23 พฤศจิกายน 2567, 06:11:23
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17 18 ... 21  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องสนุก ( จะเป็นประเด็นปลีกย่อย..เกร็ดเล็กๆน้อยๆ..ถากถาง..ขำขัน.)  (อ่าน 235307 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #375 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2554, 09:24:24 »

หวัดดีนก สบายดีไหมครับ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #376 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2554, 09:30:59 »

หมดเวลานายกฯ สมองกลวง
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    5 พฤศจิกายน 2554 06:08 น.    

พี่ดูไบ น้องดูโง่-ภาพประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงภูมิรู้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ขณะนำถุงอีเอ็มบอลเตรียมใส่บาตรพระด้วยความไร้เดียงสา
จนพระต้องรีบปิดฝาบาตรแล้วนำกระดาษมารองบนบาตรเพื่อใช้แทนผ้ารับประเคนแทน
ขณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในพื้นที่
 แขวงสีกัน เขตดอนเมือง วัดไผ่เขียว ตลาดโกสุมรวมใจ หมู่บ้านบูรพา 7 เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา


      
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คงจะไม่เกินเลยไปนัก ถ้าจะกล่าวว่า ในยุคที่ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี
คือยุคที่ประชาชนชาวไทยได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากมหาอุทกภัยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ขณะที่ประเทศชาติก็พินาศย่อยยับและฉิบหายชนิดไม่สามารถประเมินค่าได้
       
       และถ้าหากถามว่า นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยคนนี้มี “ความโดดเด่น” ที่ตรงไหนบ้าง
เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คงต้องใช้เวลานานพอสมควร ขณะที่หลายคนอาจจะทำหน้างงๆ เพราะคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่า
 เธอมีคุณสมบัติอะไรที่เหมาะสมสำหรับการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศที่มีประชากรกว่า 60 ล้านคน
       
       ยิ่งเมื่อประเทศชาติต้องเผชิญหน้ากับมหาอุทกภัย เราก็ยิ่งได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์มากขึ้นเป็นลำดับ
       
       ไร้เดียงสา...
       ขาดภาวะผู้นำ...
       ฯลฯ
       
       แน่นอน คงไม่มีใครปฏิเสธว่า สาเหตุที่ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีของไทยนั้น มีเหตุผลเพียงประการเดียวคือ เธอเป็นน้องสาวของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง และ นช.ทักษิณก็ไม่ไว้ใจใครให้มานั่งเก้าอี้ตัวนี้นอกเสียจากน้องในไส้สุดที่รักของตัวเอง
       
       ด้วยเหตุดังกล่าว เส้นทางในการก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของเธอจึงโรยด้วยกลีบกุหลาบ มิได้ใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองในการต่อสู้ดิ้นรน เพราะมีคนเตรียมการใส่พานเอาไว้ให้พร้อมสรรพเรียบร้อย
       
       กล่าวคือ หลังจากที่ประชุมพรรคเพื่อไทยมีมติเลือก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อในลำดับที่ 1 ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เส้นทางในการเถลิงอำนาจของเธอก็เป็นไปอย่างราบรื่นและในท้ายที่สุดก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมใจผู้เป็นพี่ชาย
       
       เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีผู้มาประเคนตำแหน่งให้แทบเท้าโดยที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร
       
       เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยมีประวัติการทำงานการเมือง ทำงานเพื่อสังคมหรือทำงานเพื่อประเทศชาติ ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเลยแม้แต่น้อย
       
       ด้วยเหตุดังกล่าว จงอย่าแปลกใจว่า ทำไมเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงทำอะไรไม่เป็น แถมคณะรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลของเธอแต่ละคนยังเป็นรัฐมนตรีแถวสามแถวสี่ของระบอบทักษิณที่มิได้มีฝีไม้ลายมือเลยแม้แต่น้อย
       
      ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่เมื่อเกิดวิกฤตน้ำท่วม คณะรัฐบาลชุดนี้จึงตกอยู่ในสภาพ “เป็ดง่อย” ที่ทำอะไรไม่เป็น
       

       ที่สำคัญ สิ่งที่สังคมต้องไม่ลืมก็คือ นอกจากโคลนนิงผู้พี่จะมีประกาศิตให้เธอเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยแล้ว แรงผลักประการสำคัญที่ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีก็คือ การก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองของ “คนเสื้อแดง” เพื่อโค่นล้มรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ผู้ “ดีแต่พูด”
       
       ดังนั้น เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์เถลิงอำนาจมาด้วย “ไฟ” นายห้างตราดูไบจึงจำเป็นที่จะตอบแทนบรรดาหัวหมู่ทะลวงฟันและแกนนำคนเสื้อแดงผู้จุดไฟเผาบ้านเผาเมืองด้วยตำแหน่งสำคัญๆ มากมาย ทั้งในรัฐบาล ทั้งในกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ รวมกระทั่งถึงในศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่เอาอ่าว
       
       ทั้งนี้ เมื่อผู้นำรัฐบาลคือตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์เองก็มิได้มีความสามารถ และเป็นเพียงหุ่นเชิดให้พี่ชายชี้นิ้วสั่งการ ดังนั้น ทุกครั้งที่เธอออกมาสื่อสารกับประชาชน จึงเป็นไปอย่างงกๆ เงิ่นๆ ข้อมูลไม่ชัดเจน ประชาชนเกิดความสับสนกับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น เพราะคำพูดของเธอไม่อยู่กับร่องกับรอย
       
       ที่สำคัญคือ สถานการณ์น้ำท่วมได้เริ่มก่อตัวทั่วประเทศตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม และก้าวเข้าสู่ภาวะระดับวิกฤตในเดือนกันยายน แต่ก็มิได้มีความเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมในการบริหารจัดการแต่อย่างได้ กระทั่งเหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงเดือนตุลาคม นายกฯ ยิ่งลักษณ์จึงเพิ่งตื่นจากภวังค์และจัดตั้ง ศปภ.ขึ้นที่ดอนเมือง
       
       จากนั้น เธอก็อ่านสคริปต์ที่มีคนเขียนให้และประกาศออกมาอย่างหน้าตาเฉยด้วยวลีที่เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คนไทยทั้งประเทศจดจำได้ดี “เอาอยู่ค่ะ” กับกรณีที่น้ำกรีธาทัพบุกนิคมอุตสาหกรรมนวนคร แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามนั้น เพราะเพียงชั่วข้ามคืน กองทัพน้ำก็บุกถล่มนวนครราบเป็นหน้ากลอง
       
       ขณะที่การแถลงข่าวผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งโฆษกน้ำยาขัดส้วมชื่อ “วิม” ก็ยิ่งทำให้สังคมเกิดความสับสนและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนขาดความน่าเชื่อถือ ส่งผลทำให้ประชาชนหันไปพึ่งพิงข้อมูลผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์แทน
       
       วอลล์สตรีทเจอร์นัลได้นำเสนอบทความชื่อ “Thai Turn to Social Media for Flood Updates” ว่า ประชาชนชาวไทยต่างเบื่อหน่ายกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลซึ่งให้ข้อมูลแสนสับสนหรือเสนอรายงานที่ขัดแย้งกันเองภายในหน่วยงาน บางครั้งแถลงว่า ระดับน้ำกำลังลดลง แต่มวลน้ำกลับไหลทะลักกินบริเวณกว้างขึ้นในเวลาต่อมา ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายสังคมออนไลน์จึงกลายเป็นสื่อที่รายงานข้อมูลได้รวดเร็วที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดในบางกรณี
       
       ยิ่งนานวัน คนไทยก็ยิ่งเห็นศักยภาพที่มีอยู่ในตัวนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยผู้นี้มากขึ้น ทั้งการใช้คนที่ไม่เหมาะสมกับงาน ดังกรณีการตั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เป็นประธานศูนย์ ศปภ. ทั้งๆ ที่ความจริงหน้าที่นี้ควรจะเป็นของ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่คุมผู้ว่าราชการจังหวัด และควบคุมองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทั้งประเทศ
       
      ขณะที่ตัวนายกรัฐมนตรีเองก็พิกลพิการเพราะนอกจากจะไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย พูดจาวกวนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แถมยังพูดจาโชว์รอยหยักในสมองอย่าง เรือดำน้ำ-เรือดันน้ำ หญ้าแพรก-หญ้าแฝก ให้เป็นที่ตลกขบขันกันทั้งบ้านทั้งเมือง
       

       นอกจากนี้ เมื่อตอบคำถามไม่ได้ก็ใช้วิธีปิดปากเดินหนีนักข่าว จากนั้นก็ได้ส่งคนใกล้ชิดมาชี้แจงว่า เหตุที่นายกฯ ไม่ยอมให้สัมภาษณ์ไม่ใช่เป็นเพราะงอนที่ถูกสื่อจี้ถามหลายๆ คำถาม แต่งอนผู้สื่อข่าวบางคนที่ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนเกินไปโดยไม่ยิ้มแย้มแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไร้อำนาจสั่งการที่แท้จริงอีกต่างหาก
       
       กรณีประตูระบายน้ำคลองสามวาคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เพราะแม้กระทั่ง “นายวิชาญ มีนชัยนันท์” ผู้เป็นแค่เพียง ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็สามารถเอาใจม็อบด้วยการใช้อำนาจสั่งเปิดประตูระบายน้ำคลองสามวาสูงขึ้นอีก 1 เมตร ทั้งๆ ที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์เพิ่งยืนยันกับสื่อมวลชนไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าว่า ปัญหาม็อบคลองสามวาจบแล้ว โดยรัฐบาลจะเปิดให้ 80 ซม.
       
       แถมสุดท้ายก็มิได้มีความเด็ดขาดในการควบคุมฝูงชนที่ไปพังคันดินข้างประตูระบายน้ำคลองสามวา จนทำให้ประตูระบายน้ำแห่งนี้หมดสภาพที่จะควบคุมน้ำได้ในฉับพลันทันที จน กทม.ต้องเร่งรีบประสานงานในการซ่อมแซมในทันที และนั่นส่งผลทำให้ทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ ต้องตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 นิคมอุตสาหกรรมที่อกสั่นขวัญแขวนอยู่ในขณะนี้ นั่นคือนิคมอุตสาหกรรมบางชัน ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของไทย และนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง
       
       แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ทำให้สนามบินสุวรรณภูมิสุ่มเสี่ยงที่จะตกอยู่ในสภาพเดียวกับสนามบินดอนเมืองอีกต่างหาก
       
       รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวเพราะเป็นเพียงหุ่นเชิดซึ่งมีผู้มีอำนาจที่เหนือกว่าสั่งการแทนได้
       
       แน่นอน ชาวบ้านที่ทนทุกข์อยู่กับน้ำท่วมขังและทนไม่ไหวจนเกิดม็อบกดดันย่อมไม่ใช่ผู้ผิด เพราะพวกเขาได้รับความเดือดร้อนจริง แต่คนที่ผิดก็คือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มิมีปัญญาในการเจรจา มิมีปัญญาในการบริหารจัดการและช่วยเหลือชาวบ้านเหล่านั้นให้เห็นถึงสภาพที่แท้จริงของปัญหา
       
      อีกตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา นายกฯ ยิ่งลักษณ์ประกาศยืนยันอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า มวลน้ำใหญ่ไม่มีแล้ว แต่กระทั่งถึงวันที่ 3 พ.ย. ภาพที่สังคมได้เห็นก็คือการรุกคืบของมวลน้ำที่ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งธนบุรีที่น้ำท่วมรุกเข้าไปถึงย่านบางแค ด้านถนนพหลโยธินที่น้ำท่วมบุกมาถึงเมเจอร์รัชโยธิน เช่นเดียวกับถนนวิภาวดีรังสิต ที่มวลน้ำทะลุทะลวงมาถึงวัดเสมียนนารี และกำลังรวมตัวกันถล่มห้าแยกลาดพร้าว
       
       น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงกลายเป็น “ตัวตลก” ของประชาชนที่ไม่มีใครให้ความเชื่อถืออีกต่อไป
       

       ทั้งนี้ แหล่งข่าวระดับสูงยืนยันว่า ใจความสำคัญที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชายผ่านทางสไกป์ (Skypeโปรแกรมสำหรับคุยโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต) โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมปรึกษาด้วยนั้น มิได้อยู่ที่แผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม หากแต่อยู่ที่ประโยคเด็ดที่ว่า “ไม่อยากเป็นนายกฯ แล้ว พี่แม้วขา”
       

       หรือหมายความว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถอดใจในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเอาเสียดื้อๆ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจเมื่อผู้เป็นพี่ชายชักแม่น้ำทั้ง 5 อ้อนวอนขอให้ประคับประคองรัฐบาลนี้ต่อไป
       
       ประกอบกับขุนพลที่อยู่รอบกายก็มิได้มีความสามารถสมกับเก้าอี้ที่ได้รับ เพราะการเลือกคนที่มาเป็นรัฐมนตรีมิได้มองที่ความสามารถ หากแต่มุ่งใช้คนที่สามารถตอบสนองคำสั่งและช่วยเหลือนายใหญ่ดูไบให้เหยียบแผ่นดินไทยได้อีกครั้ง จึงทำให้รัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาให้สำเร็จลุล่วง หรือแม้กระทั่งบรรเทาปัญหามิให้หนักหนาสาหัสไปกว่าที่เป็นอยู่ก็ยังทำไม่ได้
       
       ดังนั้น กลไกต่างๆ ของรัฐบาลจึงง่อยเปลี้ยเสียขา มิหนำซ้ำแต่ละคนยังเชียร์กันเองครื้นเครงอยู่ในกะลาดังข้อมูลที่ประชาชนรับทราบในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา เมื่อนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ ครม.ที่ปิดการประชุม ครม.ด้วยการทิ้งท้ายว่า “ท่านนายกฯ สู้” ตามต่อด้วยการที่บรรดารัฐมนตรีพร้อมใจกันปรบมือกึกก้องพร้อมกับลุกขึ้นมารายล้อมนายกฯ เพื่อพูดให้กำลังใจ
       
       ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่า ในขณะนี้บรรดาแกนนำคนเสื้อแดงกำลังหาทางช่วยรัฐบาลยิ่งลักษณ์กันอย่างจ้าละหวั่น ด้วยการหา “แพะ” เพื่อโยนความผิดทั้งหลายทั้งปวงไปให้อย่างไร้ยางอาย โดยที่ไม่ได้เคยคิดหันกลับไปทบทวนความผิดพลาดของตัวเองแล้วแก้ไขเลยแม้แต่น้อย
       
       เพราะในความเป็นจริง ตอนที่เกิดปัญหาอุทกภัย รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้ามาทำหน้าที่ได้เกือบ 2 เดือนแล้ว
       
       นี่จึงเป็นการปฏิเสธความรับผิดชอบที่น่าอัปยศอดสู
       
       สถานภาพของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในเวลานี้จึงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับคำว่า “รัฐล้มเหลว” หรือ “Failed State” เนื่องเพราะเป็นรัฐที่ไม่สามารถรักษาความมั่นคงภายในหน่วยงานของรัฐ และไม่สามารถปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของปวงชนชาวไทยได้
       
       ยิ่งกับกรณีล่าสุดในการเดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในพื้นที่ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง วัดไผ่เขียว ตลาดโกสุมรวมใจ หมู่บ้านบูรพา 7 ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของ “นายการุณ โหสกุล” เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังโชว์รอยหยักที่มีอยู่น้อยนิดในสมองจนเป็นที่น่าขบขันถึงความไร้เดียงสา
       
       กล่าวคือขณะที่คณะนายกรัฐมนตรีได้สวนกับเรือของพระสงฆ์ที่ออกบิณฑบาต น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้นิมนต์พระสงฆ์รูปหนึ่งเพื่อนำถุงยังชีพใส่บาตร และยังได้หยิบถุงบรรจุอีเอ็มบอล จำนวน 2 ถุงขึ้นมา พร้อมอธิบายสรรพคุณของอีเอ็มบอลให้พระสงฆ์ฟัง เมื่ออธิบายจบก็เตรียมจะนำถุงอีเอ็มบอลใส่ลงในบาตร แต่ขณะนั้นพระสงฆ์รูปดังกล่าวได้รีบปิดฝาบาตร แล้วนำกระดาษมารองบนบาตรเพื่อใช้แทนผ้ารับประเคนถุงอีเอ็มบอลจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ทัน และพระรูปดังกล่าวได้ขอให้นายกฯ แยกออกต่างหาก
       

       พระเจ้าช่วยกล้วยทอด นี่หรือนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
       
       สุดท้ายคงต้องฝากบทกวี “ปูดำรำพัน” ที่กำลังกระหึ่มโซเชียลเน็ตเวิร์กในขณะนี้ ซึ่งได้สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้อย่างชัดเจนชนิดที่ไม่ต้องหาคำใดๆ มาอธิบายเพิ่มเติม
       
       หนูก็แค่ ทำตาม พี่เค้าสั่ง
       ไม่อยากดัง แต่ขัดพี่ นี้ไม่ได้
       พี่เค้าบอก ให้หนู ทำเพื่อไทย
       หนูเลยกลาย เป็นนายก ตลกดี
       
       หนูไม่รู้ อะไร ตั้งหลายอย่าง
       คนรอบข้าง บอกให้ทำ อย่างนั้น-นี้
       หนูก็งง และก็มั่ว ในบางที
       ก็อย่างที่ หญ้าแฝก หญ้าแพรกไง
       
       หนูไม่กล้า พูดสด กดดันมาก
       สคริปต์ยาก อ่านไม่ทัน มันไม่ไหว
       ก็เลยต้อง โยนคนโน้น คนนี้ไป
       ให้ถามไป กระทรวงใคร กระทรวงมัน
       
       งานเยอะแยะ ทำไม่ทัน ดันน้ำท่วม
       หนูก็อ่วม จะทำไง ซ้ายขวาหัน
       กั้นตรงโน้น แก้ตรงนี้ พังทุกวัน
       ก็หนูมัน ไม่เคย เลยนี่นา
       
       คนรอบข้าง เก่งหรือไม่ หนูไม่รู้
       เท่าที่ดู เก่งทางปาก หลายคนหนา
       ทั้งพี่ปอด พี่ตู่ เจ๊สุดา
       เก่งแต่หา เรื่องให้หนู อยู่ทุกวัน
       
       หนูโดนด่า ในเน็ต ในเฟซหนู
       ตั้งกระทู้ ด่ากระจาย หลายเวอร์ชั่น
       สุดจะทน โดนด่า ว่าทุกวัน
       หนูอัดอั้น แต่พี่เค้า ให้อดทน
       
       ไม่อยากเปน นายกแล้ว พี่แม้วขา
       ช่วยกลับมา จากดูไบ หนูไม่สน
       ใครอยากเปน ก็เปนไป หนูไม่ทน
       พี่เปนคน สร้างปัญหา ต้องมาเคลียร์
       
       หนูขอกลับ ไปเปนปู อยู่อย่างเก่า
       คิดแล้วเรา อยู่ไป ไม่คุ้มเสีย
       ทุกวันนี้ หนูเหนื่อย หนูอ่อนเพลีย
       พี่เปนเชี่ย อะไร ไม่กลับมา...

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #377 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2554, 09:35:41 »

พี่ดูไบ ตอบ น้องดูโง่
.
.
.
จงเชื่อฟังพี่เถิดโอ้น้องลักษณ์
เชื่อพี่ทักษณ์..ลักษณน้องอย่าหมองศรี
เจ้าจงเป็นนายกรัฐมนตรี
ตามที่พี่เร่งรีบถีบเจ้าเป็น

ไม่ต้องรู้มันไปเสียทุกเรื่อง
จะมีข้าเชื่องเชื่องไว้คอยเข็น
หญ้าแฝกหญ้าแพรก..ที่หน้าแหกเช้า-เย็น
ผิดเจ้าตู่เจ้าเต้นมันบอกไม่ทัน

พี่รู้..น้องไม่กล้าเวลาพูดสด
น้องขี้หดตดหายเสียงสายสั่น
จะจ้างสื่อช่วยลดความกดดัน
ถาม-ตอบที่เตี้ยมกันเท่านั้นพอ

งานใดพี่ไม่เกี่ยวข้อง..ไม่ต้องทํา
และเรื่องนํ้าที่ท่วมจนอ่วมหอ
อ่วมเมืองอ่วมนาน..ชาวบ้านลอยคอ
หยุดซิหนอ..หยุดเอาอยู่ให้รู้เวลา

คนรอบข้างไม่เก่งการแต่เก่งโกง
เคยคลุกคลีตีโมงคนคุ้นหน้า
ทั้งเจ้าปอด..เจ้าตู่..เจ๊สุดา
พี่เอาเงินฟาดหัวมาก็ทั้งนั้น

พี่เห็นน้องถูกด่าเช็ดในเฟสน้อง
ด่าจนควายตั้งท้องกลายเป็นหมัน
อีง่าว..อีโพย..โอ๊ยยสารพัน
ฟังพี่นะจอมขวัญจงอดทน

อย่าเพิ่งเบื่อเป็นนายก..นะน้องลักษณ์
พี่ยังมีชนัก..เจ้าต้องสน
ไว้ใจใครได้เท่าเจ้า..เล่าหน้ามล
แต่ละคนเก่งสอพลอรอชเลียร์

หากน้องกลับไปเป็นปูอยู่อย่างเก่า
พี่คงเน่าคงแย่มีแต่เสีย
คุกก็รอ..เงินก็หมด..รันทดเพลีย
เข้าใจไหม eเหรี้ย..กลับได้ไง..

Copy มาให้อ่าน
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #378 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2554, 10:29:59 »

เอาอยู่ แตกแล้ว เสียใจ และช่วยตัวเอง

โดย : บุญชัย ปัณฑุรอัมพร

การช่วยเหลือผู้อื่น ก็เหมือนการช่วยเหลือตัวเอง การช่วยเหลือตัวเองก็เหมือนการช่วยเหลือผู้อื่น เข้าตำรา One for All, All for all

วันนี้ ผมขอยืมวลียอดฮิตอย่างคำว่า เอาอยู่ [color=#0062FF]แตกแล้ว
เสียใจ และช่วยตัวเอง ที่ชาว FaceBook พูดคุยกันในหลากหลายแง่มุมของช่วงภาวะฝ่าวิกฤตน้ำท่วมปี พ.ศ. 2554 นี้ มาประกอบบทความครัเอาอยู่  เหตุการณ์ในวันนี้คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องน้ำท่วมกันอีกแล้วว่า “เอาอยู่” หรือไม่  แต่ที่สำคัญคือ กำลังใจว่ายังเอาอยู่หรือไม่


ลองดูกรณีเหล่านี้นะครับ สองสามีภรรยาที่เคยทำงานในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ มีรายได้รวมกันประมาณ 4 หมื่นกว่าบาทต่อเดือน สามีเป็นหัวหน้าช่าง ภรรยาเป็นหัวหน้าคิวซี วันนี้ทั้งคู่ต้องตกงานและหนีน้ำไปอยู่ขอนแก่น ไปรับจ้างล้างรถรายวัน ได้ค่าแรงวันละ 160 บาทต่อคน รวม 2 คนก็ตกราวๆ 5 พันบาทต่อเดือน เงินที่เคยส่งลูกเรียนและส่งพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายที่ต่างจังหวัดจะเอาอยู่ได้อย่างไร


อีกกรณีหนึ่ง เป็นช่างทำผมที่อยุธยา ได้เงินเดือนรวมทิปเดือนละหมื่นเศษๆ หนีน้ำมาที่ร้านทำผมข้างๆ เซ็นทรัลปิ่นเกล้าเมื่อสัปดาห์ก่อน วันนี้น้ำตามมาที่ร้านเสริมสวยแห่งใหม่ ระดับน้ำสูงสุดที่ 1.20 เมตร ตอนนี้ร้านปิด เข้าใจว่าช่างทำผมคนเดียวกันนี้ก็ยังเอาอยู่ด้วยการหนีน้ำไปหางานทำผมที่ร้านอื่นต่อไป


ขณะที่ แม่ ลูก และหมาชิสุหนึ่งตัวพร้อมรถคู่ใจ ที่หนีน้ำออกมาได้ทันท่วงที หยิบทันแค่โทรศัพท์มือถือติดตัวมาได้เท่านั้น วันนี้เดินทางมาที่ปราจีนบุรีมาอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อ จำต้องทิ้งบ้านหลังใหญ่ สมบัติ เอกสารสำคัญ ข้อมูลเกี่ยวกับงานทั้งหมดให้จมน้ำที่บางบัวทอง วันนี้จะเอาอยู่หรือไม่ หรือแม้แต่ภาพที่เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ ภาพของคนลอยคอ ลอยรถเข็น ลุยน้ำท่วมปิ้งลูกชิ้นขายเพราะลูกต้องใช้เงินทุกวัน


ความสูญเสียที่เกิดขึ้นในวันนี้คงต้องอาศัยเวลาในการเยียวยาให้ลุกขึ้นสู้ต่อไป อย่างคำคมที่เพื่อนของผม คุณบุญยงค์ ตันสกุล CEO บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด มักจะพูดเสมอว่า “เสียอะไรเสียได้ แต่อย่าเสียกำลังใจ”


แตกแล้ว เหตุการณ์ในวันนี้หลายคนบอกว่า เปรียบเหมือนเสียกรุงฯ ครั้งที่สาม มองไปในด้านลบ จะเห็นว่า โรงงานต้องปิดไปมากกว่าพันแห่งใน 7 นิคมอุตสาหกรรม ส่งผลกระทบต่อยอดผลิตสินค้าต่างๆ  วัตถุดิบและสินค้าที่ผลิตเสร็จเตรียมส่งออกก็เสียหาย คลังสินค้าถูกน้ำท่วมทำลาย ที่ยังไม่เสียหายก็จัดส่งไปขายไม่ได้ เพราะบริษัทขนส่งต่างๆ ก็ปิดตัวเอง การจัดส่งสินค้าด้วยทีมรถของตัวเองก็ขัดข้อง รถจมน้ำทำให้ กระจายสินค้าไปยังภาคอื่นๆ ของประเทศไม่ได้ ยอดขายตกต่ำ ผู้คนตกงานขาดรายได้ กำลังซื้อหด โครงการหมู่บ้าน ทั้งที่ยังขายไม่หมดหรือที่ขายดาวน์ไปแล้วคงต้องหยุดชะงัก ผู้ที่กำลังผ่อนก็อาจจะหยุดผ่อน พวกผ่อนดาวน์จบแล้วก็ลังเลไม่ยอมโอน ธนาคารจะมีหนิ้เสียทั้งจากรายบุคคลและเจ้าของโครงการเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยก็ต้องเป็นขาลงแน่นอน เพื่อแบ่งเบาภาระทุกภาคส่วน รายได้ธนาคารจะตกต่ำ หุ้นธนาคารก็อาจจะร่วง หุ้นร่วงผู้คนก็จะจับจ่ายใช้สอยน้อยลง รายได้ที่จะกระจายต่อไปก็จะน้อยลง กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม ก็คงถูกยกเลิกกันไป การใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวก็คงหายตามไป การลงทุนจากต่างชาติก็จะหดตัวด้วยความไม่พร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติของบ้านเรา


