23 พฤศจิกายน 2567, 03:32:14
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 26 27 [28] 29 30 ... 33  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน  (อ่าน 328927 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 14 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #675 เมื่อ: 25 มกราคม 2555, 23:24:24 »

ผบ.ทบ.จวกนิติราษฎร์พวกไม่ปกติ ถามเป็นคนไทยหรือเปล่า    
โดย ASTVผู้จัดการออนไล

   พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มนิติราษฎร์ยังเดินหน้าแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า เป็นเรื่องของความพยายามซึ่งมีคนอยู่หลายกลุ่มด้วยกัน กลุ่มหนึ่งอาจจะไม่ปกติ อยากจะทำโน่นทำนี่ โดยไม่คิดว่าอะไรควรไม่ควร แต่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น กลุ่มที่ 2 คือ นักวิชาการบางกลุ่ม ซึ่งเป็นนักวิชาการส่วนใหญ่กว่า 90% ยังรักและเทิดทูนสถาบัน อยากจะเรียนไปยังบางส่วนว่า ต้องกลับไปทบทวนว่าตลอดระยะเวลาที่พระองค์ท่านครองราชย์มาจนมีพระชนมายุ 84 พรรษามาแล้ว แต่คนที่เป็นนักวิชาการอายุเพียงแค่ 30-40 ปี เรียนหนังสือจบมาแล้วไปเรียนต่อ เคยได้ทำคุณประโยชน์อะไรให้แก่แผ่นดินบ้างหรือไม่ เพียงแค่เรียนหนังสือจบมาแล้วเอาความรู้ต่างๆ เหล่านั้นมาเพื่อจะแก้โน่นแก้นี่ ซึ่งยังไม่เคยลองปฏิบัติอะไรสักอย่าง
       
       “ต้องเข้าใจว่าสถาบันทรงมีคุณต่อแผ่นดินอย่างไร เป็นประเด็นสำคัญ ผมไม่สามารถไปบังคับใครได้ ถ้าพูดแรงไปก็จะหาว่าไปบังคับ หรือผูกขาดความจงรักภักดี ไม่ใช่ แต่ต้องการให้ทุกคนระลึกอยู่เสมอว่าบ้านเมืองมีชื่อเสียงเกียรติยศในโลกนี้ ส่วนใหญ่ที่รู้จักประเทศไทย รู้จักมาจากสถาบันก่อนทั้งสิ้น ท่านทรงครองราชย์ เสด็จแปรพระราชฐาน เสด็จเยี่ยมเยียนประเทศต่างๆ จนเขารู้จักประเทศไทยตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ และถึงวันนี้ไม่รู้ว่าใครมาจากไหนเหมือนกัน ชาติตระกูล เกิดประเทศไทยหรือไม่ ไม่รู้ ถ้าท่านพูดจาแรง พูดไม่ดีต่อสถาบัน ผมจำเป็นต้องใช้คำพูดที่ไม่ดีกับท่าน เพราะท่านไม่เคยสำนึกในผืนแผ่นดินไทยเลย ผมเคยบอกไปหลายครั้งแล้วว่าไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง คนทั้งแผ่นดินเคารพเทิดทูน แต่ท่านมาทำลายความรู้สึกของคนทั้งแผ่นดิน ขอถามว่าท่านจะได้อะไร อย่าให้ว่า ผมใช้คำรุนแรง เมื่อท่านรุนแรง ผมก็รุนแรงกับท่าน แต่ผมอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่มีการทำอะไรนอกกฎหมายทั้งสิ้น ท่านอย่าทำผิดกฎหมายก็แล้วกัน”
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นห่วง เยาวชนที่มีวุฒิภาวะน้อยที่อาจเกิดความสับสนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ห่วงทุกเรื่อง แต่คิดว่าไม่สับสน ถ้าผู้ใหญ่สอนลูกหลานและญาติพี่น้องให้เข้าใจ จะสับสนได้อย่างไร ง่ายจะตาย เกิดมารู้จักพระเจ้าแผ่นดินหรือยัง ถ้ารู้จักแล้วจากวันนั้นถึงวันนี้ ท่านไม่เคยทำอะไรเสียหาย ท่านทำทุกอย่างเพื่อให้บ้านเมืองเป็นถึงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นพวกที่สับสน มันคงไม่รู้ว่าเกิดมาจากไหนมากกกว่า
       
       ส่วนที่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุกับสื่อประเทศสิงคโปร์ว่าจะให้นายบันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อหารือแนวทางการปรองดองนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ต้องไปถามท่าน
       
       พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงนโยบายในการทำงานของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหมคนใหม่ว่า รมว.กลาโหมดูแลและพูดคุยกับทุกเหล่าทัพ ท่านบอกว่า จะดูแลทุกกองทัพให้ดีที่สุด นั่นคือหน้าที่ของท่าน พวกเราในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ดูแลแต่ละกองทัพให้ดีที่สุดเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติ รวมทั้งสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
       
       ส่วนที่ รมว.กลาโหมต้องการให้สานต่อโครงของกองทัพที่ยังค้างอยู่ให้รวดเร็วขึ้นนั้น ในส่วนกองทัพบกมี โครงการที่ได้เสนอขึ้นไป คือ โครงการเสริมสร้างและจัดซื้อยุทโธปกรณ์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ล้าสมัย แต่คิดว่าคงไม่ได้ เพราะงบประมาณมีจำกัด และเราก็ตั้งโครงการไปตลอดและมีความต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลแล้วจะซื้อวันนี้ ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นรถถัง เฮลิคอปเตอร์ รถหุ้มเกราะ ต้องมีแผนการพัฒนากองทัพในระยะเวลา 10 ปี มี 4 แนวทาง คือ 1. จะต้องมีการหาแบบว่าต้องการแบบไหนให้สอดคล้องกับภัยคุกคามในพื้นที่และภูมิภาค 2. ต้องดูว่างบประมาณมีมากน้อยแค่ไหน 3. เขาจะขายหรือไม่ และ 4. ต้องทำให้สอดคล้องกับการปลดประจำการยุทโธปกรณ์หลักที่มีอยู่เดิม เพราะมีราคาสูง
       
       “ยุทธโธปกรณ์ของกองทัพบกได้รับมาประมาณ 30-40 ปีมาแล้ว อย่ามาบอกว่า ทำไมกองทัพบกปล่อยให้รถถังชำรุดจำนวนมาก เพราะไม่มีงบซ่อม เมื่อปล่อยให้ยืดยาวก็หมดอายุไป เป็นเรื่องธรรมดาและไม่ได้เป็นความบกพร่องของใคร อากาศยานที่ใช้อยู่ คือ ฮิวอี้ หรือ ฮท.1 ก็ใช้สมัยตั้งแต่สงครามโลก สงครามเวียดนาม อยากให้เห็นใจและเข้าใจเจ้าหน้าที่ เราพยายามอย่างเต็มที่ แต่เราไม่สามารถที่จะเร่งรัดหรือไปบังคับขู่เข็ญรัฐบาลได้จึงต้องรอ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #676 เมื่อ: 26 มกราคม 2555, 20:48:24 »

รุมชำแหละหนี้ ฉุดพรก.4ฉบับล่ม
โพสต์ทูเดย์ดอทคอม

   

โดย...เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง

การออกมาแลกหมัดประเด็นร้อน “ข้อมูลหนี้สาธารณะ” ระหว่าง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง กับ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กลายเป็นหนังชีวิตลุ้นระทึกรายวันไปแล้ว

ที่สำคัญ การออกมาตีแผ่หนี้สาธารณะตรวจสอบกันไปมาว่าของใครเป็นของแท้ของเทียม กำลังกลายเป็นเรื่องเล็กล้มกระดานเรื่องใหญ่ ทำให้ทีมเศรษฐกิจต้องหาข้อมูลมาตอบโต้เป็นพัลวัน

เพราะที่ผ่านมารัฐบาลออก พ.ร.ก. 4 ฉบับเพื่อแก้ไขฟื้นฟูเศรษฐกิจรับมือน้ำท่วมชนิดเต็มสูบ โดย พ.ร.ก.ทั้งหมดถูกมัดรวมเป็นก้อนเดียวกัน ซึ่งรัฐบาลตั้งหน้าตั้งตารอให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ เพื่อเดินหน้ามาตรการต่างๆ ที่เตรียมไว้

แต่เรื่องไม่ได้ง่าย เพราะตั้งแต่รัฐบาลเดินหน้าออก พ.ร.ก. ก็มีเสียงคัดค้านจากทุกสารทิศ ไม่เห็นด้วยกับการออก พ.ร.ก.ของรัฐบาล โดยบางฉบับไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน

ประเด็นปัญหากลายเป็นแผลร้ายลุกลามใหญ่มากขึ้น เมื่อธีระชัยที่พ้นจากตำแหน่ง รมว.คลัง ยังไม่ทันข้ามคืน ได้เริ่มออกมาชำแหละการเสนอร่าง พ.ร.ก. มีการให้เหตุผลที่บิดเบือนในการออกกฎหมาย

โดยเฉพาะ พ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 1.14 ล้านล้านบาท ไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ซึ่งกิตติรัตน์ให้เหตุผลกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า สัดส่วนภาระการชำระหนี้สาธารณะอยู่ที่ 12% ของงบประมาณรายจ่าย ใกล้ชนเพดาน 15% ของงบประมาณรายจ่าย ทำให้จำเป็นเร่งด่วนออก พ.ร.ก.โอนหนี้ไปให้ ธปท.จ่ายดอกเบี้ยปีละ 6.5 หมื่นล้านบาท แทนรัฐบาล

ธีระชัยยังยิงหมัดตรงว่า ข้อมูลของกิตติรัตน์ที่ชี้แจงไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะสัดส่วนการชำระหนี้สาธารณะต่องบประมาณปี 2555อยู่ที่ 9.33% ไม่ใช่ 12% ซึ่งมีผลทำให้การออก พ.ร.ก.โอนหนี้ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนตามที่กิตติรัตน์ชี้แจงกับ ครม.

อดีต รมว.คลัง ยังขยายแผลว่า เมื่อเหตุผลการออก พ.ร.ก.โอนหนี้ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ก็จะส่งผลให้ พ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับกลายเป็นโมฆะไปด้วย หากรัฐบาลยังดื้อดึงไม่ฟังเสียงค้าน เพราะกฎหมายทั้งหมดใช้เหตุผลเดียวกันในการออกกฎหมาย

แม้ว่ากิตติรัตน์จะออกมาตอบโต้ว่า สัดส่วนหนี้ชำระหนี้สาธารณะปี 2555 อยู่ที่ 12% แต่ที่ลดลงมาเหลือ 9% เป็นผลจากการออก พ.ร.ก.โอนภาระหนี้ไปให้ ธปท. ทำให้ภาระชำระหนี้ต่องบประมาณลดลง

แต่ธีระชัยก็ออกมาสวนทันควันอีกครั้งว่า ไม่เป็นความจริง สัดส่วนภาระชำระหนี้ต่อภาระงบประมาณปี 2555 ที่ 9.33% ได้รวมภาระการชำระหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯ จำนวนประมาณ 6.84 หมื่นล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยเสร็จสรรพแล้ว โดยเงินงบประมาณที่ชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ คิดเป็น 2.87%

ดังนั้น หากการออก พ.ร.ก.โอนหนี้มีผลทำให้สัดส่วนภาระการชำระหนี้ลดตามกิตติรัตน์กล่าวชี้แจง สัดส่วนการชำระหนี้ก็ควรอยู่ที่ระดับประมาณ 6% เท่านั้น

ในการตอบโต้ธีระชัยได้เรียกร้องให้กิตติรัตน์ทบทวนการออก พ.ร.ก.ใหม่ เพราะข้อมูลล่าสุดฟ้องชัดว่า ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ส่งผลให้งานเข้าหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลทันที

ขณะที่ กรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมว.คลัง ก็จองกฐินรัฐบาล ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความทันทีที่ พ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับมีผลบังคับใช้ ว่าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ถือเป็นด่านหินที่รัฐบาลต้องเจอหนีไม่พ้น

ปัญหาที่สำคัญ การที่ พ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับไม่มีผลบังคับใช้ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถเดินหน้ามาตรการต่างๆ ในการรับมือน้ำท่วมรอบใหม่ ซึ่งจะมาอีกไม่ถึง 56 เดือนข้างหน้า

หรือแม้แต่ว่ากฎหมายมีผลบังคับใช้ และต้องถูกฝ่ายค้านส่งเรื่องตีความ เวลาในการดำเนินการต่างๆ ก็ยิ่งเหลือน้อยลงไปอีก จนไม่พอที่รัฐบาลเตรียมการรับมือน้ำท่วมรอบใหม่ จนเกิดความเสียหายเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนปีที่ผ่านมา

ถึงวินาทีนี้ รัฐบาลเหมือนอยู่บนทางแยกที่สำคัญ ชี้เป็นชี้ตายอนาคตประเทศไทย

ดังนั้น รัฐบาลต้องตั้งสติไตร่ตรองอย่างรอบคอบทุกด้านว่า จะปลดล็อกปัญหาที่มีอยู่ในขณะนี้อย่างไร ให้รวดเร็วและรอบคอบที่สุด

จะตัดสินใจเดินหน้ายืนยันรอให้กฎหมายทั้ง 4 ฉบับมีผลบังคับใช้เหมือนที่ตั้งใจไว้เดิม ซึ่งรัฐบาลต้องประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นว่า “ดื้อแล้วได้คุ้มเสียหรือไม่”

เพราะถึงวันนี้ รัฐบาลน่าจะได้ข้อมูลเพิ่มว่า พ.ร.ก.โอนหนี้ที่เป็นก้างขวางคอรัฐบาลอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่มีแต่ 2 อดีต รมว.คลัง อย่าง ธีระชัยและกรณ์ ที่ไม่เห็นด้วยและออกมาถล่มรัฐบาลรายวันจนตั้งหลักไม่ติด

แม้แต่ ธปท.ก็ไม่เห็นด้วย เพราะต้องการไปเก็บค่าธรรมเนียมธนาคารพาณิชย์มาใช้หนี้กองทุน จะทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีต้นทุนเพิ่ม และผลักภาระให้ประชาชนที่เป็นลูกค้า

ด้านธนาคารพาณิชย์ ไม่ต้องพูดถึงออกมาต้าน พ.ร.ก.โอนหนี้ ถึงขั้นออกแถลงการณ์บอกเป็นนัยไม่ยอมให้เสียค่าธรรมเนียมจากที่ถูกเรียกเก็บอยู่ในปัจจุบันที่มีอัตราสูงอยู่แล้ว


หรือแม้แต่สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) ก็น้ำท่วมปาก เพราะการถูกแย่งเก็บค่าธรรมเนียมไปใช้หนี้ ทำให้แผนการดูแลเงินฝากไม่เป็นไปตามแผน หากอนาคตสถาบันการเงินมีปัญหา การดูแลผู้ฝากเงินก็จะพานมีปัญหาไปด้วย

ทั้งหมดเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องดีดลูกคิดว่า จะเดินหน้าเกียร์ห้าเหมือนเดิม เสี่ยงไปจะได้คุ้มเสียหรือไม่

