23 พฤศจิกายน 2567, 10:40:22
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 21  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)  (อ่าน 235801 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 11 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #225 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2553, 09:50:11 »

เปิดบัญชีขึ้นเงินเดือนผู้ทรงเกียรติ
17 สิงหาคม 2553 เวลา 20:15 น Posttoday
ความพยายามปรับขึ้นเงินเดือนบรรดาสมาชิกรัฐสภาผู้ทรงเกียรติ  ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ หลังจากมีข่าวว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) สอดไส้เข้าไปในวาระการปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญด้วย.....

โดย....ธรรมสถิตย์  ผลแก้ว

ความพยายามปรับขึ้นเงินเดือนบรรดาสมาชิกรัฐสภาผู้ทรงเกียรติ  ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ หลังจากมีข่าวว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) สอดไส้เข้าไปในวาระการปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญด้วย    แม้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะออกมาชี้แจงว่าเป็นแค่การศึกษาจนทำให้ส.ส.พรรคเพื่อไทยออกมากระทุ้งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร 

แต่อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบเอกสารวาระครม.  ปรากฎมีการแนบเอกสารร่างพระราชกฤษฏีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกวุฒิส ภา สมาชิกสภาผุ้แทนราษฎร และกรรมาธิการ เข้ามาจริง

 


ทั้งนี้ ข้อเสนอของคณะกรรมการพิจารณาเงินดือนแห่งชาติ(กงช.) ระบุว่า นอกจากจะมีการปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการทุกประเภทในสังกัดราชการบริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เจ้าหน้าที่ของรัฐในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ พนักงานราชการ และลูกจ้างของส่วนราชการ มีรายได้เพิ่มขึ้น 5 % เท่ากันทุกคนแล้ว ก็เห็นว่าควรปรับบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสว. ส.ส.ด้วย

ที่พิเศษกว่าข้าราชการประเภทอื่น  เห็นจะเป็นข้อเสนอ ที่ระบุว่า การปรับบัญชีเงินเดือนสมาชิกรัฐสภาให้ปรับมากกว่า 5 เปอร์เซนต์  โดยให้เหตุผลเพื่อรักษาจุดยึดโยงของค่าตอบแทน (เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง) ระหว่างข้าราชการประเภทต่างๆ และเจ้าหน้าที่ของรัฐในตำแหน่งหลักขององค์กร    อีกทั้งกลุ่มนี้ไม่ได้รับการปรับบัญชีฯในช่วงระหว่างปี 2547-2550  ตัวอย่างเช่น อัตราเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของประธานรัฐสภา ที่ปัจจุบันน้อยกว่าเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี  ซึ่งขัดกับหลักการที่ กงช. และครม.เคยเห็นชอบให้ตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ มีอัตราค่าตอบแทนเท่ากัน จึงต้องปรับในอัตราที่สูงกว่า 5 เปอร์เซนต์   


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #226 เมื่อ: 23 สิงหาคม 2553, 11:34:06 »


ความน่ารังเกียจ ของนักการเมืองในสภา
ผู้จัดการออนไลน์ 23สค2010
เกาะกระแส"
       โดย...ก้อนกรวด
       
       00 บางครั้งการมองโลกในแง่ดี มองในแง่ของการส่งเสริมประชาธิปไตย ให้ชาวบ้านได้รับข้อมูลอย่างรอบด้าน มันก็เป็นผลเสียหากนำมาใช้กับ คนหรือ นักการเมืองที่ด้อยคุณภาพ หรือเข้าใจเรื่องราวอะไรแต่เปลือก เพราะหากพิจารณาจากความเป็นจริงจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณางบประมาณ ปี 2554 วาระที่ 2-3 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา การที่เปิดโอกาสให้มีการถ่ายทอดการประชุมทางโทรทัศน์ อาจเป็นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การประชุมต้องล่าช้า ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์และตามหลักการพิจารณางบประมาณ
       
       00 สิ่งที่ต้องขบคิดกันก็คือ บรรดา ส.ส.ที่น่ารังเกียจเหล่านั้นใช้เวลาของสภา และเวลาของการถ่ายทอดสด พูดในสิ่งที่ไร้สาระ หรือเพียงเพื่อหาเสียงเพียงแค่คิดว่าการได้โผล่หน้าออกทีวี หรือแค่ได้ลุกขึ้นประท้วง หรือได้พูดอะไรก็ได้ หรือแม้แต่มีพฤติกรรมแปลกๆ ว่านี่คือความนิยมชมชอบของชาวบ้านที่นั่งดูอยู่ ไม่เคยคิดว่านี่คือการสร้างความสะอิดสะเอียน เพิ่มความน่ารังเกียจเข้าไปอีก ส.ส.พวกนี้ไม่เคยสำเหนียกว่าเวลานี้ชาวบ้านเขาพัฒนาไปไกลกว่าพวกนักการเมือง “กระจอก” เหล่านี้หลายเท่านัก ไม่เชื่อก็ลองพิจารณาจากพฤติกรรมและคำพูดของ คนเหล่านี้ว่าใช่หรือไม่ เช่น ส.ส.ที่ชื่อ สุนัย จุลพงศธร จตุพร พรหมพันธุ์ เป็นต้น
       
       00 ดังนั้นบางครั้งหากไม่มีเครื่องมือให้พวก ส.ส.กระจอกพวกนี้ได้เสนอหน้ามันก็อาจทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น การที่บอกว่าอาจจะไม่มีการถ่ายทอดทางทีวีในเรื่องการอภิปรายงบในวันที่ 24 ส.ค.มองอีกมุมหนึ่งน่าจะเป็นผลดี ทำให้การพิจารณาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และมีแก่นสารมากขึ้นก็ได้
       
       00 กลายเป็นว่าเวลานี้ฝ่ายที่เริ่มเต้นเร่าเป็นเจ้าเข้า กลายเป็นพรรคเพื่อไทย ของ ทักษิณ ชินวัตร เพราะคิดหวังตั้งแต่ต้นแล้วว่า ถึงอย่างไรพรรคประชาธิปัตย์จะต้องถูกยุบพรรคค่อนข้างแน่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป จะเป็นเพราะทุกอย่างเริ่มต้นจากการเมืองก็ทำท่าพลิกผันเป็นตรงกันข้าม ตั้งแต่เริ่มมีการเปลี่ยนตัวอธิบดีดีเอสไอจาก “เพื่อนแม้ว” ที่ชื่อ ทวี สอดส่อง มาเป็น ธาริต เพ็งดิษฐ์ มาจนถึงการสั่งไม่ฟ้องในคดี “คู่แฝด” คือคดีเงินบริจาคของผู้บริหารทีพีไอกับพรรคการเมือง ทำให้น้ำหนักคดีเงินบริจาค 258 ล้านและคดีเงินอุดหนุนพรรคการเมือง 29 ล้านที่ ปชป.คาอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญมีน้ำหนักลดฮวบ
       
       00 จะเป็นเพราะสัญญาณบวกแบบนี้หรือเปล่าไม่อาจทราบได้ ทำให้ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มีท่าทางเบาใจขึ้นบ้าง และบอกว่าพร้อมจะยอมรับคำตัดสินไม่ว่าออกมารูปไหน และพร้อมยุบสภาทุกเมื่อ การพูดออกมาแบบนี้ทางหนึ่งแสดงถึงความมั่นใจอยากพิสูจน์กับฝ่ายตรงข้าม หรือพูดด้วยความมั่นใจว่าจะต้องมีข่าวดีแน่ๆ และเริ่มคุมเกมได้มากขึ้นหรือเปล่า
       
       00 กลายเป็นเหยื่อของ “ฮุนเซน” รายล่าสุด สำหรับ 3 คนไทยที่เข้าไปหาของป่าในเขตชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ เพราะล่าสุดได้ใช้ข้อหา “สายลับ” มายัดเยียดใส่มือและส่งเข้าเรือนจำรอการพิพากษา แต่ที่น่าสังเกตก็คือเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ “บันคีมูน” เลขาฯ ยูเอ็นมาเยือนภูมิภาคนี้พอดี เป็นการสร้างข่าวรับกันพอดี แสดงให้ชาวโลกเห็นว่าไทยกำลัง “คุกคาม” ประเทศเล็กกว่าอย่างกัมพูชา เป้าหมายก็เพื่อดึงองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซง ลูกไม้ตื้นๆแบบนี้ใครๆก็รู้ทันอยู่แล้ว
       
       00 อย่างไรก็ดีขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไทยจะมีเอกภาพกันแค่ไหน มีการเปิดเผยข้อมูลให้เห็นกันอย่างตรงไปตรงมาเพื่อเดินไปข้างหน้าด้วยกัน และสำหรับปัญหากับฝ่ายกัมพูชา มันก็ต้องขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายด้วยว่าจะเห็นดีด้วยหรือไม่ ซึ่งสำหรับจะต้องไม่ยินยอมให้องค์กรระหว่างประเทศอื่นเข้ามายุ่มย่ามเป็นอันขาด
       
       00 การเดินเกมของ ฮุนเซน เที่ยวนี้หากมองในแง่ทางการเมืองมันก็เหมือนการดิ้นรนเพื่อสร้างกระแสภายในต่อไป เนื่องจากที่ผ่านมาได้โปรโมทเอาไว้เกินจริงในเรื่องการขึ้นทะเบียนประสาทพระวิหาร แต่เมื่อถูกฝ่ายไทยเริ่มตีโต้กลับทั้งในเรื่องของการกดดันจากภาคประชาชนที่ไม่ยอมให้รัฐบาลทำอะไรได้ตามอำเภอใจเหมือนเมื่อก่อน ทำให้ทุกอย่างต้องค้างเติ่ง ขณะที่ฝ่ายค้านอย่างพรรค “สมรังสี” ก็ยังกระทุ้งเรื่องชายแดนเวียดนามไม่เลิก ทำให้ได้แต้มไม่เต็มที่ ขณะเดียวกันหากสถานการณ์ยังคารางคาซังมันย่อมไม่เกิดผลดีทั้งสองฝ่ายแน่ แต่หากไทยอยู่นิ่ง ยืนหลักการให้มั่น มันก็ไม่ทำให้ฝ่ายกัมพูชาเดินหน้าไปได้มากกว่าแน่นอน
       
       00 เริ่มโหมโรงหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ สำหรับพรรคเพื่อไทย โดยร่วมมือกับแกนนำเสื้อแดงในต่างจังหวัด เพื่อรองรับการเดินสายปลุกระดมกันทั่วประเทศอีกรอบ ซึ่งเปิดชื่อออกมาก็อย่าได้แปลกใจที่รายการนี้จะต้องมี “ขงเบ๊จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มานำทัพในภาคอีสาน เพราะยังเชื่อว่า “พ่อใหญ่” ยังขายได้ แต่ที่ต้องถามกันให้แซดก็คือจะมี “เป็ดเหลิม” ไปขึ้นเวทีด้วยหรือเปล่า แต่ถ้าร่วมขบวนไปด้วย นั่นก็หมายความว่ายอมรับบท “พระรอง” หมดหวังได้ลุ้นเป็นนายกฯ อีกแล้ว แต่เอาเถอะได้แค่นี้ถือว่ากำไรล้วนๆ ในเมื่อไม่ได้ลงทุนอะไร จะเอาอะไรกันนักหนา จริงมั๊ย เหลิม ก๊าบๆ !!

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #227 เมื่อ: 25 สิงหาคม 2553, 10:31:57 »

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20:35:07 น.   มติชนออนไลน์

สะท้านวงการศาล ร้องผู้พิพากษาอุทธรณ์เรียก70ล้านคดีตระกูลนักการเมืองดังไซ่ฟ่อนเงินบริษัท-หลักฐานเพียบ

สะท้าน วงการตุลาการ ร้องเรียนคณะกรรมการตุลาการผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เรียกเงิน70ล้านคดีตระกูล นักการเมืองไซ่ฟ่อนเงินบริษัทจดทะเบียน ใช้หญิงสาวที่มีสัมพันธ์สวาทเป็นเครื่องมือเรียกสินบนอีกหลายคดี หลักฐานเพียบ

แหล่งข่าวจากสำนักงานศาลยุติธรรมเปิดเผย"มติชนออนไลน์"ว่า  เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีการทำหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมการตุลาการ(ก.ต.)กล่าว โทษผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายหนึ่งว่า นอกจากมีพฤติการณ์ฉันท์ชู้สาวกับหญิงที่มีสามีแล้ว ยังอาศัยหญิงรายดังกล่าวใช้ในการเรียกร้องสินบนในการตัดสินพิพากษาคดีต่างๆ หลายคดีเป็นเงินรวมหลายสิบล้านบาทขึ้นอยู่กับความสำคัญของคดี เช่น


1. มีการเรียกสินบนเป็นเงิน 70 ล้านบาทในการพิจารณาคดีบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่งที่กลุ่มผู้บริหารบริษัท ถูกกล่าวหาว่า กระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในการยักยอกทรัพย์หรือไซ่ฟ่อนเงินของ บริษัทและเกี่ยวพันกับตระกูลนักการเมืองระดับรัฐมนตรี ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งยกฟ้อง

 

2.คดีโรงแรมชื่อดังย่านสุขุมวิท


3. คดีการประกันตัว เจ้าของบริษัทที่เปิดขึ้นบังหน้าเป็นจำเลยในคดีตาม พ.ร.บ. การกู้เงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่มีการเรียกเงินสินบน 2 ล้านบาท หลังจากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้วจำเลยได้ซื้อรถยนต์ Benz รุ่น S 280 ปี 2002  ในราคา2.1 ล้านบาท ที่เหลืออีก 1.5 ล้านบาทบาท จัดไฟแนนซ์ให้อีกด้วย


4.เรียกสินบน 3.5 ล้านบาทในการสั่งอนุญาตการปล่อยชั่วคราวชาวต่างประเทศรายหนึ่ง โดย ทนายความหญิงของจำเลยได้ยื่นคำร้องประกอบการขอปล่อยชั่วคราวต่อศาลอาญาและ ศาลอุทธรณ์มาหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ได้รับการอนุญาตทนายความจึงติดต่อผ่าน หญิงที่มีสัมพันธ์กับผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งตกลงเรื่องเงินสินบนเป็นเงิน3.5 ล้านบาท

จากนั้นเมื่อเดือนกันยายน 2552 ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าวมีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลยตามข้อตกลง


แหล่งข่าวกล่าวว่า ในการร้องเรียนครั้งนี้ผู้ร้องได้เปิดเผยชื่อตนเองพร้อมส่งพยานหลักฐาน เอกสาร ภาพถ่ายประกอบการพิจารณาของ ก.ต.อย่างค่อนข้างชัดเจน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบพบว่า ก.ต.มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อร้องเรียนกรณีดังกล่าวแล้ว
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #228 เมื่อ: 27 สิงหาคม 2553, 12:37:38 »

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 05:40:23 น.   มติชนออนไลน์

ก.ต.เด้ง"ผู้พิพากษาอุทธรณ์"คดีสินบน70ล้านเข้ากรุ ตั้งสอบวินัยซ้ำ ระบุเข้าข่ายผิดอาญาต้องส่ง ป.ป.ช.


แหล่งข่าวจากสำนักงานศาลยุติธรรรมเปิดเผย"มติชนออนไลน์"เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมถึงความหน้ากรณีมีการทำหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมการตุลาการ(ก.ต.)กล่าว โทษผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายหนึ่งว่า มีพฤติการณ์ฉันท์ชู้สาวกับหญิงที่มีสามีและ ยังอาศัยหญิงรายดังกล่าว(คนสนิท)ใช้ในการเรียกรับสินบนในการตัดสินพิพากษา คดีต่างๆหลายคดีเป็นเงินรวมแล้วกว่า 70 ล้านบาทจน ก.ต.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงว่า  ในการสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นคณะกรรมการเห็นว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวมีมูลเนื่องจากผู้ร้องเรียนมีตัวตนและยืนยันข้อเท็จจริง ตามคำร้องเรียน นอกจากนั้นยังมีเอกสารหลักฐานในคดี การปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยชาวต่างประเทศที่มีการเปิดบัญชีผ่าน"นอมินี"กับ ทนายความหญิงของจำเลยชาวต่างประเทศอย่างชัดเจน จึงสรุปความเห็นเสนอ ก.ต.ให้พิจารณา


แหล่งข่าวกล่าวว่า หลังจากการพิจารณาผลสรุปการสอบสวนเบื้องต้น ก.ต.จึงมีมติเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านให้ย้ายผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าวไปเป็นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ประจำสำนักงานศาลยุติธรรมซึ่งเป็นแขวนไม่มีหน้าที่ใดๆในการพิจารณาคดีโดยเฉพาะคดีที่ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยักยอกทรัพย์หรือไซ่ฟ่อนเงินมีการเปลี่ยนตัวผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน


แหล่งข่าวกล่าวว่า นอกจากนั้น ก.ต.ยังแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าว มีนายวีระวัฒน์  ปวราจารย์  ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เป็นประธาน


แหล่งข่าวกล่าวว่า จากเรื่องร้องเรียนดังกล่าว ถ้าผลการสอบสวนทางวินัยพบว่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายนี้มีความผิดจริง ก็เข้าข่ายเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมเพราะเป็นการรับสินบนเพื่อล้มคดีหรือให้ปล่อยตัวจำเลยชั่วคราวซึ่ง เป็นความผิดทางอาญา ทาง ก.ต.น่าจะต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป .ป.ช.)ไต่สวนเพราะมิเช่นนั้นแล้วเท่ากับเป็นการช่วยเหลือให้พ้นผิดในทางอาญา


แหล่งข่าวกล่าวว่า นอกจากนั้นยังมีความผิดในทางอาญาและกฎหมายอื่นเกี่ยวพันไปถึงบุคคลอีกหลายคน

 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #229 เมื่อ: 27 สิงหาคม 2553, 12:39:12 »

วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 09:41:16 น.   มติชนออนไลน์

ผู้ร้องเปิดโปง"ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ "ซิกแซ็กรับ70ล้านล้มคดี รับเงินสด-หุ้น-"นอมินี"เปิดบัญชี

แหล่งข่าวจากสำนักงานศาลยุติธรรรมเปิดเผย "มติชนออนไลน์" เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมถึงความหน้ากรณีมีการทำหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมการตุลาการ(ก.ต.) กล่าวโทษผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายหนึ่งว่า มีพฤติการณ์ฉันท์ชู้สาวกับหญิงที่มีสามีและ ยังอาศัยหญิงรายดังกล่าวใช้ในการเรียกรับสินบนในการตัดสินพิพากษาคดีต่างๆ หลายคดีเป็นเงินรวมแล้วกว่า 70 ล้านบาทจน ก.ต.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงว่า คณะ กรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้เชิญผู้ร้องเรียนมาให้ปากคำซึ่งผู้ร้องเรียนได้ ยืนยันตามที่มีหนังสือร้องเรียนและพยานหลักฐานที่ส่งให้แก่ ก.ต.


