23 พฤศจิกายน 2567, 10:29:19
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16 ... 21  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)  (อ่าน 235718 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 11 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #325 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2554, 22:52:39 »

ยงยุทธ"ยันตั้ง หน.การ์ด นปช.-ตลกนั่งเลขาฯรัฐมนตรี มท.เหมาะสมแล้ว

วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554
(คางคกขึ้นวอครับพี่น้อง)

   

ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลัง ครม.มีมติแต่งตั้งตำแหน่งข้าราชการการเมือง โดยเฉพาะในกระทรวงมหาดไทยที่มีการแต่งตั้งนายอารีย์ ไกรนรา หัวหน้าการ์ด นปช.มาดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถและความเหมาะสม ที่ผ่านมาที่เคยเป็นหัวหน้าการ์ด นปช.ก็ทำหน้าที่เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ความยุติธรรมและอิสรภาพให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้เป็นคนประนีประนอม เพราะในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา บริเวณแยกราชประสงค์ นายอารีย์ก็ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานได้ดี โดยเฉพาะในช่วงที่รถแก๊สมาจอดข้างห้างเซ็นทรัลเวิลด์ นายอารีย์ก็เป็นผู้ประสานงานเอารถแก๊สออกไปเพื่อความปลอดภัยของผู้ชุมนุม ดังนั้น ไม่อยากให้มองว่าเป็นคนเสื้อสีอะไร


นายยงยุทธกล่าวต่อว่า ส่วนการตั้งนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดง มาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนั้น ตนถือว่าก็เป็นบุคคลที่มีความเหมาะสม ไม่ใช่บุคคลโลว์ โปรไฟล์ เพราะเคยเป็นถึงอดีตผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช ในยุคของพรรคไทยรักไทย ซึ่งก็ทำงานกับพรรคมายาวนาน ดังนั้น ขอยืนยันว่าการให้ตำแหน่งดังกล่าวไม่ใช่เรื่องต่างตอบแทนกลุ่มเสื้อแดง


เมื่อถามว่า นายยศวริศซึ่งเป็นศิลปินตลก และมีภาพฮาร์ดคอร์ในช่วงการชุมนุม รวมทั้งขณะนี้ยังมีคดีติดตัวอยู่ จะกลายเป็นสายล่อฟ้าให้กับฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ นายยงยุทธกล่าวว่า คนที่มีหมายจับ หรือเคยถูกจำคุก แต่ถ้ามีคุณสมบัติถูกต้องตามกฎหมาย ก็ไม่มีข้อห้ามในเรื่องของการดำรงตำแหน่งทางการเมือง



"พระเอกหนังในต่างประเทศก็ยังเป็นผู้นำได้ อย่างเช่น นายอาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ก็ได้ผู้ว่าการรัฐ ดังนั้น เราไม่ควรไปเหยียดหยามหรือตั้งข้อรังเกียจ ดังนั้น ไม่ควรเอาเรื่องของอาชีพมาเป็นข้อจำกัด สักวันคนกวาดถนนก็อาจเป็นรัฐมนตรีได้ เป็นตลกน่ารังเกียจตรงไหน เขาเป็นคนหนึ่งที่ทำให้ประชาชนจำนวนมาก เลือกพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาล" นายยงยุทธกล่าว


เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่จะโยกย้ายนายวิเชียร ไปดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงอื่นหรือประจำสำนักนายกฯ นายยงยุทธกล่าวว่า ข่าวก็คือข่าว ข้อเท็จจริงก็คือข้อเท็จจริง บางครั้งข่าวลือก็เป็นเรื่องจริง บางครั้งที่คิดว่าเป็นเรื่องจริงก็เป็นแค่ข่าวลือ อย่างไรก็ตาม การโยกย้ายทุกครั้งจะมีเหตุผลและสามารถตอบคำถามสังคมได้ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า จะไม่มีการโยกย้ายข้าราชการเพื่อล้างบางหรือแก้แค้น ตนทำไม่ได้เพราะดูไม่ดีและทารุณเกินไป ที่สำคัญตนไม่เคยคิดที่จะโยกย้าย โดยเพ่งเล็งบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งในยุคของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในช่วงที่ผ่านมา หรือเป็นเพราะแรงเสียดทานจากคนในพรรคเพื่อไทย แต่จะยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง


เมื่อถามถึงความเหมาะสมในการตั้งนายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย ขึ้นมาดำรงตำแหน่งโฆษกกระทรวงหมาดไทย นายยงยุทธกล่าวว่า ตนไม่คนช่างพูด หรือจะให้พูดทุกวันและทุกเรื่องก็คงทำไม่ได้ ขณะที่นายวิเชียรเป็นบุคคลที่รู้ทุกเรื่องในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะตอบคำถามในเรื่องของงานภายในกระทรวงได้ดีกว่า ดังนั้น จึงเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะมอบหมายให้นายวิเชียรเป็นโฆษกกระทรวงมหาดไทยด้วย


"ผมมีความประทับใจในช่วงที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเป็นนายกฯ ท่านเป็นคนพูดน้อย พูดเพียงกลับบ้านเถอะลูก จนสื่อมวลชนตั้งฉายาเตมีย์ใบ้ให้กับท่าน สุดท้ายท่านก็อยู่ในตำแหน่งนานถึง 8 ปี ดังนั้น ผมจึงอยากเอาอย่างท่าน จะได้อยู่ในตำแหน่งได้นานๆ" นายยงยุทธกล่าว
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #326 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2554, 23:06:53 »

แฉประวัติโจกแดง! ตอกย้ำ ครม.ยี้ ปูนบำเหน็จซ้ำเติมบ้านเมือง  
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
 
 
 
 
แฉประวัติหัวโจกแดง ที่ ครม.ปู ปูนบำเหน็จตำแหน่งทางการเมืองกันสนุกมือ สนองบุญคุณโดยที่ไม่ไตร่ตรองคุณสมบัติ และไม่เกรงใจกระแสสังคม ทั้งที่ตกเป็นจำเลยในคดีเผาบ้านเผาเมือง และหมิ่นสถาบันเบื้องสูง
       

       วันนี้ (30 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวจากทำเนียบรัฐบาล รายงานว่า สำหรับประวัติของคนเสื้อแดงที่เข้ามารับตำแหน่งทางการเมืองอย่าง นายอารี ไกรนรา ซึ่งเป็นเลขานุการ รมว.มหาดไทย นั้น ทราบกันดีว่า นายอารี เป็นหัวหน้าการ์ดคนเสื้อแดง เมื่อครั้งชุมนุมยึดราชประสงค์ ส่วนก่อนหน้านี้เคยมีบทบาททางการเมืองด้วยโดยมาร่วมงานกับพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่ยุคก่อตั้ง เคยเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี และเคยสมัคร ส.ส.4 ครั้ง ได้รับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.แต่การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะเสียก่อน ซึ่งการได้เข้ามาทำงานครั้งนี้ เพราะสนิทกับ นายสมพล วิชัยดิษฐ น้องชาย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ เป็นคนใต้ด้วยกัน จึงรู้ใจกัน ทำให้ นายยงยุทธ ไฟเขียวให้มาทำงาน
       
       ส่วน นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก นั้น ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเลขานุการ รมช.มหาดไทย (นายฐานิสร์ เทียนทอง) มีผลงานทางการเมืองโดยเคยร่วมงานกับคณะทำงานรัฐมนตรีหลายรัฐบาล ตั้งแต่รัฐบาล นายบรรหาร ศิลปอาชา รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นเจ้าหน้าที่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จนได้รับการดึงตัวมาช่วยงานงานการเมือง
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับ นายเพชรวรรต วัฒนพงษ์ศิริกุล ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา รมว.พัฒนาสังคมฯ นั้น นายเพชรวรรต เป็นแกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ถือเป็นเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ จนถูกทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในสมัยนายอภิสิทธิ์ จัดรายชื่อไว้ในกลุ่มที่ต้องส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปเจรจา ไม่ให้สร้างความรุนแรงในช่วงของการชุมนุมที่กรุงเทพฯ นอกจากนี้ นายเพชรวรรต ยังเคยเป็นผู้พิพากษาสมทบ เป็นทนายกลุ่มเอ็นจีโอ ที่ร่วมต่อสู้กับกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือมาก่อน และเคยลงสมัคร ส.ส.ลำพูน สังกัดพรรคพลังประชาชน แต่สอบตก
       
       ส่วน นายนาวิน บุญเสรฐ ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการ รมว.ต่างประเทศ ซึ่ง นายนาวิน ถือเป็นแกนนำ นปช.ภาคเหนือ เดิมทีถูกจัดวางให้เป็นเลขา รมต.กระทรวงคลัง (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ) หรือไม่ก็ไปเป็นเลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) แต่แรงเบียดสู้ไม่ได้ จึงต้องหล่นมาที่กระทรวงการต่างประเทศ ถึงกระนั้นยังอยู่ภายใต้โควตาภาคเหนือ เพราะ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ก็มาจากภาคเหนือ
       
       สำหรับ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา รมว.คมนาคม เป็นแกนนำเสื้อแดงที่สามารถระดมชาวแท็กซี่มาชุมนุมได้ภายใน 24 ชั่วโมง เพราะความเป็นนายกสมาคมพิทักษ์สิทธิประโยชน์ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแอลเอ จำกัด ส่วนนายวิเชียรชนินทร์ สินธุไพร เป็นน้องชาย นายนิสิต สินธุไพร ทำงานเป็นผู้ช่วย ส.ส.และแกนนำเสื้อแดงร้อยเอ็ด มานาน เดิมถูกคาดหมายมาช่วยงานสภา แต่พี่ชายเห็นว่า มาทำงานตรงนี้มีประโยชน์กว่า ส่วน นายวิสา คัญทัพ เป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบปาร์ติ้ลิสต์ ซึ่งพลาดจากการเป็น ส.ส.พลาดจากการเป็น รมต.แต่ละรายจัดอยู่ในบัญชี 2 และบัญชี 3 ของพรรค และก่อนหน้านี้ นางไพจิตร อักษรณรงค์ ภรรยา ได้รับแต่งตั้งเป็นประจำสำนักเลขาธิการนายกฯไปแล้ว เมื่อคราวมติ ครม.25 ส.ค.
       
       และกรณีของ นายวัน อยู่บำรุง ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการ รมช.คมนาคม (นายกิติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์) ที่แม้จะเป็นลูก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ดำรงตำแหน่งรองนายกฯอยู่ แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยากให้มาช่วยใน ก.คมนาคม เพื่อผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า ฝั่งธนฯ และหวังสร้างคะแนนเสียง
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นอกจากนี้ ยังมี นายสมหวัง อัสราษี ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ซึ่งถือเป็นนักธุรกิจ โด่งดังจากธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้ามิตซูชิตา จนคนเรียกว่า “เฮียหวัง” แถมมีธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลัง หมีคอมมานโด และสร้างแบรนด์เครื่องดื่ม ยี่ห้อ ทักษิณสู้ ผลิตแบรนด์เครื่องดื่มบุกตลาดกัมพูชา การเข้ามาเป็นที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ เพราะมีความเชี่ยวชาญธุรกิจเอสเอ็มอี และสนับสนุนคนเสื้อแดงจนเคยประกาศขอปวารณาตนเป็นนักธุรกิจเสื้อแดง ช่วงชุมนุมคนเสื้อแดง และ ศอฉ.เคยขึ้นทะเบียนอายัดทรัพย์

 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
อ้อย 14
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,055

« ตอบ #327 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2554, 19:11:28 »



โฮ้ย....สงสารประเทศไทย  เต็มทีแล้ว.... เค้าไม่ยอม
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #328 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2554, 22:45:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย 14 เมื่อ 31 สิงหาคม 2554, 19:11:28


โฮ้ย....สงสารประเทศไทย  เต็มทีแล้ว.... เค้าไม่ยอม
ต้องลาออกจากเป็นพลเมืองไทยแล้วละครับพี่อ้อย
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #329 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2554, 22:47:49 »

ประสงค์" อัดสรรพากร บี้ภาษีชาวบ้าน 235 บ. แต่เว้นภาษีหุ้นชินคอร์ปหมื่นล.
 

 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

  "ประสงค์" อัดสรรพากรสองมาตรฐาน ไล่ล่าภาษีชาวบ้าน 235 บาท จนถึงฎีกาโดยไม่สนว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไร ขณะที่ภาษีโอนหุ้นชินคอร์ป 1.2 หมื่นล้านบาท ของตระกูลชินวัตร กลับไม่ยอมอุทธรณ์
       

       นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ อดีตบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ , หนังสือพิมพ์มติชน และอดีตนายกสมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ที่เพิ่งลาออกจากสังกัด “มติชน” ที่เขาทำงานมาอย่างยาวนาน 26 ปี ได้เผยแพร่บทความผ่านเว็ปไซต์ www.prasong.com เรื่อง "เปิด(ไร้?)มาตรฐานสรรพากร ภาษีแค่ 235 บ. ยื่นอุทธรณ์ แต่ภาษีชินวัตรหมื่นล.อุ้มเฉย?" วิพากษ์วิจารณ์มาตรฐานของกรมสรรพากร ในการจัดเก็บภาษีที่ไม่เท่าเทียมกัน โดยมีการยื่นอุทธรณ์กรณีที่ประชาชนคนหนึ่งไม่เสียภาษีจำนวน 235 บาท เปรียบเทียบกับกรณีภาษีโอนหุ้นชินคอร์ป มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ของตระกูลชินวัตร กลับไม่ยื่นอุทธรณ์ใดๆ ทำให้ถูกมองว่ากรมสรรพากรเอื้อประโยชน์ต่อครอบครัวชินวัตรหรือไม่ โดย มีรายละเอียดดังนี้....
       
       "เปิด(ไร้?)มาตรฐานสรรพากร ภาษีแค่ 235 บ. ยื่นอุทธรณ์ แต่ภาษีชินวัตรหมื่นล.อุ้มเฉย?"
       
       โดย ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์
       
       สำหรับนักวิชาการด้านกฎหมายภาษีแล้ว การที่กรมสรรพากรไม่ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกากรณีที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 ให้นายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชนะคดีที่ยื่นฟ้องกรมสรรพากรซึ่งเรียกเก็บภาษีโอนหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น จำกัดหรือชินคอร์ป มูลค่าประมาณ 12,000 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างยิ่ง
       
       เพราะที่ผ่านมา กรมสรรพากรมักตามไล่ล่าภาษีจากชาวบ้านแบบไม่ลดละไม่ว่าจำนวนเงินจะมากน้อยขนาดไหนก็ต้องสู้กันถึงศาลฎีกา
       
       คดีที่ถูกหยิบยกมาเป็นตัวอย่าง เป็นชาวบ้านที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่กรมสรรพากรเห็นว่า ขาดไปเพียง 235 บาท จึงเรียกเก็บ ชาวบ้านไม่ยอมยื่นฟ้องกรมสรรพากรต่อศาลภาษีอาการกลาง
       
       ปรากฏว่า กรมสรรพากรแพ้ แต่ไม่ยอมยุติคดี ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยไม่สนใจว่า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ค่าใช้จ่ายในศาลและของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมายมหาศาลเพียงใด
       
       แม้ชนะคดีก็ได้เงินเข้าคลังมาเพียงไม่กี่ร้อยบาท ขณะที่คดีภาษีโอนหุ้นชินคอร์ปที่มีการประเมินภาษีสูงเกือบ 12,000 ล้านบาท แต่กรมสรรพากรกลับไม่ยอมยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาให้วินิจฉัยข้อกฎหมายเป็นบรรทัดฐานทั้งๆที่ไม่เคยมีกรณีเช่นนี้มาก่อน
       
       พฤติกรรมของผู้บริหารกรมสรรพากรทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ต้องการเอื้อประโยชน์ครอบครัวชินวัตรเหมือนที่เคยทำมาแล้วในช่วง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี

       
       คดีการหลีกเลี่ยงภาษีโอนหุ้นสืบเนื่องจาก นายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ป จำนวน 329.2 ล้านหุ้นจาก บริษัท แอมเพิลริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด ในราคาหุ้นละ 1 บาท เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก่อนที่จะขายต่อให้แก่บริษัท เทมาเส็กโฮลดิ้ง ของสิงคโปร์ผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์ในราคา 49.25 บาท ทำให้ได้ผลประโยชน์จากส่วนต่างราคาหุ้นละ 48.25 บาท
       
       ต่อมาคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)ไต่สวนพบว่า เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี จึงส่งให้กรมสรรพากรประเมินภาษีบุคคลทั้งสอง คนละ 5,675 ล้านบาท บุคคลทั้งสองจึงยื่นฟ้องกรมสรรพากร
       
       อย่างไรก็ตามศาลภาษีฯวินิจฉัยว่า บุคคลทั้งสองไม่ใช่เจ้าของหุ้นที่แท้จริงเพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาในคดียึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร์(ชินวัตร) เป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง การที่กรมสรรพากรจะเก็บภาษีหุ้นจากบุคคลทั้งสองจึงเป็นการไม่ชอบ
       
       ด้านนางจิตรมณี สุวรรณพลู รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า กรมสรรพากรไม่ยื่นอุทธรณ์ เนื่องจากยึดตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง จึงต้องคืนเงินสด 200 ล้านบาท และหลักทรัพย์ที่ดินอีก 1,000 ล้านบาท ที่อายัดไว้ คืนให้กับนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา มิเช่นนั้นกรมสรรพากรอาจจะถูกฟ้องได้ ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้ขอความเห็นจากกระทรวงการคลังแล้ว พร้อมยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลใหม่
       