หากเห็นว่าเสียมากกว่าได้ รัฐบาลก็ต้องเลือกทางใหม่ ต้องยอมถอยพื่อชาติ นำร่างกฎหมายทั้งหมดกลับมาทบทวนใหม่ ตัดร่าง พ.ร.ก.โอนหนี้เจ้าปัญหาทิ้งไปก่อน หลังจากนั้นก็เดินหน้า พ.ร.ก.อีก 3 ฉบับ ให้ออกมาบังคับเร็วที่สุด

เพราะจะเห็นว่า ที่ผ่านมาร่าง พ.ร.ก.อีก 3 ฉบับ ทั้ง พ.ร.ก.กู้เงินลงทุนบริหารน้ำ 3.5 แสนล้านบาท พ.ร.ก.ตั้งกองทุนประกันภัย 5 หมื่นล้านบาท และ พ.ร.ก.กู้เงินดอกเบี้ยต่ำของ ธปท. 3 แสนล้านบาท ไม่ได้มีปัญหาถูกคัดค้าน

นอกจากนี้ เสียงส่วนใหญ่ก็สนับสนุน พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับ ว่ามีความจำเป็นในการฟื้นฟูประเทศและปกป้องน้ำท่วมรอบใหม่ มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะดำเนินการ

ในช่วงเวลาที่เหลือน้อยลงทุกวัน รัฐบาลจึงต้องรีบตัดสินใจผ่านทางสามแพร่งไปให้ได้ เพราะหากยังจมหลงอยู่แต่เอาชนะเรื่องหนี้สาธารณะอย่างทุกวันนี้ มีแต่จะรั้งให้ พ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับล่มไปทั้งหมด

ถึงเวลานั้น ไม่ว่ารัฐบาลและเศรษฐกิจของประเทศ ก็เสี่ยงสำลักน้ำท่วมใหญ่เหมือนปีที่ผ่านมา

 


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #677 เมื่อ: 28 มกราคม 2555, 11:54:29 »

“สนธิ”แฉทุนมะกันหนุนหลังแก๊งล้มเจ้า-หวังยึดไทยสานฝันครองเอเชียแปซิฟิก    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

 นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการ “คนเคาะข่าว” ทางเอเอสทีวี ช่วงเวลา 20.45-22.45 น. วันที่ 27 ม.ค.ว่า ขบวนการจาบจ้างสถาบันเบื้องสูงที่ปรากฏขึ้นในนามคณะนิติราษฎร์ นำโดยนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์นั้น เป็นการพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนพูดไว้ตั้งแต่ปี 2548 และปี 2551 นั้นเป็นเรื่องจริง และมีความเชื่อมโยงกับการขยายอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาที่ต้องการกลับเข้ามาครอบครองเอเชียแปซิฟิกอีกครั้ง เห็นได้จากก่อนหน้านี้มีการเขียนบทความเรื่อง Reform Not Revolution for Thailand ที่กล่าวหาว่าสถาบันกษัตริย์เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปในประเทศไทย
       

       นายสนธิกล่าวต่อว่า หลังจากสงครามเย็นยุติลงแล้ว เป็นช่วงเวลาที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่พยายามที่จะขยายออกไปในทุกประเทศทั่วโลก โดยใช้ฉันทมติวอชิงตัน (Washington Consensus) ที่มีกติกา 4 ข้อให้ทุกประเทศต้องปฏิบัติตาม คือ 1.การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจการค้า การเงิน การลงทุน 2.ให้มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยเน้นเสถียภาพด้านราคา 3.การแปรรูปรัฐวิสากิจเป็นของเอกชน 4.การลดการควบคุมกำกับโดยรัฐบาล โดยใช้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ธนาคารโลก และองค์การการค้าโลก(WTO) ดำเนินการในเรื่องนี้ ซึ่งจะเห็นว่า ช่วงหลังปี 2540 ไอเอ็มเอฟได้ยื่น 4 เงื่อนไขนี้ให้ประเทศไทยทำตามเพื่อแลกกับการให้เงินช่วยเหลือ เป็นที่มาของการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ซึงจนขณะนี้ยังไม่ได้แก้ และมีความพยายามจะแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่างๆ
       
       นายสนธิย้ำว่า เราอย่าคิดว่าสหรัฐอเมริกาเป็นเพื่อนเรา เพราะประเทศนี้มีแต่ผลประโยชน์ ไม่ต้องการให้ใครมาขวางเขา แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเน้นเศรษฐกิจพอเพียง เขาก็หาว่าเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูป ทั้งนี้ ในปัจจุบัน สหรัฐเริ่มหมดความสนใจในพื้นที่ตะวันออกกลาง เพราะน้ำมันเริ่มหมด ส่วนยุโรปก็ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนัก จึงหันความสนใจมาที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซึ่งกำลังมีชนชั้นกลางเกิดใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีแหล่งน้ำมันในอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ ทั้งนี้ ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นพวกของอเมริกาไปแล้ว ยังเหลือแค่จีนที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และกำลังขยายอิทธิพลเข้ามาทางอาเซียน โดยเฉพาะในพม่า ขณะที่สหรัฐฯ ก็ได้อินโดนีเซียเป็นลูกรักไปแล้ว เวียดนามก็หันไปพึ่งสหรัฐฯ เพื่อให้ช่วยต่อต้านจีน ส่วนเขมรก็ว่าตามเวียดนาม มาเลเซียก็กำลังเปลี่ยนแปลงโดยนายอันวาร์ อิบราฮิมที่มีแนวคิดสนับสนุนประเทศตะวันตกกำลังจะกลับมาอีกครั้ง ขณะที่พม่า สหรัฐฯ ก็เริ่มเข้าไป ทั้งที่เมื่อก่อนเคยคว่ำบาตร ตอนนี้จึงเหลือเพียงประเทศไทยที่สหรัฐฯ ยังไม่สามารถยึดได้อย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งทางเศรษฐกิจและทางนโยบาย เพื่อที่จะปิดล้อมจีนให้ได้
       
       นายสนธิกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ คนไทยเราโดนอิทธิพลตะวันตกเข้ามาครอบงำทางความคิดด้วย 3 เรื่อง คือ 1.รัฐบาลต้องมาจากการเลือกตั้ง โดยไม่สนใจว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์หรือไม่ 2.สิทธิมนุษยชน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐจะเลือกสนับสนุนรัฐบาลประเทศไหน ตอนที่เสื้อแดงถูกปราบปราม เขาบอกว่า เป็นการละเมิดสิทธิ แต่สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ฆ่าตัดตอนไป 2,000 กว่าคน ตอนนี้เขาไม่พูดถึงแล้ว เขาพูดแต่ว่าทหารฆ่าเสื้อแดง เพราะโยงไปสู่การล้มสถาบันทหารได้ และ 3.ความโปร่งใส ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเช่นกัน เมื่อปี 2540 เขาห้ามธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาช่วยเหลือบริษัทเอกชน แต่เมื่อปี 2551 ธนาคารในสหรัฐฯ ล้ม รัฐบาลอเมริกันกลับอนุมัติเงินสนับสนุนจำนวนมหาศาล
       
       นายสนธิ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันนี้ หมดยุคที่จะใช้วิธีการตามฉันทมติวอชิงตันแล้ว เพราะกลุ่มทุนในอเมริกาใหญ่ขึ้นมาก บริษัทอย่างแอปเปิลคอมพิวเตอร์มียอดขายมากกว่างบประมาณประเทศไทย และบริษัทแบบนี้มีอยู่จำนวนมาก และมีอิทธิพลต่อรัฐบาล ไม่ว่าพรรคดีโมแครตหรือรีพับลิกัน ล้วนแต่อยู่ภายใต้อิทธิพลกลุ่มทุน โดยพรรคดีโมแครตนั้นอยู่ภายใต้ทุนการเงิน ขณะที่รีพับลิกันอยู่ภายใต้ทุนน้ำมัน ซึ่ง 2 กลุ่มนี้เลวพอๆ กัน และสุดท้ายแล้วก็เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน บริษัทเหล่านี้ต้องการครองโลก เข้าไปเปิดธุรกิจในประเทศต่างๆ เพื่อดึงดูดเอาความมั่งคั่งไปเป็นของตัวเอง ซึ่งล่าสุดนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐได้ประกาศแล้วว่า เอเชียแปซิฟิกคือศูนย์กลางของโลก ซึ่งไม่ผิดเพราะทั่วโลกเจ๊งหมดแล้ว
       
       นายสนธิ กล่าวว่า วิธีการที่พวกนี้เขาจะรุกคืบเข้าไปในแต่ละประเทศนั้นเขามีหลายวิธี แบ่งออกเป็น 3 ส่วน มีสถาบันที่เขาเรียกว่า Think Tank ที่มาช่วยคิดว่าจะทำยังไงอเมริกาถึงจะเป็นเจ้าโลก ทำยังไงบริษัทถึงจะรุกเข้าประเทศนั้นได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากบรรษัทต่างๆ ที่ร่ำรวยอย่างมหาศาล เมื่อนั่งคิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีพวก take action ต้องฝึกอบรมและให้เงินสนับสนุนด้วย เช่น Open Society ของนายจอร์จ โซรอส และยังมีหน่วยงาน NED - National Endowment for Democracy ที่รัฐสภาอเมริกาให้การสนับสนุนงบประมาณปีละ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีหน้าที่ทำตามชุดภาษาสากลที่เขาคิด คือส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ และทุกประเทศที่มีการล้มล้างรัฐบาล แล้วเปลี่ยนรัฐบาลขึ้นมา องค์กรพวกนี้มีอีกส่วนหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ให้กำลังใจ สนับสนุน คอยตีปี๊บ ร้องป่าว เช่น องค์กรนิรโทษกรรมสากล Amnesty International มีหน้าที่อย่างเดียว แถลงข่าวว่าประเทศจีนนั้นละเมิดสิทธิมนุษยชน เราไม่เห็นด้วย เราเรียกร้องให้คนโน้นคนนี้ลุกขึ้นมาต่อสู้ และยังมี Human Right Watch คือองค์กรพิทักษ์ปกป้องสิทธิมนุษยชน ฟังแล้วดูสวยงามมาก แต่ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องมือของตะวันตกในการมาแทรกแซงประเทศต่างๆ
       
       นายสนธิกล่าวต่อว่า หลายๆ องค์กรในอเมริกา จะอยู่เบื้องหลังเอ็นจีโอในเมืองไทย และได้ยกตัวอย่างการทำงานจอง สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ CFR : Council on Foreign Relation ซึ่งคำว่าสภา สมาชิกที่มีบทบาทสูงสุดแทนที่จะเป็นประชาชน แต่กลับประกอบด้วยกลุ่มทุนการเงิน ทุนพลังงาน กลุ่มทุนขายอาวุธ กลุ่มทุนอาหาร-ยา ซึ่งสามารถครอบงำสภานี้ได้ และเอ็นจีโอในประเทศไทย รวมทั้งคนบางคนในคณะนิติราษฎร์ ก็ได้รับเงินมาจาก CFR ซึ่งเป็นองค์กรที่เขียนบทความว่า พระมหากษัตริย์ไทย เป็นอุปสรรคในการปฏิรูปทางการเมือง
       
       นายสนธิ ยังเปิดเผยอีกว่า NED-National Endowment for Democracy ให้เงินเอ็นจีโอไทยมาเกือบ 1 ล้านเหรียญ โดยเฉพาะเว็บไซต์ประชาไท ซึ่งผู้อำนวยการเว็บไซต์ถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ได้มาก้อนหนึ่ง 5 แสนเหรียญ หรือ 15 ล้านบาท ไปอบรมผู้นำท้องถิ่นให้เข้าใจเรื่องบทบาท ส.ส. ซึ่งก็เป็นผู้นำท้องถิ่นที่ใส่เสื้อแดงนั่นเอง ถึงเว็บไซต์ประชาไทจะปฏิเสธว่าการให้เงินมาไม่มีสิทธิต่อรองในการเสนอข่าว แต่ตนไม่เชื่อ เพราะเว็บไซต์นี้มีการจาบจ้วงและหมิ่นสถาบันฯ มาโดยตลอด
       
       “พอมาตรงนี้เงินพวกนี้ไปกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาล กลุ่มซ้ายอกหัก ซึ่งมีนักวิชาการเอ็นจีโอบางกลุ่ม เว็บไซต์ประชาไท งานใต้ดินเคลื่อนไหวล้มสถาบันกษัตริย์ อ้างเสรีภาพ จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ บ่อนทำลายให้ยกเลิกมาตรา 112 นี่ได้รับการสนับสนุนจากฝรั่ง มาถึงตรงนี้ เอาเงินมาสนับสนุนกลุ่มทุนสามานย์ เพื่อไทย รัฐบาล แก้รัฐธรรมนูญ ทำลายการตรวจสอบ ยึดอำนาจ ยึดศาล ยึดทหาร ซื้อทหาร ยึดการเมือง นักวิชาการ ส่งเสริมค่านิยมโลกและทุนไร้พรมแดน ใครบ้างที่ชอบพูดว่า เดี๋ยวนี้ประเทศไทยไร้พรมแดน ถ้าไม่ใช่คนอย่าง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่พูดตลอดเวลาว่า เดี๋ยวนี้ไร้พรมแดน แล้วชาญวิทย์คือใครถ้าไม่ใช่ 1 ใน 100 กว่าคนที่เซ็นชื่อร่วมในการแก้มาตรา 112 เริ่มชัดกันหรือยังตอนนี้”นายสนธิกล่าว
       
       นายสนธิกล่าวต่อว่า ทำไมคนพวกนี้จึงต้องการทำลายในหลวง ทั้งที่ในหลวงทำงานให้ประชาชนจนกระทั่งชราภาพ ซึ่งคนรุ่นหลังไม่รู้ เขาบอกว่าเป็นอุปสรรคก็เชื่อ และคนในคณะนิติราษฎร์บางคนรับเงินฝรั่งมา ที่สำคัญการที่สหประชาชาติยอมรับว่าแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงเป็นทฤษีที่ถูกต้อง ทำให้คนพวกนี้ยิ่งกลัวว่า ถ้าประเทศไทยอยู่รอดด้วยเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว จะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านหันมาเรียนรู้ แล้วกลุ่มทุนพวกนี้ก็จะเข้ามาหาประโยชน์ไม่ได้ CFR จึงกล่าวหาว่าในหลวงเป็นอุปสรรคการปฏิรูปการเมือง ซึ่งที่จริงคืออุปสรรคของทุนอเมริกันต่างหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนักการเมืองทุกพรรค ทุกรัฐบาล คือตัวละครที่เขาใช้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีการเลิกเอ็มโอยู 43 เพราะเขาจะทำหน้าที่เอาของใส่สายพานให้ฝรั่ง คือมอบแหล่งพลังงานให้บริษัทต่างชาติ
       