แหล่งข่าวกล่าวว่า ผู้ร้องเรียนเปิดเผยถึงวิธีการในการเรียกสินบนของผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ราย ดังกล่าวว่า ค่อนข้างซับซ้อนโดยใช้หญิงที่มีความสัมพันธ์กันเป็นตัวกลางเพื่อป้องกันการ ตรวจสอบ


แหล่งข่าวกล่าวว่า ในคดีที่ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยักยอกทรัพย์หรือไซ่ฟ่อน เงินนั้น ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าวให้ใช้หญิงที่มีความสัมพันธ์กัน(หญิงคนสนิท)ไป ติดต่อเรียกรับเงินสิบบน 70 ล้านบาทจากคนในตระกูลนักการเมืองซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัท เพื่อจะได้ตัดสินให้ยกฟ้องคดีนี้ ตามที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณายกฟ้องไปแล้ว


ครั้งแรก คนในตระกูลนักการเมืองยังไม่เชื่ออย่างสนิทใจ จึงยังไม่กล้าจ่ายเงินผ่านหญิงคนสนิทของผู้พิพากษา ดังนั้นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์จึงต้องมอบสำนวนคดีตัวจริงนี้ให้หญิงคนสนิทนำไป ให้ดู จนเชื่อสนิทใจว่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าวเป็นผู้พิจารณาตัดสินสำนวนคดีนี้จริง จึง ได้ทยอยมอบเงินให้ผ่านหญิงคนสนิทเป็นเงิน 20 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถหาเงินอีก 50 ล้านบาทตามข้อตกลงได้ จึงต่อรองจะให้เป็นหุ้นของบริษัทผลิตอาหารกระป๋องแห่งหนึ่ง ที่มีเงินค้ำประกันเรื่องการส่งออกลำไย อยู่กับองค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) เป็นจำนวนเงิน 50 ล้านบาท ซึ่งศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้ อ.ต.ก. คืนเงินจำนวน 50 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 บาทต่อปี ให้แก่บริษัทดังกล่าวแล้ว ขณะนี้คดีค้างอยู่ที่ศาลอุทธรณ์


อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันการตรวจสอบผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายนี้ได้ให้หญิงคนสนิท เข้าถือหุ้นบริษัทนี้แทนผู้ถือหุ้นที่เป็น"นอมินี"ของ ตระกูลนักการเมือง เมื่อ อ.ต.ก. คืนเงิน 50 ล้านบาทให้แก่บริษัทนี้แล้ว หญิงคนสนิทของผู้พิพากษาซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ก็จะได้รับเงินจำนวนนี้


แต่มีข้อแม้จากผู้พิพากษาว่า  หญิงคนสนิทจะต้องหย่าขาดกับสามีก่อนมิเช่นนั้นสามีของหญิงคนสนิทจะมีส่วนได้ เงินจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งในฐานะคู่สมรส หากไม่มีใบหย่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ก็จะไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้และหากหย่าได้สำเร็จ  ก็จะยอมตัดสินยกฟ้องคดีนี้ตามศาลชั้นต้นไปก่อน


แต่ปรากฏว่า สามีของหญิงคนสนิทของผู้พิพากษาไม่ยอมหย่า  ผู้พิพากษาผู้นี้จึงดึงสำนวนคดีนี้เก็บไว้ก่อน โดยยังไม่พิจารณาตัดสินคดีนี้ทั้งๆ ที่ได้รับสำนวนคดีนี้มาพิจารณานานแล้ว


นอกจากนั้นในคดีมีคำสั่งอนุญาตการปล่อยชั่วคราวชาวต่างประเทศรายหนึ่ง ทนายความหญิงของชาวต่างประเทศ ตกลง เรื่องเงินสินบนกับหญิงคนสนิท เป็นเงินจำนวน 3,500,000 บาทโดยมีการทำเป็นสัญญา(ไม่มีมูลหนี้)ระหว่างญาติของหญิงคนสนิทของผู้ พิพากษากับทนายความของจำเลยชาวต่างประเทศ โดยทนายความหญิงกับญาติของหญิงคนสนิทของผู้พิพากษาได้นำเงินตามข้อตกลงดัง กล่าวไปเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขา เซ็นทรัล ลาดพร้าว ร่วมกัน หมายเลขบัญชี 157-217895-3 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2552 เป็นเงินจำนวน 3,500,000 บาท


ต่อมาปลายเดือน 30 กันยายน 2552 ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลยชาวต่างประเทศตามข้อตกลง


ต่อมาในวันที่ 3 ตุลาคม 2552 หญิงคนสนิทของผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ได้สั่งให้ทนายความหญิงแล ญาติของตนเอง ไปเบิกเงินจากบัญชีดังกล่าวจำนวน 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) เพื่อเป็นรางวัล ค่าตอบแทนกับญาติของตน


หลังจากที่จำเลยชาวต่างประเทศ ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำตามข้อตกลงแล้วทนายความหญิงและญาติของหญิงคนสนิท ของผู้พิพากษาได้ไปเบิกถอนเงินจากบัญชีหมายเลข 157-217895-3 มาเปิดบัญชีถ่ายโอนเงินให้กับหญิงคนสนิทของผู้พิพากษา หมายเลขบัญชี 157-218075-6 เป็นจำนวน 3,400,000 (สามล้านสี่แสนบาทถ้วน)


ต่อจากนั้นหญิงคนสนิทของผู้พิพากษาทยอยเบิกถอนเงินจากบัญชีดังกล่าว ครั้งละไม่เกิน 1,000,000 บาท ส่งมอบให้ผู้พิพากษาศาลอุทรณ์เป็นเงินสด


หลังจากช่วยให้ประกันตัวสำเร็จ จำเลยชาวต่างประเทศแล้วเกิดความเชื่อถือหญิงคนสนิทของผู้พิพากษาว่า จะสามารถช่วยให้ชนะคดีได้ จึงตกลงทำสัญญาว่าจ้างให้หญิงคนสนิทฯช่วยเป็นเงิน 9,200,000 บาท เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2552 และได้ชำระเงินให้หญิงคนสนิท ไปแล้ว 4,000,000 บาท คงเหลืออีก 5,200,000 บาท

 

( ติดตาม ตอนต่อไป )

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #230 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2553, 16:11:20 »



  TAKKEE...WHERE ARE YOU?? บรึ๋ยยย บรึ๋ยยย บรึ๋ยยย
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #231 เมื่อ: 29 กันยายน 2553, 10:36:45 »

เเดงเเฉเหลือบหากินกับศพเเดง
29 กันยายน 2553 posttoday.com

สาวไส้กันเอง!! เสื้อแดงบุกเพื่อไทย แฉเหลือบหากินกับศพ
 หักหัวคิวเงินบริจาคพรรค ด่าพวกทรยศ เขียนบอร์ดด่าญาติสะใภ้วีระ จตุพร ลั่นใครผิดจัดการทันที
 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงค่ำวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้เกิดเรื่องระทึก ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย  โดยหลังจากพรรคเพื่อไทยได้เปิดนิทรรศการ 4 ปีแห่งความสุข และให้ประชาชนคนเสื้อแดงเขียนข้อความผ่านกระดาษโน๊ตว่า อยากให้พรรคต้องการทำอะไร ปรากฎว่า ในบอร์ด 4 ปีแห่งความสุขที่ตั้งอยู่ชั้น 1 ของพรรค  ได้มีกระดาษโน๊ตข้อความหลายแผ่นเขียนโจมตีนายวีระ มุสิกพงษ์ ประธานนปช. อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน

นอกจากนี้ ยังมีข้อความโจมตีนายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ แกนนำนปช.ที่พรรคมีมติให้ลงเลือกตั้งซ่อม สส.สุราษฎร์ธานีว่า เป็นคนลืมตัว และไม่เห็นด้วยให้ลงสมัครเลือกตั้ง สส.สุราษฎร์ธานี  ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวได้ยืนอ่านข้อความดังกล่าวได้มีหญิงสาววัยกลางคนมาพูดคุยว่า คนที่เขียนเรื่องอย่างนี้แสดงว่ามีข้อเท็จจริง   และเมื่อทราบว่า มีผู้สื่อข่าวอยู่ที่ห้องผู้สื่อข่าวของพรรคตรงข้ามบอร์ด จึงเดินเข้ามาพร้อมกับคณะเสื้อแดงจำนวนหนึ่งเกือบ 10  คน พูดด้วยสีหน้าตื่นเล็กน้อยว่า “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอเล่าเรื่องเหลือบเสื้อแดงที่กินเงินบริจาคหน่อย”

นางเอ (ชื่อสมมติ) เล่าให้ผู้สื่อข่าวว่า  ตนเองมีอาชีพธุรกิจเดินเรือที่อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ส่วนสามีเคยทำงานในสถานทูตซึ่งศรัทธาการต่อสู้ของเสื้อแดง และได้มาร่วมชุมนุมตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. จากนั้นได้ระดมเงินบริจาคกับเพื่อนๆช่วยเสื้อแดงวันละ 1-2 หมื่นบาทรวมถึงช่วยค่าศพหลังเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุม จนถึงวันนี้ได้ช่วยเหลือไปเกือบ 2 ล้านบาท ถือเป็นเงินส่วนตัวของพวกตนทั้งหมด 

นางเอ เล่าพร้อมแสดงสมุดบันทึกรายละเอียดการบริจาคเงิน และ สลิปการโอนเงินตั้งแต่ช่วงที่ผ่านมา ให้สื่อมวลชนดู  พร้อมกล่าวว่าในการบริจาคเงินให้กับการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา มีการหลอกลวงต้มตุ๋นหลายลักษณะ เริ่มตั้งแต่ การหลอกลวงมีตั้งแต่น้องสะใภ้นายวีระ มีชื่อเล่นว่า" แหม่ม" ได้ร่วมมือกับตั๋ม เช่น ครั้งหนึ่งแหม่มบอกว่า ยังมีศพค้างอยู่ 33 ศพที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ตอนแรกพวกตนก็หลงเชื่อ ช่วยเหลือค่าทำศพให้แต่พบว่า เงินไม่ถึงญาติผู้เสียชีวิต  โดยเรื่องนี้ได้เข้าไปสอบถาม พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย  สส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ถึงที่สภาโดยตรง ก็ได้รับคำตอบว่า พรรคเพื่อไทยและนปช.ได้ช่วยเหลือศพละ 1 แสนบาทไปแล้ว

นางเอ ยังเล่าต่อโดยได้นำรูปถ่ายของผู้หญิงเสื้อแดงผมสีขาวรายหนึ่งที่อยู่บนเวทีร่วมกับแนวร่วมนปช. ซึ่งหญิงเสื้อแดงคนดังกล่าวเป็นที่คุ้นหน้าสื่อมวลชนเพราะปรากฎตัวอยู่ตามเวทีเสื้อแดงเป็นประจำ  โดย นางเอ เล่าว่าหญิงคนนี้หักหัวคิวเงินบริจาคซึ่งเป็นที่รับรู้กัน เช่น ครั้งหนึ่ง มีคนใส่ซองบริจาคช่วยจำนวน 3,000 บาท แต่หญิงคนนี้ได้เก็บออกไปเหลือแค่ 500 บาท  จนเมื่อเรื่องแดงก็มีการประกาศว่า ไม่ให้เข้าพรรคเพื่อไทย แต่ หญิงผมขาว ยังไปหากินอยู่ที่อิมพิเรียล ที่ล่าสุดเพิ่งมีการเปิด ศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบในการชุมนุมของคนเสื้อแดง และยังพบตามงานเสื้อแดง ล่าสุดวันเสาร์กิจกรรมเสื้อแดงที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนางเอและกลุ่มเสื้อแดง ที่เดินทางมาร้องเรียนที่พรรคจนมาพบกับผู้สื่อข่าว พร้อมกับแฉเรื่องราวอย่างออกรส ช่วงเวลาเป็นเวลาค่ำซึ่งไม่มีเจ้าหน้าที่พรรค และ สส.อยู่ แต่เมื่อเรื่องรู้ถึงหูคนในพรรคว่า มีการร้องเรียนความไม่ชอบมาพากลทำให้ รปภ. เจ้าหน้าที่พรรค รีบเข้ามาสังเกตุการณ์อย่างคร่ำเครียด  เจ้าหน้าที่พรรครายหนึ่งได้เข้ามาพูดกลางวงว่า " พี่จะให้ข่าว ผมไม่ขัดข้อง แต่เรื่องนี้ พรรคไม่ได้เกี่ยวข้อง และไม่ได้ให้ข้อมูลในนามพรรค" ซึ่งนางเอ และกลุ่มนางเอ เริ่มมีอาการหวั่นวิตกเล็กน้อย จนเมื่อเจ้าหน้าที่ออกจากห้องจึงมีทีมงานโฆษกพรรค ได้เข้ามาสอบถามเรื่องราวเบื้องต้น ที่สุดเจ้าหน้าที่ได้เรียกเพื่อนนางเอ จูงมึงออกไปไปนอกห้องผู้สื่อข่าว จากนั้นไม่นานเพื่อนนางเอจึงกลับมากระซิบข้างหูให้เลิกให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าว จนนางเอต้องขอร้องผู้สื่อข่าวว่า เดี๋ยวขอปรึกษาพรรคพวกก่อนเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่  ทั้งนี้ช่วงดังกล่าว  เจ้าหน้าที่พรรคได้รีบดึง โน๊ตข้อความที่มีการโจมตีแกนนำนปช.ออกจากบอร์ดหมด

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช.ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่า ในการดูแลคนเจ็บและตาย ของผู้มาร่วมชุมนุม แบ่งเป็น2ห้วงเวลา 1.หลังเหตุการณ์หลัง10เม.ย. ขณะนั้นได้นำเงินบริจาคไปช่วยเหลือทั้งผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต โดยมีคนที่ได้รับบาดเจ็บและญาติผู้เสียชีวิตมารับเงินไปแล้วบางส่วนหลังเวที  2.หลังเหตุการณ์กระชับพื้นที่19พ.ค.

ทั้งนี้ ในส่วนของนปช.แทบไม่มีปัญญาเพราะแกนนำหลายคนถูกอายัดทำธุรกรรมทางการเงิน ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก แต่ช่วงนี้พรรคเพื่อไทยเริ่มเข้ามาช่วยเหลือบางส่วน โดยผู้เสียชีวิตรายละ1แสนบาท ยอมรับว่าการช่วยเหลือครบบ้าง ไม่ครบบ้าง อย่างไรก็ดีช่วงการชุมนุม มีคนมาร่วมบริจาคเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนตัวไม่ได้ยุ่งหรือไปจับต้องอะไรด้วย เมื่อมีพี่น้องเดือดร้อนก็จะนำเงินบริจาคไปช่วยดูแล ซึ่งยอมรับว่าช่วงหลังๆมีคนมาแอบอ้างเยอะ แต่ในส่วนของนปช.ที่จัดระดมทุนจริงๆ มีเพียง2ครั้ง ครั้งแรก คอนเสิร์ตระดมทุน อ้อมน้อย ครั้งที่สองที่พัทยา และในวันที่9ต.ค.เตรียมจัดมินิคอนเสิร์ตอีกครั้ง ที่ห้องอิมพีเรียลลาดพร้าว   

เมื่อถามว่ารู้จัก แหม่ม หรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า รู้จัก แต่ปัญหาที่เป็นประเด็น อยากให้คนที่มาให้ข้อมูล ถ้าเจตนาดีควรออกมาเปิดเผยตัว โดยไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ขณะเดียวกันคนที่ถูกกล่าวหาควรนำหลักฐานออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง หากใครผิดจริงเราไม่ไว้อยู่แล้ว

เมื่อถามถึงบทบาท ‘แหม่ม’ ที่ผ่านมา นายจตุพรกล่าวว่า ได้เข้ามาช่วยงานหลังเวทีตั้งแต่วันที่ 10เม.ย.มาช่วยทุกวัน ทั้งเรื่องอาหารการกิน และพักหลังๆเริ่มไปดูคนที่ได้รับบาดเจ็บ กับ แหม่ม ไม่ได้เจอมานานแล้ว แต่เมื่อคืนวันที่27ก.ย. เพิ่งโทรศัพท์พูดคุยกับนายวีระ บอกช่วยเอาข้อมูลมาให้หน่อย ไม่ใช่เพราะว่ารู้เรื่องอะไรมา แต่เป็นเพราะขณะนี้ นปช.เพิ่งตั้งศูนย์ช่วยเหลือเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบในการชุมนุม และเตรียมเปิดตัววันที่4ต.ค.นี้ เลยอยากรู้ว่าได้ช่วยเหลือส่วนไหนไปแล้วบ้าง ส่วนไหนยังตกหล่นไปบ้าง เพื่อเรียกบัญชีมาดูค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ในช่วงการชุมนุม การบริจาคหลังเวทีมีเยอะ แต่เข้ามาก็หมดไป เพราะแต่ละวันมีค่าใช้จ่าย หลายส่วนที่ต้องจ่ายออกไป

ถามว่า ช่วงชุมนุม แหม่ม เป็นคนคุมค่าใช้จ่ายเป็นหลักใช้หรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า เป็นคนหนึ่งที่อาสาเข้ามา เราก็คิดว่าพอเห็นหน้าค่าตากันมา และเป็นน้องสะใภ้ท่านวีระ ก็ไม่น่ามีอะไรสงสัย ทุกคนก็ไม่ติดใจ แต่ช่วงการชุมนุมแต่ละวันหลังเวที ก็มีหลายเรื่องวุ่นวาย เลยต้องแบ่งคนไปดูในแต่ละส่วน แต่ตอนนี้ต้องขอความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย เมื่อเกิดเรื่องแล้วอยากให้แต่ละฝ่ายนำข้อมูลออกมาเปิดเผย เพื่อทำการตรวจสอบต่อไป

 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #232 เมื่อ: 29 กันยายน 2553, 22:04:46 »

วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 18:34:54 น.   มติชนออนไลน์

แล้ว สื่อตัวดี (ก็) ถูกลอกคราบ ล่อนจ้อน

เมื่อวาน ผมเขียนเรื่อง พอเถอะ(ครับ) กรูเบื่อเต็มทนแล้ว  กับข่าวอื้อฉาวในสังคมดารา

 

แต่ดูเหมือนคนอ่านจะสนใจข่าวเฮียฮ้อ  ปล่อยข่าวทุบ”แอนนี่”จนหมอบคาพื้นมากกว่า   เมื่อพ่อพระกลายมาเป็น

ยมทูต   เล่นบทโหดสุดๆ  โดยออกมาแฉว่า ไม่ใช่แค่ ฟิล์ม แต่ยังมีผู้ชาย อีกหลายคน

 

ตัวละครที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ ทำให้นักข่าวตามเจาะเรื่องส่วนตัว อย่างขนานใหญ่ ราวกับข่าวพูลิตเซอร์

 

เรตติ้งข่าวพุ่งปรู๊ด  ไม่น่าเชื่อ เพียงข่าวเดียวกลบข่าวทุกเรื่องในสังคมไปในทันที

 

ผมถามดูได้ความว่า เรตติ้งของทีวีช่อง 3 ดีมาก ในช่วงเสนอข่าวฉาว

 

ในรายการ ตี 10  นักข่าวตัวใหญ่ที่เข้าไม่ถึงตัวแอนนี่  เพราะถูกช่อง 3 กีดกัน ยิงคำถามแอนนี่ ราวกับว่า เธอคือผู้ต้องหาฆ่าคนตาย

 

เช่นเดียวกับ หนังสือพิมพ์ที่ขายข่าวอื้อฉาวก็ขายดี เกลี้ยงแผง

 

พูดกันแบบแรงๆ ก็คือ สื่อหากินบนเรือนร่างของแอนนี่

 

เพื่อนผมเดินทางไปต่างประเทศกับคณะชุดใหญ่  เล่าว่า หัวข้อสนทนาในคณะเดินทาง คือ เรื่องผู้ชายของแอนนี่ เป็นใคร และขอโทษ คนที่อยากรู้ข่าวฉาว ล้วนเป็นคนที่มีการศึกษาสูง

 

เรื่องส่วนตัวของดารา กลายเป็นข่าวที่ได้รับความสนใจ มากกว่า ข่าวเทพเทือกจะลาออกจากตำแหน่งรองนายกฯไปลงสมัครส.ส.  หรือ ข่าวจุดเสี่ยงถูกบึมกลางกรุง หรือข่าวการเมืองฉาวย้าย 48 ผู้ว่าราชการ

 

นักรัฐศาสตร์ผู้ใหญ่ ท่านหนึ่งบอกผมว่า  ลงพื้นที่ไปต่างจังหวัด พบว่า คนต่างจังหวัดก็เสพข่าว รสนิยมเดียวกับคนกรุง ไม่มีใครสนใจว่าปัญหาประชาธิปไตย 

 

ข่าวการเมือง  ...มันหนัก มันเครียด และมันน่าหมดหวัง

 

เจ้าพ่อสื่อ เชื่อว่า ข่าวที่ขายได้ คือ ข่าวดี   !!! 