ภาคเกษตรที่เป็นเรื่องหลักในการส่งออกจมน้ำ ตลอดจนการส่งออกชิ้นส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไอที ก็สะดุดไม่สามารถส่งออกไปประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปได้ กระทบต่อยอดจำหน่ายในตลาดโลก ส่งออกน้อยลง จากนี้ไปหลายองค์กรจำเป็นต้องกู้เพิ่ม รัฐเองก็ต้องกู้เพิ่ม จำเป็นต้องนำเข้าน้ำดื่ม อาหาร ยา และอื่นๆเพิ่มมากขึ้น ตัวเลขขาดดุลการค้าจะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สุดเงินบาทก็จะอ่อนค่าลง  เศรษฐกิจย่ำแย่  นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐอย่างบ้านหลังแรก รถคันแรก จำนำข้าว ฯลฯ ต่างก็ล้มละเนระนาดไปด้วยเช่นกัน


ในทางกลับกัน มองไปในด้านบวกด้วยการเปรียบเปรยกับหลังภูเขาไฟระเบิด ลาวาที่ปะทุพวยพุ่งทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดิน ทำลายพืชไร่นาสวน บ้านเรือน ชีวิตผู้คนและสัตว์ต่างๆนาๆ  กลับกลายเป็นการสร้างชีวิตใหม่ให้งอกงามมากยิ่งขึ้น แร่ธาตุต่างๆ เกิดขึ้นจากลาวาที่สงบลงเป็นปุ๋ยธรรมชาติชั้นดีให้พืชพันธ์เจริญงอกงามยิ่งกว่า ชีวิตเกิดใหม่มากมาย ท้องฟ้าสดใส และเป็นวัฏจักรที่มาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง


ฟ้าใหม่กำลังมา วันนี้น้ำที่นครสวรรค์ ลพบุรี อ่างทอง อยุธยา เริ่มลดและแห้งแล้วในบางพื้นที่ ผู้คนจึงเริ่มทำ Big Cleaning กัน สัปดาห์ก่อนที่น้ำถล่มกรุงเทพฯ ใครได้สังเกตราคาหุ้นที่ขึ้นติดต่อกันหรือไม่ นักลงทุนต่างชาติมองเรื่องน้ำท่วมเป็นเรื่องที่มาแล้วก็ต้องไป ดังนั้น การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจในด้านลบที่ร่ายยาวมาแต่ต้นก็จะย้อนกลับไปในทางบวกทั้งหมดโดยเร็ว ด้วยพลังแห่งความสามัคคีที่ต้องไม่ให้แตกครับ


เสียใจ ภาวะฝ่าวิกฤตน้ำท่วมนี้ ทำให้ผมมองเรื่องการศึกษาบ้านเราที่ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน มิเช่นนั้นเรายังจะต้องเสียใจกันแบบนี้ต่อไปทุกๆปี ความรู้พื้นฐานในเชิงภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวกับภัยพิบัติโดยเฉพาะน้ำท่วม พวกเราไม่มีในหัวเลย วิกฤตครั้งนี้ พวกเราเพิ่งจะได้เรียนรู้เรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ได้ยากเย็นอะไร เป็นเรื่องพื้นๆใกล้ตัวเราทั้งสิ้น คลองมากมายในพื้นที่ที่เราอยู่ เราไม่เคยรู้จักมาก่อน วันนี้ก็ได้รู้ มีกี่คนที่เคยได้ยินชื่อคลองสามวา ความสำคัญของแต่ละคลองเป็นอย่างไร มันทำหน้าที่อะไร น้ำไหลจากไหนไปไหน เมื่อไรจะขึ้นจะลง พื้นที่ไหนต่ำสูง ระดับน้ำทะเลเกี่ยวข้องอย่างไร เขื่อนทำงานยังไง ตลอดจนแนวทางป้องกัน นวัตกรรมต่างๆ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ


แม้ว่าในประวัติศาสตร์ เราจะอยู่กับน้ำมาตลอด แต่เราไม่เคยเรียนรู้เลย ได้เรียนแต่ “ในน้ำมีปลาในนามีข้าว” กันตั้งแต่เล็ก มุ่งเน้นแต่เรื่องของการทำมาหากินแบบทุนนิยมกันจนเคยชิน ทุกอย่างใช้เงินจ้างหมด รู้จักแต่ว่าจะเรียกช่างน้ำ ช่างประปา ช่างไฟ ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า ท่อต่างๆในบ้านมันต่อมันเดินกันอย่างไร ไฟฟ้าดูด ไฟรั่วได้ยังไง ไม่มีหนังสือ ประเภท how to อย่างในต่างประเทศ


ปัญหาน้ำท่วมวันนี้ทุกคนเสียใจและยอมรับว่าเป็นปัญหาของตนเอง ชีวิตที่ต้องพลิกผันกันไป ต่างๆนาๆ หากยังไม่คิดแก้ไขมาเรียนรู้เรื่องท้องถิ่น เรื่องใกล้ตัว ศึกษากันแบบภัยพิบัตินิยมหรือน้ำท่วมนิยม (ไม่) ให้มากกว่าเรื่องของทุนนิยม พวกเราคนไทยก็คงจะต้องเสียใจและเสียหน้าไม่กล้าไปมาเลเซียอีกต่อไป


ช่วยตัวเอง การช่วยเหลือตัวเองในภาวะวิกฤตเช่นนี้เป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุด ทำตัวไม่ให้เป็นภาระของผู้อื่น เพื่อให้ผู้ที่มีศักยภาพ ผู้ที่มีจิตอาสา ภาคเอกชนที่ก่อตั้งเป็นกลุ่มก้อน ทำงานได้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้นเพื่อลดจำนวนผู้เดือดร้อน หันไปช่วยเหลือผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่น คนป่วย คนชรา ผู้พิการ และเด็กเล็ก ยังช่วยให้สิ่งของทั้งอุปโภคและบริโภคเพียงพอต่อผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จริงๆ ในห้วงแห่งความโกลาหลนี้ เราได้เห็นผู้ที่จริงใจและไม่จริงใจกันแล้ว ใครทำทีช่วยเหลือ ใช้ตำแหน่งและอำนาจเข้ามาจัดการมากกว่าจิตที่บริสุทธิ์ ใครเอาหน้า กักตุนสินค้า สวมรอย เข้ามาทำการค้า โกงกิน ใครถือวิกฤตเป็นโอกาสที่แฝงไปด้วยแผนงานและโครงการคอรัปชั่นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเบาะๆ ที่เห็นๆ ก็อย่างเช่น เรือที่ได้รับบริจาคจากบริษัทแอร์โรคลาสหรือในส่วนที่ขายในราคาทุนเพียงไม่กี่พันบาท วันนี้ถูกนำมาจำหน่ายโก่งราคาถึงเกือบแปดพันบาท ถุงทรายที่ถุงละไม่ถึงสิบบาทวันนี้ราคาขึ้นไปถึงเจ็ดแปดสิบบาท น้ำดื่มที่กักตุนกันไว้หรือได้รับบริจาคมาก็มีการนำมาขายในราคาเอากำไรเกินควร ทับถมความลำบากให้กับผู้คนมากยิ่งขึ้น

 ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตน้ำดื่มสะอาดรายย่อยเกือบ 7 พันบริษัทจากทั่วประเทศร่วมมือกันขายในราคาเดิม ต่างก็ไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าน้ำดื่มจากต่างประเทศ เจ้าของกิจการที่มีจิตใจดี อย่างโรงแรมที่เกิดวิกฤต ชาวต่างชาติยกเลิกห้องพัก วันนี้หลายๆแห่งก็ยินดีลดราคาพิเศษให้กับคนไทยด้วยกันเอง บริษัทเอกชนหลายแห่งไม่เพียงแต่จัดตั้งทีมอาสาช่วยเหลือผู้คน บริจาคทั้งสิ่งของและปัจจัย สินค้าที่ขายกันอยู่ทั่วไป  ต่างก็ลดราคาแบบยิ่งกว่า Clearance Sale กันมากมาย ด้วยหวังเพียงแค่บรรเทาทุกข์ บรรเทาราคาให้กับผู้คนครับ

 
การช่วยเหลือผู้อื่น ก็เหมือนการช่วยเหลือตัวเองเช่นเดียวกับการช่วยเหลือตัวเองก็เหมือนการช่วยเหลือผู้อื่น ที่สุดก็เข้าตำรา One for All, All for One



หลายคนคงเบื่อข่าวน้ำท่วม เบื่อคำว่า เอาอยู่ แตกแล้ว เสียใจ และช่วยตัวเอง ที่ได้ยินกันทุกชั่วโมง
 ลองมาดู         คลิปเด็ก ๆน่ารัก ๆจากไทย พีบีเอส นี้สิครับ http://www.youtube.com/watch?v=tQDVcgYSvFE  อย่างไหนดีกว่า
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #379 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2554, 23:38:50 »

รัฐบาลจ้างออร์แกไนซ์ให้'ยิ่งลักษณ์'ลงพื้นที่ช่วยน้ำท่วม

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


     
   
       

รัฐบาลจ้างออร์แกไนซ์ให้"ยิ่งลักษณ์"ลงพื้นที่ ลุยกิจกรรมช่วยน้ำท่วม ปชป.หวั่นตั้งงบกลางช่วยน้ำท่วมอาจมีหมกเม็ด อ้างเหตุไม่มีใครตรวจสอบได้

เมื่อเวลา 09.30 น.ของวันนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะอาทิ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เดินทางด้วยรถบรรทุก6ล้อ ตระเวนแจกถุงยังชีพและยารักษาโรคให้ประชาชนตั้งแต่ทางลงสะพานกรุงธนไปจนถึงศูนย์พักพิงโรงเรียนบวรมงคลซอยจรัญสนิทวงศ์ 46 ซึ่งซอยดังกล่าวอยู่เยื้องๆคนละฟากถนนกับบ้านพักของนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ทั้งนี้ในการแจกถุงยังชีพโดยมีประชาชนออกมารับแจกตลอดทาง

  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเดินทางมาแจกถุงยังชีพที่ศูนย์พักพิงโรงเรียนบวรมงคล พบว่าได้มีการว่าจ้างบริษัทออแกร์ไนซ์ของเอกชนแห่งหนึ่งมาดำเนินการให้นายกรัฐมนตรี พบปะประชาชนผู้ประสบภัยด้วย  และจากนี้ยังพบว่าในพิธีเปิดงาน " จิตอาสา เยียวยาประชาชน " ที่มีกระทรวงศึกษาธิการเป็นแม่งาน ณ พระลานพระราชวังดุสิต ในช่วงเช้าวันเดียวกัน ก็มีการจ้างออแกร์ไนซ์มาจัดงานให้ด้วยเช่นกัน โดยจุดที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก คือ การปล่อยควันดรายไอซ์ในช่วงที่ปล่อยคาราวานรถช่วยผู้ประสบภัย

หลังจากการพบปะประชาชนที่ศูนย์พักพิงฯ นายกรัฐมนตรีได้นั่งเรือของตำรวจน้ำข้ามฟากจากท่าวัดบวรมงคลฯมายังท่าเทเวศร์ เพื่อต่อรถตู้ไปตรวจน้ำท่วมที่บีบีมาร์เก็ต อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี โดยมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ นายวิทยา บูรณะศิริ รมว.สาธารณะสุข พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินทางมาด้วย ซึ่งนายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี รายงานสถานการณ์อุทกภัยที่จังหวัดนนทบุรีตอนหนึ่งว่า ภารกิจของจังหวัดดำเนินการมีสามภารกิจคือดูแลแนวคันกั้นน้ำให้มั่นคงแข็งแรง อพยพประชาชนมาที่ศูนย์พักพิง และนำอาหารไปให้ทั่วถึง แต่ทางจังหวัดมีขีดจำกัดเรื่องเรือติดเครื่อง เพราะหลายพื้นที่เข้าไปไม่ถึง จากนั้นนายอำเภอบางบัวทอง บางกรวย และบางใหญ่ ได้รายงานให้นายกฯทราบว่าทั้ง 3 อำเภอน้ำท่วม 100% เต็ม

 จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ปล่อยขบวนเรือบรรทุกถุงยังชีพและอาหารจำนวน 100 ลำ ให้กับประชาชนในอำเภอบางใหญ่เพื่อกระจายความช่วยเหลือ และต้องการให้เรือเข้าถึงประชาชนในทุกชุมชน ทุกจังหวัด และขอความร่วมมือผู้ใหญ่บ้านในการตั้งครัวของรัฐบาล ในการดูแลในระดับชุมชน และจะขอความร่วมมือจากนายอำเภอในการส่งความช่วยเหลือในทุกพื้นที่ ขณะนี้น้ำทะเลเริ่มลดแล้วขอให้ประชาชนอดทน รอให้น้ำระบายลงสู่ทะเล พร้อมกันนี้ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งประชาชน จะร่วมฟันฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน

จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะนั่งเรือเข้าไปในหมู่บ้านบางใหญ่ซิตี้ เพื่อมอบถุงยังชีพและพบปะประชาชน ซึ่งพบว่าในบางใหญ่ซิตี้น้ำท่วมมากกว่า 1 เมตร บางจุดท่วมสูงถึงเอวบางจุดท่วมถึงคอ แต่ก็ยังมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยยังอาศัยอยู่ในชั้นสองของบ้าน  ทั้งนี้น้ำในบางใหญ่มีสีดำและส่งกลิ่นเหม็นเนื่องจากน้ำขังเป็นเวลานานและมีขยะลอยเกลื่อน แต่อย่างไรก็ตามพบว่าระดับน้ำที่นี่ได้ลดลงประมาณ 20 ซม. โดยสังเกตุได้จากคราบตะไคร่ที่เกาะกับรั้วบ้าน

ต่อจากนั้นนายกรัฐมนตรีเข้าไปเยี่ยมเยียนประชาชนศูนย์พักพิงโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ์ 60 พรรษา ในบางใหญ่ซิตี้ พร้อมกับตั้งโรงครัวรัฐบาล โดยนายกฯได้มอบอาหารและรับประทานอาหารกลางวันกับชาวบ้านด้วย

ปชป.หวั่นรบ.ตั้งงบกลางช่วยน้ำท่วมอาจมีหมกเม็ด
 ที่พรรคประชาธิปัตย์  นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์  กล่าวถึงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ว่า  ส่วนตัวหนักใจเรื่องงบที่จะใช้ในการฟื้นฟูน้ำท่วม เพราะปัญหาการตั้งงบกลาง คือ ไม่มีรายละเอียดบอกว่า รัฐบาลจะเอางบประมาณไปใช้ทำอะไรบ้าง มีแต่เขียนวัตถุประสงค์ไว้กว้างๆว่า ชดเชย  เยียวยา  ฟื้นฟู และซ่อมแซมระบบสาธารณูปโภค  แต่ปัญหาคือการใช้งบกลางถือเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว  ระบบการตรวจสอบของฝ่ายค้านจะทำได้ยากมาก เพราะในชั้นของกรรมาธิการวิสามัญจะไม่รู้เลยว่า งบประมาณก้อนนี้  รัฐบาลเอาไปทำอะไร  ดังนั้นสิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ มีการกระจายด้วยความเป็นธรรมและโปร่งใสมากน้อยเพียงใด

นายสาทิตย์  กล่าวต่อว่า  เฉพาะในเอกสารร่างงบประมาณที่ส่งมาแม้พยายามจะชี้แจงว่า เนื่องจากตอนจัดทำร่างงบประมาณ น้ำยังไม่ลด  จึงทำให้ไม่สามารถประเมินความเสียหายได้   จึงต้องเอาไปใส่ไว้ในงบกลาง แต่ในความเป็นจริงช่วงที่มีการทำงบประมาณนั้น  เรามีถนนและพื้นที่ ซึ่งพ้นจากภาวะอุทกภัยแล้วในหลายพื้นที่ และดูจากเอกสารการประชุม ครม.ที่ทางกระทรวงคมนาคม กรมทางหลวงชนบท และหน่วยงานอื่นๆได้รายงานความเสียหายไว้ชัดเจน ก็ควรแยกความเสียหายออกไปจัดอยู่ในกระทรวงต่างๆ และลงรายละเอียดเพื่อให้สภาสามารถตรวจสอบได้ เหมือนสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดทำงบกลางปีโดยแจกแจงในรายละเอียดชัดเจน ดังนั้นอยากเรียกร้องให้รัฐบาลชุดนี้ลงรายละเอียดของงบประมาณต่างๆให้ชัดเจนเช่นกัน

"งบน้ำท่วมจึงเป็นงบที่จะเปิดช่องให้มีการทุจริตกันมากและง่ายที่สุด  ดังนั้นฝ่ายค้านจะอภิปรายในส่วนนี้หลายคน รวมถึงงบยุทธศาสตร์ป้องกันอุทกภัยที่ตั้งไว้ 4.5 หมื่นกว่าล้านบาท จะต้องไปดูในรายละเอียดว่าที่รัฐบาลพูดเรื่องแผนบูรณาการน้ำ 25 ลุ่มแม่น้ำ เรื่องการทำระบบป้องกันระยะยาวมีอะไรบ้าง คิดว่า 2 เรื่องนี้จะมีการอภิปรายกันมาก เพราะรวมงบประมาณแล้วเกือบ 1.5 หมื่นล้านบาท เข้าใจว่าส่วนหนึ่งที่ต้องใส่ไว้ในของงบกลาง เพราะต้องการอาศัยความคล่องตัวกรณีฉุกเฉิน แต่ก็มีการตั้งงบฉุกเฉินไว้ต่างหากอีก 6.6 หมื่นล้านบาท รวมกับงบกลางอีก 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งรวมแล้วเกือบ 2 แสนล้านบาท" นายสาทิตย์ กล่าว

 นายสาทิตย์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่เราเป็นห่วงมากสุด คือ ปัญหาการโกงกินงบประมาณ แต่จะมีการจับตาดูอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะที่ครม.มีมติให้ทุกกระทรวงส่งมาตรการเยียวยาไปที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อทำการรวบรวมให้นายกฯ แต่ที่เราอยากเห็นมากกว่านั้น  คือ แผนการฟื้นฟูทั้งระบบว่าจะมีการทำอะไรบ้างและใช้แหล่งเงินจากไหน จะมีการกู้จำนวนเท่าไหร่ เพราะขณะนี้มีความสับสนว่า จะใช้จากงบประจำปี 55 จำนวนเท่าไหร่ และจากงบปี 54 ที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายการเท่าไหร่

ดังนั้นในขั้นตอนในสภาจะต้องมีการเสนอว่าจะมีการตรวจสอบความโปร่งใสในงบแต่ละตัวอย่างไร เพราะสิ่งที่ประชาชนกังวลคือการกระจายไม่เป็นธรรม ไปตามกำลังของอำนาจอิทธิพลทางการเมือง และยิ่งมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างกทม. กับรัฐบาล ขณะที่กทม. เป็นการบริหารของผู้ว่ากทม. ที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ ลำพังงบจากกทม.เพียงอย่างเดียวมาเยียวยาปัญหาคงไม่ไหว ดังนั้นความเป็นธรรมและความโปร่งใสจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ยังไม่ได้ยินมาตรการ หรือแนวทางที่ชัดเจนจากรัฐบาลคงต้องรอดูการตอบคำถามในสภาก่อน

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #380 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2554, 10:43:03 »

ส.ส.เพื่อไทยบินฟ้อง"ทักษิณ"อัด"สุกำพล"ยับ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


ส.ส.เพื่อไทยบินอินเดียฟ้อง"ทักษิณ"อัด"สุกำพล"ยับ ติงรัฐอ่อนประชาสัมพันธ์รมต.ปวกเปียก

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา คณะส.ส.และสมาชิกของพรรคเพื่อไทย(พท.) รวมทั้งคนเสื้อแดง ได้ไปร่วมทอดกฐินพระราชทานที่วัดป่าพุทธคยา ประเทศอินเดีย โดยมีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นประธาน

ทั้งนี้ภายหลังทอดกฐินเสร็จ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้หารือกับคณะที่เดินทางไปถึงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในภาพรวม และมีการสรุปเพื่อเตรียมฟื้นฟูหลังน้ำลด ว่าจะต้องเร่งฟื้นฟูอย่างเต็มที่ภายใน 3 เดือน อย่างไรก็ตาม ระหว่างการหารือนายชาญยุทธ เฮงตระกูล เลขานุการรมว.คมนาคม ได้กล่าวตำหนิการบริหารงานของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม ว่ารวบอำนาจไว้คนเดียว ทั้งที่มีรัฐมนตรีช่วยถึง 2 คน นอกจากนั้นยังรวบอำนาจการบริหารจัดการงบประมาณภายในกระทรวงไว้ด้วย ขนาดตนเองเป็นเลขาฯ จะเข้าพบยังต้องขออนุญาตหน้าห้องก่อน ทำแบบนี้ได้อย่างไร ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้แต่พยักหน้ารับทราบ แต่ไม่ว่าอะไร

    นายชาญยุทธ กล่าวยอมรับว่า ได้เดินทางไปทำบุญทอดกฐิน ที่ประเทศอินเดีย โดยมีนายพายัพ ชินวัตร ประธานภาคอีสานพรรคเพื่อไทย เป็นคนนำคณะไป ซึ่งจะทำเป็นปกติอย่างนี้ทุกปี ทั้งนี้ได้พบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพูดคุยถึงสถานการณ์อุทกภัยในประเทศไทย รวมทั้งเรื่องการเมืองทั่วไป ซึ่งส.ส.และสมาชิกพรรคได้สะท้อนปัญหาภายใน เรื่องการทำงานของรัฐมนตรีให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รับฟัง แต่ตนไม่ขอพูดให้เกิดความเสียหาย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ส.ส.สมาชิกพรรคแทบทุกคนเห็นตรงกันคือ รัฐบาลมีจุดอ่อนที่การประชาสัมพันธ์ ส.ส.ทุกคนขยันขันแข็งลงพื้นที่ แต่ข่าวกลับออกไปเป็นไม่ทำงาน ซึ่งรัฐมนตรีที่ดูแลตรงนี้ปวกเปียกเกินไป ทำเรื่องสื่อไม่เก่งเท่าไหร่ ถือว่ายังใหม่ เชื่อว่าคงต้องมีการปรับเปลี่ยนกันหลายจุด และเมื่อสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กลับมาคงต้องปรับกันขนานใหญ่

 "มันก็เปรียบเหมือนสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ถ้าแข่งรายการใหญ่ๆ อย่างแชมเปี้ยนลีกส์ ก็ต้องจัดตัวจริงลง ถ้ารายการเล็กๆ อย่างคาร์ลิ่งคัพ ก็ส่งพวกตัวสำรองลงไป ตอนนี้มีแมตช์ใหญ่ก็ต้องเอาตัวจริงกลับมาลง " นายชาญยุทธ กล่าว
 
ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับครม. ที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณแสดงความไม่พอใจรัฐมนตรี พร้อมระบุคนที่จะปรับย้ายว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยพูดถึงการปรับครม. ดังนั้นจึงไม่มีการพูดเรื่องการปรับย้ายตัวบุคคล

"การปรับครม.ถือเป็นอำนาจของนายกฯ สุดแล้วแต่ท่านจะพิจารณาว่าจะปรับหรือไม่ แล้วปรับใครบ้าง พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นอยากฝากบอกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สบายใจได้ อดีตนายกฯไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวอะไร อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่าการปรับครม.เป็นเรื่องปกติทางการเมือง ต้องดูประสิทธิภาพการทำงาน และต้องมีการปรับคนให้เหมาะสมกับงาน"

comment ที่น่าสนใจ
 Bhazzakorn Yaitube Zivazobha · All position at เร็นเดอร์ริ่ง มีเดีย คอมมิวนิเคชั่น
เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ทำให้รู้ว่า คนไทยอยู่กันได้ โดยไม่ต้องมีผู้นำประเทศ
บุญญฤทธิ์ ตุลาพันธ์พงศ์ · มสธ
ให้กำลังใจพี่น้องประชาชนสู้ๆๆๆวิกฤต แต่ไม่ขอให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี เพราะมีคนชะเลียร์อยู่แล้ว
แม้แต่สื่อเองบางสำนักก็ยังหลับหูหลับตาเขียน จริงไหมครับ

Naphaporn Kiowwy รักในหลวง · Top Commenter
ทำไม สส. ต้องไปรายงาน นช.ทักษิณ.. นายกปูไปใหน? หรือมัวแต่ เอา..อยู่?

Jo Montanee · Top Commenter
สมเพช SMS ในทีวีเหลือเกิน ส่งกันนัก"นายกหญิงแกร่ง อดทนกว่าชายอกสามศอก"
"ให้กำลังใจนายกหญิง แก้ปัญหาเก่งมากๆ"... เจอข่าวสส.บินไปฟ้องแม้ว... อยากหัวร่อเป็นภาษาสวาฮิลี

Hypnotise Hoa · Top Commenter
อีกหนึ่งใน ส ส คุณภาพติดลบ.


