23 พฤศจิกายน 2567, 10:05:20
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 21  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)  (อ่าน 235526 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 14 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #350 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2554, 23:11:03 »

ปูหัวทิ่มน้ำ...อาจไปเร็วกว่าที่คิด

  posttoday.com  26 ตุลาคม 2554 เวลา 07:26 น. |
   

ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครแม้แต่รัฐบาลปฏิเสธแล้วว่า กทม.น้ำจะไม่ท่วม
หลังจากมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าน้ำจำนวนมหาศาลได้ไหลถล่มพื้นที่บางจุดแล้ว


โดย...ทีมข่าวการเมือง

ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครแม้แต่รัฐบาลปฏิเสธแล้วว่า กทม.น้ำจะไม่ท่วม หลังจากมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าน้ำจำนวนมหาศาลได้ไหลถล่มพื้นที่บางจุดแล้ว ไม่ว่าเขตบางพลัด วิภาวดีรังสิต ไม่เว้นแต่ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เอง ที่สั่งย้ายของชั้นหนึ่งกันจ้าละหวั่น

ขณะเดียวกัน เดือน ต.ค. ที่กำลังหมดไปถือว่าเป็นช่วงมหาวิกฤตที่สุดของรัฐบาล เนื่องจาก “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ไม่ได้คาดคิดมาก่อนพลันที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งประมาณ 34 เดือน ว่าจะมาเจอกับโจทย์น้ำท่วมประเทศไทยอย่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้

เวลาฮันนีมูนหมดอย่างรวดเร็วพร้อมกับสายน้ำที่หลากมา ประหนึ่งเป็นการพิสูจน์ว่ารัฐนาวาที่นำโดยผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองราว 40 วัน ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งจะไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่

สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้ คือ “ของจริง” ที่ยิ่งลักษณ์ต้องเผชิญ

วาทกรรม “น้ำไม่ท่วม กทม.” ได้ถูกผลิตซ้ำโดยรัฐบาลหลายต่อหลายครั้ง ด้านหนึ่งรัฐบาลอาจเจตนาดีไม่ต้องการให้ประชาชนตระหนก แต่ในทางกลับกันได้เป็นการปกปิดความจริงบางประการจนเกิดความเสียหายอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ผลที่ตามมา กทม. เส้นเลือดใหญ่ของประเทศ กำลังเข้าสู่ภาวะคับขันถึงขีดสุด


กทม. ณ เวลานี้เป็นศูนย์กลางในการกระจายความช่วยเหลือให้กับผู้ประสบภัยในภูมิภาค ไม่ต่างอะไรกับการเป็นหัวใจสำคัญของการนำประเทศไทยผ่านวิกฤตครั้งนี้

โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จะผลักดันน้ำใน กทม.ลงทะเลอย่างไร แต่ยังมีวิกฤตแวดล้อมที่เกิดตามมาเป็นลูกโซ่จำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดมาจากความผิดพลาดของยิ่งลักษณ์เอง

ตัวอย่างในกรณีนี้สะท้อนได้จากภาวะขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคและน้ำดื่ม เกิดปรากฏการณ์ประชาชนกักตุนสินค้าและน้ำดื่มจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งกว่าการกักตุนสินค้าในช่วงเหตุการณ์จลาจล กทม. เมื่อปี 2553

ทำไมรัฐบาลถึงได้ปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นทั้งที่ในช่วงปลายรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ได้มีสัญญาณบ่งชี้แล้วจากการเกิดอุทกภัยหลายจุด โดยเฉพาะภาคเหนือ ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องมาถึงในฤดูมรสุมช่วงปลายปี

ยิ่งไปกว่านั้นพรรคเพื่อไทยสมัยเป็นฝ่ายค้านได้เคยโจมตีการแก้ไขน้ำท่วมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ว่า “ไม่มีประสิทธิภาพ” จึงน่าจะเป็นบทเรียนสำคัญที่ไม่ควรให้ซ้ำรอย

แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลจริงกลับไม่มีการวางมาตรการรับมือเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดความโกลาหล


สุดท้ายผลที่ตามมาก็เป็นอย่างที่เห็น กว่าที่ยิ่งลักษณ์จะสั่งให้กระทรวงพาณิชย์หามาตรการป้องกันสินค้าขาดแคลนอย่างเป็นรูปธรรม จนมาสู่การสั่งนำเข้าสินค้าบางรายการจากต่างประเทศ หรือการตั้งสถานที่พิเศษเพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าก็สายไปเสียแล้ว เหมือนลักษณะ “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้”

ไม่มีหลักประกันใดๆ ทั้งสิ้นที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถผ่านวิกฤตนี้ได้ไปพร้อมกับรัฐบาลอย่างที่ได้ประกาศไว้ ทั้งหมดได้ถูกสะท้อนออกไปสู่สายตาชาวโลกผ่านมุมมองของสื่อต่างประเทศหลายสำนัก อันเป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาลไทยภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหารจัดการน้ำ ส่งผลให้การฟื้นฟูความเชื่อมั่นยากขึ้นเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกัน สิ่งที่ยิ่งลักษณ์เลือกทำมากที่สุดในระยะนี้กลับเป็น “การบริหารภาพลักษณ์” เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองมีภาวะผู้นำ

นายกฯ ยิ่งลักษณ์ใช้แนวทางมอบหมายให้บรรดารองนายกฯ และรัฐมนตรีเข้ามาบริหารสถานการณ์ หรือการตั้งคณะกรรมการเกี่ยวกับน้ำหลายคณะ โดยหวังว่าจะช่วยลดแรงเสียดทานให้กับตัวเอง ในฐานะที่ได้มอบหมายให้คณะบุคคลเหล่านั้นทำงานแล้ว

พร้อมกับทำงานผ่านสื่อมวลชนในการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ตัวเอง เช่น การลงพื้นที่น้ำท่วมทั้งบนฟ้าและบนดิน

ทว่าการลงพื้นที่ดังกล่าว การมอบหมายให้รองนายกฯ หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่ข้อเสนอของคณะกรรมการผันน้ำเกี่ยวกับการเปิดเส้นทางระบายน้ำใหม่เพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงและความสูญเสียให้กับ กทม. กลับไม่ได้ช่วยเสริมสร้างให้ยิ่งลักษณ์กล้าพอที่จะตัดสินใจแก้ไขสถานการณ์ใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ภาวะแบบนี้นำมาสู่การลอยตัวจากปัญหาทั้งหมด และแจงปัญหาต่อสาธารณชนซ้ำไปซ้ำมา “น้ำเหนือประมาณหมื่นล้านลูกบาศก์เมตรเข้ามายากต่อการแก้ไข” มีจุดประสงค์ต้องการให้ประชาชนเข้าใจว่าน้ำท่วมที่เกิดขึ้นมีปัจจัยจากธรรมชาติ ไม่ใช่การบริหารจัดการของมนุษย์

ครั้นพอมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงมากขึ้น นายกฯ ก็ประกาศถืออาญาสิทธิมาตรา 31 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวบอำนาจทั้งหมดมาไว้ที่นายกฯ แต่เพียงผู้เดียว แต่ถึงเวลานี้ยังไม่มีอะไรดีขึ้นมาเพราะการเลือกเด็ดขาดในช่วงที่สถานการณ์บานปลายได้สายไปเสียแล้ว

นอกจากนี้ ระยะเวลาน้ำท่วมจะกินเวลานาน 4-6 สัปดาห์ ตามที่ยิ่งลักษณ์ระบุ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทุกอย่างก็จะโหมพุ่งใส่ “ยิ่งลักษณ์” อย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องของการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้คนที่ประสบอุทกภัย อาทิ อาหารการกิน ที่เวลานี้มีการกักตุนจนสินค้าขาดตลาด รวมทั้งที่อยู่อาศัย การว่างงาน อีกสารพัดที่จะตามมา

ะยะเวลาจากนี้ไป ยิ่งลักษณ์จึงตกอยู่ในลักษณะหัวทิ่ม เจียนจมน้ำอยู่รอมร่อ หากไม่สามารถโชว์วิชัน แก้ไขปัญหาให้รวดเร็วและสัมฤทธิผลกว่านี้ นายกฯ หญิงคนแรกของประเทศอาจต้องไปเร็วกว่าที่คิด

 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #351 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2554, 23:07:15 »

สื่อเมืองผู้ดีตีข่าวนายกฯหญิงไทยสวมรองเท้าบูทสุดหรูเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก


สื่อผู้ดีจวกปูสวมบูทหรูเยี่ยมชาวบ้าน

"เทเลกราฟ"หนังสือพิมพ์ในอังกฤษ ระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงของไทย
กำลังเผชิญกับแรงกดดันครั้งใหญ่จากสังคมไทย ในการทำหน้าที่ของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.)
 ที่ขาดความน่าเชื่อถือ จากการรับมือกับปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่มีการแจ้งข้อมูล
และการเตือนภัยเหตุน้ำท่วมที่ค่อนข้างสับสนขัดแย้งกับข้อเท็จจริงหลายครั้ง
จนส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทย กรุงเทพฯกำลังเผชิญน้ำท่วมครั้งใหญ่
ถือเป็นอุทกภัยที่มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบ 50 ปี
สื่อสิ่งพิมพ์ชื่อดังรายนี้ยังระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่เหมาะสม
 และความไม่คำนึงถึงกาลเทศะ จากการเลือกสวมใส่รองเท้าบูทราคาเรือนหมื่นของแบรนด์สุดหรูอย่างเบอเบอร์รี่
 ออกไปเยี่ยมบรรดาผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่กำลังใช้ชีวิตด้วยความลำบาก
สื่อประเทศ หลายสำนักรายงานตรงกันว่า เหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ในไทยส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 370 ราย ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่กรุงเทพฯเมืองหลวงของไทย ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่กว่า 10 ล้านคน กำลังสุ่มเสี่ยงที่จะถูกน้ำท่วมสูงถึง 1.5 เมตรในหลายพื้นที่.
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #352 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2554, 18:24:26 »

มาชมวิถีชีวิตไทย...ยามน้ำนอง

























      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #353 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2554, 18:50:06 »

"ชูชาติ"กร่างโวยกรมชลฯ-กทม.

   posttoday.com  27 ตุลาคม 2554
มท.2 โชว์กร่าง โวยกรมชลฯ-กทม.ระบายน้ำ ลั่นไม่กลัวใคร ด้านกรมชลฯติด3เครื่องสูบน้ำยักษ์ผันน้ำด้านตะวันออก

เมื่อวันที่  27 ต.ค. นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน และ นายอุเทน ชาติภิญโญ ประธานคณะกรรมการผันน้ำลงสู่ทะเล ของศูนย์ปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) พร้อมคณะ ได้เดินทางมาตรวจระดับน้ำที่สถานีสูบน้ำ คลองแสนแสบ-หนองจอก เพื่อหารือแนวทางในการผันน้ำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายสุเทพและนายอุเทนกำลังปรึกษาแนวทางดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำและผันน้ำ นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ รมช.มหาดไทย ได้เดินทางเข้ามาด้วยอาการมึนเมาและมีกลิ่นแอลกอฮอล์ พร้อมโวยวายด้วยถ้อยคำที่หยาบคายถึงวิธีการระบายของกรมชลประทาน พร้อมทั้งกล่าวว่ากทม.เห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมระบายน้ำไป ทำให้พื้นที่จ.ปทุมธานีต้องจมน้ำ

ด้าน นายสุเทพพยายามจะอธิบายถึงวิธีการ แต่นายชูชาติไม่ยอมฟัง พร้อมตอบกลับว่า อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องน้ำ และย้ำด้วยว่า เอาควายๆมาบริหาร อีกทั้ง สูบน้ำจากฝั่งคลองที่มาจากอ.ธัญบุรี ก็ไหลเป็นเยี่ยว

อย่างไรก็ดี นายอุเทน ก็พยายามชี้แจง แต่นายชูชาติก็ยังไม่ฟังอีก พร้อมสั่งให้ปฏิบัติตามที่นายชูชาติต้องการ และกล่าวอย่างเสียงดังกล่าวด้วยว่า กูไม่กลัวใคร จากนั้น ก็ได้เดินไปที่แท่นเครื่องสูบน้ำที่ติดตั้งเสร็จ และยืนสูบบุหรี่พร้อมเรียกให้นายสุเทพเข้าไปพบ แต่จากนั้นนายชูชาติก็หายตัวไป   

นายสุเทพ กล่าวว่าขณะนี้กรมชลประทานกำลังพยายามหาทางบายพาส พื้นที่บริเวณคลอง 6วาสายล่างเป็นทางด่วนในการระบายน้ำ โดยจะใช้คลองบึงฝรั่ง ซึ่งเป็นคลองธรรมชาติ ที่ตั้งอยู่ในแขวงหนองจอก เขตกระทุ่มลาย กรุงเทพมหานคร เป็นทางระบายน้ำให้ลงสู่คลองแสนแสบ โดยมีระยะทาง 1.76 กม. พร้อมทั้งมีการขยายคันเดินออกไปเพื่อเพิ่มทางให้น้ำที่จะระบายออกมา

ด้านนายอุเทน กล่าวว่า เบื้องต้นจะใช้คลอง 6 วาล่าง เป็นพื้นที่รับน้ำ ก่อนจะสูบออกไปยังคลอง 13 เข้าหนองจอกระบายลงสู่คลองแสนแสบ และใช้คลองบึงฝรั่งเพื่อระบายไปยังคลองแสนแสบเช่นกัน

ทั้งนี้ ได้มีการประสานนำเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่มา 3 เครื่อง โดยจะทำการติดตั้งได้ในวันพรุ่งนี้ (28ต.ค.) อย่างไรก็ดีขอวิงวอนให้หน่วยงานที่กั้นน้ำอยู่ด้านบนคลองระพีพัฒน์ ให้หยุดดำเนินการก่อน เนื่องจากต้องการสูบน้ำที่รับมาก่อนหน้าบริเวณคลอง 6 วา ให้ลดลงก่อน

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าพื้นที่ที่อยู่เหนือคลองระพีพัฒน์ น้ำจะลดลงอย่างแน่นอน รวมถึงพื้นที่รังสิตและสายไหม
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #354 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2554, 10:48:01 »

สองพี่น้อง สองแบบภาวะผู้นำ หนึ่งผลลัพธ์
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    28 ตุลาคม 2554 21:52 น.    