 

ขณะที่ นักการเมือง ด่าสื่อว่า  ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดี เสียตังค์  ความหมายก็คือ ข่าวดี  มันไม่ลงกัน แต่ข่าวเน่า ๆ  (หละ) พวกมึงชอบนัก  !!!

 

ทำไมข่าวบันเทิง ขายดีกว่า ข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวสังคม ข่าวสิ่งแวดล้อม

 

ทั้ง ๆ ที่ในหลักสูตรวารสาร นิเทศศาสตร์  ไม่มีวิชาการเขียนข่าวบันเทิง

 

นักข่าวใหญ่สายบันเทิง เคยสารภาพว่า ทำข่าวบันเทิง ไม่ยาก ตั้งคำถามแค่ 4 คำถาม

 

หนึ่ง  เป็นกิ๊กกันหรือเปล่า   สอง  เลิกกันแล้วใช่ไหม  สาม  หายไปทำแท้งหรือไปออกลูก   สี่  ใครเป็นพ่อเด็ก

 

4 คำถามที่ใช้หากิน ได้ตลอดชีวิต  4 คำถามนี้ ถูกใช้กับแอนนี่  ทุกคำถาม

 

หลังจาก สื่อ ละเลงข่าวแอนนี่ มาได้ 12 วัน

 

ยกแรก คะแนนสงสาร เป็นของแอนนี่

 

ยกที่สอง คะแนนเป็นของฟิล์มและเฮียฮ้อ

 

ยกสาม คะแนนกลับมาเป็นของแอนนี่  เมื่อเฮียฮ้อ ชกใต้เข็มขัด  จนนางเอกลงไปหมอบกับเวที

 

แต่พอยกสี่ สื่อถูกน็อคคาเวที  เพราะสังคมเริ่มทนไม่ไหว นักวิชาการ และองค์กรสตรี ออกมาวิพากษ์วิจารณ์สื่อ จนหูตูบ

 

ผมว่า มันก็สมควรแล้ว   เมื่อสื่อถูกด่ามาก ๆ จนภาพลักษณ์เริ่มเลวทราม สื่อยักษ์ใหญ่เปลี่ยนมาเล่นบทหมาแก่  ออกแนวเตือนสติสังคม  เอื้ออาทร  เริ่มพูดเรื่องการปรองดอง  พลิกบทบาทไปเล่นบทผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ 

 

กลับตัวได้เร็ว อย่างไม่น่าเชื่อ

 

ผมเริ่มเชื่อแล้วว่า  สังคมไทยที่มันเสื่อมทรามลงทุกวัน  ก็เพราะพวกสื่อตัวดี นี่เอง   ไอ้สันขวาน !!!

                       

Blue Shirt

                     

29 กันยายน 2553
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #233 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2553, 18:22:30 »

วันที่ 02 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 15:00:15 น.   มติชนออนไลน์

เปิดเส้นทางผู้ว่าฯ "หนุ่ม" ที่สุดในประเทศ "เก่ง-สุทธิพงษ์ จุลเจริญ"

ผ่านไปหมาดๆ สำหรับการโยกย้ายใหญ่ประจำปี 2553 ของกระทรวงมหาดไทย ที่บรรดาข้าราชการตั้งตารอคอย


ทุกครั้งในการแต่งตั้งโยกย้าย ยอมมีทั้งผู้ที่สมหวังและผู้ที่ผิดหวัง


สำหรับ 48 ตำแหน่ง ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 กันยายน


ใน 21 ตำแหน่งที่มีการแต่งตั้งรองผู้ว่าฯขึ้นเป็นผู้ว่าฯนั้น


มี 1 ตำแหน่งที่น่าสนใจและฮือฮามากที่สุด ที่บรรดาข้าราชการคลองหลอดต้องจับกลุ่มเม้าธ์ไม่ขาดปาก อย่างตำแหน่งรองผู้ว่าฯนครนายก ที่ขึ้นเป็นผู้ว่าฯนครนายก ของ "สุทธิพงษ์ จุลเจริญ" หรือที่คนกันเองเรียกชื่อเล่นว่า "เก่ง" วัยเพียง 46 ปี


เท่ากับว่า "สุทธิพงษ์" จะขึ้นระดับ 10 ทั้งที่ยังเหลืออายุราชการอีก 14 ปี คงเป็นผู้ว่าฯหรืออธิบดีจนเบื่อ แถมมีสิทธิคั่วปลัดกระทรวงด้วย


ชีวิตการรับราชการของสุทธิพงษ์ เมื่อครั้งเริ่มรับราชการ เป็นปลัดอำเภอเมื่อปี 2521 ที่ อ.วังเหนือ จ.ลำปาง


สนิทสนมกับ "ชานนท์ สุวสิน" อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย "สิงห์ดำ" รัฐศาสตร์ จุฬาฯ รุ่นพี่ที่คุ้นเคยกันอย่างดีกับ "คุณหญิงอ้อ" พจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี


สุทธิพงษ์จบโรงเรียนนายอำเภอ (นอ.) รุ่น 48 รุ่นเดียวกับ "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" น้องชายเนวิน ชิดชอบ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งภูมิใจไทย และมีบารมีล้นในกระทรวงมหาดไทยขณะนี้


ก่อนหน้านี้เคยเป็นที่ฮือฮามาแล้ว เมื่อครั้งที่สุทธิพงษ์ดำรงตำแหน่งปลัดอำเภออาวุโส (8 ว.) อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เมื่อเดือนมกราคม 2548


ต่อมาในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ระดับ 9) ในยุค พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา เป็น รมว.มหาดไทย "รัฐบาลทักษิณ"


จนกระทั่งยุคปฏิวัติ 19 กันยาฯ "อารีย์ วงศ์อารยะ" เป็น มท.1 สุทธิพงษ์ยังคงอยู่ในตำแหน่งอย่างเหนียวแน่น จนเข้าสู่ยุคเลือกตั้ง 2550 "รัฐบาลพลังประชาชน" ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็น มท.1 หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีก็ยังคงชื่อสุทธิพงษ์ แม้จะเปลี่ยนรัฐมนตรีมาแล้วถึง 4 คน


จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 2551 มีคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนอกฤดูกาล สุทธิพงษ์ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้ว่าฯสมุทรสงคราม และย้ายไปเป็นรองผู้ว่าฯนครนายก ในปี 2552


ในระหว่างดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าฯ สุทธิพงษ์ยังต้องรับภาระเป็นคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่มีประธานคณะทำงานชื่อ "ศักดิ์สยาม"


และได้รับการการผลักดันให้เข้าอบรมหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูงสถาบันพระปกเกล้า ในโควต้าของประธานสภา ชัย ชิดชอบ จนจบหลักสูตร เพื่อเป็นการปูทางขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ว่าฯ


สุทธิพงษ์จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ว่าฯที่อายุน้อยที่สุดในประเทศในปัจจุบัน จนหลายคนต้องกล่าวขวัญว่า "เก่ง" สมชื่อจริงๆ

 

(จากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 2 ตุลาคม 2553)
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #234 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2553, 18:29:13 »

ที่แท้สาวก “เสื้อแดง” โทร.ขู่บึ้มศิริราช อ้างไม่พอใจพรรคคู่แข่ง 
 
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 4 ตุลาคม 2553 17:02 น.
 
 
 
 พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา รรท.ผบช.น.แถลงข่าวจับกุมนายสุริยันต์ หรือหมี กกเปือย อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาโทรขู่วางบึ้มศิริราช

 
 ที่แท้สาวก “เสื้อแดง” โทร.ขู่บึ้ม รพ.ศิริราช ตำรวจรวบตัวได้ขณะกำลังไปทำงานซ่อมรองเท้าหน้าช่อง 5 พร้อมยึดของกลางเสื้อ “ความจริงวันนี้” เจ้าตัวรับชื่นชอบพรรคการเมืองหนึ่ง และไม่พอใจอีกพรรคการเมืองหนึ่ง เหตุที่ทำเพราะความคึกคะนองและลงมือก่อเหตุคนเดียวไม่มีใครจ้าง ด้าน ตร.เตรียมนำตัวฝากขังวันพรุ่งนี้ พร้อมคัดค้านประกันตัว
       
         วันนี้ (4 ต.ค.) เวลา 15.30 น.ที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 (บก.น.1) พล.ต.ท.จักรทิพย์ พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วิชัย พ.ต.อ.ชาตรี กาญจนกันติ ผกก.สน.ดินแดง แถลงฝ่ายสืบสวน สน.ดินแดง นำกำลังจับกุม นายสุริยันต์ หรือ หมี กกเปือย อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 194 หมู่ 6 ต.สงเปือย อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร พร้อมของกลางกางเกงยีนส์ สีน้ำเงิน 1 ตัว เสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีแดง ปักชื่อว่า “ความจริงวันนี้” 1 ตัว เสื้อยืดสีชมพู ปักชื่อ “ไม่ต้องจ้างกูมาเอง” 1 ตัว รองเท้าแตะ 1 คู่ และถุงพลาสติกสีเหลือง 1 ใบ ที่ถือในวันเกิดเหตุ จับได้ที่ร้านซ่อมรองเท้า ใกล้โรงพยาบาลพญาไท 2 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. เมื่อเวลา 11.00 น.ที่ผ่านมา โดยนำภาพผู้ต้องหามาแถลงไม่ได้นำตัวมาแถลงแต่อย่างใด
       
       พล.ต.ท.จักรทิพย์ กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุดังกล่าว ทาง พล.ต.ต.สุเมธ ได้กำชับ พล.ต.ต.วิชัย ให้ฝ่ายสืบสวน สน.ดินแดง ติดตามสืบสวนจับกุม จากการสืบสวนพบว่าคนร้ายโทรศัพท์จากตู้สาธารณะบริเวณหน้าช่อง 5 โดยออกจากห้องพักย่านสะพายควายเวลาประมาณ 07.00 น.จากนั้นโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะ เวลาประมาณ 08.00 น.ขณะกำลังจะไปทำงานที่ร้านซ่อมรองเท้าหน้าช่อง 5 โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 5 วันในการติดตามจับกุม โดยขณะนี้ก็อยู่ระหว่างสอบสวนอยู่ ถึงรายละเอียดต่างๆ โดยเบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพว่าทำคนเดียวไม่มีใครจ้างมา ทำเพราะความคึกคะนองเท่านั้น แต่ก็จะสอบสวนต่อไป โดยเท่าที่พูดคุยเรื่องความผิดปกติเรื่องจิตก็เป็นปกติดี
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่าผู้ต้องหามีความจงรักภักดีต่อสถาบันหรือไม่ พล.ต.ท.จักรทิพย์ กล่าวว่า เท่าที่ถามก็มีแต่น่าจะเป็นเพราะอารมณ์พาไปมากกว่า เพราะชื่นชอบพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง และที่โทรไปที่โรงพยาบาลศิริราช ก็เนื่องจากเป็นสถานที่สำคัญไม่ได้คิดอะไร โดยก็ถามว่าก่อนทำไปดูหนังอะไรมาหรือเปล่า ก็บอกว่าเมื่อคืนดูหนังฝรั่งมาเรื่องหนึ่ง ซึ่งขอฝากไปถึงประชาชนทั่วไปว่าทำแบบนี้ไม่เป็นผลดี ทุกวันนี้เทคโนโลยี กล้องวงจรปิดเยอะ บางครั้งประชาชนอาจคาดไม่ถึงว่าเจ้าหน้าที่จะตามจับได้ เพราะฉะนั้นอย่าทำดีกว่า
       
       ด้าน พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า ที่ไม่ได้นำผู้ต้องหามาแถลงเนื่องจากเป็นคดีสำคัญ อาจกระทบต่อความรู้สึก และก็กำลังสอบสวนว่า มีผู้เกี่ยวข้องอีกหรือไม่ อย่างไรก็ตามเบื้องต้นผู้ต้องหาทำเพียงคนเดียว และทำไปเพราะความคึกคะนอง ที่ผ่านมาก็ไม่ได้หลบหนีแต่หยุดงานซ่อมรองเท้าวันเสาร์-อาทิตย์ จึงเพิ่งตามจับได้
       
       เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาว่า ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว หรือความตกใจ โดยการขู่เข็ญ มีโทษจำคุก 1 ปีปรับไม่เกิน 1,000 บาท ซึ่งในชั้นนี้คัดค้านการประกันตัว และจะส่งฝากขังต่อศาลในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ สำหรับสาเหตุที่ทำก็เพราะไม่พอใจพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง และยอมรับว่าเคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงการชุมนุมที่ผ่านมา
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังแถลงข่าวเสร็จสิ้น พล.ต.ท.จักรทิพย์ ได้มอบเงินสดจำนวน 20,000 บาท ให้กับ พ.ต.อ.ชาตรี เพื่อเป็นกำลังใจให้ลูกน้องและขอบคุณที่ตามจับคนร้ายได้ โดยเมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา ก็ได้มอบเงินกว่า 150,000 บาท ให้กับเจ้าหน้าที่ บก.สส. บช.น.ที่ตามจับคนร้ายคดีปล้นรถขนเงินธนาคารทหารไทย 16 ล้านบาทได้ด้วย
       
 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #235 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553, 13:30:37 »

ผบช.น.โอเค !!พธม.จัดรำลึก 7 ตุลา ลานพระรูปได้ ชี้ไม่ละเมิด พ.ร.ก.
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 ตุลาคม 2553 12:02 น.
 
 
  โฆษกพันธมิตรฯ เผยทำความเข้าใจ “จักรทิพย์” แล้ว ยันจัดรำลึก 7 ตุลา ลานพระรูปมีแค่พิธีสงฆ์ เจ้าตัวกางข้อกฎหมายโชว์ ชี้ไม่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จัดงานได้ พร้อมส่งกำลังรักษาความปลอดภัย เตรียมแจง ศอฉ.ต่อ
       
       วันนี้ (5 ต.ค.) ที่บ้านพระอาทิตย์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการจัดงานรำลึกครบรอบ 2 ปี เหตุการณ์ 7 ตุลาว่า วันนี้ตนได้ไปพบ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมคณะจัดงาน เพื่อทำความเข้าใจหลังจากที่ ทาง ศอฉ.ได้แถลงว่าไม่เห็นชอบกับการจัดงานของพันธมิตรฯ ในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ เราก็ไปชี้แจงว่างานดังกล่าวจะแบ่งเป็นกิจกรรม 2 ส่วน คือ กิจกรรมในช่วงเช้าที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งจะเป็นกิจกรรมทางศาสนาเพียงอย่างเดียว ส่วนกิจกรรมตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ก็จะเป็นกิจกรรมที่จัดบริเวณหน้าลานสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ซึ่งเราได้อธิบายในกิจกรรมแรกว่าจะมีพระสงฆ์มาเพื่อให้ญาติโยมได้ทำบุญตักบาตรเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ต่างๆ ตลอด 193 วันในการชุมนุมของพันธมิตรฯ โดยไม่มีการปราศรัยแต่อย่างใด มีเพียงแต่ปะรำพิธีทางศาสนาอย่างเดียว มีการใช้เครื่องเสียงเฉพาะพระสงฆ์สวด
       
       นายปานเทพกล่าวต่อว่า เมื่อไปชี้แจงเสร็จทางผู้บัญชาการตำรวจนครบาลก็เอาข้อกฎหมายให้ดูก็ได้พบว่า กิจกรรมที่ทางพันธมิตรฯ จะจัดนั้นไม่ถือเป็นการชุมนุม ไม่เป็นการมั่วสุม แต่เป็นพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งแตกต่างจากการยั่วยุปลุกระดมให้เกิดความรุนแรง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่เข้าข่ายในเกณฑ์ข้อห้ามตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนการจัดพิธีก็อยู่ในพื้นที่ฟุตบาทอาจจะมีล้ำในพื้นที่ถนนบ้างแต่ก็ไม่ถือเป็นการปิดการจราจร ทั้งนี้ยังได้มีการประสานงานกับตำรวจในหลายส่วน โดยเจ้าหน้าที่จะจัดการดูแลรักษาความปลอดภัยให้ เมื่อมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างภาคประชาชนและเจ้าหน้าที่ ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่มีการร่วมมือกัน ทำให้การจัดกิจกรรมดีๆสามารถเดินต่อไปได้ ขณะที่กิจกรรมที่บ้านเจ้าพระยานั้น ทางเจ้าหน้าที่ก็จะทำการตรวจสกัดสิ่งที่อาจจะเป็นอันตรายต่อการจัดงาน ตั้งแต่หัวถนน และท้ายถนน รวมถึงพื้นที่ด้านแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย อย่างไรก็ตามทางผู้บัญชาการตำรวจนครบาลจะไปชี้แจงให้ทาง ศอฉ.ทราบต่อไป
       
       โดยกำหนดการจัดงาน 7 ตุลา อย่าให้สูญเปล่า ในวันที่ 7 ตุลาคม 2553 มีดังนี้
       ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า
       06.00-07.00 น. ประชาชนร่วมกันตักบาตรข้าวสวยแด่พระสงฆ์
       07.00-07.59 น. ถวายภัตตาหารเช้าพระสงฆ์
       08.00 น.ร้องเพลงชาติ โดย นายสุชาติ ชวางกูร
       08.01-10.00 น. ถวายสังฆทาน ทอดผ้าบังสุกุล และพิธีกรรมทางศาสนาอื่นๆ
       