       นายสนธิกล่าวว่า สถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์รวมของจิตใจคนไทย คนไทย 90 กว่าเปอร์เซ็นต์รักในหลวงและพระราชินีเหมือนพ่อแม่ นี่คืออุปสรรคของกลุ่มทุนที่จะเข้ามายึดประเทศไทย เขาจึงต้องทำลายฐานที่มั่นศูนย์รวมจิตใจคนไทย เริ่มด้วยการแก้ไขมาตรา 112 ถึงจะแก้ไม่ได้ อย่างน้อยก็สร้างกระแสขึ้นมาได้ ถ้าล้มไม่ได้ก็ให้เป็นแบบกษัตริย์เขมรที่เป็นเพียงหุ่นเชิดของนายฮุนเซน คณะนิติราษฎร์จึงเป็นสัตว์คอกเดียวกันกับทุนสามานย์
       
       ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ทักษิณ ชินวัตร คือตัวละครตัวหนึ่ง หมดจากทักษิณไปก็มีคนอื่น เพราะสันดานนักการเมืองทุกพรรคเหมือนกันหมด คือทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อชาติ พวกฝรั่งจึงอยากให้นักการเมืองได้ปกครองประเทศ เพื่อให้เปิดเสรี ให้ประเทศไทยเป็นทาสทุนตะวันตก
       
       นายสนธิกล่าวว่า แผนผังขบวนการทั้งหมดที่ตนเคยทำไว้ตั้งแต่ปี 2551 จึงเป็นความจริงทุกอย่าง คนที่มาร่วมขบวนการมีทั้งคนรุ่นใหม่ที่มาร่วมเพราะคิดว่าเท่ห์ กลุ่มซ้ายอกหักที่มีความโกรธแค้นตั้งแต่หลัง 6 ตุลาฯ 2519 คนพวกนี้ทำงานใต้ดิน ทำเว็บไซต์ วิทยุชุมชน ทำใบปลิว จัดอบรมคนเสื้อแดง โดยมีซีไอเอ.สนับสนุน ให้ นปช.ดูหมิ่นในหลวง อุ้มชูทักษิณ ทำลายองคมนตรี ทำลายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นอกจากนั้นก็มีพรรคการเมือง ซึ่งเมื่อก่อนคือพรรคพลังประชาชน ปัจจุบันคือพรรคเพื่อไทย ที่ใช้ประชานิยมยึดอำนาจฝ่ายบริหาร ควบคุมองค์กรอิสระ สอดคล้องกับความคิดกลุ่มนิติราษฎร์ที่จะให้ ครม.แต่งตั้งศาล และมีกลุ่มทุนสามานย์ที่เป็นเครื่องมือต่างชาติเข้ามาผูกขาดทุนในประเทศ
       
       นายสนธิกล่าวว่า วันนี้ศึกสงครามของเราไม่ใช่แค่พรรคเพื่อไทย เพราะพรรคการเมืองทุกพรรคก็สันดานเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์เพิ่งมาโวยวายเรื่อง ปตท.แต่สมัยที่เป็นรัฐบาลทำไมไม่เอา ปตท.กลับคืน มาพูดตอนนี้แค่หวังผลทางการเมืองเท่านั้น
       
       นายสนธิ กล่าวว่า ประเทศไทยจะอยู่ได้อย่างแรก เราต้องมีในหลวงที่ทรงมีทศพิธราชธรรมและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ถ้าจะต้องออกมาสู้แล้วตายเพื่อในหลวงต้องยอมตาย เพราะมีพระองค์ ฝรั่งจึงยึดประเทศไทยไมได้ ท่านทรงสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นการเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง นอกจากนี้ เราต้องมีความเป็นชาตินิยม รักชาติ รักแผ่นดินให้มากขึ้น เมื่อถึงเวลาแสดงออก ต้องอย่ารีรอ การที่เราไม่พอใจอเมริกาไม่ได้แปลว่าเราต้องเป็นศัตรู หรือต้องเข้าข้างจีน แต่เราต้องคบทั้ง 2 ประเทศอย่างเท่าเทียมกัน และบอกให้เขารู้ วันนี้นักการเมืองขี้ฉ้อเป็นคนดำเนินนโยบายต่างประเทศ ใครให้ประโยชน์เขาก็เปิดประตูให้
       
       นายสนธิย้ำว่า พรรคเพื่อไทยจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับนิติราษฎร์ไม่ได้ เพราะถ้าไม่เห็นด้วยทำไมไม่แสดงออกแต่แรก มาบอกว่าไม่เกี่ยวข้องตอนกระแสต่อต้านมันแรงขึ้นมาแล้ว นั่นเพราะกลุ่มนิติราษฎร์หนุนหลังโดยฝ่ายซ้ายที่เป็นบริวารของทักษิณ คนพวกนี้เคยสู้กับอเมริกา แต่วันนี้กลับมาเป็นเครื่องมือให้อเมริกาใช้ แล้วเที่ยวมาหาว่าตนเอาในหลวงมาเล่นการเมือง ตนออกมาสู้ขนาดนี้แล้วยังมีการเหิมเกริม ถ้าตนเงียบอยู่เฉยๆ ขบวนการพวกนี้จะขนาดไหน
       
       นายสนธิกล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 77 ระบุว่า รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณาภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีทันสมัยที่จำเป็นและเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตย และความมั่นคงของรัฐ สถาบันกษัตริย์ ผลประโยชน์ของชาติ และการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ขณะนี้มีคนจ้องล้มสถายบันกษัตริย์ แม้พรรคเพื่อไทยจะอ้างว่าไม่เกี่ยว แต่พฤติกรรมในอดีตชัดเจนว่าเกี่ยวข้อง ขณะนี้มีความเสียหายจากการเสียดินแดนที่เขมรยึดครอง ความมั่นคงสั่นคลอนตั้งแต่เกิดน้ำท่วมที่รัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ หน้าที่ของทหารต้องออกมาทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 อย่ามาหาว่า ตนยุให้ปฏิวัติ คนที่ไปแจ้งความ ขอไปแจ้งให้เยอะๆ เลย
       
       นายสนธฺย้ำว่า ประเทศไทยจะอยู่รอดได้เราต้องพิทักษ์รักษาสถาบันกษัตริย์ ต้องรักชาติ นิยมชาติไทย เชื่อมั่นในชาติไทย ต้องเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้ได้ นอกจากนี้ เราต้องมีประสิทธิภาพในการทำงาน ให้ความยุติธรรมในการเข้าสู่ทุนแก่พ่อค้าแม่ค้าที่ต้องการทำมาหากิน ไม่ใช่รอแต่ให้นักการเมืองเอามาแจก ต้องดูแลรักษาป่าไม้ แหล่งน้ำ ทรัพยากรธรรมชาติไว้ให้ลูกหลานได้ใช้อย่างยั่งยืนต่อไป
       
       ในตอนท้ายนายสนธิ กล่าวฝากไปถึงนายบรรหาร ศิลปอาชา และทุกคนในตระกูลนี้ว่า เหตุการณ์พลุระเบิดและไฟไหม้ในงานตรุษจีนที่สุพรรณบุรีนั้น หลายคนบอกว่าเป็นเรื่องของความประมาท แต่ตนมองว่าเป็นเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถึงเวลาหรือยังที่ตระกูลศิลปอาชาจะทบทวนตัวเองว่าได้ทำอะไรโดยเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้งหรือไม่ คนเราไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น ตั้งแต่มีการสร้างมังกรมา ก็เคยเกิดไฟไหม้มาแล้ว และระเบิดครั้งนี้กุฎิพระก็ไม่เหลือ ไม่แน่ใจว่ากรรมกำลังตามมาทันหรือไม่ ยังไม่ช้าเกินไปที่จะเริ่มเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้งแล้วเสียสละจริงๆ เพื่อชาติบ้านเมือง เวลาจัดตั้งรัฐบาลนายบรรหารชอบมีความเห็นต่างๆ แต่เวลาในหลวงถูกเด็กเมื่อวานซืนบอกว่าต้องสาบานตนก่อนรับตำแหน่ง ห้ามมีพระราชดำรัสต่อประชาชน นายบรรหารไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ ในฐานะอดีตนายกฯ ที่เคยได้รับพระเมตตา ไปคิดูให้ดี อำนาจวาสนาเงินทองไม่มีความหมาย ไม่กี่ปีก็ตาย ขอให้ไฟไหม้ครั้งนี้ เป็นบทเรียนที่จะนำไปคิด
       
       คำต่อคำ : นายสนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการคนเคาะข่าว
       
       สวัสดีครับท่านผู้ชมและพี่น้องพันธมิตรฯ ที่รักทุกๆ ท่านที่กำลังดูรายการ ASTV อยู่ โดยผ่านเครือข่ายเคเบิลทีวีท้องถิ่น หรือว่ามีจานรับของตัวเอง ตลอดจนท่านที่ดูผ่านอินเตอร์เน็ต วันนี้เป็นวันที่ผมตั้งใจเป็นพิเศษ วันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2555 ที่ผมต้องการที่จะมาพูดจากับท่านผู้ชมและพ่อแม่พี่น้องชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
       
       วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2551 คือภาพใน VTR ที่พี่น้องได้ฟังผมพูดออกมาแล้ว เราจะสู้เพื่อในหลวง ณ วันนั้น เวลานั้น คำว่าเราจะสู้เพื่อในหลวงนั้น ผมโดนเยาะเย้ยถากถาง ดูหมิ่น เสียดสีด้วยคำพูด คุณเสนาะ เทียนทอง พูดออกมาว่า ท่านอยู่ของท่านสบายดีแล้ว ไม่ต้องไปสู้ให้ท่านหรอก คุณดิสธร วัชโรทัย คนในสำนักพระราชวังออกมาให้สัมภาษณ์บอกว่า ถ้ารักในหลวง ให้อยู่บ้าน ไม่ต้องออกมาสู้
       
       3 ปีกว่าที่ผ่านมา จากวันที่ 9 เดือนตุลาคม 2551 หรือถ้ามองย้อนหลังกลับไปยาวซักนิดหนึ่ง ตั้งแต่วันแรกที่ผมใส่เสื้อ เราจะสู้เพื่อในหลวงนั้น ที่แถลงข่าวบ้านพระอาทิตย์ หลังจากโดนปิดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ที่ช่อง 9 ไปนั้น ถ้านับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา 6 ปี กว่าเต็มๆ มันเป็นความหยั่งรู้ของผม หรือมันเป็นฌาณของผมกันแน่ มันไม่ใช่ แต่มันเป็นสิ่งที่ผมมองแล้วมันเกิดขึ้นแน่นอน เพราะสังคมไทยยังไม่สามารถจะรับรู้ และคนที่พร้อมจะรับรู้ก็ไม่ได้ถูกรับรู้โดยสื่อมวลชนที่ต้องทำหน้าที่สื่อมวลชน
       
       จากปี 2548 ปลายปีเป็นต้นมา สถาบันกษัตริย์และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นั้นถูกกัดกร่อนไปเรื่อยๆ ด้วยวิธีใต้ดิน บนดิน วิชามาร วิธีที่โสมม มาจนกระทั่งถึงเมื่อเร็วๆ นี้ ตัวตนที่แท้จริงของกระบวนการที่จะล้มพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นั้นก็โผล่ออกมาในนามของ"คณะนิติราษฎร์" ที่นำโดยเด็กรุ่นหลัง ที่ได้ทุนอานันทมหิดลไปเรียนที่ต่างประเทศ พร้อมทั้งคณะครูบาอาจารย์นักเขียน นักต่อสู้สมัย 14 ตุลาฯ ร้อยกว่าคนลงชื่อกัน
       
       ท่านผู้ชมครับ วันนี้เราต้องมาพูดกันให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งและถ่องแท้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีคณะนิติราษฎร์ ทำไมมันถึงมีกระบวนการเช่นนี้ แล้วทำไมถึงไม่มีใครทำอะไรกับมัน ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ด้วยคนไทย แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากกระบวนการในต่างประเทศ เข้ามาสู่คนไทยที่ต้องการจะขายชาติ ที่ต้องการจะล้มชาติ ล้มบ้านล้มเมือง
       
       กระบวนการพวกนี้เคยมีบทความชิ้นหนึ่ง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง เป็นบทความจากที่ไหน มันเป็นบทความที่ใช้ชื่อว่า Reform not Revolution for Thailand : ปฏิรูป ไม่ใช่ปฏิวัติในประเทศไทย และในบทความนี้ฝรั่งมันยังอ้างคำพูดหนึ่งในบทความนั้นว่า พระมหากษัตริย์ไทยคืออุปสรรคในการปฏิรูปประเทศ แล้วเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าบทความนี้มันมาจากองค์กรใด และองค์กรนั้นมันชื่ออะไร แล้วมันเกี่ยวข้องอย่างไรกับภาพรวมที่ผมจะเล่าให้ฟัง
       
       ท่านผู้ชมตามผมมานิดนึง ทุกอย่างมีที่มาที่ไป ผลที่เกิดขึ้นวันนี้ เหตุมันมี เรามามองย้อนหลังไปนิดนึง เราไม่ต้องมองไกล เรามองกันไม่ต้องไกลนัก เรามองย้อนหลังกลับไปช่วงที่สงครามเย็นมันยุติ สมัยก่อนโลกมันแบ่งออกเป็น 2 ค่าย ค่ายที่เขาอ้างว่า ค่ายเสรี ที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ กับอีกค่ายที่เขาเรียกว่า ค่ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีโซเวียตรัสเซีย เป็นผู้นำ วันที่มันสิ้นสุดสงครามเย็น ตามสัญลักษณ์แล้วคือวันที่กำแพงเบอร์ลินมันแตก กำแพงเบอร์ลินเป็นกำแพงที่กั้นระหว่างเยอรมนีตะวันออก กับเยอรมนีตะวันตก วันนั้น โซเวียตล่มสลาย รัฐบาลคอมมิวนิสต์ในเยอรมนีตะวันออกก็ล่มสลาย ก็มีการทุบกำแพงเบอร์ลิน เขาถึงเรียกว่า เป็นช่วงการทุบกำแพงเบอร์ลิน นั่นคือ สัญลักษณ์การสิ้นสุด ของสงครามเย็น ในบรรดานักคิด นักเขียนของสหรัฐอเมริกา มันมีคนญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นในอเมริกาคนหนึ่งชื่อ นายฟรานซิส ฟูกูยามา หมอนี่อยู่เบื้องหลังนโยบายเศรษฐกิจและทฤษฎีของการใช้ทุนนิยมสามานย์เพื่อรุกคืบเข้าไปทั่วโลก
       
       นายฟรานซิส ฟูกูยามา เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The End of History and Mankind จุดจบของประวัติศาสตร์และมนุษยชาติ นัยของหมอนี่กำลังบอกว่า ตอนนี้ประวัติศาสตร์จบแล้ว จากนี้ไปเป็นยุคของทุนนิยม
       
       ตอนนั้นมีฝรั่งอีกคนหนึ่งชื่อ นายแซมมวล พี. ฮันติงตัน คนนี้เขียนหนังสือเหมือนกันว่า เมื่อสงครามเย็นหมดแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ the Clash of Civilization การปะทะกันระหว่างวัฒนธรรม นั่นคือคนๆ นี้บอกว่า จะมีวัฒนธรรมมุสลิมปะทะกับวัฒนธรรมคริสต์ทางตะวันตก แต่สรุปแล้วโลกในขณะนั้นต้องการทุนนิยม
       
