เอามาฝากให้อ่าน...จ๊ะ
ถึงเพื่อนที่ชอบสีแดง,
เมื่อตอนบ่ายโมงของวันเสาร์ที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากที่เราซื้อของจากเอ็มโพเรียมเสร็จแล้วราวๆ บ่ายสองโมง
เรากับแม่ก็ตกลงที่จะใช้เส้นทางผ่านสุขุมวิท 31 ไปเข้าเพชรบุรีตัดใหม่ โดยที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวว่ามีการชุมนุมกันอยู่ที่หน้า
บ้านนายกฯ ในตอนที่เราจะเข้าซอย ได้มีการเอาแผงมากันด้านขาเข้าปากซอย 31 ส่วนด้านขาออกที่จะมายังถนนสุขุมวิทนั้น
มีผู้หญิงสวมเสื้อแดงยืนกันอยู่ และไม่มีอาการสนอกสนใจถึงรถราที่วิ่งเข้าวิ่งออกในซอยนั้นเท่าไรนัก เราก็เลยบีบแตรรถเพื่อ
ให้ผู้หญิงคนนั้นหลีกให้พ้นทาง แล้วเราก็ขับรถเข้าซอยไป... ระหว่างทางเรากับแม่เห็นผู้ชายใส่เสื้อสีแดง ย้อมผมสีส้มยืน
ปัสสาวะอยู่ริมถนน (อย่างไม่อายสายตาใคร) บนรั้วสีขาวของชาวบ้านในซอย 31 โดยที่ในตอนนั้นยังฉุกคิดไม่ทันเสียด้วยซ้ำ
ว่าเกิดอะไรกันขึ้น
จนกระทั่งเราวิ่งเข้ามาจนถึงหน้าร้าน Homework ซึ่งบริเวณนั้นถูกปิดอยู่โดยกลุ่มคนที่ใส่เสื้อแดง พอรถเราหยุด เราก็เห็นผู้ชาย
ตัวใหญ่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ถือธงไทยปลิวไสวมาหยุดอยู่ที่ข้างๆ ตัว พร้อมกับลงมาจากมอเตอร์ไซค์แล้วก็เริ่มเคาะที่กระจกรถ
เรา จากนั้นก็พูดว่า “มรึ..งบีบแต.. ทำไม?”... ส่วนเราก็พยายามมองไปที่ท้ายรถคันข้างหน้าเพราะไม่อยากจะไปยุ่งด้วย ซึ่งการทำ
แบบนั้นก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นเท่าไหร่นัก ... หลังจากนั้นแค่อึดใจ ก็มีชายฉกรรจ์อีกประมาณ 4 - 5 คนเดินมามุงที่รถเรา
ซึ่งขณะนั้นผู้ชายคนเดิมก็ย้ำคิดย้ำทำอาการเดิมๆ อยู่ โดยเคาะที่กระจกรถแล้วก็พูดต่อ.... “มรึ..งบีบแต..ทำไม?” แม่ของเราซึ่งอายุ
75 แล้ว ก็คงจะเริ่มกลัวแต่ก็ยังมีสติพอที่จะบอกให้เรากลับรถและวนกลับไปยังหน้าซอย แต่พวกผู้ชายเหล่านั้นก็ยังไม่ลดละที่จะมา
ยืนมุงรถเราอยู่... และถามซ้ำประโยคเดิมๆ จนเราทนไม่ได้ เราเลยหันกลับไปมองหน้าคนที่เคาะกระจก แล้วพูดว่า “แล้วจะทำไม?” ...
พอผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นอ่านปากเราสำเร็จ เขาก็เริ่มเปลี่ยนจากประโยคคำถามเดิม เป็นประโยคคำถามใหม่ “มรึ..งบีบแต.. ด่ากูใช่ไม๊?” ...
เราก็ไม่ตอบและหันหน้าหนีเพื่อที่จะรอให้รถคันข้างหน้าขยับ และเราก็จะได้ขยับด้วย... แต่ก็ดูเหมือนไม่สำเร็จ “โธ่...อีเหรี้..ย.!!!”….