       บริเวณลานหน้าสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี
       11.00-13.30 น. แสดงดนตรี อ่านบทกวี และวาดภาพบนเวที
       13.30-14.30 น. เสวนา เวทีวีรชน : ผู้บาดเจ็บ
       14.30-16.00 น. แสดงดนตรีและกิจกรรมของญาติวีรชน
       16.00-17.30 น. แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 1, 2 กล่าวรำลึกวีรชน
       17.30-22.00 น. แสดงดนตรี

 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #236 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2553, 11:14:14 »

ข้อคิดดีๆ จากชายชราที่จากไป.....ป๋วย อึ้งภากรณ์‏





เมื่อได้อ่านแล้ว
ผมรู้สึกคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปครับ

แง่คิดดีๆ   จากชายชราผู้จากไป

(ยกมาจากอีเมล์ส่งต่อ)  

สัปดาห์ สุดท้ายของปี   2548   ผมไป งานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย  81 ปีที่ผมรู้จักเขามา
 ยาว นาน 30 ปี ไม่ใช่ญาติ  แต่สนิทกันรักใคร่เสมือนญาติ
 
 ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยา แบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่า
 สวด สามวันแล้วเผา
 ไม่ ต้องบอกใครให้วุ่นวาย
 อย่า เศร้า
 อย่า ร้องไห้
 ทุกคน ต้องมีวันนี้
เพียง แต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน
 แล้ว ลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง
 สวด สามวันเผา
งาน สวด 3  คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ    14 คน
คือเมีย ลูก หลาน!
 เขย สะใภ้
 และผมซึ่งเป็นคนนอก
 
 เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด
 
 วันเผามีเพิ่มเป็น 17   คน
 สามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็น
 คนหนึ่งเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย
 เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบคนหนึ่ง
 และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น
 ทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา
 เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
 เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว  3 วัน
 
 หลังฌาปนกิจ พระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่า เจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง
 พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพ ที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก
 
 จริงๆ  แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์
 ทำงาน ธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ ตำแหน่ง หัวหน้าหน่วย
 แต่ ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย   อึ๊งภากรณ์
 อดีต ผู้ว่าการแบงค์ชาติ
 จึง ดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน -
 แม้ กระทั่งวันตาย
 
 ผม สนิทกับเขา เพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบไม้เมืองเดิม
  ที่ เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้
 เมื่อ ตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้
 พอมาเจอะผมที่เป็น นักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา

การมี โอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด  30  ปี
ทำให้ได้แง่คิดดีๆมา ใช้ในการ ดำรงชีวิต
 
 วัน หนึ่งเขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา  4 แสนกว่าบาท  เขา ปลอบใจผมว่า
' ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา
 แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา
 คิดซะว่าได้ทำบุญ  จะได้ไม่ทุกข์ '
 
 เขามี วิธีคิด ' เท่ๆ '
 แบบผม คิดไม่ได้มากมาย
เป็น ต้นว่า
สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา
อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร
 คง เป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข
 ช่วง ปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา
 เบา หวาน หัวใจ ความดัน  เกาต์
 และไต ทำงานเพียง 5  เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่น
แถม ยัง   สามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวัน หยุดสุดสัปดาห์
โดยที่ตัวเองต้อง หิ้วถุง ปัสสาวะ ไป ด้วยตลอดเวลา
เนื่อง จากไตไม่ทำงาน  ปัสสาวะเองไม่ได้    
6  เดือน สุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนอนบ้านสี่วันสลับกันไป
 เวลา ลูกหลาน   หรือเพื่อนของลูกรวมทั้ง ผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
เขามี แรงพูดติดต่อกันไม่เกิน  10 นาที
แต่ 10 นาที    ที่ พูด  มีแต่เรื่องสนุกสนาน
 เรียก รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไป   เยี่ยม ไข้
ทุกคน พูดตรงกันว่า
' คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย
ตลกเหมือนเดิม '
 พอ แขกกลับ
 ลูก หลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก
เขา ตอบว่า

' ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย
 วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก '
 
 เขา เป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่
 บ่อย ครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว
 แต่ สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุย
ไม่จบ เรื่อง  
แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์ !
 
 4 เดือน สุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัย เป็นแพทย์อินเทิร์น
 จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนก แนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับบ้าน
 
 แต่ อยู่ได้ 4   วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน
 หมอซึ่งรักษากันมา 16  ปีไม่ยอม
เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า
 ' ขอให้ผมกลับบ้าน เถอะ
ผมอยากฟังเสียงนกร้อง'
 คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร
 เพราะ  พอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน '
 หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้
 ยอมให้คนไข้กลับบ้าน
 แต่ กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง
 
 1  เดือน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
 เขา สูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด
 เคลื่อน ไหวได้อย่างเดียวคือกะพริบตา
 แต่ แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก
 เวลา ลูก   เมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า
' ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที '
 เขา กะพริบตาสองทีทุกครั้ง !
 เห็น แล้วทั้งดีใจและใจหาย
 
 เขา ยังรับรู้
 แต่ พูดไม่ได้
 นี่ กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง
 
 สิบ วันก่อนพลัดพราก
 ภรรยา กระซิบข้างหูว่า
 ' พ่อสู้นะ '
เขา ไม่กะพริบตาซะแล้ว
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า
 ' สู้ '
 
 เขา สู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค
สู้ ชนิดที่หมอออกปากว่า
 ' คุณลุงแกสู้จริงๆ '
 
 ตอน ที่วางดอกไม้จันทน์
 ผมนึก ถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า
  
' โรค ภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว
อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย '
' แง่คิดดีๆ   จากชายชราที่จากไป '
 สอน ให้เรารู้ว่า...
 
 เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์
 และมันสมองมหัศจรรย์
 ที่จะสามารถเรียนรู้
 แยกแยะเรื่องดีๆและสิ่งร้ายๆในชีวิต
 จงใช้โอกาสดีๆที่ร่างกายและจิตใจของเรา
ยังทำอะไรๆได้อย่างที่สมองสั่ง

 จงเรียนรู้
 และสร้างประโยชน์สุข
 ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง
และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ!

 หากทุกๆครั้งที่เรียนรู้
 เราล้ม
 เราพลาดอาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที
 แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที..แต่ข้อให้มีกำลังใจที่จะสู้ ต่อไป
ถ้าเราเรียนรู้...ก็จะทำให้เราพบว่า

 การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป
 เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม
  
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #237 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2553, 12:04:01 »

ไม่ใช้ผู้นำยอดแย่ แต่เป็นผู้นำที่เลว ทักษิณ ชินวัตร ที่ Foreign Policy อยากให้โลกรู้จัก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 ตุลาคม 2553 23:46 น.

      
ถูกต้องแล้ว ที่นายนพดล ปัทมะะ ที่ปรึกษา นช. ทักษิณ ชินวัตร จะแก้ต่าง แทนเจ้านายของตนว่า บทความเรื่อง Bad Exes ที่เขียนโดย นายโจชัว อี คีทติ้ง ซึ่งเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ foreignpolicy.com ไม่ได้ระบุว่า นช. ทักษิณ เป็น 1 ใน 5 ผู้นำยอดแย่
       
      คำว่า Bad Exes ต้องแปลว่า ผู้บริหารชั่ว ผู้บริหารเลว จึงจะฟังเข้าท่า ดูเข้าทีกว่า
       

       นายคีทติ้ง ซึ่งเป็นผู้ข่วยบรรณาธิการของ foreignpolicy เขียนโปรยไว้ในตอนต้นเรื่องว่า "อดีตประธานาธิบดี และอดีตนายกรัฐมนตรีส่วนใหญ่ อุทิศตนสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้โลก หรือไม่ก็ปลีกตัวหายไปเงียบๆ ต่อไปนี้คือ อดีตผู้นำ 5 ราย ที่ไม่ได้เป็นทั้งสองแบบนี้ "
       
       นช. ทักษิณ เป็น 1 ใน 5 รายที่ว่านี้ ที่ไม่ได้อยู่เฉยๆ และไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้โลกใบนี้เลย
       
       นายคีทติ้ง ไม่ได้บอกว่า นช. ทักษิณ ใช้พาสปอร์ตปลอม แต่ใช้พาสปอร์ต ที่ได้รับมาอย่างผิดกฎหมาย จากประเทศต่างๆจำนวนหนึ่ง ( illegally received passports ) ซึ่งอาจจะหมายถึง หนังสือเดินทาง ที่ซื้อ หรือขอ หรือได้มาด้วยการแลกเปลี่ยนที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมก็ได้
       
       จนถึงเย็นวานนี้ เว็บไซต์ foreignpolicy.com มีผู้เข้าไปอ่านเรื่อง Bad Exes มากเป็นอันดับหนึ่ง และมีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง มีทั้งเห็นด้วย และด่าผู้เขียนบทความ รวมทั้ง แก้ต่างให้ นช. ทักษิณ
       
       นช. ทักษิณ เคยแต่จ้างวานให้บริษัทพีอาร์ และสื่อต่างประเทศ เขียนข่าวบิดเบือนให้ร้ายประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่อง มาเจอเรื่องจริง ที่คนไทยรู้เช่นเห็นชาติมานานแล้ว ที่สื่อฝรั่งนำไปเผยแพร่เข้าให้บ้าง ย่อมจะต้องร้อนตัวเป็นธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องจริงของเขา มาปรากฏในเว็บไซต์ของนิตยสารที่เป็นที่รู้จักกันในหมู่นักการทูต ผู้บริหารประเทศ และผู้สนใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความมั่นคง อย่าง Foreign Policy
       
       นิตยสารเล่มนี้ มีอายุถึงวันนี้ 40 ปีแล้ว เพราะก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1970 โดย แซมมวล ฮันติงตัน และ วาร์เรน เดเมียน แมนเซล
       
       ฮันติงตัน เป็นนักวิชาการรัฐศาสตร์ชื่อก้องโลกคนหนึ่ง ผลงานที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู้ผู้ที่ศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ หว่างประเทศคือ หนังสือชื่อ "การปะทะกันของอารยธรรม และการจัดระเบียบโลกใหม่" ( The Clash of Civilization and the Remaking of World Order) ซึ่งเสนอมุมมองใหม่ เกี่ยวกับสถานการณ์โลก หลังยุคสงครามเย็น
       
       ส่วนแมนเซล เป็นชาวเยอรมนี ซึ่งโอนสัญชาติเป็นอเมริกัน เป็นเพื่อนเรียนหนังสือกับเฮนรี่ คิสซืงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ผู้ทรงอิทธิพลของสหรัฐ เคยเป็นทูตสหรัฐ ฯ ประจำเดนมาร์ก ระหว่างปี 1978 -1981 และยังเป็น วาณิชธนกร ด้วย
       
       ทั้งสองคนนี้ เป็นบรรณาธิการนิตยสาร Foreign Policy จนถึงปี 1977
       
       นิตยสารเล่มนี้ ในยุคแรกๆ เป็นนิตยสารรายไตรมาส ซึ่งต่อมาได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนคาร์เนกี เพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ( Carnegie Endowment for International Peace ) ซึ่งเป็นสถาบันที่ผลิตงานเชิงความคิด และนโยบายทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของเอกชน ก่อตั้งโดย แอนดรูว์ คาร์เนกี มหาเศรษฐีนักอุตสาหกรรมชาวอเมริกัน เมื่อปี 1910
       
       เป็นปกติ ของนิตยสารวิชาการเฉพาะด้าน ที่มีเนื้อหาเคร่งเครียด น่าเบื่อ ไม่น่าอ่านสำหรับคนทั่วไปที่มิใช่นักวิชาการ หรือผู้ทีสนใจในเรื่องนั้นๆ การจัดรูปเล่มก็ไม่ชวนอ่าน เพราะให้ความสำคัญกับสาระมากกว่ารูปแบบ นิตยสารForeign Policy ก็เป็นเช่นนั้น จึงแทบจะไม่เป็นที่รู้จักทั่วไปสักเท่าไรนัก และถ้าพูดถึง การได้รับความยอมรับ และอิทธิพลในวงการแล้ว ก็น่าจะด้อยกว่า นิตยสารประเภทเดียวกันคือ Foreign Affairs ซึ่งเกิดก่อนเกือบ 50 ปี และเป็นสื่อความเห็นของ สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือ Council of Foreign Relation ซึ่งเป็นกลุ่มนักธุรกิจขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล และอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ ที่มีอิทธิพลอย่างสูง ต่อนโยบายต่างประเทศของอเมริกา
       
       คนที่ทำให้ foreign policy เปลี่ยนโฉม จากนิตยสารเชยๆ เนื้อหาน่าเบื่อ มาเป็นนิตยสารเกี่ยวกับ "เศรษฐกิจ การเมือง และความคิด ของโลก" ในรูปลักษ์ใหม่ที่มีสีสัน การจัดรูปเล่ม และกราฟฟิค ชวนอ่าน จนได้รับรางวัล นิตยสารที่เป็นเลิศแห่งชาติ ถึง 3 ครั้ง คือ Moises Naim ชาวเวเนซุเอลา ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรม ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 และ เป็นนักเขียน คอลัมนิสต์ ในเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ การพัฒนา และโลกาภิวัตน์ มีผลงานในหนังสือพิมพ์ชั้นนำของสหรัฐฯ และยุโรป
       
       Moises Naim ยังเปลี่ยน Foreign Policy จากนิตยสารรายไตรมาส เป็น นิตยสารราย 2 เดือน และเพิ่มเนื้อหาใหม่ๆ ที่เป็นปรากฎการณ์ของโลกาภิวัตน์ เช่น เรื่องของ วิคเตอร์ บูท ซึ่งเป็นพ่อค้าค้าอาวุธรายใหญ่ ขบวนการซื้อขายเด็ก ในประเทศกำลังพัฒนา เพื่อขายให้กับ ดารา ไฮโซ ในสหรัฐฯ ที่นิยมสะสมลูกบุญธรรมต่างผิวพันธุ์ เส้นทางการหลบหนีออกจากประเทศของชาวเกาหลีเหนือ ที่มีปลายทางอยู่ที่เชียงราย ฯลฯ
       
       นอกจากนั้น ยังร่วมกับมูลนิธิ กองทุนสันติภาพ จัดทำดัชนี รัฐที่ล้มเหลว (Failed State Index ) ทุกปี จนถูกนำไปใช้อ้างอิงอย่างกว้างขวาง รวมทั้ง การจัดทำดัชนีโลกาภิวัตน์ ( Globalization Index) เพื่อวัดความเป็นโลกาภิวัฒน์ของประเทศต่างๆในแต่ละปี
       
       ความเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา
       
       Foreign Policy มียอดจำหน่ายฉบับละ 100,000 เล่ม แต่ยังต้องขาดทุนประมาณปีละ 1 ล้านเหรียญ
       
       Moises Naim เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ตั้งแต่ปี 1996-2010 เขาลาออกเมื่อต้นปีนี้ หลังจากที่ หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ซื้อ Foreign Policy ในเดือน ตุลาคม 2008 และแต่งตั้งให้ซูซาน แกลสเซอร์ ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวระดับชาติของวอชิงตันโพสต์มาเป็นบรรณาธิการบริหาร
       
       เป้าหมายหนึ่งของวอชิงตันโพสต์คือ ใช้ Foreign Policy เป็นฐานในการพัฒนาข่าวออนไลน์ โดยอาศัยจุดแข็งของForeign Policy ที่มีข่าว และบทความที่กว้างกว่า ครอบคลุมถึงสถานการ์ทั่วโลก อย่างหลากหลาย ในขณะที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ จะเน้นที่ การเมือง และนโยบายในวอขิงตัน ดีซี เป็นหลัก
       
       เดิม เว็บไซต์ foreignpolicy.com ทำหน้าที่เป็นตัวเสริมนิตยสารเท่านั้น แต่หลังจากวอขิงตันโพสต์เป็นเจ้าของ ได้พัฒนา foreignpolicy.com ให้เป็นสื่อออนไลน์ เพื่อเป็น "นิตยสารรายวันของผู้ที่สนใจเรื่องของโลก" โดยการระดมนักข่าว นักเขียนในเครือวอชิงตัน โพสต์ และนักเขียนภายนอก มาเขียนบล็อก มีกองบรรณาธิการที่ทำข่าวป้อนให้เป็นทุกวัน เพื่อให้เว็บมีความเคลือนไหว สด ใหม่ ทุกวัน โดยที่ เนื้อหาจากนิตยสาร เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ เว็บไซต์เท่านั้น ที่เปิดให้ผุ้ที่ลงทะเบียนอ่านฟรี
       
       เว็บไซต์ foreignpolicy.com เปิดตัวโฉมใหม่มาตั้งแต่ เดือนมกราคมปีที่แล้ว บางที บทความเรื่อง ผู้บริหารเลวๆ ชิ้นนี้ อาจจะทำให้ มีผู้เข้าไปชมเว็บไซต์นี้มากที่สุดวันหนึ่งก็ได้
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #238 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2553, 09:56:03 »

วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 06:30:48 น.   มติชนออนไลน์

"สายลับ2หน้า"เจาะยาง-ล้วงตับศาลรัฐธรรมนูญคดียุบ ปชป. ตุลาการผวาไม่กล้ากินน้ำ-อาหารหวั่นถูกวางยา

ถ้าตัดประเด็นเรื่องข้อเท็จจริงในการพิสูจน์ว่าคลิป 5 ตอนที่ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์ Youtube และอ้างว่า เป็นการต่อรองในเรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์แล้ว


การที่คลิปในที่ประชุมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ปรึกษาหารือในคดี ความต่างๆถูกนำออกมาจากที่ประชุมมาเผยแพร่ตามเว็บไซต์ในลักษณะเช่นนี้ได้ สร้างความวิกตกังวลและหวาดผวาแก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายคน


เพราะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ในศาลรัฐธรรมนูญ มี"หนอนบ่อนไส้"ที่นำเอาความเคลื่อนไหวและความลับของศาลรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะการปรึกษาหารือเรื่องคดีความซึ่งถือเป็น"ความลับสุดยอด" ของตุลาการไม่ว่า ศาลใดๆออกมารายงานให้บุคคลภายนอกรู้ซึ่งจะเปิดช่องให้มีการวิ่งเต้นคดีและทำให้สาธารณชนขาดความเชื่อมั่นต่อระบบศาล


จากคลิปที่มีการนำมาเผยแพร่ในYoutubeนั้น  ตอนที่ 1 เป็นเพียงภาพนิ่งของกลุ่มบุคคลที่นั่งคุยกันในห้องรับแขกประมาณ 6 คน ขณะที่มีเจ้าหน้าที่สาวรายหนึ่งกำลังเสิร์ฟน้ำและ/น้ำชา กาแฟ บุคคลที่รู้จักกันดีและผู้เผยแพร่ต้องการให้เห็นมากที่สุดคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และนายอักขราทร จุฬารัตน อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด(ดูคลิปตอนที่ 1 ในYoutube)