   
   โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
       
       ภาวะผู้นำในการบริหารประเทศหรือบริหารองค์การอาจมีหลากหลายแบบ แต่ละแบบส่งผลต่อความสำเร็จของการปฏิบัติงานแตกต่างกัน รูปแบบภาวะผู้นำบางอย่างอาจใช้ได้ดีโดยมีข้อจำกัดด้านบริบทน้อย เช่น ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ขณะที่บางรูปแบบอาจใช้ได้ดีในบางบริบท แต่อาจไร้ประสิทธิผลอย่างสิ้นเชิงเมื่อบริบทเปลี่ยนไป เช่น ภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมใช้ดีเมื่อผู้ตามมีปัญญาและความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงาน แต่จะไร้ประสิทธิผลหากผู้ตามมีความจำกัดด้านปัญญาและไม่รับผิดชอบ
       
       แต่จากการเฝ้าสังเกตผู้นำในสังคมไทย ผมพบปรากฎการณ์อย่างหนึ่งเกี่ยวกับภาวะผู้นำของประเทศ นั่นคือมีภาวะผู้นำสองแบบซึ่งมีคุณลักษณะความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในการบริหารปกครองประเทศ แต่ทว่ากลับสร้างผลลัพธ์จากการบริหารเหมือนกันนั่นคือความเสียหาย ล่มสลาย หายนะของประเทศ หากประเทศใดก็ตามได้ผู้นำทั้งสองแบบนี้บริหารประเทศ ในท้ายที่สุดประเทศนั้นก็อาจจะพบกับชะตากรรมอันเลวร้ายเหมือนกัน
       
       ภาวะผู้นำดังกล่าวมีเกณฑ์การพิจารณาสองประการคือ คุณลักษณะด้านความฉลาด และคุณลักษณะการใช้อำนาจ คุณลักษณะด้านความฉลาดเป็นความสามารถในการมองภาพรวมของประเทศ สามารถกำหนดทิศทางการพัฒนาของประเทศได้ เป็นผู้ที่สามารถเข้าใจและจับใจความสำคัญของประเด็นปัญหาต่างๆได้รวดเร็ว มีความคิดสร้างสรรค์ค้นคว้าหาแนวทางใหม่ๆในการบริหารประเทศ ส่วนคุณลักษณะการใช้อำนาจเป็นความกล้าในการใช้อำนาจเพื่อจัดการกับความขัดแย้งภายในองค์การหรือการปฏิบัติงาน และความกล้าเสี่ยงในการทำสิ่งที่ผู้อื่นคาดไม่ถึงเพื่อจัดการกับการคุกคามหรือเพื่อการพัฒนา
       
      ผู้นำประเทศคนแรกซึ่งเป็นพี่ชาย เป็นคนที่มีความฉลาดเฉลียว เข้าใจกลไกและเครือข่ายความสัมพันธ์ในสังคมไทยเป็นอย่างดี เนื่องจากเข้าไปสัมผัสเส้นสนกลในการเมืองตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเป็นนายตำรวจติดตามนักการเมือง ประสบการณ์ที่เขาสัมผัสการเมืองอย่างยาวนานทำให้เขาสะสมเล่ห์เหลี่ยมได้หลายเล่มเกวียน อีกทั้งยังเข้าใจความต้องการหรือกิเลสของคนไทยจำนวนหนึ่งซึ่งมากเพียงพอที่ทำให้ตนเองก้าวขึ้นไปดำรงตำแหน่งผู้นำของประเทศได้ ผู้นำคนนี้เมื่อฟังใครนำเสนอรายงานเขาก็เข้าใจและจับประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว และสามารถนำไปพูดต่อได้โดยไม่ต้องอ่านสคริปใดๆ
       
       ส่วนผู้นำประเทศที่เป็นน้องสาวของเขา ยังไม่ปรากฏสัญญาณใดๆที่บ่งบอกถึงความเฉลียวฉลาดของเธอ บางทีอาจจะมีอยู่ แต่คงดำรงอยู่ในระดับลึกซ่อนเร้นอยู่ภายในจนผู้คนทั่วไปไม่อาจสังเกตได้ คนจำนวนมากจึงสรุปว่าคุณลักษณะด้านความฉลาดของเธออยู่ในมิติที่ตรงข้ามกับพี่ชาย แต่เราก็ต้องทำความเข้าใจบริบทที่เธอเติบโตมา ด้วยความเป็นน้องคนเล็ก เธอจึงได้รับการฟูมฟักเป็นอย่างดี หนทางในการดำเนินชีวิตของเธอ ได้รับถากถางและปูทางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เธอได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากพี่ชายให้เป็นผู้บริหารบริษัทเอกชนตั้งแต่อายุยังไม่มาก เธอไม่ผ่านประสบการณ์แบบเดียวกับที่พี่ชายเธอเคยพบมา จึงทำให้ความเข้าใจสังคม การเมืองและการพัฒนาประเทศมีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำความเข้าใจเรื่องราวความซับซ้อนของปัญหาได้ไม่ดีนัก เธอจึงต้องพึ่งพาคนอื่นเขียนบทให้พูด อันที่จริงเรียกให้ถูกคือการอ่าน แต่ดูเหมือนไม่ราบรื่นเท่าไรนักเพราะเธอไม่เข้าใจประเด็นที่อ่านอย่างกระจ่างแจ้งนั่นเอง
       

      ภาพที่ตัดกันของคุณสมบัติด้านนี้คือ ผู้นำผู้พี่ดูมีความฉลาดและเต็มเปี่ยมไปด้วยเล่เหลี่ยมห์ ขณะที่ผู้น้องอยู่ในด้านตรงข้ามคือมีความจำกัดของความฉลาดและดูไร้เดียงสาทางการเมืองและการบริหารประเทศ
       

       สำหรับการใช้อำนาจ ผู้นำผู้พี่กล้าใช้อำนาจเด็ดขาด จนบางครั้งกลายเป็นอำมหิต โดยไม่หวั่นเกรงกับผลกระทบใดๆที่ตามมา กล้าจัดการกับความขัดแย้งภายในองค์การหรือพรรคของตนเอง กล้าเสี่ยงในการนำวิธีการใหม่ๆมาใช้ในการบริหารประเทศ กล้าละเมิดประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมของสังคมไทยโดยไม่ใส่ใจกับความรู้สึกของผู้คน กล้าแม้กระทั่งละเมิดกฎหมายโดยให้สินบนแก่ผู้มีอำนาจหน้าที่เพื่อให้ตนเองได้พ้นความผิด กล้าใช้วิธีการซึ่งไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนเองได้กลับเข้ามามีอำนาจ กล้าทำลายล้างสังคมหากสังคมไม่ตอบสนองความต้องการของตนเอง และกล้าขจัดคนที่ขวางทางและไม่ตอบสนองผลประโยชน์ของตนเองออกไป
       
       ด้านน้องสาว ดูเหมือนจะอ่อนนิ่ม เกรงอกเกรงใจผู้คน ไม่กล้าใช้อำนาจในการจัดการความขัดแย้งใดๆ หรือจัดการกับปัญหาวิกฤติการณ์อย่างเหมาะสม ปล่อยปละละเลยปัญหาต่างๆจากปัญหาเล็กๆพัฒนากลายไปสู่ปัญหาใหญ่ การตัดสินใจของเธอเป็นไปด้วยความล่าช้าและขาดประสิทธิภาพ ไม่ทันเหตุการณ์ การสั่งการณ์หน่วยงานราชการก็ยังไม่มีความชำนาญ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการรอคำปรึกษาแนะนำจากพี่ชายผู้อยู่แดนไกลว่าควรตัดสินใจอย่างไร ควรทำเรื่องใดก่อน เรื่องใดหลัง
       

       ในมิติของการใช้อำนาจเราจึงเห็นลักษณะสุดขั้วของผู้นำสองพี่น้องคู่นี้ ผู้พี่เป็นคนที่ใช้อำนาจอย่างบ้าบิ่น มัวเมา และล้นเกิน ขณะที่ผู้น้องใช้อำนาจอย่างอ่อนนิ่ม กระพร่องกระพร่อง และขาดๆ หายๆ
       
       รูปแบบภาวะผู้นำสองแบบที่แตกต่างตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงอันได้แก่ ภาวะผู้นำแบบเล่ห์เหลี่ยมคลั่งอำนาจ กับ ภาวะผู้นำแบบตื้นเขินและอ่อนนิ่ม กลับส่งผลลัพธ์ต่อสังคมไทยไม่แตกต่างกัน นั่นคือต่างก็นำสังคมไทยก้าวไปสู่ความหายนะเหมือนกัน
       
       ผู้นำผู้พี่มีส่วนสำคัญในการทำลายวิธีคิดและวิถีชีวิตในการพึ่งตนเองของประชาชนรากหญ้า ให้กลายมาเป็นกลุ่มที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ส่งเสริมให้คนไทยติดการพนันเพิ่มขึ้นด้วยการออกหวยที่เยาวชนเข้าถึงได้ง่าย ทำลายความเป็นเอกภาพเชิงอัตลักษณ์ของผู้คนในสังคมไทยให้กลายเป็นความแตกแยก ขัดแย้งแบ่งเป็นขั้ว เป็นผู้จุดชนวนความขัดแย้งในการแบ่งแยกดินแดนให้รุนแรงยิ่งขึ้น เป็นผู้ที่ทำให้ประชาธิปไตยตายซากเหลือแต่เปลือกที่แห้งกรัง เป็นตัวการสำคัญอันนำไปสู่เหตุการณ์จลาจล ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองจนย่อยยับอัปรา เพียงเพื่อให้ตนเองและกลุ่มที่ตนเองหนุนหลังกลับเข้ามายึดครองอำนาจรัฐ
       
       ขณะที่ผู้นำผู้น้อง ด้วยความตื้นเขินและอ่อนนิ่ม จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถจัดการมวลน้ำอันมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิผล ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมทำลายล้างสร้างความเสียหายแก่บ้านเมืองและผู้คนในวงกว้างทุกระดับชนชั้นไม่ว่ารวยหรือจน ไม่ว่าอยู่ในภาคเกษตรหรือภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะอยู่ชนบทหรือเมือง ไม่ว่าจะอยู่กรุงเทพหรือต่างจังหวัด พื้นที่ใดหากไร้นักการเมืองใหญ่ที่ผู้นำคนนี้เกรงใจปกป้อง ก็จะได้รับความเสียหายอย่างเสมอภาคเสมอหน้ากัน
       
       ความหายนะเกิดขึ้นในสังคมไทยแทบทุกด้าน อาทิ ด้านเศรษฐกิจ ความเสียหายมีมูลค่ามหาศาลนับล้านๆบาท บ้านเรือน ทรัพย์สิน โรงงานอุตสาหกรรม ไร่นาถูกทำลายจนพินาศ มีคนตกงานหลายแสนคน ด้านสังคมเกิดความแตกแยกระหว่างประชาชน ความเกลียดชังของคนที่อยู่จังหวัดใกล้เคียงกันในภาคกลางเพิ่มมากขึ้น อาชญากรรมระบาดทั่วทุกหัวระแหง ผู้คนจำนวนมากมีความเครียดเพิ่มขึ้น และอาจนำไปสู่การทำลายชีวิตตนเองในอนาคต
       
       ซ้ำเติมด้วยความไม่เอาไหนในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย ซึ่งดำเนินการอย่างไม่เป็นธรรมและสองมาตรฐานในการกระจายสิ่งของบริจาค ใครเป็นเสื้อแดงได้ก่อนและได้มาก ส่วนใครไม่ใช่เสื้อแดงได้ทีหลังและได้น้อย แม้แต่ ส.ส.ที่อยู่ในพรรคเดียวกันแต่ไม่ใช่เสื้อแดงก็ยังออกมาฟ้องสื่อมวลชนถึงความไม่เป็นธรรมนี้
       
       แม้ว่าสองพี่น้องคู่นี้มีภาวะผู้นำคนละแบบไม่เหมือนกันเลย แต่แบบของภาวะผู้นำที่พวกเขาใช้ในการบริหารประเทศกลับทำให้เกิดผลลัพธ์เหมือนกัน นั่นคือการสร้างความหายนะแก่สังคมไทยอย่างเหลือคณานับ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #355 เมื่อ: 30 ตุลาคม 2554, 09:46:36 »

"ไฟแนนเชียลไทมส์"ชี้คนไทยไม่พอใจการแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล

วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ของอังกฤษรายงานว่า ชาวไทยที่ประสบภัยน้ำท่วมไม่พอใจการแก้ปัญหาของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะขาดการประสานงานและไม่ขอความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ

 นายเบน แบลน ผู้สื่อข่าวของไฟแนนเชียลไทมส์รายงานจากจังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ถูกน้ำท่วมหนักว่า บางพื้นที่มีน้ำสูงกว่า 2 เมตรว่า ผู้คนต้องอาศัยตามศูนย์พักพิง ร้านค้าโรงงานถูกน้ำท่วมหมด ถนนหนทางกลายเป็นคลอง ผู้ประสบภัยในหมู่บ้านพฤกษา 33 คนหนึ่งกล่าวขณะพายเรือมารับสิ่งของบรรเทาทุกข์จากสภากาชาดไทยว่า พวกเขาขาดอาหาร น้ำดื่มและยา หลายคนเริ่มเป็นโรคผิวหนังแล้ว รัฐบาลไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเท่าที่ควรและผู้ประสบภัยส่วนใหญ่ไม่สามารถออกมาได้

 

รายงานระบุว่า ช่วงสุดสัปดาห์นี้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะหนุนสูงสุดจะทดสอบความสามารถของกรุงเทพมหานครว่าสามารถรับมือกับมวลน้ำก้อนใหญ่จากทางเหนือได้หรือไม่ สถานการณ์ขณะนี้ในจังหวัดนนทบุรีซึ่งอยู่ทางเหนือของกรุงเทพฯ เป็นลางบอกเหตุได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจุดที่มวลน้ำก้อนใหญ่ต้องไหลผ่านเพื่อออกไปสู่อ่าวไทย ชาวนนทบุรีจำนวนมากยังคงไม่ยอมย้ายออกจากบ้านแม้ไม่มีน้ำและไฟฟ้า พวกเขามีชีวิตอยู่ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านท่ามกลางความหวาดกลัวจระเข้ที่หลุดออกจากฟาร์ม

 

นายแมทธิว โคเครน เจ้าหน้าที่สหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวว่า ผู้ประสบภัยถูกโดดเดี่ยวและเสี่ยงมีปัญหาด้านสุขภาพมากขึ้น เช่น โรคบิด โรคผิวหนัง โรคมาลาเรีย โรคไข้เลือดออกเพราะน้ำท่วมขังนิ่ง ด้านผู้ประกอบการร้านค้าริมแม่น้ำเจ้าพระยาตำหนิรัฐบาลว่าไม่เตรียมมาตรการป้องกันที่ดีพอ ซ้ำยังให้ข้อมูลสับสน ขณะที่เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์บ่นเช่นกันว่า รัฐบาลไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศทั้งที่องค์กรเหล่านั้นเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว ทำให้ไม่รู้ว่าเป็นความทะนงหรือเหตุผลทางการเมือง
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #356 เมื่อ: 30 ตุลาคม 2554, 19:39:37 »


เอาเด็กพริตตี้มานั่งนายก........เอาตัวตลกมานั่งเป็นที่ปรึกษา.
......เอาควายแดงแต่งตัวเข้าสภา....
...ต้องก้มหน้ารับกรรมประเทศไทย.