       ขณะที่นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการ คตส.กล่าวว่า การไม่ยื่นอุทธรณ์ของกรมสรรพากร ไม่น่าจะถูกต้อง แต่หากไม่ยื่นควรเรียกเก็บภาษีจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ทันที หรือหากคิดว่า เรียกเก็บภาษีจากอดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ก็ต้องอุทธรณ์เก็บภาษีจากบุตร และธิดาทั้ง 2 คนให้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้รัฐเกิดความเสียหาย หากเก็บไม่ได้ผู้บริหารกระทรวงการคลัง และกรมสรรพากร จะมีความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157(อ้างอิงจากเว็บสถานีโทรทัศน์ TPBS วันที่ 8 สิงหาคม 2554)
       
       (อ่าน “ชำแหละการยุติคดีภาษีชินคอร์ป มูลค่าหมื่นหนึ่งพันล้านบาทของชินวัตร” ประกอบ(ดาวน์โหลดได้จากเว็ปไซต์ www.isranews.org))
       
       สำหรับคดีตัวอย่างที่กรมสรรพากรไล่เก็บภาษีชาวบ้านอย่างเอาเป็นเอาตาย(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6220/2549) นางศิรินันท์ ศันสนาคม เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากรว่าจำเลยแจ้งการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2542 เพิ่มอีก 235.88 บาท เงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน ที่คำนวณถึงวันที่ 30 เมษายน 2545 อีก 88.50 บาท
       
       โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์ที่ขอให้เพิกถอน การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว จำเลยจึงยื่นฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลาง
       
       ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยให้เพิกถอน การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
       
       ให้จำเลย(กรมสรรพากร)ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 300 บาท
       
       จำเลย(กรมสรรพากร)อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
       
       ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า กรณีที่โจทก์แยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 57 เบญจ เฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินประเภทเงินเดือน ค่าจ้าง ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (1) โดยมีเงินได้พึงประเมินอื่นด้วย โจทก์มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้พึงประเมินตามความในมาตรา 40 (1) ประเภทเดียวเต็มจำนวน 60,000 บาท ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 42 ทวิ หรือไม่
       
       เห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 42 ทวิ เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้มีเงินได้พึงประเมินที่จะได้รับประโยชน์ในการ หักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ของตน ทั้งที่เป็นเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง ตามมาตรา 40 (1) และเงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำหรือจากการรับทำงานให้ไม่ว่า จะเป็นค่านายหน้า เบี้ยประชุม ตามมาตรา 40 (2) โดยยอมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 40 แต่จะหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ทั้งสองประเภทดังกล่าวรวมกันได้ไม่เกิน 60,000 บาท โดยมิได้กำหนดหลักเกณฑ์และรายละเอียดเป็นการบังคับว่าต้องหักจากเงินได้พึง ประเมินประเภทใด ในสัดส่วนเท่าใด หรือต้องถัวเฉลี่ยกันอย่างไร ดังนี้ จึงหาใช่ว่า กรณีมีเงินได้พึงประเมินทั้งสองประเภทจะต้องถัวเฉลี่ยกันดังที่จำเลยเข้าใจและยึดเป็นแนวปฏิบัติไม่
       
       เมื่อกฎหมายเปิดช่องไว้เช่นนี้ จึงเท่ากับมอบอำนาจในการตัดสินใจให้แก่ผู้มีเงินได้พึงประเมินว่า ควรเลือกหักค่าใช้จ่ายในเงินได้ประเภทใด อย่างไร ในกรณีที่ผู้นั้นมีเงินได้พึงประเมินที่อาจหักค่าใช้จ่ายได้ทั้งสองประเภท ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการบรรเทาภาระภาษีตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในส่วนนี้ ดังเช่น กรณีที่โจทก์เลือกหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ตามมาตรา 40 (1) เต็มจำนวน 60,000 บาท ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 42 ทวิ วรรคหนึ่ง เพียงประเภทเดียว ไม่ประสงค์จะหักค่าใช้จ่ายตามสิทธิจากเงินได้ในมาตรา 40 (2) ซึ่งสามีโจทก์มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีในส่วน เงินได้พึงประเมินของโจทก์ผู้เป็นภริยาตามความในมาตรา 57 ตรี
       
       ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงชอบ แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
       
       พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 200 บาท แทนโจทก์
       

       ( ธนพจน์ อารยลักษณ์ – ทองหล่อ โฉมงาม – โนรี จันทร์ทร องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา)
       
       จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เห็นชัดว่า การประเมินเรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา มีปัญหาในข้อกฎหมายเช่นเดียวกันจึงควรให้ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดเพื่อเป็นบรรทัดฐาน แม้ว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะวินิจฉัยว่า บุคคลทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นแทน พ.ต.ท.ทักษิณและพจมานก็ตาม แต่ประมวลรัษฎากรมาตรา 61 ก็ให้อำนาจกรมสรรพากรในการจัดเก็บภาษีจากบุคคลที่มีชื่ออยู่ในหนังสือสำคัญซึ่งแสดงว่า เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่มีเงินได้
       
       การที่ผู้บริหารกรมสรรพากรด่วนสรุปไม่ยอมยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาทั้งๆที่เป็นเงินกว่า 11,000 บาท แต่เงินแค่ 235 บาทกลับยื่นอุทธรณ์แบบเอาเป็นเอาตาย ทำให้สงสัยว่า มุ่งเอื้อประโยชน์ให้แก่ครอบครัวชินวัตรหรือไม่

 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #330 เมื่อ: 01 กันยายน 2554, 16:48:05 »

คงต้องรีบโพสต์ แล้วละครับ
พอเขาตั้งเป็นสมาคมได้ผมก็หมดสิทธ์โพสต์
เพราะไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกสมาคม
ต้องถูกอัปเปหิไปจาก เวบ สมาคมแน่ๆ


ระบบอุปถัมภ์ของสังคมไทยกับระบอบทักษิณ

แก้วสรร อติโพธิ



รูปนายกฯปู พบประชาชนรูปนี้ แรกเห็นในเว๊บไซต์ผมก็ตกใจนึกว่าชาวบ้านกำลังเข้าเฝ้ายกมือไหว้เจ้านาย แต่ดูดีๆก็เป็นแค่นั่งพับเพียบแล้วปรบมือต้อนรับนายกฯปู เท่านั้น เพราะเห็นพวกข้าราชการยืนปรบมือผสมโรงอยู่ข้างๆด้วย สังเกตได้ดังนี้แล้วก็เบาใจไปเปลาะหนึ่ง เหลือแต่ความอางขนางเท่านั้นว่าทำไมหัวหน้าพรรคแดงที่อ้างว่าจะกอบกู้ประชาธิปไตย ถึงยอมพบประชาชนในลักษณะยืนค้ำหัวอย่างนี้ได้

เริ่มตั้งคำถามอย่างนี้แล้ว ผมก็เลยต้องถามต่อไปอีกว่าแล้วทำไม

ชาวบ้านเหล่านี้เขาถึงยอมนั่งฟังกันอย่างนี้ได้ ถ้าเป็นชาวเมืองคงไม่ยอมนั่งอย่างนี้เป็นแน่ ลึกลงไปในรูปนี้มันมีความจริงทางวัฒนธรรมความนึกคิดอะไรที่แฝงฝังอยู่ ก็เป็นข้อที่ผมขอสืบค้นมาเสนอ ดังต่อไปนี้

ระบบอุปถัมภ์

สังคมไทยถูกสิงสู่ด้วยระบบอุปถัมภ์มาเนิ่นนาน ผู้คนมีความเป็น

ปัจเจกต่ำติดพวกติดเหล่าติดสี รวมอยู่ด้วยกันด้วยการพึ่งพาอาศัยและบุญคุณจนนักวิชาการฝรั่งเห็นว่าเป็นสังคมที่มีโครงสร้างหลวมมากๆ เหมือนก้อนกรวดที่มากองอยู่ด้วยกันเฉยๆเท่านั้นเอง

ระบบอุปถัมภ์อย่างนี้เป็นดินอุดมของวัฒนธรรมอำนาจนิยม เพราะ

ผู้คนมีตัวตนอ่อนแอยืนหยัดเป็นเสรีชนที่เข้มแข็งไม่ได้ ความคิดเรื่องสัญญาประชาคม ว่าราษฎรทุกคนเป็นเสรีชนที่นำประโยชน์สาธารณะมามอบให้รัฐดูแล จนรัฐต้องเป็นเพียงผู้จัดการ เป็นเพียงดาวพระเคราะห์ที่รับแสงไปจากประชาชนผู้เป็นดาวฤกษ์ไปทำงานในกรอบรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเรื่องที่เข้าไปในจิตใจและวิญญาณของคนไทยได้ยากยิ่ง แม้จนปัจจุบัน

ระบอบทักษิณ๑( ๒๕๔๔ – ๒๕๔๙) : แปลงผู้นำระบบอุปถัมภ์เป็นร้าน 7/11

คุณทักษิณเคยหลงเชื่อพยายามจะตั้งพรรคการเมืองตามความคิดใหม่อยู่ระยะหนึ่ง แต่ก็มาได้คิดแล้วหันมาตั้งพรรคไทยรักไทยแบบร้าน 7/11 คือกว้านนักการเมืองผู้กว้างขวางโดยโครงสร้างระบบอุปถัมภ์ท้องถิ่นที่มีอยู่แล้ว เข้ามาเปิดเป็นเครือข่ายพรรคในพื้นที่ โดยพรรคจะอุดหนุนสินค้านโยบาย กระสุนและการตลาดอย่างเต็มพิกัด จนบรรดาผู้กว้างขวางผู้มีทำเลทางการเมืองอยู่ในพื้นที่ พากันยอมตนมาเปิดสาขาอย่างมากมาย ทำลายระบบค้าขายลงทุนทางการเมือง ประเภทยี่ปั๊วะ ซาปั๊ว บวกร้านโชว์ห่วย ในท้องถิ่นต่างๆของภาคเหนือและอีสาณอย่างราบคาบไปโดยลำดับ จนได้รัฐบาลทักษิณ ๒ ที่ยึดเสียงข้างมากเด็ดขาดในปี ๒๕๔๘-๔๙ ในที่สุด

นอกจากยุทธศาสตร์การตลาดที่เข้ายึดโครงข่ายระบบอุปถัมภ์มาเป็นสาขาได้อย่างชาญฉลาดแล้ว ในแง่ฝ่ายผลิตหรือการออกนโยบายต่างๆนั้น ก็เปิดศักราชของขวัญประชานิยม ตรงเข้าสู๋รากหญ้าอย่างแทงใจดำทั้ง โครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน โอท๊อป บ้านเอื้ออาทร ทั้งหมดนี้ ล้วนประเคนเข้าสู่ตลาดการเมือง ท่ามกลางกระแสตอบรับที่ล้นหลามยิ่ง

ระบอบทักษิณ ๒ (๒๕๕๐-๒๕๕๔/๑) :
แปลงระบบอุปถัมภ์เป็นมวลชน หลังรัฐประหาร คมช. โครงข่าย 7/11 ของระบอบทักษิณยังคงดำรงอยู่ และโชว์ยอดขายอย่างล้นหลามในการเลือกตั้งปี ๒๕๕๐ จนได้อำนาจรัฐด้วยรัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย ที่ต้องเผชิญกับการขับไล่ของเสื้อเหลืองและคดีความจนพ้นจากอำนาจรัฐบาลปี ๒๕๕๒ การต่อสู้ของระบอบทักษิณจึงได้เพิ่มนวตกรรมทางมวลชนปฏิวัติ สร้างขบวนการต่อสู้สีแดง เปิดการต่อสู้ทางจิตวิทยาการเมือง หลอมผู้คนมาเป็นกำลังเคลื่อนไหวทั้งในเมืองและในชนบทขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขบวนการมวลชนแดงที่ว่านี้ ไม่ต้องอาศัยธงชาตินิยมหรือกรรมาชีพอะไรมาชี้นำ อาศัยแต่โครงสร้างระบบอุปถัมภ์ที่มีอยู่แล้วในสังคมรากหญ้าทั้งในเมืองและในชนบทมาเป็นฐาน โดยสอดใส่ความเกลียดชังหมู่ด้วยวาทะกรรมไพร่ –อำมาตย์, กระจายตัวปรากฏตัวทั้งโดยการจัดตั้งในชุมชน โดยเคเบิ้ลทีวี ทีวีดาวเทียมและวิทยุชุมชน แล้วป้อนซ้ำด้วยความเคลื่อนไหวต่อสู้ที่ต่อเนื่อง มีคุณ

ทักษิณปรากฏตัวให้เห็นผ่านจอเป็นผู้นำ พร้อมผู้ตามที่สวามิภักดิ์ให้มวลชนดูอยู่ตลอดเวลา ผ่านไปไม่กี่ปีก็เกิดเป็นตัวเป็นตนให้เห็น ประกอบเป็นกำลังทำลายการประชุมอาเซียน และยึดราชประสงค์ได้ถึงสองครั้งสองครา

ถึงตรงนี้ก็น่าจะเห็นกันแล้วว่า คุณทักษิณมีความสามารถในการหยิบ

ยืมทั้งความคิดและขบวนการผู้คนที่มีอยู่หลากหลายในสังคมไทย มาใช้ได้อย่างชำนิชำนาญยิ่ง ทั้งการตลาดของธุรกิจทุนนิยมใหม่, ทั้งการพัฒนาชนบทดูแลรากหญ้าของกระแสเอ็นจีโอ, จนมาล่าสุดก็คือเทคนิคการจัดตั้งมวลชนของ พคท.ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้พรรคการเมืองดั้งเดิมกลายเป็นยาหมดอายุไปโดยลำดับ

ระบอบทักษิณ ๓ ( ๒๕๕๔/๒ - ) : อุปถัมภ์สุดขั้ว

สินค้าประชานิยมของระบอบทักษิณในยุคนายกฯปู นี้ มีลักษณะใหม่ที่ต่างจากยุคแรกเป็นบางประการ กล่าวคือ

๑. ขับเน้นคำสัญญาที่แทงใจดำเพื่อดึงคะแนนนิยมให้กว้างและแรงที่สุด ทั้งในเมืองและชนบท ทั้งเยาวชนและผู้ใหญ่ โดยไม่ต้องสนใจการบริหารจัดการและผลกระทบใดๆ ทั้งเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ๓๐๐ บาท,เงินเดือนปริญญาตรี ๑๕,๐๐๐ บาท,จำนำข้าว ๑๕,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ บาท, น้ำมันราคาถูกเฉียบพลันโดยเลิกกองทุนน้ำมัน,ยกเว้นภาษีบ้านหลังแรก- รถยนต์คันแรก, พักหนี้เกษตรกรทั่วประเทศ

๒. ป้อนความรู้สึกทันสมัยและเสมอภาคให้ชาวนาหรือผู้ปกครอง โดยบัตรเครดิตชาวนา บัตรเครดิตวินมอร์เตอร์ไซค์และคอมพิวเตอร์นักเรียน

๓. เลิกนำเสนอเรื่องการปฏิรูปคุณภาพในระยะยาว ทั้งความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตไทย หรือคุณภาพการศึกษา

๔. วินัยการคลังเลิกคิด เลิกเป้าหมายงบประมาณสมดุล หรือเพดานเงินเฟ้อ เพิ่มความสามารถในการกู้ยืมหรือลงทุน โดยอาศัยหลักประกันจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ที่กองอยู่เต็มธนาคารชาติ

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นประชานิยมที่คุณทักษิณจัดให้ใน พศ.นี้อย่าง

สุดแรงเกิด ซึ่งก็ต่างจากสมัยระบอบทักษิณ ๑ เป็นอย่างมาก เพราะทุ่มเทตั้งหน้าตั้งตาหาคะแนนเสียงให้มากที่สุดจนมีลักษณะกระหืดกระหอบ คิดไปทำไป ปรึกษาไป แก้ไขไป พลิกไปเรื่อยๆ ในปัจจุบันกาลเท่านั้น อนาคตประเทศโดยรวมเป็นอย่างไรไม่ต้องพูด อย่างที่เห็นได้ชัดขึ้นทุกทีๆแล้ว

น่าติดตามในเชิงวิชาการเป็นอย่างยิ่งว่าในเป้าหมายประชานิยม

ที่กำหนดไว้สูงส่งเร่งรัดครอบคลุมทุกภาคส่วนด้วยการนำจากนอกประเทศที่นำได้จำกัดอย่างนี้ ระบอบทักษิณจะสามารถอาศัยสรรพนวัตกรรมของทุนนิยมใหม่,มวลชนปฏิวัติ และเอ็นจีโอ มาพัฒนาระบบอุปถัมภ์ของสังคมไทยจนเป็นระบบอำนาจที่เข้มแข็งยั่งยืนได้หรือไม่

สำหรับเราคนไทยเองนั้น ก็น่าจะหวังง่ายๆตามประสาว่า “ ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ประเทศไทยไม่พัง” เท่านั้น ก็น่าจะพอแก่สายพันธุ์ของตนแล้ว

.....................................


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #331 เมื่อ: 02 กันยายน 2554, 11:27:36 »

โทรในพิ้นที่เดียวกัน


 จอร์จ บุช กัดดาฟี และทักษิณ ตายไปและไปสู่นรก ขณะที่ยมทูตนำพวกเขาผ่านนรก จอร์จ บุช มองเห็นโทรศัพท์สีแดงเครื่องหนึ่งวางอยู่
        เลยถามยมทูตว่า "มันคืออะไร"
        ยมทูตตอบว่า "เป็นโทรศัพท์โทรไปยังโลก"
         
        จอร์จ บุชเลยขอโทรไปยังอเมริกา ใช้เวลา 30 นาที
        ยมทูตแจ้งค่าใช้จ่ายว่า"ทั้งหมด 1 ล้านเหรียญ" บุช เลยเขียนเช็คและส่งให้ยมทูต
         
        จากนั้นกัดดาฟีขอโทรไปลิเบียบ้างโดยใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง
        ยมทูตแจ้งค่าโทรทั้งหมด 2 ล้านเหรียญ กัดดาฟีเขียนเช็คแล้วจ่ายยมทูตไป
         
        สุดท้ายเป็นทักษิณ ขอโทรไปที่เมืองไทยบ้าง ใช้เวลาโทรทั้งสิ้น 4 ชั่วโมง แล้วถามยมทูตว่า "ทั้งหมดเท่าไหร่"
        ยมทูตตอบว่า" 5 เหรียญ"
         
        จอร์จ บุชได้ยินจึงโมโหมากตะโกนถามยมทูตว่า "อั๊วโทรแค่ 30 นาทีลื้อคิดอั๊วตั้ง 1 ล้านเหรียญ แล้งไอ้ทักษิณมันโทรตั้ง 4 ชั่วโมงทำไมคิดแค่ 5 เหรียญ".
        ยมทูตรีบอธิบายว่า "คืออย่างนี้ท่านบุช ตอนนี้น้องสาวทักษิณขึ้นเป็นนายกแล้ว ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นนรก เลยคิดค่าโทรในอัตราภายในพื้ นที่เดียวกันนะ".