 

แต่มิได้มีหลักฐานว่า คุยกันเรื่องอะไร เหตุเกิดที่ไหน และเมื่อไหร่


ตอนที่ 2 เป็นภาพเคลื่อนไหวของนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในทีมกฎหมายในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์รับประทานและพูดคุยกับนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ณ ร้านอาหารฟู้ดดี้ หมู่บ้านปูนซิเมนต์ไทย ย่านถนนประชาชื่น


จากภาพเห็นชัดว่า ผู้ถ่ายภาพซ่อนกล้องไว้ข้างกระเป๋าใบหนึ่ง ในช่วงแรกนายพสิษฐ์นั่งหันให้กล้อง และนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนายวิรัชซึ่งการพูดคุยก็สะดวกอยู่แล้ว  แต่อยู่ดีๆกลับลุกขึ้นออกมานั่งด้านข้างเหมือนจงใจให้กล้องถ่ายเห็นหน้านาย วิรัช(คำชี้แจงของนายวิรัช ร่มเย็น)


นอกจากนั้นในคลิป นายวรวุฒิ นวโภคิน ที่ปรึกษากรรมาธิการการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นเพื่อนกับนายวิรัชนั่งอยู่ด้วย(ดูคลิปตอนที่ 2 ในYoutube)

 

ตอนที่ 3-5 เป็นการถ่ายในห้องประชุมตุลาการที่มีการปรึกษาหารือเรื่องคดี โดยมีเจ้าหน้าที่หลายคนนั่งอยู่ด้วย


เป็นที่น่าสังเกตุว่า มุมกล้องในคลิปตอนที่ 3 และตอนที่ 4 และ 5  แตกต่างกันเล็กน้อย โดยคลิปตอนแรกเห็นหน้านายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และเห็นด้านข้างของนายสุพจน์ ไขมุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีกคนหนึ่ง


แต่คลิปตอนที่ 4และ 5 เห็น นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญและเจ้าหน้าที่สตรีอีกคนหนึ่ง(ดูคลิป ตอน3 )(ดูลิป ตอนที่ 4 )(ดูคลิปตอนที่5)

 

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญรายหนึ่งเปิดเผยว่า เมื่อดูภาพจากคลิปที่ถ่ายในห้อง ประชุมแล้วเห็นชัดว่า  เป็นการแอบถ่ายโดยคลิปตอนที่ 3 กับตอนที่ 4และ 5 เป็นการถ่ายคนละวัน


คลิปตอนที่ 3 นั้น เป็นการประชุมในวันจันทร์ที่ 4 หรือ 11 ตุลาคม จำไม่ได้แน่ชัด ต้องขอตรวจสอบอีกครั้ง ในวันดังกล่าว เป็นการหารือกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์  ส.ส.พรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่า ถ้าไม่มีใบสั่ง ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคไปนานแล้วว่า เข้าข่ายหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ จะดำเนินคดีกับนายจตุพรหรือไม่ มิได้มีการหารือเกี่ยวกับคดียุบพรรคโดยตรง เพราะในคลิปจะได้ยินเสียงของนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ หนึ่งในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งถอนตัวจากการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัต ย์ทั้ง 2 คดี แสดงความเห็นว่า  เป็นอำนาจของเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินใจว่าจะดำเนินคดีหรือไม่


จากนั้นนายวสันต์ได้ออกจากที่ประชุมไปพร้อมนายเฉลิมพล  เอกอุรุ ตุลาการรัฐธรรมนูญที่ถอนตัวจากคดีเช่นเดียวกัน


ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า ส่วนคลิปตอนที่ 4 หรือ 5 น่าจะเป็นการประชุมวันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม ซึ่งในการประชุมมีการรายงานความคืบหน้าเรื่องการดำเนินคดีกับนายจตุพร ไม่เกี่ยวกับคดียุบพรรคเช่นเดียวกัน


" ถ้าตรวจสอบจริงๆก็คงรู้ว่า ใครนั่งตรงจุดที่มีการแอบถ่ายคลิปและคงรู้ว่า เป็นใคร ขึ้นอยู่กับประธานศาลรัฐธรรมนูญและเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินการ แต่ สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงว่า ไม่สามารถไว้ใใจใครได้แล้ว เพราะมีหนอนบ่อนไส้ในศาลรัฐธรรมนูญคอยรายงานความ เคลื่อนไว้ให้คนภายนอกรู้บอกตรงๆว่า ผมไม่ยอมกินน้ำ กาแฟ หรืออาหารที่ศาลจัดไว้ให้  ผมต้องเอากินเองเพราะกลัวโดนวางยา"ตุลาการรายเดิมกล่าว


ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนกับมีคนบางคน คอยรายงานความเคลื่อนไหวให้ฝ่ายค้านรู้ ขณะเดียวกันใช้วิธีการทำเป็นพวกเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์แล้วล่อซื้อให้ติด กับเพื่อเล่นงานพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพฤติกรรมคล้าย"สายลับ 2 หน้า" และส่งผลเสียต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วย


สำหรับนายพศิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญที่ตกเป็นข่าวว่าไปพูดคุยกับนายวิรัช ร่มเย็นนั้น ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ที่ทราบประธานไปชวนมาเป็นเลขานุการ จบทางด้ายกายภาพบำบัด เดิมทำงานที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์(กำลังเรียนปริญญญาเอก สาขาผู้นำทางสังคม ธุรกิจ และการเมือง  มหาวิทยาลัยรังสิต จบปริญญาโทบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น)


ตุลาการรายเดิมกล่าวว่า การที่มีหลักฐานว่า นายพสิษฐ์ซึ่งเป็นเลขานุการส่วนตัวไปพบ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในลักษณะดังกล่าว ทำให้คนตั้งข้อสงสัยและเสียหายถึงตัวประธานและศาลรัฐธรรมนูญด้วย
------------------------------
หมายเหตุ-ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วย นายชัช  ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ   นายจรัญ  ภักดีธนากุล นายจรูญ  อินทจาร  นายเฉลิมพล  เอกอุรุ นายนุรักษ์  มาประณีต นายบุญส่ง  กุลบุปผา นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ นายสุพจน์  ไข่มุกด์ นายอุดมศักดิ์  นิติมนตรี

   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #239 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2553, 10:38:39 »

แดงนำพรรค-พท.กำเดาไหล จุดบอดชวดรัฐบาล
14 ตุลาคม 2553 posttoday online
ยังมี สส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งที่อยากเห็นพรรคถอยฉากจากเสื้อแดง

โดย...ทีมข่าวการเมือง

 


ยังมี สส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งที่อยากเห็นพรรคถอยฉากจากเสื้อแดง

เพื่อแยกความรับผิดชอบ เลี่ยงผลกระทบไม่ให้พรรคเพื่อไทยเผชิญกับแรงต้านทางการ เมือง โดยเฉพาะระเบิดที่ลงกับเสื้อแดงและกระเทือนเป็นโดมิโนต่อพรรคเพื่อไทย

จุดแข็งของเสื้อแดงในด้านมวลชนทำให้พรรคเพื่อไทยมีฐานสนับสนุนเข้มแข็ง แต่ด้านหนึ่งถ้าเสื้อแดงทำพลาด ใช้ความรุนแรง เผาเมือง โจมตีสถาบัน ก็ส่งผลลบต่อพรรคเพื่อไทยเพียงชั่วข้ามคืนเช่นกัน

การต่อสู้ในช่วงหลัง มีหลักฐานซัดทอดเสื้อแดงว่า ใช้ความรุนแรง เตรียมสร้างสถานการณ์ป่วนเมือง กรณีนักรบเสื้อแดง 39 คน ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันไปเขมรเพื่อฝึกอาวุธ เตรียมลอบสังหารคนสำคัญในรัฐบาล

ทุกเรื่อง “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำ นปช. เป็นตัวแทนขบวนเสื้อแดง ชี้แจง ตอบโต้ คนเดียวหมด บางเรื่องที่คลุมเครือ อาจพอรับฟังได้ แต่ที่มีหลักฐานแน่น เช่นกรณี “สมัย วงศ์สุวรรณ” คนเสื้อแดง จ.เชียงใหม่ ที่ประกอบระเบิดเองจนพลาดเสียชีวิต ยุทธวิธี “แถ 360 องศา” ที่จตุพรใช้มาตลอด

ซึ่งหลายครั้งคนในเพื่อไทยก็รื้อสมองไม่ทัน เช่น วาทกรรม เสื้อแดงเทียม ทุบรถอภิสิทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทยจนอึ้งกันทั้งเมือง

เมื่อจตุพรป้ายสีกลับว่า เป็นแผนฝ่ายตรงข้ามเพราะ “สมัย” มือบึ้มเป็นญาติห่างๆ กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เนื่องจากนามสกุลคล้ายกัน แต่เมื่ออีกฝั่งยืนยันไม่เกี่ยวข้อง จตุพรก็ไหลลื่นไปเรื่อย ทำให้เสียคะแนน “คนกลางๆ” ที่ติดตามคดีบึ้มด้วยใจเป็นธรรม

แน่นอน คำชี้แจงของจตุพรจะจริงจะเท็จ ย่อมไม่มีผลต่อชาวเสื้อแดงด้วยกันที่พร้อมเชื่อฟังเกิน 100% และคิดว่าทุกอย่างที่เสื้อแดงเรียกร้องประชาธิปไตยและเลิกสองมาตรฐานมีแต่ความสวยงาม เพราะยึด สันติ อหิงสาปราศจากอาวุธ แต่ถ้ามีรอยด่างใช้ความรุนแรงนอกกฎหมายเมื่อไหร่จะไม่ใช่เสื้อแดงแน่นอน แต่เป็นฝีมือของ ศอฉ.ที่จ้องดิสเครดิต

ทั้งที่แกนนำเสื้อแดงก็ยอมรับว่า มีแดงบาง กลุ่มที่เชื่อในการต่อสู้ใต้ดิน หรือสายฮาร์ดคอร์เพื่อล้มรัฐบาล!!

เมื่อขบวนการเสื้อแดงเจอมรสุมหลายลูกจากผลของเหตุการณ์ชุมนุม เหมือนยอดภูเขาน้ำแข็งที่ค่อยๆ โผล่เหนือน้ำ “จตุพร” ที่ยึดอำนาจเงียบจากพรรคเพื่อไทย และแสดง “บทบาทนำ” หลายเรื่อง เช่น เป็นตัวแทนพรรค พูดคุยปรองดองกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ คนกลางจากพรรคชาติไทยพัฒนา ทั้งที่เลขาธิการพรรค รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต้องเป็นตัวแทนพรรคหารือในวาระสำคัญของพรรค

แกนนำพรรคถูกเบียดตกขอบ จนไม่เหลือบทบาท ...

เมื่อจตุพรเป็นเป้านิ่งที่คิดการใหญ่จากผู้นำขบวนการเสื้อแดงที่เหลืออยู่ และถีบตัวเองเป็นหัวขบวนพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เขาก็ต้องแบกรับผิดชอบกับปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในขบวนการที่ใหญ่โตและไร้ระบบนี้

ดังนั้น พลันที่ “เมธี อมรวุฒิกุล” แนวร่วมแดงออกมาแฉเรื่องภายในขบวนการ แม้เมธีจะอยู่ในโครงการคุ้มครองพยานของดีเอสไอ แต่การเป็น “คนใน” รู้เส้นสนกลในของฝ่ายฮาร์ดคอร์เสื้อแดง หมัดที่เมธีทิ่มใส่จตุพรก็ทำให้มึนได้ ไม่ว่าปัญหาเงินบริจาค 68 ล้านบาทตอกย้ำก่อนหน้านี้ที่คนเสื้อแดงปีกเชียงแสนออกมาแฉกันเอง ถึงเหลือบแดงใกล้ตัวแกนนำ นปช. ที่หาประโยชน์ในเงินบริจาค หรือการเล่นใต้สะดือจตุพร ดิสเครดิตเรื่องชู้สาว

ไม่เฉพาะตู่ที่เลือดกำเดาไหล แต่คำพูด แววตาถมึงทึงของเมธีดั่งระเบิดเอ็ม 79 ก็กระทบทั้งกองกำลังเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย

กลุ่มพิราบ ที่หวังดีต่อเพื่อไทยเคยเตือนว่า พรรคควรเป็นพรรคสู้ด้วยนโยบาย นำเสนอวิธีการแก้ปัญหาค่าเงินบาท ปัญหาปากท้องส่วนเสื้อแดงก็เป็นเรื่องเสื้อแดง สู้ทางสัญลักษณ์เรื่องประชาธิปไตย

แต่ทุกวันนี้ จตุพรแถลงที่พรรค ไม่แยกใช้อิมพีเรียลสำนักงานเสื้อแดง และขู่คนในพรรคและพวก 111 ไทยรักไทยว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยปฏิเสธมวลชนเสื้อแดงเมื่อไร หรือไม่สนใจผู้บาดเจ็บ เสื้อแดงก็อาจสั่งสอนพรรคเพื่อไทยแน่

คำพูดของจตุพรตีกับกลุ่มสันติพิราบ ที่พยายามสลายการนำของเสื้อแดงในพรรค โดยให้พรรคเป็นสถาบัน ขณะที่พี่น้องชินวัตรก็ควรมีระยะห่าง

ผลเสียของการผสมพันธุ์สู้บนดินใต้ดินร่วมกัน ก็อาจลากให้พรรคถูกยุบได้อีกครั้ง ล่าสุด กรณีการโอนเงินพันกับเหตุก่อการร้าย บึ้มสมานเมตตาแมนชั่นที่ไปๆ มาๆ พันกับ “วิสุทธิ์ไชยอรุณ” สส.พะเยา พรรคเพื่อไทย ในฐานะที่เสนอแต่งตั้ง วสา เทพเรียน เลขาฯ ประจำคณะกรรมาธิการ ปปง. ซึ่งโอนเงิน 5 หมื่นบาท ให้ กษิ ดิฐธนรัชต์ นักธุรกิจปุ๋ย ผู้ต้องหาคดีบึ้ม

ข้อสำคัญ ถ้าพรรคยังไม่สามารถแยกบทบาทการต่อสู้กับเสื้อแดงได้ ก็จะเสียคะแนนในกทม. และภาคกลาง และตะวันออก ที่ยังเป็น“จุดบอด” ของเพื่อไทย หากหาคะแนนในพื้นที่เหล่านี้ไม่ได้ ก็อย่าหวังจะชนะเกินกึ่งหนึ่งในสภาและได้จัดตั้งรัฐบาล

โดยเฉพาะใน กทม. ซึ่งได้รับผลกระทบกับการชุมนุมของเสื้อแดงโดยตรง ถ้าเสื้อแดงยังติดภาพความรุนแรงอยู่ พรรคเพื่อไทยก็ไม่มีทางได้ สส. เป็นกอบเป็นกำ

ทว่า จตุพรคนเดียวคงยึดพรรคไม่ได้ ถ้าทักษิณและน้องๆ ทักษิณไม่ให้ท้ายจตุพร!

แกนนำ 111 อดีตไทยรักไทย วิเคราะห์ว่า น้องๆ ทักษิณต่างละอ่อนเกมการเมือง เมื่อถูกขู่ว่าเสื้อแดงจะทิ้งพรรค ก็กลัวกันหมด จึงยอมให้เสื้อแดงนำ และอยู่เบื้องหลังซีนที่ให้จตุพร “สุนัย จุลพงศธร” แกนนำแดงฝ่ายซ้าย เป็น 2 ใน 3 ตัวแทนพรรค นั่งโต๊ะคุยกับ เสธ.หนั่น วันนั้น

ทั้งที่ 2 สส.สีแดง เป็นจุดอ่อน จตุพรถูกมองเป็นแดงฮาร์ดคอร์ ส่วนสุนัยก็เป็นแดงฝ่ายซ้ายที่หาเสียงทีไรมักพูดจาคลุมเครือ หมิ่นเหม่ตลอด เมื่อทั้งสองคือตัวแทนพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ หากจะเอาผิดก็อาจกระเทือนทั้งพรรค

ที่ตอกย้ำว่า จตุพรคือสายตรงทักษิณ ทักษิณหนุนเสื้อแดงนำพรรค เห็นชัดทั้งในการวิดีโอลิงก์ล่าสุดที่ทักษิณพูดกับลูกพรรคหนุนให้ส่งแกนนำเสื้อแดงลงเลือกตั้งในจังหวัดที่พรรคยังว่างอยู่

สำคัญกว่านั้น ช่วงก่อน พฤษภาอำมหิต แกนนำเสื้อแดง คนเพื่อไทย พูดตรงกัน ขณะเกิดวิกฤตทหารล้อมราชประสงค์ แกนนำจะนำม็อบลงปล่อยประชาชนกลับบ้านได้หรือไม่ บิ๊กๆ ที่ต่อสายถึงทักษิณเพื่อให้ยอมก็จะได้ยินคำพูดว่า “ให้ไปคุยกับจตุพรเอง”

แดงนำพรรค พรรคนำแดง ไม่สนตราบใดที่ทักษิณยังเดินเกมดุ ใช้แดงบู๊กดดันเพื่อนิรโทษกลับไทย


 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #240 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 10:33:19 »

ชำแหละคลิปลับศาล รธน. (ตอนที่ 1) ทุ่มพันล้านจ้าง “พสิษฐ์” ขายตัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 ตุลาคม 2553 00:22 น.