....(คัดลอกมา1บทเพราะดลใจมากๆ.ค่ะ..คงมีอีก3บทครับ )
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #357 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2554, 10:22:27 »

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #358 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2554, 11:07:15 »


แอบถ่าย โกดังที่ดอนเมือง ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยหลังจากย้าย
ไม่น่าเชื่อ ของบริจาคตรึม!!! ไม่เอาไปแจกจ่ายเพราะ.....
เลวได้อีกนะเนี่ย คนพวกเนี๊ยะ




    http://www.youtube.com/watch?v=ZO8DfT5YOYk&feature=youtube_gdata_player
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #359 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2554, 11:26:47 »

ปูรำพึง" (กลอนเด็ด)"


ภาพนี้ ปูถ่ายตอนนั่ง ฮ.ไปตรวจน้ำท่วมค่ะ..สวยไหมๆๆ..อิอิ


หนูก็แค่ ทำตามที่ พี่เค้าสั่ง
ไม่อยากดัง แต่ขัดพี่ นี้ไม่ได้
พี่เค้าบอก ขอให้หนู ทำเพื่อไทย
หนูเลยกลาย เป็นนายก ตลกดี

หนูไม่รู้ อะไร ตั้งหลายอย่าง
คนรอบข้าง ให้ทำนั่น ให้ทำนี่
หนูก็งง และก็มั่ว ในบางที
ก็อย่างที่ หญ้าแฝก หญ้าแพรกไง

หนูไม่กล้า พูดสด กดดันมาก
สคริปยาก อ่านไม่ทัน ดั้นไม่ไหว
ใครก็รู้ หนูไม่เก่ง ภาษาไทย
และก็ไม่ เก่งอังกฤษ สักนิดเลย

งานเยอะแยะ ทำไม่ทัน น้ำดันท่วม
หนูก็อ่วม ไม่รู้แก้ แต่ไม่เฉย
กั้นตรงโน้น พังตรงนี้ ทุกที่เลย
ก็หนูมัน ไม่เคย เลยนี่นา

คนรอบข้าง เก่งแค่ไหน หนูไม่รู้
เท่าที่ดู เก่งด้วยปาก มากหลายหนา
ทั้งพี่ปลอด พี่ตู่ เจ๊สุดา
เก่งแต่หา เรื่องให้หนู อยู่ทุกวัน

หนูโดนด่า ในเนท ในเฟซหนู
ตั้งกระทู้ ด่ากระจาย หลายเวอร์ชั่น
สุดจะทน โดนด่า ว่าทุกวัน
หนูอัดอั้น แต่พี่ชาย ให้อดทน

ไม่อยากเป็น นายกแล้ว พี่แม้วขา
ช่วยกลับมา จากดูไบ หนูไม่สน
ใครอยากเป็น ก็เป็นไป หนูไม่ทน
พี่เป็นคน สร้างปัญหา ต้องมาเคลียร์

หนูขอกลับ ไปเป็นปู อยู่อย่างเก่า
คิดแล้วเศร้า อยู่ไป ไม่คุ้มเสีย
ทุกวันนี้ หนูเหนื่อยล้า หนูอ่อนเพลีย
พี่เป็นเหี้.......ยยย อะไร ไม่กลับมา
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #360 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2554, 09:55:02 »

"เสี่ยชู" จัดเต็มซัด "ปูจ๋า" บริหารปท.รายวัน ล้มเหลวแก้น้ำท่วม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 พฤศจิกายน 2554 05:13 น.    

ภาพประกอบข่าว ยิ่งลักษณ์ ขึ้น ฮ.ตรวจน้ำท่วม


      
"ชูวิทย์" ซัด "ยิ่งลักษณ์" มัวแต่บินดูน้ำเท้าไม่เปียก เข้าไม่ถึงทุกข์ของปชช. จวกบริหารงานชุ่ยเรื่องง่ายๆ อย่างของบริจาคยังทำไม่ได้ ถามวันนี้คนแห่เข้ากรุงแต่น้ำยังท่วมหลายแห่ง มีมาตรการด้านขนส่ง-อาหารการกินไว้รับมือหรือยัง แนะอย่าคิดแต่ประดิษฐ์คำพูดที่ฟังแล้วดูดี แต่ขอให้ทำงานแล้วดูดี ออกมาฟังความคิดเห็นของชาวบ้านบ้างว่า วันนี้ เขาด่ารัฐบาลกันอย่างไร ก่อนสะกิด ศปภ.ตื่น ปชช.หมดความเชื่อถือแล้ว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้กล่าวถึงการบริหารจัดการปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล ว่า บริหารงานล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งเรื่องง่าย ๆ เกี่ยวกับของบริจาค ก็ยังพบเป็นข่าว เป็นคลิป ปล่อยให้ของบริจาคลอยน้ำ ทิ้งขว้างให้เสียหาย นอกจากนี้ยังมีข่าวออกมาโจมตีว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย อมของบริจาค ใช้ของบริจาคของชาวบ้านมาติดป้ายใส่ชื่อตัวเอง ทั้งที่เรื่องอย่างนี้บริหารจัดการง่ายที่สุด ของพวกนี้เมื่อรับมาแล้ว หากชาวบ้านที่เดือนร้อนมาขอ ก็ควรจัดส่งไปให้ อย่ามากักไว้ในมือ
       
       เรื่องนี้ เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวข้องกับความเชื่อถือ ความเชื่อมั่นในรัฐบาล เพราะเป็นน้ำใจของมิตรประเทศและคนไทยเพื่อนร่วมชาติ ที่ต้องการช่วยคนชาติเดียวกัน แต่กลับถูกกั๊กไว้ให้สำหรับพรรคพวก เลือกปฏิบัติเฉพาะสีเสื้อ หากเป็นพวกก็ให้ ไม่ใช่พวกก็ไม่ให้หรือให้น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่มีข่าวกรณีนายฉลอง เรี่ยวแรง ส.ส.พรรคเพื่อไทยออกมาโวยวาย แสดงถึงความห่วยแตก ไม่มีระบบของ ศปภ เวลานี้ต้องไม่มีเรื่องสีเสื้อแล้ว ต้องมีแต่คนไทย ถามว่า ทำไมต้องให้คนมีสีเสื้อมาคอยคุมของบริจาค ทำไมไม่ใช้หน่วยงานราชการที่มีประสบการณ์
       
       "เห็นชัดว่า รัฐบาลล้มเหลวอย่างไม่น่าให้อภัย ที่มาเล่นกับความศรัทธาและความเดือนร้อนของคนในชาติ มันตายน้ำตื้นและแสดงถึงความชุ่ยในการบริหารจัดการของคนที่มือไม่ถึง” นายชูวิทย์ กล่าว
       
       นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า รู้สึกเป็นห่วงการบริหารจัดการของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเฉพาะที่ประกาศวันหยุดยาว ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ไม่รู้ว่ารัฐบาลมีมาตรการเตรียมการรองรับสถานการณ์ที่คนจะแห่กลับเข้า กทม. มาทำงานหรือยัง เพราะคนจำนวนมากเป็นเรือนหมื่น เรือนแสนจะมีปัญหา เนื่องจากน้ำยังท่วมพื้นที่ใน กทม. หลายเขต มีการปิดถนนหนทางสายหลักเป็นสิบ ๆ เส้นทาง และรถที่ทางการจัดมาให้ก็วิ่งรับส่งแต่ในถนนสายหลัก พอถึงป้ายก็เอาลงชาวบ้านต้องเดินลุยน้ำเน่าเข้าซอยไปอีกเป็นร้อยเมตร น้ำก็ไม่มีกินไม่มีอาบ แล้วจะไปทำงานกันอย่างไร คนสั่งก็ได้แต่สั่ง แต่ไม่เคยลงมาสัมผัสในพื้นที่ มัวแต่บินดูน้ำเท้าไม่เปียก ไม่รู้จะพูดอย่างไร นี่ยังไม่รวมถึงสิ่งของเครื่องใช้ที่จะเอาเข้ามาใช้ในยามที่ กทม.ขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำใช้ ของกินของใช้ก็ขาด น้ำประปาก็ไหลบ้าง ไม่ไหลบ้าง ถามว่า รัฐบาลมีมาตรการอะไรมารองรับหรือยัง บริหารประเทศแบบรายวันจริง ๆ
       
       ทั้งนี้ แทนที่เมื่อมีการสั่งปิดถนนสายหลัก ๆ แล้ว ควรต้องตั้งศูนย์อำนวยการย่อยประจำถนนในแต่ละสายที่สั่งปิด มีเรือเร็ว มีรถใหญ่ประจำจุดนอกเหนือจากรถใหญ่ที่วิ่งรับส่งคนตามถนน เช่น ที่เขตบางพลัดตั้งที่เชิงสะพานกรุงธนฯ เขตดอนเมืองตั้งที่หลักสี่พลาซ่า เป็นต้น แต่นี่ไม่มีอะไรเลย ปล่อยเกาะชาวบ้านให้ผจญชะตากรรม คนมีก็ใช้เงินจ้าง คนจนก็ลุยน้ำเอาเอง นี่หรือการดูแลชาวบ้านเป็นอย่างดีของนายกฯที่เขียนในเฟสบุ๊ค ลงมาดูของจริงอย่างเขา แล้วจะเห็นชีวิตจริง
       
       นายชูวิทย์ กล่าวว่า จากการที่ลงพื้นที่น้ำท่วมมาตลอด ทั้งในต่างจังหวัดและในกทม. พบว่า มีปัญหาความขัดแย้งของชาวบ้าน เกี่ยวกับการตั้งแนวคันกั้นเขื่อนเพื่อชะลอน้ำ จนชาวบ้านทะเลาะกันแทบจะฆ่ากันตาย แต่กลับไม่เห็นหัว ส.ส.เขต ส.ส.ในพื้นที่ ที่มีความขัดแย้งสูงเลย ทั้งที่ปทุมธานี นนทบุรี หรือแม้ในกทม. ทั้งที่เวลานี้ ส.ส.เขตต้องทำงานหนักกว่าส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เพราะมีพื้นที่ดูแลรับผิดชอบชัดเจน หากจะหวังรอการบริหารงานของ ศปภ.ก็อย่าหวัง ไม่เช่นนั้นก็ตายไปนานแล้ว วันนี้ ศปภ.ยังไม่รู้ตัวว่า ชาวบ้านต่างหมดความเชื่อถือ เชื่อมั่นหมดแล้ว ประกาศไม่ท่วมคนก็เก็บของ ประกาศเอาอยู่คนก็หนีหมดแล้ว มีแต่ส่วนของภาคประชาชน และหน่วยงานเอกชนที่ออกมาช่วยเหลือกันเองทั้งนั้น
       
       "ผมไม่รู้ว่า ครม.ของรัฐบาลคุณปูจ๋า ปูนิ่มคิดยังไง ที่ยังอุตส่าห์เอาสมองส่วนไหนไปคิดหมกเม็ด ออกมติครม.มาได้ เมื่อสัปดาห์ก่อนที่ให้อำนาจผบ.ตร.สามารถพิจารณาเปิดบ่อนการพนันได้ มันก็กาสิโนที่เขาเคยประกาศว่าจะปิดให้หมด แต่มันแปลกที่ครม.ชุดนี้ให้อำนาจ ผบ.ตร.อนุมัติให้เปิดเองได้ เท่านั้นยังไม่พอยังให้อำนาจผบ.ตร. สามารถสั่งปิดสื่อสิ่งพิมพ์ได้อีก ผมดูแล้วยามนี้ปัญหาความทุกข์ เดือดร้อนจากน้ำท่วมทั้งแผ่นดิน ครม.คุณปูนิ่ม ปูจ๋ายังมีใจคิดเรื่องพรรณนี้อีก ทั้งที่บริหารงานแก้ไขปัญหาได้ห่วยแตก แต่พอเขียนในเฟสบุ๊ค นายกฯปูพูดได้น่ารัก น่าฟังอ่านแล้วดูดี จะดูแลประชาชนทุกคน แต่การทำงานกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูดสิ่งที่เขียน มันตรงข้ามกับหน้าตาของนายกฯ เพราะมันยิ่งเละ"
       
       นายชูวิทย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอแนะนำนายกฯว่า อย่าคิดประดิษฐ์คำพูดที่ฟังแล้วดูดี แต่ขอให้ทำงานแล้วดูดี แก้ไขปัญหาของชาวบ้านได้จะดีกว่า ออกมาฟังความคิดเห็นของชาวบ้านบ้างว่า วันนี้ เขาด่ารัฐบาลกันอย่างไร

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #361 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2554, 11:01:27 »

ม็อบยึดอำนาจ  รัฐล้มเหลว

    posttoday.com

ปัญหาแทรกซ้อนที่รัฐบาลไม่คาดคิดมาก่อน คือการที่ม็อบชุมชนต่างๆ ออกมาเรียกร้องให้เปิดประตูระบายน้ำในพื้นที่

โดย...ทีมข่าวการเมือง

ปัญหาแทรกซ้อนที่รัฐบาลไม่คาดคิดมาก่อน คือการที่ม็อบชุมชนต่างๆ ออกมาเรียกร้องให้เปิดประตูระบายน้ำในพื้นที่ เพราะเกรงน้ำจะท่วมชุมชนตัวเอง ดูท่ากำลังลุกลามส่งผลให้การแก้ปัญหาน้ำของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผิดแผนไปหมด

จากจุดเล็กๆ เกิดกรณีเอาอย่างลามไปอีกจุดสองจุด เหตุสำคัญเพราะรัฐบาลไม่ทำความเข้าใจ โดยเฉพาะชุมชนที่อยู่ในพื้นที่คาบเกี่ยวประตูระบายน้ำจุดสำคัญๆ ที่ต้องขอแรง ยอมเสียสละเพื่อส่วนรวมเปิดพื้นที่ให้รับน้ำ หรือเป็นทางผ่านของน้ำ จะได้รับการช่วยเหลือชดเชยเต็มที่

“ม็อบน้ำ” เลยแพร่ระบาดกว้างขวางในหลายจุดชุมชน โดยไม่สนใจคำสั่งคำอ้อนวอนของทางการ บางแห่งต่อต้านหนักถึงขั้นใช้อาวุธปืนยิงข่มขู่จนเจ้าหน้าที่ต้องถอยล่า