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #381 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2554, 10:37:56 »

โวยชายฉกรรจ์พังประตูน้ำป้องบ้านนายกฯ

  posttoday.com  07 พฤศจิกายน 2554 เวลา 18:20 น. |
 

ชาวบ้านบางกะปิโวยชายฉกรรจ์พังประตูคลองตาหนังเชื่อมบึงกุ่ม-บางกะปิ ป้องบ้านนายกฯ เตรียมเจรจาผอ.สำนักระบายน้ำ 8 พ.ย.นี้

เขตบางกะปิเชิญตัวแทนชาวบ้านเข้าร่วมหารือ

หลังจากเมื่อค่ำวันที่ 6 พ.ย. เกิดเหตุชายฉกรรจ์ 12 คนบุกเข้าไปพังประตูคลองระบายน้ำคลองตาหนัง ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างเขตบึงกุ่มและบางกะปิ ส่งผลให้น้ำไหลเข้าพื้นที่เขตบางกะปิอย่างฉับพลัน สร้างความไม่พอใจให้ชุมชนทั้งสองเขต ทำให้เมื่อเวลา 14.00น. วันนี้  นายสิน นิติธาดากุล ผอ.สำนักงานเขตบางกะปิ เชิญ  นายสุรเทพ ยุคุณธร  ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตบึงกุ่ม  ตัวแทนชาวบ้านสองเขตเข้าเจรจา

นอกจากนี้ยังได้เชิญ นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน  ส.ส.เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ นายแมน เจริญวัลย์ สก.เขตบึงกุ่ม พรรคประชาธิปัตย์ และ นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศส.ส.เขตบึงกุ่ม พรรคเพื่อไทย เข้าร่วมหาทางออก แต่นายพลภูมิไม่ได้เดินทางมาร่วมประชุม 

ผอ.เขตบางกะปิ ชี้แจงถึงเหตุการณ์พังประตูระบายน้ำคลองตาหนัง ว่าทำให้น้ำไหลเข้าพื้นที่เขตบางกะปิอย่างรวดเร็วและถ้าไม่ซ่อมทันการณ์ก็จะมาถึงห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์บางกะปิ จึงต้องรีบซ่อมประตูระบายน้ำเพื่อชลอดน้ำที่จะเข้ามาถึงจุดสำคัญ

ขณะที่ ผช.ผอ.เขต บึงกุ่ม ยอมรับว่าได้รับการร้องเรียนจากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมขัง จึงได้ส่งหนังสือไปถึงสำนักระบายน้ำ กทม.เพื่อพิจารณา  แต่ยืนยันว่า เขตบึงกุ่มไม่ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปพังประตูระบายน้ำ แต่เป็นความรับผิดชอบของสำนักระบายน้ำ

ด้าน นายธำรงศักดิ์ สมวงศ์  อดีตสารวัตรกำนัน เขตบางกะปิตัวแทนชาวบ้านเขตบางกะปิอ้างว่า กลุ่มชายฉกรรจ์ที่เข้ามารื้อเป็นคนของนักการเมือง อยากให้ส.ส.เพื่อไทย ได้ชี้แจงรู้จักหรือไม่ 

“ชาวบางกะปิยินดีให้น้ำจากส่วนบนระบายเข้าคลองตาหนังอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่มาพังทำลายและทำให้น้ำไหลอย่างเฉียบพลัน ชาวบ้านไม่ทันตั้งตัวขนของ อพยพ   ผมคิดว่าพวกท่านเป็นห่วงตัวนายกฯกันมากกว่า เชื่อว่านายกฯเสียสละอยู่แล้ว”นายธำรงศักดิ์กล่าว

ทั้งนี้ตามเส้นทางน้ำที่กำลังท่วมจากย่านนวมินทร์ ผ่านบึงกุ่ม จะต้องผ่านพื้นที่บ้านน.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซอยโยธินพัฒนา แขวงบึงกุ่ม เขตบึงกุ่ม  จนชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มคนที่มารื้อประตูระบายน้ำเพื่อไม่ให้ท่วมบ้านนายกฯ

ขณะที่ตัวแทนชาวบ้านเขตบึงกุ่ม กล่าวว่า ขณะนี้ชุมชนหลังวัดนวลจันทร์น้ำท่วมสูงกว่า 80 ซม. ได้ตระเวนไปดูการระบายน้ำคลองต่างๆ ก็ข้องใจตรงคลองตาหนังถึงกระจุกตัวไม่ถูกระบาย  ถ้าน้ำท่วม  บ้านนายกฯก็ต้องโดนท่วมแน่

นายแมน กล่าวว่า  การที่น้ำจะท่วมบ้านของใครไม่ใช่ประเด็น ที่ตนเองสนใจคือทุกคนกำลังเดือดร้อนทั่วกันหมดแล้ว

ด้าน นายณัฏฐ์ กล่าวว่า อยากให้การพูดคุยวันนี้เป็นไปด้วยดี ไม่ต้องการให้เกิดบานปลายเป็นกรณีพิพาท เหมือนกับประตูคลองสามวา แต่จะทำอย่างไรให้ชาวบางกะปิเตรียมตัวทันและจะช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องบึงกุ่มอย่างไร

ทั้งนี้ นายสิน  ผอ.เขตบางกะปิ  กล่าวว่า ชาวบางกะปิยินดีให้ระบายน้ำผ่านเส้นทางนี้อยู่แล้ว แต่ประเด็นว่า จะระบายในระดับใด และผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนี้คือสำนักระบายน้ำ กทม. ดังนั้นในวันพรุ่งนี้(8 พ.ย.)  เวลา 11.00 น. ขอให้จัดตัวแทนชาวบ้านฝ่ายละ 4 คน มาร่วมหาทางออกอีกครั้งโดยจะเชิญผอ.สำนักระบายน้ำเข้าร่วมเจรจาด้วย

ต่อมานายแมน เจริญวัลย์ สก.เขตบึงกุ่ม พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า สถานการณ์น้ำในพื้นที่เขตบึงกุ่มมีความน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะบริเวณชุมชนคลองลำเจียกซึ่งอยู่ใกล้บ้านพักของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และเป็นจุดที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยไปใช้สิทธิหย่อนบัตรเลือกตั้ง ขณะนี้ถูกน้ำท่วมระดับ 30-40 ซม.แล้ว

นอกจากนี้บริเวณคลองใกล้บ้านพักของนายกรัฐมนตรีเริ่มมีปัญหาแล้ว โดยเฉพาะคลองตาหนังและประตูระบายน้ำบางกะปิที่เชื่อมต่อกับเขตบึงกุ่ม กำลังประสบปัญหาเรื่องการเปิดปิดประตูระบายน้ำที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ เนื่องจากชาวบ้านบางกะปิไม่ต้องการให้เปิด แต่ชาวบึงกุ่มต้องการให้เปิดเพื่อระบายน้ำออก ดังนั้นจึงต้องให้สำนักการระบายน้ำเป็นคนกลางในการตัดสิน

“หากไม่สามารถหาข้อยุติเรื่องการเปิดปิดประตูระบายน้ำบางกะปิได้ รวมทั้งไม่สามารถระบายน้ำลงสู่คลองแสนแสบได้ทัน ก็มีโอกาสที่จะท่วมถึงบ้านนายกฯ ได้ โดยระดับน้ำอาจสูงถึง 50 ซม.” นายแมน กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้น้ำจะท่วมถึงถนนหน้าบ้านนายกฯ แต่เนื่องจากบ้านพักของนายกฯ มีความสูงกว่าพื้นผิวถนน ทำให้คาดว่าอาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ยกเว้นชุมชนโดยรอบที่อาจถูกน้ำท่วมทั้งหมด

สำหรับสถานการณ์โดยรวมขณะนี้ที่บริเวณถนนนวลจันทร์ ซึ่งรับน้ำมาจากซอยวัชรพลและคู้บอน ระดับน้ำเริ่มเอ่อขึ้นมาตามท่อระบายน้ำแล้ว ทำให้ต้องปิดศูนย์อพยพนวลจันทร์และย้ายไปยังศูนย์อพยพนวมินทร์ 


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #382 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2554, 14:54:40 »

ชำแหละ!บัญชีเงินบริจาคศปภ.ซื้อ'ส้วม-เต็นท์'แพงเท่าตัว

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

  ชำแหละบัญชีเงินบริจาคศปภ. 878 ล้านพบ ปภ.ซื้อสุขากระดาษชุดละ 245 บาท แพงกว่าของเอกชนเท่าตัว ขณะที่ราคาซื้อเต็นต่างกันถึง 825บาทต่อหลัง

การตั้งคำถามของประชาชนผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ ถึงกรณีถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) จัดซื้อในราคา 800 บาท ว่ามีราคาแพงเกินจริง เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งของที่บรรจุในถุง พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีฉกฉวยหาประโยชน์จากหัวคิวในการจัดซื้อหรือไม่ ล่าสุดนายกรัฐมนตรีและประธาน ศปภ.ได้สั่งตรวจสอบเร่งด่วนแล้ว

  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตอบข้อถามผู้สื่อข่าวถึงกรณีการจัดซื้อถุงยังชีพที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการทุจริต ว่า ตนมองว่า ในสถานการณ์นี้ทุกคนไม่ควรจะเอาเรื่องนี้มาเบียดบังซ้ำเติมประชาชน หากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ตนพร้อมที่จะดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบ ทั้งนี้ถุงยังชีพ มีหลายประเภท ทั้งจัดซื้อ และธารน้ำใจจากประชาชน ซึ่งต้องดูในรายละเอียด

       ด้าน พล.อ.ประชา พรหมนอก รมว.กระทรวงยุติธรรม ผอ.ศปภ.ตอบข้อถามเรื่องการจัดซื้อถุงยังชีพเช่นเดียวกันว่า ทราบว่าถุงยังชีพเป็นประเด็นที่ประชาชนให้ความห่วงใย จึงได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ คาดว่า จะทราบผลภายใน 3 วัน หากมีอะไรไม่ถูกต้อง จะใช้อำนาจในตำแหน่งของตน ดำเนินการกับผู้ที่กระทำสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล รวมถึงการซื้อเครื่องสูบน้ำจากต่างประเทศและในประเทศ โดยยืนยันว่า เป็นราคามาตรฐานที่กรมชลประทาน และ กทม.ได้เคยซื้อไว้

กังขา ปภ.จัดซื้อส้วมกระดาษแพงเท่าตัว
 แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปรายละเอียดการใช้เงินรับบริจาคผ่านบัญชีเงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในปี 2554 ณ วันที่ 3 พ.ย.2554 มียอดรับบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. ถึง 2 พ.ย.2554 รวมทั้งสิ้น 816,323,457.57 ล้านบาท เมื่อรวมกับยอดเงินบริจาคและดอกเบี้ยที่เหลืออยู่ก่อนหน้านี้อีก 60 กว่าล้านบาทแล้ว กองทุนฯ มีเงินรวม 878,487,897.44 ล้านบาท

 ขณะที่รายจ่ายของกองทุนตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-3 พ.ย.2554 มีจำนวน 507,114,560 ล้านบาท จึงมียอดคงเหลือ 371,373,337.44 ล้านบาท โดยรายจ่ายสำคัญของกองทุนฯ คือการจัดหาถุงยังชีพ 3 รายการ วงเงินรวมกว่า 294.634 ล้านบาท ประกอบด้วยการจัดหาเครื่องอุปโภค และเครื่องใช้อื่นๆ ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จำนวน 173,124,560 ล้านบาท การจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคในการบรรจุร่วมกับสิ่งของบริจาคสำหรับสนับสนุนภารกิจของ ศปภ.จำนวน 71,510,354.79 ล้านบาท และค่าจัดหาถุงยังชีพของคณะอนุกรรมการบริหารจัดการถุงยังชีพ จำนวน 1 แสนถุงๆ ละ 500 บาท อีก 50 ล้านบาท

 สำหรับรายละเอียดการใช้เงินสำหรับจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคและเครื่องใช้อื่นๆ ของ ปภ.จำนวน 173,124,560 บาท ประกอบด้วย 14 รายการ คือ 1.เรือท้องแบนไฟเบอร์กลาส  30 ลำๆ ละ 250,000 บาท รวมเป็นเงิน 7.5 ล้านบาท  2.เรือพาย 209 ลำๆ ละ 5,500 บาท รวมเป็นเงิน 1,149,500 บาท  3.ห้องสุขาเคลื่อนที่ ทำด้วยไฟเบอร์ 18 ห้องๆ ละ 32,000 บาท รวมเป็นเงิน 576,000 บาท

 4.ถุงยังชีพ 10,000 ถุงๆ ละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 5 ล้านบาท  5.สุขากระดาษ 30,088 ชุดๆ ละ 245 บาท รวมเป็นเงิน 7,371,560 บาท 6.ถุงยังชีพถุงละ 800 บาท 100,000 ถุง รวมเป็นเงิน 80 ล้านบาท 7.เต็นท์นอน 2 คนแบบไม่มีชั้นความร้อน 2,700 หลังๆ ละ 925 บาท รวมเป็นเงิน 2,497,500 บาท 8.เต็นท์นอน 2 คน แบบไม่มีชั้นความร้อน 1,200 หลังๆ ละ 1,750 บาท รวมเป็นเงิน 2,100,000 บาท

 9.เต็นท์นอน 2 คนแบบมีชั้นความร้อน 3,100 หลังๆ ละ 1,950 บาท รวมเป็นเงิน 6,045,000 บาท 10.เต็นท์นอน 3 คน ทรงสูงแบบมีชั้นความร้อน 3,100 หลังๆ ละ 3,450 บาท รวมเป็นเงิน 4,485,000 บาท 11.เต็นท์นอน 4 คน ทรงสูงแบบมีชั้นความร้อน 1,950 หลังๆ ละ 4,000 บาท รวมเป็นเงิน 7,800,000 บาท 12.เต็นท์ยกพื้นขนาดนอน 5-6 คน 200 หลังๆ ละ 55,000 บาท รวมเป็นเงิน 11 ล้านบาท

 13.สุขาเคลื่อนที่ 800 หลังๆ ละ 32,000 บาท รวมเป็นเงิน 25,600,000 บาท 14.สุขามือถือพลาสติก 30,000 ชุดๆ ละ 400 บาท รวมเป็นเงิน 12 ล้านบาท

 ทั้งนี้มีข้อน่าสังเกตว่า การใช้เงินบริจาคในการจัดซื้อเต็นท์นอน 2 คน แบบไม่มีชั้นความร้อนในรายการที่ 7 และ 8 ซึ่งเป็นรายการเดียวกัน กลับมีราคาแตกต่างกันถึง 825 บาทต่อหลัง

 ขณะที่การจัดซื้อสุขากระดาษ ที่ระบุว่ามีราคาชุดละ 245 บาท จากการตรวจสอบพบว่า เป็นการจัดซื้อที่แพงกว่าสุขากระดาษที่มูลนิธิซิเมนต์ไทย จัดทำสำหรับบริจาคให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัย มีราคาอยู่ที่ 111 บาทเท่านั้น ดังนั้นการจัดซื้อสุขากระดาษของ ปภ.ครั้งนี้ จึงมีราคาแพงกว่าของมูลนิธิซีเมนต์ไทยถึง 134 บาทต่อ 1 ชุด เมื่อคำนวณจากจำนวนที่ ปภ.จัดจัดซื้อทั้งหมด 30,088 ชุด จะมีราคาแพงกว่า 4,031,792 บาท

จับตา ศปภ.อนุมัติซื้อหัวเชื้ออีเอ็ม
 แหล่งข่าวจาก ศปภ.เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงกลาโหมแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียภายใน 15 วัน โดยกระทรวงกลาโหมได้มอบหมายให้ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมเป็นประธานในการดำเนินการ
 

ในชั้นของการหารือผู้แทนกระทรวงทรัพยากรฯ จะขอใช้อีเอ็มที่ได้รับบริจาคมา แต่ทางกระทรวงกลาโหมไม่แน่ใจที่มาของเชื้อจุลินทรีย์ ว่าจะสามารถบำบัดน้ำเสียได้จริงหรือไม่ เนื่องจากจุลินทรีย์มีหลายประเภท และมีวิธีการทำแตกต่างกัน จึงเสนอให้แยกพื้นที่ในการบำบัด เพื่อวัดผลว่าการบำบัดได้ผลในพื้นที่ใดและไม่ได้ผลในพื้นที่ใดบ้าง แต่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะ ผอ.ศปภ.และกระทรวงทรัพยากรฯ ไม่เห็นด้วยกับการแยกดำเนินการ
 จุลินทรีย์ที่กระทรวงทรัพยากรฯ อ้างว่าได้มาจากการบริจาคนั้น หากต้องการปริมาณมากต้องสั่งซื้อเพื่อนำมาทำหัวเชื้อในราคาลิตรละ 3 บาท แต่หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่กระทรวงกลาโหมนำมาใช้นั้นมีราคาเพียงลิตรละ 80 สตางค์ และประชาชนสามารถนำเชื้อจุลินทรีย์ไปขยายหัวเชื้อต่อได้ โดยไม่ต้องเสียสตางค์ เนื่องหากหัวเชื้อ 1 ลิตร นำไปขยายหัวเชื้อได้จำนวนมาก
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #383 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2554, 14:59:58 »

แฉพิรุธรบ.อมของบริจาค ย้อมแมวเขมรใส่ถุงยังชีพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 พฤศจิกายน 2554 14:51 น.    

   
นายชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายสกลธี ภัทธิยะกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ รวมกันแถลงข่าวพร้อมกับท้ารัฐบาลให้เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการบริหารจัดการเรื่องน้ำในเขื่อนต่างๆ ระหว่างรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร


นายสกลธี ภัทธิยะกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวตอบโต้เรื่องการจัดการถุงยังชีพให้กับประชาชนจำนวน 210,000 ถุง ที่มีราคาไม่เท่ากัน โดยขอให้รัฐบาลชี้แจงเกี่ยวกับมาตรฐานในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะของยังชีพในถุงช่วยเหลือซึ่งราคาไม่ถึงที่กำหนดราคามาตรฐาน ขอให้รัฐบาลชี้แจงเพราะคาดว่าจะมีการคอร์รัปชันในการจัดซื้อถุงยังชีพ



      
ปชป.แฉพิรุธรบ. ซื้อเต๊นท์สองครั้งราคาต่างกันเท่าตัว แถมอมของบริจาคใส่ชื่อตัวเองหากิน เตือน นายก ตรวจสอบระวังเจอคนกันเอง จับตา ส.ส.พท.ซื้อของถูกจากเขมรย้อมแมวใส่ถุงยังชีพเก็งกำไร ขู่ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังน้ำลด
       
       วันนี้ (8 พ.ย.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ ศปภ.ชี้แจงให้เกิดความโปร่งใสกรณีมีข้อครหาในเรื่องราคาสินค้าในถุงยังชีพและขอให้แยกแยะให้ชัดว่าส่วนไหนมาจากการบริจาคของประชาขน เพราะมีการตีตราหน่วยงานราชการ มีการใส่ชื่อนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ในถุงยังชีพ เหมือนเป็นเจ้าของถุงยังชีพที่นำไปแจกกับประชาชน จึึงต้องแจกแจงให้ชัดว่า ส่วนใดเป็นเงินงบประมาณและส่วนใดเป็นของที่บริจาคโดยประชาชน
       
       นายสกลธี ภัทธิยะกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าหลังจากที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องคุณภาพและความไม่โปร่งใสของถุงยังชีพที่ ศปภ.ไปแจกให้ประชาชนและรัฐบาลมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีหนังสือมาถึงตนเพื่อให้ข้อเท็จจริงในวันนี้ที่ศปภ. ซึ่งตนยืนยัีนจะไม่เดินทางไป เพราะได้ตรวจสอบเปิดเผยข้อเท็จจริงผ่านสื่อมวลชนไปแล้ว ทั้งนี้รู้สึกเสียใจและแปลกใจ เนื่องจากคณะกรรมการที่มีนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้เรียกนักข่าวไปสอบสวนเพื่อให้ยอมรับว่า เสนอข่าวจากที่ตนออกมาเปิดเผย ถือเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะเมื่อฝ่ายค้านเสนอให้ตรวจสอบรัฐบาล ก็ควรไปสอบสวนว่ามีการกระทำความผิดหรือไม่ แต่คณะกรรมการชุดนี้ กลับมาตรวจสอบฝ่ายค้านที่เป็นคนเปิดเผย
       
       ทำให้นอกจากจะไม่สามารถเชื่อใจ การทำหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ได้แล้ว ยังสงสัยความน่าเชื่อถือของคณะกรรมการชุดนี้ด้วยว่า ตั้งขึ้นมาเพื่อค้นหาความจริงหรือเล่นงานคนให้้ข้อมูลกันแน่ เหมือนกับมีคนชี้เป้าให้จับโจรแทนที่จะจับโจรกับมาจ้องจับคนที่ชี้เป้าให้ข้อมูล ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตลกและสะท้อนชัดว่า รัฐบาลไม่ได้มีความจริงใจที่จะทำให้เรื่องนี้กระจ่าง แต่ใช้เป็นประเด็นทางการเมืองมาเล่นงานคุกคามฝ่ายค้าน
       
       "ผมขอเตือนข้าราชการอย่าตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง เพราะประชาชนมีข้อสงสัยก็ต้องตรวจสอบประชาธิปัตย์ จะตรวจสอบถึงที่สุดและปัญหานี้เราได้คุยกันว่า จะเป็นส่วนหนึ่งในการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจหลังน้ำลดด้วย โดยมีคนให้ข้อมูลว่ารัฐบาลแบ่งงานให้ส.ส.ในพื้นที่น้ำไม่ท่วมจัดหาสินค้าราคาถูกมาใส่ในถุงยังชีพ บางคนถึงขนาดไปหาซื้อจากเขมร เรื่องเหล่านี้ผมจะตรวจสอบต่อ และไม่กลัวการข่มขู่ของรัฐบาล หากจะฟ้องที่ผมออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ผมท้าให้ฟ้องได้เลย เพราะผมทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อรักษาประโยชน์ให้กับพี่้น้องประชาชน ท่านต้องขอบคุณผมที่ทำให้ท่านมีโอกาสในการตั้งคณะกรรมการฟอกตัวเอง ถ้าชี้แจงได้ความน่าเชื่อถือาจกลับมาหลังจากที่ล้มละลายไปหมดแล้ว" นายสกลธีกล่าว
       
       รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังนำรายการซื้อถุงยังชีพของกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยและสำนักนายกรัฐมนตรีมาแสดงต่อสื่อมวลชนพบว่า ไม่ปรากฏรายการซื้อของเพื่อบรรจุในถุงยังชีพราคา 300 บาท มีแต่ราคา 500 และ 800 บาท ทำให้คิดว่าราคา 300 บาทอาจเพิ่งคิดขึ้นได้เพื่อนำมาอธิบายแก้เกี้ยวหลังถูกเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลไปก่อนหน้านี้ และยังยกตัวอย่างราคาเต๊นท์นอนไม่มีชั้นความร้อนของ ปภ.จัดซื้อครั้งแรกราคา 925 บาท แต่ครั้งที่สองราคาสูงเป็นเท่าตัว คือ 1750 บาท รวมถึงส้วมกระดาษที่จัดซื้อแพงกว่าของจริงถึง 134 บาท หรือว่าตอนนี้รัฐบาลหันมาหากินกับส้วมแล้ว
       
       นายสกลธี ยังไม่เห็นด้วยที่มีการแบ่งแยกราคาถุงยังชีพเป็น 300 500 และ 800 บาท โดยตั้งคำถามว่าต้องการแบ่งชั้นประชาชนหรือ ไม่ จึงทำมาสามราคาการอ้างว่าจะแจกตามความเดือดร้อนนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะไม่เชื่อว่าจะสามารถแบ่งและแจกได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่มีการแบ่งแยกราคาได้จริง แต่อาจเป็นช่องงทางให้โกงง่ายขึ้น เช่น เอาของราคา300 ไปแจกแล้วอ้างเป็นของราคา 800 หรือว่าถุงละ 800 เตรียมเอาไว้สร้างภาพให้นายกเป็นคนแจก เหมือนที่เมื่อวานนี้นายกรัฐมนตรีไปแจกถุงยังชีพที่หลักสี่ซึ่งไม่ต้องตรวจสอบเพราะคงจัดหนักเต็มเพราะเกิดขึ้นหลังจากมีการขุดคุ้ยเรื่องนี้
       
      นายสกลธี ยังแจกแจงข้อมูลการจัดซื้อถุงยังชีพขแงสแงหน่วยงาน คือ สำนักนายกรัฐมนตรีมีการจัดซื้อถุงยังชีพราคา 500 บาท 1 แสนถุง ส่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยใช้งบประมาณ 173 ล้านบาทจัดซื้อถุงยังชีพราคา 500 บาท 1 หมื่นถุง และ 800 บาท 2 แสนถุง จึงอยากให้ทั้งสองหน่วยงานเปิดเผยบัญชีให้ชัดเจนว่าแจกถุงยังชีพจำนวนเท่าใดในพื้นที่ใดบ้าง ซึ่งหากนายกรัฐมนตรีจริงจังกับเรื่องนี้เมื่อตรวจสอบไปอาจพบคนกันเองทำผิด
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #384 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2554, 22:07:50 »

เสียงจากผู้อพยพ

โดย : รักษ์ มนตรี mo_tri@hotmail.com


เสียงโทรศัพท์ปลายสาย "ลูกสาว" ผมโทรมาจากพัทยา ถามว่า "เมื่อไหร่พ่อจะมา"

 ลูกสาวกลายเป็น "ผู้อพยพ" อยู่แปลกที่แปลกถิ่น ย่อมปริวิตกเพราะชีวิตมนุษย์ต้องการความ "ปลอดภัยในชีวิต"
 และต้องการหัวหน้าครอบครัวไปอยู่ใกล้ๆ

 ผมรับโทรศัพท์ลูกสาวขณะที่ตัวเองยืนทำข่าวที่บ้านเลขที่ 38/9 ซอยโยธินพัฒนา (นวมินทร์ 111) ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผมกลั้นน้ำตาตัวเอง ยิ่งเมื่อสิ่งที่เห็นสภาพความแตกต่างของชีวิตมนุษย์เพียงเพราะผมเป็นประชาชนธรรมดา ถูกน้ำท่วมบ้าน กับบ้านผู้ที่มีตำแหน่งทางการเมือง

 ผมกลับเข้าบ้านที่บางพลัด ซอยจรัญสนิทวงศ์ 42 เดินลุยน้ำครำและคราบน้ำมันเข้าบ้านตัวเองต้อง ผ่านบ้าน "อุบล วิชัยดิษฐ" ครับเป็นบ้านของ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กระสอบทรายตั้งเป็นกำแพงทะมึน และเครื่องสูบน้ำทั้งแบบธรรมดา และท่อพญานาคขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่าน มีเจ้าหน้าที่ใส่เสื้อหน่วยรายการเฝ้า 24 ชั่วโมง

 ครับบ้านคุณยงยุทธ น้ำไม่ท่วม แต่คุณยงยุทธรู้ไหมว่าน้ำที่สูบออกจากบ้านคุณ ก็ไปท่วมบ้านชาวบ้านแถวๆ นั้น

 00000000000

 ภรรยาผมโทรมาบอกว่า เช็คเว็บไซต์โรงเรียนลูก จะเปิด 15 พ.ย.นี้
 เด็กๆ ต้องไปโรงเรียน ผมต้องกลับเข้าไปกู้บ้าน
 "กู้บ้าน" ขณะที่ บ้านของ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ยังสูบน้ำออกมาท่วมบ้านของผมและเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง

 000000000000

 ขณะที่รัฐสภา ส.ว.63 คน ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายโดยไม่ลงมติ ซึ่งผมเห็นแล้วสะท้อนภาพรวมของประเทศในยามนี้ได้ดีครับ

 "ตามที่ขณะนี้มีสถานการณ์วิกฤติมหาอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ของประเทศไทย โดยในหลายพื้นที่ของประเทศไทยประสบอุทกภัยน้ำท่วมได้รับความเสียหาย เริ่มมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 ซึ่งรัฐบาลนี้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินและมีการควบคุมดูแลบริหารจัดการน้ำมาตลอด พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม (ศปภ.) ขึ้นมาเพื่อดูแลอีกด้วย นั้น

  ปรากฏต่อมาว่าสถานการณ์น้ำท่วมได้ขยายวงกว้างและรุนแรงมากขึ้น ภายใต้การดูแลบริหารจัดการน้ำโดย ศปภ. และหน่วยงานที่มีบุคคลของรัฐบาลกำกับดูแลมาตลอด ยังไม่มีท่าทีจะบรรเทาลง กลับเข้าสู่ภาวะที่น่าเป็นห่วงมากขึ้น ส่งผลให้ประชาชนได้รับเดือดร้อนเป็นวงกว้าง นิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งต้องถูกน้ำท่วม ภาคเกษตรกรรม ภาคธุรกิจต่างๆ เสียหายเป็นอย่างมาก และยังไม่สามารถหยุดยั้งมวลน้ำมิให้เข้าท่วมกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหัวใจและศูนย์รวมทางเศรษฐกิจของประเทศได้ จนน้ำได้เข้าท่วมอย่างมากมายมหาศาล และยังคงขยายวงกว้างมากขึ้น

 มีผู้ได้รับผลเดือดร้อนกว่า 3 ล้านคน ไร่นาการเกษตรเสียหายหลายล้านไร่ ผู้เสียชีวิตกว่า 500 ราย จนถึงยังมีพื้นที่ประสบอุทกภัยกว่า 25 จังหวัด 148 อำเภอ  ขณะนี้รัฐบาลไม่สามารถจัดการดูแลช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยถูกน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม ปัจจัยต่างๆ สำหรับดำรงชีวิตขาดแคลน แสดงถึงการขาดประสิทธิภาพ และ ผิดพลาด ในการบริหารจัดการน้ำ การบริหารจัดการเยียวยาฟื้นฟูผู้ประสบภัย

 ซึ่งเหตุการณ์วิกฤติอุทกภัยครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลให้ประเทศไทยเสียหายทางเศรษฐกิจหลายแสนล้านบาท รวมทั้งในสังคมระหว่างประเทศนั้น นักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นในแก้ไขสถานการณ์ปัญหาวิกฤติน้ำท่วมของประเทศ ส่งผลลบต่อการลงทุนในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง

 ส.ว.เป็นกังวลต่อสถานการณ์อุทกภัยใหญ่ของประเทศไทย ที่อาจขยายไปสู่วิกฤติมากขึ้น และเป็นการเพิ่มความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและเพิ่มเติมปัญหาเศรษฐกิจให้ยากต่อการแก้ไขยิ่งขึ้นหากรัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมได้ ดังนั้น จึงอาศัยอำนาจตามความใน มาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.2551 ข้อ 174 ให้ประธานวุฒิสภา ขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ เกี่ยวกับการเร่งรัดแก้ไขสถานการณ์วิกฤติอุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศ"

00000000000000

 ผมและคนไทยอีกหลายล้านคนอยากฟังว่ารัฐบาลจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรครับ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #385 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2554, 09:30:37 »

ยันนักการเมืองตัวการ ขวางทางน้ำฝั่งตะวันออก ชี้ รบ.ป้อง'สุวรรณภูมิ'มรดกบาป'ทักษิณ'
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 พฤศจิกายน 2554 07:50 น.    