      
คลิปลับจากฝีมือการสร้างและกำกับการแสดงโดยคนของศาลรัฐธรรมนูญ 5 ตอน ที่ออกมาให้สังคมไทยได้ดูได้ชม แล้วต้องอดสูใจที่สถาบันตุลาการถูกลากเข้าไปเป็นเหยื่อของเกมการต่อสู้ที่ มุ่งเอาชนะล้มล้างกันทางการเมืองอยู่ในขณะนี้
       
       พร้อมกันนี้ มีเรื่องที่คนไทยควรจะได้ใช้โอกาสนี้เรียนรู้เหตุการณ์ที่มีคนพยายามทำลาย กระบวนการยุติธรรม ซึ่งถือเป็นเสาหลักของชาติ เพื่อจะได้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายของคนที่ยังไม่เคยเลิกคิดคดทรยศต่อ ชาติ
       
       พิรุธของคลิปทั้ง 5 ตอน อยู่ที่ความสัมพันธ์ของห้วงเวลา โดยมีความชัดเจนว่า คลิปแรกที่เป็นภาพนิ่งของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ นั่งอยู่ในห้องรับรองร่วมกับ ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ใหญ่ของบ้านเมืองอีกหลายคน อาทิ สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และ นายอักขราธร จุฬารัตน อดีตประศาลปกครองสูงสุด
       
       ภาพดังกล่าวไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการเขียนบรรยายใต้ภาพโดย ohmygod3009 ว่า เป็นการพบกันเพื่อล็อบบี้ให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญช่วยพรรคประชาธิปัตย์ไม่ให้ ถูกยุบ ด้วยการเสนอตำแหน่งองคมนตรีเป็นข้อแลกเปลี่ยน

       
       เพราะการพบกันครั้งดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 เมษายน ปี 2552 ซึ่ง พล.อ.เปรม เป็นประธานมอบรางวัลนักกฎหมายดีเด่น รางวัลสัญญาธรรมศักดิ์ มูลนิธินิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้แก่ นายชัช ซึ่งได้รับรางวัลนักกฎหมายดีเด่น ประจำปี 2552 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
       
       การบิดเบือนข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงถือเป็นการกระทำที่ชั่วบริสุทธิ์ ในการดึงเอาประธานองคมนตรีสู่วังวนแห่งความขัดแย้งภายใต้วาทกรรม “อำมาตย์แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม กลั่นแกล้งทักษิณ ช่วยพรรคประชาธิปัตย์”
       
       แต่ในมุมกลับกันก็กลายเป็นข้อดี เพราะทำให้สังคมไทยได้เห็นภาพขบวนการทำลายกระบวนการยุติธรรมของไทยชัดเจนมากขึ้น
       
       มาถึง คลิปที่ 2 ซึ่งเป็นภาพการสนทนาบนโต๊ะอาหารระหว่าง วิรัช ร่มเย็น ทีมกฎหมายคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กับ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการส่วนตัวประธานศาลรัฐธรรมนูญ และ นายวรวุฒิ นวโภคิน ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการปกครองส่วนท้องถิ่นที่นายวิรัชเป็นประธานคณะกรรมาธิการฯ
       
       ต้องยอมรับความจริงว่า แม้จะเห็นชัดว่าเป็นการจัดฉากขุดบ่อล่อปลาให้ วิรัช ติดกับดัก จากความพยายามในการตั้งคำถามชี้นำเพื่อง้างปากให้ วิรัช พูดเกี่ยวกับความต้องการที่จะกำหนดพยานให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เปรียบในคดี ยุบพรรค แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เนื้อหาในบทสนทนาระหว่างกันได้ก้าวล่วงไปถึงอำนาจของตุลาการในการกำหนดพยาน ด้วย
       
       หาก วิรัช ฉลาดพอหรือมีจิตใจบริสุทธิ์จริง ควรที่จะหลีกเลี่ยงในการพูดเรื่องดังกล่าว เพราะคดีกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ และทั้งวิรัชกับพสิษฐ์ ก็ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเป็นคู่สนทนาในเรื่องนี้
       
       เพราะคนหนึ่งเป็นทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นเลขานุการส่วนตัวประธานศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะมีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวอย่างไร ในห้วงเวลานี้ก็ต้องห่างกันให้ไกลเพื่อให้พ้นข้อครหา
       
       ประกอบกับมีขบวนการที่พยายามเชื่อมโยงว่า พรรคประชาธิปัตย์เข้าไปแทรกแซงกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญมาอย่างต่อ เนื่อง และมีบทเรียนราคาแพงจากกรณี ทศพล เพ็งส้ม ทีม กฎหมายอีกคนที่ติดกับดักจาก พสิษฐ์ นัดให้ไปรับเอกสารจากเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับคดีถือหุ้นขัดรัฐธรรมนูญของ ส.ส. ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคเลย ก็ยังมีคนแถบถ่ายภาพส่งให้พรรคเพื่อไทยนำไปขยายผลมาแล้วรอบหนึ่ง
       
       จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์จะโกรธเป็นฟืน เป็นไฟ เมื่อรับรู้เรื่องนี้จากคลิปที่ถูกโพสต์บนยูทิวบ์ “เราเตือนกันในที่ประชุมฝ่ายกฎหมายแล้วใช่ไหม ว่าคนคนนี้อันตราย”
       
      สาเหตุที่ พสิษฐ์ ถูกระบุว่าเป็นบุคคลอันตราย เป็นเพราะก่อนหน้าที่ วิรัช จะติดกับดัก พสิษฐ์ได้พยายามติดต่อขอพบผู้ใหญ่ในพรรคหลายคน ไม่เว้นแม้กระทั่ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แต่ไม่มีใครสนใจที่จะไปตามนัดหมาย เพราะเห็นว่าเป็นการไม่สมควรที่คนของพรรคจะไปพบกับบุคลากรของศาลรัฐธรรมนูญ
       
       ที่น่าสนใจ คือ ประจวบ สังข์ขาว พยานปากสำคัญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ พูดต่างกรรมต่างวาระหลายครั้งกับเพื่อนหลายคนบนโต๊ะกินข้าวว่า
       
       มีความสนิทสนมกับ “พี่ปอย” (ชื่อเล่นของพสิฐ) พร้อมกับอ้างคำบอกเล่าของ “พี่ปอย” ว่า มีเงินผ่านมือหลักพันล้านบาทเพื่อให้มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์

       
       ถ้าจำกันได้ ก่อนหน้านี้แกนนำพรรคเพี่อไทยต่างก็ออกมานั่งยันนอนยันว่า ประชาธิปัตย์ถูกยุบแน่ จะเป็นผลเชื่อมโยงถึงคำบอกเล่าเกี่ยวกับเงินผ่านมือครั้งนี้หรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าคิด
       
       และเป็นเพราะว่าเงินพันล้านบาทมิอาจแทรกแซงกระบวนการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญได้ เฉกเช่นเดียวกับถุงขนม 2 ล้านบาท ที่ทำให้ พิชิฎ ชื่นบาน ทนายความของทักษิณ ชินวัตรถูก จำคุก 6 เดือน และห้ามว่าความเป็นเวลา 5 ปี ใช่หรือไม่ เงินจำนวนนั้นจึงมิได้กระจายออกไปแต่อยู่ในมือคนคนเดียวจนยอมพลีชีพเพื่อ ทำลายศาลรัฐธรรมนูญ
       
       เป็นเรื่องที่กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากจะต้องหาคำตอบแล้ว ควรจะต้องดำเนินคดีต่อพสิษฐ์ ฐานก่ออาชญากรรมต่อกระบวนการยุติธรรม ด้วยการโจรกรรมข้อมูลและลักลอบบันทึกภาพการหารือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออก ไปแผยแพร่อย่างถึงที่สุดด้วย
       
       สำหรับคลิปที่ 3-5 ซึ่งเป็นภาพการหารือระหว่างตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น มีความชัดเจนว่าผู้ที่ลักลอบถ่ายมีความผิดทางกฎหมาย และเป็นการกระทำที่อุกอาจสั่นสะเทือนต่อกระบวนการยุติธรรมของไทยอย่างรุนแรง โดยผู้ที่วางแผนกระทำการครั้งนี้ย่อมเล็งถึงผลที่จะได้หลายชั้น คือการกดดันทางคดี ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะถูกมองได้ว่าโดนแทรกแซงจากกระแสกดดัน
       
       แต่ถ้าไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็จุดชนวนสองมาตรฐานจูงเสื้อแดงลงถนนเผาเมืองรอบสาม โดยผู้คนจะหลงลืมเนื้อหาการต่อสู้หักล้างข้อกล่าวหาในคดีเสียสิ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสังคมไทยที่ควรจะได้เรียนรู้ และเคารพต่อการตัดสินของกระบวนการยุติธรรม
       
       นอกจากนี้ คลิปที่ออกมายังมีเจตนาทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งคำพูดของ คางคกตู่-จตุพร พรหมพันธุ์ ก็ชัดเจนว่า “ต่อไปจะต้องยุบศาลรัฐธรรมนูญ”
       
       ทุกอย่างที่ทำในวันนี้ก็เพื่อปูทางไปสู่การยุบศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ พรรคเพื่อไทยมีอำนาจ เพราะอาฆาตจากกรณีพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชนถูกยุบ โดยไม่ได้สำนึกหรือหวั่นกลัวถึงความผิดของตัวเองแม้แต่น้อย ใช่หรือไม่?
       
       ที่เลวร้ายคือพรรคเพื่อไทยไม่เคยย้อนความหลังเลยว่า ศาลรัฐธรรมนูญยุคหนึ่งก็เคยตัดสินให้ ทักษิณ พ้นคดีซุกหุ้น ในวันนั้น ทักษิณ ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล แต่ไม่มีใครคิดล้มล้างศาลรัฐธรรมนูญ แม้จะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินดังกล่าว

       
       กระบวนการแทรกแซงศาลรัฐธรรมนูญด้วยวาจาของพรรคเพื่อไทย ซึ่งอาจจะไปไกลถึงขั้นสมรู้ร่วมคิดกับการก่ออาชญากรรมต่อกระบวนการยุติธรรม ด้วยการลักลอบบันทึกภาพและเสียงการประชุมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมาเผย แพร่ เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่สะท้อนว่าพรรคเพื่อไทยเข้าข่ายที่จะถูกยุบพรรคเป็น รอบที่สาม
       
       ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องร่วมกันแสดงออกว่า ประเทศชาติจะอยู่รอดผู้คนต้องเคารพกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมต้องได้รับความคุ้มครอง อย่ายอมให้ไอ้อีตัวไหนมาทำลายเสาหลักของชาติ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #241 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 10:34:33 »

ชำแหละคลิปลับศาล รธน.จับพิรุธโยง “จอมบงการ” (จบ)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 ตุลาคม 2553 08:35 น.
       ความจริงไม่อยากจะอ้างอิงถึงคำพูดของ “คางคกตู่” เท่าใดนัก แต่ในกรณีนี้เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการอ่านทะลุไปถึงขบวนการทำลายศาลรัฐ ธรรมนูญอย่างเป็นระบบ และต่อเนื่องว่า
       
       “จอมบงการ-พสิษฐ์ ศักดาณรงค์-พรรคเพื่อไทย” มีความเกี่ยวโยงกันหรือไม่?
       
        “คางคกตู่”พ่นผ่านสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา ยกย่องให้ พสิษฐ์ เป็นวีรบุรุษ แถมอธิบายถึงการขุดบ่อล่อปลาที่ทำให้ วิรัช ร่มเย็น ติดกับดักว่า เปรียบเสมือนการล่อซื้อยาเสพติดที่จะประณามผู้ล่อซื้อไม่ได้
       
       
       แค่ข้อความข้างต้นก็เห็นภาพชัดเจนว่า “คางคกตู่” รับ พสิษฐ์ เป็นพวกเดียวกันไปเรียบร้อยแล้ว
       
       
       ส่วนจะเพิ่งมายกระดับจับเข้าแก๊งหรือร่วมก๊วนวางแผนกันมาตั้งแต่ต้น เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องแกะรอยเพื่อนำผู้กระทำความผิดก่ออาชญากรรม ต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งถือเป็นอาญาแผ่นดินมาลงโทษให้ได้
       
       ที่น่าสนใจ คือ “คางคกตู่” และแกนนำพรรคเพื่อไทย ไม่มีใครสักคนจะกดดันไปที่ ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเจ้านายของ พสิษฐ์ และถูกระบุชี้นำไว้ในคลิปที่โพสต์โดย ohmygod 3009 ว่า เป็นคนที่ถูกล็อบบี้เพื่อให้ช่วยพรรคประชาธิปัตย์รอดพ้นคดี
       
       
       ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทยกระทำการกดดันยื่นเรื่องร้องค้านจนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 คน คือ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ และ เฉลิม เอกอุรุ และยังพยายามกดดันให้ จรัญ ภักดีธนากุล ถอนตัวจากคดีนี้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
       
       แล้วทำไมในกรณีที่พรรคเพื่อไทยเห็นว่าคลิปยุบพรรคประชาธิปัตย์มัดแน่นว่า อำมาตย์ล็อบบี้ประธานศาลรัฐธรรมนูญ แต่ “คางคกตู่” กลับไม่ใช้เรื่องนี้มากดดันให้ ชัช ต้องถอนตัวออกจากองค์คณะในการพิจารณาคดีนี้
       
       หรือเป็นเพราะมีเหตุต้องละเว้น? หรือเป็นเพราะรู้จากทุรชนคนถ่ายคลิปว่า การตัดสินของใครบ้างที่จะไม่ขัดแย้งกับความต้องการของพรรคเพื่อไทย จึงมีแต่คำถามที่มุ่งกดดันไปที่ตุลาการคนอื่นแทน
       
       
       “วันนี้แม้ว่าจะมีการปลดเลขาฯประธานศาลรัฐธรรมนูญออกไปก็ไม่จบ เพราะผมจะเปิดเผยอีก 1 ประเด็น โดยขอเรียกร้องให้นายชัช ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีที่มีการโกงข้อสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ของศาลรัฐ ธรรมนูญ โดยตุลาการไม่น้อยกว่า 3 คน ร่วมกันโกงข้อสอบหวังให้คนของตัวเองสอบผ่าน นายชัช กรุณาตอบเรื่องนี้ และตั้งกรรมการสอบให้ชัดเจน”
       
       จะเห็นได้ว่าคำพูดของ “คางคกตู่” นอกจากจะไม่ตั้งข้อสงสัยในตัวนายชัช ซึ่งมีการระบุในคลิปแรกว่าถูกล็อบบี้โดยอำมาตย์ ให้ช่วยพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ยังมีลักษณะชูให้ ชัช เป็นพระเอก จัดการกับตุลาการอีกสามคนที่ “คางคกตู่” อ้างว่าพัวพันกับการทุจริตการสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญด้วย
       
       เป็นพิรุธที่เห็นชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทย-พสิษฐ์ และยังมีคนบางคนน่าจะมีความหมายต่อกันและกันอย่างไร?
       
       
       จอมมารมือสร้างคลิปอย่าง พสิษฐ์ หนีเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ทิ้งให้ ชัช ชลวร ผู้บังคับบัญชาโดยตรงต้องอยู่รับกรรมแทน ซึ่งกระแสสังคมกดดันให้ ชัช แสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ ตามหลักของการใช้อำนาจ เมื่อตั้งคนไม่ดีเข้ามาทำงาน ก็ต้องร่วมรับผิดด้วย
       
       ด้าน ชัช ชลวร มีมุมหนึ่งที่น่ารู้จัก คือ ในขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการศาลยุติธรรม เคยได้รับเสนอชื่อเป็นประธานศาฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ไปไม่ถึงดวงดาว
       
       และในสมัยเป็นเลขาธิการศาลยุติธรรม เคยกระทำการนอกประเพณี เชิญ ทักษิณ ชินวัตร กับ โภคิน พลกุล อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ไปเสวนาร่วมกับประธานศาลฎีกาในงานครบรอบวันศาลยุติธรรม ซึ่งไม่เคยมีการเชิญฝ่ายบริหาร และการเมืองเข้ามาใกล้ชิดกับฝ่ายตุลาการ เช่นนี้มาก่อน
       
       ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์อย่างรุนแรง จนเป็นเหตุคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม หรือ กต.ไม่อนุมัติให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมือง ก่อนจะผันตัวเองมาทำหน้าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และได้รับเลือกให้เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยคะแนน 6 ต่อ 3 โดยต้องมีการลงคะแนนกันถึงสองครั้ง
       
       นอกจากนี้ ถ้าพิจารณาจากเสียงในคลิประหว่างการหารือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการฟ้อง “คางคกตู่” ที่บังอาจกล่าวหาว่า มีใบสั่งห้ามศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคประชาธิปัตย์ จะเห็นได้ว่าคนที่ไม่เห็นด้วยในการฟ้อง “คางคกตู่” เพื่อปกป้องศาลรัฐธรรมนูญ ก็คล้ายจะเป็น ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่อ้างว่า อาจจะกลายเป็นการเข้าทางพรรคเพื่อไทย เพราะจะทำให้ตุลาการเป็นคู่คดี จนตุลาการท่านหนึ่งถึงกับออกปากโต้แย้งว่า
       
       “ไม่น่าจะเข้าทางอย่างที่ท่านประธานว่า เพราะถ้าเขาร้องอย่างนั้น ก็เท่ากับตุลาการทุกคนเป็นคู่กรณี คดีนี้ก็เดินไม่ได้ ไม่มีคนพิจารณาคดี เขาจะกล้าทำอย่างนั้นหรือ”
       
       ขณะเดียวกัน ก็มีการเรียกร้องโดยตรงไปยัง เชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ ว่า มีหน้าที่ปกป้องศาลรัฐธรรมนูญ และควรเป็นคนตั้งเรื่องเพื่อดำเนินคดีกับ จตุพร พรหมพันธุ์ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากเลขาฯ ศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
       
       ถือเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
       
       
       เพราะโดยปกติแล้ว เลขาฯศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ตอบสนองนโยบายของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่กรณีนี้ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สั่นคลอนเกียรติภูมิของศาลรัฐธรรมนูญ เชาวนะ กลับละเลยที่จะดำเนินการ
       
       ทำไม เชาวนะ จึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น เมื่อดูที่มาการขึ้นสู่ตำแหน่งเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญของ เชาวนะ จะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น วงในศาลรัฐธรรมนูญยืนยันว่า ตำแหน่งนี้ได้มาจากแรงผลักดันของ พสิษฐ์ หลังจากที่ไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ อดีตเลขาศาลรัฐธรรมนูญ ทนพฤติกรรมเจ้ากี้เจ้าการของใครบางคนไม่ได้ จนต้องหนีไปเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชน จึงเป็นจังหวะที่ พสิษฐ์ ได้ เชาวนะ มาเดินกุมเป้าตามหลัง คอยรับคำสั่ง
       
       
       ไม่น่าแปลกใจที่ เชาวนะ ไม่เคยคิดฟ้อง “คางคกตู่” และแกนนำพรรคเพื่อไทย ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้ล่วงละเมิดจาบจ้วงศาลรัฐธรรมนูญ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า
       
       ชัช ในฐานะประธานศาลรัฐธรรมนูญ ต้องให้คำตอบกับสังคมในประเด็นนี้ด้วย ว่า ทำไม เชาวนะ ไม่ปฏิบัติตามความต้องการของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ต้องการปกป้ององค์กร
       
       ขณะเดียวกัน ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบกรณีที่เลขานุการส่วนตัวมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมไปพบ กับคู่กรณีที่คดียังไม่ได้ข้อยุติ และยังก่ออาชญากรรมต่อกระบวนการยุติธรรมด้วยการลักลอบบันทึกภาพและเสียงใน ห้องประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพราะความเสื่อมเสียที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อสถาบันศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง
       
       ชัช ควรจะได้พิจารณาตัวเองว่า ในฐานะประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ทำหน้าที่ปกป้ององค์กรอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ชัช จะยังสมควรเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญต่อไปหรือไม่ ?
       
