

        “ห้าหมื่นสามแสนเก้าร้อยสิบแปดล้านบาท”

        คำแถลงผิดพลาดขายขี้หน้า

        จะบันทึกกันอย่างไรในรัฐสภา

        งบประมาณจะพิจารณากันอย่างไร


         

        มีผู้นำเฟอะฟะประมาณนี้

        เป็นนารีขี่ปู ดูเฉไฉ

        เดินลดเลี้ยวเคี้ยวคดตามสั่งใคร

        ขายขี้หน้าประเทศไทย  ไม่ไหวแล้วโว้ย `!

        ว.แหวนลงยา

     
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #423 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2554, 15:35:54 »

สว่นชาวประชาก็เป็น...
ศ.ศาลา  เงียบเหงา กันต่อไป
หึ หึ
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #424 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2554, 20:51:49 »

from tsenami in japan
>

> เมื่อคืนนี้ ผมถูกส่งไปที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง
> เพื่อช่วยหน่วยงานอาสาสมัครในการแจกจ่ายอาหารให้กับผู้ประสบภัยพิบัติ
>
> ในหมู่ผู้ที่เข้าคิวยาวรออยู่นั้น ผมสังเกตุเห็นเด็กชายอายุประมาณ 9
> ขวบคนหนึ่ง ซึ่งใส่เพียงเสื้อคอกลมและกางเกงขาสั้น.
> อากาศขณะนั้นหนาวเย็นมาก และเขากำลังยืนคอยอยู่ตอนท้ายแถว
> ผมเป็นห่วงว่าอาจจะไม่มีอาหารหลงเหลือพอ เมื่อถึงคิวของเขา
> ผมจึงเดินไปเพื่อคุยกับเขา
>
> เขาเล่าให้ผมฟังว่า แผ่นดินไหวและสึนามิเกิดขึ้นขณะที่เขาอยู่ที่โรงเรียน
> ในชั่วโมงพละศึกษา.
> พ่อของเขาซึ่งทำงานอยู่ใกล้ๆกันมาหาเขาที่โรงเรียน
> เขามองเห็นคุณพ่อและรถของเขาถูกน้ำพัดหายไป จากระเบียงบนชั้นสามของโรงเรียน
> คุณพ่อของเขาคงเสียชีวิตไปแล้ว
>
> เมื่อผมถามเขาถึงคุณแม่ เขาบอกผมว่า ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ริมทะเล
> ดังนั้นคุณแม่และน้องชายของเขาคงไม่สามารถหลบหนีได้ทัน
> เขาหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง เพื่อเช็ดน้ำตาเมื่อถูกถามถึงญาติๆของเขา
>
> ผมเห็นว่าเขาคงหนาวอยู่ จึงถอดเสื้อโค๊ทตำรวจแล้วคลุมร่างเขาไว้
> ขณะเดียวกับที่ อาหารมื้อเย็นที่เหลือซึ่งซุกอยู่ในกระเป๋าก็หล่นออกมา
> ผมหยิบมันขึ้นมา แล้วส่งให้เขาพร้อมบอกเขาไปว่า "น้าเป็นห่วงว่า
> อาจจะไม่มีอาหารเหลือถึงคิวของเธออีก นี่เป็นส่วนของน้า
> น้ากินไปแล้วหน่อยหนึ่ง เธอกินส่วนที่เหลือให้หมดเถอะ"
> เด็กน้อยยื่นมือมารับอาหาร แล้วค้อมตัวลงกล่าวคำขอบคุณ
> ผมคิดว่าเขาคงรีบกินด้วยความหิวในทันที แต่ .. เปล่าเลย
> เขาถืออาหารชิ้นนั้น แล้วเดินตรงไปยังหัวแถว ที่ซึ่งมีคนคอยแจกอาหารอยู่
> แล้ววางอาหารที่ผมให้กับเขาลงไปในกล่องของอาหารที่กำลังได้รับการแจกจ่าย
> แล้วเขาก็เดินกลับ มาเข้าแถวในคิวของเขา
>
> ผมประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงถามเขาว่าทำไมเขาไม่กินอาหารที่ผมให้เสียละ
>
> เขาตอบผมว่า "เพราะมีคนอีกมาก ที่อาจจะหิวยิ่งกว่าผม ผมวางไว้ที่นั่น
> ก็เพื่ออาหารจะได้รับการแจกจ่ายอย่างเป็นธรรมให้กับทุกคน"
> เมื่อผมได้ฟังคำตอบ ผมต้องหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อร้องไห้
> โดยที่คนอื่นๆจะได้มองไม่เห็น