   
ASTVผู้จัดการรายวัน - นักวิชาการ-อสังหาฯ ชี้ชัด โซนตะวันออกเป็นพื้นที่รับน้ำ แต่มีกลุ่มนักการเมืองของกลุ่มทุนทักษิณ นักธุรกิจ หาผลประโยชน์ ล็อบบี้แก้สีผังฟลัดเวย์ หวังนำที่ดินในพอร์ตออกมาพัฒนาโครงการ ยอมรับ โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ "มรดกทักษิณ"ตัวการปิดทางระบายน้ำ "มานพ พงศทัต"เสนอ 3 ทางเลือกทำฟลัดเวย์ เอกชนเตือนอย่าลงกล แห่ไปซื้อที่ดินโซนตะวันออก หวั่นเป็นเกมปั่นราคารอบ 2 หลังสนามบินฯ พ่นพิษเรื่องแนวเสียงมาแล้ว
       
       ตลอดระยะเวลาเส้นทางของน้ำที่บุกเข้าโจมตีพื้นที่ตอนบนของกรุงเทพมหานคร(กทม.) ตั้งแต่ จ.ปทุมธานี เรื่อยมาจนถึงรังสิตและรุกคืบมายังดอนเมือง กระทั้งปัจจุบันหัวน้ำอยู่ที่สุทธิสาร รอสะสมกำลังพลเพื่อเคลื่อนทับจู่โจมอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ส่วนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกอ่วมอรทัยท่วมทั่วถึง สูง-ต่ำ ขึ้นอยู่กับกายภาพของพื้นที่ ทั้งๆ มีคำถามตามมามากมายทุกภาคส่วน แม้กระทั่งนักวิชาการเองถึงกับงุนงง ว่า เหตุใดพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก นนทบุรี นครปฐม ไม่ใช่พื้นที่รับน้ำจึงถูกน้ำท่วมมากมายขนาดนี้ และการที่พื้นที่โซนนี้ไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำตามกายภาพของที่ดิน จึงไม่มีระบบระบายที่ดีพอ เมื่อน้ำไหลบ่าเข้าท่วม หนทางในการระบายออกสู่ทะเลจึงเป็นไปได้ยากและล่าช้า
       
       เพราะเหตุใดพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกไล่เรียงมาตั้งแต่คลองรังสิต มีนบุรี ลาดกระบัง และ จ.สมุทรปราการ ซึ่งมีพื้นที่ต่ำ ตั้งแต่ยุคสมัยโบร่ำโบราณมา จึงกำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำ แก้มลิง มีการก่อสร้างคลองระบายน้ำเพื่อให้ไหลออกสู่ทะเลได้หลายเส้นทาง น้ำกลับแห้งขอด แม้ว่าขณะนี้มวลน้ำได้ไหลมาท่วมด้านนี้บ้างแล้ว ซึ่งใช้เวลานานมากกว่าจะผันมาได้จนกระทั่งน้ำได้ท่วมคนฝั่งธนบุรีไปจนหมดแล้ว
       
       อนึ่ง ผังเมืองกรุงเทพมหานครปี 2549 ที่ใช้กันอยู่ถึงปัจจุบัน กำหนดพื้นที่ชนบทอนุรักษ์และเกษตรกรรมหรือพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม (ขาวลายเขียวและสีเขียว) ซึ่งเป็นจุดที่ปล่อยให้น้ำไหล อันได้แก่เขตคลองสามวา มีนบุรี หนองจอกและลาดกระบัง ส่วนถนน ได้แก่ 1.ถนนนิมิตรใหม่ช่วงกลาง-ปลาย 2.ถนนคลองสิบ 3.ถนนประชาร่วมใจ 4.ถนนราษฎร์อุทิศ 5.ถนนสุวินทวงศ์ 6.ถนนเจ้าคุณทหาร 7.ถนนลาดกระบัง และ 8.มอเตอร์เวย์ การระบายน้ำในโซนนี้จะผ่านคลองต่างๆ ได้แก่ คลองสามวา คลองหลวงแพ่ง คลองหนองงูเห่า และคลองลาดกระบังที่คั้นกลางด้วยสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งรับน้ำจากเขตลาดกระบัง ส่งไปยังคลองด่าน และคลองสำโรง
       
       ผังเมืองของกรุงเทพฯ เปรียบเหมือนกระดาษที่มีความลาดเอียงได้น้อย โดยฝั่งรังสิตสูงกว่าสมุทรปราการซึ่งเป็นพื้นที่น้ำออกสู่ทะเลเพียง 3 เมตร ดังนั้นการผันน้ำจะต้องใช้เครื่องมือช่วย อาทิ เครื่องสูบน้ำ จึงจะทำให้การระบายน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้แม้ว่าระบบการระบายน้ำของ กทม.จะถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีแต่ทำมาเพื่อระบายน้ำฝน หรือน้ำทะเลหนุนเท่านั้น จึงไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะรับมือกับมวลน้ำมหาศาลได้
       
       อุปสรรคอะไรที่ทำให้การผันน้ำออกมายังกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกทำได้ยาก ล่าช้า ไม่ทันการณ์ จนคนกรุงเทพฯ ฝั่งธนบุรี จ.นนทบุรี จ.นครปฐม ต้องถูกเลือกในการรับภาระมวลน้ำมากมายมหาศาลนานนับเดือน ทั้งๆ ที่ หากระบายน้ำมายังฝั่งนี้ได้ก็จะสามารถช่วยบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้
       

       นักการเมืองตัวการขวางทางน้ำ
       
       นักวิชาการด้านผังเมือง ระบุว่า การที่น้ำจากคลองรังสิตไม่ไหลมายังพื้นที่โซนตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต่ำกว่าและถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่รับน้ำ เกิดจากการบล็อกหรือปิดกั้นเส้นทางน้ำไว้ และใช้วิธีสูบน้ำเพื่อส่งน้ำให้ไหลไปยัง กทม.ด้านอื่นแทน บางส่วนไหลเข้าสู่งพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน (กายภาพของ กทม.มีความลาดเอียงน้อย การระบายน้ำจึงใช้เครื่องสูบน้ำเพื่อส่งน้ำลงสู่ระบบคลองต่างๆ )
       
       “เมื่อพื้นที่ของ กทม.ต่ำมีความลาดเอียงน้อย กทม.จึงระบายน้ำด้วยการสูบน้ำ หรือส่งน้ำไปยังคลองส่งน้ำเท่านั้น เมื่อสูบให้น้ำไหลไปด้านตะวันตกซึ่งเป็นพื้นที่ที่สูง น้ำก็ไหลย้อนเข้าสู่ใจกลางเมืองประชาชนได้รับผลกระทบจำนวนมาก ถึงได้สูบน้ำกลับมาใหม่ เมื่อน้ำไม่ได้ไหลตามธรรมชาติ จึงสรุปได้ว่ามีคนขวางการระบายน้ำไปยังกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่มีการขวางทางระบายของน้ำ หรืออ้างว่าพื้นที่ด้านตะวันออกสูงกว่าน้ำจึงไหลไปได้ยาก” แหล่งข่าวกล่าว
       
       ส่วนไอ้โม่งที่มีอิทธิพลมากพอที่รัฐบาลยอมให้ขวางทางน้ำจนสร้างความเดือดร้อนไปทุกย่อมหญ้าเป็นใครนั้น แหล่งข่าว ระบุว่า ไล่เรียงกันตั้งแต่ กลุ่มนักการเมืองที่ไม่ต้องการให้พื้นที่ของตัวเองได้รับผลกระทบ เพราะจะส่งผลต่อฐานเสียงทันที ดูจะมีน้ำหนักมากที่สุด ส่วนเป็นใครนั้นก็ต้องไปดูว่า นักการเมืองในโซนนี้มีใครบ้าง เป็นคนของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ คงไม่ต้องเอ่ยชื่อ
       
       ส่วนนิคมอุตสาหกรรมบางชันนั้น เชื่อว่าเกิดมาก่อนที่ผังเมืองจะออกมาจึงหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา ยกเว้นการป้องกันเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบเพราะจะเกิดความเสียหายอย่างมหาศาล
       
       ขณะที่สนามบินสุวรรณภูมิเป็นอีกตัวการสำคัญ แม้ว่าจะต้องปกป้องเพราะถือเป็นหัวใจสำคัญ แต่หากไล่บี้กันจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่รับน้ำ ก็ยังดันทุรังก่อสร้างขึ้นมา เมื่อไปดูในผังเมืองแล้วสนามบินสุวรรณภูมิตั้งขวางทางฟลัดเวย์พอดิบพอดี ขนาบข้างด้วยคลองลาดกระบังและคลองหนองงูเห่า
       
       โซนตะวันออกสุดท้ายก็ต้องท่วม!

       
       ด้านนายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่าสำหรับนักลงทุนหรือนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้น การพัฒนาในพื้นที่ขาวลายเขียว สิ่งปลูกสร้างหรือที่อยู่อาศัยจะต้องมีเนื้อที่ 1,000 ตารางวาขึ้นไป ส่วนสีเขียว พื้นที่ตั้งแต่ 100 ตารางวา การพัฒนาโครงการจัดสรรในย่านนี้ได้ต้องเกิดก่อนปี 2535 หรือมีใบอนุญาตก่อนปี 2535 ส่วนที่พัฒนาหลังจากนี้ถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่งนักพัฒนาส่วนใหญ่จะรู้ข้อกฎหมายนี้ดี ดังนั้น ประชาชนที่ซื้อบ้านในย่านนี้จะต้องพิจารณาในเรื่องผังเมืองให้ดี รวมถึงผู้ประกอบการด้วย
       
       ส่วนการพัฒนาโครงการจัดสรรจำนวนมากในย่านดังกล่าวนั้น จะต้องไปตรวจสอบว่าอยู่ในเขตของผังเมืองสีขาวลายเขียวหรือไม่ เพราะไม่ใช่ผังเมืองจะเป็นสีขาวลายเขียวทั้งหมด เพราะพื้นที่ในย่านใกล้เคียงก็สามารถปลูกสร้างได้ แต่อย่างไรก็ตาม พื้นที่ในโซนนี้เป็นพื้นที่รับน้ำอยู่แล้ว ผู้อยู่อาศัยจะต้องยอมรับได้ว่าหากไม่ท่วมวันนี้ วันข้างหน้าก็ต้องท่วม ตามธรรมชาติของน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำอยู่แล้ว
       
       ชง 3 แนวทางทำ"ฟลัดเวย์"
       
       รศ.มานพ พงศทัต อาจารย์พิเศษภาควิชาเคหะการ คณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การแก้ไขระบบระบายน้ำอย่างถาวรของ กทม.ด้วยการทำทางด่วนของน้ำ หรือ ฟลัดเวย์ จากอยุธยาไปยังทะเลฝั่งสมุทรปราการ ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร หรือ จากคลองรังสิตไปยังทะเลสมุทรปราการระยะทาง 50 กิโลเมตรนั้นมี 3 วิธี คือ

1. การขุดอุโมงค์ยักษ์เพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเลด้านสมุทรปราการ ซึ่งการก่อสร้างด้วยวิธีนี้จะแพงกว่าการก่อสร้างทั่วไปถึง 5 เท่า แต่ผลกระทบจากการเวนคืนไม่มี ซึ่งประเทศมาเลเชียได้ทำมาแล้วระยะทาง 81 กิโลเมตร ขุดเป็น 3 อุโมงค์ หากไม่มีน้ำก็ให้รถวิ่งได้
       
       2.การทำคลองส่งน้ำความกว้างประมาณ 150-200 เมตร ซึ่งวิธีนี้จะใช้วิธีเวนคืนที่ดินบางส่วนเพื่อสร้างคลอง และสร้างทัศนียภาพริมคลองให้สวยงามเช่นที่ประเทศเกาหลี และ

3.ทำอุโมงค์ลอยฟ้า เพื่อส่งน้ำด้านบน และสามารถใช้เป็นเส้นทางคมนาคมหากไม่มีน้ำ โดยประเทศอียิปต์ทำมาเป็นเวลานานแล้ว การก่อสร้างดังกล่าวจะใช้งบประมาณ 2,000 ล้านบาท/กิโลเมตร
       
       “การทำฟลัดเวย์มีให้เลือก 3 ทาง ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะเลือกวิธีใด ความรุนแรงและความเสียหายของอุทกภัยในครั้งนี้ทำให้ รัฐบาลไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านก็ต้องเดินหน้า โดยการใช้กฎหมายเข้ามาควบคุม เพราะการทำทางเดินของน้ำถือเป็นเรื่องสำคัญและควรเป็นวาระของชาติ เพื่อรับมือกับอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต” รศ.มานพกล่าว
       
       อสังหาฯ บางบัวทองกระอัก คนแห่ทิ้งดาวน์
       
       แหล่งข่าวจากบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวยอมรับว่า โครงการที่อยู่อาศัยในโซนตะวันตกได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก โครงการใหม่ที่จะเปิดตัวจะน้อยลง เนื่องจากโครงการใหม่ที่เปิดขายและถูกน้ำท่วม ทางผู้ประกอบการต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการซ่อมแซมโครงการให้กลับมามีสภาพตามเดิม หรือปรับปรุงให้แก่ลูกค้าใหม่ ก่อนดำเนินการโอน อย่างไรก็ตาม ในมุมมองแล้ว ราคาที่อยู่อาศัยและราคาที่ดินในโซนตะวันตก คงจะลดลงได้แต่ไม่มาก ตามสภาพของต้นทุน ขณะที่ผู้ที่ตัดสินใจจองและผ่อนดาวน์กับโครงการ หากจำนวนเงินไม่มาก ก็อาจจะตัดสินใจทิ้งดาวน์ คาดว่าจะมีประมาณ 20% สุดท้ายแล้ว ผู้ประกอบการต้องนำโครงการกลับมาขายใหม่(รีเซล)อีกรอบ
       
       “ก็ไม่คิดว่า บ้านจัดสรรตั้งแต่ราคาถูกไปจนถึงราคาแพงในโซนตะวันตก ทำเลราชพฤกษ์ รัตนาธิเบศร์ บางบัวทอง ต้องจมไปกับน้ำ มีทั้งโครงการของบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮาส์ฯ บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทฯ บริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และบริษัทแสนสิริฯ เป็นต้น และคงจะเห็นได้กลุ่มลูกค้าในโครงการบ้านหรูที่ถูกน้ำท่วม จะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมไว้รองรับกรณีไม่สามารถแก้น้ำท่วมได้อีก ขณะที่การจะพัฒนาคอนโดฯ ในกลางเมืองซีบีดีด้วยแล้ว คงจะยาก เนื่องจากที่ดินมีราคาแพง มีจำกัด ซึ่งขณะนี้ สุขุมวิท บางนา พระราม 3 ไม่ถูกกระทบ”แหล่งข่าวกล่าว
      
       ชี้สนามบิน'สุวรรณภูมิ'ขวางทางน้ำ

       
       แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวว่า เดิมพื้นที่ฝั่งตะวันออก เป็นบริเวณตามแนวพระราชดำริ กำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำมาตั้งแต่ปี 2535 หรือ แนวฟลัดเวย์ เพื่อเป็นพื้นที่รับน้ำมาจากทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ เพื่อระบายลงสู่อ่าวไทย แก้ปัญหาน้ำท่วม แต่มีความพยายามจากนักการเมืองในกลุ่มทุนของระบอบทักษิณ รวมถึงนักการเมืองบางคนที่มีที่ดินในบริเวณดังกล่าว พยายามให้มีการปรับสีผังบริเวณแนว"ฟลัดเวย์" (ผังสีขาวลายเขียวและสีเขียว) โดยให้ปรับเป็นผังสีเหลือง อ้างเหตุผลไม่เคยปรากฎว่ามีน้ำท่วมเกิดขึ้น
       
       “ปัญหาของบ้านเมืองในตอนนี้ เกิดขึ้นเพราะน้ำมือของนักการเมือง หากเราปล่อยให้ผังเมืองโซนตะวันออก เป็นไปตามธรรมชาติแล้ว น้ำคงไม่ท่วม โดยเฉพาะมรดกที่อดีตนายกรัฐมนตรีวางไว้ ก็ทำให้เห็นว่าที่ตั้งของสนามบินสุวรรณภูมิ ขวางทางน้ำ ชื่อก็บอกอยู่แล้ว หนองงูเห่า แต่ก็ยังไปทำ ทั้งนี้พื้นที่ฟลัดเวย์ที่ยังไม่ถูกเข้าไปครอบครองคงเหลือประมาณ 1 ใน 3” แหล่งข่าวกล่าว และชี้ว่า
       
       ปัจจุบันมีนักการเมือง นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ครอบครองที่ดินไว้มือจำนวนมาก อาทิ กลุ่มของนายวิชาญ มีนชัยนันท์ (อดีต ส.ส.กรุงเทพฯเขตมีนุบรี พรรคไทยรักไทย และยังมีตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลชุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) และกลุ่มพี่น้อง มีที่ดินใกล้แยกมีนบุรีและกระจายในพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ กลุ่มนายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัท เวชธานี กรุ๊ป ประมาณ 500 ไร่ นายประสงค์ เอาฬาร กรรมการบริษัท ฟลอร่าวิลล์ จำกัด มีที่ดินบริเวณสุวินทวงศ์ 300 ไร่ ที่บางส่วนมีการพัฒนาไปบางแล้ว กลุ่มบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ประมาณ 50 ไร่ บริเวณถนนเจ้าคุณทหาร นายวันชัย ชูประภาวรรณ เจ้าของบริษัท ประภาวรรณ กรุ๊ป มีดินที่ย่านสุวินทวงศ์ประมาณ 100-200 ไร่ ซึ่งเหลืออยู่ไม่มาก
       

       แหล่งข่าวตั้งข้อสังเกตว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ ทำให้โซนตะวันออกถูกมองว่า เป็นพื้นที่ที่ความเสี่ยงต่ำ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ เนื่องจากในช่วงก่อนที่จะก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ กลุ่มทุนของทักษิณ ชินวัตร และนักธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์ ได้เข้ามากว้านซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการ ส่งผลให้ราคาที่ดินขยับ แต่หลังจากเปิดใช้สนามบินได้ไม่นาน ก็ประสบปัญหาเรื่องแนวเสียง ที่ทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยใต้แนวเสียง ได้รับผลกระทบ ทำให้ความเฟื่องฟูของตลาดอสังหาฯ รอบๆ สนามบินสุวรรณภูมิลดลง

   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #386 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2554, 22:12:11 »

การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2554 01:00

วีระศักดิ์ พงศ์อักษร
 
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ลมหายใจสุดท้าย!

    "จะเรียกว่าวันนี้ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามดิ้นรน ของลมหายใจสุดท้าย คงไม่ผิดมากนัก

  เพราะการขายฝันในอนาคต ย่อมที่จะทำให้การมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันของคนเรามีคุณค่ามากขึ้น"


 ไม่แปลกหากใครสักคนจะยอมทนทุกข์ในปัจจุบัน เพื่ออนาคต...แต่ก็นั่นแหละก็มีอีกหลายคนที่เลือกอยู่กับปัจจุบันทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะหากคิดถึงอนาคตเมื่อไหร่ ก็ย่อมผิดหวังเมื่อนั้น !

 คำถามจึงอยู่ที่จะทำปัจจุบันให้ดี...หรืออยู่กับความฝันในอนาคต ...
 รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เลือกที่จะทำตามความเชื่ออย่างหลัง

 คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ หรือ “กยอ.” และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ หรือ “กยน.”.....สองคณะกรรมการที่ประกาศตั้งขึ้นมาเมื่อ 8 พ.ย.2554 คือความพยายามที่จะ "ยื้อต่อลมหายใจนั้น"

 เพราะรัฐบาลเองย่อมรู้แล้วว่า การบริหารประเทศสถานะ "ปัจจุบัน" หากเป็นร่างกายคนเราก็อยู่ในขั้นโคม่า ความเชื่อถือ ความมั่นใจถดถอยลงเรื่อยๆ หากไม่ทำอะไร ให้ยาแรง หรือตัดสินใจอะไรสักอย่าง ก็รอเพียงวันดับสูญ พังกันไปทั้งรัฐบาล

 จะว่าไปแล้ววิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้...แม้ไม่ใช่ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ก็จะโดนคำถาม เสี่ยงต่อความล้มเหลวไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะสถานการณ์ร้ายแรงเกินที่จะให้คนใดคนหนึ่ง "แบกรับ" แต่ด้วยความเป็น "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ที่บารมีน้อยนิด ความเป็นผู้นำไม่เด่นชัด ย่อมที่จะ "ตกต่ำ" ได้รวดเร็ว แม้จะพึ่งเข้ามาเพียง 3 เดือนก็ตาม

 เพราะต้องยอมรับข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่า โอกาสที่ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ได้รับนั้น เพราะความเป็นพรรคเพื่อไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเรียกว่า "เงา-โคลนนิง-หุ่นเชิด" ก็ย่อมไม่ห่างจากอดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งนั้น

แต่เพราะข้อเท็จจริงนี้ ทำให้การดิ้นรนของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีข้อจำกัด
 ก็รู้กันอยู่ว่าวินาทีนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีไม่วางใจใคร ความผิดพลาดที่หนุน "สมัคร สุนทรเวช" ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือบทสรุป

...การตัดสินใจให้น้องสาวตัวเอง ซึ่งปฏิเสธการเมืองมาตลอดต้องมารับบทแทนนั้น ก็สะท้อนได้เป็นอย่างดี เพราะแม้แต่คนในตระกูลเดียวกันยังเลือกที่จะวางใจด้วยซ้ำ

 ตัวเลือกที่มีข้อจำกัด...เพราะความไม่วางใจใคร การดิ้นรนของรัฐบาลในยามวิกฤติก็ย่อมมีข้อจำกัดไปด้วย!
 การประคับประคอง...ขายฝัน...รอจังหวะ ดูจะเป็นทางเลือกเดียวที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พอจะคิดได้ ซึ่งยุทธศาสตร์นี้ก็ไม่ใช่แนวทางใหม่ เพราะในยุคของเขา ก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง

 ยิ่งเมื่อเจาะเข้าไปในตัวบุคคลที่เดินเกมครั้งนี้...ก็ล้วนเป็นคนรอบข้างที่ทำงานร่วมกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งสิ้น
 ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนิพัทธ พุกกะณะสุต เป็นที่ปรึกษาที่ส่งตรงมาจากดูไบ ช่วยเหลือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้ว

 ที่สำคัญไปกว่านั้นเมื่อถามกรรมการ กยน./กยอ. ที่ได้รับแต่งตั้งหลายคน...พูดเสียงเดียวกันว่าได้รับการทาบทามจาก "พันศักดิ์ วิญญรัตน์" นักคิดคนสำคัญตั้งแต่ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย นำมาสู่ชัยชนะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2544

 พี่ชายเขามาประคับประคองรัฐบาลน้องสาว...คงไม่ผิดมากนัก!
 แต่การประคับประคอง ก็ยังดีที่สอดคล้องกับสิ่งที่ควรเป็น เพราะเกือบทุกฝ่ายต่างเห็นตรงกันว่า การฟื้นฟูประเทศในระยะยาวนั้น เป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากปล่อยไปเช่นนี้ ขีดความสามารถในการแข่งขัน ความเชื่อมั่นของประเทศ มีแต่ถดถอย และ กยอ.ก็น่าจะตอบโจทย์นั้น


 ขณะที่ปัญหาบริหารจัดการน้ำ...วิกฤติครั้งนี้ก็สะท้อนผลออกมาแล้วว่า สร้างปัญหาใหญ่เกินกว่าที่จะนั่งเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรในเชิงโครงสร้าง เสียงเรียกร้องเรื่องบูรณาการ ดังมากขึ้น และ กยน.ก็น่าจะตอบโจทย์นั้น

 กยอ.และ กยน.คือ "ยาแรง" ที่ "หวัง" ว่าจะกระตุ้นให้ลมหายใจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทอดยาวไปอีกระยะ!
 กลุ่มบุคคลที่สังคมยอมรับและน่าเชื่อถือ "หลายคน" ที่ตั้งขึ้นมาก็หวังจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แข็งแกร่งมากขึ้น แนวนโยบายที่เป็นรูปธรรม อาจจะเป็นวิตามินเสริมความสดชื่นให้ร่างกาย พร้อมที่จะเดินและวิ่งต่อไปได้
 แน่นอน..หลายคนอยู่ด้วย "ความฝัน" แม้จะเป็นลมหายใจสุดท้าย ซื้อยาแพงเท่าไหร่ก็ยอม ความเสียหายก็ยังอยู่แค่ "บุคคล"

 แต่ในแง่ประเทศการใช้ "ยาแรง" จ่ายงบประมาณ 9 แสนล้านบาทเพื่อฟื้นฟูประเทศนั้นต้องมั่นใจได้ว่า "เกิดประสิทธิภาพ" ไม่รั่วไหล ไม่มีประเด็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

 ที่สำคัญต้องมั่นใจว่าคนที่ประชาชนทั้งชาติร่วมจ่ายเพื่อ "ช่วยดึงขึ้นมานั้น" จะกลับมาตอบแทนพวกเขาจริงๆ

 หรือไม่หากรู้แล้วว่าวิกฤติที่ยืดเยื้อ มองไม่เห็นอนาคตในวันนี้นั้น ปัญหาอยู่แค่ "คนเดียว"... เราก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง เพื่อต่อลมหายใจกันขนาดนี้!
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #387 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2554, 22:16:50 »

หาตัวช่วยก่อนจมน้ำ

    09 พฤศจิกายน 2554 เวลา 08:25 น. |
    เปิดอ่าน 3,367 |
    comment ความคิดเห็น 29

หลังเจอวิกฤตอุทกภัยซัดจน “รัฐนาวายิ่งลักษณ์” แทบจมน้ำไปด้วย ก็ได้ฤกษ์ตั้งคณะกรรมการ 2 ชุด

โดย...ทีมข่าวการเมือง


หลังเจอวิกฤตอุทกภัยซัดจน “รัฐนาวายิ่งลักษณ์” แทบจมน้ำไปด้วย ก็ได้ฤกษ์ตั้งคณะกรรมการ 2 ชุด กระชับอำนาจการบริหารในภาวะวิกฤตขึ้นมา

ชุดแรก เป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) มี “วีรพงษ์ รามางกูร” เป็นประธานกรรมการ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรองประธานกรรมการ

ส่วนกรรมการที่น่าสนใจ ประกอบด้วย พันศักดิ์ วิญญรัตน์ กิจจา ผลภาษี ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ วิษณุ เครืองาม ศุภวุฒิ สายเชื้อ

ชุดสอง คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารการจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ประธานกรรมการไม่ปรากฏชื่อ แต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ หรือรองนายกฯ จะมอบหมาย ส่วนคณะกรรมการประกอบด้วย คนในรัฐบาล นักวิชาการ อดีตข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับระบบน้ำ และผู้เชี่ยวชาญดินฟ้าอากาศ ทั้งที่ทำงานใน ศปภ. และนอก ศปภ. เช่น กิจจา ผลภาษี ปราโมทย์ ไม้กลัด ปลอดประสพ สุรัสวดี ปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รอยล จิตรดอน รัชทิน ศยามานนท์ สมิทธ ธรรมสโรช เป็นต้น โดยมี สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นที่ปรึกษา

การตั้งคณะกรรมการระดับชาติเป็นรูปแบบการบริหารของทุกรัฐบาลในยามเผชิญวิกฤตศรัทธาที่จะดึง “คนนอก” มาร่วมทำงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภารกิจที่รัฐบาลมอบหมาย

อย่างไรก็ตาม “คนนอก” ที่มาร่วมงาน ลึกๆ ไม่ได้ต้องการช่วยรัฐบาลฝ่ายเดียว หลายคนที่ร่วมเป็นกรรมการก็ไม่ได้จุดยืนชัดว่า สนับสนุนรัฐบาลชุดนี้ ไม่ว่า วิษณุ เครืองาม ปราโมทย์ ไม้กลัด หรือ สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา

แต่การให้เกียรติเข้าร่วมงานของรัฐบาล ด้านหนึ่งเพื่อต้องการใช้โอกาสที่ได้รับมอบหมายวางระบบเพื่อฟื้นฟูแก้ปัญหาประเทศ และปฏิรูประบบน้ำในระยะยาวเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วมอย่างที่เห็น

สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ หลังเจอวิกฤตเสื้อแดงก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 45 ชุด ดึงนักวิชาการจำนวนมากมาร่วมขับเคลื่อนภารกิจผ่าทางตันวิกฤตความขัดแย้งทางการเมือง เช่น คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป คณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย ดึง นพ.ประเวศ วะสี อานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน ยังมี นิธิ เอียวศรีวงศ์ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักวิชาการชื่อดังเข้าร่วม และคณะกรรมการพิจารณาแก้ไข รธน. มี สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธาน

การตั้งคณะกรรมการของรัฐบาลอภิสิทธิ์ขณะนั้น ด้านหนึ่งก็ช่วยต่ออายุรัฐบาลที่กำลังซวนเซกับเหตุการณ์ม็อบเผาเมืองและทหารสลายเสื้อแดง 91 คน ทั้งที่รัฐบาลเองก็ไม่ได้ผลักดันข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปให้เป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง

สำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นับตั้งแต่เกิดวิกฤตน้ำท่วมรัฐบาลนี้ได้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ มาเกือบ 20 คณะ มีทั้งตั้งแล้วยุบและตั้งใหม่โดยอ้างว่า เป็นการตั้งคณะกรรมการตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป สะท้อนว่าการทำงานของรัฐบาลมีปัญหามากและไม่เป็นเอกภาพ

สถานการณ์ของรัฐบาลเวลานี้กำลังเมาหมัดกับปัญหาน้ำท่วม หลายคนยังไม่เชื่อกับตัวเอง เหตุใดต้องมาเจอกับวิกฤตตั้งแต่เริ่มเป็นรัฐบาล และเกิดความเสียหายรุนแรงกับประชาชนคนต่างจังหวัด กทม. เกือบ 10 ล้านคน ภาคธุรกิจที่นิคมอุตสาหกรรมยับเยินไปแล้ว 7 แห่ง กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและธุรกิจท่องเที่ยว

และไปๆ มาๆ เกิดกระแสไม่เอายิ่งลักษณ์ และเริ่มเรียกร้องให้ “เปลี่ยนตัวนายกฯ” สอดรับกับ กทม.