       
       และหลังจากที่เลขาฯ ส่วนตัวทำเรื่องงามหน้าขนาดนี้ แม้จะปลดให้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ชัช จะยังสมควรเป็นองค์คณะพิจารณาคดีนี้ต่อไป หรือไม่
       
       จะดีกว่าหรือเปล่าถ้าจะถอนตัวจากการเป็นองค์คณะเสีย
       
       เพราะอย่างน้อยก็จะทำให้การลากเอาวาทกรรมอำมาตย์แทรกแซงศาลรัฐ ธรรมนูญ จะกระทำต่อไปมิได้ เนื่องจากตุลาการคนที่ถูกระบุว่าโดนล็อบบี้ ได้ถอนตัวจากการพิจารณาคดีไปแล้ว
       
       ยังพอมีเวลาที่ ชัช จะได้ใคร่ครวญบนพื้นฐานประโยชน์ขององค์กรศาลรัฐธรรมนูญและประเทศชาติโดยรวม แต่ถ้ายังไม่ทำอะไรเลย ยอมเป็นหมากบนกระดานให้พรรคเพื่อไทย นำไปขยายผลสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมือง ก็คงมิอาจพ้นข้อครหา...!
       
       ชัช ควรจะได้พิจารณาตัวเองว่าในฐานะประธานศาลรัฐธรรมนูญได้ทำหน้าที่ปกป้อง องค์กรอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ชัช จะยังสมควรเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญต่อไปหรือไม่?
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #242 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2553, 09:21:48 »

เปิดตัว5กลุ่มทุนใหญ่บริจาคเงินพรรคเพื่อไทย
 ไขปมปริศนา! "ทักษิณ-คุณหญิงอ้อ"ถังแตกหรือไม่?

วันที่ 09 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 21:39:39 น.มติชนออนไลน์


พรรคเพื่อไทยในร่มเงาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลัง"ถังแตก"หรือไม่?

เป็นสิ่งที่หลายคนเริ่มตั้งคำถามอยู่ในเวลานี้

แม้ก่อนหน้านี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี สามีนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์  ออกมาการันตีทำนองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พี่เขยยังมีเงินสนับสนุน ส.ส. มิได้ถังแตกเหมือนกระแสข่าวที่ร่ำลือกันแต่อย่างใด


ไม่มีข้อพิสูจน์ว่าข่าวลือดังกล่าวเป็นจริงหรือไม่?


ทว่าจากพิจารณาผู้บริจาคเงินให้พรรคเพื่อไทยจะพบข้อมูลที่น่าสนใจ

 


จากการตรวจสอบของ"มติชนออนไลน์"พบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552- เดือนกันยายน 2553 (21เดือน) พรรคเพื่อไทยแจ้งข้อมูลต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ว่ามีผู้บริจาคทั้งสิ้น 45,182,131 บาท แบ่งเป็น

 

เดือนมกราคม-ธันวาคม 2552 จำนวน  36,401,054 บาท

เดือนมกราคม-กันยายน 2553  จำนวน  8,781,077 บาท

 

 

ผู้บริจาคตั้งแต่ 2 -9 ล้านบาท รวม 9 ราย  

 

มากสุดคือ นายพิชัย นริพทะพันธ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จำนวน  9 ล้านบาท  แบ่งเป็น ปี 2552 เดือนมิถุยายน จำนวน  5 ล้านบาท , เดือนตุลาคม 2 ล้านบาท , ปี 2553 เดือนเมษายน จำนวน 2 ล้านบาท


นางสาวจุฑารัตน์ เมนะเสวต 7 ล้านบาท แบ่งเป็น ปี 2552 เดือนพฤษภาคม  2 ล้านบาท เดือนธันวาคม 5 ล้านบาท

บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด 5 ล้านบาท


นายองอาจ เอื้ออภิญญกุล 4  ล้านบาท  แบ่งเป็น  ปี 2552 เดือนมกราคม 2 ล้านบาท  ,ปี 2553 เดือนกรกฎาคม จำนวน 2 ล้านบาท


บริษัท เฉลิมโลก จำกัด 3 ล้านบาท  แบ่งเป็น ปี 2553 เดือนกันยายน 1 ล้านบาท, ปี 2552 เดือนกุมภาพันธ์ 2 ล้านบาท


นางสาวสุกัญญา ประจวบเหมาะ 2 ล้านบาท
นางสาวธิติมา เลขะวณิช 2 ล้านบาท
นางสาวพนิดา ปัญจาบุตร 2 ล้านบาท
นางสาวพิศมัย จิตรวิมล 2 ล้านบาท


 
จำแนกรายละเอียดได้ดังนี้


ปี 2553 ยอดเงินบริจาครวม 8,781,077 บาท

 

มกราคม ไม่มีผู้บริจาค

 

กุมภาพันธ์ ยอดบริจาค 5 แสนบาท  แบ่งเป็น
               1.นางสาวเตียง แซ่จวง 250,000 บาท
               2.นายพิชัย จงจุฑารัตน์ 250,000  บาท

 

มีนาคม  ยอดบริจาค 2 ล้านบาท แบ่งเป็น
               1.นางสาวสัมฤทธิ  ทาน้อย 1 ล้านบาท
               2.นายวรชัย เหมะ 1 ล้านบาท

 

เมษายน  มียอดเงินบริจาค 2,211,947  บาท แบ่งเป็น
             1. นายปัญจิน ธนารักษ์โชค 10,000  บาท
             2.นายพิชัย นริพทะพันธุ์ 2 ล้านบาท
             3.นายพงษ์ศักดิ์ เหลืองวิจิตร 195,947  บาท
             4.นายสิทธิชัย สิ้นเคราะห์ 6 ,000 บาท

 

พฤษภาคม  ไม่มีผู้บริจาค

 

กรกฎาคม  ยอดบริจาค 2 ล้านบาทา
             1.นายองอาจ เอื้ออภิญญกุล  2 ล้าน

 

สิงหาคม  ไม่มีผู้บริจาค

 

กันยายน   ยอดบริจาค 1 ล้านบาท
             1.บริษัท เฉลิมโลก จำกัด 1 ล้านบาท
  
ปี 2552  รวมยอดบริจาคทั้งหมด   36,401,054 บาท
 
มกราคม  ยอดบริจาค 2 ล้านบาท
            1.นายองอาจ เอื้ออภิญญกุล 2  ล้านบาท

 

กุมภาพันธ์  ยอดบริจาค 2 ล้านบาท
            1. บริษัท เฉลิมโลก จำกัด 2 ล้านบาท

 

มีนาคม  ยอดบริจาค 2 ล้านบาท
            1. นางสาวสุกัญญา ประจวบเหมาะ 2 ล้านบาท

 

เมษายน ยอดบริจาค   115,000 บาท
            1.นายศรีทนต์ ดาวแสง 35,000  บาท
            2.นายมะการีม โตะเฮง 20,000  บาท
            3.นายพงษ์ศักดิ์  เหลืองวิจิตร 60,000  บาท

 

พฤษภาคม  ยอดบริจาค 6,055,000  บาท  แบ่งเป็น
            1.นางสาวพนิดา ปัญจาบุตร 4 ล้านบาท
            2.นางสาวจุฑารัตน์ เมนะเสวต 2 ล้านบาท
            3.นายวิชัย ตรีสุระอนันต์ 35,000  บาท
            4.นายสิทธิชัย สิ้นเคราะห์ 20,000  บาท

 

มิถุนายน ยอดบริจาค 5 ล้านบาท
            1.นายพิชัย นริพทะพันธุ์ 5 ล้านบาท

 

กรกฎาคม  ไม่มีผู้บริจาค

 

สิงหาคม   ยอดบริจาค 5 ล้านบาท
             1.บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด 5 ล้านบาท

 

กันยายน ยอดบริจาค 1 ล้านบาท
            1. นางภวัญญา กฤตชาติ 1 ล้านบาท

 

ตุลาคม ยอดบริจาค 2 ล้านบาท
            1. นายพิชัย นริพทะพันธ์  2 ล้านบาท

 

พฤศจิกายน  ยอดบริจาค 6 ,231,054 บาท
             1. นางสาวธิติมา เลขะวณิช 2 ล้านบาท
             2. นางสาวพนิดา ปัญจาบุตร 2 ล้านบาท
             3.นางสาวพิศมัย จิตรวิมล 2 ล้านบาท
             4. นางสาวสุณีย์ เหลืองวิจิตร 166,054  บาท
             5.นายสิทธิชัย สิ้นเคราะห์   35,000  บาท
             6.นายมะการีม โต๊ะเฮง  30,000 บาท

 

ธันวาคม   ยอดบริจาค 5 ล้านบาท
             1.นางสาวจุฑารัตน์ เมนะเสวต 5 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ บริษัทเฉลิมโลก จำกัด เป็นของนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช


นายพิชัย นริพทะพันธ์  เป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปัจจุบันเป็นมือเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย เจ้าของบริษัท เซาท์ซี ปะการัง รีสอร์ท จำกัดและอสังหาริมทรัพย์


บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด  เป็นของ นายชัยวัล อัศวศิริสุข  สนิทกับกลุ่มนายเสนาะ เทียนทอง


นายองอาจ เอื้ออภิญญกุล เป็นพี่ชาย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย  เจ้าของธุรกิจกลุ่มบ้านปู

 

 

สำหรับนางสาวจุฑารัตน์ เมนะเสวต นางสาวสุกัญญา ประจวบเหมาะ (ทั้งสองคนเคยถูกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน สั่งอายัดเงินฝาก) นางสาวธิติมา เลขะวณิช นางสาวพนิดา ปัญจาบุตร และ นางสาวพิศมัย จิตรวิมล เป็นเครือข่ายผองเพื่อนของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร อดีตเมียของพ.ต.ท.ทักษิณ


ถ้านับกันจริงๆ เท่ากับเวลานี้พรรคเพื่อไทยมีผู้บริจาคจริงเพียง 5 กลุ่มหลัก
          

และถ้าไม่มีนับกลุ่มคุณหญิงอ้อจะเหลือเพียง 4 กลุ่ม


แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากยุครุ่งเรืองสมัย พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ ซึ่งมีกลุ่มทุนน้อยใหญ่สนับสนุนเต็มไปหมด อาทิ

กลุ่มสามารถคอร์ปเรชั่น กลุ่มซี.พี. แม้กระทั่งเสี่ยเจริญ


เมื่อเห็นข้อมูลอย่างนี้ ใครจะตีความว่าตกอยู่ในสภาพพรรคของอดีตนายกฯ "ถังแตก"หรือไม่?

 

คงต้องคิดกันเอาเอง
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #243 เมื่อ: 20 มกราคม 2554, 15:26:59 »

จดหมายประณามการอุ้ม ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์
 
โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ 19 มกราคม 2554 17:11 น.
 
 
 
 
 
       ด่วนที่สุด
       
                                         19 มกราคม 2554
       
       เรื่อง ขอประณามการกระทำอันชั่วช้าของตำรวจ

       
       เรียน ฯพณฯ นรม., ผบ.ตร, พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร
       
       ผมเขียนหนังสือนี้ถึงท่านผู้มีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันในการบังคับบัญชา บริหาร และปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติทันทีที่ผมดูทีวีจบ เรื่องตำรวจอุ้มผู้ต้องหาคือ ฯพณฯ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีต รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อเวลาหนึ่งชั่วโมงโดยประมาณก่อนเที่ยงคืนวันนี้
       
       ทีวีนี้หากนำไปฉายสู่โลกภายนอก เว้นเสียแต่ในประเทศที่มีตำรวจป่าเถื่อน ผู้ดูที่มีวัฒนธรรมจะออกความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าประเทศไทยเป็นประเทศด้อยพัฒนาล้าหลัง ไม่เคารพสิทธิมนุษยชน และตำรวจเป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งของรัฐตำรวจ
       
       สำหรับคำว่า “การกระทำอันชั่วช้า” นั้น ผมยืนยันว่ายังเป็นคำที่อ่อนเกินไป เมื่อคำนึงถึงนัยทางการเมืองและโครงสร้างของการบริหารราชการแผ่นดินที่จำต้องมีเนื้อหาและลักษณะทางพฤติกรรมที่เป็นประชาธิปไตย
       
       การกระทำดังกล่าว เมื่อเปรียบเทียบกับการสังหารนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามในสมัยพล.ต.อ.เผ่า การจับผู้ต้องหาเรียกค่าไถ่ การประกอบอาชญากรรมทางการเมืองและทางอาญาโดยตำรวจ ซึ่งยังมีอยู่ประปรายจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มีความน่าเป็นห่วงในด้านโครงสร้างไม่เท่ากับกรณีการอุ้มนายไชยวัฒน์ในวันที่ 18 มกราคม 2554 เสียอีก
       
       ทั้งนี้ผมสงสารและไม่อยากกล่าวโทษตำรวจชั้นผู้น้อยที่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือรู้แต่หวังความก้าวหน้าและลาภยศในการช่วยผู้บังคับบัญชาและนายเหนือหัวให้สำเร็จ
       
       ผมใคร่ขอความกรุณาให้ท่านเรียกเอาฟิล์มในทีวีนั้นมาฉายซ้ำดู หากท่านเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาถูกต้องแล้ว ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ขอให้ท่านได้แถลงยืนยันปกป้องการกระทำของบรรดาตำรวจที่เข้าร่วมปฏิบัติการดังกล่าว
       
       แต่ถ้าในทางตรงกันข้าม ถ้าสมมติว่าท่านต้องเป็นผู้สั่งการหรือควบคุมการปฏิบัติการนั้นๆ ท่านกลับเห็นว่ามีความบกพร่องไม่สมควรอย่างรุนแรง ผมจะเคารพและสรรเสริญความกล้าหาญของท่านที่จะออกมาขอโทษและชี้แจงให้สาธารณชนเข้าใจ
       
       การกระทำที่ผมเห็นว่าชั่วช้านั้นเป็นอย่างไร ผมขอยกเอาคำพูดของอดีตสมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่ง ซึ่งมีความรู้และความคุ้นเคยกับกิจการตำรวจทั้งนอกและในประเทศดี
       
       ท่านอดีตวุฒิสมาชิกโทร.มาถึงผมว่า เห็นการเข้าจับกุมคุณไชยวัฒน์ในทีวีแล้ว เกิดความสลดหดหู่ใจในความล้าหลังของกรมตำรวจ และพฤติกรรมที่ดูราวกับการไล่จับหมูไปเข้าโรงฆ่าสัตว์
       
       ผมเองยินดีที่จะหยุดอธิบายคำว่า “การกระทำอันชั่วช้า” ไว้ก่อน แต่อยากจะขออนุญาตตั้งคำถามต่อท่าน เพราะเกรงว่าจะไม่มีผู้ใดตั้งคำถามเหล่านี้ เพราะความเกรงใจ ความเคยชิน หรือความที่รู้สึกว่าตนเองไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นสภาผู้แทนราษฎรก็ดี วุฒิสภาก็ดี สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนก็ดี ผู้ตรวจราชการแผ่นดินก็ดี สื่อและสถาบันวิชาการที่ต้องทำหน้าที่สอนและวิจัยทางรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ก็ดี
       
       คำถามดังกล่าวเกี่ยวกับทัศนคติและความเข้าใจของท่านต่อจรรยาบรรณและมาตรฐานทางวิชาชีพของตำรวจ โดยใช้ตัวอย่างการเข้าจับกุมนายไชยวัฒน์เป็นกรณีศึกษา ดังนี้
       
       1. เกี่ยวกับตัวผู้ต้องหา เป็นที่ปรากฏชัดว่าตำรวจติดตามประกบตัวผู้ต้องหา ซึ่งมีกิจกรรมทางการเมืองโดยสงบอหิงสาและเปิดเผย ซ้ำเคยเสนอที่จะไปมอบตัวและรอคอยการนัดหมายจากทางการตำรวจเสียด้วย ผมใคร่ทราบว่าผู้บังคับบัญชาที่ออกคำสั่งให้ไปจับกุม ได้ชี้แจงให้ผู้ปฏิบัติการทราบหรือไม่ ผู้ปฏิบัติการทราบหรือไม่ว่าผู้ถูกจับกุมเป็นผู้ใด และมีความจำเป็นอย่างไรจึงจะต้องจับกุมในวัน เวลา และวินาทีนั้นๆ แม้จะขอผ่อนผันรับประทานอาหารก็ไม่ยอม
       
       2. ความรู้เกี่ยวกับหลักรัฐธรรมนูญและสิทธิในระบอบประชาธิปไตย ผู้บังคับบัญชาและผู้ปฏิบัติการมีความสำนึกและความรู้เพียงใดว่าปฏิบัติการดังกล่าวแทนที่จะส่งเสริมให้เกิดความสงบเรียบร้อย และมั่นคงภายในประเทศ กลับจะกลายเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนซึ่งได้รับความคุ้มครองตามหลักรัฐธรรมนูญ ซ้ำยังจะทำให้เกิดเหตุลุกลามบานปลายไป ทำให้ทั้งผู้ฉวยโอกาสและผู้เชื่อโดยสนิทใจ มีความเกลียดชังตำรวจและรัฐบาลเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบกระเทือนถึงความสงบในบ้านเมืองโดยตรง
       
       3. ความรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ผมขอให้ท่านรีบสอบถามไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน หรือผมเองอาจส่งหนังสือนี้ไปยังคณะกรรมการ เพื่อสอบถามว่านายไชยวัฒน์มีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองประการใดบ้าง และการเข้าจับกุมนายไชยวัฒน์มีลักษณะอาการทั้งทางกายกรรม วจีกรรมใดๆ บ้างของเจ้าหน้าที่ที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยตรง
       
       4. ความรู้เกี่ยวกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายอาญาและกฎหมายปกครอง ในประเทศที่ศิวิไลซ์แล้ว เขามีกฎหมายคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาถูกจับกุม ผู้ที่เข้าจับกุมจะต้องแสดงหมายและอธิบายให้ผู้ที่ต้องจับกุมทราบเสียก่อนว่าตนมีสิทธิอะไรบ้าง รวมทั้งสิทธิที่จะไม่พูด และการปรึกษาทนาย ถึงแม้ป.วิ.อาญาเราจะยังไม่ครอบคลุมกว้างขวางถึงเพียงนั้น ก็ได้มีกำหนดไว้โดยละเอียดว่าสิ่งใดควร และไม่ควรกระทำในการออกหมาย ส่งหมายและเข้าจับกุมผู้ต้องหา ในกรณีของนายไชยวัฒน์นี้ผู้เข้าจับกุมปฏิเสธมิให้ดูหมายและมิให้ผู้ต้องหากระทำหรือไม่กระทำอะไร ท่านโปรดสอบถามรายละเอียดดูว่ามีการกระทำของเจ้าพนักงานที่ขัดกับป.วิ.อาญาหรือไม่
       
       5. อนึ่ง ในการเข้าจับกุมนายไชยวัฒน์นี้ นอกจากจะลือกันว่าเป็นการเอาใจเพื่อกลบข่าวเขมรและการโจมตีรัฐบาลยังมีข่าวเสริมออกมาทางสื่อ มิทราบว่าเจ้าพนักงานหรือโฆษกตำรวจหรือผู้ใดเป็นผู้แจกจ่ายว่ายังมีผู้ต้องหาหนีการจับกุมอยู่อีกหลายคน รวมทั้งผมด้วย ผมขอปฏิเสธว่าไม่เคยหนีการจับกุม และได้เคยมีหนังสือถึง ผบ.ตร.สำเนาถึงนรม.และท่านประธานกรรมการปฏิรูปตำรวจหลายครั้ง ขอให้มีการออกหมายและนำส่งหมายอย่างถูกต้องป.วิ.อาญามาให้ผม และหรือให้ท่านนัดหมายให้ผมไปพบกับ ผบ.ตร.และพล.ต.ท.สมยศ เมื่อใดก็ได้ การออกข่าวเช่นนั้นเป็นการละเมิดสิทธิของผม ผมเองไม่ต้องการมีอภิสิทธิ์และการเลือกปฏิบัติ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า ถ้าจะให้ความเป็นธรรมกับนายไชยวัฒน์ ตำรวจจะต้องกระทำอย่างเดียวกันกับผมด้วย
       