     
     
     
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
nok15
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 529

« ตอบ #332 เมื่อ: 04 กันยายน 2554, 07:08:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 02 กันยายน 2554, 11:27:36
โทรในพิ้นที่เดียวกัน


 จอร์จ บุช กัดดาฟี และทักษิณ ตายไปและไปสู่นรก ขณะที่ยมทูตนำพวกเขาผ่านนรก จอร์จ บุช มองเห็นโทรศัพท์สีแดงเครื่องหนึ่งวางอยู่
        เลยถามยมทูตว่า "มันคืออะไร"
        ยมทูตตอบว่า "เป็นโทรศัพท์โทรไปยังโลก"
         
        จอร์จ บุชเลยขอโทรไปยังอเมริกา ใช้เวลา 30 นาที
        ยมทูตแจ้งค่าใช้จ่ายว่า"ทั้งหมด 1 ล้านเหรียญ" บุช เลยเขียนเช็คและส่งให้ยมทูต
         
        จากนั้นกัดดาฟีขอโทรไปลิเบียบ้างโดยใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง
        ยมทูตแจ้งค่าโทรทั้งหมด 2 ล้านเหรียญ กัดดาฟีเขียนเช็คแล้วจ่ายยมทูตไป
         
        สุดท้ายเป็นทักษิณ ขอโทรไปที่เมืองไทยบ้าง ใช้เวลาโทรทั้งสิ้น 4 ชั่วโมง แล้วถามยมทูตว่า "ทั้งหมดเท่าไหร่"
        ยมทูตตอบว่า" 5 เหรียญ"
         
        จอร์จ บุชได้ยินจึงโมโหมากตะโกนถามยมทูตว่า "อั๊วโทรแค่ 30 นาทีลื้อคิดอั๊วตั้ง 1 ล้านเหรียญ แล้งไอ้ทักษิณมันโทรตั้ง 4 ชั่วโมงทำไมคิดแค่ 5 เหรียญ".
        ยมทูตรีบอธิบายว่า "คืออย่างนี้ท่านบุช ตอนนี้น้องสาวทักษิณขึ้นเป็นนายกแล้ว ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นนรก เลยคิดค่าโทรในอัตราภายในพื้ นที่เดียวกันนะ".

     
     
     
               เค้าไม่ยอม
                             สวัสดีค่ะตะวัน
                             
                                     ตะแล้ม...ตะแล้ม..ตะแล้ม... เราคิดว่าค่าโทรน่าจะถูกกว่า๕เหรียญนะ
                                                    Nok-ja bye bye
                                                       
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #333 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2554, 11:23:38 »

สารพัดจ่อคิวเช็คบิล ‘ยิ่งลักษณ์’หลังน้ำลด! ‘นายทุน - คนรักแดง’จัดเต็มสะเทือนถึง ‘พี่แม้ว’
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์    20 ตุลาคม 2554 09:25 น.    

   
       ยิ่งลักษณ์หืดจับ โชวกึ๋นฝ่า 'วิกฤตน้ำท่วม' อดีตมือยุทธศาสตร์ ชี้ ยิ่งลักษณ์ มือไม่ถึงบริหารล้มเหลว ครม.ไร้น้ำยาแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เจ้าสำนักโพล ระบุ ศปภ.ฉุดคะแนนนิยม”ปูแดง” ฟาก นักรัฐศาสตร์ชี้ ลิ่วล้อ-เสื้อแดง ขยันทำงานช่วยแม้ว-การเมือง บั่นทอนภาวะรัฐบาล จับตา หลังน้ำลดสารพัดมรสุมรอถล่มรัฐบาล
       
       ภาวะผู้นำของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับการจัดการปัญหาน้ำท่วมที่ครั้งแล้วครั้งเล่าดูเหมือนจะบั่นทอนความเชื่อมั่นและศรัทธาของมวลชนอย่างมาก เมื่อปราการด่านต่างๆในการต้านทานมวลน้ำในแต่ละจังหวัดพังทลายในทุกที่ไม่ว่าจะเป็นสุโขทัย นครสวรรค์ สิงห์บุรี ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ ปทุมธานี ใกล้เคียงกรุงเทพมหานครมาทุกขณะ
       
       แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่ภาวะผู้นำของยิ่งลักษณ์ดูจะมีมากขึ้น ความร่วมมือกับกองทัพบกที่ดูเสมือนว่าจะเป็นกลไกหลักของรัฐบาลที่สามารถทำหน้าที่ได้ดีที่สุด ภาพความขัดแย้งกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ โอชา ผบ.ทบ.กับรัฐบาลจึงลดลงและแสดงถึงภาวะผู้นำที่พยายมแก้ไขวิกฤตสร้างสุดกำลัง
       
       แต่ต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้านี้ ยิ่งลักษณ์ได้จัดตั้งทีมคณะรัฐมนตรีดูแลรายภาคในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม แต่เมื่อถึงเวลาจริงบทบาทของรัฐมนตรีหลายคนกลับไม่ดีนัก แต่กลับมีการจดจำในสายตาประชาชนส่วนใหญ่จากจินตภาพของความล้มเหลวและไม่ประทับใจประชาชนอย่างสูง ดังกรณีของปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานฝ่ายปฏิบัติการของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม (ศปภ.) ที่สร้างความแตกตื่นและสับสนต่อประชาชนที่รับข้อมูลในแทบทุกครั้ง
       
       จนส่งผลให้การทำวิจัยเชิงสำรวจ ของ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบคโพล์ ) เรื่อง เสียงสะท้อนของชาวบ้านต่อข้อมูลข่าวน้ำท่วมจากการแถลงของรัฐบาล กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนที่ติดตามชมการแถลงข่าวของ ศปภ. ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 415 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 17 - 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.3 สับสนกับข้อมูลข่าวน้ำท่วมที่ได้รับจาก ศปภ. และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.2 ไม่วางใจ ไม่เชื่อถือต่อการให้ข้อมูลข่าวน้ำท่วมจาก ศปภ. โดยร้อยละ 73.4 อยากฟังข้อมูลสถานการณ์น้ำท่วมจากกลุ่มคน หรือ หน่วยงานที่ทำงานในพื้นที่มากกว่า ทีมงานโฆษกของ ศปภ.
       
       และเมื่อให้คะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยต่อการให้ข้อมูลข่าวน้ำท่วมของ ศปภ. ด้านต่างๆ โดยภาพรวมได้เพียง 3.36 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน และที่น่าเป็นห่วงคือ คะแนนพอใจเฉลี่ยต่อระบบการแจ้งเตือนประชาชนโดยรัฐบาลได้เพียง 3.08 คะแนนเท่านั้น จึงนับได้ว่าการทำงานของศปภ.สอบตกอย่างสิ้นเชิงจากการแก้วิกฤตในครั้งนี้
       
       ‘ยิ่งลักษณ์’คะแนนนิยม
       ล่วงกราวรูด
       
       ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) มองว่ าภาพความไม่เชื่อมั่นของประชาชนในตัวของผู้นำอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ย่อมยึดโยงกับฝีมือของศปภ.อย่างแยกกันไม่ได้ ซึ่งปัญหาเฉพาะหน้าที่ศปภ.ยังคงทำหน้าที่ไม่ได้นัก โดยเฉพาะการแจ้งประกาศเตือนภัยที่ประชาชนไม่มีความพอใจ และถือว่าจะบั่นทอนคะแนนนิยมของรัฐบาลงอย่างแน่นอน
       
       แต่หากพิจารณาในภาพรวม หากมีการทำผลสำรวจแม้ว่าในภาพกว้างอาจจะมองได้ว่า ยังคงให้โอกาสยิ่งลักษณ์ ในการแก้ไข ปัญหาแต่ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นนครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี ลพบุรี ปทุมธานี และพื้นที่สุ่มเสี่ยงในนนทบุรี ฉะเชิงเทรา และกรุงเทพมหานคร รวมไปถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยย่อมมีความเชื่อมั่นที่ลดน้อยลง
       
       "ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยพยุงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ให้กู้คืนความเชื่อมั่น ยังคงอยู่ที่ศปภ.ว่าจะยังสามารถทำหน้าที่ได้ดีหรือไม่ แก้ไขปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน หรืออย่างน้อยคือการให้ข้อมูลและสื่อสารที่ชัดเจนจะยังพอช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้บ้างแต่หากทำไม่ได้คะแนนนิยมและความเชื่อมั่นจะยิ่งลดน้อยลง" ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพล ระบุ
       
       บททดสอบ
       นายกฯมือใหม่หัดขับ
       
       ด้วยเหตุนี้ จึงต้องจับตามองไปว่า อนาคตทางการเมืองของยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลจะยังคงมีเหลือหรือไม่ เมื่อต้องพบกับบททดสอบครั้งสำคัญทั้งในทางการเมืองและความอยู่รอดของประเทศชาติ ซึ่งเมื่อมองถึงการเข้าสู่สนามการเมืองด้วยระยะเวลากว่า 49 วันในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และแม้ว่าจะมีความเชี่ยวชาญในฐานะนักธุรกิจในภาคเอกชน แต่ความเป็นมือใหม่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ยังไม่เข้าใจ และมีประสบการณ์มากพอในการจัดการทำงานของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนข้าราชการในกระทรวงต่างๆ ปัญหาในทางการเมืองและการแก้ไขปัญหาวิกฤตอุทกภัยจึงเป็นเรื่องใหม่ และด้วยระบบข้าราชการที่ถือว่ายิ่งลักษณ์ยังด้อยประสบการณ์ จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับนายกรัฐมนตรีมือใหม่ผู้นี้
       
       "การมีพื้นฐานทางการเมืองที่ดี ธุรกิจที่ดีแต่ประสบการณ์ทางการเมือง ทำให้ความเข้าใจฝีมือของรัฐมนตรี การจัดวางบุคลากรที่เชี่ยวชาญในแต่ละสายงาน จึงยังไม่อาจมองได้เฉียบขาดมากพอ ทุกสิ่งคือประสบการณ์และการเรียนรู้แทบทั้งสิ้น " วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าว
       
       ดังนั้น จากนี้ไป สังคมไทยที่ให้โอกาสนายกคนใหม่ ซึ่งขณะนี้วิกฤตที่ใหญ่ทีสุดคืออุทกภัยซึ่งถือว่าควรจะเป็นวาระเร่งด่วนของชาติ ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์การบริหารในฐานะนายกรัฐมนตรี และความผิดพลาดที่เกิดขึ้น จะนำไปสู่การเรียนรู้และปรับตัวเพื่อรับมือพิบัติภัยที่จะเกิดขึ้นอีก ซึ่งหากมีการเกิดขึ้นซ้ำในพื้นที่อื่นๆ มากขึ้นย่อมบั่นทอนเสถียรภาพของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างแน่นอน
       
       ปู ไร้ฝีมือ บริหาร
       “ผิดฝา-ผิดตัว”
       
       ขณะที่แหล่งข่าวอดีตทีมที่ปรึกษารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระบุว่า อุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่าเกิดขึ้นจากภาวะผู้นำที่ยังมีความอ่อนด้อยประสบการณ์ทางการเมืองในหลายๆด้าน โดยเฉพาะปัญหาการบริหารจัดการที่เกิด แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังคงให้โอกาส เนื่องจากเป็นพิบัติภัยที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติมิได้มีการตั้งรับมาก่อน และเมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปจะต้องสืบหาสาเหตุของปัญหาก็จะพบว่าความไม่เชี่ยวชาญของคนในรัฐบาลมีผลต่อการบริหารจัดการน้ำ
       
       "กรณีของคุณปลอดประสพมากล่าวยอมรับผิดในการประเมินสถานการณ์น้ำท่วม หรือคุณกิตติรัตน์ รองนายกที่ควรจะดูงานบูรณาการในภาพรวม ก็ลงไปดูบางนิคมอุตสาหกรรมจนถูกตั้งคำถาม เหตุเหล่านี้ได้สร้างความไม่มั่นใจของประชาชนต่อรัฐบาลและคุณยิ่งลักษณ์ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ"
       
       แต่เมื่อพิจารณาตามลำดับเหตุการณ์ จะพบว่า รัฐบาลขาดทีมในการประเมินสถานการณ์ที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการจัดลำดับความสำคัญของปัญหาซึ่งเมื่อพื้นที่ภาคเหนือประสบปัญหาอุทกภัย ยังคงไม่ถูกจัดไว้เป็นวาระเร่งด่วน ซึ่งเมื่อมีการจัดตั้งหน่วยงานศปภ.ขึ้นมาภายหลัง ก็ยังมีปัญหาในเรื่องของคณะทำงาน และการจัดสรรงานที่ไม่เป็นระบบและไม่สามารถทำงานในภาวะฉุกเฉินได้
       
       หลายหน่วยงานที่ควรจะอยู่ในฐานะเจ้าภาพจึงอยู่นอกสายการบริหารจัดการปัญหาดังกล่าว ทั้งหน่วยงานหลักอย่างกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีกรมบรรเทาสาธารณภัย และสามารถสั่งตรงไปยังพื้นที่ต่างๆผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอตลอดจนองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) และองค์การบริการส่วนตำบล ไปจนถึงกระทรวงอื่นๆที่สามารถทำงานได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ทั้งก.เกษตรฯ ก.คมนาคมที่ควรเข้ามามีบทบาทในระบบขนส่งในพื้นที่ต่างๆ หรือก.อุตสาหกรรม ไปจนถึงก.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
       
       แหล่งข่าวคนเดิม บอกอีกว่า ปัญหาส่วนหนึ่งใน การมีผู้นำประเทศที่ยังขาดประสบการณ์ โดยเฉพาะเมื่อเจอกับภัยพิบัติครั้งสำคัญ จึงยากที่จะประเมินสถานการณ์ และเตรียมการป้องกัน บรรเทาและฟื้นฟูปัญหาได้อย่างตรงจุด รวมไปถึงคณะรัฐมนตรีที่ยังคงเป็นปัญหาในฐานะเครื่องมือการทำงานของรัฐบาลที่ รัฐมนตรีในหลายส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกับมีบทบาทที่น้อยมากทั้งในฐานะคณะรัฐมนตรี หรือศปภ. อาทิ รมว.พลังงาน ซึ่งควบคุมการดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ควบคุมเขื่อนโดยตรง รมว.ไอซีที ที่สามารถใช้การสื่อสารช่วยในพื้นที่ประสบภัยได้ รมว.สาธารณสุขไปจนถึงรมว.พาณิชย์ ที่ในแง่ของการช่วยเหลือด้านสุขพภาพก็ยังไม่ดีนัก
       

       "การมือนายกมือใหม่ที่ขาดประสบการณ์ การจัดสรรทีมงานในภาวะวิกฤตจึงเป็นเรื่องสำคัญ และยังมีปัญหาในหลายส่วน จากนี้ไปจึงต้องมองไปยังการจัดเก็บข้อมูลในการจัดทำแผนเยียยวยาที่ถูกต้องต่อไป "
       
       ด้วยเหตุนี้ ในสายตาของอดีตมือยุทธศาสตร์ของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย จึงมองว่า ผลงานของศปภ.และคณะรัฐมนตรีที่ยังมีจุดบกพร่องอย่างมาก สุดท้ายหากยังไม่สามารถจัดการปัญหาได้หรือมีนโยบายที่ดีพอในอนาคตจนเกิดเหตุซ้ำหรือการจัดทำงบประมาณที่ไม่ตรงจุดก็จะยิ่งสร้างผลกระทบต่อรัฐบาลมากขึ้น
       
       วัดใจ ยิ่งลักษณ์
       “ช่วยแม้ว - ชาวบ้าน”
       
       นอกจากนี้ ยังมีกรณีของการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของศปภ.ที่นำโดยยิ่งลักษณ์ แม้ว่าจะมีความพยายามระดมมันสมองและสรรพกำลังอย่างสูง แต่ก็ยังไม่อาจลืมไปได้ว่า บรรดาบุคคลใกล้ชิดที่ยังเน้นการเดินเกมในทางการเมืองก็ยังถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก
       
       ทั้งในฝ่ายของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อและแกนนำคนเสื้อแดงเดินทางไปเปิดหมู่บานเสื้อแดงเพิ่มขึ้นในโมงยามของการสลายสีสลายขั้ว ตลอดจนการเดินหน้าหวังแก้ไขพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551ของ ธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานนปช.ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เองก็สนับสนุนแนวทางดังกล่าวอย่างชัดเจน
       
       รวมไปถึงการเดินทางเข้าประเทศไทยของ โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณที่หวังเข้ามาขอข้อมูลในการตรวจสอบความสูญเสียของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 91 ศพ รวมถึงสนับสนุนแนวทางการแก้ไขกฎหมายและนิรโทษกรรมของกลุ่มนิติราษฎร์ด้วย ไปจนถึงการแต่งตั้งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ที่ขณะนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงษ์ รักษาการผบ.ตร.อยู่เพื่อให้ขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการเสียที
       