โพลล่าสุดที่ให้คะแนนยิ่งลักษณ์สอบตกเกือบทุกด้าน ไม่ว่าการตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาด ผลงานช่วง 3 เดือน ผลงานด้านเศรษฐกิจ

“ดร.โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร ที่รัฐบาลดึงตัวมาช่วยครั้งนี้ไม่ใช่คนอื่นไกล ก่อนหน้านี้เป็นเต็งหนึ่งที่ทักษิณเคยทาบทามให้มาเป็นผู้นำทัพเพื่อไทยในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและเคยร่วมงานในสมัยรัฐบาลทักษิณ แต่ ดร.โกร่ง ปฏิเสธ เพราะไม่อยากเป็นนายกฯ ในสถานการณ์ความขัดแย้งเกรงจะเสียชื่อ ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าตัวเสนอความเห็นสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อไทยมาตลอด ไม่ว่าการตั้งกองทุนมั่งคั่ง การเสนอให้ผ่าตัดโครงสร้าง ธปท.กลับไปขึ้นตรงกับ รมว.คลัง

การเข้ามานั่งเก้าอี้ “ประธานกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ” เป็นการเปิดหน้าครั้งแรกของ ดร.โกร่ง กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพื่อกู้ศรัทธากลับคืนให้กับรัฐบาล เพราะความเชื่อมั่นที่มีต่อทีมเศรษฐกิจก็จมหายไปกับอภิมหาวารี โดยเฉพาะ “ขุนคลัง” ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง หากทำงานเข้าตาและเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาให้กับน้องสาวทักษิณได้ ก็อาจทอดสะพานให้กับ ดร.โกร่ง ในตำแหน่งนายกฯ ในอนาคตหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า

ดร.โกร่ง แถลงทันทีว่า ภารกิจ 1 ปีหลังจากนี้ จะทำเพื่อให้ความมั่นใจว่า ปีหน้าหากฝนตกอย่างนี้อีกก็จะต้องไม่เกิดปัญหาเหมือนปีนี้ และสร้างความมั่นใจให้ประชาชนและนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ และ 56 ปี จะต้องมีโครงการที่สำเร็จเรียบร้อย จะลงทุนเท่าไหร่ก็ต้องยอม เพราะความเสียหายเที่ยวนี้หนักหนาสาหัสมาก

ตัวช่วยอย่าง “ดร.โกร่ง” คือ ตัวช่วยของทักษิณไม่ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์จมน้ำจากการบริหารงานผิดพลาดของรัฐบาล

ขณะที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลดึงตัวช่วยอย่าง “ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน” มาเป็นประธานกรรมการชุดคณะกรรมการอิสระเพื่อหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) นำร่องทำโมเดลรื้อ รธน. และปูทางสู่นิรโทษกรรม

สองภารกิจที่สำคัญฟื้นฟูประเทศหลังน้ำลดกับแก้ไข รธน.หลังน้ำลด ลำพังแต่ “รัฐบาลปู” ฝ่ายเดียวไม่สามารถผลักดันเดินหน้าประเทศได้อีกต่อไป จำเป็นต้องดึงเหล่าพันธมิตรทั้งหลายให้ช่วยออกแรงผลักดันแทน

 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #388 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2554, 15:57:30 »

สื่อนอกวิเคราะห์"ทักษิณ"เก็บตัวเงียบ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

   สื่อนอกวิเคราะห์"ทักษิณ"เก็บตัวเงียบสะท้อนต้องการกันตัวออกห่างน้องสาวและไม่รู้จะช่วยแก้น้ำท่วมอย่างไร

       สำนักข่าวเอเอฟพี วิเคราะห์ถึงเหตุผลของการห่างหายไปของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในขณะที่รัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาวกำลังเผชิญกับวิกฤติการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่อย่างหนัก
       หลังจากที่เกิดวิกฤต โดยหลักแล้วพตท.ทักษิณ แทบจะไม่ได้ออกมาพูดถึงปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในเมืองไทยแต่อย่างใด จะมีก็แต่โพสต์ข้อความ 2-3 ข้อความในทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ค แสดงความเสียใจกับผู้ประสบภัยเท่านั้น
        นอกจากนั้น ยังไม่ได้ออกมาระดมเสียงสนับสนุนช่วยน้องสาวที่กำลังเจอกับแรงกดดันอย่างหนักด้วย ซี่งนายพอล เชมเบอร์ นักรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยพายัพ ให้ความเห็นว่า พตท.ทักษิณเงียบกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า กำลังเอาตัวเองออกห่างจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่ตอนนี้มีความเสี่ยงที่อาจจะหล่นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการแก้ปัญหาวิกฤติน้ำท่วม จึงเป็นการดีกว่า ที่พตท.ทักษิณและนักการเมืองพรรคเพื่อไทยคนอื่นๆจะปล่อยให้นายกรัฐมนตรีเผชิญกับปัญหา และรับความไม่ชอบใจของประชาชนในส่วนที่เกี่ยวกับการรับมือกับวิกฤติการณ์ของเธอด้วยตัวเอง
        อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเมืองไทย แห่งสถาบันเพื่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาที่สิงคโปร์  ให้ความเห็นว่า ที่พตท.ทักษิณเงียบไป ก็เพื่อให้โอกาสยิ่งลักษณ์ ที่เคยบอกว่าเป็น " โคลน " ของเขา ได้มีโอกาสได้ก้าวออกมาจากเงาของเขา ด้วยตัวของเธอเอง แม้ว่าเธอจะล้มเหลวก็ตาม เพราะยิ่งพตท.ทักษิณเข้าไปแทรกแซง จะยิ่งทำให้สถานการณ์ซับซ้อนมากขึ้น และจะเป็นการเปิดประตูให้ฝ่ายค้านโจมตีรัฐบาลได้
         นอกจากนั้น พตท.ทักษิณ อาจจะไม่อยู่ในสถานะที่จะช่วยอะไรได้ เพราะไม่ได้จบปริญญาเอกด้านบริหารจัดการน้ำ
         ส่วนอาจารย์ธิตินันท์ พงษ์สิทธิรักษ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่าสองพี่น้องคู่นี้อาจจะมีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิด แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เพราะธรรมชาติของวิกฤติการณ์แบบนี้ ต้องอาศัยการลงมามีส่วนร่วมอย่างมาก แบบชั่วโมงต่อชั่วโมง
        สำหรับเรื่องการช่วยให้พตท.ทักษิณกลับประเทศนั้น นักวิเคราะห์มองว่า ตอนนี้นางสาวยิ่งลักษณ์ กำลังเจอปัญหาน้ำท่วมโถมเข้าใส่อย่างหนัก หากพตท.ยังเอาปัญหาใหญ่มาให้น้องสาวอีก ก็ไม่แน่ใจว่านายกรัฐมนตรีจะยังสามารถอยู่ในตำแหน่งได้หรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้น ก็จะเป็นเสมือนการฆ่าตัวตายทางการเมืองของทั้งสองคน
 จึงมีโอกาสเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ ที่พตท.ทักษิณจะได้กลับบ้านในเดือนธันวาคม ตามที่ประกาศไว้ว่าอยากจะมาร่วมงาน
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #389 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2554, 22:13:16 »

แฉกลางสภา “อีกระแตตาเข” งาบข้าวสารถุงยังชีพ    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    10 พฤศจิกายน 2554 1
   

      น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ นำมาม่า ปลากระป๋อง และข้าวสารที่บรรจุภายในถุงยังชีพ
ที่ระบุชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าไม่เหมาะสม และแพงเกินไป
ในระหว่างการประชุมสภาฯเพื่อพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 เป็นวันที่ 2  (10พ.ย.54)



 บรรยากาศการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 ในช่วงบ่ายวันที่ 10 พ.ย.ซึ่งเป็นวันที่สองของการอภิปรายเริ่มคึกคักขึ้น เมื่อ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นอภิปรายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของศูนย์ปฎิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่ล้มเหลว โดยเฉพาะการใช้งบประมาณในการฟื้นฟูน้ำท่วม ด้วยการเปิดคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในท่าอากาศยานดอนเมือง ที่ทำการ ศปภ.เก่า ในช่วงที่มีการขนถ่ายถุงยังชีพขึ้นรถที่มีป้ายผ้าข้อความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่ง น.ส.รังสิมา ระบุว่า เป็นการกระทำที่หน้าด้าน เอาชื่อไปติดบนสิ่งของบริจาคของประชาชน นอกจากนั้น ยังนำคลิปในช่วงที่ดอนเมืองถูกน้ำท่วมจนต้องย้ายที่ตั้ง ศปภ.แต่ยังปรากฏสุขาลอยน้ำตกค้างอยู่ ยังไม่ได้ขนออกไปจำนวนมาก
       
       นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงคลิปที่นำมาเปิดดูไม่รู้ว่าเป็นกล่องกระดาษ หรือเป็นส้วม วันนี้ เป็นการพิจารณางบประมาณ ไม่ควรมาพูดเรื่องน้ำท่วม ควรเก็บไปพูดพรุ่งนี้ที่จะมีการเปิดอภิปรายทั่วไปเรื่องการปัญหาน้ำท่วมจะดีกว่า แต่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานการประชุมวินิจฉัยว่า น.ส.รังสิมา ยังอภิปรายอยู่ในเรื่องงบประมาณ สามารถให้อภิปรายต่อไปได้
       
       จากนั้น น.ส.รังสิมา ได้อภิปรายต่อว่า ตนได้ย้ำถึงการใช้งบประมาณของรัฐบาล
 แต่นายสุนัย ไม่สนใจฟังจึงไม่รู้ว่าอันไหนเป็นกล่อง อันไหนเป็นส้วม
       
       จากนั้น ส.ส.สมุทรสงคราม ยังได้นำถุงยังชีพที่มีตราของสำนักนายกรัฐมนตรี และอีกด้านมีตราของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) มาตรวจสอบกลางสภา โดยตั้งข้อสังเกตว่าไม่ทราบว่าถุงดังกล่าวเป็นของหน่วยงานใด เพราะมีจิตอาสาที่ไปแพ็กของเล่าให้ฟังว่า มีเลขาฯ ของ ส.ส.คนหนึ่งชื่อ “อีกระแตตาเข” เป็นคนส่งข้าวสารมาลงที่โรงเรียนสวนกุหลาบนนทบุรี ในวันที่ 20 ต.ค.จำนวน 23,500 ถุง ราคา 70 บาท แต่ปรากฏว่า มีการออกบิลต่อเนื่องเรื่อยไป เพิ่มราคาเป็น 95-195 บาท กินส่วนต่างกันถึง 120 กว่าบาท ไม่รู้ทำกันได้อย่างไร ทำนาบนหลังคน รีดเลือดกับปู กินได้แม้กระทั่งส้วม และผลการสอบทุจริตถุงยังชีพสุดท้ายก็ไม่มีความผิด ซึ่งคิดอยู่แล้วต้องเป็นแบบนี้
       
       จากนั้น น.ส.รังสิมา ได้อ่านคำสาปแช่งของประชาชนที่ใส่ไว้ในถุงบริจาค โดยมีใจความว่า “มันผู้ใดสลับสับเปลี่ยน นำออกแอบอ้างการเป็นเจ้าของสิ่งของบริจาค อันเป็นเจตนาบริสุทธิ์ในถุงใบนี้ หรือแม้แต่ฉีก ทำลายถุงใบนี้ด้วยเจตนาที่ไม่เป็นไปตามประสงค์ของผู้บริจาค ขอให้มันผู้นั้น รวมทั้งเครือญาติที่เกี่ยวข้องนับขึ้นจากมันไป 3 โคตร และนับลงจากมันไป 3 โคตร ประสบแต่ความฉิบหายวิบัติ หาความสุข หาความง่าย หาความสบาย หาความอิ่ม หาพลานามัยที่ดีมิได้อีกเลย ในทุกอิริยาบถ ในทุกเวลา นับเนื่องจากนี้ต่อไปยังชาติภพถัดไปอย่างไม่สิ้นสุด
       
       น.ส.รังสิมา ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนขอสาปแช่งให้คนที่คิดชั่วทำนาบนหลังคนเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
 อดใช้เงินต้องไปนอนหยอดข้าวต้มตลอดชีวิต
       
        เฉลิม อ้างงบเยียวยาไม่มีรายละเอียด เหตุไม่ประเมินความเสียหาย
       
       ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงว่า ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้มาชี้แจงข้อข้องใจในบางประเด็น โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณฉุกเฉินที่จะใช้ในอนาคต ในส่วนของการเยียวยานั้น ต้องเรียนว่าใส่รายละเอียดไม่ได้ เพราะยังไม่รู้ว่าความเสียหายเป็นอย่างไร บางคนไม่เคยคาดคิดว่าจะประสบอุทกภัย เช่น ตนวันนี้ก็อยู่ในข่ายที่ได้รับเงิน 5,000 บาทเหมือนกัน สำหรับงบประมาณตัวเลขกลมๆ 1.2 แสนล้านบาทนั้น ทุกอย่างตรวจสอบได้ ถ้าคิดว่ามีการทุจริตฝ่ายค้านก็สามารถยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้
       
       
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #390 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2554, 20:11:17 »

เจ๋งจริง   เปิดชม
แล้วกด like ให้คนทำด้วยหละ


   
http://www.youtube.com/watch?v=js1k9ET4C4M&feature=player_embedded


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #391 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2554, 23:05:08 »

สัมภาษณ์ สมเกียรติ อ่อนวิมล น่าสนใจมาก
ปู'ไม่พร้อมมาเป็นผู้นำ 'แก้น้ำท่วมการเมืองล้วนๆ' ตอบโดย อ.สมเกียรติ อ่อนวิมล
by Phongnete Thapason
 on Friday, 04 November 2011 at 21:25

การเข้ามาบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย กับความคาดหวังตามคำทำนาย “นารีขี่ม้าขาว” ที่ผูกมัดตัว “ผู้นำโคลนนิ่ง” ว่าต้องพิสูจน์ฝีมือภายใต้การชักใยของ “ทักษิณ ชินวัตร” พี่ชายบังเกิดเกล้าที่คอยสั่งการ ถ่ายทอดตั้งแต่สายเลือด จนถึงบทบาทหน้าที่การทำงาน
สุดท้าย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็ไม่สามารถลบล้างคำครหาที่ว่า “ดีแต่เปลือก” ได้ การแก้ไขปัญหาอุทกภัยครั้งที่ร้ายแรงที่สุดในรอบ 50 ปีในประวัติศาสตร์ชาติไทย ภายใต้การสั่งการของ “ศปภ.” ที่พิสูจน์แล้วว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาทำงานได้ “ห่วย”
กระทั่งเกิดเหตุนายกฯหญิงเกิดอาการวีนใส่นักข่าวที่ถามคำถามเสียดแทงจิตใจ “เหวี่ยง” แถมงอนไม่ตอบคำถาม อ้างสื่อฯบางคนถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้รู้สึกถูกคาดคั้น โดยขอสื่อช่วยปรับใบหน้าให้ยิ้มแย้มเวลาถาม

“อ.สมเกียรติ อ่อนวิมล” นักสื่อสารมวลชนชื่อดัง ได้เขียนข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ตอกกลับนายกฯหญิงแบบยิ่งเสียดแทงใจว่า..."จากประสบการณ์งานในอาชีพสื่อสารมวลชนของผมตั้งแต่ปี 2526 ผมสรุปเป็นหลักคิดส่วนตัวว่า...เมื่อใดที่รัฐบาลใดมีปัญหา เริ่มโทษสื่อมวลชนเรื่องความถูกต้องในการรายงานข้อมูลข่าวสาร เมื่อนั้นคือเวลาที่รัฐบาลมีปัญหาการควบคุมหรือจัดการกับข้อมูลข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นการจัดการ "ความจริง" หรือ "ความไม่จริง" และเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการที่รัฐบาลกำลังมีปัญหาในการจัดการกับตัวรัฐบาลเองและวิกฤติที่รัฐบาลเผชิญอยู่"

“สัมภาษณ์พิเศษไทยอินไซเดอร์” สัปดาห์นี้จึงขอจับเข่าคุยกับ "อ.สมเกียรติ" อย่างเป็นทางการ ซึ่งนักสื่อสารมวลชนผู้นี้ได้วิพากษ์บทบาทของศปภ.ที่ถือเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล ที่ปกปิดข้อมูลข่าวสาร จนนำไปสู่การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ล้มเหลว พร้อมวิพากษ์ถึงพี่ชายสุดจุ้นจ้านที่นิสัยไม่ดี แย่งซีนน้องสาวตัวเอง แถมกำลังจะ "ทำลายน้องตัวเองบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี" คำสัมภาษณ์เหล่านี้อาจแทงใจใครหลายคน.
..
Q : “เมื่อใดที่รัฐบาลใดเริ่มโทษสื่อมวลชนเรื่องความถูกต้องในการรายงานข้อมูลข่าวสาร เมื่อนั้นคือเวลาที่รัฐบาลมีปัญหา เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการที่รัฐบาลกำลังมีปัญหาในการจัดการกับตัวรัฐบาลเองและวิกฤติที่รัฐบาลเผชิญอยู่” สิ่งนี้คือสิ่งที่อาจารย์เขียนในเฟชบุ๊ค ช่วยอธิบายถึงเหตุผลว่าเหตุใดจึงวิเคราะห์แบบนี้?

A : อันนี้เป็นทฤษฎีทั่วๆไป ที่จริงพวกเราที่ทำสื่อมานาน เป็นทฤษฎีที่พวกเราวิเคราะห์กันเอาเอง อาจจะไม่มีสอน "Political Communication" แต่ว่าตลอดอาชีพการทำสื่ออันนี้ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทุกรัฐบาลในโลกนี้เวลาจัดการข้อมูลข่าวสารได้ในยามวิกฤตก็แฮปปี้แล้วก็ขอความร่วมมือกับสื่อมวลชน ในช่วงต้นพฤติกรรมของรัฐบาลต่างๆในโลกก็จะเป็นแบบนี้ พอไปๆแล้วมันคอนโทรลข้อมูลข่าวสารไม่ได้ ก็เริ่มหวั่นไหวไม่แน่ใจ เพราะฉะนั้นสื่อมวลชนก็จะเริ่มซักถาม รุกเร้า รุนแรง ขึงขัง ไม่ยิ้มมากขึ้น แล้วหลังจากนั้นก็จะไปหาข่าวเองมากขึ้นเมื่อรัฐบาลไม่พร้อมที่จะให้ข้อมูล แล้วพอเรามาถึงในยุค New Medias หรือ "ยุคสื่อใหม่" ปรากฏว่าสื่อกระแสหลักก็ต้องแข่งกับสื่อใหม่ หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า Social Network เมื่อ New Medias เขาพึ่งตัวเอง หาข่าวกันเอง อย่างผมเองก็หาข่าวในพื้นที่เมืองทอง ปากเกร็ด เพราะว่าจะได้รู้ว่าหมู่บ้านเราเป็นยังไง ซึ่งสื่อกระแสหลักก็ไม่ได้ เขาเลือกตามกระแสกันไป เพราะฉะนั้นสื่อทางอินเตอร์เน็ท เว็บไซต์ เว็บบล็อก เฟซบุ๊ค เขาก็มีข่าวกันเอง เพราะฉะนั้นสื่อกระแสหลักก็ต้องแข่ง เว็บบล็อกต่างๆก็แข่งกับรัฐบาล ไม่พอใจรัฐบาล ทำให้มาดึงความสนใจไปจากการแถลงข่าวของรัฐบาล ซึ่งสับสนตั้งแต่ต้น ซึ่งทุกคนจะเห็นความสับสน คือนั่งกัน 2-3 คน ผลัดกันแถลง ไม่มีหลักว่าจะเอาใครเป็นหลัก เสร็จแล้วข้อมูลก็ไม่ได้จากนักวิทยาศาสตร์ พอรัฐบาลใช้นักวิทยาศาสตร์ปรากฏว่านักวิทยาศาสตร์ในช่องอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอ.เสรี ศุภราทิตย์ (ผอ.ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร) ซึ่งผมกำลังนั่งคอยแกทุกวัน มีเหตุผล มีวิธีการนำเสนอ มี Presentation ที่น่าเชื่อถือมากกว่า ลงพื้นที่ มีกราฟฟิค มีภาพทำได้ดีกว่ารัฐบาล
“ทั้งหมดนี้รัฐบาลก็เลยต้องแข่งกับสื่ออื่น สื่อกระแสหลักก็ต้องแข่งกับ New Medias เพราะฉะนั้นโลกแห่งข้อมูลข่าวสารจึงกระจัดกระจาย รัฐบาลก็เริ่มหงุดหงิด เพราะฉะนั้นก็เริ่มโทษสื่อ ทุกรัฐบาล รวมทั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์ รัฐบาลเก่าๆ พอมีเรื่องแล้วคุมไม่ได้ก็เริ่มโทษสื่อ ผมเคยเขียนเป็นโน้ตสั้นๆว่า โดยประสบการณ์แรกๆมันก็ดีทั้งนั้น พอไปถึงจุดที่คอนโทรลไม่ได้ก็โทษสื่อ George W Bush (อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ) ก็ทำอย่างนี้ ประธานาธิบดีโอบามา(ประธานาธิบดีสหรัฐฯปัจจุบัน)ก็เกิดวิกฤตอย่างนี้เช่นเดียวกัน ในตอนที่ตัวเองแก้วิกฤตเศรษฐกิจไม่ได้”

Q : ความล้มเหลวของ “ศปภ.” คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถจัดการกับวิกฤตข่าวสารได้ใช่หรือไม่ จนนำมาสู่เรื่องการให้ข้อมูลข่าวสารจนถึงทุกวันนี้?

A : ผมก็คงเหมือนพวกเราทุกคน คือดูเท่าที่เห็น เพราะว่าไม่ได้เข้าไปข้างใน แต่ว่า Thaiflood เขาอธิบายเลยว่าขอเข้าไปข้างใน เขาก็ไม่ให้เข้า แล้วผมก็พึ่ง Thaiflood อยู่ เราก็ไปดูเองบ้าง เพราะฉะนั้นศปภ. รูปแบบการทำงานตั้งแต่ต้น ผมดูตามประสบการณ์ชีวิตการทำงานว่าวันแรกที่เห็นนั่งเป็นแผงเหมือนคณะปฏิวัติ แล้วแต่ละคนเราก็รู้จักหน้าว่ามันไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ มันอธิบายอะไรไม่ได้ พงศพัศ(พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่ปรึกษาสัญญาบัตร 10 (สบ 10) ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ )เป็นตำรวจ วิม(รุ่งวัฒนจินดา)เป็นนักการเมืองซึ่งดูแลสื่อในส่วนของชินคอร์ป นายกฯ (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)นี่ก็สื่อไม่เป็นอยู่แล้ว เพราะว่าภาษาไทยก็ไม่คล่อง ภาษาอังกฤษก็ไม่ดี แล้วก็ยังไม่พร้อม ยิ่งพล.ต.อ.ประชา(พรหมนอก ผอ.ศปภ.)นี่ก็ตำรวจ คือคนที่นั่งอยู่บนแผงไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ไม่ได้มีความรู้ เรากำลังทำสงครามกับธรรมชาติ ซึ่งอาศัยวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่น่าเชื่อถือ ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มาถึงอ.ธงทอง(จันทรางศุ)ก็ไม่ใช่อยู่ดี อ.ธงทองก็เป็นครู บรรยายอยู่นั่นแหละกว่าจะเข้าที่ เพราะฉะนั้นหน้าต่างของศปภ.มันไม่ใช่มืออาชีพ แล้วมีกันหลายคน ข้อมูลก็ไม่ดี มันไม่ดีตั้งแต่ต้น คนเขาก็หันไปหาดูทีวี

Q : การที่เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้มันเลวร้ายมากขึ้น ผนวกกับการทำงานของศปภ.ที่ไม่มีประสิทธิภาพ ยิ่งส่งผลให้เกิดวิกฤตทางข้อมูลข่าวสารตามไปด้วยใช่หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดการกระพือของข่าวที่รุนแรงตามมา?