       เป็นครั้งแรกที่กำแพงเบอร์ลินแตก เป็นครั้งแรกที่ไม่มีโลกหลังม่านเหล็ก หรือโลกเสรี มีอยู่โลกๆ เดียวที่ทุกคนทางตะวันตกต้องการคือ โลกแห่งทุน ด้วยเหตุนี้เลยมีแนวความคิดของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ซึ่งให้ไอเดียขึ้นมา กลุ่มนี้เขาเรียกว่า กลุ่มฉันทมติกรุงวอชิงตัน หรือ Washington Consensus
       
       Washington Consensus คืออะไร คือความเห็นที่พวกเขากำหนดว่า จากนี้ไปโลกสรุปแล้วมันจะต้องมีกติกาอยู่ 4 ข้อ ข้อแรกที่ต้องการใช้ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Liberalization คือการเปิดเสรีหมด หมายความว่าทุกประเทศวันนี้ต้องเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ ครอบคลุมการเปิดเสรีทางการค้า เปิดเสรีทางการบริการ การเงินการลงทุน ซึ่งคนจะได้ประโยชน์คือกลุ่มซึ่งมีทุนสากล และบริษัทระหว่างประเทศ หมายถึงกลุ่มทุนยักษ์ต่างๆ นั่นคือข้อ 1 ที่เขาตั้งไว้
       
       ข้อที่ 2.คือ Stabilization จะต้องมีเสถียรภาพ เขาต้องการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เน้นเสถียรภาพของราคา ไม่เน้นปัญหาการว่างงาน คนจะตกงาน ช่างมัน ทั่วโลก แต่ขอให้ราคาที่เขาตั้งเอาไว้ไม่ตก
       
       ประการที่ 3 คือ Privatization คือการแปรรูป การแปรรูปคือการถ่ายโอนการผลิตของภาครัฐ เข้าไปสู่ภาคเอกชน เพราะเขาเชื่อว่าเอกชนนั้นมีความคล่องตัวในการทำงานมากกว่า ข้อที่ 4 ข้อสุดท้าย คือ Deregulation คือการลดการกำกับและการควบคุมของรัฐ ลดการแทรกแซงโดยรัฐ รวมถึงการลดขนาดของรัฐบาล
       
       ทั้ง 4 ข้อนี้คือฉันทมติกรุงวอชิงตันที่ฝรั่งคิดขึ้นมา เมื่อคิดขึ้นมาแล้ว การที่เขาจะทำได้ โดยที่เขาใช้นโยบาย 4 ข้อ อุปมาอุปไมยเหมือนเป็นกติกาใหม่ของโลกในขณะนั้น เขาก็เลยใช้เครื่องมือของเขา 3 เครื่องมือในการทำ เครื่องมือแรกก็คือ สถาบันธนาคาร IMF เครื่องมือที่ 2 ก็คือธนาคารโลก และเครื่องมือที่ 3 ก็คือองค์การการค้าโลก (World Trade Organization) ที่คุณศุภชัย พานิชภักดิ์ เคยไปเป็นผู้อำนวยการอยู่พักหนึ่ง 3 ตัวนี้ คือตัวซึ่งจะรุกเข้าไปในโลก
       
       2540 เมื่อเศรษฐกิจไทยพังทลาย ท่านผู้ชมและพี่น้องพันธมิตรหลายคนที่ได้รับพิษสงจากการล่มสลายเศรษฐกิจครั้งนั้น ก็จะค้นพบว่า IMF เข้ามาในประเทศไทย และยื่นเงื่อนไข 4 ข้อนี้ ว่า ถ้าจะได้ตังค์ไปช่วยประเทศไทยขณะนั้น ต้องทำตาม คือประการแรก เปิดเสรีทางการเงิน คือให้ธนาคารต่างชาติเข้ามา สามารถทำนู้นทำนี่ได้ อันที่สองคือ เสถียรภาพของราคา อันที่สามคือ การที่เราต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และนั่นคือที่มาของกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ที่เราต่อสู้มาตลอด กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ซึ่งท่านผู้ชมครับ จากปี 2540 ที่เราคัดค้านมา จนกระทั่งถึง 2555 15 ปีที่ผ่านมานี้ เราไม่ได้แก้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่เราทำตามเขาหมดทุกอย่าง เราแปรรูปกิจการของรัฐหลายแห่ง เราแปรรูป ปตท. ขายหุ้นออกไป เราแปรรูปการบินไทย ยังดีอยู่ในขณะนี้ ที่รัฐบาลยังถือหุ้นส่วนใหญ่ แต่ก็อีกไม่นาน เพราะรัฐบาลชุดนี้กำลังจะยึด ปตท. เอาไปขายให้เอกชน และผมจะอธิบายให้ฟัง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเมืองเมืองไทย และมันเกี่ยวอะไรกับขบวนการนิติราษฎร์ ขบวนการล้มเจ้า มันเกี่ยวโดยที่ท่านผู้ชมนึกไม่ถึง
       
       หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุนต่างๆ เริ่มกระจายตัวออกไปตามที่ต่างๆ เมื่อกระจายตัวตามที่ต่างๆ แล้ว ทุนขณะนั้นมีปัญหาในเรื่องของการที่สหรัฐอเมริกานั้นใช้เงินเกินตัว เมื่อใช้เงินเกินตัวแล้วสหรัฐอเมริกาก็พิมพ์ธนบัตรขึ้น เพราะว่าเขาได้เปลี่ยนหลักประกันของการพิมพ์ธนบัตรขึ้น จากทองคำ ใช้ทองคำเป็นมาตรฐาน ให้มาเป็นเงินสกุลดอลลาร์ ก็เลยทำให้อเมริกาสามารถจะพิมพ์เงินขึ้นได้ตลอดเวลา และอเมริกาเองนั้นมีบทบาทและมีอิทธิพลมากในพื้นภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นพื้นภูมิภาคที่จะต้องผลิตน้ำมัน
       
       เดี๋ยวผมจะให้ท่านผู้ชมไปดูแผนที่ของตะวันออกกลาง แล้วท่านผู้ชมจะเข้าใจ ถ้าท่านผู้ชมดูแผนที่ตะวันออกกลาง ซึ่งกำลังจะขึ้นให้ดู ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าตะวันออกกลางนั้น นี่คือตุรกี นี่คือซีเรีย นี่คืออิรัก นี่คือซาอุดีอาระเบีย นี่คืออิหร่าน อัฟกานิสถาน นอกนั้นก็เป็นเล็กๆ ดูไบบ้าง เล็กน้อย
       
       ท่านผู้ชมครับ ตามผมมา สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และยุโรป ยึดครองซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุด เมื่อยึดครองซาอุดีอาระเบียแล้ว สหรัฐอเมริกาก็ยึดครองคูเวต โดยผ่านผู้ครองแคว้น แล้วก็เอาบริษัทน้ำมันนั้นเข้าไปผูกขาดการผลิตน้ำมัน
       
       เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาตก การที่อเมริกาใช้เงินดอลลาร์พิมพ์ออกไปมาก ไม่มีทองคำอยู่ในประเทศ ที่จะเอามาสนับสนุนการพิมพ์เงิน วิธีการก็คือกู้หนี้ยืมสิน วิธีกู้หนี้ยืมสินก็คือ เมื่อใครมีดอลลาร์ ประเทศไทยส่งออกเป็นเงินดอลลาร์ มีเท่าไรก็จะไม่เก็บเอาไว้ ต้องเอาไปซื้อพันธบัตรอเมริกา ก็คือเอาเงินที่เราขายของได้ เอาไปซื้อพันธบัตรเขา ให้เขากู้ต่อ เขาก็จะได้เอาเงินกู้ก้อนนั้นเอามาทำสงครามต่อ แล้วก็เอามายึดที่ต่างๆ ที่เขาต้องการยึด
       
       เหตุการณ์ที่เปลี่ยนทุกอย่างออกไปก็คือ 9/11 เหตุการณ์เวิลด์เทรด เวิลด์เทรดซึ่งอุซามะห์ บิน ลาดิน โดยใช้ผู้ก่อการร้ายของอัลกออิดะห์ บินเครื่องบินแล้วไปทำลายเวิลด์เทรด ตรงนั้นทำให้แผนและความฝันของพวกสายเหยี่ยวที่ต้องการจะยึดโลกแห่งพลังงานเกิดขึ้น ด้วยการที่ก้าวเข้าไปยึดอิรัก ท่านผู้ชมที่เคยติดตามผมมาตลอดเวลา จำได้ไหม ผมเป็นคนพูดกับท่านผู้ชม ตั้งแต่สมัยเมืองไทยรายสัปดาห์ ผมบอกว่ายังไง วันนั้นเขาไปบุกอัฟกานิสถาน เพื่อไปปราบบิน ลาดิน ผมบอกว่า อัฟกานิสถานคือการสับขาหลอก ที่จริงแล้วเขาต้องการจะยึดอิรัก เพราะอิรักมีแหล่งน้ำมันที่พิสูจน์ได้ชัด ว่ามีมาก และเขาต้องการที่จะเข้าไปอิรัก และยึดอิรัก ด้วยเหตุนี้ ถึงมีการโกหกระดับโลกขึ้นว่า ซัดดัม ฮุสเซน นั้น มีอาวุธที่ทำลายอย่างร้ายแรงซ่อนในอิรัก เพื่อเป็นข้ออ้างให้ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ส่งทหารเข้าไปยึดอิรัก
       
       ผมก้าวข้ามไปนิด พี่น้องรู้ไหมว่า สมัยหนึ่ง ที่เรามีสนธิสัญญาเบาว์ริง สนธิสัญญาอัปยศ ที่ประเทศไทยจำเป็นต้องทำกับอังกฤษ ทำให้อังกฤษระบุได้ว่า คนที่จะมาค้าขายกับประเทศไทย คนอังกฤษ สามารถเดินทางไปไหนก็ได้ สามารถจะขนเงินออกนอกประเทศไปได้ สามารถซื้อโดยตรงกับแหล่งขายสินค้าได้ และก็มีสิทธินอกเขตราชอาณาจักรได้ทางกฎหมาย
       
       ท่านผู้ชมและพี่น้องเชื่อหรือเปล่า ว่าอิรัก ณ วันนี้ หลังจากอเมริกาเข้าไปยึดแล้ว สิทธินอกอาณาเขตและสิทธิต่างๆ ในอิรัก ไม่ได้ต่างจากสนธิสัญญาเบาว์ริงเลยแม้แต่นิดเดียว และรัฐบาลชุดปัจจุบัน ก็เป็นรัฐบาลที่อเมริกาเป็นคนตั้งขึ้นมา ทำไมผมต้องเอาเรื่องอิรักมาพูด ที่ผมต้องการเอาเรื่องอิรักมาพูด เพราะผมต้องการชี้ให้เห็นว่า วันนี้เราอย่าไปคิดว่า อเมริกาเป็นเพื่อนเรามา 100 กว่าปี ไม่มีคำว่าเพื่อน เมื่อผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง และไม่มีคำว่าเพื่อน ถ้ามีคนขวางการรุกทางทุนของเขา ถ้าเป็นระดับที่เป็นพ่อหลวงของเรา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งเน้นเศรษฐกิจพอเพียง อเมริกาถือว่า พระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นอันตรายต่อการปฏิรูปประเทศ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังต่อ ว่าเขาทำยังไงบ้าง พี่น้องจะต้องเข้าใจ
       
       เพราะฉะนั้นแล้ว ในขณะนี้ เวลานี้ อเมริกาถอนทหารจากอิรักแล้ว ซาอุดีอาระเบียเหมือนเดิม อัฟกานิสถานกำลังจะแก้ปัญหาอยู่ เหลืออยู่อย่างเดียวคืออิหร่านเท่านั้น ซึ่งเป็นหนามยอกอกอเมริกา พี่น้องไม่สังเกตเลยหรือว่า เขาทำไมถึงถอนทหารจากอิรัก ทั้งที่เขาก็รู้ว่า อิรัก ถอนทหารออกไปแล้วมันไม่สงบ ที่เขาต้องการทำเช่นนี้ เพราะเขาต้องการทิ้งตะวันออกกลาง ทำไมต้องทิ้งตะวันออกกลาง เพราะน้ำมันในตะวันออกกลาง อิรักและซาอุดีอาระเบียนั้น ถึงจุดที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Peak Oil
       
       Peak Oil หมายความว่า มันจะเริ่มลดน้อยลงๆๆ ไปเรื่อยๆ ประกอบกับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2551 ที่มีวิกฤตทางการเงินเกิดขึ้น 2008/2551 เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาพังทลาย แล้วลามไปจนถึงเงินยูโรที่เริ่มพังทลาย ลามไปจนถึงประเทศกรีก ใกล้ล้มละลาย ไอร์แลนด์ใกล้ล้มละลาย อิตาลีใกล้ล้มละลาย เงินสกุลยูโรนั้นอ่อนแรงไม่ต่างจากเงินดอลลาร์ เขามีอยู่ตัวเดียวที่เขาจะสร้างได้ ก็คืออิหร่าน คือการสร้างสงครามกับอิหร่าน และขณะนี้การเดินทางไปเพื่อสร้างสงครามนั้น เดินทางไปไกลแล้ว
       
       อเมริกามองว่า ถ้าเขาเริ่มสงครามที่อิหร่านแล้ว 1. จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ 2. ถ้าเขาชนะเขาได้บ่อน้ำมันในอิหร่านอีก
       
       เอาล่ะพักสักครู่ แล้วย้ายมาที่กลุ่มประเทศอาเซียน แล้วเราจะเห็นชัดเจน (ขอแผนที่ครับ)
       
       พี่น้องตามผมมา อินเดียเป็นประเทศเกิดใหม่ ชนชั้นกลางอินเดียกำลังเกิดขึ้น อินโดนีเซียมีประชากรเกือบ 200 ล้านคน ชนชั้นกลางกำลังเกิดขึ้นในอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม มีประชากรเกือบร้อยล้าน ชนชั้นกลางในเวียดนามกำลังเกิดขึ้น ฟิลิปปินส์เปรียบเสมือนเป็นเมืองขึ้นอเมริกาอยู่แล้ว ถ้านับกลุ่มประเทศอาเซียนทั้งหมด รวมไปจนถึงลาว เขมร พม่า บรูไน มาเลเซีย รวมไปแล้วเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียนนี้ กำลังซื้อของกลุ่มประเทศอาเซียน คนมีประมาณ 500 กว่าล้านคน ใน 500 กว่าล้านคนนั้น ต้องมีชนชั้นกลางประมาณ 100 ล้านคน หยุดตรงนี้ก่อนพี่น้อง จำตรงนี้เอาไว้หน่อย แล้วเดี๋ยวเราจะกลับมา
       
       ต่อไปที่แผนที่เอเชียใต้ นี่คือแผนที่ใหญ่ทางเอเชีย พี่น้องจะเห็นประเทศจีนอยู่ที่นี่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น กับเกาหลี ตัดทิ้งไปได้เลย เพราะญี่ปุ่น กับเกาหลี อยู่ภายใต้อิทธิพลของอเมริกาอยู่แล้ว เหลือแต่ประเทศจีน
       