       การมุ่งเน้นเดินเกมในทางการเมืองของบรรดาคนใกล้ชิดของรัฐบาลซึ่งมีความเกี่ยวพันทั้งกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาลและย่อมเกี่ยวพันกับพ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกจับตาว่า การมุ่งเน้นผลทางการเมืองในขณะนี้จะถูกมองไปที่ยิ่งลักษณ์โดยตรงถึงการตัดสินใจของผู้นำที่จะเลือกเดินเกมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองหรือผลประโยชน์ชาติโดยโฟกัสที่การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างจริงจัง โดยประชาชนจะเริ่มมองเห็นถึงการวัดใจว่ายิ่งลักษณ์ให้ความสำคัญเช่นไรต่อปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศ
       
       "พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้านกำลังสอนให้รัฐบาลเห็นว่า ต้องทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชนก่อนที่จะเน้นในเกมการเมืองซึ่งศปภ.ยังคงทำงานได้ดีในระดับหนึ่ง แต่บุคคลใกล้ชิดที่ล้วนแล้วแต่เดินหน้าเพื่อมุ่งหวังความได้เปรียบทางการเมืองก็จะนำพาความสั่นคลอนมายังรัฐบาล "
       
       ปราม ‘เสื้อแดง’
       ไม่ได้สูญภาวะผู้นำ
       
       ดังนั้น เมื่อบรรดาคนใกล้ชิดยังคงเดินหน้าและหวังแก้ไขปัญหาในทางการเมือง หากยิ่งลักษณ์ไม่สามารถที่จะปรับจุดโฟกัสให้กับคนในรัฐบาลหรือ คนในพรรคและบรรดาคนเสื้อแดงที่อยู่ภายใต้อาณัติได้ ก็เท่ากับว่า ในจุดแรก รัฐบาลชุดนี้ยังคงให้ความสำคัญกับการทำงานเพื่อคนบางกลุ่มหรือหวังผลประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น หรือมองลงไปในสายการบริหารก็จะสะท้อนให้เห็นว่า ยิ่งลักษณ์มิได้มีอำนาจเพียงพอที่จะสั่งชะลอ ห้ามปราม หรือ อำนาจที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ที่ยิ่งลักษณ์นั่นเอง
       
       “หากรัฐบาลตัดสินใจที่จะเดิน 2 ขา คือแก้ปัญหาน้ำท่วม และมุ่งชิงความได้เปรียบในทางการเมืองหรือช่วยคุณทักษิณ ก็จะยิ่งถูกมองว่า ภาวะความเป็นผู้นำและสิทธิขาดในการสั่งการ หรือประนีประนอมกลุ่มต่างๆที่สนับสนุนรัฐบาลไม่สามารถที่จะทำได้ ถือเป็น ผลกระทบที่สะท้อนกลับมายังภาวะผู้นำของยิ่งลักษณ์โดยตรง”
       
       ดังนั้น ประเด็นสำคัญที่รัฐบาลควรตะหนักก็คือ ภาพของความเป็นเอกภาพที่รัฐบาลยังไม่สามารถจัดการได้ ทั้งกรณีเกาเหลาระหว่าง ศปภ.และ ผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร รวมไปถึงการจัดการกับบทบาทและหน้าที่ที่ทับซ้อนของแต่ละหน่วยงานที่หลายหน่วยงานกลับมีบทบาทน้อยกว่าที่ควรจะเป็นทั้ง กรมชลประทาน กระทรวงมหาดไทย กรมบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ว่าราชการจังหวัดและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ซึ่งยังมีบทบาทน้อยเกินไปในการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้แม้ว่าจะมีความเชี่ยวชาญและเข้าใจพื้นที่สูงมากก็ตาม ซึ่งการจัดวางคณะบุคคลในศปภ.ก็ยังพบว่ามีหลายฝ่ายที่ถือว่าขาดความเชี่ยวชาญ ซ้ำร้ายยังคงสร้างปัญหาให้กับประชาชนด้วยซ้ำ
       
       ป้อง น้ำท่วมใต้ - อีสาน ได้หรือไม่
       
       นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่ต้องรอการแก้ไขอย่างเร่งด่วนไม่แพ้กัน ก็คือ ปัญหาอุทกภัยที่ใกล้เคียงกันนี้ กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในพื้นที่ภาคอีสานและภาคใต้ หากรัฐบาลยังไม่สามารถป้องกันได้ หรือมีมาตรการรับมือที่ดีเพียงพอก็จะสะท้อนความล้มเหลวของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาของประเทศไทยได้
       
       รวมไปถึงการกำหนดนโยบาย และยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาอุทกภัย หรือ พิบัติภัยที่เกิดขึ้น เนื่องจากถือเป็นการวัดฝีมือวัดกึ๋นของรัฐบาลชุดนี้ได้อย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งที่จะเห็นเป็นรูปธรรมก็คือ แผนเยียวยาผู้ประสบภัย แผนยุทธศาสตร์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในอนาคต รวมถึงการจัดวางผังเมืองและโครงการในการแก้ปัญหาด้านน้ำในอนาคต ซึ่งครั้งนี้จะเป็นผลงานที่จะชี้ให้เห็นเอกลักษณ์หรือภาพที่ประชาชนจะจำได้ต่อนายกรัฐมนตรีผู้นี้
       
       "ในบางพื้นที่ ถือว่ามีฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยอยู่ ก็จะช่วยเอื้อให้การแก้ไขปัญหาทำได้ดี แต่ในภาคอีสาน และภาคใต้ที่กำลังจะเกิดขึ้นถ้าไม่มีมาตรการที่ดี หรือมีความรุนแรงยิ่งกว่าในภาคกลางรัฐบาลย่อมกระทบอย่างแน่นอน "
       
       น้ำลดโกงอื้อ - เยียวยาเฉพาะกลุ่ม
       
       ขณะเดียวกันหลังน้ำลดก็จะเกิดประเด็นปัญหาสำหรับรัฐบาลตามมา โดยเฉพาะมาตรการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ที่ผู้ประกอบการ ประชาชนทั่วไปและเกษตรกรที่เสียหายมหาศาล หากได้รับเงินช่วยเหลือ เงินชดเชย ไม่เป็นพอใจก็จะกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลไม่น้อย โดยเฉพาะประเด็น ความเหลื่อมล้ำระหว่างนายทุน-เกษตรกร ที่ถือว่าเป็นจุดขายของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยในการหาเสียงและจัดทำนโยบาย หากทำไม่ดีย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อรัฐบาลเช่นกัน
       
       “เงินที่จะเยียวยา มีโอกาสจะเกิดการคอร์รัปชัน รัฐบาลจะต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ”
       
       รวมไปถึงการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างฝ่ายค้านและรัฐบาล เนื่องเพราะความผิดพลาดในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้ จะถูกนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นบททดสอบครั้งใหญ่เช่นกันที่ ยิ่งลักษณ์จะต้องเผชิญ
       
       ปชป.เดินเกมการเมืองเป็น
       
       อย่างไรก็ดี การเน้นเล่นเกมการเมืองจนมากเกินไป ดังที่พลพรรคคนเสื้อแดงกำลังเดินอยู่หากมองไปยังคู่แข่งทางการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งลงพื้นที่และเข้าประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีที่ศปภ.ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ล้วนแต่เป็นภาพที่ประชาชนจับตามองทั้งสิ้น
       
       “คุณทักษิณต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี ซึ่งจะสะท้อนถึงความเป็นห่วงต่อประเทศชาติ ที่ควรกระทำเช่นเลือกที่จะว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ มาช่วยรับมือภัยพิบัติครั้งนี้ ดีกว่าให้ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายอย่างอัมเตอร์ดัมส์เข้ามาแก้ปัญหาในทางการเมือง ซึ่งยิ่งสะท้อนถึงผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ชาติ ซึ่งต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่เน้นโจมตีและมุ่งช่วยเหลือประชาชนจึงได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น” วรรณธรรม ระบุ
       
       ฝ่ายที่สร้างคะแนนนิยมและสร้างความเชื่อมั่นได้ดี คือ พรรคประชาธิปัตย์ขณะที่แนวร่วมของรัฐบาลดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ที่สร้างปัญหาให้กับรัฐบาลมากกว่า
       
       ด้วยเหตุนี้ สถานะรัฐบาลจึงอยู่ในอาการคางเหลือง ท่ามกลางพายุฝนที่ถล่มเข้ามาอย่างหนัก และหากนำไปสู่วิกฤตศรัทธาต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์เมื่อใดเก้าอี้นายกฯหญิง “ยิ่งลักษณ์” และ ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งพลพรรคคนเสื้อแดง พร้อมพรรคเพื่อไทยอาจสั่นคลอนและอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างคาดไม่ถึงย่อมเป็นไปได้!!

   
      

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #334 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2554, 20:01:25 »


อ.จุฬาฯ โวยลูกศิษย์ถูกบังคับใส่เสื้อแดงช่วยน้ำท่วม

 วานนี้ (20 ต.ค.) รศ.ดร.ทวีวงศ์ ศรีบุรี กรรมการผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในรายการคมชัดลึก ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเนชั่นแชนแนล โดยในตอนหนึ่งกล่าวถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพมหานครว่า ต้องคุยกันให้ชัดว่าจะทำอย่างไร วิธีปฏิบัติจะเป็นอย่างไร เพราะเหนือรังสิตขึ้นไปไม่ได้อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสามารถคุยกันได้หรือไม่ และรัฐบาลควรที่จะเป็นคนเข้าไปประสาน คุยกันว่าอย่างไรเสียน้ำก็จะเข้ามาทางนี้ ก็ต้องยอมรับ แต่ว่าการตัดสินใจแต่ละครั้งเรารู้อยู่แล้วว่าจะเกิดความเสียหาย ก็อาจจะต้องมีการสัญญาว่าจะชดเชยอย่างไร แต่ในขณะนี้ประชาชนไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องข้อมูลน้ำที่จะเข้าท่วม ตรงนี้ทำอย่างไรที่จะให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นได้จริง อย่างไรก็ตาม คนกรุงเทพฯ เองตอนนี้จะสังเกตได้ว่าในเมื่อคนอื่นเดือดร้อน แล้วคนกรุงเทพฯ ก็จะเข้าไปช่วยกัน แต่คนที่ไปช่วยก็เจอปัญหาแล้ว
       
       “พอเราจะส่งเด็กเราเข้าไปทำงาน เขาบอกว่า ให้ใส่เสื้อสีแดงเข้ามา แค่นี้ก็ต้องเรียกเด็กกลับแล้ว อันนี้คือเหตุการณ์ที่เราเจอวันนี้นะครับ นี่คือคำถามที่ถามว่า เราต้องการจะไปช่วยเขา เวลาเขาเดือดร้อน แต่พอเจอเวลาถ้าจะเข้ามาก็ต้องใส่เสื้อสีแดงมาด้วย มันหมายความว่าไง มันเป็นวิกฤตซึ่งเรากำลังจะเข้าไปช่วย แต่เขาพูดแค่คำนี้ออกมาเราก็บอกไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว มันเหมือนถูกแบ่งชั้นวรรณะ แล้วพวกเราจะทำยังไงกันล่ะ ในเมื่อคนเรายังไม่ยอมรับซึ่งกันและกันเลย เป็นอุปสรรคซึ่งรัฐบาลจะต้องมองตรงนี้ แล้วเข้าไปเคลียร์ตรงนี้ให้ได้ มีนโยบายจะเอาอย่างไร ความช่วยเหลือจะเข้ามาอย่างไร จะเอาใครมาช่วย แล้วจะช่วยได้แค่ไหน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาก บอกได้เลยว่าคนที่ตั้งใจจะช่วยเขาถอยมาหมดแล้วตรงนี้ ซึ่งมันไม่น่าจะเกิดอันนี้” รศ.ดร.ทวีวงศ์ กล่าว
       
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #335 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2554, 18:59:44 »

เอาอยู่ค้าาา ทำงานไม่เป็นค้าาา ไม่ได้โง่นะค้า
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    22 ตุลาคม 2554 06:08 น.    


      
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ไม่ว่าจะมีการแก้ข่าว ทั้งผ่านผลโพลจากค่ายเอแบคหรือผ่านสื่อที่เชียร์อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แต่ความและข้อเท็จจริงก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะ ณ วันนี้ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ก็ยังคงเป็น “ศูนย์ประจานภูมิปัญญาปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยขวัญใจคนเสื้อแดงวันยังค่ำ
       
       เพราะการทำงานของ ศปภ.และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ในการบริหารจัดการมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษของประเทศไทยที่มีคนไทยได้รับความเดือดร้อนหลายล้านคนและทำให้เศรษฐกิจของประเทศพินาศหลายแสนล้านบาท ยังคงสะเปะสะปะและคงไว้ซึ่ง “ความห่วยแตก” อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
       
       กระทั่งเอแบคโพลเจ้าเดิมที่เคยเชลียร์โดยไม่ลืมหูลืมตาด้วยการให้คะแนนปู-ยิ่งลักษณ์ 9 เต็ม 10 ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมต้องรีบแจ้นออกมาเปิดเผยผลโพลฉบับใหม่ภายในระยะเวลา 2 วัน ด้วยการให้คะแนน ศปภ. 3.36 เต็ม 10 คะแนน ยิ่งเมื่อเห็นอากัปกิริยาระรื่นและระรี้ระริกเกินงามในขณะที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปรับมอบไฟฉายและเสื้อชูชีพจากหลานสาว-น.ส.พินทองทา ชินวัตรและว่าที่หลายเขย-นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ด้วยแล้ว ยิ่งบาดลึกเข้าไปในหัวใจของผู้ประสบภัยยิ่งนัก
       
       นี่ไม่นับรวมถึงภาพที่โพสต์กันว่อนสังคมออนไลน์ที่นายกรัฐมนตรีคนสวยสวมใส่รองเท้าบูตลายสก็อตสุดไฮโซยี่ห้อ "เบอร์เบอร์รี่(Burberry)" จากอังกฤษคู่ละแค่หมื่นเศษๆ กรีดกรายราวกับเดินอยู่บนแคตวอล์กขณะลงตรวจพื้นที่น้ำท่วมที่จังหวัดนนทบุรีเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ไม่ว่าใครเห็นก็ยิ่งอเนจอนาถที่ประเทศไทยต้องทนอยู่กับผู้นำประเทศเยี่ยงนี้ไปอย่างไม่มีความหวัง
       
       ประเทศชาติกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ประชาชนต้องทนทุกข์กันค่อนประเทศ แต่นายกรัฐมนตรีของไทยไม่เพียงคำนึงเสื้อผ้าหน้าผมเท่านั้น หากยังมีแก่ใจงัดรองเท้าคู่สวยมาใส่ให้ช้ำใจประชาชีอีกต่างหาก
       
       คำนิยามที่ชัดเจนที่สุดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็คือ ข้อความที่“หนูดี-วนิษา เรซ” ที่โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ @nudi_vanessa ว่า “ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้...น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”
       
       ** ทำงานไม่เป็นค่ะ ไขปริศนาต้นเหตุวิกฤตน้ำท่วม
       
       ความไม่เอาอ่าวของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินและการบริหารจัดการน้ำท่วมได้สะท้อนออกมาให้ประชาชนเห็นเป็นระยะๆ โดยนายกรัฐมนตรีทำตัวลอยไปลอยมาเหมือนเดินอยู่บนแคตวอล์ก โดยไม่ได้อนาทรร้อนใจกับปัญหา วันๆ ดีแต่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจการณ์น้ำท่วม โดยที่ไม่รู้ขึ้นไปทำพระแสงของ้าวอะไร หรือเกิดประโยชน์อะไรกับชาติบ้านเมืองบ้าง
       
       สิ่งที่คนไทยได้ยินจากปากนายกฯ ปูจนคุ้นหูทุกเมื่อเชื่อวันก็อย่างเช่น “เอาอยู่ค่ะ” จากนั้นก็ตามต่อด้วย “เสียใจค่ะ” และเมื่อถูกจี้ถามหนักเข้าถึงความไม่น่าเชื่อถือของ ศปภ. นายกฯ ปูก็ทำได้เพียงแค่ “ขอความเห็นใจค่ะ” และ “ขอความกรุณา” กระทั่งทำให้ประชาชนหมดความเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรีไปเรียบร้อยแล้ว
       
       ทั้งนี้ กาลเวลาที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์สอบตกชนิดที่ไม่มีโอกาสแก้ตัวได้เลย เพราะสถานการณ์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า นายกฯยิ่งลักษณ์และคณะรัฐมนตรีไม่รู้จักน้ำ ไม่มีข้อมูลเรื่องน้ำ และประเมินข้อมูลน้ำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว น้ำท่วมประเทศไทยมานานร่วม 3 เดือน
       
       “ขอความกรุณาดิฉัน อาจไม่สามารถให้ข้อมูลสื่อมวลชนได้ครบ เพราะเกรงว่า การสื่อสารในมุมที่มองจากความรู้สึกส่วนตัว หรือจากการสัมผัสจะทำให้ประชาชน ขาดความมั่นใจและไขว้เขว อันนี้ขอความกรุณา ดิฉันคงไม่สามารถให้ข้อมูลตรงนี้ได้ จะขอให้ข้อมูลที่เป็นทางการเท่านั้น”
       
       นั่นคือคำตอบจากปากของนายกรัฐมนตรี
       
       แถมเมื่อตรวจสอบความทุ่มเทในการทำงานก็ยิ่งปวดจี๊ดเข้ามาในหัวสมองทันทีเพราะนับตั้งแต่จัดตั้ง ศปภ.นายกรัฐมนตรีจะเข้ามาทำงานที่ ศปภ.ในเวลาประมาณ 09.00 น. หากไม่มีกำหนดการข้างนอกก็จะอยู่ที่ ศปภ.ทั้งวัน ส่วนขากลับนายกรัฐมนตรีจะออกจาก ศปภ.ในเวลา 19.00 น. โดยเวลาดึกที่สุดที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับคือ 21.30 น. ซึ่งมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
       