ล่าสุดกรณีม็อบชาวบ้านคลองสามวาหลายร้อยคนลุกฮือปิดถนนกดดันให้รัฐเปิดประตูระบายน้ำคลองสามวา แม้ทางรัฐบาลและกรุงเทพมหานคร (กทม.) จะเจรจาถึงขั้นส่งบิ๊กตำรวจนำกำลังปราบจลาจลมาป้องกัน แต่ก็ต้านอารมณ์ชาวบ้านไม่ได้ จนเข้าไปใช้ค้อน เสียม ทุบพังประตูระบายน้ำ รื้อแนวกระสอบทรายสำเร็จ

ไม่เพียงเท่านั้น กับการปรากฏตัวของ วิชาญ มีนชัยนันท์ สส.เพื่อไทย เข้าเจรจาท่ามกลางกระแสข่าวเป็นความพยายามของนักการเมืองที่สนับสนุนประชาชนกดดันให้เปิดประตูระบายน้ำ

ที่สุด นายกฯ ยิ่งลักษณ์หมดท่า ต้องยอมเปิดประตูระบายน้ำเพิ่มอีก 1 เมตร จากที่ชาวบ้านเรียกร้อง 70-150 ซม. กระทบแผนการแก้ปัญหาน้ำรวนไปหมด เพราะทำให้น้ำไหลทะลักเข้าท่วมชุมชนริมคลองอีกหลายพื้นที่และพื้นที่ด้านล่าง ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจ เช่น นิคมอุตสาหกรรมบางชัน

นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ตอบคำถามว่า “เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาลักษณะนี้อีก เราจึงให้คณะทำงานลงพื้นที่เจรจากับประชาชน รวมถึงต้องเฝ้าระวังคันกั้นน้ำในพื้นที่อื่นด้วย”

แม้รัฐบาลยอมเปิดประตูระบายน้ำ แต่ม็อบชาวบ้านก็ไม่ยอม ส่งตัวแทนปักหลัก เฝ้าประตูระบายน้ำ 24 ชั่วโมง ไม่ไว้ใจกลัวทางการจะปิดประตูระบายน้ำอีก

สภาพรัฐไร้อำนาจ ปล่อยให้ชาวบ้านถือกุญแจประตูน้ำ คุมการเปิดปิดตามใจชอบ เป็นความล้มเหลวในการแก้ปัญหา ที่ลึกกว่านั้นบางกรณีมีนักการเมืองท้องถิ่นและผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ให้ท้าย

ก่อนหน้านี้มีเสียงเตือนรัฐบาลให้ระวังการต่อต้านจากชาวบ้านชุมชนต่างๆ ที่จะไม่ยินยอม ซึ่งอาจเป็นปัญหาบานปลายลามเป็นลูกโซ่ แต่รัฐบาลประเมินสถานการณ์ต่ำไป ใช้วิธีแก้ปัญหาไปทีละจุด ส่งคนไปเจรจาเป็นคราวๆ กระทั่งมีข้อเสนอให้รัฐบาลออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มอบอำนาจเจ้าหน้าที่แก้ปัญหาเบ็ดเสร็จในบางพื้นที่ แต่รัฐบาลปฏิเสธเพราะกลัวทหารจะมายึดอำนาจ

นี่ไม่ใช่กรณีแรก แต่เป็นสิบๆ กรณี ที่เกิดภาพชุมนุมคัดค้านขึ้นข่าวสื่อโทรทัศน์และหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นความขัดแย้งหลายระดับ ระหว่างคนในชุมชนข้างเคียงกันและชุมชนขัดแย้งกับรัฐ

เช่นที่ จ.ปทุมธานี ชาวบ้านหมู่บ้านปาริชาติ ต.บางคูวัด รวมตัวชุมนุมหน้าหมู่บ้าน ทะเลาะกับเทศบาลเมืองบางคูวัดที่มาดูแลแนวคันดินกั้นน้ำใต้สะพานเกาะเกรียง เพราะกลัวชาวบ้านจะรื้อคันดินออก เกรงจะทำให้น้ำไหลบ่าเข้าท่วมเขตโรงงานและพระตำหนักจักรีบงกช ชาวบ้านไม่พอใจจึงใช้รถหกล้อปิดถนน

ที่ อ.ธัญบุรี หลังหมู่บ้านรัตนโกสินทร์ 200 ปี ต.ประชาธิปัตย์ ชาวบ้านรวมตัว 200 คน หลังชาวบ้านอีกกลุ่มนอกหมู่บ้านที่ถูกน้ำท่วมจากน้ำในคลองเปรมประชากรได้แอบมาดึงกระสอบทรายที่กั้นไม่ให้น้ำไหลเข้าหมู่บ้านจนเกือบมีการปะทะ แต่ตำรวจเข้ามาคุมสถานการณ์ได้ก่อน

ถัดมา ชาวบ้านจาก ต.บางพูน กว่า 300 คน รวมตัวกันปิดถนนรังสิตปทุมธานี เรียกร้องให้ ผวจ.ปทุมธานี ออกคำสั่งให้ปิดประตูน้ำพระอินทร์ราชา เพราะการเปิดประตูทำให้น้ำจากคลองระพีพัฒน์ จาก อ.วังน้อย ไหลเข้ามาในคลองเปรมประชากร สร้างความเดือดร้อนให้กับคนริมคลอง จน สุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล รมช.ศึกษาธิการ สส.ปทุมธานี บอกให้ ธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ ลดบานประตูระบายน้ำลงครึ่งหนึ่ง ทำให้ชาวบ้านพอใจยอมเปิดถนน

ไล่เลี่ยกันเกิดเหตุการณ์หน้าอนุสรณ์สถาน ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อกลุ่มชาวบ้านกว่า 500 คน รวมตัวประท้วงหลังพบว่ามีเจ้าหน้าที่แขวงการทางนำรถที่ราดยางถนนมาจอดเตรียมที่จะทำคันกั้นน้ำบนถนนวิภาวดีรังสิต ระหว่างการชุมนุมมีเสียงปืนดังขึ้น

ที่วิกฤตอีกที่คือ จ.นครปฐม ชาวบ้าน ต.กระทุ่มล้ม นำเสาคอนกรีตไปขวางทางน้ำในคลองปทุม เพื่อกั้นน้ำไม่ให้ไหลเข้าพื้นที่จนเกิดการปะทะคารมกับชาวบ้านอีกหลายหมู่บ้านจนรวมตัวปิดถนนพุทธมณฑลสาย 4 มีชาวบ้าน ต.ศาลาแดง อ.สามพราน ยกพวกมาสนับสนุนกลุ่มชาวบ้านที่ปิดถนนจนเกิดเหตุโกลาหลตะลุมบอนกัน สุดท้ายตำรวจต้องยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อระงับเหตุ

รายงานข่าวระบุว่า สถานการณ์บานปลาย การจราจรติดขัดอย่างหนัก ส่งผลให้ผู้ขับขี่ยวดยานไม่พอใจ บางรายถึงกับขับรถจะพุ่งชนเต็นท์ของผู้ชุมนุม ทำให้ผู้ชุมนุมกรูเข้าไปทุบทำลายรถและทำร้ายผู้ขับขี่ด้วย ตำรวจต้องขอกำลังเสริมจากทุกโรงพักเข้าระงับเหตุ

อีกกรณีที่ครึกโครม เมื่อเกิดความขัดแย้งกันระหว่างชาวบ้านแถวดอนเมืองกับย่านปากเกร็ด กระทั่งนายอำเภอปากเกร็ดออกมาแฉว่า การุณ โหสกุล สส.เขตดอนเมือง พรรคเพื่อไทย นำรถแบ็กโฮเข้ารื้อทำลายแนวคันดินที่ทางเทศบาลนครปากเกร็ดและ อ.ปากเกร็ด ได้ไปสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมริมคลองประปาในฝั่ง อ.ปากเกร็ด จนได้รับความเสียหายเป็นระยะทางยาวกว่า 1 กม. กรณีนี้แม้แต่ สส.พรรคเพื่อไทยด้วยกันใน จ.นนทบุรี กับเขตดอนเมืองยังตกลงกันไม่ได้จนชาวบ้านต้องทะเลาะกันเอง

บางกรณี นายกฯ ยิ่งลักษณ์ต้องเดินทางไปเคลียร์ด้วยตัวเอง เช่นที่ชุมชนคลอง 9 พัฒนา อ.ธัญบุรี ที่มวลชนขัดขวางไม่ให้รัฐขุดถนนเลียบคลองรังสิตนครนายก ระบายน้ำจากคลองรังสิตให้ไหลผ่านไปสู่คลองหก ออกคลองแสนแสบ จนต้องรับปากกับชาวบ้านว่ารัฐบาลจะเร่งเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเส้นทางไหลผ่านของน้ำ โดยจะให้ท้องถิ่นสำรวจรายชื่อบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบ

“ขอบคุณชาวบ้านที่เสียสละ ไม่เช่นนั้นหากเกิดปัญหาคันกั้นน้ำหรือประตูระบายน้ำพัง น้ำทะลักเข้า กทม. ต่างชาติก็ไม่มั่นใจว่าทำไมเราถึงรักษาเมืองหลวงไว้ไม่ได้ หากชาวบ้านคนใดที่ได้รับความทุกข์ยาก ยืนยันว่าจะเร่งเยียวยาให้อย่างเต็มที่”

จากคำขอบคุณของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ สะท้อนว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบต่างกังวลว่าจะหาเงินที่ไหนมาซ่อมแซมบ้าน ทรัพย์สิน แต่รัฐบาลก็ไม่ได้สร้างความเข้าใจเรื่องเยียวยาให้ชัดเจน

น่าเป็นห่วงว่าสภาพโกลาหลที่แต่ละชุมชนก่อม็อบออกมาต่อต้านมากขึ้น จะยิ่งทำให้แผนการแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลที่ไม่ต้องการให้กระทบกรุงเทพฯ ชั้นในล้มเหลว และคำมั่นที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ให้ไว้ต้นเดือน พ.ย. หรือ 1 วันจากนี้ สถานการณ์จะคลี่คลาย คงไม่ได้เป็นดังนั้น

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #362 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2554, 19:35:48 »

New Thailand' : สำหรับพวกเขา มันแปลว่าอะไร?

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




    .

"นิวไทยแลนด์" ที่ต้องใช้เงิน 9 แสนล้านใน 5 ปีเป็นคำขวัญใหม่ของรัฐบาลขณะที่มหาอุทกภัย ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยถอยความรุนแรงลง

  ผมไม่ทราบว่าตัวเลขมโหฬารนี้มาจากไหน และไม่คิดว่าควรจะเริ่มการฟื้นฟูประเทศด้วยการพูดถึงยอดเงิน แต่ควรจะเสนอ “แผนแม่บท” ที่ร่างขึ้นด้วยการระดมความเห็นจากทุกฝ่ายในประเทศก่อนที่จะบอกว่าจะต้องใช้เงินใช้ทองมากมายขนาดนั้น

 เพราะหากเราได้เรียนรู้อะไรจากวิกฤติครั้งนี้บ้าง ข้อแรกก็คือการป้องกันปัญหาและการบริหารวิกฤตินั้นข้อที่หนึ่งไม่ได้อยู่ที่ “ต้องใช้เงินเท่าไหร่” หากแต่อยู่ที่ว่า “ใช้คนมีความสามารถหรือไม่และใช้อย่างไร”

 บทเรียนอีกข้อหนึ่งคือหากเราไม่มีคนที่มีภาวะผู้นำเพียงพอแล้ว ประชาชนก็ไม่อาจจะมีศรัทธาต่อแผนงานใดๆ ที่ทางการประกาศว่าจะใช้เป็นหนทางแห่งการแก้ปัญหา

 คำว่า “ความน่าเชื่อถือ” มีค่ามากกว่าเงินล้านล้านบาทที่ถูกยกขึ้นมาเพื่อแถลงข่าวให้เห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ

 สำนักข่าว Bloomberg ออกข่าวเมื่อวาน อ้างคำพูดของผู้บริหารสูงสุดของ Hana Microelectronics Pcl ในเมืองไทยที่โรงงานตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมอย่างรุนแรงว่า
 “Thailand’s credibility is on the line here…”

 แปลว่าประเด็นใหญ่สำหรับประเทศไทยคือ “ความน่าเชื่อถือ” ซึ่งก็คือการบอกกล่าวกับนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศว่านิคมอุตสาหกรรมทุกแห่งจะมีการปกป้องอย่างแข็งแกร่งเพื่อให้ความมั่นใจว่าเรื่องเลวร้ายเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก

 “ความน่าเชื่อถือ” เป็นหัวใจของการแก้ปัญหาในทุกระดับ ตั้งแต่ชาวบ้านที่ต้องการเห็นการแก้ปัญหาอย่างฉับพลันทันกาล และมีแผนที่ยั่งยืนไปจนถึงนักลงทุนต่างชาติที่ต้องหนีกันจ้าละหวั่นเกือบเอาตัวไม่รอด

 เพราะทั้งชาวบ้านและนักธุรกิจรวมไปถึงคนไทยทั้งหลายที่อยู่ในเหตุการณ์ได้รับคำบอกเล่าว่าจากรัฐบาลว่า “เอาอยู่”
 หากการบริหารวิกฤติของรัฐบาลและศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เป็นไปตามมาตรฐานที่เกิดขึ้นจริงตั้งแต่น้ำท่วมเป็นต้นมา คะแนนของ “ความน่าเชื่อถือ” ก็คงอยู่ในระดับต่ำจนน่าใจหาย

 แผน “New Thailand” ที่ออกข่าวมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ระดมความคิดของเอกชน ชุมชน นักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้านระดับท้องถิ่นจึงมิอาจจะสร้างความมั่นใจได้มากนัก

 ที่แถลงข่าวว่าแผนการ “นิวไทยแลนด์” จะเน้นการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ แก้กฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่ได้มีประเด็นอะไรใหม่ที่พอจะทำให้เกิดความเบาใจว่า หากเป็นไปตามนั้นแล้วจะสามารถป้องกันวิกฤติครั้งหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าที่ผ่านมา

 วิกฤติครั้งนี้สะท้อนว่า “การเมือง” มีส่วนบิดเบือน “ข้อเท็จจริง” และ “ความถูกต้องชอบธรรม” ในการแก้ปัญหาอย่างน่าสมเพชยิ่ง เพราะคนเป็นผู้นำไม่อาจจะบริหารเหล่าบรรดารัฐมนตรีและ ส.ส.ในสังกัดให้ยึดมั่นในวิธีคิดและวิถีปฏิบัติที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

 ตรงกันข้าม นักการเมืองหิวโหย และไร้ความรับผิดชอบเหล่านี้คือปัจจัยหลักในการทำให้ปัญหาร้ายแรงมากยิ่งขึ้น เพราะต้องการจะปกปักรักษาผลประโยชน์ของตนมากกว่าที่จะเสียสละเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ

 แม้ในยามวิกฤติ พวกเขายังมีพฤติกรรมอันน่ารังเกียจเช่นนี้ ..เช่นแอบอ้างของบริจาคเป็นของตนและหลบเลี่ยงความรับผิดชอบในการเข้าไปแก้ปัญหาให้กับชาวบ้านที่เดือดร้อนอย่างแสนสาหัส

 จะมีอะไรที่ทำให้เชื่อใจได้ว่าในการวางแผนใช้เงินเกือบล้านล้านบาทที่เป็นข่าว จะไม่ถูกนักการเมืองเหล่านี้เอาไปปู้ยี่ปู้ยำเพื่อประโยชน์แห่งตนอีกเล่า?