       เป็นเวลานานพอสมควรที่อเมริกามัวไปยุ่งกับสงคราม กับอัฟกานิสถาน สงครามในอิรัก ปัญหาทางตะวันออกกลาง จีนก็เลยเจริญเติบโตเอาๆๆ จนกระทั่งจีนเปลี่ยนตัวเองเป็นโรงงานอุตสาหกรรมโลก ก็คือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในโลก ที่ผลิตได้ ผลิตในประเทศจีนหมด
       
       การเจริญเติบโตของจีนจากการที่เขาบริหารงานจากศูนย์รวมศูนย์กลาง ทำให้เศรษฐกิจจีนโตปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 20 ปีติดต่อกัน ของจีนนั้นเจริญเติบโตต่ำที่สุด คือ 9 เปอร์เซ็นต์ หรือ 8 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุนี้จีนก็เลยขยายอิทธิพลออกมาในพื้นภูมิภาคนี้ โดยผ่านทะเลจีนตอนใต้ เข้ามาสู่ทางกลุ่มประเทศอาเซียน จีนจะเป็นคนที่หนุนหลังพม่า ที่นี่ ตลอดเวลา สมัยที่พม่ายังไม่เปิดประเทศ สมัยที่พม่ายังจับออง ซาน ซู จี ขังอยู่ที่บ้าน จีนจะเป็นคนให้กำลังใจ ให้การสนับสนุนทางด้านการเงินทุกอย่าง เพราะจีนเองก็ต้องการจะมีอิทธิพลในอาเซียนเช่นกัน ติดอยู่ตรงที่เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ในเรื่องของหมู่เกาะสแปรตลีย์ หมู่เกาะสแปรตลีย์จะอยู่แถวๆ นี้ เป็นหมู่เกาะซึ่งเวียดนามก็อ้างสิทธิ์ ฟิลิปปินส์ก็อ้างสิทธิ์ จีนก็อ้างสิทธิ์ ไต้หวันก็อ้างสิทธิ์ แม้กระทั่งมาเลเซียยังอ้างสิทธิ์เลย
       
       หมู่เกาะสแปรตลีย์นั้นเป็นหมู่เกาะที่มีน้ำมันอยู่เยอะมาก พี่น้องครับ ผมกำลังก้าวเข้าไปสู่จุดสำคัญจุดหนึ่ง ซึ่งกำลังชี้ให้เห็นว่า การเมืองเมืองไทยนั้นมันเป็นเรื่องของน้ำมันเสีย 70-80 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันตรงนี้จีนไม่ยอม จีนบอกหมู่เกาะนี้เป็นหมู่เกาะของเขา ก็มีการเกิดการปะทะกัน แต่ไม่ได้ถึงขั้นตาย แต่เผชิญหน้ากันตลอดเวลา อิทธิพลของจีน จีนก็ส่งเรือรบ จีนพัฒนาเรือรบ จีนกำลังเริ่มทำเรือบรรทุกเครื่องบิน จีนทำทุกอย่างเพื่อแสดงแสนยานุภาพของจีน
       
       เวียดนามก็เริ่มอึดอัดใจกับจีน เพราะเวียดนามมีความรู้สึกว่าจีนใหญ่เกินไปที่เวียดนามจะไปขวาง เพราะฉะนั้นแล้วเวียดนามก็เลยเปิดประตูให้อเมริกาเข้ามาร่วมสังฆกรรมกับเวียดนาม อเมริกาก็เลยถือโอกาสเข้าไปเริ่มขายอาวุธให้เวียดนาม เริ่มสนับสนุนเวียดนาม และเริ่มให้กำลังใจเวียดนาม ด้วยการที่ นางฮิลลารี คลินตัน ไปเยือนเวียดนาม ที่กรุงฮานอย แล้วให้สัมภาษณ์ว่าทะเลจีนตอนใต้ เป็นทะเลสากล ใครจะไปใครจะมาก็ได้ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งที่มีสิทธิ์ที่จะใช้ทะเลสากลเป็นทะเลของตัวเอง นั่นคือเป้าที่อเมริกาต้องการชนกับจีนเต็มตัว
       
       หลังจากนั้นแล้วในปี 2552 นางคลินตันใช้เวลา 9 ครั้งในปี 2552 เยือนประเทศอินโดนีเซีย เยือนประเทศไทย ยุครัฐบาลชุดอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในที่สุดตัดสินใจเข้าไปยุ่งกับพม่า ทั้งๆ ที่สมัยก่อนอเมริกามีนโยบายที่เลิกยุ่งกับพม่า บอยคอต ไม่สนใจ ตัดการทูต เริ่มเข้าไปยุ่งกับพม่า จนกระทั่งมีการเปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับพม่า
       
       ทั้งหมดนี้คือการที่อเมริกาประกาศอย่างชัดเจนว่า ตัวเองจะกลับมาที่เอเชีย-แปซิฟิก และจะอยู่ที่นี่อย่างถาวร และจะอยู่อย่างมั่นคง และจะมาร่วมกับหุ้นส่วนในประเทศนี้เพื่อทำการค้าขาย ถ้าแปลอย่างนักเลงคือ จะเข้ามาปล้นความมั่งคั่งพื้นภูมิภาคนี้อย่างแน่นอน เพราะยุโรปพังทลายไปแล้ว อเมริกาก็พังทลายไปแล้ว เหลือแห่งเดียวเท่านั้นเองในโลกนี้ คือ พื้นภูมิภาคนี้เท่านั้นเองที่ยังคงความมั่งคั่ง คงความมั่งคั่งเพราะว่า ประชากรที่เป็นชนชั้นกลางกำลังเกิดขึ้น จีนประชากรชนชั้นกลางเกิดขึ้นเป็นร้อยล้านคน ประเทศไทยมีอยู่แล้ว เวียดนามกำลังเกิดขึ้น ฟิลิปปินส์กำลังเกิดขึ้น พม่าอีกหน่อยก็เกิดขึ้น อินเดียก็เริ่มมี อินโดนีเซียเพิ่งจะซื้อเครื่องบินโบอิ้งอเมริกา 100 กว่าลำ เป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท อเมริกาถึงรักอินโดนีเซียมาก
       
       ที่ผมต้องพูดเรื่องนี้เพราะผมกำลังจะชี้ให้เห็นว่า ทิศทางของการค้า ทิศทางของโลกมันจะไปอย่างไร แล้วเกี่ยวกับเมืองไทยได้อย่างไร ที่สำคัญที่สุดคือ น้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันในอ่าวไทย หรือน้ำมันในหมู่เกาะสแปรตลีย์ ทำไมประเทศไทยกับเขมรมาทะเลาะกันในเรื่องที่ๆ มัน ที่คนบางคนบอกว่า เป็นที่เท่าแมวดิ้นตาย ไม่คุ้มค่า ที่ต้องทะเลาะเพราะว่า ถ้าเราสูญเสียดินแดนบนดิน เมื่อลากเส้นตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เราจะเสียดินแดนบนทะเล ซึ่งควรเป็นของเราเศษ 3 ส่วน 4 เป็นของเขมร 1 ส่วน 4 จะกลายกลับกันว่าจะได้แค่ 1 ส่วน 4 และเขมรได้ 3 ส่วน 4
       
       พี่น้องครับ รู้ไหมว่า ประเทศไทยให้สัมปทานน้ำมันกับบริษัทฝรั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทอเมริกัน ยูโนแคล ซึ่งตอนหลังถูกบริษัท เชฟรอน ซื้อไป ให้สัมปทานตั้งไม่รู้กี่หลุมในอ่าวไทย และแถบนี้ พี่น้องรู้ไหมว่า ค่าสัมปทานที่เราได้รับจากเขา หรือที่เราเรียกว่า ค่าภาคหลวงนั้น เมื่อเทียบกับค่าภาคหลวง ค่าสัมปทานที่ประเทศอื่นเขาได้จากบริษัทน้ำมันที่ไปได้สัมปทานนั้น ต่ำมากๆ คือ พูดง่ายๆ ว่า เราโง่ และเราถูกฝรั่งหลอก ขณะเดียวกัน นักการเมืองเรา และข้าราชการเราสมรู้ร่วมคิดกับฝรั่งขายชาติ ขายบ้าน ขายเมือง ให้ฝรั่งเสียค่าสัมปทานน้อยลง
       
       พี่น้องครับ เทคโนโลยีดาวเทียมทุกวันนี้ ที่พี่น้องเห็นในหนัง ที่มันย่อคนลงมาจากพื้นดิน สามารถดึงออกมาให้เห็นขึ้นมาในจอนั้น ที่เห็นในหนังมันล้าสมัยนะ เทคโนโลยีดาวเทียมของต่างชาติ ทันสมัยมาก ถึงกับมีดาวเทียมเพื่อตรวจสอบทรัพยากรธรรมชาติ เขาสามารถใช้ดาวเทียมดูไหล่ทวีป ใช้การค้นคว้า ฝรั่งพวกนี้ เชฟรอนพวกนี้ เขาจะมีบ่อแท่นขุดเจาะน้ำมันหลายจุดในอ่าวไทย คนพวกนี้จะมีประดาน้ำ เขาจะลงไปดู และเขาจะดูจุดนู้นจุดนี้ เขาจะรู้ว่าในอ่าวไทยยังมีน้ำมันอีกเท่าไร และต้องมีน้ำมันอีกมากมายมหาศาล เพราะถ้าไม่มีมหาศาล เขาจะไม่มีวันที่จะมาใช้วิธีการเล่นการเมืองในเมืองไทย เพื่อล้มสถาบันกษัตริย์ของเราครับ พี่น้อง นี่คือจุดสำคัญที่ผมต้องการพูด
       
       เรามาดูทะเลจีนใต้นิดหนึ่ง พี่น้องครับ นี่คือทะเลจีนใต้ South China Sea อเมริกากับอินโดนีเซีย เรียบร้อยไปแล้ว อินโดนีเซียไม่ชอบประเทศจีน บรูไนตัดทิ้งไป อินโดนีเซียขณะนี้กลายเป็นดวงตาขวัญใจของอเมริกา เพราะข้อที่ 1 ชนชั้นกลางกำลังโต จากประชากร 290 ล้านคน เขาต้องมีชนชั้นกลางหลายสิบล้านคน สำหรับบรรษัทต่างๆ ในประเทศอเมริกานั้นตาลุกโพลง ว่าอินโอนีเชียคือแหล่งซึ่งทุนสามารถเข้าไปได้ และกอบโกยความมั่งคั่งกลับไป แล้วอินโดฯ ยังมีบ่อน้ำมัน
       
       ตรงนี้คือปัญหาทะเลจีนตอนใต้ เป็นปัญหาที่อเมริกาจะต้องเข้ามาแทรกแซง เพื่อให้เวียดนามมีสิทธิ์ในทรัพยากรทะเลจีนตอนใต้ หรืออย่างน้อยที่สุดไม่ให้ตกเป็นของจีนเจ้าเดียว แล้วอเมริกาจะได้ไปขอแบ่งส่วนแบ่งประโยชน์จากเวียดนาม ในแง่ของการร่วมลงทุนเพื่อเอาพลังงานออกมา พม่า อเมริกาเริ่มเข้าไปแล้ว มาเลเซีย ขณะนี้อเมริกากำลังสนับสนุนอันวาร์ อิบราฮิม อย่างเต็มที่ เพราะอันวาร์ อิบราฮิม เป็นคนที่ยืนอยู่ฝั่งตะวันตก
       
       พี่น้องพันธมิตรฯ และท่านผู้ชม สำหรับหลายท่านที่ยังจำเหตุการณ์ 2540 ไม่ได้ ผมจะเล่าให้ฟัง ปีนั้นคือปี 1997 2540 ปีนั้นเป็นปีล่มสลายทางเศรษฐกิจ อินโดนีเซียล่มสลาย ประเทศไทยล่มสลายก่อนอินโดนีเซีย อาร์เจนตินา ชิลี มีมาเลเซียประเทศเดียวไม่ล่มสลาย เหตุผลเพราะว่ามาเลเซียสั่งปิดประเทศ ท่านมหาเธร์บอกว่า วันนี้ห้ามซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินริงกิต ท่านให้เวลาคนถือเงินริงกิตที่ถืออยู่นอกประเทศ เอาเงินริงกิตมาขายคืนรัฐบาลกลางมาเลเซีย ภายใน 24 ชั่วโมง ถ้าพ้น 24 ชั่วโมงแล้วไม่รับซื้อ เท่ากับปิดประเทศ ผมยังจำได้วันนั้น ซีเอ็นเอ็นออกข่าวด่ามาเลเซีย วอลสตรีท ลงบทความด่า หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นของคุณสุทธิชัย หยุ่น ลงบทความด่ามาเลเซีย ไฟแนนเชียลไทมส์ของอังกฤษด่ามาเลเซีย
       
       พี่น้องพันธมิตรฯ และท่านผู้ชม มีแต่ผู้จัดการของพวกเราที่ชมมาเลเซียว่าทำถูกต้องแล้วที่ต้องปกป้องตัวเราเองก่อน ไปเปิดประเทศให้มันเข้ามาปู้ยี่ปู้ยำได้อย่างไร แล้วคนที่เข้ามาปู้ยี่ปู้ยำก็คือ จอร์จ โซรอส ซึ่งนายจอร์จ โซรอส คือตัวละครอีกตัวหนึ่งที่มีเจตนามุ่งมั่นที่จะล้มสถาบันกษัตริย์เช่นกัน เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟัง นี่โหมโรงเท่านั้นเอง ตอนแรกนี่แค่โหมโรง
       
       เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า ในขณะนี้ถ้าอันวาร์ อิบราฮิม มีโอกาสกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง อเมริกาจะมีความสุข เวียดนามต้องพึ่งอเมริกา เพราะว่าต้องใช้อเมริกามาคานอำนาจจีน เขมร ไม่มีความหมาย เพราะเขมรนี่เป็นลูกไล่ของเวียดนามอยู่แล้ว ประเทศลาวเล็กจนเกินไป ไม่มีความสำคัญ ไม่มีแหล่งพลังงานนอกจากแหล่งพลังงานน้ำ ในทางเขื่อน พม่า อเมริกาเข้าไปแล้ว เหลือประเทศไทย เหลือแค่ประเทศไทย ที่อเมริกาต้องเข้ามายึดให้เบ็ดเสร็จ คำว่า ยึดคือยึดทางเศรษฐกิจ ยึดทางนโยบาย พี่น้องครับ ภาพรวมของทั้งหมด จีนยังเป็นอะไรบางอย่างที่เป็นหนามยอกอกอเมริกาอยู่ อเมริกาไม่ต้องการคบจีนอย่างเท่าเทียมกัน อเมริกาต้องการมีอำนาจเหนือจีน แต่จีนไม่ยอม เพราะจีนเขาถือว่า นี่คือขอบขัณฑสีมาของเขา ที่เขามีอิทธิพล อเมริกาจับมืออินเดียเรียบร้อยแล้ว จีนจับมือปากีสถาน วันนี้ อเมริกาเริ่มแทรกเข้าไปในปากีสถาน เพื่อแย่งปากีสถานออกจากจีน
       
       เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเขาได้อินเดีย เขาได้ปากีสถาน ได้เวียดนาม ได้เขมร ได้ญี่ปุ่น เกาหลี ได้มาเลเซีย ได้อินโดนีเซีย เขาได้ไทย เท่ากับเขาปิดล้อมจีนหมดเลย พี่น้องเห็นหรือยัง เขาจะปิดล้อมจีนด้วยการเขาได้อินเดีย บังกลาเทศไม่มีความหมาย เขาได้พม่า เขาได้ไทย เขาได้เวียดนาม ซึ่งได้เขมรเป็นของแถม เขาได้มาเลเซีย และเขาได้อินโดนีเซีย ญี่ปุ่นเป็นของเขา เกาหลีใต้เป็นของเขา โชคยังดีที่ไต้หวัน ที่นาย หม่า อิง จิ่ว พรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งมีนโยบายจะปรองดองกับจีนได้รับเลือกกลับเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ถ้าไม่เช่นนั้น เป็นฝ่ายตรงข้าม ซึ่งต้องการจะแยกไต้หวันเป็นเอกราชจากจีน อเมริกาก็จะยิ้มและเข้ามาแทรกแซงสร้างความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวัน
       
       พี่น้องเห็นภาพใช่ไหม เดี๋ยวเราพักกันซักครู่หนึ่ง แล้วมาตอนที่ 2 และพี่น้องจะเริ่มเข้าใจอะไรอีกเยอะเลย เดี๋ยวพบกันครับ
       
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #678 เมื่อ: 28 มกราคม 2555, 12:01:56 »

 เรากลับมาช่วงที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญมาก แต่ยังไม่สำคัญที่สุดของเรื่องราวต่างๆ ที่ผมต้องการชี้ให้เห็น ก่อนที่ผมเข้ารายละเอียด ท่านผู้ชมฟังผมซักนิด พวกเราจะโดนอิทธิพลจากทางตะวันตกเข้ามาครอบงำในเรื่องค่านิยมมากมาย หลายๆ เรื่องในค่านิยมที่พวกเราถูกครอบงำมีอย่างเช่น เขาบอกว่ามีความเป็นสากล เช่น รัฐบาลต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งจะบริสุทธิ์ยุติธรรมแค่ไหน ทางสากล ซึ่งวงเล็บหมายถึง สหรัฐอเมริกา และทางยุโรปนั้น ไม่ได้สนใจ จะโกงให้ตายไม่เป็นไร จะเอาเงินยัด กกต. เพื่อให้ กกต.หลับตาข้างหนึ่งเขาก็ไม่สนใจ ขอให้มี ส.ส.เข้ามาละกัน ขอให้มีการยกมือในสภา เมื่อยกมือในสภาแล้ว จะปล้นชาติ ปล้นบ้าน ปล้นเมือง จะเอา ปตท. ไปเป็นของเอกชน หรือจะเอาแปรรูปนู้น แปรรูปนี้ ฝรั่งก็ไม่สนใจ กลับดีซะอีก เพราะจะได้เข้าทางเขา ด้วยเหตุนี้ ฝรั่ง เมื่อผมพูดถึงฝรั่ง ผมหมายถึงประเทศทางตะวันตก ทั้งอเมริกาและยุโรป ก็จะมีชุดภาษาของเขา ชุดความคิด เพราะว่า 1 ต้องมีการเลือกตั้ง ส่วนจะเลือกแบบไหน โกงยังไง เรื่องของคุณ
       
       ชุดภาษาที่ 2 คือสิทธิมนุษยชน ก็คำว่า สิทธิมนุษยชนของเขา ขึ้นอยู่กับเขาจะเลือกสิทธิมนุษยชนประเภทใด ประเทศที่เขาต้องการล้มล้าง เขาก็จับผิดประเทศนั้นเรื่องสิทธิมนุษยชนของประเทศนั้น ที่ทำร้ายประชาชน เหมือนเช่นประเทศไทย พวกกลุ่มเสื้อแดงที่ถูกคนชุดดำยิง เขาก็บอกว่า เราละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ครั้งหนึ่งที่เราปราบปรามยาเสพติดในยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนถูกฆ่าตัดตอน 2 พันกว่าคน วันนี้ เขาไม่พูดถึง เพราะไม่ได้ให้ประโยชน์กับเขา แต่ถ้าเอาเรื่องทหารไปยิงเสื้อแดง ให้ประโยชน์แก่เขา เขาจะได้ล้มสถาบันทหารง่ายๆ และสถาบันทหารก็ล้มง่ายด้วย เพราะทหารชั้นผู้ใหญ่ยุคนี้ เห็นแก่ได้ ไม่ได้เห็นแก่ลูกน้องเลยแม้แต่นิดเดียว
       
       ชุดความคิดชุดที่ 3 คือความโปร่งใส เขาจะเน้นความโปร่งใสธรรมาภิบาล สมัยปี 2540 ตอนที่เศรษฐกิจล่มสลาย ฝรั่งหัวทองมาด่าพวกเรา ว่าพวกเราเป็น crony capitalism เขาเรียกว่าเป็นนายทุนจอมตอแหล กลับdลอก หน้าไหว้หลังหลอก หลายมาตรฐาน สมัยนั้น เขาออกกฎ เขาประกาศเลยว่า ห้ามไม่ให้รัฐบาลไทย ห้ามไม่ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย เข้ามาช่วยสถาบันการเงิน ไฟแนนซ์เอกชน ไม่ให้เข้ามา เพราะเขาบอกว่า ผิดกฎ ไม่ถูกต้อง แต่มาปี 2551 เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตอนที่แบงก์อเมริกาล่ม นายจอร์จ บุช นายบารัก โอบามา อนุมัติเงินจากรัฐบาลไปสนับสนุนแบงก์อเมริกา ไปสนับสนุนแบงก์โน้นแบงก์นี้ สำหรับเขาแล้วทุนนิยมของเขาถ้าเขาทำนั้นโปร่งใส สะอาด แต่ถ้าคนอื่นทำนั้น 2 มาตรฐาน เพราะฉะนั้นประเทศพวกนี้เป็นประเทศที่ดีแต่พูด เป็นประเทศปากเสีย เป็นประเทศโกหกหลอกลวง
       
       ทีนี้เมื่อเขาทำอย่างนี้มันหมดยุคของการใช้ฉันทมติกรุงวอชิงตัน แล้วตอนนั้น เพราะยุคนั้นใช้ 3 ขา คือ ธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ และดับเบิ้ลยูทีโอ ตอนนี้บริษัทของเขาเริ่มใหญ่โตขึ้นมา พี่น้องเคยคิดหรือเปล่าว่า บริษัทแอปเปิล ยอดขายบริษัทแอปเปิลยังมากกว่างบประมาณประเทศไทยเกือบ 10 เท่า เงินสดที่แอปเปิลมีอยู่ในมือ ยังมากกว่าเงินสดที่ประเทศไทยมี เพราะฉะนั้นบริษัทอย่างแอปเปิลมีเยอะ กลายเป็นว่าวันนี้การเมืองทางตะวันตก
       
       โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองทางอเมริกานั้น ไม่ใช่การเมืองเพื่อประชาชนแล้ว คนที่เป็นเจ้าของพรรครีพับลิกัน และเดโมแครต คือนายทุนทั้งสิ้น ใครเป็นคนเปิดเสรีโลกเรื่องทางการเงิน ถ้าไม่ใช่ นายบิล คลินตัน สามีนางฮิลลารี คลินตัน แล้วผลพวงของการเปิดเสรีครั้งนั้นทำให้ในที่สุด 10 กว่าปีให้หลัง ทำให้อเมริกาและโลกต้องพังทลายเป็นเงินถึงหลายล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากความโลภของการเปิดเสรี เพราะฉะนั้นแล้ว วอลล์สตรีท สถาบันการเงินคือตัวหนุนหลังพรรคเดโมแครต
       
       รีพับลิกัน ตัวหนุนหลังคือบริษัทน้ำมัน นายจอร์จ บุช ธุรกิจครอบครัวเกี่ยวกับน้ำมันมานานแล้ว นายดิ๊ก เชนีย์ อดีตรองประธานาธิบดีนายจอร์จ บุช คือใคร คืออดีตประธานบริษัท ฮัลลิเบอร์ตัน ซึ่งฮัลลิเบอร์ตันวันนี้มีธุรกิจอยู่ในเมืองไทย มีธุรกิจอยู่ในเมืองแขก ที่ใดที่มีน้ำมัน ฮัลลิเบอร์ตันมีหมด เพราะฉะนั้นแล้ว ริพับลิกันคือบริษัทน้ำมัน เดโมแครตคือ วอลล์สตรีท ซึ่งระหว่าง 2 กลุ่มนี้ น้ำมันกับวอลล์สตรีท ใครเลวกว่ากันใครชั่วกว่ากันนี้คงต้องวัดด้วยภาพถ่าย เพราะว่าเลวพอๆ กัน แต่ในที่สุดแล้วบริษัทน้ำมันกับวอลล์สตรีท นอนเตียงเดียวกัน เพราะเป็นเงินทั้งสิ้น บริษัทน้ำมันต้องการทุนจากวอลล์สตรีท หรือวอลล์สตรีทต้องการบริษัทน้ำมันเข้ามากู้หนี้ยืมสิน จ่ายเงิน จ่ายดอกเบี้ย
       
       ท่านผู้ชม พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นอกจากกลุ่มบริษัทเหล่านี้แล้วเขายังมีบริษัทอีกเยอะแยะ บริษัทการเงิน เช่น โกลด์แมน แซคส์, เบคเทล คือบริษัทที่ทำสงครามในโลกนี้ ขายอาวุธสงคราม หลายบริษัท มอนซานโต บริษัทที่เอาพืช GMO ออกไปกระจายขายทั่วโลก บริษัทยาอย่างเช่น ไฟเซอร์ เมอร์ค ชาร์ป แอนด์ โดห์ม บริษัทพวกนี้ใหญ่มาก ใหญ่กว่าประเทศไทยหลายเท่า เพราะฉะนั้นอำนาจ อิทธิพลเขามี บริษัทน้ำมัน เอ็กซอน บริษัทน้ำมันเชฟรอน คนพวกนี้คือกลุ่มคนชุดใหม่ที่กำลังพยายามจะครองโลก ด้วยการเอาทุนนั้นรุกเข้าไปในประเทศ เข้าไปสู่พลังงาน เข้าไปเปิดเสรี เข้าไปทำธุรกิจอันโน้น ทำธุรกิจอันนี้ แล้วดูดเอาความมั่งคั่งกลับไปที่ประเทศของตัวเองตลอดเวลา
       
       เพราะฉะนั้นแล้ว การที่นายบารัก โอบามา บอกว่าวันนี้เอเชียแปซิฟิก คือศูนย์กลางของโลก เขาพูดไม่ผิด เพราะทั่วโลกเจ๊งหมดแล้ว เหลือเฉพาะเอเชียแปซิฟิกเท่านั้น จีนก็เลยเป็นก้างขวางคอของเขา
       
       วิธีการที่พวกนี้เขาจะรุกคืบเข้าไปในประเทศนั้นเขามีหลายวิธี ในอเมริกานั้นมันจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน อเมริกานั้นชอบมีสำนัก สถาบัน ที่เขาเรียกว่า Think Tank เหมือนทีดีอาร์ไอของเมืองไทย จริงๆ ทีดีอาร์ไอเมืองไทยก็เลียนแบบอเมริกามาไม่ผิดเลย
       
       Think Tank ยังไงบ้าง เขามี Brooking Institute พวกนี้คือพวกกำหนดนโยบาย นั่งคิด พวกนี้เอาเงินที่ไหน ก็พวกบริษัทต่างๆ ที่ผมเอ่ยชื่อนี่เป็นคนให้ทุน พอให้ทุนมาพวกนี้ก็มาช่วยคิด จะทำยังไงอเมริกาถึงจะเป็นเจ้าโลก ทำยังไงบริษัทถึงจะรุกเข้าประเทศนั้นได้ ทำยังไงถึงเปิดนั่นได้ นี่คือ Think Tank หนึ่งในนั้นคือ Brooking Institute
       
       หลายอัน American Enterprises นั่นคือองค์กรของเขา เหมือนกับสมาคมของเขา หรือเหมือนกับองค์กรภาคเอกชนของเขา แต่ว่าองค์กรภาคเอกชนของเขาได้รับการสนับสนุนจากบรรษัทต่างๆ ที่ร่ำรวยอย่างมหาศาล
       
       นอกจากนั้นแล้วพวกนี้ก็ยังมีอันหนึ่งที่เขาเรียกว่า CFA ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียก Council of Foreign Affair คือตัวนี้ เดี๋ยวผมจะอธิบายว่าบริษัทนี้คืออะไร
       
       พวกนี้ที่ผมเอ่ยชื่อนี่คือพวกที่นั่งคิด เมื่อนั่งคิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันก็มีพวก take action พวก take action คือ 1. ต้องฝึกอบรม นอกจากฝึกอบรมแล้วยังต้องให้เงินสนับสนุนด้วย มันก็จะมีอย่างเช่น องค์กรของนายจอร์จ โซรอส ซึ่งมันตั้งองค์กรชื่อว่า Open Society :สังคมเปิด มันเอาเงินของมันใส่เข้าไป นายจอร์จ โซรอส นี่เป็นส่วนหนึ่งของการที่เอาเงินสนับสนุนเพื่อต่อต้านทหารพม่า เผด็จการทหารพม่า คนพม่าลี้ภัยนั้นจะได้เงินสนับสนุนจากนายจอร์จ โซรอส Open Society แล้วก็สร้างหน่วยงานอีกหน่วยงานหนึ่ง เขาเรียกว่า NED ที่เขาเรียกว่า National Endowment for Democracy
       
       National Endowment for Democracy นั้นเป็นองค์กรที่รัฐสภาอเมริกาให้การสนับสนุน ให้เงินให้ทองมา มีงบประมาณปีละ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทุกปี 3,000 กว่าล้านบาท ที่เขาให้องค์กรนี้ องค์กรนี้มีหน้าที่อะไร องค์กรนี้มีหน้าที่ทำตามชุดภาษาสากลที่เขาคิด ก็คือว่า ส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ และทุกประเทศที่มีการล้มล้างรัฐบาล แล้วเปลี่ยนรัฐบาลขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นยูเครน ไม่ว่าจะเป็นเบลารุส ทางรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์ ล่าสุด ตูนิเซีย ไม่ว่ากัดดาฟี ลิเบีย NED มีส่วนเกี่ยวข้องในการฝึกอบรมและจ่ายเงินจ่ายทอง แล้วนอกจากนั้นยังมีมูลนิธิอีก 2 มูลนิธิที่เกี่ยวข้อง มูลนิธิหนึ่งชื่อ ร็อกกี้ เฟลเลอร์ อีกมูลนิธิหนึ่งชื่อมูลนิธิฟอร์ด
       
       องค์กรพวกนี้เป็นองค์กรหาทุน ฝึกอบรม แล้วในที่สุดก็จะเป็นองค์กรที่เขาเรียกว่าองค์กรปฏิบัติการ NED ก็อยู่ในองค์กรปฏิบัติการด้วย แล้วก็มีองค์กรๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐบาลอเมริกัน เรียกว่า movement.org ก็คือว่าถ้าคุณจะเคลื่อนไหวในประเทศไหน คุณไปติดต่อกับพวกนี้ได้
       