A : ที่จริงในการเสนอข่าวสารไม่ว่าภาครัฐ เอกชน สื่อเล็กหรือสื่อใหญ่ "ความจริง" เป็นหลัก เพราะทุกคนต้องการความจริง...เท่านั้นเอง ไม่ต้องมาปกป้อง ปิดบังอะไรกัน ความขัดแย้งปกปิดกันไม่ได้ เพราะว่าในที่สุดมันก็เห็น ไม่ว่าจะในวิกฤตหนักมากน้อยแค่ไหนก็ขอให้เสนอความจริง แต่คราวนี้ผมคิดว่าทั้งผมและทุกคนรวมทั้งศปภ. และรัฐบาลด้วย ในช่วงก่อนเดือนตุลาคมเราก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นวิกฤตระดับสงคราม ผมอยากจะเขียนว่าเป็น “สงครามโลกครั้งที่ 3” แต่ก็ไม่อยากโพสต์อะไรที่คนอื่นไม่เข้าใจ Concept เดี๋ยวคนที่เข้าใจสำนวนฝรั่งจะเป็นเรื่องใหญ่ คือตอนนี้มันเหมือนสงครามครั้งใหญ่ เพราะฉะนั้นการทำสงครามกับธรรมชาติ บอกให้ประชาชนเข้าใจไปถึงพลวัตร ไดนามิกของน้ำ แล้วก็ไม่ต้องอ้อมค้อมกันมาก แล้วให้ระมัดระวัง...ก็จบ
แล้วผมคิดว่าสิ่งที่ซ่อนเร้น ซึ่งเราก็อ่านออก ผมว่าคุณก็อ่านออก ก็คือความขัดแย้งระหว่าง "กทม." กับ "ศปภ." ซึ่งจะปกป้องกรุงเทพฯสุดชีวิตทุกตารางนิ้วให้แห้ง แล้วปัดน้ำออกตะวันตก ตะวันออก ซ้ายขวา ตรงนี้แหละที่เป็นปัญหาของรัฐบาลที่พยายามปกปิดความขัดแย้ง แล้วอ.สุขุมพันธุ์(บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.) ผมก็รู้จักแกดี เพราะเคยทำงานร่วมกัน สุภาพจะตาย ถ้าหน้าไม่เขม๋งเกรียวไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะฉะนั้นความขัดแย้งมันยิ่งชัดเจน ยิ่งทำลายลักษณ์อักษร ทำหนังสือ พอความขัดแย้งเป็นการเมือง มันก็ไม่มีเรื่องที่จะใช้วิทยาศาสตร์มาใช้แก้ปัญหา ผมคิดว่าเป็นปัญหามาก เพราะรัฐบาลใช้การเมืองแก้ปัญหา แล้วรัฐบาลต้องการเอาน้ำเข้าเมือง เข้าเมืองชัดๆ กรุงเทพฯต้องท่วมบ้าง ซึ่งตอนนี้คือสิ่งที่รัฐบาลทำ อ.สุขุมพันธุ์เขาไม่ต้องการ เขาเป็นเจ้าเมืองกรุงเทพฯเท่านั้น เขาไม่เกี่ยวกับเมืองอื่น เขาจะทำกรุงเทพฯให้แห้ง ซึ่งน้ำท่วม 2526 ปี2538 จะเห็นว่าถ้าท่วมจริงๆ เข้าในกรุงเทพฯมันก็จะอยู่แถวๆรามคำแหง แล้วก็แถวพัฒนาการ ผมเคยทำข่าวในช่วงนั้น มันไม่เข้าแบบนี้ มันเข้าแบบตะวันออก ตะวันตก ส่วนใหญ่ออกทางตะวันออก แล้วมันกระฉอกเข้ามาเท่านั้นเอง แถวประเวศ กรุงเทพฯถ้าเหนือบ่ากว่าแรงจริงก็ไปแถวรามคำแหง ตอนนี้มันไม่ไป รัฐบาลเอาน้ำ เอาคลองประปา เอาวิภาวดีฯ กับพหลโยธินทำหน้าที่เป็นคลองระบายน้ำ อ.สุขุมพันธุ์ก็พูดอย่างนั้น ตรงนี้คือสิ่งที่รัฐบาลไม่แถลง แต่ว่าวิญญูชน สื่อมวลชนทุกคนมองออก เพราะว่ามันมีข้อมูลวงใน ศปภ.เสียความน่าเชื่อถือ

Q : ความน่าเชื่อถือของศปภ.ที่หมดไป คนส่วนใหญ่พูดตรงกันว่าเพราะไม่ได้บอกข้อมูลความจริงแต่แรก

A : ใช่ๆๆ ไม่ได้บอกความจริงแต่แรกจริงๆ เพราะว่าพอพูดเรื่องน้ำที่ไหลมาปุ๊บ เราก็ไม่เข้าใจว่าอะไรกัน บอกน้ำระบายจากเขื่อน แต่ปรากฎว่าในวันเดียวกันพวกเด็กๆน้องๆผมซึ่งปัจจุบันมันก็โตเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยกันแล้ว มันก็โพสต์เอาตัวเลขน้ำจากเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ มาให้ มีกราฟ มีสถิติ มีการขึ้นลงแบบวันต่อวันของกฟผ. ซึ่งไม่ใช่ความลับ พวกอาจารย์หนุ่มๆที่เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ เทคโนฯลาดกระบัง ที่ผมรู้จักมันก็โพสต์มาให้ดู คือมันไม่ต้องคอยรัฐบาล ไม่ต้องกลัวรัฐบาลปกปิด เพราะประชาชน นักวิทยาศาสตร์หนุ่มๆสาวๆ มันฟิตกันเต็มที่ เราจึงรู้ข้อมูลเรื่องเขื่อน อย่างตอนนี้รัฐบาลกับประชาธิปัตย์ก็เถียงกันอีกแล้วว่าวันไหนน้ำในเขื่อนเป็นยังไงตอนเข้ามาตั้งรัฐบาล มาเถียงทำไม ผมรู้ตั้งแต่ตอนต้นแล้ว การปล่อยน้ำในเขื่อนมันมีตัวเลข มันหลบไม่ได้ กฟผ.มีตัวเลข คือไม่ให้ความจริงในโลกที่ความจริงได้แค่กดปุ่ม แล้วคนที่รู้จักว่าจะคลิ๊กไปที่เว็บบล็อกไหนแค่นั้นเอง

Q : การอ้างว่าไม่อยากให้ข้อมูลมากเกินไปเพราะกลัวว่าประชาชนจะแตกตื่น ใช้เหตุผลนี้มาอธิบายได้หรือไม่?

A : ข้อมูลมากเกินไปมันควบคุมไม่ได้อยู่แล้ว มันเป็นปรากฎการณ์ปกติของโลกไซเบอร์ หรือโลกโลกาภิวัฒน์ยุคข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลมากเกินไปเรารู้กันมาตั้ง 20 ปีแล้วนะ อันนี้มันข้อมูลปกติ ข้อมูลท่วมท้น เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องจัดการและแจกข้อมูลไปยังสื่ออื่นๆที่ต่างคนต่างหิวข้อมูล ต่างไม่หากันเอง เพราะฉะนั้นศปภ.ไม่ได้ให้ข้อมูลทั้งยากและง่ายกับคนที่ต้องการ

Q : ศปภ.ตอนนี้ไม่ได้เป็นผู้ให้ข่าวสาร แต่กลายเป็นศูนย์ที่ใช้ตอบโต้ข้อมูลจากแหล่งอื่น

A : ผมรับข้อมูลข่าวสารทั้งวัน เพราะคนแก่อยู่กับบ้าน อย่างผมดูอ.เสรีช่วงแรกผมก็คิดว่าอาจารย์คนนี้มายังไง ผมดูแล้วเขาเป็นนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ชั้นดี เพราะว่าผมเคยทำงานด้านนี้มาก่อน เขาเรียกว่า Science Communicator แล้วเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์จริง อาจารย์เขา Present ดี แล้วเขารู้เรื่อง เพราะฉะนั้นผมก็ดูแกทุกวัน พอสักพักปรากฏว่าช่องอื่นก็มีนักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลไปลุยอ.เสรี แล้วลุยแบบอ้อมๆ ไม่เอ่ยชื่อ ผมก็เลยรู้ว่าเขาเริ่มลุยกันแล้ว ทำไมเราจะไม่รู้ ชาวบ้านอาจจะนึกไม่ออกว่าหมายถึงใคร เพราะฉะนั้นก็กลายเป็นว่ารัฐบาลก็คอยดูสื่อกระแสหลักว่านำไปทางไหน แล้วตัวเองก็ไล่ตาม บังเอิญสื่อของศปภ.คุณดูทุกวันจะพบว่าเป็นที่ถ่ายภาพบุคคลมาบริจาค เป็นงานหลักเลย แล้วหลังจากนั้นก็สัมภาษณ์รัฐมนตรี สัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง คุณสุภาพ คลี่ขจายบ้าง คุณจักรพันธุ์ ยมจินดาบ้าง คือพวกไทยรักไทยทั้งหลายก็ย้อนกลับมา พวกนักสื่อสารซึ่งเป็นอดีต แต่ไม่ใช่มืออาชีพทางด้าน Science Communicator ก็กลับมา ก็ได้แต่สัมภาษณ์นักการเมืองด้วยกัน เปิดดูช่อง 11 พบแต่การนั่งสัมภาษณ์บุคคล มันไม่มีข่าวเกี่ยวกับชาวบ้านจะเป็นจะตาย จะหลบไปทางไหนเท่าไหร่นัก

Q : การจัดการข้อมูลข่าวสารในภาวะวิกฤตจึงต้องแตกต่างกับสถานการณ์ปกติ

A : ตอนนี้มันเป็น "การจัดการข้อมูลข่าวสารในยามวิกฤต" เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องเป็นเจ้าของข้อมูล และข้อมูลต้องเป็นจริงเพราะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ น้ำไหล น้ำมาก รัฐบาลต้องเป็นแหล่งที่คนอื่นมาล้วงข้อมูลไป เช่นแถลง แล้วอัพเดตบนเว็บ แจกเอกสาร ออกอากาศทางวิทยุ แล้วก็แถลงตอนแรกก็ทำผิด คือมานั่งเป็นแผงแล้วแบบตัวเองไม่รู้เรื่อง แล้วตอนหลังบอกจะพูดคนเดียวก็ยังไม่พูดคนเดียว แล้วบอกจะเป็นลายลักษณ์อักษร จะอ่านประกาศเท่านั้น ก็ไม่ทำอยู่ดี คุณลองไปตามประวัติสิ ผมก็บันทึกไว้ มันไม่ทำอย่างที่พูดเลยสักทีนึง ถ้าแถลงแบบคณะปฎิวัติ คือแถลงการณ์ฉบับที่ 1,2,3 แล้วเขียนมาโดยนักวิทยาศาสตร์ตรวจสคริปต์ พอแล้วมันก็กระชับ ส่วนรายละเอียดพวกเราที่เป็นสื่อกระแสหลักก็ไปกดเอา อย่างนั้นจะทำให้ Control Data พื้นฐานของรัฐได้ ส่วนสื่อกระแสอื่นจะไปหาอะไรเพิ่มเติมก็ไม่ว่ากัน แล้วถ้าเขาอยากได้ข้อมูลของรัฐ อย่าง Thaiflood ที่เขาอยากจะมานั่งประชุมด้วย ก็ให้มา สมัยผมเป็นส.ว.สื่อมวลชนต้องการเข้ามานั่งในห้องประชุมกรรมาธิการ เพื่อจับข่าวเวลาเราร่างกฎหมายเกี่ยวกับสื่อ ก็ให้มานั่ง ตอนร่างรัฐธรรมนูญปี 40 เราก็ให้มานั่งหมด สื่อมวลชนเนี่ย เพียงแต่ไม่ให้เขายกมือถามเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ไม่ให้สื่อเข้าไปดูการทำงาน มันก็ไม่มัน เขาก็ต้องหาข่าวเอง ผิดบ้างถูกบ้าง คือไม่ Control ข้อมูลจริงที่ตัวเองมีอยู่

Q : ในยามวิกฤตควรให้สื่อเข้าไปร่วมรับฟังการทำงานด้วย แต่ฝ่ายรัฐยังไม่อนุญาตเพราะเกรงว่าจะเป็นการไปล้วงข้อมูลหรือไม่

A : คือโลกของการแถลงข่าวต้อง "แถลงความจริง" แล้วในยามวิกฤตก็ต้องแถลงความจริง จะบอกไม่ให้ตื่นตระหนก...ก็ไม่ต้องบอก คือบอกให้รู้ความจริงแล้วอธิบายให้เข้าใจ ไม่ให้ตื่นตระหนก แต่ศปภ.ไม่ได้ให้ความจริง แล้วทุกคนก็รู้อะไรเป็นอะไร หรือเขาอาจจะไม่รู้ความจริงก็ได้ เช่นเขาไม่รู้หรอกว่าน้ำจะมาเมื่อไหร่ยังไง ตัวเขาเองยังต้องย้ายไม่ทัน แล้วตอนนี้ก็มาอยู่ตึกพลังงาน กะเดี๋ยวว่าต้องย้ายอีก แล้วก็บอกไม่ย้าย เพราะฉะนั้นเวลาเขาย้ายครั้งที่ 1 มันพิสูจน์ว่าเขาไม่รู้ว่าน้ำจะมาชนตัวเขายังไง แต่การขัดแย้งแล้วใช้พ.ร.บ.ป้องกันฯกับผู้ว่าฯกทม.มันชัดเจนว่าเขาต้องการใช้อำนาจในการระบายน้ำเข้ากรุงให้เร่งไหล ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดถูก เราก็เห็นแล้วตามที่เขาต้องการ ซึ่งผู้ว่าฯก็พูดไม่ออก เปิดประตูก็เปิด ปิดก็ปิด ผมตอนหลังเราคงได้ความจริงถ้าหากอาจารย์สุขุมพันธ์เขียนบันทึก เขียนหนังสือเล่าเรื่องนี้ หรือเวลาเปิดประชุมสภาฯเดี๋ยวคงเห็นว่าจะลุยกันยังไง เขาบอกว่ามันอึกอัดอยู่

Q : ที่มีคนเชียร์ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ เพราะข้อมูลมีความชัดเจนมากกว่าหรือไม่?

A : คือ...บังเอิญผมอาจจะลำเอียงเพราะรู้จักอ.สุขุมพันธุ์ คืออ.สุขุมพันธุ์ในฐานะผู้ว่าฯกทม. เขาพูดตั้งแต่วันแรกแล้วว่าให้ฟังเขาคนเดียว แล้วเขาจะแถลง แล้วเขาจะไม่ให้กรุงเทพฯน้ำท่วม ถ้าเกิดปัญหาเขาจะบอก เขาเป็นเจ้าเมืองกรุงเทพฯ เขาไม่ใช่เจ้าเมืองจังหวัดอื่น เพราะฉะนั้นเขามีหน้าที่ปกป้องกรุงเทพฯอย่างเดียว แล้วปกป้องอย่างเต็มที่ มันก็เหมือนกับการปกป้องกรุงเทพฯให้พ้นจากน้ำท่วมเมื่อปี 2538 หรือปี 2526 มันเหมือนกัน ทีนี้เวลาเขาทำ เขาก็ต้องคิดว่าระบายน้ำออกซ้าย-ขวาเท่านั้นเอง มันก็เป็นความน่าเชื่อถือ เพราะว่าเราอยู่ในกรุงเทพฯ เราก็ฟังเขา แต่พอมีกรมชลประทานมาเกี่ยวข้อง รัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาก็ถูกสั่งในทางที่มันขัดใจเขา เมื่อให้กฎหมายเขาก็ต้องยอม ผมคิดว่าขณะนี้คนก็ยังเชื่อกทม.อยู่ แต่จะเห็นใจกทม.หรือไม่ไม่รู้เพราะว่าน้ำมันท่วมหมดแล้ว เหลือไม่กี่เขต

Q : มีคนโจมตีสื่อมวลชนว่านำเสนอข่าวแต่ในมุมวิกฤต จนทำให้คนเข้าใจว่าสถานการณ์มันเลวร้าย จนมองว่าน้ำท่วมครั้งนี้รุนแรงเกินไป

A : ที่จริงมันแรงนะ มันโกหกกันไม่ได้ มันมีประวัติศาสตร์ เราเคยทำข่าวน้ำท่วมปี 2526 ปี 2538 เราก็เห็นอยู่แล้วว่าน้ำท่วมกรุงเทพฯมันโอบล้อมมาข้างนอก มันถึงเข่าแถวๆหัวหมาก คลองประเวศ พัฒนาการ มันไม่ได้มากเท่าครั้งนี้ แล้วครั้งถ้าดูปริมาณน้ำตามที่พวกนักวิทยาศาสตร์เขาบอกกันกี่ล้านกี่ล้านลูกบาศก์เมตร มันก็ย่อมมากกว่าครั้งที่แล้วอยู่แล้ว อันนี้เป็นข้อเท็จจริงทางการตรวจวัด มันไม่ใช่ว่าความรู้สึกที่สื่อมวลชนพูดกันเอาเอง แล้วข้อเท็จจริงเหล่านี้มันก็ยังยืนยันอยู่ มันไม่มีฝนตกมาหลายวันแล้ว แล้วน้ำมันก็ค่อยๆไหลมาไม่ได้หายไปไหน นายกฯเองก็มาบอกเมื่อ 3 วันที่แล้วว่าอีก 2 วันคงจบ เพราะว่าไม่มีน้ำทะเลหนุนแล้ว นี่เข้าวันที่ 3 แล้ว อ.เสรีบอกว่า 45 วันถึง 2 เดือน คุณก็ดูสิ นายกฯก็ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว

Q : ปรากฎการณ์ “แพะรับบาป” จะเกิดขึ้นกับ “กรมชลประทาน”หรือไม่?

A : ผมว่ากรมชลประทานกับกทม.เขามืออาชีพทั้งคู่นะ เขารับผิดชอบคนละพื้นที่เท่านั้นเอง กทม.ก็รับผิดชอบในเขตของตัวเอง กรมชลฯก็รอบนอก เพราะฉะนั้นถ้าเขาประสานงานกันตามปกติเหมือนสมัยก่อน โดยรัฐบาลไม่เข้าแทรกแซง มันก็ถกเถียงกันว่าจะเปิดจะปิดแค่ไหนเท่าไหร่แค่นั้นเอง ไม่ควรจะเป็นแพะทั้งคู่ เมื่อกรมชลฯอยู่ภายใต้การเมืองปุ๊บ แล้วรัฐบาลสั่งกทม.ไม่ได้ในช่วงต้นก็สั่งกรมชลฯ กรมชลฯเป็นข้าราชการก็...ครับผม ให้ทำอะไรก็ทำ รัฐมนตรีเกษตรฯก็อธิบดีกรมชลฯเก่า อธิบดีกรมชลฯรุ่นคลาสสิคก็คุณปราโมทย์ ไม้กลัด ก็ถูกเชิญเข้ามาอีก อธิบดีกรมชลฯจะไปพูดอะไร เพราะฉะนั้นกรมชลฯก็เป็นเครื่องมือทางการเมือง ไม่ต้องพูดกันเรื่องการประสานงานกทม. แล้วกทม.ดันเป็นของประชาธิปัตย์เข้าไปอีก ฉะนั้นมันก็เลยมีการเมืองแทรกเข้ามาอีก ผมว่าไม่ควรโทษทั้งกรมชลฯและกทม. ต้องโทษรัฐบาลที่ตัดสินใจแบบใด ปกติเราพร้อมให้อภัยเสมอ ผมว่าก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ ผมไม่มีบทบาทที่จะไปว่าใคร คุณยิ่งลักษณ์เราก็พยายามพูดสนับสนุน โพสต์ข้อความให้กำลังใจ ยกเว้นจะหงุดหงิดเวลาคุณทักษิณเข้ามาแทรก เพราะว่าเขามีหน้าที่ตัดสินใจจากข้อมูลที่ถูกต้อง ตอนนี้เมื่อข้อมูลเขาไม่ถูกต้อง เป็นคำแนะนำจากนักการเมืองด้วยกัน มันก็พลาด แล้วเวลาเขาแถลงก็แถลง...คืออายุการเมืองมันสั้นมาก ประสบการณ์น้อย แถลงบอกอีก 2 วันเสร็จ มันก็เหมือนฟันธง พอล้มเหลวก็ขอโทษตั้งแต่นิคมอุตสาหกรรมโน่นเลย ไฮเทค...อยุธยา คุณยิ่งลักษณ์ออกมาขอโทษหลายครั้ง เพราะว่าตัดสินใจแล้วประกาศการตัดสินใจทันที น่าจะฝึกการพูดแบบกำกวมบ้าง ซึ่งยังไม่เป็น ต้องใช้เวลามากในการแถลงแบบกำกวม

Q : ศปภ.กับกทม.เป็นเรื่องทางการเมืองที่ชัดเจนแล้ว

A : เป็น"การเมือง" แน่นอนอยู่แล้ว 2 ค่าย(เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์)พูดกันไม่รู้เรื่อง ผมเห็นตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ยังไม่ใช้พ.ร.บ.ป้องกันฯว่าทำไมต้องออกหนังสือ ก็ดูจากเว็บของกทม.ว่าส่งหนังสือถึงศปภ.แล้ว ไอ้การทำลายลักษณ์มันทำก่อนหน้าจะถูกยึดอำนาจด้วยกฎหมายพ.ร.บ.ป้องกันฯ แล้ว ยิ่งตอนหลังอ.สุขุมพันธุ์มาแถลงว่าต้องทำหนังสือสั่งมาเป็นลายลักษณ์อักษรกรณีคลองสามวา คือในยามวิกฤตเขายกโทรศัพท์คุยกันนะ ถ้ามันพวกเดียวกัน “เฮ้ย...ไม่ต้องห่วงกฎหมาย เดี๋ยวกูดูแลให้” แต่ทีนี้มันคนละพรรค ว่าถ้าไม่ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรผมไม่ทำให้ เพราะว่าคุณเล่นกฎหมายพ.ร.บ.ป้องกันฯ มันก็การเมืองชัดๆ แล้วเราก็จะเห็นในสภาฯ ซึ่งผมไม่อยากให้เปิดสภาฯเร็ว อยากให้ทุกอย่างมันเคลียร์แล้วค่อยทะเลาะกัน เปิดสภาฯปชป.เขาลุยเต็มสูบ

Q : ปรากฎการณ์น้ำท่วมสามารถสร้างแรงสะเทือนถึงขนาดล้มรัฐบาลได้หรือไม่?

A : มันไม่เคยมีหรอก คือถ้าเป็นสมัยก่อนน้ำท่วมมันเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติปกติ ไม่มีใครไปกำกับควบคุมมันมากนัก มันก็ไหลลงคลอง แช่น้ำกันพักนึงมันก็หาย ตอนนี้น้ำท่วมมันถูกกำหนดให้ท่วมโดยการตัดสินใจของผู้บริหารเมืองหรือรัฐบาล มันเป็นน้ำท่วมที่มีการจัดการ ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าเป็นไปตามธรรมชาติจะไม่มีการทะเลาะกัน ชาวบ้านก็จะยอมรับไม่ไปพังคันกั้นน้ำ แต่เมื่อมันมีการจัดการ กทม.ก็ต้องจัดการไม่ให้บ้านตัวเองท่วม เพราะชาวบ้านซ้ายขวา นครปฐม ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการเขาก็ต้องท่วม พอเป็นอย่างนี้ปุ๊บมันไม่ใช่น้ำธรรมชาติ อันนี้คือการเมืองแล้ว ทำให้ที่หนึ่งแห้ง ที่หนึ่งท่วม แล้วพอรัฐบาลมาคิดว่าไม่ควรเป็นการตัดสินใจแบบกทม. ต้องตัดสินใจแบบรัฐบาล คือเกลี่ยน้ำไหลมาให้ทั่ว เพื่อหวังให้น้ำที่อื่นจะเบาบางลงเพื่อให้ประชาชนเฉลี่ยกันไป สบายใจกันบ้าง ทุกข์กันบ้างเท่าๆกัน ตอนนี้รัฐบาลกำลังถูกพิสูจน์แล้วว่าการตัดสินจะทำให้ลาดกระบังกับบางชัน นิคมฯอีก 2 แห่งที่เหลืออยู่จะท่วมหรือไม่ท่วม ถ้าท่วมความผิดอยู่ที่รัฐบาลเนื้อๆเลย ผมภาวนาไม่ให้ท่วม เพราะว่ามันจะกลายเป็นเครื่องมือที่ให้เกิดการทะเลาะกันในการอภิปรายในสภา
รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ผมคิดว่า โอกาสนี้เป็นวิกฤตก็จริงอยู่ แล้วพังอย่างไรก็ยอมรับกันไป แล้วถึงตอนที่ฟื้นฟูประเทศก็จะทำให้ได้คะแนนหรือชื่อเสียงกลับคืนมา อันนี้ก็ยกประโยชน์ให้ธรรมชาติไป แต่ก็ลำบากเพราะการจัดการมันล้มเหลวตั้งแต่ต้น ฉะนั้นรัฐบาลไม่ต้องรีบพูดเรื่อง “นิวไทยแลนด์” ไม่มีใครเข้าใจหรอก ควรจะลุยให้เต็มที่โดยการแจก เยียวยา การประกาศเข้าถึง เหมือนที่คุณยิ่งลักษณ์ไปอย่างวันนี้(หมายถึงที่ดอนเมือง) ไปทุกวัน ไปให้มันโชกเหงื่อไปเลย ไม่ต้องแต่งหน้า ผมเห็นแกแต่งหน้าทุกวันแล้วรู้สึก...แต่งทำไม เป็นผมผมจะแกล้งทำให้หน้ายู่ยี่ทุกวัน อันนี้มันก็เป็น Political Communication อย่างหนึ่ง แสดงว่าแกมีเวลา ตกแต่งขอบตาสวยทุกวัน มันไม่มันเลย คือคนใกล้ชิดไม่รู้จักการ Presentation มันต้องลุย ต้องให้เปียก พูดง่ายๆคือถ้าลงลุยน้ำก็ไม่ต้องใช้กางเกงยาง เอาให้มันเปียกถึงกางเกงในเลย คืออย่างนี้สื่อเขาพร้อมที่จะช่วยถ่ายอยู่แล้ว คือมันสื่อไม่เป็น คือผู้นำมันไม่จำเป็นต้องไปเป็นไปตายกับประชาชน ไปตกค้างอยู่ที่ไหน แต่ว่ามันต้องแสดงออกถึงน้ำใจ

Q : บทบาทการทำงานคุณยิ่งลักษณ์ที่ผ่านมามองแล้วเป็นอย่างไร?