       ส่วนรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลแต่ละองค์ก็ดูเหมือนจะเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เพราะนอกจากหน้าใหม่ ทำงานไม่เป็น แล้วยังขาดภาวะผู้นำอีกต่างหาก รายที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่ควบทั้งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ชื่อ “นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง” เพราะนอกจากจะแสดงความอ่อนแอและความอ่อนปวกเปียกด้วยการร้องไห้พร้อมโอบกอดนักลงทุนญี่ปุ่นเมื่อคราวทราบข่าวนิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้าหรือไฮเทคจมน้ำแล้ว ล่าสุดนายกิตติรัตน์ยังออกอาการ “แต๋วแตกแหกชิมิ” เมื่อทราบข่าวนิคมอุตสาหกรรมนวนครแตกอีกต่างหาก
       
       กล่าวคือ ขณะที่เดอะโต้งกำลังประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เพื่อหามาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมและประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่นั้น เมื่อมีรายงานด่วนเข้ามาในที่ประชุมว่า น้ำได้ทะลักเข้านวนครแล้ว นายกิตติรัตน์ถึงกับออกอาการหน้าเสีย ตกใจ พร้อมสั่งยุติการประชุมทันที และตบท้ายระหว่างประชุมคณะรัฐมนตรี เดอะโต้งก็คว้ารางวัลออสการ์มาครองด้วยน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาเมื่อรับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
       
       และที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ นายปลอดประสพเจ้าเก่าที่เกิดไอเดียพิสดารด้วยการสั่งให้ “ป๋าเอี้ยง” นายดำรง พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช มือขวาของ “ยุทธ ตู้เย็น” ตัดไม้ไผ่จากป่ามาต่อเป็นแพจำนวน 10,000 แพเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วมได้ใช้สัญจรแทนเรือไฟเบอร์ที่ขาดตลาด หลังจากประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่าน้ำในหลายพื้นที่อาจท่วมขังโดยเฉพาะบริเวณทุ่งนา นานนับเดือนหลังจากนี้
       
       คนที่เป็นเสนาบดีของประเทศไทยคิดได้แค่นี้เองหรือ

       
       ขณะที่เสนาบดีกระทรวงที่ควบคุมน้ำอย่าง “นายธีระ วงศ์สมุทร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ก็ตกอยู่ในภาวะน้ำท่วมปาก เนื่องเพราะถูกผู้มีบารมีตัวจริงอย่าง “นายบรรหาร ศิลปอาชา” ควบคุมอำนาจในการบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จเพื่อปกป้องฐานเสียงของตัวเองให้รอดพ้นจากภาวะน้ำท่วม
       
       ถามว่า การผันน้ำลงสู่แม่น้ำท่าจีนในขณะนี้เป็นไปได้กี่มากน้อย ก็ไม่มีใครตอบได้ เพราะน้ำต้องผ่านจังหวัดสุพรรณบุรี
       
       ซ้ำร้ายยังมีรายงานยืนยันด้วยว่า ความไม่ไว้วางใจมังกรสุพรรณกำลังทวีความรุนแรงขึ้น เพราะได้มีการสั่งการในทางลับให้ติดตั้งกล้อง CCTV เพื่อตรวจสอบการระบายน้ำลงแม่น้ำท่าจีน หลังจากที่ตรวจพบว่า การระบายน้ำลงท่าจีนไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้
       
       ถามว่า ทำไมกรมชลประทานถึงไม่ผันน้ำลงสู่ “แม่น้ำแม่กลอง” เพื่อให้ออกอ่าวไทย
       
       คำตอบก็ยังคงเป็นคำตอบเดิมคือ เพราะน้ำต้องผ่านจังหวัดสุพรรณบุรี

       
       ขณะที่การบริหารจัดการน้ำฝั่งตะวันออก รัฐบาลก็บอดใบ้เช่นกัน เนื่องเพราะกริ่งเกรงอิทธิพลของ ส.ส.และนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นหัวคะแนนของตนเองและอาวุธปืนในมือของเหล่านักการเมืองท้องถิ่นที่บีบบังคับไม่ให้เจ้าหน้าที่ทำงาน จนไม่สามารถระบายน้ำได้ ดังเช่นที่ “วีระ วงศ์แสงนาค” ที่ปรึกษากรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกมายืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว นายกฯ ยิ่งลักษณ์ถึงกล้าตัดสินใจสั่ง “นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไปเคลียร์ การให้เปิดประตูระบายน้ำจึงเกิดขึ้นได้
       
       “ความสามารถจริงของคลองแถบตะวันออกนั้น สามารถระบายน้ำได้มากถึงวัน 100 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่เอาเข้าจริงแล้วด้วยการปิดประตูระบายน้ำแบบเห็นแก่ตัว ทำให้ทุกวันนี้ระบายน้ำได้อย่างมากที่สุดก็ 80 ลูกบาศก์เมตรต่อวันเท่านั้น”อุเทน ชาติภิญโญ ในฐานะประธานคณะกรรมการผันน้ำออกสู่ทะเลด้านตะวันออกให้ข้อมูล
       
       และนั่นคือต้นเหตุของการบริหารจัดการน้ำอันผิดพลาดที่ทำให้มวลน้ำก้อนใหญ่ยังคงวนเวียนโดยที่ไม่ได้ผันออกสู่ทะเลเสียที
       
       **โปรดฟังอีกครั้ง ศปภ.=ศูนย์ประจานภูมิปัญญาปู
       
       ยิ่งในศูนย์ประจานภูมิปัญญาปูคือ ศปภ.ที่ด้วยแล้วยิ่งเต็มไปด้วยความอ่อนด้อยประสิทธิภาพในการทำงาน
       
       ต่างคนต่างก็แย่งชิงการนำ ต่างคนต่างก็ออกมาให้ข้อมูลประชาชนอย่างสะเปะสะปะและสร้างความโกลาหลให้กับประชาชนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
       
       ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่าภายหลังจะมีคนคิดชื่อใหม่ให้กับ ศปภ. นอกจากศูนย์ประจานภูมิปัญญาปูแล้วก็มีอย่างเช่น ศูนย์ปั่นป่วนประชาชนทั่วทุกภูมิภาค เป็นต้น
       
       ไม่ใช่แค่เพียง “นายปลอดประสพ สุรัสวดี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ผู้คนก่นด่าทั้งบ้านทั้งเมือง ความเฟอะฟะยังลามไปถึงผู้อำนวยการศูนย์และโฆษกศูนย์ ศปภ.ที่ไปคนละทิศละทาง แถมยังกลับไปกลับมาจนประชาชนเกิดความสับสน
       
       หากยังจำกันได้ เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ศปภ.แถลงข่าวอย่างมั่นใจว่า นิคมอุตสาหกรรมนวนคร รอดจากภัยพิบัติอย่างแน่นอนเนื่องจากได้ผันน้ำลงเจ้าพระยาเรียบร้อยแล้ว และในช่วงสายของวันเดียวกัน นายกรัฐมนตรีก็ออกมาตอกย้ำสร้างความมั่นใจยิ่งขึ้นว่า แผนการรับมือน้ำท่วมสามารถปกป้องนิคมนวนครได้
       
       แต่อย่างไรก็ดี เพียงชั่วข้ามคืนข้อมูลที่นายกฯ และ ศปภ.กล่าวมาก่อนหน้านี้ ได้ถูกหักล้างอย่างสิ้นเชิง เมื่อ นายวิม รุ่งวัฒนจินดา โฆษกฯ ศปภ. อ้างว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการ ศปภ.ได้ออกประกาศขอให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร จ.ปทุมธานี และพื้นที่โดยรอบอพยพออกจากพื้นที่เป็นการด่วน เนื่องจากขณะนี้น้ำได้เริ่มไหลเข้าท่วมและเพิ่มระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
       แต่หลังจากคำประกาศอพยพของทีมโฆษก ศปภ.ไม่นานนัก เมื่อพล.ต.อ.ประชา เดินทางกลับจากตรวจนิคมฯนวนคร ก็ให้สัมภาษณ์ไปคนละเรื่อง แถมยังยืนยันด้วยว่า สามารถรับสถานการณ์ได้แต่ให้ประชาชนเตรียมการขนของขึ้นที่สูง
       
       จากนั้น เมื่อเกิดความสับสนในข้อมูลแพร่ออกไป และพล.ต.อ.ประชาตัดสินใจที่จะแถลงข่าว  แต่ปรากฏว่านายวิมได้ดึงตัว พล.ต.อ.ประชาไปคุยเพื่อทำความเข้าใจกับข้อมูลที่แถลงออกไป สุดท้าย พล.ต.อ.ประชาปฏิเสธที่จะแถลงข่าว โดยบอกเพียงว่ามอบให้เป็นหน้าที่ของโฆษก ศปภ. จากนั้นได้เดินเข้าสู่ห้องประชุมด้านในทันที
       
       ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ทำได้แค่แสดงความเสียใจต่อความพินาศของนวนครเท่านั้น
       
                     อีกทั้งในวันที่ 16 ต.ค. “นายธีระ วงศ์สมุทร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกมาแถลงการณ์อย่างเป็นทางการและเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรก โดยประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “มวลน้ำปริมาณใหญ่ที่สุดนั้นได้ผ่าน กทม.ออกทะเลไปแล้ว ประชาชนจึงสบายใจได้ เพราะระดับน้ำสูงสุดที่สะพานพุทธเมื่อเช้าวันที่ 15 ต.ค.อยู่ที่ 2.29 เมตร ซึ่งต่ำกว่าที่กรมชลประทานคาดไว้หนึ่งเซนติเมตร” แต่อยู่ดีๆ กลับมาขอเรืออีก 75,000 ลำ ให้ช่วยกันผลักดันน้ำลงสู่ทะเล นอกจากนี้ยังปรับแผนจากการเข้าแก้ไขและช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นวางระบบให้ประชาชนอยู่กับน้ำได้
       
       ตดยังไม่ทันหายเหม็น นวนครก็พินาศไปกับสายน้ำ
       แหล่งข่าวจากศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) กล่าวว่า หลังจากเปิดศูนย์ฯ ขึ้นมา เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย พบว่า มีการส่งข้อมูลเพื่อแจ้งสถานการณ์ เข้ามาจำนวนมาก แต่เมื่อมาถึงที่ศูนย์ฯ กลับไม่ได้การจัดการอย่างเป็นระบบ ทำให้บางครั้งเกิดความสับสน ในการนำเสนอข้อมูล
       
       ทั้งนี้ ยังมีบางข้อมูลที่เป็นการแจ้งเตือนจากคนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยเข้ามา แต่กลับไม่ได้รับการตรวจสอบ เนื่องจากข้อมูลมีจำนวนมาก และ ศปภ.ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโดยตรง อีกทั้งบางคนยังมองว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง จึงไม่ใส่ใจ ซึ่งตรงนี้ มองว่ายังเป็นปัญหาที่ ศปภ. ต้องจัดการแก้ไขโดยเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นปัญหาลุกลามได้       
       
       “ที่ผ่านมา ข้อมูลไม่มี ไม่ใช่ปัญหาของ ศปภ.เพราะมีข้อมูลจากแต่ละแหล่งเข้ามาเยอะมาก นับหมื่นๆ ข้อมูล แต่ภายในไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ บางเรื่องมีคนแจ้งเข้ามา มีข้อมูลอยู่ตรงหน้า แต่ก็ถูกวางไว้เฉยๆ ไม่เอามาใช้ เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง” แหล่งข่าวกล่าว
       
       ข้อมูลสำคัญที่ประชาชนคนไทยผู้เสียภาษีต้องทราบก็คือ ณ บัดนี้ ศปภ.ใช้งบประมาณไปแล้ว 1,700 ล้านบาทในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม จากงบประมาณที่ครม.อนุมัติให้ 2,000 ล้านบาท โดยที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดกับประเทศชาติและประชาชนไทยเลยแม้แต่น้อย
       
       ซ้ำร้ายเมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ครม.ยิ่งลักษณ์ก็อนุมัติงบเพิ่มเติมให้ ศปภ.อีก 1,500 ล้านบาท
       
       ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ ภายในศูนย์ประจานภูมิปัญญาปูก็เต็มไปด้วย “แกนนำคนเสื้อแดง” ที่เข้าไปชี้นิ้วสั่งการกันอย่างเอิกเกริกจนกลายเป็น “ศูนย์รวมสารพัดแดง” โดยที่มิได้มีความรู้ความสามารถในเรื่องการบริหารจัดการน้ำแต่อย่างใด(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน .ศปภ. "ศูนย์รวมเสื้อแดง” “เอาปัญญาชนไปขนกระสอบทราย เอา......ไปวางแผน”)
       
       “ข้ออ่อนด้อยสำคัญในขณะนี้ก็คือ ในประเทศไทยมีหน่วยงานที่จัดการเรื่องน้ำถึง 8 หน่วยงาน แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นประเด็นเฉพาะสำหรับประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นประเด็นในแทบทุกประเทศในภูมิภาคนี้ที่ได้เผชิญกับน้ำท่วม นั่นคือขาดกรอบการทำงานที่กว้างขวางที่จะจัดการน้ำ”โนลีน เฮเยอร์ เลขาธิการคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมประจำภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิกของสหประชาชาติ กล่าวแสดงความคิดเห็น
       
       เฉกเช่นเดียวกับ “นายเจน นำชัยศิริ” รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ที่ออกมาเปิดเผยหลังการหารือร่วมกับนางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการบีโอไอ นายเซ็ทซึโอะ อิอุจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น และนายเคียวอิจิ ทานาดะ ประธานหอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย(เจซีซีว่า) ภาคเอกชนเห็นว่า สถานการณ์ขณะนี้มีความจำเป็นที่รัฐบาลควรจะมีการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้แล้ว เพราะขณะนี้การประสานงาน รวมทั้งการให้ข้อมูลข่าวสารของ ศปภ.นั้น ไม่เป็นระบบที่ชัดเจน
       
       ทหารอากาศก็สั่งให้ขนย้ายเครื่องบินหนีแล้ว
       
       ทหารบกก็เตรียมการย้ายกองบัญชาการไปที่สโมสรกองทัพบก ถ.วิภาวดีรังสิตแล้ว
       
       ประชาชนตาดำ ๆ คงจะคาดเดาสถานการณ์ออกว่า หนักหนาสาหัสเพียงใดจากมวลน้ำก้อนมหาศาลอีกกว่า 1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรที่กำลังจะแปรสภาพเป็น “สึนามิน้ำจืด” ถล่มเมืองหลวงของประเทศไทย
       
      หมดเวลาสำหรับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในการดำรงนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว เพราะขืนให้อยู่แก้ปัญหาประเทศไทยหลังน้ำลด ซึ่งถือว่าหนักหนาสาหัสไม่น้อยกว่า ก็คงจะทำให้ประเทศชาติถอยหลังลงคลองหนักเข้าไปอีก

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #336 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2554, 22:07:56 »

ศปภ. "ศูนย์รวมเสื้อแดง” “เอาปัญญาชนไปขนกระสอบทราย เอา......ไปวางแผน”
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    22 ตุลาคม 2554 06:08 น

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แม้รัฐบาลจะตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือศปภ. มาได้ร่วมสามสัปดาห์แล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า ศปภ.จะกลายเป็น “ศูนย์ป่วนประชาชน” จากการปล่อยข่าวภัยพิบัติ จนสร้างความแตกตื่นสับสน ทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายไปทั่ว จน ศปภ. กลายเป็นศูนย์ “ไร้สติ” และเชื่อถือไม่ได้ในที่สุด
       
       กระทั่งได้ยินคำพูดที่สะท้อนออกมาจากความอึดอัดขัดข้องใจของผู้คนทั่วไปว่า “เอาปัญญาชนไปขนกระสอบทราย แต่เอา(....)ไปคุมศปภ.” !

       
       อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ย้ายฐานที่มั่นจากทำเนียบรัฐบาล มาตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง นัยว่าเพื่อให้ง่ายต่อการบัญชาการ และง่ายต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ จึงทำให้ภายในตัวอาคารท่าอากาศยานดอนเมืองเต็มไปด้วยส่วนงานราชการต่างๆ มากมาย และเมื่อรวมกับปริมาณเจ้าหน้าที่หลายพันชีวิต ก็ทำให้พื้นที่อันกว้างขวางของท่าอากาศยานดอนเมืองดูคับแคบไปถนัดตา
       
       แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า นอกจากเจ้าหน้าที่ที่ปักหลักทำงานกันตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ศปภ. ยังเป็นที่สิงสู่ของ "กลุ่มคนเสื้อแดง" ที่วนเวียนตามมาเชียร์ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ทุกวัน โดยกลุ่มคนเสื้อแดงที่แห่แหนกันเข้ามาใน ศปภ. ดอนเมืองแห่งนี้มีหลายกลุ่มหลายก้อน นับตั้งแต่ "แดงเจ้าถิ่น” ที่อาศัยอยู่บริเวณย่านดอนเมือง โดยแดงกลุ่มนี้มีหัวโจกใหญ่ชื่อ "การุณ โหสกุล" ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย คอยเดินกร่างคุมเกมตลอดทั้งวัน
       เรียกได้ว่าใครที่เป็น “คนเสื้อแดงบ้านเดียวกัน” เดือดร้อนอะไรเรียก “พี่เก่ง” ได้ทุกเมื่อ !
       นอกจากนี้ยังมี "กลุ่มคนเสื้อแดง" ที่วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากเดินเตร่ไปเตร่มาราวกับเดินเที่ยวตลาดนัดสวนจตุจักร บ้างก็เข้าไปวุ่นวายกับการทำงานของสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ บ้างก็เดินหยิบของบริจาคกินฟรีจนปากมันแผล็บ!