 “นิวไทยแลนด์” ต้องมาจากรากหญ้าและผู้ปฏิบัติ มิใช่คำขวัญหาทางถลุงเงินด้วย “อภิมหาโปรเจค” ของบรรดานักการเมืองตะกละตะกลามทั้งหลาย
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #363 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2554, 09:44:49 »

การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2554 01:00

 วีระศักดิ์ พงศ์อักษร
    แกะรอยการเมือง - weerasak@nationgroup.com
   
"ยิ่งลักษณ์"..เปลี่ยนไป !

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

"เมื่อวันเสาร์ที่ 29 ต.ค.ที่ผ่าน หากสังเกตให้ดีจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

     เพราะข่าวสารที่ส่งผ่านรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน" ได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัย"


  เพราะหากย้อนไปดูก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน 25 ต.ค.2554 นายกรัฐมนตรีใช้ทีวีรวมการเฉพาะกิจ ออกมา "พูดความจริง" กับประชาชนด้วยความระทึกยิ่งว่ามวลน้ำก้อนใหญ่กำลังเข้ามาถล่มเมืองหลวง และพลังน้ำรุนแรงเกินศักยภาพของระบบจะต้านทานได้ พร้อมไล่ยาวว่า เขตไหนบ้างจะท่วมเท่าไหร่ ด้วยปัจจัย เหตุผลใดบ้าง และกรณีที่เลวร้ายที่สุดบางพื้นที่ อาจจะท่วม 1.5 เมตร

 หลังจากนั้นไม่นาน ก็ตามมาด้วยการประกาศหยุดราชการใน 21 จังหวัด วันที่ 27-31 ต.ค.2554 ซึ่งเป็นการบ่งชี้ความวิตกของมหันตภัย และหนุนให้คนเมืองหลวงอพยพ ไปต่างจังหวัด ซึ่งตามมาด้วยศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) และ กทม.ที่ย้ำถึงเรื่องอพยพอย่างต่อเนื่อง ว่ากันว่า "ยิ่งออกจากกรุงเทพฯ มากเท่าไหร่ยิ่งดี"

 ประชาชน..ก็ปฏิบัติตาม อย่างไม่ต้องสงสัย แห่กันจองรถ บขส.... เครื่องบินเต็มทุกเที่ยว ทุกขบวน ออกต่างจังหวัด ....คนทั้งโลกได้เห็นภาพถนนบนทางด่วน กลายเป็นที่จอดรถที่ยาวที่สุด 

 การปะทะของชาวบ้านสองระดับ ท่วมกับน้ำแห้งมีให้เห็นในหลายพื้นที่..ซึ่งสะท้อนถึงความรุนแรงของระดับน้ำ ข้อมูลจากกรมชลประทาน ข้อมูลจาก ศปภ. ข้อมูลจากนักวิชาการอิสระ ก็ชี้ไปทางนั้น

 การออกมาเตือนด้วยการ "บอกความจริง" คือสิ่งที่สังคมจะได้เตรียมพร้อม!
 แต่หลังจากนั้น 4 วัน "ยิ่งลักษณ์ เปลี่ยนไป"!

ในรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 วันที่ 29 ต.ค.2554 นายกรัฐมนตรี ออกมาให้ความหวัง และพยายามให้ข้อมูล เพื่อ "ลดความกลัว" ของประชาชนลง

  "มีข่าวดี...ภาพรวมสถานการณ์ภาคกลางเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ระดับน้ำนครสวรรค์ และชัยนาทเริ่มลดลง น้ำที่ท่วมทุ่งและพื้นที่เกษตรได้ไหลเข้าสู่ลำน้ำสาขาต่างๆ ปริมาณน้ำที่ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาก็ลดลง คาดการณ์ว่าจะลดต่ำลงเป็น 3 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน"

 "หากเร่งระบายน้ำและทุกส่วนเร่งดำเนินการก็สามารถลดปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่ กทม. รักษาคันกั้นน้ำแนวพระราชดำริ และควบคุมปริมาณน้ำใน กทม.ได้ หากเป็นเช่นนี้คาดการณ์ว่าน้ำที่ท่วมใน กทม.จะเริ่มลดลงในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายน"

 ตามมาด้วยการไม่ยืดวันหยุดราชการ..ซึ่งสะท้อนว่าในมุมมองของรัฐบาล สถานการณ์น่าจะดีขึ้นอย่างมากแล้ว ..ตามมาด้วยการยืนยันหลายรอบ หลายเวลาว่า "มวลน้ำก้อนใหญ่ได้ผ่านไปแล้ว"

 หากใครเชื่อตามนี้ (นอกเสียจากไม่เชื่อ)...ก็ต้องหันมารื้อกระสอบทราย ทำลายกำแพงหน้าบ้าน เอารถออกจากทางด่วน กลับมาทำตัวตามปกติ โดยเฉพาะ กลุ่ม กทม.ชั้นใน

 ไม่แปลกหากผู้นำจะบอกข้อมูล "ชุดใหม่" ที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัย ภายใน 4 วัน

 แต่มีอยู่สองเหตุการณ์ ที่น่าจะ "เชื่อ" และ "เข้าใจ" ได้ว่า อารมณ์ที่เปลี่ยนไปของนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่น่าจะมาจากฐาน "ข้อมูล"..แต่น่าจะมีจากการปรับกลยุทธ์

 กลยุทธ์ "คิดเกมใหม่" เพื่อฟื้นคะแนนนิยมของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังตกต่ำอย่างหนัก แถมเจอข่าวของบริจาคลอยเต็มดอนเมืองเข้าไปอีก ยิ่งหนักกว่าเดิม ผู้เก๋าเกมการเมืองย่อมรู้ว่า "เริ่มเอาไม่อยู่"

 เพราะโดยหลักการตลาดที่ "พี่ชาย" ยึดมาประยุกต์เกมการเมืองนั้นเชื่อว่า "ผู้คิดเกมใหม่" ย่อมได้เปรียบ เพราะเป็นผู้ว่ากติกาด้วยตัวเอง

 ดังนั้นเกมเช่นนี้...มีเพียง "ทักษิณ ชินวัตร" เท่านั้น ถึงจะเป็นกุนซือทำให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เปลี่ยนไปได้แค่ช่วง 4 วัน

 ยิ่งได้ยินครั้งแรกว่ามีโปรเจคยักษ์ "New Thailand"..9 แสนล้านบาทนั้น คำเหล่านี้ย่อมทายไม่ผิดว่าใครเป็นคนคิด! เพราะหากย้อนไปในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บริหารประเทศแล้ว มักได้สรรหาคำในตระกูลเหล่านี้มากมาย

 อีกหนึ่งปัจจัยแวดล้อมที่ยืนยัน "ความเชื่อ" นี้ คือคำสัมภาษณ์และทวิตเตอร์ของอดีตนายกรัฐมนตรีล่าสุด

 วันที่ 29 ต.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานจากประเทศเดนมาร์ก ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางมาร่วมงานกฐินพระราชทาน ที่วัดไทยเดนมาร์กพรหมวิหาร กรุงโคเปนเฮเกน   

 มีคำให้สัมภาษณ์ที่แรก ที่สอดคล้องกันว่าสถานการณ์ "จะดีขึ้น"
 "ทราบว่าน้ำจากทางเหนือ นครสวรรค์ ลพบุรี อยุธยา ปริมาณน้ำลดลงแล้ว แต่ กทม.เจอน้ำทะเลหนุนอีก เชื่อว่าหลังวันที่ 2 พ.ย. ทุกอย่างจะคลี่คลาย"

 เมื่อถูกถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์โทรมาปรึกษาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบ้างหรือไม่ ? คำตอบจากอดีตนายกฯ คือ "คุยกัน มีอะไรก็ปรึกษากันตลอด ช่วงนี้ท่านนายกฯ ทำงานหนัก นานๆ จึงโทรมาปรึกษาแนวทางในการจัดสรรงบประมาณที่จะเข้าไปช่วยเหลือและฟื้นฟูให้กับประชาชน"

 ทวิตเตอร์ล่าสุด 1 พ.ย.2554 ก็เขียนในทำนี้ พร้อมย้ำว่า "ความจริงผมแอบทำงานอยู่ห่างๆ"

 จึงไม่แปลกหากวันนี้ "ยิ่งลักษณ์...เปลี่ยนไป" แต่หากย้อนชีวิตของเธอดู ก็อาจจะไม่เปลี่ยนเลยก็เป็นได้ เพราะนี่คือตัวตนที่แท้จริง..หญิงสาวผู้ไม่เคยปฏิเสธคำสั่งของ "พี่ชาย"!
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #364 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2554, 11:32:03 »

ถอดบทเรียน "วิกฤติน้ำ" อเมริกา จัดการปัญหา "คลองสามวาโมเดล"

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

   
   จาก "เล่าจื๊อ" ถึงอเมริกา ถอดบทเรียนปลดชนวนปัญหาขัดแย้งจากน้ำ สกัด "คลองสามวาโมเดล" ลุกลาม

Only one who can govern water. He can govern a country.
One who wants to govern his country should govern water first.
หรือ "ใครก็ตามที่สามารถบริหารจัดการน้ำได้ เขาคนนั้นก็สามารถบริหารประเทศได้
ใครก็ตามที่ต้องการบริหารประเทศของเขา ควรบริหารจัดการน้ำให้ได้ก่อนอื่น"

เป็นคำกล่าวของ "เล่าจื๊อ" ปราชญ์ชาวจีนผู้โด่งดัง ปรมาจารย์แห่งลัทธิเต๋า
 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการบริหารจัดการน้ำเป็นเรื่องใหญ่ (ระดับชาติ) ขนาดไหน


นั่นเพราะน้ำสัมพันธ์กับชีวิตคน การบริหารจัดการน้ำให้สำเร็จจึงต้องบริหารจัดการคนให้ได้ด้วย ปัญหาน้ำจึงเป็นปัญหาสังคมอย่างไม่ต้องสงสัย ดังเช่นที่กลายเป็นปัญหาใหญ่และลุกลามเป็นความขัดแย้งที่ประตูระบายน้ำคลองสามวา ซึ่งหลายคนเรียกว่า "คลองสามวาโมเดล" อันเป็นบริบทหนึ่งของปัญหาพิบัติภัยน้ำท่วมที่ประเทศไทย ณ พ.ศ.2554

แม้ปรากฏการณ์ทะเลาะกันของประชาชนสองฝั่งพนังกั้นน้ำจะถูกตีค่าจากบางคนในรัฐบาลว่าเป็น "ปัญหาโลกแตก" เพราะความต้องการของแต่ละฝ่ายสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ทว่าในทัศนะของ นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการหลักสูตรการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการเจรจาไกล่เกลี่ย สถาบันพระปกเกล้า เห็นว่าปัญหานี้ยังเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ หากได้วางแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างถูกวิธี

นพ.วันชัย บอกว่า มีบทเรียนที่น่าสนใจจาก จิม เครย์ตัน (Jim Creighton) ที่ปรึกษาเครือข่ายนานาชาติว่าด้วยการมีส่วนร่วม ซึ่งเคยเป็นวิทยากรรับเชิญในการประชุมอาเซียนว่าด้วยผลกระทบเรื่องน้ำท่วมจากปัญหาโลกร้อนที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา และยังเคยศึกษาวิจัยปัญหาน้ำท่วมจากพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาในสหรัฐอเมริกา (เมื่อปี 2548) ร่วมกับกลุ่มวิศวกรจากกองทัพสหรัฐด้วย

ผลการศึกษาพบประเด็นน่าสนใจว่า การสร้างพนังกั้นน้ำเป็นเรื่องล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และเป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัย สร้างความเสียหายให้กับคนจำนวนมาก ฉะนั้น จิม เครย์ตัน และคณะจึงร่วมทำโครงการนำร่อง ใช้ชื่อว่า Action for change เพื่อเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการบริหารจัดการน้ำใหม่ทั้งหมด

ทั้งนี้ ประเด็นที่นำมาเป็นกรอบคิดในการบริหารจัดการน้ำ คือ
 1.จะจัดระบบอย่างเป็นบูรณาการได้อย่างไร
 2.จะสื่อสารเรื่องความเสี่ยงต่อสาธารณชนแบบไหน
 และ 3.จะตัดสินใจอย่างไรเมื่อได้แจ้งกับประชาชนไปแล้วว่ามีความเสี่ยงเกิดขึ้น


ทว่าก่อนจะไปถึงตรงนั้น สิ่งที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องตระหนักร่วมกันก็คือ
 เราไม่สามารถควบคุมการไหลท่วมของน้ำได้ (flood control)
ไม่สามารถป้องกันน้ำท่วมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ (flood protection)
และการคิดควบคุมการไหลหรือป้องกันน้ำนี่เองที่ทำให้เรามองข้ามธรรมชาติของน้ำไป
ซึ่งธรรมชาติของน้ำคือการไหล หากกั้นน้ำไม่ให้ไหล น้ำก็จะยิ่งมีพลังมหาศาล

อย่างไรก็ตาม เมื่อปล่อยให้น้ำไหลก็ย่อมต้องเกิดผลกระทบกับผู้คนและชุมชนตามมา
ฉะนั้นแนวคิดที่ต้องนำมาใช้คือลดความขัดแย้งและความรุนแรงจากประชาชน
ด้วยการให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมในทุกขั้นตอน
โดยจะต้องมีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้นและต่อเนื่องทั้งกระบวนการ ไ
ม่ใช่แค่ให้มีส่วนร่วมในการรับรู้ข้อมูล แต่การตัดสินใจกลับเป็นของผู้มีอำนาจหรือนักวิชาการเท่านั้น

"เพราะเรื่องการบริหารจัดการน้ำไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นปัญหาทางสังคมด้วย การใช้เทคโนแครตอย่างเดียวจึงยิ่งรังแต่จะสร้างปัญหา เพราะอาจไม่เข้าใจสภาพที่แท้จริงทางสังคม ไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของประชาชน และไม่เข้าใจความเดือดร้อนในพื้นที่จริง ฉะนั้นผู้ที่มีหน้าที่จัดการความเสี่ยงเรื่องน้ำจะต้องเรียนรู้เรื่องทางสังคมด้วย ไม่ใช่เข้าใจเพียงกายภาพ แต่ต้องเข้าใจความเชื่อ มุมมองของแต่ละพื้นที่ และเข้าใจการพัฒนาการจัดการให้เกิดประโยชน์ในภาพรวม" นพ.วันชัย ระบุ

ผู้อำนวยการหลักสูตรการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการเจรจาไกล่เกลี่ย สถาบันพระปกเกล้า ย้ำด้วยว่า ผลการศึกษาของ จิม เครย์ตัน และคณะ ชัดเจนว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนไม่ใช่แค่ในขั้นตอนการวางแผนป้องกัน หรือแค่การสร้างพนังกั้นน้ำร่วมกันเท่านั้น แต่ต้องมีส่วนร่วมทั้งระบบ ทั้งวงจร และพิจารณาเรื่องการระบายน้ำว่าจะลดความรุนแรงของน้ำได้อย่างไรเพื่อให้ประชาชนยอมรับได้ อดทนได้ มิฉะนั้นความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นไม่รู้จบ

"ประเด็นหลักคือการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ หากพิจารณาสถานการณ์ในบ้านเราขณะนี้จะเห็นว่าการมีส่วนร่วมด้านอื่นมีค่อนข้างเยอะ แต่การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมีน้อยมาก ฉะนั้นเรื่องการร่วมตัดสินใจจึงสำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่เปิดให้ร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์เท่านั้น"

นพ.วันชัย กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักร่วมกันก็คือ การบริหารจัดการน้ำไม่ใช่เรื่องทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตคน ชุมชน และสังคม การละเลยการมีส่วนร่วมย่อมเกิดความขัดแย้งตามมาอย่างแน่นอน ในขณะที่คนเราไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ ทางออกที่ดีที่สุดจึงควรสร้างการมีส่วนร่วมจากประชาชนในการ "ตัดสินใจ" การบริหารจัดการความเสี่ยงเรื่องน้่ำ เพื่อลดปัญหาการกระทบกระทั่งที่อาจบานปลายเป็นการปะทะได้ทุกเวลา

นี่คืออีกหนึ่งบทเรียนจากมหาอุทกภัยที่สังคมไทยต้องช่วยกันสร้างระบบในอนาคตร่วมกัน
และเป็นอีกหนึ่งโจทย์สำคัญที่ต้องพิจารณาหลังน้ำลด!

 


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #365 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2554, 19:14:23 »

    น้ำท่วมคราวนี้สร้างกวีได้อีกหลายคน
 แต่ละคนเด็ดๆทั้งนั้นโดยเฉพาะพี่คนดี ใช้คำคมมากๆ ชอบจังเล้ย


      : "แม้วรำพัน"

               
                           
            พี่ก็แค่ อยากให้น้อง เป็นนายก     ถึงตลก แต่ก็เท่ นะใช่ไหม
            ถูกแล้วน้อง ท่องไว้ ทำ"เพื่อไทย"    ใช่ของใคร น้องรัก พรรคของเรา
                           
            หนูไม่รู้ ไม่เป็นไร หรอกปูจ๋า    ทำหน้าหนา เอาไว้ อย่าให้เฉา
            พี่ก็เคย งงแล้วมั่ว แล้วก็เดา    น้องจงเอา ไปใช้ ให้หลายครา
                           
            พูดสด ๆ กดดัน อั้นไม่ไหว     ช่างหัวแม่ มันปะไร เถิดน้องหนา
            ถึงจะรู้ ว่าปูโง่ ทั้งนครา       อย่านำพา พวกไพร่  ไอ้หางแดง
                           
            มันก็แค่ น้ำท่วม นั่นแหละน้อง             อย่าไปตรอง ข้องจิต คิดแสลง
            ไม่ต้องแก้ หรอกแค่พูด แค่แสดง    ตามสคริป ที่พี้แจ้ง แค่นั้นพอ
                           
            คนรอบข้าง ที่เก่งดี ไม่มีหรอก      มันแค่หลอก น้องให้ น้ำลายสอ
            ไม่ว่าปลอด หรือตู่ จอมสอพลอ     พี่แค่ขอ เจ๊สุดา อย่าว่ากัน
               
                           
            หนูโดนด่า เรื่องของหนู ใช่ของพี่    แต่เรื่องดี พี่มีให้ หลายเวอร์ชั่น
            เป็นนายก นี่ก็หนึ่ง นัมเบอร์วัน      เรื่องมันมัน มีอีกเยอะ เชื่อเถอะปู
                           
            แล้วพี่จะ หาใคร เป็นนายก?    ทำตลก โง่บ้า น่าอดสู    
            พี่ยังกลับ ไม่ได้ ใช่ไหมปู       น้องก็รู้ อย่าแกล้งโง่ นะน้องยา
                           
            พี่เป็นใคร น้องปู รู้อยู่แล้ว       คนอย่างแม้ว ไม่ใส่ใจ ใครหรอกหนา
            ถึงเป็นน้อง ก็แค่น้อง ร่วมอุรา             ไม่นำพา ให้หนักหมอง กระดองใจ
             


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #366 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2554, 19:30:38 »

"เอกยุทธ อัญชันบุตร" โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว
คัดลอกบางส่วนจาก มติชน.คอม

วันที่ 03 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 10:00:00 น.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน นายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจเจ้าของกิจการหลายแห่งในต่างประเทศ และเป็นเจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ด็อทคอม ซึ่งเคยออกมาแสดงความเห็นโจมตีรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า


"ไม่อยากจะกล่าวคำแบบนี้ เพราะจะดูเสมือนดูถูกสตรี..แต่ในความเป็นจริงนั้น..สาวเหนือที่ไร้การศึกษาหรือขี้เกียจ และด้อยปัญญา จะมาทำงานสบายที่หญิงปกติไม่ทำกัน..หลักๆ ก็คือขายบริการ..ฉะนั้นสาวเหนือที่ไร้สติปัญญาและโง่เขลาขนาดหนักแต่หน้าด้านมารับตำแหน่ง ก็ควรจะรู้นะว่าอาชีพอะไรที่เหมาะแก่คุณ ?"


จากนั้น นายเอกยุทธยังได้โพสต์ข้อความที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เช่น


"ตำแหน่งนายกฯ นั้น ไม่ใช่ของครอบครัว..และไม่ใช่ที่ฝึกหัดงาน..หากไร้ปัญญาก็อย่าหน้าด้านมารับตำแหน่ง.."


และ


"สื่อถามรัฐบาลและผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายว่าต้องการความช่วยเหลือจากต่างประเทศเรื่องน้ำท่วมมั้ย ?
 คำตอบที่ได้คือ ′เราช่วยตัวเอง′ ได้...มิน่าถึงได้ยินบ่อยๆว่า ′เอาอยู่ค่ะ′”



′ต้องขออภัยนะครับ หากทำให้บางท่านไม่ชอบใจ..แต่กรุณาอ่านข้อความให้ชัดเจนครับ..ไม่ได้กล่าวหาหรือดูถูกใคร แต่กล่าวในความเป็นจริง และน่าจะเข้าใจกันดีว่าหมายถึงใครครับ..ผมเคารพในสิทธิ์และทุกอาชีพ แต่ไม่ยอมรับพวกหน้าด้านที่ทำให้สังคมและประเทศเสียหายครับ..และหญิงบริการก็ไม่ได้สร้างความเดือนร้อนให้ใครแต่คนบางคนที่ไม่มีสติปัญญาก็ไม่ควรอาสาเข้ามานี่ครับ..′


และ  ′คุณคุณหมายความว่า หากมีอาชีพขายบริการแล้วต้องยกย่องก็คงได้มั้งครับ..ผมคิดว่าหากเข้าใจความหมายต่างกัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่หากจะเอาความคิดตัวเองว่าวิเศษ เลอเลิศแล้วก็คงไม่ต้องมาแสดงความคิดเห็นกันครับ..ผมจะพูดอย่างไร ก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่ได้พล่ามและไร้สติ..ความหมายก็แล้วแต่ผู้อ่านจะคิดและตัดสินกันเอง..อย่าเอาความคิดตัวเองไปตัดสินคนอื่นครับ..และหากจะกล่าวว่าผมดูถูกก็ตามสบายแต่บอกแล้วว่าผมรังเกียจพวกเกียจคร้านแต่อยากสบายโดยวิธีง่ายๆก็เท่านั้น..ส่วนคุณจะชอบหรืออย่างไรก็ตามสบายคุณครับ..′

ต่อมา ข้อความดังกล่าวได้ถูกแชร์ (แบ่งปัน) ในเฟซบุ๊ก เป็นจำนวนมาก โดยมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและโต้แย้ง สำหรับตัวอย่างความเห็นโต้แย้งที่มีต่อข้อความของนายเอกยุทธ มีอาทิ


ข้อความในเฟซบุ๊กของ "เพียงคำ ประดับความ" กวีการเมือง ที่ระบุว่า "เอกยุทธ อัญชันบุตร -- ไร้สติปัญญาและโง่เขลา ยังสามารถเอาชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงเด็ดขาด พอชนะแล้วขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เอกยุทธบอก ′หน้าด้าน′ แล้วคนที่ไม่มีปัญญาชนะเลือกตั้ง แต่ยังดันขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในอดีตนั้นน่ะ ต้องเรียกว่าอะไร -- ในสังคมประชาธิปไตย จะวิจารณ์อะไรก็วิจารณ์กันได้ จะวิจารณ์แบบนี้ก็วิจารณ์ได้ แต่ต้องอาศัยความหน้าด้านหน่อยเท่านั้นเอง"
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #367 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2554, 19:35:42 »

"ผู้นำ"กับ"อำนาจ" พี่แม้ว-น้องปู ไม่ใช่ต่างแค่"เพศ"

วันที่ 03 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 13:39:08 น.


เวลานี้หลายคน เอาภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี มาเปรียบเทียบกับ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี

น้องสาวแท้ๆ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ปลุกปั้นมากับมือ

แน่นอน พ.ต.ท.ทักษิณเคยกล่าวเอาไว้ว่า น้องสาวคนนี้เหมือนเขาทุกอย่าง ต่างกันอย่างเดียวคือความเป็นหญิงกับชาย

จริงอยู่ พ.ต.ท.ทักษิณ ประสบความสำเร็จอย่างสูงตามกรอบคิดและทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม

พิสูจน์ได้จากผลประกอบการและโครงสร้างของกำไรกิจการที่ริเริ่ม ก่อตั้ง และบริหาร ก่อนการเข้ารับตำแหน่งหรือแสดงบทบาททางการเมือง

กระทั่งสามารถใช้ความสำเร็จเหล่านั้น เป็นฐานเข้ายึดกุมอำนาจรัฐด้วยกลไกการเลือกตั้งสำเร็จในที่สุด

นมุมหนึ่งทางการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกมองว่า เป็นกลุ่มนายทุนที่หวังเข้ามาแสวงหาผลกำไร

แน่นอน เมื่อลงทุนก็ต้องหวังกำไร

หากแต่ในทางการเมือง การหวังทำกำไร เปรียบได้กับ "หายนะ" ของตัวเอง


แต่สิ่งหนึ่งที่สังคมได้จาก พ.ต.ท.ทักษิณ คือ การคิดนอกกรอบ

เพราะหลายครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มักพูดด้วยความภาคภูมิใจอยู่เสมอว่า

"..ผมเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นคน "คิดนอกกรอบ" พร้อมที่จะหา "ลู่ทางใหม่ๆ" มาแก้ปัญหา

หลายครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวกับสื่อมวลชน หรือกับผู้ฟังกลุ่มอื่นๆ ทำนองว่า "กฎหมายนั้นเป็นเพียงเครื่องมือ มีได้ก็แก้ได้ เพื่อเป้าหมายที่วางไว้"

หากนำคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อ 6-7 ปีก่อนมาปรับใช้ในสถานการณ์ปัจจุบัน

สถานการณ์ที่น้ำนองทั่วประเทศ เชื่อว่าสิ่งที่หลายคนมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ลุแก่อำนาจ อาจจะเป็นประโยน์ในสถานการณ์ที่นายกฯยิ่งลักษณ์เผชิญอยู่

สิ่งหนึ่งที่ไม่เห็นในตัวของนายกฯยิ่งลักษณ์เลยก็คือ "ความเด็ดขาด" ในฐานะผู้มีอำนาจในฝ่ายบริหาร

"คำสั่ง" ของผู้นำไร้ความศักดิ์สิทธิ์

ไม่ว่าจะเป็นการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนในแต่ละวันถึง "ความหวัง" ที่ประชาชนคนไทยจะได้รับ

เพราะในแต่ละวันสิ่งที่คนตื่นตาแล้วประสบก็คือ การรุกคืบของน้ำจำนวนมหาศาลที่ไหลไปอย่างไร้ขอบเขต และการประกาศเขตพื้นที่อพยพ

"โอกาส" ที่ประชาชนมอบให้ "อำนาจ" บริหารที่อยู่ในมือ คือความได้เปรียบ

แต่ทั้งหมดคงอยู่ที่ "จะกล้าใช้" หรือ "ใช้เป็น" หรือไม่


เพราะฉะนั้น สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดว่า นายกฯยิ่งลักษณ์เหมือนตัวเองทุกอย่าง คงไม่จริง

ความแตกต่างระหว่าง "เพศ" ไม่น่าจะเป็นอุปสรรค ปัญหา เพราะเวลานี้ผู้หญิงแถวหน้าเยอะแยะ

หากแต่ก่อนพูดหรือก่อน "ชง" น้องสาวขึ้นนั่งแท่นบริหารประเทศบนความเสี่ยง ต้องรู้นิสัย ใจคอ ความกล้า ความเด็ดขาด มีอยู่ในตัวน้องสาวคนนี้หรือไม่

อดีตคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ หลายคน มองการบริหารน้ำของรัฐบาลมีปัญหาเพราะ "ผู้นำ" ไม่เป็น "ผู้นำ"

"ผู้นำ" กลายเป็น "ผู้ตาม"

"ผู้ตาม" ที่ทำอะไรก็ต้องว่าตามความเห็นของ ศปภ. ตามความเห็นของข้าราชการประจำ


แตกต่างจากสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่นั่งหัวโต๊ะสั่งการทุกอย่างที่จะสามารถทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น

ไม่ใช่เลวร้ายหนักเหมือนปัจจุบัน

มีการยกตัวอย่าง เมื่อรู้ว่าน้ำมาถึงนครสวรรค์ ทำไมไม่มองข้ามช็อตถึงแนวทางการป้องกันที่มากกว่าการกั้นกระสอบทราย