>
> ผมรู้สึกตื้นตันใจ ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กชายอายุ 9 ขวบ
> ซึ่งยังเรียนอยู่เพียงชั้นประถมปีที่ 3 จะสามารถสอนบทเรียนล้ำค่าแก่ผม
> ในเวลาคับขันเช่นนี้
> มันเป็นบทเรียนแสนสะเทือนใจของความเสียสละ
> ประเทศใด ที่มีเด็กๆอายุเพียง 9 ปี ซึ่งเรียนรู้ที่จะอดทน
> ที่จะทนกับความยากลำบาก และเสียสละเพื่อผู้อื่นได้
> ต้องเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ประเทศหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
>

> แม้ประเทศนี้กำลังอยู่ในสภาวะที่คับขันที่สุด
> แต่ประเทศนี้ต้องสามารถฟื้นคืนกลับมาได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นแน่นอน
> ทั้งนี้ด้วยเพราะประชาชนผู้รู้ที่จะเสียสละตัวเองให้กับผู้อื่น
> ดังเช่นเด็กชายน้อยๆผู้นี้
>
>
> ต้นฉบับ ตามนี้ครับ
>
>
> Last night I was sent to a primary school, in order to assist the
> autonomous association there distributing food to the victims. Among
> the long waiting queue, I noticed a boy at around 9 year-old, wearing
> only a T-shirt and a pair of shorts. The weather was really cold and
> he was standing at the end of the line. I was afraid that there might
> not be any food left when his turn came, thus I came over to talk to
> him.
>
> He told me that the earthquake and tsunami came when he was at school,
> in his physical education class. His father, who worked nearby, came
> to the school. From the balcony on the 3rd floor of the school, he saw
> his father and the car being swept away by the water. His father had
> most likely died.
>
> As I asked where his mom was, he told me that since his family lived
> close to the ocean, his mom and brother must have not escaped in time.
> He quickly turned to wipe away his tears when being asked about his
> relatives.
>
> Seeing that he was cold, I took off my police coat and covered him up
> with it. Inadvertently, my dinner portion felt out of the pocket. I
> picked it up, gave it to him, and said: "I'm afraid there'd be no food
> left when it's your turn. Here is mine. I already ate. You go ahead
> and have it" The little boy received the food, bending over to thank.
> I was thinking he would start eating voraciously at that moment, but
> no. He carried it and went straight to the front of the line, where
> the people are handing out food, put what I gave him into the box of
> food that was being distributed, then turned back to the queue.
>
> Extremely surprised, I asked why he didn't eat it instead. He
> answered: " Because there are more people who probably are hungrier
> than me. I put it in there so they could fairly distribute it to
> everyone"
>
> After hearing his answer, I turned away to cry so people couldn't see
> it. I was moved. I can't believe that a 9 year-old little boy, who was
> only in the 3rd grade, could teach me such a lesson in this difficult
> moment. A very touching lesson about sacrifice. A nation with children
> who are only 9 year-old, yet already know how to be patient, to bear
> hardship, and to sacrifice for others is undoubtedly a great nation.
>
> Even though this country is in its most critical moments, it certainly
> will revive stronger, thanks to the people who know to sacrifice
> themselves for others at such a young age. fot gclo="ffff"
> olr=#0000"HR Dscaier hi mssgema cntincofienia ad/r riilge ifomaio ad
> ntndd ollyfo te ecpints)naedabve I yu reno te ddeseeorauhoizd y ha Uio
> Gou t rceveths esag, oumut otus, op, isloe r ak ay ctononths esag o ay
> nfrmtin erin I yu ecivd hi mssgeineror peae dvseth sndr mmditey y epy
> -milan dlee hi mssge TaiUnonGrupwil otbelibl fr nylos r amgearsig
> ircty r ndretl fomth psssson pblcaio o uag o rlinc o ifomaio otane, r
> nydaag cusd y nyviusatacedwih hi mssge HR/fnt
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 15 16 [17] 18 19 ... 21  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><