A : โดยส่วนตัว "แบ็คกราวน์" พื้นฐานคุณยิ่งลักษณ์มันไม่มี ไม่พร้อม และไม่พอที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ อันนี้เป็นหลักปกตินะที่คุณต้องผ่านการเป็นส.ส. ผ่านการเป็นเลขาฯรัฐมนตรี ผ่านประสบการณ์มาเยอะ หลายคนผ่านมาตั้งแต่อบจ. เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีการเตรียมตัวมันต้องใช้เวลาหน่อย ไม่ได้หมายความว่าเป็นนายกฯที่ดีไม่ได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลา การพูดการจาก็ยังใช้ไม่ได้ ยิ่งภาษาไทยไม่ควบไม่กล้ำอันนี้เรียนเท่าไหร่ก็ไม่ไหว(หัวเราะ) คือต้องค่อยๆไป เป็นนายกฯที่ดีได้ ผมเคยเขียนในเฟชบุ๊คว่าปชป.อย่าไปดูถูกเขานะ ถ้าให้เวลาเขาหาประสบการณ์ เขาอาจเป็นนายกฯที่ตัดสินใจอะไรดีๆหลายอย่างได้ ยังมีโอกาส คือช่วงนี้ตัดสินใจเยียวยาฟื้นฟู เข้าถึงประชาชนสั่งการให้เต็มที่ ไม่ใช่สั่งการในสัปดาห์แรกที่ตั้งศปภ.บอกให้ตำรวจไป 6-7 จังหวัด แล้วให้ทหารไปอีก 5- 6 จังหวัด ผมดูแล้วมันสั่งการกันแบบไหน แยกตำรวจกับทหาร เห็นตั้งแต่ต้นแล้วว่าทะแม่งๆ เพราะฉะนั้นผมว่าถ้าเขาควงอภิสิทธิ์(เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ) ผบ.ทบ.ไปที่ไหนไปด้วยกัน ประชาธิปัตย์ไม่อยากเดินด้วยเลย

Q : คุณยิ่งลักษณ์ถือว่าโชคร้ายหรือไม่ที่ต้องมาเจอกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น?

A : ผมคิดว่าโชคดีนะ อย่าไปคิดว่าโชคร้ายสิ โชคดีเพราะมีโอกาสพิสูจน์ตัวเอง ตัดสินใจอะไรให้เด็ดขาด เด็ดเดี่ยว พูดไม่เก่งไม่ได้มีปัญหา เพราะฉะนั้นต้องเป็นตัวของตัวเองให้มาก และฟังคนเก่งๆให้เต็มที่ เหมือนบริหารเอสซี แอสเซท แต่ว่าอันนี้มันใหญ่กว่า มันต้องมีคณะทำงาน นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการที่เกี่ยวข้อง ตัดสินด้วยข้อมูล และฉะฉาน ที่ผมติมากๆ 2-3 วันที่ผ่านมาว่าอย่าให้พี่ชายมาแย่งซีน คุณทักษิณนิสัยไม่ดี ชอบแทรกแซง แย่งซีน ควรจะโทรให้คำปรึกษาน้องเงียบๆ แล้วไม่ต้องโผล่มาบอกผมพูดเอง ให้คำปรึกษาหลายครั้ง นิสัยแบบนี้มันทำให้น้องไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสักทีนึง พอน้องตัดสินใจอะไรก็บอกว่าผมบอกน้องมาหลายครั้งแล้ว แถมยังทวิตมาอีก ผมเลยทวิตกลับไปว่าคุณทักษิณคุณอย่ายุ่งได้มั๊ย ผมก็เลยโดนเสื้อแดงด่าอีก
“ผมต้องการให้คุณทักษิณอยู่แบบเบื้องหลัง จะไปห้ามไม่ให้เขาคิด พูดอะไรกับน้องคงไม่ได้ แต่ต้องให้โอกาสน้อง อย่าให้น้องต้องเสียหน้าทุกวันว่าที่แท้พี่เขากระตุกอยู่ข้างหลัง เมื่อไม่ช่วยน้องอันนี้ก็ทำลายน้องแล้ว ไม่รู้จะแก้ยังไงนะผมไม่ใช่ญาติโยมเขา”
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #392 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2554, 09:59:30 »

“พรทิพย์”ขู่นักข่าวจนได้ดี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    1
   
       เพียงแค่มีชื่อ “พรทิพย์ ปักษานนท์” แกนนำกลุ่ม นปช.จ.เพชรบุรี จะมานั่งเป็นคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมาทันที เป็นรายการต่างตอบแทนผลงานอะไรกันหรือไม่?
       
       เพราะถ้ายังจำกันได้ เมื่อตอนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆ ชื่อของ “พรทิพย์” จะปรากฏขึ้นมาอย่างเด่นชัดทันที ในฐานะ “ผู้คุกคามสื่อ” โดยย้อนไปเมื่อ “ยิ่งลักษณ์” ยังอ่อนด้อยต่อการตอบคำถามสื่อ ได้ปะฝีปากกับ “ผู้สื่อข่าวช่อง 7” ผู้เจนสังเวียน ที่โยนถามในประเด็นสำคัญๆหลายข้อ ปรากฏว่า นายกรัฐมนตรีจนมุมถึงกับต้องเดินหนีไม่ตอบคำถามดังกล่าว
       

      จึงเป็นที่มาของ “พรทิพย์” ที่ไม่ทราบการทำหน้าที่ของสื่อ ในการซักถามให้นายกรัฐมนตรีตอบให้ชัดเจน เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประชาชน จึงได้สร้างผลงานด้วย “ฟอร์เวิร์ดเมล์” ให้เครือข่ายคนเสื้อแดง เพื่อไล่ล่าผู้สื่อข่าวคนดังกล่าว จนเป็นข่าวครึกโครมในขณะนั้น
       
       นี่เป็นบทบาทหนึ่งที่ “พรทิพย์” ได้แสดงออกมาต่อสังคม ซึ่งไม่เหมาะสม และไม่สมควรอย่างยิ่ง จึงเป็นคำถามถึงความเหมาะสมในตำแหน่งที่เธอจะได้รับนี้ ซึ่งไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนเสื้อแดง แต่เพราะพฤติกรรมที่เธอแสดงออกมาต่อสาธารณะ
       
       แม้ประธานบอร์ด ““พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี” จะการันตีว่าผ่านการสรรหามาอย่างดี พร้อมบอกปัดว่าไม่รู้เป็นคนเสื้อแดง นั่นก็ไม่ได้ส่งผลต่อความรู้สึกของสังคมมากนัก เพราะคนเสื้อแดงบางกลุ่มบางคน ก็ต้องยอมรับว่ามีความรู้ความสามารถ
     
       แต่จากประวัติบางส่วนของ “พรทิพย์” ที่ยังคลุมเครือในเรื่องความรู้ความสามารถ ที่จะทำให้ไม่มั่นใจได้ว่าการมารับตำแหน่งดังกล่าวนี้จะส่งผลดีต่อหน่วยงาน ต่อประเทศชาติอย่างไร เพราะสิ่งที่ชัดเจนที่สุดของ “พรทิพย์” คือมีเลือดเสื้อแดงเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ อย่างไม่ต้องสงสัยเท่านั้นเอง
       

       ที่ผ่านมาทราบกันดีว่า “พรทิพย์” นั้นเป็น “เจ้าแม่” ในย่านปึกเตียน เพราะเธอเป็นเจ้าของหาดปึกเตียน เป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ นอกจากหาดปึกเตียน ก็ยังมีรีสอร์ท คอนโดมีเนียม อพาร์ทเม้นในแถบนั้น ก็เป็นของเธอหลายแห่งเลยที่เดียว
       
       หากจะมีการจัดงานในแถบนั้น “พรทิพย์” รับเป็นเจ้าภาพให้ทั้งหมด และการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา “พรทิพย์” เตรียมตัวลงสมัครเลือกตั้งใน เขต 2 ท่ายาง - ชะอำ แต่ผลโพลล์ ออกมาไม่ค่อยดีนัก จึงต้องถอนตัวการเลือกตั้ง แต่กระนั้นก็ยังร่วมกิจกรรมกับพรรคเรื่อยมา
       
       ชื่อของเธอค่อยๆ ซาลงไป จนกระทั่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้มีการแถลงข่าวจากประธานบอร์ด มีการคัดสรรบุคคล 3 คน เพื่อมารับตำแหน่งบอร์ด ทอท.ที่มีลาออกไป ซึ่งมีชื่อ “พรทิพย์” ปรากฏอีกครั้ง ท่ามกลางความสงสัย ต่อการตัดสินใจเพื่อคัดสรรเธอมาดำรงตำแหน่งนี้ นอกจากนั้นยังมีชื่อของ นางจันทิมา สิริแสงทักษิณ และนายธานินทร์ อังสุวรังษี
       
       อย่างไรก็ตาม บอร์ดดังกล่าวคงได้รับการยอมรับมากกว่านี้ หากว่า เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ และเชี่ยวชาญในด้านดังกล่าว ไม่ใช่คัดสรรมาจากผลงานที่เข้าตากรรมการในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม เพราะสำหรับ “พรทิพย์” ความโดดเด่นที่ผ่านสู่สายตาสังคมเห็นจะมีเพียงกรณีไล่ล่านักข่าวเท่านั้น
       
       คุณสมบัติแบบนี้ คงเป็นได้เพียงแกนนำเสื้อแดงบนเวทีเท่านั้น ซึ่งหากรัฐบาลใคร่ครวญและนึกถึงประโยชน์ของชาติจริงๆ เราคงจะไม่เห็นการต่างตอบแทนกันด้วยรางวัลอย่างงามแบบนี้

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #393 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2554, 10:13:40 »


นำ้ท่วมแค่เข่าจริงๆ ไม่ได้โม้



ถูกนายใช้ให้มาเฝ้าดูนำ้ค่ะ

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #394 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2554, 10:54:46 »

ค่าซ่อมบ้าน หลังน้ำลด

   

เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์สวิเคราะห์ความเสียหายและอัตราค่าซ่อมบ้านหลังน้ำลด

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ราคาค่าก่อสร้างอาคารธรรมดา เช่น บ้านเดี่ยวตึก 2 ชั้น ราคาตารางเมตรละ 11,400 บาท ทาวน์เฮาส์ 2 ชั้นหน้ากว้าง 4 เมตร เป็นเงินตารางเมตรละ 8,600 บาท ขณะที่อาคารพาณิชย์ 4 ชั้นราคา 7,200 บาทต่อตารางเมตร ส่วนห้องชุดราคาถูกหรืออพาร์ตเมนท์สูงไม่เกิน 5 ชั้น ราคาค่าก่อสร้างตารางเมตรละ 12,500 บาท  ส่วนราคาค่าก่อสร้างที่แพงที่สุดคงเป็นอาคารที่จอดรถส่วนใต้ดิน 3-4 ชั้น จะตกเป็นเงินถึง 26,900 บาทต่อตารางเมตร  ส่วนอาคารสำนักงานธุรกิจ 21-35 ชั้น ราคาตารางเมตรละ 24,300 บาท ทั้งนี้ราคาข้างต้นเป็นราคาปานกลาง ในกรณีอาคารที่มีรายละเอียดพิเศษ ย่อมมีราคาที่สูงหรือต่ำกว่านี้

ในช่วงปี 2553-2554 ราคาค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ประมาณ 3-5% เท่านั้น  ที่เพิ่มขึ้นมากเป็นพิเศษ คงเป็นอาคารที่จอดรถเป็นสำคัญ เพราะมีราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 7.0-7.4% รวมทั้งสนามเทนนิสที่ราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 7%

หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงราคาในช่วง 5 ปี (พ.ศ.2549-2554) พบว่า ค่าก่อสร้างเพิ่มสูงสุดในกรณีของอาคารไม้ ซึ่งปัจจุบันคงมีการก่อสร้างน้อยมาก โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 35% หรือตกเป็นประมาณ 6% ต่อปี ทั้งนี้เนื่องจากไม้เป็นทรัพยากรที่หายากขึ้นในระยะหลังนี้  ส่วนที่เพิ่มขึ้นต่ำมากเป็นพิเศษได้แก่ ทาวน์เฮาส์ 2-3 ชั้นหน้ากว้าง 4 เมตร หรือ 5-6 เมตรมีเสากลาง รวมทั้งอาคารพักอาศัยไม่เกิน 5 ชั้น และอาคารชุดพักอาศัย 16-25 ชั้น ที่เพิ่มขึ้นเพียงปีละ 2.2% เท่านั้น

หากเทียบในระยะ 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า อาคารที่เพิ่มค่าก่อสร้างน้อยที่สุดก็คือ ทาวน์เฮาส์ 2-3 ชั้น หน้ากว้าง 4 เมตร และ อาคารพาณิชย์ชั้นเดียว โดยเพิ่มขึ้นเพียง 48% ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา  ส่วนที่เพิ่ม่ขึ้นมากที่สุดได้แก่อาคารที่มีไม้มากเป็นพิเศษ เช่น บ้านเดี่ยวหรือบ้านแถวไม้ รวมทั้งบ้านไม้ใต้ถุนสูง  แต่เป็นสินค้าที่มีการก่อสร้างน้อยมากในปัจจุบัน และหากเทียบระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2539-2554) ก็จะพบว่า แทบทุกกลุ่มมีราคาค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดก็คงเป็น  อาคารไม้ 133% ส่วนอาคารทาวน์เฮาส์ชั้นเดียวเพิ่มขึ้นต่ำสุดคือ 83%

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา ราคาที่อยู่อาศัยที่ขายในตลาดมีราคาเพิ่มขึ้นเกินกว่า 1 เท่าตัว ดังนั้นแสดงให้เห็นว่ามูลค่ายังเพิ่มมากกว่าต้นทุนค่าก่อสร้าง  โดยนัยนี้แสดงว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพที่ดี ยังมีความต้องการอสังหาริมทรัพย์อยู่ในท้องตลาด

ปกติในกรณีบ้านเดี่ยวตึก ราคาค่าก่อสร้างจะเป็นประมาณ หนึ่งในสามของมูลค่าบ้าน อีกสองในสามเป็นค่าที่ดิน ค่าดำเนินการ ภาษี ดอกเบี้ย กำไร เป็นต้น  เช่น บ้านเดี่ยวหลังละ 3 ล้านบาท ค่าก่อสร้างอาคารจะเป็นเงินประมาณ 1 ล้านบาท เป็นต้น  ในกรณีที่บ้านถูกน้ำท่วม อาคารที่ประกอบด้วยงานโครงสร้างคงไม่ได้รับผลกระทบ แต่ที่ได้รับผลกระทบคงเป็นงานสถาปัตยกรรม-ตกแต่ง และงานระบบประกอบอาคาร โดยเฉพาะระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะที่ตั้งอยู่ในชั้นล่างของอาคาร

อนึ่ง ราคาค่าก่อสร้างนี้เป็นราคาที่คำนวณใช้ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ณ ห้วงกลางปีของทุกปีเป็นสำคัญ ในกรณีพื้นที่อื่นที่มีค่าแรง ค่าวัสดุ ค่าขนส่ง ฯลฯ แตกต่างไปจากนี้ ก็สามารถปรับราคาให้เหมาะสมกับความเป็นจริงได้

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #395 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2554, 12:21:46 »


อย่าลืมข้ อความแบบนี้เวลา ไปบริจาคช่วยน้ำ ท่วม

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #396 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2554, 23:43:25 »

คำต่อคำครม.จัดให้"หนูไม่รู้ อภัยโทษแม้ว"

   

เปิดอินไซด์ครม."ปู"ประชุมลับผ่านร่าง พรฎ.อภัยโทษ กำหนดหลักเกณฑ์ทำให้ "ทักษิณ"เข้าข่ายได้รับอภัยโทษ

โดย ทีมข่าวการเมือง  posttoday.com           

ไม่ว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี จะออกมาตามล่าหาไอ้โม่งรมต.คนใดที่บังอาจปูดข่าวครม.มีมติออกพรฎ. อภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนักโทษหนีคดี  หรือจะเบี่ยงเบนตอบคำถามสื่อ ไม่ขอชี้แจงรายละเอียดร่างพรฎ.ปลดปล่อยนักโทษการเมือง เพราะเป็นความลับ เป็นเรื่องพระราชอำนาจ

“แต่กำแพงมีหูประตูมีช่อง”  “ความลับไม่มีในโลก”  และโดยเฉพาะเรื่องสำคัญที่กำลังเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองในไม่ช้า  ย่อมเป็นเรื่องที่สาธารณชนต้องการหาความจริง สร้างความกระจ่าง เพื่อจะได้มาร่วมกันพิจารณาถึงความถูกต้องเหมาะสม

กับสิ่งที่กำลังกระทำเพื่อใครบางคนหรือไม่

กับสิ่งที่กำลังกระทำท่ามกลางคำถามท้าทายหลักกฎหมายกบิลเมือง

กับสิ่งที่กำลังกระทำในบรรยากาศที่บ้านเมือง พี่น้องประชาชนกำลังประสบอุทกภัย

กับสิ่งที่ทุกฝ่ายกำลังใช้บทเรียนความผิดพลาดบริหารจัดการน้ำ ร่วมมือกันช่วยหาทางฟื้นฟูประเทศไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น

กับสิ่งที่กำลังกระทำด้วยการอ้างมาตลอดว่าจะเข้ามาทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิใช่ทำเพื่อคนใดคนหนึ่ง

ที่สำคัญกับสิ่งที่ คณะรัฐมนตรี ซึ่งมีต้นรากมาจากนักการเมือง สังกัดพรรคเพื่อไทย กำลังกระทำขณะนี้ ด้วยการใช้โอกาสวันมหามงคล 5 ธ.ค.ที่กำลังจะมาถึง  มันถูกต้องเหมาะสม ถูกกาลเทศะหรือไม่ เพื่อให้เห็นข้อเท็จจริงเบื้องต้น กับสิ่งที่รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร กระทำ 

จึงขอย้อนเบื้องหน้าเบื้องหลังกับคำพูด วลีเด็ดของรัฐมนตรีที่ขันอาสาผลักดันร่างพรฎ.นิรโทษกรรม  ในที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ให้ประชาชนร่วมกันตรวจสอบ

เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นในการประชุมครม.เมื่อวันที่ 15 พ.ย. เวลา  11.45 น. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน แทน น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี ก่อนเลิกการประชุม ครม.ได้มีการประชุมลับกันต่อโดยใช้เวลานานกว่า 30 นาที    โดยได้เชิญทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และข้าราชการระดับสูงที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องประชุม                 

ที่ประชุมมีการหารือเรื่องสำคัญ  2 เรื่อง  หนึ่งในนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเตรียมหาแนวทางการขอพระราชทานอภัยโทษ ให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  ซึ่งจะต้องดำเนินการไปตามขั้นตอนและผ่านการพิจารณาของสภาองคมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

อย่างไรก็ตามครม.บางส่วนได้แสดงความคิดเห็นว่า  "หากไปดำเนินการขออภัยโทษเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช ให้พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียวจะเด่นชัดเกินไปจะถูกสังคมต่อต้านได้ต้องมีคนอื่นพ่วงไปด้วย   ดังนั้นหากจะมีการดำเนินการก็น่าจะเป็นลักษณะของการนิรโทษกรรมอดีตนักการ เมือง ที่ติดล็อคโทษเว้นวรรคทางการเมืองซึ่งมีพ.ต.ท.ทักษิณ รวมอยู่ด้วย"               

การพูดคุยมีการอภิปรายว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องลับมาก และละเอียดอ่อน  จึงขอกำชับห้ามไม่ให้ครม.แพร่งพราย หรือนำไปพูดต่อขยายความกับส.ส.หรือสื่อมวลชน แม้คนที่มาถามจะพอรู้เรื่องอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ไม่ให้ไปตอบขยายความอะไรอีก             

จับใจความตอนหนึ่งจากปาก ร.ต.อ.เฉลิม  กล่าวกับครม.ว่า  "สถานการณ์ตอนนี้แม้รัฐบาลจะเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วม แต่การทำงานของรัฐบาลเราก็ไม่ได้ถือว่าเพลี่ยงพล้ำแล้ว  ขนาดว่าต้องเจอกับวิกฤตน้ำท่วมแต่ก็ถือว่ารอดมาได้   ทีมพวกเราที่ทำงานกันมาก็ทำงานกันอย่างเต็มที่แล้ว  ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ก็เหนื่อยมาก  และทำงานได้ดีมาก  แต่แม้ว่าพวกเราจะมีความตั้งใจที่ดี แต่ก็อาจจะยังขาดทักษะ การที่เราจะทำงานได้ดีขึ้น ก็จำเป็นต้องมีคนที่มีประสบการณ์  มีความรู้ความสามารถ มาช่วยกันทำงาน  ซึ่งพวกเราก็ต้องประเมินผลงานตัวเองด้วย จะเห็นได้จากกรณีเหตุการณ์สึนามิที่มีการบริหารจัดการแก้ปัญหาที่ดี ฎ    

ร.ต.อ.เฉลิม ผู้ได้มีโอกาสนั่งหัวโต๊ะครม. คงพูดต่อไปว่า "รัฐบาลเราก็อยากจะมีคนเข้ามาช่วยทำงานเพิ่มขึ้น   แล้วต่อไปถ้ามีคนที่ติดล็อคอยู่ออกมาช่วยเรา สถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น   คนเก่ง ๆ ดี ๆ ที่ติดล็อคอยู่น่าจะทำให้สถานการณ์ที่เรารอดอยู่แล้วยิ่งดีขึ้นต่อไป  ดังนั้นขอให้รัฐมนตรีที่คิดว่าตัวเองอยู่ในข่ายที่จะเป็นเจ้าภาพดำเนินการ เรื่องนี้ประสานงานมาที่ผม เพื่อที่จะได้ดำเนินการต่อไป"           

สำหรับเนื้อหาที่คณะรัฐมนตรีไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธารณะนั้น มีการกำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยระบุหลักเกณฑ์ของนักโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว คือ เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี

รวมทั้งมีการตัดคำแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2553 ฉบับที่เขียนสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเนื้อหาระบุว่า ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด และไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นออก ทั้งยังไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับการเข้ารับโทษ

ซึ่งเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าข่ายได้รับการขอพระราชทานอภัยโทษ โดยที่ไม่ต้องเข้ารับการคุมขังแม้แต่วันเดียว ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งตรงกับที่ ร.ต.อ.เฉลิม เคยทำเอกสารแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชนก่อนหน้านี้       

เหตุใดถึงมีการนำเข้าที่ประชุมครม.ในวันที่ นายกฯยิ่งลักษณ์ไม่อยู่  ก็ดูจะเป็นเหมือนแผนที่เตรียมการมาไว้นานแล้ว   เพราะวันที่ร.ต.อ.เฉลิม ผู้เคยประกาศบนเวทีหาเสียงผมจะเป็นคนเอาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน ได้มานั่งเป็นประธานครม.

ในช่วงเวลาดังกล่าว  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนที่ จ.สิงห์บุรี พร้อมมอบแผนฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบหลังน้ำลด และไม่สามารถเดินทางกลับ กทม.ได้ตามกำหนดการ ทำให้ต้องพักค้างคืนที่ จ.สิงห์บุรี เมื่อวันที่ 14 พ.ย. โดยอ้างว่า เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ เอ็มไอ 17 ของประเทศรัสเซีย ที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง ไม่สามารถบินตอนกลางคืนได้ เพราะไม่มีเรดาห์นำทางนั้น

กรณีดังกล่าว แหล่งข่าวในกองทัพ ยืนยันว่า เฮลิคอปเตอร์รุ่นดังกล่าวมีสมรรถภาพเพียงพอ และมีเรดาห์สามารถบินช่วงกลางคืนได้ แต่หากเรดาห์ไม่สามารถใช้การได้จริง นายกฯสามารถประสานขอเครื่องลำอื่นไปทดแทนได้ ซึ่งกองทัพพร้อมที่จะจัดให้อยู่แล้ว แต่กลับไม่มีการร้องขอมา จึงคิดว่า นายกฯน่าจะมีเจตนาที่จะไม่กลับ กทม. เพราะดูจากกำหนดการที่คณะของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ขึ้นเครื่องเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ช้ากว่ากำหนดเดิมถึงเกือบ 1 ชั่วโมง เหมือนเป็นการถ่วงเวลาให้เข้าสู่ช่วงกลางคืน แล้วอ้างเรดาห์ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้     

ม้นายกฯยิ่งลักษณ์ ไม่อยู่ร่วมประชุม ครม.   แม้นายกฯยิ่งลักษณ์คงจะออกมาตอบข้อข้องใจสื่อมวลชนเหมือนทุกครั้งตามสูตรสำเร็จที่เจอวาระร้อนๆทางการเมือง ว่า "หนูไม่รู้"  "หนูไม่อยู่" ก็ตาม

แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ นายกฯยิ่งลักษณ์คือ หัวหน้ารัฐบาล  คือผู้ต้องลงนามบันทึกเรื่องสำคัญก่อนบรรจุเข้าวาระ ครม.

อีกประการสำคัญ พรฎ.อภัยโทษทักษิณ จัดเป็นวาระจร ด้วยแล้ว  ถือว่าเป็นวาระครม.ที่มีกรอบกติกากำหนดหลายรัฐบาลให้ระมัดระวัง ไม่ควรยัดเรื่องสำคัญเป็นวาระจรเข้าที่ประชุม เพราะจะทำให้รมต.ไม่มีโอกาสกลั่นกรองได้อย่างรอบคอบ

เรื่องพรรค์นี้  "ยิ่งลักษณ์" ไม่รู้อีกใช่ไหม

 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #397 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 09:37:56 »

นิทานเรื่อง “รัฐบาลจงใจปล่อยน้ำให้ท่วมเมืองหลวง”
: วิเคราะห์จากมุมมองของทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory.)


โดย..อาจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม
คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลั

วันนี้ผมจะขอมาเล่านิทานตามแบบฉบับของทฤษฎีสมคบคิดให้ฟังครับ เป็นเรื่องของประเทศๆ หนึ่งซึ่งไม่ใช่ประเทศไทย แต่เป็นประเทศประหลาดในจักรวาลคู่ขนานที่รัฐบาลที่ชั่วร้ายพยายามปล่อยน้ำให้ท่วมเมืองหลวงของตัวเอง

สำหรับท่านที่ไม่คุ้นเคย ทฤษฎีสมคบคิด หรือ Conspiracy Theory คือความพยายามวิเคราะห์สาเหตุเบื้องหลังของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมากมักเป็นเหตุการณ์ที่มีลับลมคมนัย ไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นทางการ นักคิดที่สร้างทฤษฎีจะพยายามเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หลายๆ เหตุการณ์เข้ามาเรียงร้อยหาความสัมพันธ์ และอธิบายเหตุผลที่มาที่ไป บางครั้งทฤษฎึเหล่านี้ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าให้ผู้ฟังได้เก็บไปคิด บางครั้งก็มีความน่าเชื่อถือจนคนนัมแสนนับล้านคนเริ่มคล้อยตามและเชื่อคำอธิบายเหล่านั้นมากกว่าคำอธิบายของทางการเสียอีก ตัวอย่างของทฤษฎีสมคบคิดที่มีคนเชื่อมากๆ เช่น การลงจอดบนดวงจันทร์ของยานอพอลโล 11 แท้จริงแล้วมนุษย์ไม่เคยไปดวงจันทร์ เป็นการจัดฉากเพื่อทำให้สหรัฐอเมริกาชนะการแข่งขันความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์กับสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น หรือเรื่องที่รัฐบาลสหรัฐเองที่เป็นผู้วางแผนเหตุการณ์ 9-11 ขับเครื่องบินชนตึกแฝด World Trade Centre และ Pentagon เพื่อสร้างความชอบธรรมในการรุกรานตะวันออกกลางโดยมีเป้าหมายเพื่อยึดครองแหล่งน้ำมันดิบมูลค่ามหาศาล หรือการปล่อยข่าวเรื่องจานบินตกที่ฐานทัพอากาศ Roswell เพื่อใช้เรื่องมนุษย์ต่างดาวกลบข่าวการทดลองทางวิทยาศาสตร์ของกองทัพสหรัฐ ทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้บางเรื่องก็น่าเชื่อถือ บางเรื่องก็แค่ฟังเล่นสนุกๆ ในลักษณะนิทาน

ดังนั้นผมจะขอเล่านิทานให้คุณผู้อ่านฟังซักเรื่องหนึ่งครับ ผมขอตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า “รัฐบาลจงใจปล่อยน้ำให้ท่วมเมืองหลวง” ครับ เริ่มเรื่องเลยนะครับ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว A long time ago in a galaxy far, far away... นอกจากโลกใบนี้ที่เราอาศัยอยู่แล้วยังมีจักรวาลคู่ขนาน (Parallel Universe) ซึ่งมีลักษณะเกือบจะเหมือนกับโลกของเราทีเดียว ในดาวดวงนี้มีประเทศๆ หนึ่งมีกษัตริย์ที่คนในประเทศนั้นรวมใจกันเรียกว่า “พ่อ” เป็นประมุขของประเทศ แต่ประเทศนี้กลับถูกบริหารโดยรัฐบาลที่ชั่วร้าย รัฐบาลที่ชั่วร้ายนี้พยายามทำทุกวิถีทางที่จะสร้างประเทศนี้ขึ้นมาในระบอบใหม่ ที่จะทำให้หัวหน้าผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังของรัฐบาลชุดนี้มีอำนาจล้นฟ้า และความพยายามล่าสุดของรัฐบาลผู้ชั่วร้ายนี้ก็คือการปล่อยน้ำให้ท่วมเมืองหลวงของประเทศตัวเอง...