การขุดลอกคูคลองส่งน้ำให้กว้างขึ้นเพื่อให้เป็นคลองระบายน้ำ ให้ใหญ่และกว้างขึ้น การจัดเตรียมเครื่องสูบขนาดใหญ่ที่สั่งตรงมาจากต่างประเทศ

นั่นคือ "แผนแรก"

การเตรียมตัด เจาะ รื้อ ประตูระบายน้ำ หรือถนน ที่ขวางทางน้ำ เพื่อให้น้ำระบายลงสู่ทะเลโดยเร็ว

น่าจะเป็น "แผนสอง" ที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการ ก่อนน้ำจะไหล่บ่าเข้าท่วมอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร

หากไม่สามารถหยุดยั้งมวลน้ำก้อนใหญ่ได้ "แผนสาม" ก็น่าจะเป็นการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ ด้วยการประชาสัมพันธ์ล่วงหน้า เพื่อให้รับรู้ข่าวสารที่เป็นจริง

พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร อาสามัคร เข้าไปเป็น "ผู้พิทักษ์ทรัพย์สิน" ของประชาชน

นี่คือการบริการจัดการอย่างเป็นระบบ

ที่หลายคนเห็นเมื่อครั้งรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหา "สึนามิ" ที่มีระบบการจัดการที่มีรูปธรรม และเสร็จสิ้นโดยไว

ด้วยเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้ "อำนาจ" ในมืออย่างเต็มที่

"อำนาจ" มีไว้เพื่อให้ลงมือทำอย่างมีสติ เด็ดขาด และมีวิชั่น ในภาวะที่คนทั้งประเทศประสบเคราะห์กรรม

"อำนาจ" ไม่ได้มีไว้เพื่อประดับเกียรติและวงศ์ตระกูล หรือเชิดหน้าชูตาในสังคม

โดยเฉพาะ "อำนาจทางการเมือง"

เพราะที่สุดแล้วเมื่อใช้ "อำนาจ" ไม่เป็น "อำนาจ" ที่อยู่ในมือ ก็จะกลายเป็น "บูมเมอแรง" ที่ย้อนมาทำร้ายตัวเอง

 หน้า 3,มติชนรายวัน ฉบับวันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2554
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #368 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2554, 20:11:16 »

คำคมจากสื่อต่างๆ

น้ำท่วม ทำให้คนไทยเครียดกันไปหมด มาเล่นเกมส์ทายปัญหาดีกว่า

อะไรเอ่ย?โง่เกินสิ่งมีชีวิตที่เคยมีมา ตั้งแต่โลกใบนี้ได้ก่อกำเนิดขึ้นในระบบสุริยะจักรวาล

รอคนมาเฉลย


สงสัยชาตินี้ "ถ้าSheยังไม่ตาย.... She คงไม่หายโง่" เนอะ
คิดไง ?? ถึงเกิดมาโง่


งูอะไรเอ่ย น่ากลัวที่สุด?

 คำตอบ....งูโป้...



  คณะของนายกรัฐมนตรีมีกำหนดการลงพื้นที่และมอบถุงยังชีพ อาหาร พร้อมน้ำดื่ม ระหว่างทางได้โยนลูกบอลจุลินทรีย์ หรือ อีเอ็มบอลเพื่อบำบัดน้ำด้วย ก่อนจะสวนกับเรือของพระสงฆ์ที่ออกบิณฑบาตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงได้นิมนต์พระสงฆ์รูปเพื่อนำถุงยังชีพใส่บาตร และยังได้หยิบถุงบรรจุอีเอ็มบอล จำนวน 2 ถุงขึ้นมา พร้อมอธิบายสรรพคุณของอีเอ็มบอลให้พระสงฆ์ฟัง เมื่ออธิบายจบก็เตรียมจะนำถุงอีเอ็มบอลใส่ลงในบาตร แต่ขณะนั้นพระสงฆ์รูปดังกล่าวได้รีบปิดฝาบาตร แล้วนำกระดาษมารองบนบาตรเพื่อใช้แทนผ้ารับประเคนถุงอีเอ็มบอลจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ทัน

อุ๊ยตาย! ปูนึกว่าไข่เค็มดินสอพองลพบุรีเสียอีก เหมี๊ยน
เหมียนกันเปี๊ยบเลย นะเคอะ



สมชื่อ พี่ชายดูไบ น้องสาวดูโง่

ขอให้ความโง่ ลอยไปกับสายน้ำ...สาธุ

ทนเอาหน่อย นะเค่อะ...เพราะ พี่เขา ให้หนู อยู่ถึง 8 ปี......ยังมีเรื่อง เบล๋อๆ....(โง่ๆ) อีกเยอะ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #369 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2554, 09:58:30 »

การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2554 01:00

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


    ทั้งรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ กทม. ของคุณชายสุขุมพันธุ์ บริพัตร ต้องพิสูจน์ให้คนไทยเห็น

 ว่าหลังจากเราเสียนิคมอุตสาหกรรมไปแล้ว 7 แห่งทางเหนือของกรุงเทพฯ จะสามารถปกป้องนิคมอุตสาหกรรมที่เหลือทางใต้ของเมืองหลวง
ได้หรือไม่?

 พร้อมๆ กับที่ต้องบริหารความหงุดหงิดและปัญหาของชาวบ้านที่พังคันกั้นน้ำเพราะทนสภาพน้ำท่วมเป็นเดือนในบริเวณทางเหนือของ กทม.ไม่ได้

 เป้าหมายต่อไปของมวลน้ำมหาศาลคือนิคมอุตสาหกรรมบางชัน และลาดกระบัง ตามมาด้วยนิคมบางปูและบางพลี

 รัฐบาลกับ กทม. ไม่สามารถสานประโยชน์กันอย่างมีเหตุมีผล ไม่สามารถอธิบายให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนเข้าใจได้ว่า จะได้การชดเชยอันสมควรเพราะต้องทนทุกข์ทรมานกับการปกป้องหัวใจด้านเศรษฐกิจของเมืองหลวง, จึงทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างชาวบ้าน, ตำรวจ, เจ้าหน้าที่ กทม. จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่ทำให้ไม่มีใครบรรลุเป้าหมายอันควรของตน

 รัฐบาลไม่สามารถปกป้องจังหวัดทางเหนือ กทม., รัฐบาล กทม. ไม่สามารถรักษาคำพูดว่าจะทำให้เมืองหลวงไม่ท่วม และชาวบ้านจำนวนมากก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจะต้องรับภาระแห่งความไร้ประสิทธิภาพของผู้บริหารบ้านเมืองทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่นได้

 ต่างประเทศเฝ้าดูสถานการณ์น้ำท่วมของเมืองไทยด้วยความเป็นห่วงและกังวล แต่ขณะเดียวกันนักลงทุนและนักท่องเที่ยวก็ประเมินฝีมือการทำงานของรัฐบาลมาทุกจังหวะ

 นักลงทุนใหญ่จากญี่ปุ่น, ยุโรป และเอเชียอื่นๆ ตั้งคำถามแน่นอนว่าหากรัฐบาลมีเวลาหลายสัปดาห์หลังจากเสียนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดอยุธยาและปทุมธานีไปแล้ว, จะพิทักษ์รักษานิคมอุตสาหกรรมทางใต้ได้เพียงใด

 จะเป็นเรื่องที่ตอกย้ำความล้มเหลวของการบริหารของรัฐบาลทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นของกรุงเทพฯ อย่างยิ่ง หากว่ามีเวลาตระเตรียมยาวนานเพียงนี้, แล้วนิคมอุตสาหกรรมที่เหลือจะยังโดนท่วม โรงงานต้องหยุดการผลิตและผู้คนต้องหนีกันจ้าละหวั่นอีกรอบหนึ่ง

 เหมือนไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนสดๆ ร้อนๆ ก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อยกระนั้นหรือ?

 ถึงวันนี้เราก็ยังไม่ได้เห็นภาพรวมของ “ยุทธศาสตร์” ของส่วนกลางในการจัดลำดับความสำคัญเพื่อกำหนดให้คนทั้งประเทศได้รับรู้ว่าจะปกป้องส่วนไหน และจะยอมสละส่วนไหนเพื่อให้ผ่านวิบัติภัยครั้งนี้ด้วยความเสียหายน้อยที่สุด

 และทำอย่างไรประชาชนในแต่ละเขตจึงยอมรับการจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาล...อีกทั้งใครที่เสียหายมากจะต้องได้รับการชดเชยและดูแลเป็นพิเศษจากทางรัฐบาลกลางอย่างไร?

 คำถามเหล่านี้ยังไม่ได้รับคำตอบไม่ว่าจะมาจากนายกรัฐมนตรีเอง หรือคณะรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หรือศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม (ศปภ.) แต่อย่างไร

 อีกทั้งยังไม่มีความแน่ชัดว่าขอบเขตหน้าที่ของ ศปภ.นั้นอยู่ตรงไหน จะเป็นแค่ “ช่วยเหลือผู้ประสบภัย” เท่านั้น หรือมีภารกิจเกี่ยวกับการบริหารมวลน้ำ หรือการบริหารความเคลื่อนไหวของชาวบ้านที่ไม่ประสบความเดือดร้อนถึงขั้นที่เข้าไปพังคันกั้นน้ำ

 ไม่แน่ชัดว่า ศปภ. สามารถคุยกับนักการเมืองทั้งระดับพรรคและระดับชาติและระดับท้องถิ่นที่ไปเกี่ยวข้องกับการพังคันกั้นน้ำได้มากน้อยเพียงใด

 ไม่ชัดเจนว่า ครม. กับ ศปภ. แบ่งหน้าที่กันอย่างไร และข่าวล่าสุดเมื่อวานนี้ที่ว่าจะมีการปรับโครงสร้างการทำงานของ ศปภ. เพื่อให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ “คุมเองหมด” นั้นหมายถึงอะไร

 คำประกาศของ ศปภ. หรือ กทม. ว่าที่ไหนจะท่วมหรือไม่ท่วม, จะท่วมนานเท่าไหร่ และสถานการณ์วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรนั้น ถึงวันนี้ไม่ได้มีเปอร์เซ็นต์ของ “ความน่าเชื่อถือ” เท่าไหร่แล้ว

 ทุกอย่างพิสูจน์กันวันต่อวัน, วัดกันว่าชั่วโมงที่แล้ว ทางการพูดไว้ว่าอย่างไร และชั่วโมงนี้ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างเท่านั้น

 วิกฤติอุทกภัยยังรุนแรงน้อยกว่าวิกฤติศรัทธาเป็นไหนๆ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #370 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2554, 21:54:39 »

ประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้อย่างไร?

ดร.วิรไท สันติประภพ veerathai@post.harvard.edu
2 พฤศจิกายน 2554

วิฤตการณ์บ้านเมืองจมน้ำครั้งนี้ สร้างความเสียหาย เสียโอกาส และเสียอนาคตแก่คนไทยหลายล้านคน
คนไทยทั้งตกใจและสลดใจกับภาพมวลน้ำมหาศาลหลากจากทุ่งเข้าสู่นิคมอุตสาหกรรมมูลค่าหลายแสนล้านบาท สนามบินที่เป็นศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล โดนน้ำท่วมอย่างรวดเร็วจนเก็บของไม่ทัน บ้านเรือนของประชาชนจำนวนมากที่สร้างจากเงินออมทั้งชีวิต ต้องจมน้ำนานเป็นเดือน แรงงานหลายแสนคนตกงาน ธุรกิจจำนวนมากต้องเลิกกิจการ เพราะขาดเงินทุนมาบูรณะหลังน้ำท่วม และลูกค้าต่างประเทศไม่สามารถวางใจสั่งสินค้าหรือใช้บริการได้ต่อไป


เพื่อนผมที่เป็นทหารกลับบ้านมาจากชายแดน ตกใจว่ากระสอบทรายที่คนกรุงเทพฯ สร้างป้องกันน้ำท่วมสูงกว่าบังเกอร์จริงในสนามรบ เห็นกระสอบทรายตามตึกต่างๆ แล้ว ไม่แน่ใจว่าเดินอยู่ในกรุงเทพฯ หรือในประเทศที่มีสงครามกลางเมือง ถนนในกรุงเทพฯ ว่าง เพราะคนเอารถไปจอดทิ้งตามสะพานลอยและทางด่วน คนกรุงเทพฯ ต้องกังวลกับการใช้น้ำประปาที่ถูกปนเปื้อนด้วยน้ำเน่า หลายคนไม่เชื่อตัวเองว่า จะหาซื้อน้ำดื่มและอาหารไม่ได้ ทั้งๆ ที่ไทยเป็นผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก   

วิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความตกต่ำของผู้บริหารประเทศและนักการเมือง ไม่น่าเชื่อว่าไทยจะมีรัฐบาลที่ไม่สามารถบริหารประเทศในภาวะวิกฤติได้ นายกรัฐมนตรีออกมายอมรับว่า ไม่สามารถสั่งใครได้ ประชาชนไม่เห็นแนวทางจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบ รัฐบาลดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับการสร้างภาพในแต่ละวัน มากกว่าการมุ่งให้เกิดผลสำเร็จ แถลงข่าวของนายกรัฐมนตรีและของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแต่ละครั้ง ทำให้เกิดความเคลือบแคลงใจสงสัยเพิ่มขึ้น มากกว่าสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน และที่เลวร้ายที่สุดคือพฤติกรรมของนักการเมืองที่ทำตัวเป็นมาเฟียท้องถิ่น นำประชาชนทำลายคันกั้นน้ำ และทำตัวเป็นโจรขโมยของบริจาคของประชาชนไปใส่ชื่อของตัวเอง จัดสรรให้เฉพาะพรรคพวกของตน โดยหวังแต่ผลทางการเมืองแบบไม่มียางอาย และไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย น่าเสียดายที่ของบริจาคจำนวนมากถูกทิ้งให้ลอยน้ำอยู่ที่ดอนเมือง ขณะที่ผู้ประสบภัยต้องทนทุกข์อยู่ตามที่ต่างๆ

นอกจากความตกต่ำของผู้บริหารประเทศและนักการเมืองแล้ว น้ำท่วมครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานราชการ ที่แต่ละหน่วยคิดและทำงานแบบหน่วยใครหน่วยมัน ขาดการประสานงานและการทำงานที่มุ่งผลสำเร็จร่วมกัน นอกจากนี้ ยังขาดการคิดและทำงานเชิงรุก และขาดการบริหารจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบทันต่อสถานการณ์ ได้ฟังข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายท่าน อธิบายถึงแนวทางการจัดการน้ำแล้ว ไม่ประหลาดใจว่า ทำไมน้ำท่วม เพราะคำอธิบายมีแต่น้ำขาดเนื้อหาสาระ และพูดเอาใจนักการเมืองมากกว่าที่จะให้ข้อเท็จจริงแก่ประชาชน