       
       และที่สำคัญได้ยินหลายคนบ่นกันมากว่า การที่จะเข้าไปใน ศปภ. นั้น ถ้าใส่เสื้อสีอื่นเข้าไปต้องมีการเข้มงวดกวดขันในการตรวจบัตร แต่หากใส่ “เสื้อแดง” ก็สามารถเดินตัวปลิวผ่านเข้าไปได้เลย เพราะมีสัญลักษณ์ “เสื้อแดง” เป็นใบเบิกทาง
       
       อย่างไรก็ตาม นอกจากกลุ่มคนเสื้อแดงที่เข้าไปเดินเพ่นพ่านเกะกะการทำงานของเจ้าหน้าที่อยู่เต็ม ศปภ. แล้ว ยังมีบรรดาหัวโจกคนเสื้อแดง ที่สลับหน้ากันมาบ้าง โดยเฉพาะ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ที่มาคอยทำหน้าที่สอดส่องความเรียบร้อยในส่วนของการแจกจ่ายข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล รวมถึงสื่อของรัฐ
       
       ขณะที่ทีมกุนซือใหญ่ "บ้านเลขที่ 111" อาทิ จาตุรนต์ ฉายแสง, ภูมิธรรม เวชยชัย, วราเทพ รัตนากร, สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ก็เดินป้วนเปี้ยนไม่ปกปิดว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทำงานของ ศปภ. จนเรียกได้ว่า ศปภ. เป็น "ศูนย์รวมคนเสื้อแดง” ก็ไม่ผิดนัก!
       
      แต่ที่หนักและน่าเกลียดเป็นที่สุด ก็คือ มีการร้องเรียนมายังสื่อมวลชนเป็นจำนวนมากว่ามีการ “กั๊ก” ของบริจาค โดยมีตัวแทน “ผู้มีอิทธิพล” ในพื้นที่เข้ามาคัดสรรให้พวกพ้อง “คนเสื้อแดง” ของตัวเองก่อน อีกทั้งการแจกจ่ายยังมีความซับซ้อน ไม่เป็นระบบ และไม่ทั่วถึง
       

       และว่ากันว่า เมื่อมีคนไปขอรับของบริจาค ก็จะมีผู้มีอิทธิพล (เก่งการถีบ) ใน ศปภ. มาถามว่า “คุณเป็นใคร มาจากไหน จะเอาของไปทำอะไร เป็นเสื้อเหลืองหรือเปล่า” ชาวบ้านที่มารอคอยความช่วยเหลือจริงๆ จึงได้แต่นั่งลุ้นตาปริบๆ โดยรัฐบาลไม่สนใจที่จะควบคุมพลพรรค “เสื้อแดง” ของตัวเองไม่ให้เหยียบย่ำซ้ำเติมความทุกข์ของชาวบ้านแต่อย่างใด
       

       หนำซ้ำยังตั้งทีมงาน “คนเสื้อแดง” มาทำหน้าที่มอนิเตอร์ข่าว และรวบรวมข้อมูลผ่านสื่อต่างๆ ตลอดทั้งหมด โดยมี “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” หัวโจกคนเสื้อแดง เป็นโปรดิวเซอร์หลักในการสั่งการหน้าจอ หลังจากที่ ศปภ. ออกมาให้ข่าว “มั่วๆ” จนทำให้เกิดความสับสน
       
       อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าการทำงานของรัฐบาลไม่ได้เป็นไปเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เพราะมีการมุ่งใช้ทีวีของรัฐ เช่น ช่อง 11 ทำโฆษณาชวนเชื่อให้แก่ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยที่สอบตก และหาเสียงให้นายกรัฐมนตรี โดยมีการจัดฉากให้เหมือนสถานการณ์ปกติและรัฐบาลสามารถแก้ปัญหาได้ เพื่อให้ประชาชนได้ชื่นชมนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังมีการจัดทำมิวสิกวิดีโอเพลงประกอบ “บ้านทรายทอง” ซึ่งเป็นการใช้เวลาของรัฐ ทีวีของรัฐ โฆษณาให้กับตัวเองเพื่อกลบเกลื่อนปัญหาและความไร้ประสิทธิภาพของตัวเอง ทั้งนี้ พบว่าหลายช่วงเวลา มี ส.ส. สอบตกของพรรคเพื่อไทยมาออกทีวีหน้าสลอน อาทิ แซม ยุรนันท์ และหมวดเจี๊ยบ สุนิสา เป็นต้น
       
      จนหลายคนทนไม่ไหวต้องออกมาสะท้อนความอึดอัดใจว่า “อยากให้รัฐบาลเลิกเล่นปาหี่ และพูดความจริงกับประชาชนเสียที”
       แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ ความเคลื่อนไหวของ “หัวโจกคนเสื้อแดง” อย่าง “จตุพร พรหมพันธุ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาจินตนาการว่า อุทกภัยครั้งนี้มีกลเกมทางการเมืองแทรกซ้อนอยู่ โดยกล่าวถึงการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมาว่า กองทัพไทยเป็นผู้ร้องขอดูแล 5 จังหวัด ประกอบด้วย นครสวรรค์ อยุธยา ลพบุรี นนทบุรี และปทุมธานี ซึ่ง น.ส.ยิ่ง ลักษณ์ ได้ประกาศสำนักนายกฯ แต่งตั้งขึ้นมา แต่ตนเห็นว่า กองทัพไม่ได้ทุ่มเทเครื่องจักร และสรรพกำลังออกมาอย่างเต็มที่ ทำให้ 5 จังหวัดดังกล่าวประสบภัยพิบัติอย่างรุนแรง
       

       "พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้รัฐบาลประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน มาใช้แก้ปัญหาน้ำท่วม เสมือนหนึ่งว่าเพื่อให้อำนาจกองทัพ เตรียมขนอาวุธยุทโธปกรณ์มารอตามจุดต่างๆ หวังยึดอำนาจ โค่นล้มรัฐบาล โดยเอาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเครื่องมือ ดังนั้น กองทัพต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสถานการณ์น้ำท่วมทั้ง 5 จังหวัดด้วย...
       
       “การขอประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินคิดอะไรอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องการเอากำลังทหารออกมาแล้วก็ไม่ยอมกลับไปตอนน้ำลด หลังจากนั้นถามว่าจะทำอะไรกับรัฐบาลแค่อ้าปากก็เห็นแล้วว่าคุณคิดชั่วกันอย่างไร”
       
       อยากถาม “น.ส.ยิ่งลักษณ์” ว่าพฤติกรรมอย่างนี้เป็นความพยายามให้ความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหา “น้ำท่วม” อย่างที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ “เสียงสั่น-น้ำตาคลอ” เรียกร้องให้ทุกฝ่ายคิดถึงผู้ประสบภัยหรือไม่... เลิกเล่นละครจะดีกว่าไหม ?
       
       เพราะไม่ว่าจะมองไปมุมไหนของพื้นที่น้ำท่วมก็เห็นแต่ “ทหาร” ทุกเหล่าทัพที่ช่วยประชาชนอย่างเต็มที่ ทำแบบไม่มีบ่น ไม่เห็นก็แต่ “แกนนำคนเสื้อแดง” นักต่อสู้เพื่อประชาชนผู้สูงส่งนั่นแหละ พอชาวบ้านเขาเดือดร้อนไม่รู้หายหัวไปมุดรูหางจุกตูดอยู่ที่โคกไหน
       
       ทั้งนี้ หลังจากคางคกพ่นน้ำลายเสร็จ มีข่าวว่าทีมงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวของนายกฯ ระบุว่า... “ผบ.ทบ.รายงานนายกฯว่ากองทัพได้ส่งทหาร 30,000 นายลงช่วยน้ำท่วม ช่วยเต็มที่ ยืนยันไม่มีการปฏิวัติ” มันก็แหงล่ะ งานล้นมือขนาดนี้ ทหารเขาจะเอาปัญญาที่ไหนไปปฏิวัติ
       
       แต่การปรากฏตัวของ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ในฐานะที่ปรึกษา ผอ.ศปภ. มันก็น่าคิด และทำให้หลายฝ่ายมองว่ามีนัยทางการเมืองอะไรบางอย่างหรือไม่ เนื่องจากมีรายงานว่า “ทักษิณ ชินวัตร” เริ่มไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ไม่สามารถบริหารจัดการปัญหาอุทกภัยได้และไม่มีความชัดเจนในการทำงานของรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง โดยทักษิณค่อนข้างผิดหวังกับการทำงานของรัฐบาลน้องสาวซึ่งไม่เหมือนกับการทำงานของรัฐมนตรีชุด “บ้านเลขที่ 111” จึงได้สั่งให้สมาชิกบ้าน 111 เข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาครั้งนี้ด่วน
       
       ซึ่งนั่นอาจเป็นที่มาของ “คุณหญิงสุดารัตน์” ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยใน กทม. ที่ถูกส่งตัวให้มาช่วยกอบกู้สถานการณ์(รัฐบาลยิ่งลักษณ์)ในครั้งนี้
       
       และด้วยความล้มเหลวที่เกิดขึ้นมันส่งผลถึงความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ลดลงอย่าง “ฮวบฮาบ” ในขณะเดียวกันภาพการเสียสละของ “ทหาร” ก็สร้างความประทับใจให้กับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นทุกๆ วัน และเมื่อสถานการณ์เริ่มถดถอยแบบนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ต้องปรับกลยุทธ์อย่างฉุกละหุก นั่นคือ เร่งเดินเกมรุกทันที
       
       โดยล่าสุด กับการออกมาให้สัมภาษณ์สื่อออสเตรเลียเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพุ่งเป้าโจมตีไปที่กองทัพ ส่งสัญญาณให้เร่งแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม เพื่อเปิดทางให้นักการเมืองเข้าไปล้วงลูกการโยกย้ายนายทหารได้สะดวก ขณะเดียวกันก็กล่าวหาว่ากองทัพเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย และผู้นำเสพติดอำนาจ
       
       แต่หากพิจารณาจากอารมณ์ของคนไทยในยามนี้ เห็นได้ชัดเจนว่า “เห็นใจทหาร” มากกว่า “รัฐบาล” ดังนั้นคำพูดของทักษิณในยามนี้จึงไม่น่าเป็นผลดีเท่าไหร่นัก แต่คนอย่างทักษิณ ย่อมรู้ดีว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติคราวนี้เหนือความคาดหมาย ไม่อาจสร้างภาพทางการตลาดตบตาได้อีกต่อไป และในอนาคตก็ยิ่งเลวร้ายสารพัดปัญหาจะถาโถมเข้ามาหลังน้ำลด
       
       ดังนั้น การส่งสัญญาณรุกเข้ามาในกองทัพโดยการแก้ พ.ร.บ.กลาโหม เพื่อรีบทำลายปราการด่านสุดท้ายที่ยังเหลือ โดยอาศัยเสียงข้างมากในสภาลากไป ประสานกับการส่งเสียงโวยวายในต่างประเทศเพื่อสร้างกระแส “รัฐประหาร” ในทางลบ แม้ว่าการทำแบบนี้จะเป็นความเสี่ยงสวนทางต่อความรู้สึกของคนไทยที่กำลังเดือดร้อนอยู่กับเรื่องน้ำท่วม แต่เพื่อความมั่นคงส่วนตัวและการรักษาอำนาจของครอบครัวเอาไว้ เสี่ยงยังไง “แม้ว” ก็ต้องทำ !

   
   

   

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #337 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2554, 10:40:19 »

Crisis Management แบบ Dante’s Peak หรือ ID 4

โดย : บุญชัย ปัณฑุรอัมพร

เหตุการณ์น้ำท่วมวิปโยคครั้งใหญ่ในบ้านเมืองเรา ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด 2 เรื่อง ที่เคยชมแล้วเมื่อกว่าสิบปีก่อน

ก่อนอื่น ผมต้องบอกก่อนว่า บทความนี้ได้ถูกเขียนขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554 วันที่เหตุการณ์น้ำท่วมวิปโยคครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ซึ่งช่างละม้ายคล้ายคลึงกับบทภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ด 2 เรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่า สิ่งที่เคยพบเห็นในภาพยนตร์เมื่อสิบกว่าปีก่อน วันนี้ได้กลายมาเป็นเรื่องจริง ที่พวกเราทั้งภาครัฐและผู้คนทั่วไป ต้องออกมาร่วมมือกันต่อสู้ เพื่อความอยู่รอดทั้งทางด้านชีวิต ทรัพย์สิน ตลอดจนการดำรงอยู่ต่อไปอย่างเป็นปกติสุขในอนาคต

Dante’s Peak แสดงนำโดย เพียร์ซ บรอสแนน และลินดา แฮมิลตัน เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แสดงถึงความโกลาหลของผู้คนในเมืองที่มีความสงบสุขมาช้านาน ด้วยความเป็นห่วงว่าภูเขาไฟจะระเบิดหรือไม่ จะช้าหรือเร็ว แต่ละระดับของผู้ปกครองท้องถิ่นในเมืองต่างก็ยังเป็นห่วงเรื่องของเศรษฐกิจ ธุรกิจต่างๆ การลงทุนใหม่ๆที่อยากให้มีความต่อเนื่อง ในขณะที่บางหน่วยงานกลับเป็นห่วงชีวิตและความปลอดภัยของผู้คนมากกว่า อยากจะบอกความจริง แต่ก็ยังคงไม่มั่นใจในข้อมูลต่างๆ ทำให้เกิดการถกเถียงกันด้วยข้อมูลที่มาจากต่างทิศทาง หลายหน่วยงานที่ทำงานผิดพลาด หละหลวม ไม่ยอมรับความจริง กลัวเสียหน้า ต่างก็โยนความผิดให้กัน กีดกันผู้ที่รู้จริงชำนาญจริงที่มีความสามารถ ไม่ให้เข้ามาช่วยเหลือด้วยกังวลเรื่องของการสูญเสียธุรกิจ อำนาจ รวมทั้งศักดิ์ศรี มีการแบ่งฝักแบ่ง ฝ่าย ไม่สามัคคีกัน ชาวบ้านได้รับข่าวสารสารพัด มีทั้งจริงและไม่จริง ถูกบ้างผิดบ้าง ข่าวลือก็มีทั้งสองด้าน การเตรียมตัวของผู้คนจึงมีทั้งสองด้าน ทั้งทางด้านตื่นตัวและด้านไม่ตื่นตัว สุดแล้วแต่ว่าใครจะเชื่อทางด้านไหน ในที่สุดภูเขาไฟเกิดปะทุและระเบิดขึ้นจริง ผู้คนที่เตรียมตัวดีก็ปลอดภัย ผู้ที่ประมาทก็สูญเสียชีวิต ผู้คนส่วนใหญ่หนีตายเอาตัวรอด ในขณะที่ผู้คนบางส่วนพยายามย้อนกลับเข้าไปช่วยผู้ที่อยู่ในเขตอันตรายที่เต็มไปด้วยลาวาที่พุ่งพวยออกมา 

คล้ายๆ กับเหตุการณ์ในบ้านเรา ด้วยความไม่เป็นเอกภาพในช่วงแรกของการแก้ปัญหาของทั้งภาครัฐ องค์กรต่างๆ จากหน่วยราชการ ข่าวสารต่างๆ ที่ยังไม่ตกตะกอน การให้ข้อมูลข่าวสารไปคนละทิศทางกระจายกันทั่วไปทางวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ รวมทั้งสื่อใน Social media ในรูปแบบต่างๆที่สื่อสารได้รวดเร็วยิ่งกว่าเหตุการณ์ในภาพยนตร์ ทำให้ผู้คนขาดทิศทางที่ชัดเจนเพื่อเตรียมตัวป้องกัน

ก่อนที่น้ำจะหลากไปในแต่ละพื้นที่ เป็นที่ถกเถียงกันว่าใครเป็นพวกตื่นตระหนกตกใจ ใครเป็นพวกใจเย็น ประมาท ชะล่าใจ อย่างกระต่ายตื่นตูมหรือกระต่ายแข่งกับเต่า วันนี้ หลายๆพื้นที่คงมีคำตอบกันแล้ว ไล่กันตั้งแต่ความสูญเสียรายบุคคล บ้านเรือน ไร่นา ห้างร้าน ตลอดจนโรงงานต่างๆในเขตนิคมอุตสาหกรรมใหญ่หลายแห่งที่จะมีผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจโดยรวม

Independence Day (ID 4) แสดงนำโดย วิลล์ สมิธ เจฟฟ์ โกลด์บลุม และบิลล์ พูลแมน เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงถึงความมีระบบการบริหารจัดการที่ดีในการต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวที่มาทำลายโลก ความสำเร็จของการต่อสู้ปกป้องโลกไม่ได้เกิดจากความสามารถของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ความสำเร็จในการแก้ปัญหาวิกฤตเฉพาะหน้าเกิดจากแต่ละคน แต่ละหน่วยงาน ที่มีความชำนาญเฉพาะเรื่องมาร่วมมือกัน มีการประสานงานที่ดีอย่างเป็นระบบ บทในภาพยนตร์แสดงให้เห็นว่าโลกจะไม่มีวันชนะมนุษย์ต่างดาวได้เลย ถ้าขาดนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถถอดรหัสที่คิดได้จากกระป๋องน้ำอัดลม ไม่มีวันชนะถ้าขาดนักบินผู้กล้าหาญและกองทัพฝูงบินที่ต้องช่วยกันเปิดทางให้เครื่องบินพิเศษบินเข้าใกล้จุดตายของศัตรู ไม่มีวันชนะถ้าขาดประธานาธิบดีที่เป็นนักพูด สร้างแรงจูงใจ สร้างศรัทธาและสร้างพลังให้ผู้คนออกมาร่วมต่อสู้ ตอนท้ายท่านผู้นำยังได้ขึ้นเครื่องบินออกรบเป็นขวัญและกำลังใจให้ผู้คนทั้งโลกด้วย และไม่มีวันชนะถ้าขาดคุณพ่อขี้เมาที่ดูเหมือนเป็นคนไร้ประโยชน์ ติดเหล้างอมแงม ยอมสละชีวิตขับเครื่องบินเข้าชนจุดยุทธศาสตร์ของ ยานแม่ของมนุษย์ต่างดาว