       คนพวกนี้เขาจะมีอีกส่วนหนึ่ง ก็คือส่วนที่ให้กำลังใจ สนับสนุน คอยตีปี๊บ ร้องป่าว เช่น องค์กรนิรโทษกรรมสากล เขาเรียกว่า Amnesty International มีหน้าที่อย่างเดียว แถลงข่าว ว่าประเทศจีนนั้นละเมิดสิทธิมนุษยชน เราไม่เห็นด้วย เราเรียกร้องให้คนโน้นคนนี้ลุกขึ้นมาต่อสู้ เราเรียกร้องให้รัฐบาลจีนต้องปล่อยตัวคนโน้นคนนี้ ซึ่งเป็นเรื่องภายในรัฐบาลจีน
       
       อีกองค์กรหนึ่ง เขาเรียกว่าองค์กร นอกจากองค์กรนิรโทษกรรมสากลแล้ว เขามี Human Rights Watch คือองค์กรพิทักษ์ปกป้องสิทธิมนุษยชน ฟังแล้วดูสวยงามมาก แต่พี่น้องครับ ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องมือของตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา ในการใช้องค์กรเหล่านี้ เพื่อมาแทรกแซงตามประเทศต่างๆ โดยใช้วิธีการแทรกแซงแบบเนียน
       
       หลายๆ องค์กรในอเมริกาก็จะอยู่เบื้องหลัง หลายองค์กรเอ็นจีโอในเมืองไทย หลายอย่าง เดี๋ยวผมจะมาตอนสุดท้ายแล้วค่อยเล่าให้ฟัง เรามาดูแผนผังก่อน นี่คือ ยกตัวอย่าง นี่ผมยกเฉพาะสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ CFR : Council on Foreign Relation เขาเรียกว่าสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
       

พี่น้อง สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนี้มันน่าจะเป็นสภาของประชาชน ใช่มั้ย ควรจะมีประชาชนชาวอเมริกา ควรจะมีประชาชนชาวรัสเซีย ควรจะมีนักวิชาการทางประเทศโน้น ประเทศนี้ เข้ามาร่วม แต่ไม่ใช่ สมาชิกที่มีบทบาทสูงที่สุดในสภานี้ประกอบด้วยกลุ่มการเงิน เช่น โกลด์แมน แซคส์, มอร์แกน สแตนลีย์ ซิตี้กรุ๊ป หรือกลุ่มพลังงาน เช่น เชฟรอน เอ็กซอน หรือกลุ่มเทคโนโลยี เช่น เดลล์ คอมพิวเตอร์ ไอบีเอ็ม หรือกลุ่มอาหารและยา เช่น มอนซานโต้ ไฟเซอร์ เมิร์ก ชาร์ป แอนด์ โดห์ม หรือกลุ่มอาวุธ ขายอาวุธสงคราม พี่น้องครับ ถ้าพูดตามประสาชาวบ้าน ว่า สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ขอประทานโทษ พวกมึงไปเสือกอะไรในสภานี้ มึงมีหน้าที่ค้าขาย ไม่ต้องมายุ่ง
       
       เพราะฉะนั้น การที่คนพวกนี้ เข้าไปอยู่ในนี้ แสดงว่า ในนี้ถูกคนพวกนี้ครอบงำ และพวกนี้ เป็นพวกที่ร่างนโยบาย ดำเนินการตามความประสงค์ของกลุ่มทุนที่ผมชี้ให้ดูข้างบนนี้ ถูกไหมถูกพี่น้อง เอาละ เรามาดูตรงนี้ เงินตรงนี้ไปที่ไหน พวกนี้ เอาเงินใส่มานี้ สนับสนุนทางเงินเพื่อธุรกิจ เช่น สนับสนุนไปที่มูลนิธิต่างๆ เอ็นจีโอเมืองไทย เอ็นจีโอทั่วโลก ได้เงินจากคนพวกนี้ทั้งนั้น พวกเอ็นจีโอที่ออกมาเย้วๆ เรื่องนู้นเรื่องนี้ แต่ไม่เคยเย้วๆ ในเรื่องชาติบ้านเมือง เย้วๆ เพื่อฝรั่งทั้งนั้น บางเรื่องเย้วๆ ก็มีเหตุมีผล เช่น เย้วๆ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม พอยอมรับได้ แต่ไม่เคยเห็น เอ็นจีโอมาเย้วๆ ในเรื่องการล้มกษัตริย์เลย เพราะคนพวกนี้เป็นฝรั่งเต็มตัว เป็นคนไทยรับเงินฝรั่ง คนพวกนี้ ผ่านองค์กร เอ็นอีดี
       
       ที่ผมเล่าให้ฟัง ผ่านองค์กรนายจอร์จ โซรอส ผ่านองค์กรยูเสด คนพวกนี้ ได้เอ็นจีโอก็เอาเงินมาส่งต่อ ส่งมาที่ไหน ส่งมาที่กลุ่มชนต่างๆ เช่น ในเมืองไทยก็ส่งมาที่ซ้ายอกหัก เอ็นจีโอบางกลุ่ม งานเคลื่อนไหวต่างๆ งานประชุม งานสัมมนา งานทำลายสถาบัน แม้กระทั่งคณะนิติราษฎร์ คนบางคนในคณะนิติราษฎร์ รับเงินจากตรงนี้ ตรงนี้ เพื่อมาดำเนินความเคลื่อนไหว เพราะว่า ไอ้ตรงนี้ไง ไอ้ CFR ตรงนี้ ที่ผมเล่าให้ฟัง ที่มันพูดออกมา มันเขียนบทความออกมา พี่น้องที่ผมยกตัวอย่างให้ฟังเมื่อกี้ มันเป็นคนเขียนบทความออกมาเอง มันบอกว่า พระมหากษัตริย์ไทย เป็นอุปสรรคในการปฏิรูปทางการเมือง ก็ในเมื่อมันเป็นความคิดของคนพวกนี้ เวลาคนพวกนี้ให้เงินต่อมาเรื่อย มาถึงตรงนี้ มันจะไม่ผ่องถ่ายความคิดตรงนี้ มาถึงคนพวกนี้หรือ มันคือสัตว์คอกเดียวกัน พี่น้องครับ
       
       เอาละ มาดูตรงนี้ ตรงนี้มันก็มาทางนี้ มาทางไหน พอมันมาตรงนี้ปั๊บ ทางด้านนี้ มันก็ดำเนินนโยบายเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ และทรัพยากร ส่วน CFR มันไปไหน มันก็ลงมาข้างล่างนี้ มันมีการสนับสนุนด้านงบประมาณ และที่สำคัญที่สุด ร่วมมือกับองค์กรสืบราชการลับของอเมริกา คือ ซีไอเอ ซีไอเอ สมัยก่อนนั้น หลังสงครามเย็นเลิกไปแล้ว ซีไอเอ เปลี่ยนตัวเองออกมาเป็นคนที่สืบข่าว สืบความลับทางธุรกิจให้กับองค์กรธุรกิจในอเมริกา แต่พอหลัง 11 กันยา ที่มีการระเบิดตึก ก็มีเสียงเรียกร้องให้ ซีไอเอ เพิ่มบทบาทมากขึ้น โดยที่รัฐสภาคองเกรสของอเมริกานั้น ได้อนุมัติให้เพิ่มบทบาทมากขึ้น คือเพิ่มบทบาทในการเข้าไปยุ่งเรื่องงานใต้ดินของแต่ละประเทศ ลอบสังหารผู้นำประเทศ ล้มล้างรัฐบาลได้ ทั้งหมดนี้ มาทางนี้ มาทางเอ็นจีโอ
       
       ขณะเดียวกัน ไอ้บริษัทนี้ ซึ่งสภานี้ซึ่งประกอบด้วยบริษัทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเงิน บริษัทน้ำมัน บริษัทเทคโนโลยีต่างๆ มันก็ให้มาทางนี้ ทางนี้ก็จ่ายเงินให้ทางนี้ เพื่อครอบงำทางการเมืองด้วยทุน พี่น้องรู้ไหม องค์กร NED - National Endowment for Democracy หรือที่ผมแปลเป็นภาษาไทยว่า องค์กรบริจาคเงินเพื่อประชาธิปไตยนั้น ปีที่แล้วให้เงินผ่านเอ็นจีโอเมืองไทยมาเท่าไร เกือบล้านเหรียญสหรัฐฯ เกือบ 30 ล้านบาท และพี่น้องรู้ไหมว่า มีเว็บไซต์ เว็บไซต์หนึ่ง ที่ได้รับเงินจาก NED 70 หรือ 80 % ของเงินที่ใช้เว็บไซต์นี้ มาจากงบของ NED คืองบฝรั่ง เว็บไซต์นั้นชื่อ เว็บไซต์ประชาไท ในรูปที่เห็นนั้น ผู้หญิงคนนี้คือ ผู้อำนวยการเว็บไซต์นี้ ซึ่งถูกข้อหาหมิ่นเจ้าไปแล้ว แปลกมาก ไม่มีใครปิดเว็บไซต์นี้ได้ เว็บไซต์นี้เส้นใหญ่เหลือเกิน ทั้งที่เว็บไซต์นี้เป็นเว็บไซต์สื่อกลางของพวกซ้ายล้มเจ้า พวกใต้ดินที่ต้องการล้มเจ้า แล้วรับเงินโดยตรงมาจาก NED หลักฐานมีหมด เพราะว่าองค์กรของอเมริกาเวลาให้เงินใคร ต้องลงโฆษณา ต้องแถลง เข้าไปเช็กได้ข่าวระบุชัด ให้เงิน ทางนี้ปฏิเสธว่า ถึงจะให้เงินก็ไม่มีสิทธิ์ไม่มีอำนาจต่อรองว่าเรื่องข่าวไหนควรจะลงไม่ควรจะลง ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าคำพูดอย่างนี้ ผมไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
       
       เพราะฉะนั้นเว็บไซต์ประชาไท จะเป็นเว็บไซต์ที่จาบจ้วงสถานบันกษัตริย์ หมิ่นสถาบันกษัตริย์มาตลอดเวลา ภาพที่ท่านเห็นคือเว็บไซต์ของ NED ระบุชัดเลยว่า Thailand ว่าให้เงินใครบ้าง มีอยู่ก้อนให้ไป 500,000 เหรียญสหรัฐ เท่ากับ 15 ล้านบาท เอาไปให้จัดสัมมนากับผู้นำท้องถิ่นเพื่อให้เข้าใจบทบาท ส.ส.มากขึ้น แล้ววันนี้ผู้นำท้องถิ่นที่ให้เงินจัดสัมมนาคือผู้นำอะไร ผู้นำท้องถิ่นที่ใส่เสื้อแดง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัด
       
       พอเงินลงมาทางนี้ บริษัทล็อบบี้ยิสต์ รับเงินแล้วประชาสัมพันธ์ ใช้เงินก้อนนี้มามีอิทธิพลกับสื่อ เช่น CNN, The Economist เขียนเรื่องด่าประเทศไทยตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นของทักษิณ ชินวัตร เป็นของเสื้อแดงแล้วจะชม แต่พวกนี้หมดอำนาจเมื่อไหร่จะด่าประเทศไทยตลอดเวลา ถึงขั้นวิพาษ์วิจารณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อย่างตรงไปตรงมา และเลวทรามต่ำช้าที่สุด The Economist CNN หลายๆ ข่าว เช่น นายแดน ริเวอร์ ซึ่งเคยอยู่เมืองไทย เป็นผู้สื่อข่าวเมืองไทย มีภรรยาเป็นคนเสื้อแดง เป็นการรายงานข่าวเข้าข้าง ไม่ตรงข้อเท็จจริง
       
       พอมาตรงนี้เงินพวกนี้ไปกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาล กลุ่มซ้ายอกหัก ซึ่งมีนักวิชาการเอ็นจีโอบางกลุ่ม เว็บไซต์ประชาไท งานใต้ดินเคลื่อนไหวล้มสถาบันกษัตริย์ อ้างเสรีภาพ จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ บ่อนทำลายให้ยกเลิกมาตรา 112 นี่ได้รับการสนับสนุนจากฝรั่ง มาถึงตรงนี้ เอาเงินมาสนับสนุนกลุ่มทุนสามานย์ เพื่อไทย รัฐบาล แก้รัฐธรรมนูญ ทำลายการตรวจสอบ ยึดอำนาจ ยึดศาล ยึดทหาร ซื้อทหาร ยึดการเมือง นักวิชาการ ส่งเสริมค่านิยมโลกและทุนไร้พรมแดน ใครบ้างที่ชอบพูดว่า เดี๋ยวนี้ประเทศไทยไร้พรมแดน ถ้าไม่ใช่คนอย่าง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่พูดตลอดเวลาว่า เดี๋ยวนี้ไร้พรมแดน แล้วชาญวิทย์คือใครถ้าไม่ใช่ 1 ใน 100 กว่าคนที่เซ็นชื่อร่วมในการแก้มาตรา 112 เริ่มชัดกันหรือยังตอนนี้
       
        เพราะฉะนั้นแล้วพี่น้องเห็นได้ชัดว่า ภูมิคุ้มกันประเทศตอนนี้ ทำไมพี่น้อง ทำไมเขาจะต้องมาทำร้ายในหลวง หรือถ้าจะพูดอย่างภาษานักเลงก็คือว่า ในหลวงไปทำอะไรให้หนักกบาลพวกมึง ชีวิตพระองค์ท่านทั้งชีวิต อยู่กับประชาชน ทำงานเพื่อประชาชน จนกระทั่งพระองค์ท่านชราภาพ ไม่สามารถจะออกไปเยี่ยมประชาชนได้เหมือนเดิม แทนที่จะซาบซึ้งถึงบุญคุณพ่อเรา กลับมาหาเรื่องท่าน
       
       ไอ้พวกนี้นิติราษฎร์นี่เลวทรามต่ำช้านี่ เขาไม่รู้หรอก ว่าคนบางคนในนิติราษฎร์มันรับเงินฝรั่งมา เพราะในหลวงเป็นจุดขวางคนพวกนี้ ทำไมในหลวงถึงขวาง ในหลวงท่านไม่ได้ขวาง ท่านไม่ได้ออกมา ไม่เอาฝรั่ง ท่านไม่ได้พูด แต่ท่านใช้ธรรมที่ท่านรู้ว่าประเทศไทยนั้นจะอยู่รอดได้ ก็ด้วยเพียงเศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้นเอง ถ้าไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียงมันอยู่ไม่ได้
       
       แล้วที่สำคัญกว่านั้น พี่น้องครับ พี่น้องพันธมิตรฯ และประชาชน ท่านผู้ชม สหประชาชาติยอมรับว่าเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านเป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง ตรงนี้กลับทำให้ไอ้พวกนี้ มันเกิดความกลัวขึ้นมาทันที มันกลัวตรงไหน มันกลัวตรงที่ว่า ถ้าประเทศไทยมีเศรษฐกิจพอเพียง แล้วประเทศไทยรอด ในขณะซึ่งประเทศเพื่อนบ้านมันไม่รอด มันจะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านมาเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง แล้วก็ใช้นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง จะทำให้ไอ้พวกทุนบ้าทุนบอนี้จะมาสูบความมั่งคั่งจากประเทศไทย หรือประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้อีกต่อไป เห็นหรือยังพี่น้อง
       