       อนึ่ง ผมขอยืนยันว่ามิได้จงเกลียดจงชังตำรวจส่วนใหญ่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจชั้นผู้น้อยที่จำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่อุ้มนายไชยวัฒน์ในครั้งนี้ การกระทำความชั่วช้านั้นเป็นความผิดของโครงสร้างมากกว่าตัวบุคคล แต่บุคคลที่เป็นผู้นำจะต้องนำในการแก้ไข มิใช่ปล่อยให้ผู้น้อยกระทำความผิดครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วปล่อยให้เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางไปตามยถากรรม
       
                                            ขอแสดงความนับถือ
       
                                         นายปราโมทย์ นาครทรรพ
       
       pnakornthab@gmail.com
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #244 เมื่อ: 05 เมษายน 2554, 22:44:41 »

ผบ.เหล่าทัพแจงจุดยืนประชุม"จีบีซี"ในกัมพูชา-ไทยเท่านั้น ลั่นไม่ยอมให้ผู้สังเกตการณ์อินโดฯเข้าประเทศ

วันที่ 05 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 19:25:15 น.มติชน ออนไลน์


   ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ วันที่ 5 เมษายน พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ถึงกรณีฝ่ายไทยจะไม่เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือจีบีซีที่ ประเทศอินโดนีเซียว่า กองทัพทัพยึดมั่นต่อพันธกรณีระดับทวิภาคี ซึ่งรัฐบาลไทยและกัมพูชาตกลงกันเมื่อปี 2538 ดังนั้นกองทัพยินดีไปร่วมประชุมจีบีซี ที่ประเทศกัมพูชา ในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม หากหลังการประชุมครั้งนี้จำเป็นต้องมีการประชุมกันอีกก็ต้องหารือกันว่าจะ ต้องประชุมที่ใด เวลาใด ใครเป็นเจ้าภาพ ตามพันธกรณีที่ได้ยึดถือ หากไม่ปฏิบัตินี้ก็ถือว่าเรายกเลิกพันธกรณีปี 2538กองทัพไม่สามารถทำได้ ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจึงจะสามารถทำได้ เพราะฉะนั้นจึงตอบคำถามได้ว่าทำไมต้องประชุมที่ประเทศกัมพูชา และเพราะเหตุใดกองทัพต้องยืนยันในลักษณะนี้


พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้ระบุไว้ว่า รัฐจะต้องมีกำลังเพื่อรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนและอื่นๆ กองทัพจึงจำเป็นที่จะต้องยืนยันรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทย โดยไม่ให้กำลังทหารจากประเทศใดประเทศหนึ่งเข้ามาสู่ประเทศไทย เพราะจะทำให้มีผลต่อการดำเนินกลยุทธ์การปฏิบัติงานตามแผนป้องกันประเทศและ เรื่องอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังระบุว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่แบ่งแยกจากกันไม่ได้ การที่มีกองทัพอื่นใดเข้ามาในประเทศไทยถือเป็นการละเมิดอธิปไตยเหนือดินแดน แห่งประเทศไทย


สำหรับพันธกรณี  เมื่อปีพ.ศ.2538เป็นการลงนามโดยผู้แทนของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ในบันทึกความเข้าใจที่ตกลงกันเพื่อเป็นแนวทางดำเนินการการอย่างสันติสุข และความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ในระดับทวิภาคี โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือจีบีซี และในขณะเดียวกันทั้ง 2 ประเทศมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 2 ประเทศเป็นประธาน โดยมี ผบ.สส. ผบ.เหล่าทัพและผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นคณะกรรมการ โดยทั้ง 2 ประเทศได้ให้เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เป็นเลขานุการ ซึ่งในบันทึกความเข้าใจปี 2538 กล่าวว่า จะมีการประชุมปีละ 1 ครั้ง ที่ประเทศไทยและกัมพูชา สลับกันไป หากมีความจำเป็นให้หารือกันที่จะจัดการประชุมโดยระบุเจ้าภาพและสถานที่ และเราก็มีการประชุมสลับกันไปมา จนกระทั้งในปี 2552 ได้มีการประชุมจีบีซีที่ เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชาและปี 2553 มีที่พัทยา จ.ชลบุรี ประเทศไทย และเดิมประเทศกัมพูชารับเป็นเจ้าภาพในการประชุมครั้งที่ 8 ในเดือน มิถุนายน 2554 ซึ่งปีนี้ต้องมีการประชุมตามข้อตกลง


ผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันจะไม่มีการประชุมจีบีซีที่ประเทศอินโดนีเซียและจะไม่ให้ผู้สังเกต การณ์จากอินโดนีเซียเข้ามาในประเทศไทยใช่หรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า ถูกต้อง ไทยทำตามพันธกรณี ถ้าทำนอกเหนือจากนี้ถือว่ายกเลิกพันธกรณีปี 2538


เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ที่มีความคิดไปคนละแนวทางกัน เพราะเป็นผู้ไปคุยกับประเทศกัมพูชาว่าจะให้ประเทศอินโดนีเซียเข้าไปเป็นตัว กลาง พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่ล่วงละเมิด เข้าไปในขอบเขตของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้เรียน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการประชุมสภากลาโหม เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า จุดยืนของกองทัพเป็นเช่นนี้ และพล.อ.ประวิตรได้หารือกันกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Preecha2510
Cmadong Member
Full Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2510
กระทู้: 788

« ตอบ #245 เมื่อ: 06 เมษายน 2554, 10:48:04 »

อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 05 เมษายน 2554, 22:44:41
ผบ.เหล่าทัพแจงจุดยืนประชุม"จีบีซี"ในกัมพูชา-ไทยเท่านั้น ลั่นไม่ยอมให้ผู้สังเกตการณ์อินโดฯเข้าประเทศ

วันที่ 05 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 19:25:15 น.มติชน ออนไลน์


   ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ วันที่ 5 เมษายน พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ถึงกรณีฝ่ายไทยจะไม่เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือจีบีซีที่ ประเทศอินโดนีเซียว่า กองทัพทัพยึดมั่นต่อพันธกรณีระดับทวิภาคี ซึ่งรัฐบาลไทยและกัมพูชาตกลงกันเมื่อปี 2538 ดังนั้นกองทัพยินดีไปร่วมประชุมจีบีซี ที่ประเทศกัมพูชา ในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม หากหลังการประชุมครั้งนี้จำเป็นต้องมีการประชุมกันอีกก็ต้องหารือกันว่าจะ ต้องประชุมที่ใด เวลาใด ใครเป็นเจ้าภาพ ตามพันธกรณีที่ได้ยึดถือ หากไม่ปฏิบัตินี้ก็ถือว่าเรายกเลิกพันธกรณีปี 2538กองทัพไม่สามารถทำได้ ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจึงจะสามารถทำได้ เพราะฉะนั้นจึงตอบคำถามได้ว่าทำไมต้องประชุมที่ประเทศกัมพูชา และเพราะเหตุใดกองทัพต้องยืนยันในลักษณะนี้


พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้ระบุไว้ว่า รัฐจะต้องมีกำลังเพื่อรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนและอื่นๆ กองทัพจึงจำเป็นที่จะต้องยืนยันรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทย โดยไม่ให้กำลังทหารจากประเทศใดประเทศหนึ่งเข้ามาสู่ประเทศไทย เพราะจะทำให้มีผลต่อการดำเนินกลยุทธ์การปฏิบัติงานตามแผนป้องกันประเทศและ เรื่องอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังระบุว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่แบ่งแยกจากกันไม่ได้ การที่มีกองทัพอื่นใดเข้ามาในประเทศไทยถือเป็นการละเมิดอธิปไตยเหนือดินแดน แห่งประเทศไทย


สำหรับพันธกรณี  เมื่อปีพ.ศ.2538เป็นการลงนามโดยผู้แทนของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ในบันทึกความเข้าใจที่ตกลงกันเพื่อเป็นแนวทางดำเนินการการอย่างสันติสุข และความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ในระดับทวิภาคี โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือจีบีซี และในขณะเดียวกันทั้ง 2 ประเทศมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 2 ประเทศเป็นประธาน โดยมี ผบ.สส. ผบ.เหล่าทัพและผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นคณะกรรมการ โดยทั้ง 2 ประเทศได้ให้เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เป็นเลขานุการ ซึ่งในบันทึกความเข้าใจปี 2538 กล่าวว่า จะมีการประชุมปีละ 1 ครั้ง ที่ประเทศไทยและกัมพูชา สลับกันไป หากมีความจำเป็นให้หารือกันที่จะจัดการประชุมโดยระบุเจ้าภาพและสถานที่ และเราก็มีการประชุมสลับกันไปมา จนกระทั้งในปี 2552 ได้มีการประชุมจีบีซีที่ เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชาและปี 2553 มีที่พัทยา จ.ชลบุรี ประเทศไทย และเดิมประเทศกัมพูชารับเป็นเจ้าภาพในการประชุมครั้งที่ 8 ในเดือน มิถุนายน 2554 ซึ่งปีนี้ต้องมีการประชุมตามข้อตกลง


ผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันจะไม่มีการประชุมจีบีซีที่ประเทศอินโดนีเซียและจะไม่ให้ผู้สังเกต การณ์จากอินโดนีเซียเข้ามาในประเทศไทยใช่หรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า ถูกต้อง ไทยทำตามพันธกรณี ถ้าทำนอกเหนือจากนี้ถือว่ายกเลิกพันธกรณีปี 2538


เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ที่มีความคิดไปคนละแนวทางกัน เพราะเป็นผู้ไปคุยกับประเทศกัมพูชาว่าจะให้ประเทศอินโดนีเซียเข้าไปเป็นตัว กลาง พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่ล่วงละเมิด เข้าไปในขอบเขตของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้เรียน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการประชุมสภากลาโหม เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า จุดยืนของกองทัพเป็นเช่นนี้ และพล.อ.ประวิตรได้หารือกันกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ


              ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา บุคคลในกองทัพฯปิดปากเงียบสนิทดูทิศทางลม ขณะนี้จากสถานะการณ์ความเชื่อ

      มั่นและความมั่นคงของรัฐบาลดูไม่ค่อยจะมีอนาคต การแสดงออกของคนในกองทัพฯในเรื่องปกป้องดินแดนที่

      ไทยกำลังขัดแย้งกับเขมร     จากที่เคยพูดแบ๊ะๆและวางเฉยจึงออกมาในลักษณะเสียงแข็งกร้าวขึ้น

                           ประเทศชาติต้องเสียค่าใช้จ่ายเลี้ยงทหารพันวัน เพื่อใช้งานเพียงวันเดียว(จากตำราพิชัยสงคราม  ซุนวู)


                                                                  มาช้าดีกว่าไม่มาครับ




                                                       

                                                   
                                                     
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #246 เมื่อ: 06 เมษายน 2554, 11:13:34 »

ดีใจครับพี่แก้ว
พระสยามเทวาธิราช คงคุ้มครอง ประเทศของเราแน่นอน
ทหารจึงค่อยๆมีดวงตาเห็นธรรม

MOU 2538 นี้ข้อมูลใหม่ ที่เจ๋งมากๆเลยครับ

อยากดูว่ารัฐบาลขายชาติ จะไปอีท่าไหน??
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #247 เมื่อ: 13 เมษายน 2554, 12:52:49 »

เบื้องลึก! มติถอนเจบีซี "มาร์ค"ลั่นโดนด้วยกันทั้ง ครม. "ชุมพล"สวน "นายกฯเสียหน้าแค่คนเดียว"

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 07:36:31 น.มติชน ออนไลน์


   

แหล่งข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 12 เมษายน ว่าก่อนจะเข้าสู่วาระการพิจารณาของ ครม. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้หยิบยกกรณี "รายงานผลการบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา" หรือเจบีซี 3 ฉบับ ที่บรรจุอยู่ในวาระการพิจารณาของรัฐสภา เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยังไม่มี ความชัดเจนว่า “เรื่องเจบีซี คาราคาซังอยู่ในรัฐสภานานแล้ว ซึ่งเราต้องทำให้เกิดความชัดเจน ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้กัมพูชา นำเรื่องนี้ไปอ้างเพื่อขึ้นสู่ศาลโลกแล้วประเทศไทยจะเสียหาย จะถอนออกจากวาระประชุมหรือทำอย่างไรต่อไปก็ต้องให้มีความชัดเจน หรือถ้า ครม.ยืนยันก็ขอให้ความร่วมมือทำให้กรอบเจบีซี ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา”


ทันทีที่นายอภิสิทธิ์พูดจบ นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ได้พูดสวนขึ้นมาทันทีว่า “ผมเสนอให้ถอน เรื่องนี้จะได้จบ” จากนั้น นายอภิสิทธิ์ได้พยายามอธิบายหว่านล้อม ครม. ให้ความร่วมมือให้กระบวนการพิจารณาของรัฐสภาในวาระนี้ให้ผ่านไป โดยนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า “ถ้าไม่ดำเนินการตามกระบวนการของรัฐสภาต่อ กรมแผนที่ทหารก็ไม่ทำงานเพราะกลัวติดคุก” จากนั้น นายชุมพลจึงกล่าวอีกว่า “ผมเสนอให้ถอนๆ ออกมาเสีย เพราะเราไม่เห็นด้วย”
 

แหล่งข่าวระบุว่า จากนั้น นายอภิสิทธิ์ได้สอบถามนายอัชพร จารุจินดา เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายอัชพรระบุว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ฟังได้ความว่า ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร จะต้องดำเนินการตามกระบวนการของเจบีซีต่อไปอีก ดังนั้น ในขั้นตอนนี้จึงไม่ถือเป็นสัญญา ซึ่งนายชุมพลก็เห็นด้วย จากนั้น ครม.จึงมีมติรับทราบความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญ และรับทราบความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา จากนั้น ครม.จึงมีมติให้ถอนเรื่องเจบีซี 3 ฉบับ ออกจากวาระการประชุมของรัฐสภา และให้กระทรวงการต่างประเทศไปดำเนินการเจรจา โดยนายอภิสิทธิ์ย้ำว่า ให้กระทรวงการต่างประเทศทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ เรื่องการเสียดินแดนหรือไม่อย่างไร
   

โดนก็โดนด้วยกัน ก็อยู่ใน ครม.เดียวกัน” แหล่งข่าวอ้างคำพูดนายอภิสิทธิ์ จากนั้น นายชุมพลก็ตอบสวนทันทีว่า “รับผิดชอบมันรับผิดชอบร่วมกันทั้ง ครม.อยู่แล้ว แต่ถ้าจะเสียหน้าก็เห็นจะมีท่านนายกรัฐมนตรีคนเดียวเท่านั้น”
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071

« ตอบ #248 เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2554, 08:51:40 »



"ปูแดง" น้ำตาคลออ้อนขอคะแนน ลั่นใช้นโยบาย "พี่แม้ว" คืนความสุขให้ปชช.



"วันนี้ไม่ได้ต้องการเล่นการเมืองแต่ขออาสารับใช้พี่น้องประชาชน สาเหตุที่ตัดสินใจเล่นการเมืองเพราะหลังเหตุการณ์ปฎิวัติรัฐประหาร 19 ก.ย. ครอบครัวของตนเองก็ยังได้รับการยอมรับจากพี่น้องประชาชน และทุกคนยังคิดถึงนโยบายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำไว้ให้ จึงอยากนำนโยบายเก่าๆเหล่านั้น กลับมาอีกครั้งเพื่อคืนความสุขให้พี่น้องประชาชน เพราะรู้สึกว่าครอบครัวตนเองเป็นหนี้ประชาชน จึงเป็นสาเหตุให้ตัดสินใจมาเล่นการเมือง"

นโยบายของปูแดง "ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ" ที่นำมาสรุป เป็นข้อๆ ดังนี้

1. ประกาศสงครามความยากจนให้หมดไปใน 4 ปี

2. ประกาศสงครามกับยาเสพติดภายใน 12 เดือน

3. นำนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคกลับมาใช้อีกครั้ง

4. เพิ่มกองทุนหมู่บ้านเป็น 2 ล้านบาท

5.จะพักหนี้ให้ครัวเรือนที่มีหนี้ต่ำ 5 แสนบาทเป็นเวลา 3 ปี

6. ลดหย่อนภาษีให้ประชาชนที่มีบ้านหลังแรกและรถคันแรก

7. ลดภาษีนิติบุคคลในปี 2555 เป็น 23% และถัดไป 20%

8.เพื่อให้เอกชนมีเงินขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท

9. นักศึกษาที่จบปริญญาตรีจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ำ 1.5 หมื่นบาท

10. จะมีเงินกองทุนเสริมให้นักศึกษาที่เรียนจบตั้งตัว จะมีบัตรเคดิต

11. ให้เกษตรกรใช้สำหรับซื้ออุปกรณ์การเกษตร จะรับจำนำขาวเหนียวตันละ 1.2 หมื่นบาท

12. เร่งสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง

13. จะเร่งแก้ปัญหาน้ำเร่งโดยดึงน้ำจาก 25 ลุ่มน้ำเข้าสู่พื้นที่เกษตร

ที่มา: http://www.suthichaiyoon.com/detail/10076
      บันทึกการเข้า

Soponเท่านั้น
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,405

« ตอบ #249 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2554, 22:36:46 »

The Haircut
One day a florist went to a barber for a haircut. After the cut, he asked about his bill, and the barber replied, 'I cannot accept money from you , I'm doing community service this week.' The florist was pleased and left the shop.
When the barber went to open his shop the next morning, there was a 'thank you' card and a dozen roses waiting for him at his door.
Later, a cop comes in for a haircut, and when he tries to pay his bill, the barber again replied, 'I cannot accept money from you I'm doing community service this week.' The cop was happy and left the shop.
The next morning when the barber went to open up, there was a 'thank you' card and a dozen donuts waiting for him at his door.
Then a politician came in for a haircut, and when he went to pay his bill, the barber again replied, 'I can not accept money from you. I'm doing community service this week.' The politician was very happy and left the shop.
The next morning, when the barber went to open up, there were a dozen politicians lined up waiting for a free haircut.

And that, my friends, illustrates the fundamental difference between the citizens of our country and the politicians who run it.


POLITICIANS AND DIAPERS NEED TO BE CHANGED OFTEN AND FOR THE SAME REASON!

เอามาฝากตะวันและพี่น้องคอการเมืองครับ
__________________
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 21  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><