“อีสั...ว์!!” และอีกสารพัดอี... แต่เดชะบุญรถคันข้างหน้าเราเริ่มขยับได้... เราก็เลยสามารถที่จะขยับตาม และเริ่มที่จะกลับรถได้
พอรถเราเริ่มหันไปทางทิศปากซอยได้... พวกผู้ชายตัวใหญ่ๆ ใส่เสื้อแดง... รวมทั้งเสื้อดำมีผ้าปิดหน้า (ผ้าเจาะรูที่ลูกตาสองข้าง)
ก็ยังไม่ลดละที่จะเดินมาประชิดข้างๆ ตัวเราอีก...พร้อมทั้งพยายามดึงประตูรถ (ทั้งทางฝั่งเรา และฝั่งของแม่) และเอาหัวแหวน
(ขนาดใหญ่) มาเคาะที่กระจกด้านที่เรานั่ง หลายๆ ครั้งหลายหน จนเราทนไม่ได้ ต้องหันกลับไปพูดว่า “กูจะกลับบ้าน”....เท่านั้นแหละ
ผู้ชายที่ยืนอยู่ก็ยิ่งกระชากประตูรถแรงขึ้นๆ ทั้งทางฝั่งเรา และฝั่งแม่เรา “มรึ..งบีบแต...หาแม่มรึ..งเหรอ?? … มรึ..งลงมาเดี๋ยวนี้เลย!!... อีเหรี้..ย”
“โธ่...อีสั..ว์”.... ฯลฯ (นี่... ถ้าคว้านรูลูกตาไอ้โม่งให้มันกว้างกว่านี้อีกสักนิดก็คงจะเห็นหรอกนะว่า... แม่กูนั่งอยู่นี่!!) แล้วก็เคาะๆๆๆ แรง
มาก... จนเราต้องหันหน้าไปจ้องตากับผู้ชายคนนั้น... จ้องกันได้ไม่นาน... ผู้ชายคนนั้นก็ทำท่าทำทางฮึดฮัด และพยายามที่จะหยิบอะไร
ออกมาจากสะเอว (เหมือนกระเป๋าใบเล็กๆ รูปทรงกะทัดรัด) …. แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราหยุดที่จะจ้องเข้าไปในรูเล็กๆ ที่ปิดบังลูกตาของผู้ชาย
คนนั้นอยู่... เพราะเราก็อยากรู้เหมือนกันว่า “แล้วจะทำไม?” … ยิ่งจ้องผู้ชายคนนั้นก็ยิ่งฮึดฮัด เขย่าที่เปิดประตูรถแรงขึ้นๆ... จนเราได้ยิน
เสียงผู้ชายอีกคนพูดว่า “ปล่อยมันไปเหอะ... ผู้หญิง... ผู้หญิง... ปล่อยมันไปเหอะ”… พอเราได้สติ นึกขึ้นได้ว่าแม่นั่งอยู่ด้วย เราก็เลยเข้า
เกียร์เดินหน้า แต่มิวายก็ได้ยินเสียงรถ “ถูกถีบ” ตามมาให้เราได้ยินก่อนที่จะขับรถจากไป
จากเหตุการณ์ที่เราเล่า เป็นเรื่องที่เราประสบด้วยตัวเอง... ไม่มีการตัดต่อ ไม่มีการใส่สีใส่ไข่ให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เราต้องพูดอย่างนี้ก็
เพราะว่าหลายๆ ครั้ง เพื่อนสีแดงของเราชอบบอกว่าข่าวสารบ้านเมืองของเราถูกบิดเบือน พวกชาวบ้านอย่างเราถูก “ปิดหูปิดตา” … เพื่อนๆ
บางคนอาจจะเห็นว่าเรา “วอน” หาเรื่อง หรืออาจจะมีความรู้สึกกับเรื่องราวที่เราเราให้ฟังนี้ไปได้อีกหลากหลาย แต่สำหรับแม่ของเรา ซึ่งไม่
เคยเจอะเคยเจออะไรประชิดตัวอย่างนี้มาจนอายุ 75… แน่นอน เป็นเรื่องที่ทำให้แม่ตกใจมาก และสั่นกลัวไปทั้งวัน จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น
แม่ก็ยังตกใจกลัวอยู่ ... ส่วนตัวเราเองตั้งแต่วินาทีที่ขับรถพ้นคนกลุ่มนั้นออกมา ความรู้สึกที่เกิดขึ้น และชัดเจนที่สุดที่สามารถอธิบายได้คือ
“นี่มันอะไรกัน?” อะไรที่ทำให้คนที่ไม่รู้จักกัน ไม่เคยมีเรื่องมีราวกัน สามารถที่จะปฏิบัติต่อกันได้ขนาดนี้? และเราก็บอกได้เลยว่าในสายตา
และท่าทางของคนเหล่านั้น เราสามารถรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังที่มีมากมายราวกับสะสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อน
ความรู้สึกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในวันนั้น... มันได้ทำให้ความรู้สึกเดิมๆ ที่เคยมีแต่ต้องเก็บเอาไว้มันหวนกลับมาในสมองของเราอีก...