ผมมีเหตุผลสนับสนุนว่ารัฐบาลผู้ชั่วร้ายนี้มีแผนปล่อยให้น้ำท่วมเมืองหลวงของตัวเองดังนี้ครับ

1.       ในอดีต ประเทศสมมตินี้เป็นประเทศในเขตร้อนชื้น มีฝนตกต้องตามฤดูกาล ปริมาณน้ำฝนในปีที่ผ่านๆ มาก็ไม่ได้แตกต่างจากในปีที่เกิดเรื่อง จำนวนพายุที่พัดเข้าสู่ประเทศนี้ในปีที่เกิดเรื่องก็ไม่ได้แตกต่างจากในปีที่เกิดเรื่อง แต่การที่น้ำท่วมในลักษณะของมหาอุทกภัย “Tsunamiน้ำจืด” ที่เกิดกับประเทศสมมตินี้ก็เพราะมีคนในคณะของรัฐบาลผู้ชั่วร้ายพยายามกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนใหญ่ของประเทศนี้ โดยไม่ปล่อยน้ำออกมาในเวลาที่ควรปล่อย ที่ทำแบบนี้ในตอนแรกก็เพียงเพราะต้องการให้ที่นาของหัวหน้าใหญ่ของตนซึ่งรวมลงทุนโดยนักลงทุนจากประเทศอื่นๆ รวมทั้งที่นาของเหล่าหัวคะแนนฐานเสียงของตนสามารถเก็บเกี่ยวข้าวในพื้นที่ของตนเอง และนำเอาข้าวเหล่านั้นมาขายให้กับรัฐบาลตามนโยบายที่ตนเองเคยใช้หาเสียงไว้ โดยรัฐบาลชั่วร้ายนี้ตั้งราคารับซื้อข้าวไว้ในราคาที่สูงเกินกว่าความเป็นจริงอย่างมหาศาล

2.       เมื่อฝนตก เมื่อเกิดพายุ เมื่อน้ำมา ประเทศสมมตินี้จึงไม่มีเขื่อนที่จะเก็บน้ำอีกต่อไป ทำให้ต้องปล่อยน้ำออกมาจำนวนมหาศาล ทั้งที่ถ้าก่อนหน้านี้ทยอยปล่อยน้ำเสียแต่เนิ่นๆ ประเทศสมมตินี้ก็จะมีเขื่อนที่มีความสามารถกักเก็บน้ำในช่วงที่พายุพัดเข้ามา แต่รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ทำแบบนั้น ดังที่ได้เล่าไปแล้วในข้อที่ 1 ความจริงการกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนโดยตั้งใจเพื่อที่จะทำให้น้ำท่วมและใช้พลังจักรวาลนั่นคือพลังน้ำทำลายศัตรูทางการเมืองเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ตำราพิชัยสงครามสามก๊กก็มีตัวอย่างในกรณีที่ ขงเบ้งกลวางอุบายขนหินปิดแม่น้ำแป๊ะเฉีย เพื่อปล่อยน้ำทำลายทัพข้าศึกที่เข้ายึดครองเมืองอยู่

3.       เมื่อปล่อยน้ำจำนวนมหาศาลออกมา น้ำก็ท่วมพื้นที่ภาคกลางของประเทศนี้ บางจังหวัดน้ำท่วมสูงถึง 2 – 3 เมตร ภาวะน้ำท่วมมิดหลังคาจึงเกิดขึ้น รัฐบาลผู้ชั่วร้ายที่จ้องทำลายประมุขของประเทศก็กลับใช้เหล่าลิ่วล้อที่เป็นพวกไพร่ของตนไปปล่อยข่าวว่าที่ปีนี้น้ำมากผิดปกติเพราะ ฟ้าสร้างฝนเทียมขึ้นมาหวังจะให้น้ำท่วมบ้านเรือนไร่นาของพวกไพร่ที่เลื่อมใสในระบบของรัฐบาลผู้ชั่วร้าย เห็นมั้ย ชื่อของเขื่อนที่ปล่อยน้ำออกมาก็เป็นตัวบอกแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลัง

4.       ทำไมหัวหน้าใหญ่ผู้ชั่วร้ายถึงต้องการทำลายสถาบัน บางกระแสกล่าวว่า เพราะคนรวยมักจะต้องแข่งกัน เช่นต้องมีรถยนต์รุ่นที่แพงที่สุด ต้องมีกระเป๋ารุ่นที่แพงที่สุด ต้องมีสนามกอล์ฟที่สวยที่สุด เพื่อเอามาอวดกัน เพื่อเอามาประดับบารมี แต่สิ่งหนึ่งซึ่งนายใหญ่ทนไม่ได้ก็คือ คนรวยระดับพันล้าน มันก็มีของพวกนี้เหมือนกันกับเราทั้งๆ ที่เรามีเงินเป็นแสนล้าน เราต้องมีอะไรก็ตามที่คนรวยคนอื่นๆ ในประเทศนี้มีไม่ได้ สิ่งนั้นก็คือ Absolute Power ในประเทศสมมติแห่งนี้

5.       เมื่อน้ำที่ท่วมเริ่มอยู่ตัว เมื่อฝนเริ่มหยุดตกเพราะประเทศสมมติของเราเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว แทนที่รัฐบาลผู้ชั่วร้ายจะสั่งให้เขื่อนหยุดระบายน้ำ รัฐบาลผู้ชั่วร้ายกลับคิดว่าถ้าให้น้ำที่ท่วมอยู่ลดระดับลงในตอนนี้ ประชาชนในประเทศก็จะคิดได้ว่า ที่น้ำท่วมเป็นเพราะรัฐบาลบริหารจัดการน้ำไม่เป็นน่ะสิ ดังนั้นเราต้องให้เขื่อนหลักทั้งสองของประเทศปล่อยน้ำต่อไป เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าน้ำท่วมมันเป็นเพราะปีนี้น้ำมากจริงๆ น้ำมากจนไม่สามารถควบคุมได้ ประชาชนของประเทศสมมตินี้มีพื้นฐานเป็นคนขี้สงสาร จะได้เชื่อตามและคิดว่าน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเป็นภัยธรรมชาติ รัฐบาลทำดีที่สุดแล้ว แต่ไม่อาจต่อสู้กับธรรมชาติได้ แน่นอนประชาชนบางส่วนซึ่งเป็นพวกไพร่ก็ยังเชื่อฝังหัวอยู่ตามที่รัฐบาลผู้ชั่วร้ายวางแผนไว้ในข้อ 3 ดังนั้นต้องให้น้ำท่วมหนัก ต้องให้น้ำท่วมนาน เราจะเห็นได้ว่าแทนที่เขื่อนจะปล่อยน้ำที่ล้นออกทาง Spill Way (เหมือนช่องระบายน้ำที่อยู่ที่ขอบอ่างล้างหน้าด้านบนเพื่อกันน้ำล้นอ่าง) รัฐบาลกลับสั่งให้เขื่อนปล่อยน้ำออกทาง Emergency Gate ซึ่งอยู่ด้านล่างที่เป็นเหมือนสะดืออ่างของอ่างล้านหน้า ทั้งๆ ที่เขื่อนก็ไม่ได้มีแนวโน้มว่าแตกหรือมีรอยร้าว แสดงให้เห็นเจตนาว่าไม่ได้ต้องการระบายน้ำเพราะเขื่อนจะแตก แต่ต้องการระบายน้ำเพราะต้องการให้น้ำท่วมมากยิ่งขึ้น

6.       ทำไมต้องทำให้น้ำท่วมมากขึ้น? เพราะเมื่อน้ำเริ่มเคลื่อนตัวลงมาจะท่วมเมืองหลวงของประเทศ รัฐบาลผู้ชั่วร้ายก็เลือกที่จะผันน้ำให้ไหลออกไปท่วมในทุกพื้นที่ของเมืองหลวง ยกเว้นพื้นที่ทางด้านตะวันออกของเมืองหลวงอันเป็นที่ตั้งของสนามบินแห่งชาติของประเทศสมมติแห่งนี้ในจักรวาลคู่ขนาน ทั้งๆ ที่เดิม พื้นที่ทางตะวันออกของเมืองหลวงเคยเป็นแก้มลิงตามธรรมชาติเป็นทางระบายน้ำตามธรรมชาติที่เรียกกันว่า หนองหมาเห่า หนองขนาดใหญ่แห่งนี้เดิมเป็นแหล่งกักเก็บน้ำที่ไหลมาจากตอนเหนือของประเทศไว้ในช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูงทำให้ไม่สามารถระบายน้ำจากแผ่นดินลงทะเลได้ ประเทศแห่งนี้ก็เคยมีการวางผังเมืองไว้แล้วพื้นที่ในบริเวณนี้ต้องเก็บไว้เป็นทางระบายน้ำที่เรียกว่า Flood Way ตามธรรมชาติ แต่สมัยของหัวหน้าใหญ่ทำหน้าที่หัวหน้ารัฐบาลก่อนที่จะหลบหนีคดีออกไปนอกประเทศเพราะถูกจับได้ว่าโกงชาติ โกภาษี ปิดบังทรัพย์สิน และวางแผนคอรับชั่นเชิงนโยบายเพื่อประโยชน์ของตนเองและบริวาร แน่นอนหัวหน้าใหญ่และพวกพ้องเข้ามากว้านซื้อที่ดินในบริเวณนี้ และพยายามอย่างยิ่งที่จะเข็นให้สนามบินแห่งนี้สามารถสร้างแล้วเสร็จ ทั้งๆ ที่ประมุขของประเทศเคยทักท้วงแล้วว่าไม่สมควรทำลายแก้มลิงและทางระบายน้ำตามธรรมชาติแห่งนี้ เมื่อสนามบินแล้วเสร็จ บริวารของหัวหน้าใหญ่ก็พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงผังเมืองให้พื้นที่รอบๆ สนามบินแห่งนี้กลายเป็นพื้นที่อยู่อาศัย และพื้นที่อุตสาหกรรม หัวหน้าใหญ่เองก็พยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างโครงการให้เมืองรอบๆ สนามบินแห่งนี้กลายเป็นเมืองหลวงใหม่ มีกฎหมายพิเศษ มีสิทธิพิเศษต่างๆ และทำให้ราคาที่ดินรอบๆ สนามบินแห่งนี้มีราคาสูงขึ้น แน่นอนเมื่อหัวหน้าใหญ่หนีคดีออกไปนอกประเทศ อภิมหาโครงการนครสนามบินก็ล้มพับไปชั่วคราว

7.       แน่นอน เมื่อทุกพื้นที่ของเมืองหลวงน้ำท่วมทั้งหมด ยกเว้นพื้นที่รอบๆ สนามบินทางด้านตะวันออกของเมืองหลวง  ราคาที่ดินในบริเวณก็จะเพิ่มสูงขึ้นมหาศาล เจ้าของที่ดินซึ่งก็คือครอบครัวและบริวารของหัวหน้าใหญ่ก็จะร่ำรวยเพิ่มขึ้น รวมทั้งการผลักดันโครงการเมืองหลวงใหม่นครสนามบินที่หัวหน้าใหญ่ผู้หนีคดีวาดฝันไว้ก็จะกลายเป็นจริง

8.       ประโยชน์ทางอ้อมอื่นๆ ที่รัฐบาลผู้ชั่วร้ายจะได้รับจากการทำให้น้ำท่วมเมืองหลวง นอกเหนือจากได้สร้างกระแสล้มสถาบันอันเป็นที่รักของประชาชนในประเทศสมมติ ทรัพย์สินของตนเองเพิ่มมากขึ้นจากราคาที่ดินที่ตนเองซื้อเก็บไว้ที่ป้องกันไม่ให้น้ำท่วม ได้แก่ เนื่องจากคนในประเทศนี้บางพวกมีความทรงจำค่อนข้างสั้น ชอบเงินสด และมักจะโทษสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นเพราะกรรมเก่า โดยไม่ได้ไตร่ตรอง วิเคราะห์ถึงเหตุและผลของสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นคนพวกนี้ไม่ได้สนใจหรอกว่าน้ำท่วมเป็นเพราะรัฐบาลผู้ชั่วร้ายเป็นคนทำให้เกิดขึ้น หากแต่เป็นเพราะฟ้า-ฝน ดังนั้นเมื่อน้ำลดแล้วรัฐบาลเอาเงินมาให้ ทั้งๆ ที่เป็นเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศ แต่รัฐบาลผู้ชั่วร้ายก็มีวิธีการที่จะไปบอกกับคนเหล่านี้ว่านี้คือเงินของผู้นำรัฐบาลเอามาแจกให้เพื่อช่วยเหลือในยามที่คนเหล่านี้ทุกข์ยาก คนพวกนี้ก็จะรู้สึกว่ารัฐบาลผู้ชั่วร้ายนี้มีบุญคุณกับพวกเขา รัฐบาลเอาเงินมาให้ เลือกตั้งครั้งต่อไปเราก็ต้องเลือกพรรคนี้อีก เขาจะได้เอาเงินมาให้เราอีก

9.       ในช่วงน้ำท่วม ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศสมมตินี้เป็นผู้ใจบุญ ดังนั้นเงินและสิ่งของบริจาคจำนวนมหาศาลก็จะถูกบริจาคเข้ามา รัฐบาลผู้ชั่วร้ายก็จะอ้างเอาเองโดยการเอาป้ายไปแปะ เอาชื่อของตนเอง ผู้สมัคร สส. หัวคะแนน ตลอดจนหัวหน้าใหญ่ไปแปะที่ของบริจาคทำทีเป็นว่าของบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหล่านี้มาจากเงินของตนเอง สร้างบุญคุณกับประชาชนผู้เดือดร้อน ทำตนไม่แตกต่างไปจากสัตว์นรกเปรตที่มีเบียดบังส่วนบุญมาแอบอ้างกุศลของผู้อื่น

10.   แน่นอนในพื้นที่เมืองหลวง ประชาชนมีการศึกษา มีเทคโนโลยีในการรับข่าวสาร และมีความรู้เท่าทันนักการเมืองเลว มากกว่าประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัด คนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะไม่เลือกตน แต่จะเลือกพรรคการเมืองฝั่งตรงข้าม ดังนั้นรัฐบาลผู้ชั่วร้ายต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะทำลายตัวแทนของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลท้องถิ่น วิธีการเช่น พยายามดิสเครดิตโดยการทำให้ประชาชนในเมืองหลวงเห็นว่าผู้ว่าเมืองหลวงทำงานไม่มีประสิทธิภาพ มีการใช้นักการเมืองในฝ่ายของตนซึ่งเป็นทีมกองโจรมีนายห่วยกรุณาเป็นหัวหน้ากองโจรออกไปสร้างกลุ่มมวลชนมาทำลายคันกั้นน้ำของเมืองหลวง เพื่อทำให้เห็นว่าผู้ว่าทำงานไม่ได้ ประชาชนเดือนร้อน ทำให้ประชาชนสองกลุ่มต้องเผชิญหน้ากัน รัฐบาลผู้ชั่วร้ายเช่นนี้มักจะเก็บนักเลงหัวไม่ไว้เป็นพวก เชิดชูคนเหล่านี้เอาไว้เพื่อทำงานสกปรกให้ตนเอง เราจะเห็นคนอย่างนายห่วยกรุณานี้กร่างอยู่เป็นประจำ เพราะเป็นทั้งคนเลวและมีอำนาจ แน่นอนรัฐบาลชั่วร้ายเองก็เตรียมวางตัวบริวารของตนเองเช่นผู้หญิงใส่แว่นไว้เป็นผู้ว่าเมืองหลวงเพื่อใช้เป็นฐานเสียงของตนในเมืองหลวงเอาไว้แล้ว

11.   น้ำท่วมสร้างประโยชน์ให้รัฐบาลผู้ชั่วร้ายในแง่ของการวางแผนกู้เงินมูลค่ามหาศาลมาทำโครงการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในอนาคต ที่เรียกว่า รัฐใหม่ เงินกู้จำนวนมหาศาลที่จะเอามาใช้สร้างรัฐใหม่ จำนวนใกล้ๆ 1 ล้านล้าน จากประสบการณ์ในอดีตหัวหน้าใหญ่และรัฐบาลบริวารชั่วร้ายในอดีตเคยเรียกเก็บค่าหัวคิวที่ระดับ 30 – 35% ดังนั้นโครงการรัฐใหม่วงเงินใกล้ๆ 1 ล้านล้านก็เท่ากับจะมีเงินเข้าไปอยู่ในพุงหมาราวๆ 3 – 3.5 แสนล้าน ครอบครัวและบริวารของหัวหน้าใหญ่ก็รวยกันอีกเพียบ ดังนั้นในอนาคตเราจะเห็นได้แน่นอนว่า โครงการอย่างนครสนามบิน โครงการถมทะเล โครงการเมืองหลวงใหม่ จะกลับมา

12.   รัฐบาลชั่วร้ายในอดีตเก่งมากเรื่องการใช้ข่าวกลบข่าว เช่น ต้องการดึงความสนใจของประชาชนจากเรื่องการอภิปรายแฉความชั่วร้ายของตนในสภา รัฐบาลชั่วร้ายก็ส่งคนไปซื้อทีมฟุตบอลชื่อดังในต่างประเทศไว้แล้ว รัฐบาลชั่วร้ายในปัจจุบันก็มีการสร้าง plot เพื่อที่จะทำเรื่องชั่วๆ ด้วยเช่นกัน เช่นล่าสุด สั่งให้หัวหน้าน้องสาวไปดูคนน้ำท่วมในต่างจังหวัดใกล้ๆ ดูคนน้ำท่วมจนค่ำ แล้วก็ทำฟอร์มว่ากลับเมืองหลวงไม่ได้ เพราะเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้ในการเดินทางบินในเวลากลางคืนไม่ได้เพราะขาดอุปกรณ์นำทาง จำเป็นต้องค้างคืนในจังหวัดนั้น ทั้งๆ ที่ถ้าจะกลับจริงๆ ใช้รถยนต์ก็ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 2 ชั่วโมง แต่เมื่อหัวหน้าน้องสาวกลับไม่ได้ ก็ต้องให้ลิ่วล้อสารวัตรทำหน้าที่แทนในวันรุ่งขึ้น ซึ่งต้องมีการประชุมผู้บริหารประเทศสมมติ แน่นอนว่าในที่ประชุมวันรุ่งขึ้นเรื่องที่ต้องมีการอนุมัติคือการออกกฎหมายอภัยโทษ ซึ่งทำให้หัวหน้าใหญ่พี่ชายซึ่งหนีคดีอยู่ได้ประโยชน์ แต่การทำแบบนี้ก็จะหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาว่าน้องสาวช่วยพี่ชาย หรือหลีกเลียงปัญหา Conflict of Interest ผลประโยชน์ขัดแย้งไปได้เพราะน้องสาวไม่อยู่ในที่ประชุม ไม่รู้ไม่เห็น แล้วที่ต้องกระเหี้ยนกระหือรือรีบทำเรื่องนี้ทั้งหมดก็เพื่อจะให้หัวหน้าใหญ่ผู้ชั่วร้ายสามารถกลับมางานแต่งงานของลูกสาวผู้ฉาวโฉ่ของตนเองได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยกฎหมายนี้จะกำหนดคุณสมบัติใหม่ให้กับผู้ที่จะมีโอกาสขอรับพระราชทานอภัยโทษจากประมุขของประเทศได้ในวันเฉลิม แน่นอนพวกมันก็จะแก้กฎหมาย พอถึงวันเฉลิมมันก็จะขออภัยโทษ แนบไปกับรายชื่อของพวกไพร่ที่มันเคยล่ารายชื่อไว้ เป็นการกดดันว่าสถาบันจะดูแคลนรายชื่อคนจำนวนขนาดนี้ได้เลยหรือ ในเมื่อตอนนี้หัวหน้าใหญ่ผู้หนีคดีก็มีสิทธิตามกฎหมายที่จะมาขออภัยโทษได้แล้ว ดูพวกสัตว์นรกนี่มันทำ มันหาประโยชน์จากสถาบันที่มันต้องการทำลาย

13.   ระหว่างที่น้ำท่วม รัฐบาลชั่วร้ายชุดนี้ได้แอบแต่งตั้งข้าราชการ ทั้งฝ่ายพลเรือน ตำรวจ และทหารไปตามที่ตนเองต้องการเพื่อเป็นมือเป็นเท้าของตนเองไปแล้วเรียบร้อย โดยที่ไม่มีใครออกมาวิพากษ์วิจารณ์เพราะทุกคนต่างก็กำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องน้ำท่วม ระบบคุณธรรมในแวดวงข้าราชการได้ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์แล้ว ค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ผลของงานอีกต่อไป หากแต่ค่าของคนอยู่ที่คนของใคร

14.   ระหว่างน้ำท่วมการแบ่งแยกความช่วยเหลือที่ให้กับประชาชนเป็นพื้นที่ที่เลือกตนเองเข้ามา กับพื้นที่ที่เลือกพรรคการเมืองฝั่งตรงข้าม หรือระหว่างประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในขบวนการไพร่ของตนกับกลุ่มไพร่ในปกครอง ก็ทำให้คนบางคนยอมเปลี่ยนข้างยอมตัวไปเข้าข้างขบวนการไพร่เพื่อให้ได้ความช่วยเหลือ รัฐบาลชั่วร้ายก็มีฐานเสียงใหญ่ขึ้น

15.   น้ำท่วมจะช่วยเสริมภาพของ นารีขี่ม้าขาวมากยิ่งขึ้น เพราะในอดีต ในประเทศสมมตินี้เคยมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่พยากรณ์ไว้ว่า “ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ ศิวิไลซ์จะบังเกิดใน... หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้ จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ” ถ้าผู้อ่านได้เคยอ่านฉบับเต็มของคำพยากรณ์นี้ ก็จะเข้าใจว่าพระเถระรูปนั้นต้องการสื่อว่า นารีขี่ม้าขาวหมายถึง เจ้าหญิง ไม่ใช่น้องสาวผู้โง่เง่า แต่พรรคพวกของรัฐบาลผู้ชั่วร้ายพยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างภาพว่าน้องสาวผู้โง่เง่าคือนารีขี่ม้าขาว น้ำท่วมเรื่องที่ประชาชนต้องระวัง แต่เมื่อน้ำลงน้องสาวผู้โง่เง่าจะเป็นผู้นำที่ทำให้ประเทศให้เกิดความเจริญรุ่งเรื่อง ในขณะที่คนชั่วคือคนที่รัฐบาลชั่วร้ายชุดนี้พยายามล้มล้างจะถูกปราบ

อย่างที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้น เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่า เป็นนิทานนะครับ ไม่ใช่เรื่องจริง แม้แต่ตัวทฤษฎีสมคบคิดเองก็อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องจริงก็ได้ แต่อย่างที่พวกเราทราบๆ กันก็คือ ถ้าไม่มีไฟย่อมไม่มีควัน และถ้าอยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่ไม่ใช่เหตุการณ์ตามธรรมชาติก็ให้ดูเอาครับว่าหลังเหตุการณ์แล้วใครเป็นคนที่ได้ประโยชน์ คนนั้นนั่นล่ะครับ คือคนที่วาง plot ทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นๆ

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #398 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 13:53:02 »

 ปิ๊งๆ

เข้ามาตามอ่านครับพี่
ขอบคุณ ที่เอาความชั่วร้าย...มาตีแผ่


 จ๊าากกก ขึ้นเลย
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #399 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2554, 20:53:27 »

สมเกียรติ"ชี้ภาษาอังกฤษของนายกฯใช้สื่อสารไม่ได้พอกับภาษาไทย

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

   ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ชี้ภาษาอังกฤษของนายกฯใช้สื่อสารไม่ได้พอกับภาษาไทย ห่วงอาจทำประเทศเสียหาย

 ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล นักสื่อสารมวลชน ได้โพสต์ข้อความผ่าน ทวิตเตอร์ ชื่อผู้ใช้ @somkiatonwimon เมื่อวานนี้ ( 16 พ.ย. ) เวลา 22.50 น. ว่า ฟังคำแถลงของท่านนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ตอบรัฐมนตรี Hillary Clinton รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ พบว่าภาษาอังกฤษของนายกฯยิ่งลักษณ์ ใช้สื่อสารเป็นทางการไม่ได้เลยพอๆกับภาษาไทย

 "ในการสื่อสารกับต่างประเทศเป็นทางการ นายกฯยิ่งลักษณ์ควรพูดภาษาไทย เพราะภาษาอังกฤษใช้การไม่ได้ ฟังไม่รู้เรื่องและอาจผิดพลาดจนประเทศไทยเสียหาย"ดร.สมเกียรติ กล่าว

ส่วนการสื่อสารกับคนไทยเป็นภาษาไทย ดร.สมเกียรติ ระบุว่า นายกฯยิ่งลักษณ์ ก็จำเป็นต้องฝึกซ้อมทำความเข้าใจกับเรื่องที่พูดหรืออ่านบท แล้วฝึกการอ่านออกเสียงให้พร้อมก่อน นายกฯยิ่งลักษณ์จะไปประชุมสุดยอดอาเซียนที่บาหลี

 

"น่าห่วง จะพูดอะไรกับผู้นำอาเซียนอีก 9 ชาติ และผู้นำชาติ+8 ขอให้ใช้ล่ามกระทรวงต่างประเทศดีกว่า ก่อนไปบาหลีขอให้กระทรวงต่างประเทศให้ความรู้เรื่องอาเซียนแก่นายกฯยิ่งลักษณ์ให้ครบถ้วนและตามช่วยให้ข้อมูลและคำแนะนำแก่ท่านทุกย่างก้าว กลัวพลาด เรื่องการต่างประเทศไม่มั่นใจในพื้นความรู้ของนายกฯยิ่งลักษณ์และรัฐมนตรีต่างประเทศสุรพงษ์จริงๆ ทั้งห่วงทั้งกลัวว่าจะพลาดพลั้งแล้วแก้ไขไม่ได้"ดร.สมเกียรติ ย้ำ

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17 18 ... 21  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><