วิกฤตการณ์บ้านเมืองจมน้ำ จนเกิดความเสียหายมหาศาลครั้งนี้ ได้ตั้งข้อสงสัยให้คนไทยทั้งประเทศว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีคณะกรรมการอิสระขึ้นมาศึกษาถึงสาเหตุ และปัญหาเกี่ยวกับการแก้ไขวิกฤติครั้งนี้จริงจัง ภัยธรรมชาติเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับได้ แต่น้ำท่วมครั้งนี้ สะท้อนถึงความอ่อนแอของภาครัฐไทย สะท้อนให้เห็นถึงการขาดความรู้ ความสามารถ และภาวะผู้นำของรัฐบาล สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ และสะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมของนักการเมืองและผู้มีอำนาจบางกลุ่ม ปัญหาของเมืองไทยจึงไม่ใช่เพียงแค่จะจัดการน้ำให้ลดลงได้อย่างไร หรือจะกู้บ้านเมืองที่จมน้ำไปแล้วให้กลับคืนมาได้อย่างไร แต่เป็นปัญหาว่าเมืองไทยจะก้าวต่อไปได้อย่างไร ภายใต้ความอ่อนแอ และความเสื่อมของภาครัฐและนักการเมือง

นอกจากภัยธรรมชาติจะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปีแล้ว ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับภัยคุกคามด้านอื่นๆ อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่จะยังอยู่กับเราไปอีกหลายปี ภัยจากโรคติดต่อที่รุนแรงและกลายพันธุ์ได้เร็ว คุณภาพระบบการศึกษาไทยที่ตามไม่ทันประเทศเพื่อนบ้าน ความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่เสื่อมลงเรื่อยๆ ภัยจากนโยบายประชานิยมที่ส่งผลให้ประชาชนหวังแต่พึ่งรัฐ และทำลายฐานะการคลังของประเทศ ภัยจากยาเสพติด และภัยจากความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนที่พร้อมจะลุกขึ้นเป็นเหตุการณ์จลาจล ภัยคุกคามเหล่านี้อาจปะทุขึ้นก่อนฤดูฝนหน้า และอาจสร้างความเสียหายระยะยาวมากกว่ามวลน้ำที่ไหลเข้าท่วมบ้านท่วมเมืองก็ได้

นักลงทุนต่างประเทศในนิคมอุตสาหกรรมที่จมน้ำไปแล้ว ได้แจ้งรัฐบาลว่า จะยังไม่ถอนการลงทุนจากไทย ถ้ารัฐบาลแสดงให้เห็นว่าจริงใจและจริงจังที่จะช่วยกอบกู้โรงงานของเขากลับคืนมา และแสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่า มีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเช่นนี้อีกในอนาคต รัฐบาลมีเวลาจำกัดที่ต้องสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นในหมู่นักลงทุนต่างประเทศ ถ้าหลังน้ำลดแล้วรัฐบาลยังไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการอีก ยากที่จะดึงนักลงทุนต่างประเทศให้คงอยู่ในไทยได้ และคนไทยจำนวนมากคงต้องตกงาน

ประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้อย่างไร จะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงประเทศภายหลังจากน้ำลด คนไทยโชคร้ายที่ไม่สามารถถอนการลงทุนและย้ายไปประเทศอื่นได้เหมือนนักลงทุนต่างประเทศ แม้ศรัทธาที่เคยมีต่อรัฐบาลและภาครัฐจะจมน้ำหายไปเช่นกัน

ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงได้ต้องใช้พลังจำนวนมหาศาล และพลังจะเกิดได้ต่อเมื่อคนไทยมีศรัทธา การเปลี่ยนแปลงประเทศจึงต้องเริ่มจากการสร้างศรัทธาให้กลับคืนมา โดยเฉพาะศรัทธาในตัวผู้นำ ผู้นำไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง แต่ต้องทำงานร่วมกับคนที่มีความรู้ได้ รู้ที่จะยอมรับว่าตัวเองไม่รู้บางเรื่อง รู้ที่จะฟัง และรู้ที่จะสื่อสาร กล้าตัดสินใจเพื่อมุ่งหวังผลสำเร็จโดยไม่ได้หวังเพียงการสร้างภาพทางการเมือง ที่สำคัญที่สุด ผู้นำทุกระดับต้องยอมรับสภาพและขีดจำกัดความสามารถของตัวเอง ถ้าผู้นำได้แต่ดันทุรัง และหวังให้ผ่านพ้นไปวันๆ จะไม่สามารถสร้างศรัทธาเกิดขึ้นได้ และรังแต่จะสร้างความเสียหายให้ประเทศมากขึ้น

นอกจากการวางแผนปฏิรูประบบการบริหารจัดการน้ำของประเทศแล้ว ไทยต้องปฏิรูประบบราชการจริงจัง ต้องสร้างความแข็งแกร่งให้ภาครัฐ ต้องสร้างให้ภาครัฐเป็นผู้รู้จริงในด้านต่างๆ  ต้องสร้างระบบแรงจูงใจให้หน่วยงานราชการทำงานร่วมกันได้โดยมุ่งผลสำเร็จและประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง และต้องวางระบบไม่ให้นักการเมืองคุณภาพต่ำเข้าไปแทรกแซงหน่วยงานราชการได้โดยง่าย

ท้ายที่สุด ประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงเมื่อภาคประชาชน ข้าราชการ ธุรกิจ และสื่อมวลชน ร่วมกันจัดการนักการเมืองที่เลวแบบไร้คุณธรรม โดยอาจเริ่มจากการจัดการนักการเมืองมาเฟียที่ขโมยของบริจาคไปใส่ชื่อตนเอง อย่างไร้ยางอาย และไม่เกรงกลัวกฎหมาย ถ้าเราร่วมกันดำเนินคดีอาญานักการเมืองเหล่านี้จนถึงที่สุดได้ น้ำท่วมคราวนี้อาจไม่เสียเปล่า เป็นโอกาสอาศัยน้ำทุ่งไล่น้ำเน่าในสภา

แม้ว่าน้ำท่วมบางพื้นที่จะลดลง และบ้านเมืองที่จมน้ำไปจะถูกกู้ขึ้นมาได้ แต่ถ้าคราวนี้คนไทยไม่ร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างจริงจังแล้ว ผมสงสัยว่าประเทศไทยจะก้าวต่อไปได้อย่างไร?
   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #371 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2554, 22:24:47 »

มา ครับ
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #372 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2554, 23:04:14 »

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 05 พฤศจิกายน 2554, 22:24:47
มา ครับ
มาตามท่อ หรือเปล่า
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #373 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2554, 23:08:26 »

นายกหญิงคนแรก ของประเทศอะไรไม่รู้...

เมื่อน้ำเริ่มท่วมใหม่ๆ เธอออกจากบ้านใส่รองเท้ายางยี่ห้อดังของอังกฤษ คู่ละเกือบหมื่น
ไปลุยน้ำ๋ท่วม เพื่อโชว์แอ็คชั่นและรองเท้าสวย

น้ำท่วมผ่านไปหลายๆสัปดาห์ มีเรื่องราวเกี่ยวกับเธอมากมาย ผ่านหูผ่านตาเข้ามา ให้แทบอ๊วกแตกอ๊วกแตน
ด้วยความทุเรศและอดสูใจ แบบไม่น่าเชื่อไปตามๆกัน

เมื่อวานสดๆร้อนๆ เธอออกไปเยี่ยมชุมชนสรงประภา พร้อมใส่ถุงมือยาง ป้องกันเชื้อโรค ร่างเธอนั่งอยู่บนเรือ
 ใส่เสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อย ผมจัดทรง หน้าผัดแป้ง เมคอัพอย่างแจ่ม...เช่นเดิม..เฮ้ออออ...


ในขณะที่ชาวบ้านสรงประภา ที่มาคอยรับของบริจาค ยืนเรียงรายเป็นพันๆคน ร่างครึ่งตัวอยู่ในน้ำเหม็น ดำ เน่า พร้อมข้างกายมีกาละมังคนละ 1 ใบ หน้าตาเคร่งเครียด วิตกกังวล ความหวังทุกคน เพียงแค่รอรับของบริจาคจากมือท่านนายกหญิงคนงาม ซึ่งมือเัธอ ก็สวมถุงมือยางป้องกันเชื้อโรค ที่อาจจะสัมผัสระหว่างยื่นส่งให้ชาวบ้าน (ที่ยืนแช่อยู่ในน้ำเน่า)

ขณะเดียวกัน เธอก็ทำแอ็คท่า โยนโปรยปรายลูกบอลอีเอ็มไปทั่วๆ ทั้งๆที่น้ำก็เคลื่อนไหวไหลไปมา ไม่รู้จะโยนลงไป ทำ(ห)ฮ่าอาราย...

ความปัญญาอ่อนเด๋อด๋าขั้นเทพโดยกำเนิด มีออกมาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
ทำให้เธอตัดสินใจ ใส่บาตรพระด้วยอาหาร พร้อมแถมขนมเป็นลูกอีเอ็มบอลลงไปในบาตรด้วย
 ก็เลยโดนพระดุไปนิ่มๆ ใ้ห้แยกออกไปเสีย เพราะบาตรพระรับแต่อาหารเท่านั้น แต่ไม่ใช่ลูกอีเอ็มฆ่าน้ำเน่า


นอกจากนี้ เขาให้มาก็มา เขาให้แจกก็แจก แต่ไม่เคยถามไถ่อะไร ว่าแถบนี้มีชาวบ้านอยู่อาศัยกี่คน
และของจะเพียงพอต่อจำนวนปชชหรือไม่ เรียกว่าไม่เคยห่วงใย ใส่ใจชาวบ้านอย่างแท้จริง
 สุดท้ายยังมีชาวบ้านรออีกเพรียบ แต่ของแจกหมดเกลี้ยง ไม่เพียงพอแจก ก็เลยเจอด่าขรมไปตามระเบียบ

แต่นายกหญิงเธอไม่ซีเรียสนะ จะด่าก็ด่าไป กลับแล้วเดี๋ยวจะไปเม้าท์สไกป์ ฟ้องพี่เหลี่ยม
 แล้วบอกว่า วันนี้เจอหนักแต่ก็รอดตัว ได้เป็นนายกหญิงต่อ ได้อีกวันหนึ่งแล่ววววค่าาาาาา............

ไม่อยากเขียนต่อ เขียนแล้วของขึ้น...
ขอให้ท่านๆมองหาความทุเรศของท่านนายกหญิงคนแรกของประเทศอะไรไม่รู้  ต่อกันเอง...............
นายกหญิงคนแรกแห่งประเทศอะไรไม่รู้

ทู่เรศตัวเองจริง ที่มาอยู่ในประเศนี้ ฮ่วย.....
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #374 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2554, 23:23:38 »

คุณชาย” เข้ม! ขีดเส้นศปภ. 48 ชม. สั่งกรมชลฯ เปิดประตูระบายน้ำหนองจอก    

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 พฤศจิกายน 2554 15:57 น.    

      
ผู้ว่าฯ กทม. กร้าว!! ส่งหนังสือถึงฉบับที่ 5 พร้อมขอแรงหนุนช่วยชาวบ้าน ให้เวลาศปภ. 48 ชั่วโมง สั่งกรมชลประทานเปิดประตูระบายน้ำหนองจอก หลังเดินเครื่องระบายน้ำไม่เต็มกำลัง สุดอั้นบอกทนไม่ได้ปล่อยชาวบ้านเดือดร้อน ห่วงสถานการณ์เมืองหลวงวิฤกตรอบด้าน พร้อมขอบคุณ 18 จังหวัดจับคู่ส่งเสบียงช่วยน้ำท่วม
       

       วันนี้(5 พ.ย.) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของ กทม.ว่า ยังคงน่าเป็นห่วงโดยระดับน้ำได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงวานนี้ (4 พ.ย.) กทม.ได้ทำหนังสือถึง ศปภ.แล้ว 4 ฉบับในการขอความช่วยเหลือ สนับสนุนเรือ เครื่องสูบน้ำ อาหาร น้ำดื่ม และกำลังพล เพื่อเร่งระบายน้ำให้เร็วที่สุด รวมถึงสถานการณ์น้ำฝั่งตะวันออกที่ยังมีน้ำเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องวันละ 5-20 ซม. ในวันนี้(5 พ.ย.) กทม.จะทำหนังสือถึง ศปภ.อีกฉบับที่ 5 ให้กรมชลประทานเร่งระบายน้ำออก
       
      ผู้ว่ากทม. กล่าวอีกว่า เนื่องจากที่ทราบข้อมูลยังมีประตูระบายน้ำของกรมชลประทานที่หนองจอกทำงานไม่เต็มที่ บางประตูยังปิด จากการเฝ้าติดตามพบที่หนองจอกมีเครื่องสูบน้ำ 20 เครื่อง เสีย 3 เครื่องใช้ได้ 17 เครื่อง แต่เปิดเดินเครื่องเพียง 9 เครื่อง โดยกทม.หวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากศปภ. และประกาศให้เวลาตัวเอง 48 ชม.(หลังจาก 11.00น. วันนี้) หากยังไม่มีการสนับสนุนหรือได้รับความร่วมมือตามที่ส่งหนังสือไปจะต้องทบทวนอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะการที่เข้ามารับตำแหน่งนั้นไม่ได้เข้ามาเพื่อให้ประชาชนต้องได้รับความเดือดร้อน จะต้องทำทุกทางเพื่อแก้ปัญหาให้ได้
       
       นอกจากนี้ ในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบในเขตที่ปกครองของกทม. 18 เขต จะจับคู่กับจังหวัด 18 จังหวัด ในการประกอบอาหารส่งไปแจกจ่ายในพื้นที่ ได้แก่ เขตบางพลัดกับ จ.ตรัง เขตตลิ่งชันกับ จ.ราชบุรี เขตทวีวัฒนากับจ.เพชรบุรี เขตบางแคกับจ.อุดรธานี ดอนเมืองกับจ.นครราชสีมา เขตสายไหมกับจ.เชียงราย เขตหลักสี่กับจ.เชียงใหม่ เขตบางเขนกับจ.อุตรดิตถ์ เขตหนองจอกกับจ.บุรีรัมย์ เขตคลองสามวากับจ.ภูเก็ต เขตลาดพร้าวกับจ.อุบลราชธานี เขตวังทองหลางกับจ.สุรินทร์ เขตจตุจักรกับจ.กาญจนบุรี เขตบางซื่อกับจ.พิษณุโลก เขตมีนบุรีกับจ.สงขลา เขตลาดกระบังกับจ.ปราจีนบุรี เขตคันนายาวกับจ.สระแก้ว และเขตบางกอกน้อยกับจ.นครพนม โดยผู้ว่าฯกทม.ได้ขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 18 จังหวัดที่เข้ามาช่วยเหลือ กทม.ด้วย
       
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 21  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><