ความสามารถเล็กๆ น้อยๆ ของแต่ละคนที่ประกอบเข้าด้วยกัน ตลอดจนความเสียสละเพื่อส่วนรวม ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของการเปิดใจยอมรับซึ่งกันและกัน ฟังความเห็นและเสียงของทุกฝ่าย มีผู้นำในการตัดสินใจเลือกทางออกที่ดีที่สุด เป็นกระบอกเสียงเดียวที่พูดให้ผู้คนเชื่อมั่น ไม่สับสน  ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ฝ่ายที่เคยอยู่ตรงข้ามกันก็เข้ามาช่วยกัน ไม่หวังชื่อเสียง หน้าตา ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี ทุ่มเทแรงกายและใจในการปฏิบัติหน้าที่

ก็พอจะคล้ายๆ กับเหตุการณ์ในบ้านเมืองเราในขณะนี้เช่นกัน แค่ภาพของท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์และท่านอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ที่ร่วมมือกัน วิเคราะห์หาทางออกให้กับบ้านเมืองในวันนั้น ก็เป็นขวัญกำลังใจอันมหาศาลให้กับประชาชนทุกคน ภาพของท่านรองนายกฯ ร่ำไห้ กอดคอกับนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทแรงกายแรงใจของท่าน ใจหนึ่งก็ห่วงความปลอดภัยของลูกน้องที่ไปเสี่ยงภัย กับอีกใจหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องของเศรษฐกิจ ภาพของท่านผู้ว่า กทม.ที่ได้ขึ้นรถพร้อมกับทีมงานรัฐบาล แม้จะอยู่ต่างพรรคกัน ภาพของการประชุมที่หน่วยงานต่างๆได้เข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างขมักเขม้น ภาพของหน่วยงานทางทหารที่เข้ามา ช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งภาคเอกชนที่มีจิตอาสาเข้าช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อนกันเอง แม้ว่าจะทุลักทุเล ขาดๆเกินๆไปบ้าง แต่ก็แสดงถึงความมีน้ำใจของคนไทย ไม่ปล่อยให้รัฐบาลทำงานตามลำพัง
 แต่พวกเสื้อแดงออกมากีดกัน
หากใครจะเข้ามาช่วยต้องใส่เสื้อแดง ตามที่อจ.จุฬาออกมาเปิดเผย
(เพิ่มเติมโดยผู้โพสต์)

กระแสแห่งความสามัคคี ปรองดอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เหล่านี้ได้เริ่มปรากฏชัดเจนมากขึ้นทุกๆ วัน สร้างความหวังเล็กๆ ระหว่างกันและหวังว่าทางการน่าจะเริ่มเดินมาถูกทางมากยิ่งขึ้น สามารถรวมศูนย์และให้ข่าวได้ดีขึ้น อย่าให้ผู้คนมาสบประมาทว่าน้ำท่วมใหญ่ปีนี้เกิดจากการบริหารจัดการที่ล้มเหลวมากกว่าความรุนแรงจากภัยธรรมชาติ

เหตุการณ์ในวันนี้ จะยังคงเป็นอย่างเรื่องราวในภาพยนตร์ Dante’s Peak หรือจะสามารถจัดการให้เรียบร้อยได้อย่างเรื่องราวใน ภาพยนตร์ ID 4 ต้องรอดูน้ำที่จะมาอีกระลอกใหญ่ในช่วงปลายเดือน และขอภาวนาให้ทั้งภาครัฐและประชาชนไม่เป็นกระต่ายทั้งสองแบบ แต่เป็นกระต่ายที่มีสติอย่างไม่ประมาทเป็นดีที่สุด

ชมภาพยนตร์กระทบเหตุการณ์บ้านเมืองแล้ว คงพอจะนึกกันออกนะครับว่า เวลาเกิด Crisis ที่ไม่คาดคิดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนแล้ว จะต้อง manage กันอย่างไร
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #338 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2554, 11:26:31 »

สมาคมต้านโลกร้อนแนะปชช.ฟ้องรัฐสั่งการพลาดทำจมบาดาล
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 ตุลาคม 2554 12:20 น.    

      
สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนแนะประชาชนฟ้องศาลปกครองเรียกค่าเสียหายรัฐบาลและผู้สั่งการผิดพลาดในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมทำชาวบ้านจมบาดาล
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 ต.ค.) สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน โดย นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมฯ ออกแถลงการณ์เรื่อง เรื่อง หากประชาชนที่ถูกน้ำท่วมเห็นว่าได้รับความเดือดร้อนและเสียหายอันเนื่องมาจากคำสั่งและความผิดพลาดในการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อผู้สั่งการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้
       
       แถลงการณ์ระบุว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าวิกฤตการณ์ปัญหา “น้ำท่วม” ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางของประเทศ เกิดจากปัญหาที่หลายคนเชื่อว่าเป็นภัยตามธรรมชาติ ที่ไม่อาจป้องกันได้มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 54 ที่ผ่านมา แต่ระยะเวลากว่า 3 เดือนที่ผ่านมาน่าจะเป็นการเพียงพอแล้วสำหรับน้ำหนักของการใช้เป็นข้ออ้างว่าเป็น “อุบัติภัย” ที่ไม่อาจป้องกันแก้ไขได้ตามกฎหมาย
       
       บัดนี้ระยะเวลาก้าวผ่านเข้าเดือนที่ 4 แล้วรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐมีระยะเวลามากพอที่จะเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่ทว่าก็ยังไร้ความสามารถในการจัดการปัญหาให้กับประชาชนได้ ทำให้ประชาชนนับล้านคนได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย ซึ่งรัฐบาลก็แสดงให้เห็นถึงการขาดเอกภาพในการบริหารสั่งการ มีการให้ข่าวผ่านสื่อสารมวลชนอย่างสับสน โดยขาดข้อมูล ข้อเท็จจริง สร้างความโกลาหล และหวาดผวาไปทั่วทุกพื้นที่เสี่ยงภัย แทบทุกวัน ในขณะที่บางพื้นที่ยังไร้การเหลียวแลจากภาครัฐ
       
       ทั้งนี้การบริหารข้อมูลของรัฐบาลสับสน การสื่อสารกับประชาชนไม่มีประสิทธิภาพ วันนี้บอกอย่าง วันพรุ่งนี้บอกอีกอย่าง วันนี้บอกประชาชนว่าป้องกันแก้ไขปัญหาได้แล้ว อีกวันกลับออกมาบอกว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ พร้อมขอโทษขอโพยประชาชน โดยไม่หันมาพิจารณาตัวเองว่าไร้ประสิทธิภาพในการบริหารหรือไม่
       
       ปัจจุบันแม้รัฐบาลจะอ้างการใช้อำนาจสั่งการตามมาตรา 31 แห่ง พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ในฐานะเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา แต่หากในการปฏิบัติการตามหน้าที่ดังกล่าวได้สั่งการไป โดยขาดข้อมูลที่แท้จริง ก่อให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่ควรจะถูกน้ำท่วมจนสร้างความเดือดร้อนและเสียหายต่อชาวบ้านไปจนเกินสมควรแก่เหตุ ถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ผู้สั่งการย่อมมีความผิดและต้องรับผิดชอบต่อคำสั่งนั้น ๆ ทั้งทางแพ่งและทางอาญาด้วย
       
       ชาวบ้านหรือประชาชนท่านใด ครอบครัวใดที่ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายอันเนื่องมาจากคำสั่งของรัฐในการบริหารจัดการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐ หรือผู้ที่คิดว่าตนเองเสียหาย สามารถที่จะรวมตัวกันหรือแยกกันฟ้องรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อศาลปกครองได้ เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนต่อความเสียหายทางทรัพย์สินต่างๆ ได้สูงสุด ตามที่กฎหมายแพ่ง และกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยบัญญัติได้ เพราะการสั่งการใดๆ จำต้องมีความรับผิดชอบตามมาด้วย มิใช่เป็นการเอาชนะกันทางการเมืองเท่านั้น
       
       ผู้เดือดร้อนและเสียหายคนใดประสงค์จะร่วมฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากภาครัฐ
โปรดปริ๊นแบบฟอร์มหนังสือมอบอำนาจได้ที่ www.thaisgwa.com
เพื่อที่สมาคมฯจะได้เป็นผู้แทนดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนให้กับทุกท่าน ฟรี
โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ


   
      
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #339 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2554, 15:55:22 »

                                ที่พึ่งของประชาชนยามนี้‏



                                   ที่พึ่งของประชาชนยามนี้‏
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #340 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2554, 13:59:07 »

เก็บตกฉายา ศปภ. จากอินเตอร์เน็ทได้ดังนี้

ศปภ.=ศูนย์ปูสร้างภาพ
ศปภ.=ศูนย์ปกป้องภาพลักษณ์รัฐบาล
ศปภ.=ศูนย์ปัดสวะของภาครัฐ
ศปภ.=ศูนย์ทำเรื่องปั่นป่วนทุกภาคส่วน
ศปภ.=ศูนย์ประกาศภาษาต่างถิ่น (คนไทยฟังเลยไม่ค่อยเข้าใจ)
ศปภ.=ศูนย์ประชุมภัยลับ (จนไม่อาจเปิดเผยได้)
ศปภ.=ศูนย์ประจานภูมิปัญญาปู
ศปภ.= ศูนย์ปลอดประสบการณ์แก้ไขภัยพิบัติแห่งชาติ
ศปภ.= ศูนย์ไม่ประกันความปลอดภัยแห่งชาติ
ศปภ.= ศูนย์มั่วเป็นประจำและสร้างภาพแห่งชาติ
ศปภ.=ศูนย์ปปปสร้างภัย à ปปป = โป้(ประชา)ปด(ปลอดประสพ)มดเท็จ แต่บอกว่าเปล่า(ปู)
ศปภ.=ศูนย์ปูทะเลจัดการอุทกภัย
ศปภ.=ศูนย์ แปตอหลู(ผวน) แจ้งภัย
ศปภ.=ศูนย์สร้างปัญหาให้ภาคประชาชนและเอกชน
ศปภ.=ศูนย์สะเปะสะปะภัย
ศปภ.=ศูนย์ปกปิดข้อมูลภัยพิบัติ
ศปภ.=ศูนย์เปลี่ยนแปลงข้อมูลจน(กู)รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย
ศปภ.=ศูนย์เด็กเลี้ยงแกะประกาศภัยแห่งชาติ
ศปภ.=ศูนย์ปล่อยข่าวภัยพิบัติ
ศปภ.=ศูนย์สร้างความปั่นป่วนไปทุกภูมิภาค
ศปภ.=ศูนย์สร้างภาพลักษณ์และปกป้องบทบาทภาวะผู้นำ
ศปภ.=ศูนย์ปราศจากภัย
ศปภ.= ศูนย์ประเดิมภัณฑ์
ศปภ.=ศูนย์ปฏิบัติการก่อภัยแห่งชาติ
ศปภ.=ศูนย์ประกาศภัยมั่ว
ศปภ.=ศูนย์ชิงดีชิงเด่นเพื่อปฏิบัติการสร้างภาพ
ศปภ.=ศูนย์ประเมินสถานการณ์ตามภาพที่ฝันไว้
ศปภ.=ศูนย์ปั่นป่วนทั่วพิภพ

เก็บตกจบแล้วครับ

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
มีนา
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2515
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 1,865

« ตอบ #341 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2554, 14:04:57 »


อย่าเพิ่งจบเซ่...สืบต่ออีกนิดว่า ศปภ.จะย้ายไปชลบุรีรึป่าว
อุตส่าห์จองเป็น ศสต.นท.ก่อนแล้ว  เค้าไม่ยอม  เหนื่อย
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #342 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2554, 19:32:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ มีนา เมื่อ 24 ตุลาคม 2554, 14:04:57

อย่าเพิ่งจบเซ่...สืบต่ออีกนิดว่า ศปภ.จะย้ายไปชลบุรีรึป่าว
อุตส่าห์จองเป็น ศสต.นท.ก่อนแล้ว  เค้าไม่ยอม  เหนื่อย

คงไม่ย้ายหรอกครับ ชลบุรี
ถ้าถึงเวลา พวกนี้ต้องย้ายไป นอรอกอ  สถานเดียว ที่เหมาะสม กับพวกเขา
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #343 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2554, 20:17:37 »

Thaiflood โวย “แก๊งแดง” ป้ายสีเรี่ยไรเงินบริจาค - “ณัฐวุฒิ” ด่าชาวเน็ตดีแต่เอาเท้าราน้ำ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 ตุลาคม 2554    

   


      
ASTVผู้จัดการ - ผู้ก่อตั้งกลุ่มไทยฟลัด โวยสื่อเสื้อแดงป้ายสี ตั้งกล่องบริจาคที่ดอนเมือง โชว์รูปยืนยัน ศปภ.ตั้งโต๊ะหน้ากลุ่มไทยฟลัด ไม่เคยได้เงินตรงนั้น ด้าน “ณัฐวุฒิ” ทำตัวเป็นองครักษ์ ศปภ.อ้างอาสาสมัครไม่มีใครบังคับ อยากมาก็มา ด่าชาวเน็ตมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ
       
       วันนี้ (24 ต.ค.) นายปรเมศวร์ มินศิริ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ไทยฟลัดดอตคอม (Thaiflood.com) ที่ก่อนหน้านี้ ประกาศถอนตัวจากการร่วมงานกับศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม (ศปภ.) ได้โพสต์ข้อความในเว็บไซต์ทวิตเตอร์ @iwhale ระบุว่า “เว็บเสื้อแดงลงข่าวโกหก ป้ายสีว่าไทยฟลัดตั้งกล่องรับบริจาคที่ดอนเมือง”
       
       ทั้งนี้ ได้โพสต์ภาพที่จับข้อความจากเว็บไซต์ไทยอีนิวส์ ซึ่งเป็นเว็บไซต์เครือข่ายคนเสื้อแดง สัมภาษณ์ผู้ใช้นามแฝง เจ.เจ.สาทร เจ้าของเว็บไซต์เครือข่ายคนเสื้อแดง ระบุว่า “ส่วนเรื่องที่คุณปรเมศวร์ เว็บไซต์ไทยฟลัด ถอนตัวจาก ศปภ.ไปแล้ว ก็โจมตีว่า ศปภ.เน้นเล่นพวกเสื้อแดงนั้น คุณเจ.เจ.สาทร บอกว่า ไทยฟลัด นอกจากทำเว็บ ก็มีแต่ ‘ตั้งกล่องบริจาค’ โดยเอาเงินเข้าเว็บไซต์อย่างเดียว ทำอย่างนี้ไม่สวย เสื้อแดงเขาอาสาเอารถมาขนของไปช่วยกระจายถุงยังชีพ เพราะรถทหาร ตำรวจ รถคุก รถไปรษณีย์ รถดั๊บเบิ้ลเอ รถอาสาสารพัด ก็ยังไม่ทัน”
       
       นายปรเมศวร์ โพสต์ข้อความชี้แจงว่า “หน่วยงานที่ตั้งโต๊ะหน้า Thaiflood ขอรับบริจาคเพื่อสนับสนุนอาสาสมัคร คือ ศปภ.เราไม่เคยได้เงินตรงนี้เลย” พร้อมกับภาพที่พบว่ามีกล่องรับบริจาค ระบุ กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี และตราสำนักนายกรัฐมนตรี ด้านล่างมีป้ายที่ทำจากฟิวเจอร์บอร์ด ระบุข้อความ “ขอเชิญชวน ... บริจาคเงิน/สิ่งของ ลงทะเบียนผู้มีจิตอาสา” ซึ่งพบว่าเป็นป้ายของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
       
       อีกด้านหนึ่ง ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปตรวจสอบไปที่หัวข้อข่าวในเว็บไซต์ไทยอีนิวส์ พบว่า อยู่ในหัวข้อ “ตู่+เต้น จัดเต็มโต้สลิ่ม:น้ำใจไม่แพ้ภัยน้ำลายท่วม” ซึ่งเป็นการกล่าวโจมตีฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ที่ระบุว่า รัฐบาล กับ ศปภ.นำสิ่งของที่ประชาชนบริจาคมาแปะชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาคดีอาญาแผ่นดิน หรือนักการเมืองพรรคเพื่อไทย แล้วขนขึ้นรถคนเสื้อแดงไปแจกเฉพาะหมู่บ้านเสื้อแดงที่ถูกน้ำท่วม
       
       โดยเว็บไซต์ไทยอีนิวส์ ได้โพสต์คลิปวิดีโอของ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ที่กล่าวโจมตีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มาจากอินเทอร์เน็ต และแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ เอาสีข้างเข้าถูว่า

 อาสาสมัครที่ไปช่วยน้ำท่วมใส่เสื้อทุกสี แต่มีแนวคิดสนับสนุนคนเสื้อแดง ใครจะมาก็ได้ไม่มีใครบังคับ ส่วนกรณีรถบรรทุกติดธงสัญลักษณ์สีแดง เพราะแสดงสัญลักษณ์ ไม่ได้เลือกว่าจะให้สิ่งของเฉพาะคนเสื้อแดงเท่านั้น ส่วน นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เขียนข้อความห้ามเคลื่อนย้ายของบริจาค เพราะกำลังรอขนขึ้นรถ ส่วนรถบรรทุกติดรูป ส.ส.เข้ามาขนของ เป็นรถของ ส.ส.เองที่ต้องการนำสิ่งของไปบริจาคซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก
       
       
   
   
   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #344 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2554, 09:41:19 »

ยังไม่ทันไร รัฐบาลใหม่ ก็จะล่ามโซ่และคุกคามสื่อแล้ว

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

รัฐบาลนี้เข้ามาทำงานได้เดือนเศษๆ ก็ริเริ่มกระบวนการเข้าควบคุมสื่อมวลชน อย่างชัดแจ้ง

  ในรูปแบบการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550

 กระทรวงวัฒนธรรม เป็นผู้เสนอการแก้ไขเพิ่มเติม และโดยที่ไม่เป็นข่าวเป็นคราวอะไร คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา

 เนื้อหาสาระของการแก้ไขที่ยังไม่รู้ที่มาที่ไปนั้นสำหรับคนทำสื่อมายาวนาน อ่านปุ๊บก็รู้ปั๊บว่านี่คือการจงใจของผู้มีอำนาจทางการเมืองที่จะลิดรอนเสรีภาพของสื่อ


 ความเลวร้ายของสาระที่แก้ไขนั้นเลวร้ายไม่แตกต่างไปจากกฎหมายที่เกี่ยวกับสื่อของยุคเผด็จการในรูปแบบของ พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 ที่ยกเลิกไปด้วยผลการตราใช้บังคับ พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550

 ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้แปรรูปอำนาจเจ้าพนักงานการงานพิมพ์ จากกรมศิลปากร มาเป็นอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และให้อำนาจ ผบ.ตร. ในลักษณะ “ครอบจักรวาล” ที่ตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากว่าจะเป็นการเปิดทางให้อำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซงและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของสื่อทั้งสิ้น

 ในสังคมประชาธิปไตยนั้น เสรีภาพการแสดงออกของสื่อก็คือเสรีภาพของประชาชน ดังนั้น ความพยายามใดๆ ของนักการเมืองที่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ “คุ้มครอง” มาเป็นการ “ควบคุม” เสรีภาพของการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีของประชาชน ก็คือการเข้ายึดกุมอำนาจที่จะกำหนดว่าประชาชน ที่แสดงความเห็นอันไม่สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลนั้น จะถูกควบคุม ลิดรอน และกำจัดอย่างปฏิเสธไม่ได้

 บทแก้ไขเพิ่มเติมที่ตอกย้ำความเสื่อมทรุดของมาตรฐานเสรีภาพของสื่ออีกประเด็นหนึ่งคือการย้อนยุคกลับไปในระบอบเผด็จการที่จะต้องมีใบอนุญาตการพิมพ์

 และที่เลวร้ายไปกว่า พ.ร.บ. การพิมพ์ พ.ศ.2484 ก็คือการที่ต้องมีการต่อใบอนุญาตหรือหนังสือสำคัญแสดงการจดแจ้งการพิมพ์ทุก 5 ปี

 ที่น่าห่วงกังวลอย่างยิ่งสำหรับสังคมที่กำลังต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงก็คือ การที่สาระสำคัญของร่างแก้ไขนี้ยังให้อำนาจ ผบ.ตร. (และน่าจะเป็นประเด็นขัดแย้งสำคัญ) ที่จะออกคำสั่งห้ามพิมพ์ เผยแพร่ ส่งเข้าหรือนำเข้าเพื่อเผยแพร่ในราชอาณาจักร ซึ่งสิ่งพิมพ์หรือหนังสือพิมพ์ที่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี (ถ้อยคำครอบจักรวาลของเผด็จการมาตลอด)

 นั่นย่อมแปลว่า ผบ.ตร. จะต้องเซ็นเซอร์หนังสือพิมพ์ก่อนตีพิมพ์
จึงจะวินิจฉัยได้ว่าสมควรใช้อำนาจออกคำสั่งห้ามเผยแพร่ หรือปิดหนังสือพิมพ์หรือไม่


 ประเด็นเรื่องสถาบันกษัตริย์นั้น ย่อมเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วว่า เป็นเพียงเรื่องบังหน้าของผู้ที่ต้องการจะกลั่นแกล้งและคุกคามเสรีภาพของผู้อื่นที่ไม่เห็นพ้องกับตนเท่านั้น

 เพราะความผิดฐานหมิ่นสถาบันนั้นมีกำหนดเอาไว้ในประมวลกฎหมายอาญาอยู่แล้วอย่างครบถ้วน

 การอ้างถึงประเด็น “ความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี” นั้น สามารถตีความได้กว้างขวาง และรัฐบาลเผด็จการในอดีตได้ใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่คุกคามหรือถึงขั้นปิดหนังสือพิมพ์ที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามหรือที่แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา

 เผด็จการย่อมอ้าง “ความมั่นคงแห่งรัฐ” ทั้งๆ ที่หมายถึง “ความมั่นคงของรัฐบาล” เพื่อรักษาอำนาจและจัดการกับผู้ที่มีความเห็นต่างเสมอมา

 หากร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมนี้ผ่านสภาออกมาใช้ได้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็จะเป็นผู้มีอิทธิพลต่อผู้ประกอบวิชาชีพสิ่งพิมพ์อย่างยิ่ง...และยิ่งกว่า “เจ้าพนักงานการพิมพ์” ตามกฎหมายเดิมที่รัฐมนตรีมหาดไทยแต่งตั้งให้อธิบดีกรมตำรวจ ผู้บังคับการตำรวจสันติบาลเป็นเจ้าพนักงานการพิมพ์ในกรุงเทพฯ และผู้ว่าราชการจังหวัดในต่างจังหวัด

 ความผิดที่ระบุไว้ในร่างใหม่นั้น โทษทางอาญาสำหรับผู้ฝ่าฝืนคำสั่งของ ผบ.ตร. กรณีสั่งห้ามพิมพ์ เผยแพร่สิ่งพิมพ์ที่กระทบต่อสถาบัน ความมั่นคงของชาตินั้น คือ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

 ธาตุแท้ของนักการเมืองนั้นแม้จะป่าวประกาศหาเสียงว่าต่อสู้เพื่อ “ประชาธิปไตย” ของประชาชน แต่เมื่อได้อำนาจมาแล้วก็เริ่มปฏิบัติการที่จะกุมอำนาจทุกอย่าง รวมถึงการกำหนดว่าประชาชนจะแสดงความเห็นได้เฉพาะที่สอดคล้องกับที่ผู้มีอำนาจต้องการเท่านั้น

 จากหลักการของสังคมศิวิไลซ์ที่จะ “คุ้มครอง” มาเป็น “ควบคุม” เพราะต้องการ “คุกคาม” อย่างปฏิเสธไม่ได้

คนทำสื่อที่ปกป้องเสรีภาพของประชาชนอย่างมุ่งมั่นมาตลอด และได้ต่อสู้กับเผด็จการที่ลิดรอนเสรีภาพของการแสดงความเห็นของคนไทย อย่างเป็นเอกภาพตลอดประวัติศาสตร์ของประเทศมา...

 เชื่อเถอะว่าสังคมไทยจะลุกขึ้นต่อสู้กับกลุ่มผู้บ้าอำนาจอย่างเต็มภาคภูมิอีกวาระหนึ่ง
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #345 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2554, 22:21:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ มีนา เมื่อ 24 ตุลาคม 2554, 14:04:57

อย่าเพิ่งจบเซ่...สืบต่ออีกนิดว่า ศปภ.จะย้ายไปชลบุรีรึป่าว
อุตส่าห์จองเป็น ศสต.นท.ก่อนแล้ว  เค้าไม่ยอม  เหนื่อย


มาอีกครับตามคำเรียกร้องของหมอนี้

คำศัพท์แบบปู ๆ
1. “นโยบายเร่งด่วน” แปลว่า “นโยบายที่ออกอย่างเร่งด่วนค่า”
2. “เริ่มทำได้ทันที” แปลว่า “เพิ่งเริ่มคิดจะทำเดี๋ยวนี้เองค่า”
3. “ต้องหารือกันในทุกภาคส่วน” แปลว่า “มีอะไรก็ไปหารือกันเอาเองค่า”
4. “ต้องดูในรายละเอียด” แปลว่า “ดิชั้นไม่ทราบอะไรเลยค่า”
5. “ต้องดูวิธีปฎิบัติก่อน” แปลว่า “ทำไปแล้วเดี๋ยวก็รู้เองค่า”
6. “ต้องปรับจูนทำความเข้าใจ” แปลว่า “ไม่เข้าใจก็ต้องเข้าใจนะค้า”
7. “ได้มอบหมายให้ไปศึกษารายละเอียด” แปลว่า “ก่อนทำไม่ได้คิดมาก่อนเลยค่า”
8. “ต้องปรึกษาหารือในพรรค แปลว่า” “รอโพยจากพรรคค่า”
9. “ทางรัฐบาลไม่ได้คุยกันในเรื่องนี้” แปลว่า “เหลิมจัดการไปแล้วค่า”
10. “มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง แปลว่า “ใช้ศัพท์แสงดูแล้วฉลาดดีมั้ยค้า”
11. “ต้องแก้ไขในระยะยาว” แปลว่า “รอรัฐบาลหน้านะค้า”
12. “ขอเวลาดิชั้นทำงานก่อนค่า” แปลว่า “คำถามนี้เดี๋ยวพรุ่งนี้มาตอบให้ค่า”
13. นิ่ง ไม่ตอบ แปลว่า “เมมหน้ากับช่องไว้แล้วนะค้า เดี๋ยวจัดให้ค่า”
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #346 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2554, 22:26:21 »

ข้อสอบชั้นประถม ความรู้ประเทศในแถบเอเชีย
ของรร.แห่งหนึ่งในประเทศเวียดนาม
ครูถาม

1.ประเทศใดร่ำรวยที่สุดในเอชีย....นักเรียนตอบ จีน
2.ประเทศใดประชาชนยากจนที่สุด ,,,,,,,,,,,,,,,, กัมพูชา
3.ประเทศใดประชากรโง่ที่สุด ,,,,,,,,,,,,,,,, ไทย
ครูแปลกใจในคำตอบ ถามว่าเพราะอะไร

เด็กทุกคนแย่งกันตอบ "เพราะพวกเขาเลือกคนโง่มาบริหารประเทศจนล่มจม
ทั้งคน และหมู หมา กา ไก่ ไม่มีที่จะซุกหัวนอน พวกหนูดูจากNet ทุกวันเห็นทุกวันเลยคะ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #347 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2554, 22:47:24 »

สื่อเวียดขำ “ปูแสนซื่อ” เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ถ่อบูตเบอร์เบอร์รีเยี่ยมน้ำท่วม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 ตุลาคม 2554 16:59 น.    


ภาพคลาสสิค -- นายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่ง "ดูจะไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร" สวมรองเท้าบู๊ตราคาแพงลุยน้ำเยี่ยมเยือนราษฎรผู้ประสบภัย แถมยังเผยแพร่ภาพบาดตาบาดใจเหล่านี้ผ่านทางเฟซบุ๊ค ซึ่งสร้างความขุ่นเคืองใจให้ประชาสังคมออนไลน์ และนำมาซึ่งการวิพากษณ์วิจารณ์อย่างหนัก ขณะที่ความนิยมของรัฐบาลกำลังถูกพัดหายไปกับสายน้ำ.-- Đất Việt.
       
ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- สื่อเวียดนามทึ่งนายกฯ ไทยยิ่งลักษณ์ ชินวัตรสวมบูตลายสก๊อตคู่ละเฉียดหมื่น ไปเยี่ยมเยือนราษฎรที่บ้านเรือนจมมิดน้ำทั้งชี้ว่าความนิยมของรัฐบาลกำลังถูกพัดพาไปกับสายน้ำ เนื่องจากล้มเหลวในการป้องกันเมืองหลวง ขณะเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหึ่งไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกระบวนการตัดสินใจที่ล่าช้า แก้ปัญหาตอนสายเกินแก้
       
       หนังสือพิมพ์ออนไลน์ “เดิ๊ตเหวียด” (Đất Việt) รายงานเรื่องนี้ในวันอังคาร 25 ต.ค. พร้อมตีพิมพ์รูปภาพนายกรัฐมนตรีไทยกับรองเท้าบู๊ตคู่งาม ที่เผยแพร่ผ่านสังคมออนไลน์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้
       
       “แม้ว่ายิ่งลักษณ์จะไปเยี่ยมเหยื่ออุทกภัย ความพยายามดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอที่จะกอบกู้ภาพลักษณ์ ซ้ำยังทำให้ตัวเองสับสนมากยิ่งขึ้น” เดิ๊ตเหวียด กล่าว
       
       “เมื่อออกเยี่ยมเยือน นายกฯ หญิงที่ -- ดูเหมือนว่าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนัก -- สวมรองเท้าบูตเบอร์เบอร์รีที่มีสีสันราคาประมาณ 225 ดอลลาร์ และยังโพสต์รูปภาพการออกภาคสนามครั้งนี้ผ่านทางเฟซบุ๊กอีกด้วย ซึ่งได้สร้างความแค้นเคืองให้กับผู้ที่เข้าชมพบเห็น และยังทำให้ผู้คนใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาตัดสินทัศนคติของเธอออกมาเป็นระลอกๆ” สื่อออนไลน์ภาษาเวียดนาม กล่าว
       
       น.ส.ยิ่งลักษณ์ แสดงความลังเลใจอย่างยิ่งและใช้เวลามากจนเกินไปในการดำเนินการ และก่อนจะตัดสินใจสื่อสารกับพรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายค้าน ร่วมกันออกสำรวจน้ำท่วมในเขตเมืองหลวง แต่ระดับก็ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว
       
       นายกฯ หญิงของไทย ประกาศให้ประชาชนชาวกรุงเทพฯ มีความมั่นใจ โดยรัฐบาลจะสร้างทางระบายน้ำออก แต่เมื่อแผนการป้องกันชั้นต้นล้มเหลวในวันที่ 20 ต.ค.ยิ่งทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ตัดสินใจลำบากมากขึ้นไปอีก ก่อนจะแสวงหาความร่วมมือจากทางการกรุงเทพมหานคร ในการผันน้ำผ่านบริเวณเมืองหลวงไปลงทะเล
       
       อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการระบายน้ำผ่านย่านรอบนอกของกรุงเทพฯ ย่อมหมายถึงน้ำจะไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเรือนของราษฎรจำนวนมาก คนเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นผู้ลงคะแนนเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย
       
       และในที่สุด นายกฯ หญิง ก็ออกประกาศยอมรับว่า น้ำไหลบ่าเข้ามาทุกทิศทุกทางจนไม่อาจจะควบคุมได้ รัฐบาลจะออกเตือนล่วงหน้าเพื่อให้ประชาชนได้อพยพโยกย้ายเพื่อรักษาชีวิต สื่อออนไลน์เวียดนามกล่าว
       
       เดิ๊ตเหวียด ยังอ้างรายงานของสำนักข่าวต่างประเทศที่สอบถามความเห็นของนักวิชาการต่อความนิยมของรัฐบาล รวมทั้ง นายธิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ลงความเห็นว่า “ยิ่งลักษณ์จะต้องเรียนรู้อีกมาก”

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #348 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2554, 22:55:10 »

เธอ..เจ้าของมันสมองแพง ( เพราะมีน้อย)

เมื่อเธอบอกว่า...รถคันแรก... อุตสาหกรรมยานยนต์จมน้ำทันที...
.เมื่อเธอบอกว่า ...จะขึ้นค่าแรง แรงงานก็ตกงานทันที....
..เมื่อเธอบอกว่า...จะเปิดจำนำข้าว นา แทบทุกนา...จมอยู่บาดาล..
...เมื่อเธอบอกว่า...บ้านหลังแรก คนหลายหมื่นไม่มีบ้านจะ อยู่.....
..เมื่อเธอบอกว่า...จะแจกแทปเลตเด็กป.1 ท่านศาสดาจ๊อปจากไปอย่างไม่ หวนกลับ.
....เมื่อเธอประกาศจะสร้างความปรองดอง ลิ่วล้อก็โหมไฟสร้างความแตก แยก...
...เมื่อเธอบอกว่าจะถมทะเล แต่ทะเลไม่ยอม..น้ำจึงท่วมทั้งประเทศ...
... เมื่อเธอประกาศจะลดค่าครองชีพ บัดนี้ค่าครองชีพพุ่งขึ้นไป 2 เท่าตัว...
...เมื่อเธอ ประกาศว่า "เอาอยู่ นิคม 7 แห่งก็แตกพ่าย
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #349 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2554, 22:11:06 »

นิทานก่อนนอน เพื่อให้หลับสนิท

ตักขี้คิด..ปูเน่าทำ

ตักขี้ " คนไทยด่าพี่ว่า จะไม่มีแผ่นดินอยู่"

ปู เน่า"แล้วพี่คิดอะไรไว้"

ตักขี้ " ก็ต้องทำให้พวกมันไม่มีแผ่นดินอยู่กันบ้างสิ"

ปูเน่า " แล้วต้องทำอย่างไร"

ตักขี้" ให้ไอปลอดประสบการณ์กักน้ำในเขื่อน
       ไอ้เตี้ยปิดประตูน้ำ
     ส่วนแก เอ๋อ เอ๋อ ไม่ต้องทำอะไร
    ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผนของพี่"

ปู เน่า" อย่างนี้พวกมันก็จะไม่มีแผ่นดินอยู่ ไม่มีที่ซุกหัวนอน
          ทั้งคน ทั้งหมู หมา กาไก่ ใช่ไหมคะ"

ตักขี้  " เฮ่ย แกนี่ฉลาดกว่าที่ชาวบ้านคิดนะนี่ 555"
ปู เน่า     " 5555

ปูเน่า "แต่ว่า มันมี เสื้อแดง รวมอยู่นั้นด้วยนี่นาพี่จ๋า พี่ไม่เป็งห่วงเค้ากันเหรอ เค้ารัก เค้าหลง เค้าทุ่มเท เค้าศรัทธา พี่ยิ่งกว่าพระเจ้าอีกนา"

ตักขี้ "แล้วมันเป็งพ่อเมิงเหรอ?"

ปูเน่า "อ้าว..... ไม่ใช่"

ตักขี้ "ถูกต้อง พวกมันก็เป็นแค่ไพร่ ควายที่เราเอาไว้ไถนา พอมันแก่ เราก็เชือดมันเอาเนื้อไปขาย แกคิดจะกราบ บูชา ไพร่ เหรอ เหอ ปูเน่า"
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16 ... 21  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><