เพื่อนๆ ที่ศรัทธาในสีแดงของเราทุกเฉด... เราขอบอกตรงนี้นะว่า “หยุดเถอะ” หยุดที่จะสร้างความอึดอัดให้กับคนรอบข้างที่รักเพื่อน และที่ยิน
ยอมที่จะไม่พูด ไม่เถียง เพียงเพราะต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากัน และแตกคอกันของคนในสังคมเล็กๆ ของเรา ... หลายครั้งที่เรา
หยุด และเลี่ยง เพียงเพราะต้องการให้การสังสรรค์ หรือความสุขที่เรามีร่วมกันขณะนั้นมันสามารถไปต่อได้ ... แต่ตอนนี้เราขอบอกตรงๆ กับ
เพื่อนนะว่า เราไม่สามารถที่จะมีความสุขในลักษณะนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
เราไม่รู้หรอกว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เพื่อนบางคนรู้สึกศรัทธาในสีที่ว่านี้ ... มันอาจจะมาจากความเป็นอยู่ที่สุขสบายมากขึ้น หรือเพียงแต่
ศรัทธาเพราะต้องการที่จะแตกต่าง หรือศรัทธาเพราะคนรุ่นเราถูกสอนให้ “รู้จักคิด” และ “แสดงความคิด” เราไม่รู้ ... แต่สำหรับเรา สิ่งที่เรา
รักและศรัทธานั้นเกิดขึ้นมานานกว่าช่วงเวลาที่ “คนๆ นั้น” ก้าวขึ้นมามีอำนาจ และเราก็มั่นใจอีกว่ามันนานกว่าชั่วชีวิต 40กว่าปีของเราด้วยซ้ำ
เพราะความรัก ความศรัทธานี้มีมาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยายของเรา และมันก็ฝังลึกเกินกว่าที่เราจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นได้... ดังนั้นเราขอให้
เพื่อนหยุดเถอะ... หยุดสร้างความรู้สึกกดดัน และอึดอัดให้กับคนอื่นๆ ที่รักเพื่อนเสียที...
เรารู้เสียใจที่หลายครั้งต้องมารับรู้ว่ามีหลายครอบครัวที่คนในบ้านมีการ แบ่งสี แบ่งฝ่าย…. ทะเลากันจนทำให้พี่น้องต้องแตกหักกันไป ... แต่
สำหรับเราเอง... เรายังโชคดีที่คนในครอบครัว และคนรอบๆ ตัวเราส่วนใหญ่ไม่ได้ศรัทธา หรือเชื่อในสิ่งที่ “คนๆ นั้น”พยายามทำให้มันเกิดขึ้น
แต่เพื่อนสีแดงของเราทั้งหลาย... นับแต่บัดนี้เราขอบอกเพื่อนว่า...วันนี้เราจะไม่หลีกเลี่ยงการพูดจาตรงไปตรงมากับเพื่อนอีกต่อไป... เราจะ
ไม่ตำหนิติเตียนความคิดเห็นของเพื่อนลับหลังอีกต่อไป... ขอให้เพื่อนรู้เอาไว้ตรงนี้แล้วกันนะว่า การที่เรา... หรือพวกเราเงียบเป็นเพราะว่าเรา
ยังมีความรักในตัวเพื่อนอยู่มาก แต่ถ้าเมื่อใด ความก้าวล่วงความรู้สึกที่ว่านี้มันมีมากขึ้นๆ และเพื่อนยังไม่เลิกดูหมิ่นหรือพูดจาลบหลู่สิ่งที่เราเคารพ
สูงสุดในชีวิตของเราอีก ความรักและความอดทนนั้นมันก็จะคงหมดไปได้ในที่สุดเหมือนกัน
เราขอร้องเพื่อนครั้งนี้เป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย เราไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะต้องปกป้องใคร หรือเชื่อคำพูดใดๆ ของใครสิ่งที่เราคิด... สิ่งที่เราเป็น
เกิดจากสิ่งที่เราเห็นและประสบด้วยตัวเองทั้งหมด... เรามีชีวิตที่มีความสุขพอสมควรได้ขนาดนี้... ประเทศของเราสามารถยืนหยัดเป็นประเทศไทย
อยู่ได้ทุกวันนี้ ถ้าไม่ได้เกิดจากการปกครองโดย “ธรรม” ของ “ผู้ปกครอง” แล้วจะเกิดจากใคร? ที่พวกเราได้เก็บเกี่ยวดอกผลแห่งความสุขกันอยู่ได้
ทุกวันนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นในแค่ช่วงเวลาที่ “คนๆ นั้น” ขึ้นมาปกครอง... มันน่าจะนานกว่านั้นนะ!! มันน่าจะนานกว่าชีวิตปู่ ย่าตา ยาย ของพวกเราด้วยซ้ำ ...
คิดดูให้ดี ... เราขอร้อง... อย่ามาทะเลาะกันเพียงเพื่อให้คนๆ เดียวได้ความสะใจอีกเลยได้ไหม?
รักเพื่อนเสมอ และลาก่อนสำหรับเพื่อนที่ยังคงศรัทธาในสีแดง
ref:
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000041339