       ด้วยเหตุนี้ บทความของ CFR : Council Foreing Relation มันถึงระบุชัดเจนไง บอกว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นอุปสรรคในการปฏิรูปการเมือง ทำถามคือการเมืองของใคร สรุปก็คือการเมืองของทุนนิยมสามานย์ ไอ้พวกนี้ ไอ้พวกลุ่มการเงินอเมริกา ไอ้พวกกลุ่มพลังงาน ไอ้พวกกลุ่มอาหาร ยา ไอ้พวกกลุ่มของเทคโนโลยี พวกกลุ่มค้าอาวุธ
       
       เพราะฉะนั้นแล้วทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นตัวละครตัวหนึ่งซึ่งเขาใช้ แล้วนักการเมืองทุกรัฐบาลก็เป็นตัวละครที่มันใช้ พี่น้องจำคำพูดที่ผมพูดได้มั้ย ว่ากรณีของเขาพระวิหาร MOU 2543 ผมถามมาตลอดว่า ผมไม่สามารถวิสัชชนาได้ ตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่ยกเลิก MOU 2543 คิดให้หัวแตกก็คิดไม่ออก แต่ถ้ามองตรงนี้แล้วถึงเข้าใจ ก็คือว่าพวกนี้ รัฐบาลทุกรัฐบาล ตั้งแต่ทุกพรรคเลย รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ทำหน้าที่เอาของใส่สายพานแล้วลำเลียงไปเรื่อยๆ ถึงชุดที่พรรคประชาธิปัตย์หมดอำนาจแล้ว ไอ้เรื่องพรมแดน ไอ้เรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่ง ณ วันนี้เขมรเข้ามายึดครองหมดแล้ว มันก็จะถูกลำเลียงมา แล้วในที่สุดมาถึงมือพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยก็จะได้ส่งมอบให้กับฮุน เซน การส่งมอบให้กับฮุน เซน ก็คือส่งมอบให้กับบริษัทพลังงานของต่างชาตินั่นเอง
       
       พี่น้องครับ พระเจ้าอยู่หัว เป็นอะไรบางอย่างที่พระองค์ท่านใช้เศรษฐกิจพอเพียง เพราะพระองค์ท่านศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเป็นอะไรที่แก้โรคหมกมุ่นในกิเลสของทุนนิยมได้
       
       นอกจากนั้นแล้ว พระองค์ท่านเป็นศูนย์รวมจิตใจ ล้มประเทศไทยล้มยาก ต้องล้มพระองค์ท่านก่อน เพราะพระองค์ท่านไม่ใช่ฮอสนี มูบารัก ของอียิปต์ หรือกัดดาฟี ของลิเบีย ไม่ใช่ เพราะพระองค์ท่านทรงทศพิธราชธรรม อียิปต์มีคนเกลียดมูบารักเยอะ กัดดาฟีมีชนอีกหลายเผ่าที่ไม่เห็นด้วยกับเผ่าของกัดดาฟี แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ของพสกนิกรเทิดทูนท่าน รักท่านเหมือนพ่อ เหมือนแม่ นี่คืออุปสรรคของพวกนี้ อุปสรรคของการเข้ามายึดพลังงาน อุปสรรคของการเข้ามาเปิดประเทศ เพราะฉะนั้นแล้วมีวิธีเดียวที่พวกนี้จะเข้ามาแล้วปู้ยี่ปู้ยำประเทศได้ในอนาคต ดึงความมั่งคั่งออกไป แล้วทำให้ประเทศไทยเป็นพวกเขา 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อที่จะปิดล้อมประเทศจีน นั่นก็คือต้องทำลายฐานที่มั่นที่สำคัญที่สุดที่อยู่ในจิตใจของประชาชนคนไทย นั่นก็คือต้องหาทางที่จะสั่นคลอนและทำให้สถาบันกษัตริย์ล่มสลาย และไม่มีอะไรดีเท่ากับการเริ่มด้วยมาตรา 112 เพราะพวกนี้หวังผลว่าถ้าล้มได้ก็จะล้ม ถ้าล้มไม่ได้ ถอย เพราะประชาชนต้านมาก อย่างน้อยก็เป็นการสร้างกระแสขึ้นมาแล้ว เพราะพวกนี้ หรือฝรั่ง บอกว่าเอาล่ะ ถ้าล้มไม่ได้ก็ขอให้เป็นกษัตริย์หุ่นเชิด เหมือนอย่างสีหมุนี กษัตริย์ของเขมร ที่เป็นหุ่นเชิดของฮุน เซน
       
       พี่น้องเริ่มเห็นภาพชัดหรือยัง ว่าไอ้พวกนี้นิติราษฎร์นี่นะ มันก็คือสัตว์คอกเดียวกับไอ้พวกทุนนิยมสามานย์ ที่น่าสงสารมาก ไอ้พวกนี้ ของอเมริกาสมัยก่อนมันต้องสู้กับคอมมิวนิสต์ มันสู้ในกรณีไหน มันสู้เพื่อที่จะเข้าไปค้าขายในประเทศคอมมิวนิสต์ และมันก็ใช้ CFR ไปมีอิทธิพลต่อนโยบายต่างประเทศไอ้กัน บังคับให้คอมมิวนิสต์เปิดประเทศ พอคอมมิวนิสต์อย่างจีนเปิดประตูตูมปังปั๊บ เอ้าตายล่ะ ปรากฏว่าจีนยังรวมศูนย์การปกครองอยู่ แล้วก็เร่งพัฒนาประเทศตัวเอง จนกระทั่งประเทศตัวเองมีเงินมากขึ้นมา ตกใจแล้ว ตอนนี้ต้องการปิดล้อมจีน
       เพราะฉะนั้นในกลุ่มประเทศอาเซียน คนพวกนี้ไม่เคยสนใจใคร สิงคโปร์เหรอ (เอาแผนที่อาเซียนขึ้นมา) สิงคโปร์คือลูกไล่ของฝรั่ง ผมเรียกว่าเป็นสุนัขรับใช้ตะวันตก 100 เปอร์เซ็นต์ ดูแต่ละเจ้าไปเลย สิงคโปร์นี่ผมยังหาจุดมันไม่เจอเลย ประเทศนี้ เผลอๆ ยังเล็กกว่าส้วมประเทศไทย สิงคโปร์เลยกลายเป็นนายหน้าค้าเงิน นายหน้าทุกอย่าง สิงคโปร์ไม่ใช่ประเทศ เป็นพ่อค้าคนกลางอยู่ในมือฝรั่ง อินโดนีเซียวันนี้กำลังแฮปปี้กับการเจริญเติบโตชนชั้นกลาง ฝรั่งแฮปปี้อินโดนีเซียเพราะมีเงินมีทองเยอะ ซื้อเครื่องบินที 100 กว่าลำ มาเลเซียกำลังจะเปลี่ยนแปลง เวียดนามไม่มีทางเลือกต้องยืนข้างอเมริกาเพราะต้องการอเมริกาช่วย พม่ากำลังจะเปิดประเทศ เหลือประเทศไทยเท่านั้น ถ้าได้ประเทศไทยอีกประเทศ โดยที่มีนักการเมืองปกครอง เพราะว่าประเทศไทยพินาศฉิบหายทุกวันนี้จากนักการเมืองทั้งสิ้น ไม่เว้นหน้าไหน พรรคไหนก็ตาม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เห็นแก่ประโยชน์พรรค ไม่เคยเอาชาตินำหน้าเลยแม้แต่พรรคเดียว เอาแต่ผลประโยชน์ของพรรค ผลประโยชน์ตัวเอง และความมีอัตตาของตัวเองนำหน้า
       
       เพราะฉะนั้นแล้วพี่น้องจะเห็นได้ชัด ที่ผมพูดมานี้ ทักษิณคือตัวละครตัวหนึ่ง หมดทักษิณก็มีตัวละครอีกตัวขึ้นมาแทน เพราะอะไร เพราะสันดานนักการเมืองเหมือนกันหมด เล่นการเมืองเพื่อตัวเองไม่ได้เล่นการเมืองเพื่อชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นที่น่าสนใจ พวกแกนนำเสื้อแดง เช่น นายสุนัย จุลพงศธร นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และ อ.ธเนศร์ เจริญเมือง อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 คนนี้เคยไปที่อเมริกาแล้วพบพวกนี้มาแล้วที่วอชิงตัน ดี.ซี. เหมือนกับไปรับนโยบาย แล้วไปคุยโม้เจอคนนู้นเจอคนนี้เรียบร้อยแล้ว จริงๆ ไปรับงานเขามา อาจจะไม่รู้ตัวซะด้วยซ้ำ พวกนี้สมัยก่อน ถ่ายรูปเสื้อแดงยืนอยู่ชิคาโก คนไทยที่ชิคาโกกลุ่มพวกนี้ก็โง่จริงๆ ไม่รู้เลยว่าเป็นเครื่องมือให้อเมริกาเข้ามาล้มพระเจ้าอยู่หัวตัวเอง มีหมอโง่ๆ บางคนอยู่ชิคาโก น่าเสียดาย แล้วมาโม้ว่า ตัวเองไปพบมาแล้วคนนู้นคนนี้ ภูมิใจว่าฝรั่งให้เกียรติ แต่หารู้ไม่ว่า นี่คือเกมที่ฝรั่งวางไว้
       
       พี่น้องครับ วันนี้ค่อยชัดเจนหรือยัง ความมั่งคั่งย่านนี้คือสิ่งที่ตะวันตกต้องการ ได้ประเทศไทยไปมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่มีพ่อหลวง ไม่มีพระมหากษัตริย์เป็นที่พึ่งคนไทย นักการเมืองเข้ามากอบโกยกินหมด สามารถเซ็นสัญญาให้นักการเมืองยกสัมปทานน้ำมัน เปิดเสรี ให้คนไทยเป็นทาสผ่อนส่งมากขึ้น ขายของแพงขึ้น เอายาราคาแพงเข้ามา แล้วกลุ่มเอ็นจีโอที่ต่อต้านทุกวันนี้ ในที่สุดเมื่อได้รับทุนจากเขาก็ไม่มีทางต่อต้านเขาได้ เห็นหรือยังพี่น้องว่าประเทศไทย ณ วันนี้มันล่มสลายหมดแล้ว
       
       พี่น้องพักสักครู่แล้วเข้ามาตอนสุดท้ายของรายการวันนี้
       
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #679 เมื่อ: 28 มกราคม 2555, 12:04:14 »

  กลับมาช่วงสุดท้าย ไม่เชิงสุดท้ายเดี๋ยวมีแถมสุดท้ายให้เป็นพิเศษ ท่านผู้ชม พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 ผมเคยทำชาร์ทอันนี้ออกทีวี 4 ปีแล้ว เป็นความจริงหมดทุกอย่าง ผมไม่ใช่พ่อหมอ ผมไม่ใช่คนที่มาก่อนกาลเวลา แต่ผมเป็นคนที่มองอะไรแล้วเข้าใจ แล้วผมมองป่าทั้งป่าเห็นภาพ ทุกวันนี้ประเทศไทยคือ ความฝัน การจัดตั้ง ความหลง บวกเงิน บวกผลประโยชน์ สังคมไทยเป็นสังคมของความไม่มีปัญญา เป็นสังคมของคนโง่แล้วไม่พยายามเรียนรู้ ที่น่าเสียดาย เสียใจคือ สื่อมวลชนควรให้การศึกษากับสังคม ก็ไม่สนใจ จนกระทั่งวันนี้คนยังไม่รู้เลยว่า เราเริ่มเสียดินแดน พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ตอนนี้เขมรเข้ามายึดครองหมดแล้ว จนวันนี้คนยังจำไม่ได้เลยว่า ทำไมเราต้องเอาเรื่องไปให้ศาลโลกตัดสิน ทั้งๆ ที่เรามีสิทธิ์ไม่ต้องไปศาลโลก แต่ที่เราไปศาลโลกตอนนั้นเพราะพรรคประชาธิปัตย์ คุณอภิสิทธิ์อยากไปศาลโลก เพราะถ้าเสียดินแดนจะได้อ้างว่า ตัวเองเสียเพราะศาลโลกไม่ได้เสียเพราะ MOU 2543 เล็กๆ น้อยๆ
       

  เรามาดูตรงนี้ดีกว่า 2551 ผมทำชาร์ทอันนี้ขึ้นมา คุณอภิสิทธิ์ยังเป็นพรรคฝ่ายค้าน ยังกระดี้กระด้าเข้ามาหาพันธมิตรฯ ทุกวันนี้ วันนี้ชัดหรือยังว่าทำไมเขาต้องการล้มล้างพระเจ้าอยู่หัว เหตุผลอธิบายให้ฟังแล้วเมื่อกี้ หลายคนที่เป็นนักวิชาการ เข้ามาร่วมขบวนการเพราะมันเท่ห์ เพราะกินแต่ข้าวอย่างเดียวคิดอะไรไม่เป็น ไม่มีข้อมูลแท้จริง ไม่มีความจริงที่เข้าใจ และสำคัญที่สุด ไม่มีตรรกะ ไม่มีเหตุไม่มีผล เอาๆ ขอเท่ห์ด้วยคน เหมือนลูกชายนายสิทธิชัย หยุ่น พ่อเป็นถึงเจ้าของหนังสือพิมพ์ มีทั้งโทรทัศน์ เว็บไซต์ หนังสือพิมพ์ ยังขอเท่ห์เพราะตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ นักเขียนรุ่นใหม่ แต่ไม่เข้าใจนัยที่เกิดขึ้น
       
       มีกลุ่มซ้ายอกหัก ความโกรธ โกรธมานาน โกรธหลายเรื่อง โกรธตั้งแต่สมัย 6 ตุลาฯ อาจารย์บางคนเรียนจบด็อกเตอร์ โกรธเรื่อง 6 ตุลาฯ อาละวาด กระแนะกระแหนด่าแต่ผมอย่างเดียวไม่สนใจ ใช้ตรรกะก็ผิด องค์ความรู้ยังสู้สุรวิทชช์ วีรวรรณ นักเขียนมือทองของเรายังไม่ได้ พวกซ้ายอกหักทำอะไร 1.ทำงานใต้ดิน มีอะไรบ้าง ทำเว็บไซต์ บางเว็บไซต์รับเงินจากต่างประเทศ เหมือนที่ผมเล่าให้ฟัง เว็บไซต์ประชาไท ทำวิทยุชุมชน ทำใบปลิว ขึ้น Youtube มาจนกระทั่งถึงจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ หมู่บ้านเสื้อแดงริมชายแดน มีการขนคนเข้าไปเป็นรถบัสเข้าไปในเขมร เพื่อฝึกกองกำลังติดอาวุธ
       
       นักวิชาการเอ็นจีโอบางกลุ่มเริ่มทำร้ายด้วยการเอาหนังสือที่ใส่ร้ายพระเจ้าอยู่หัวฯ The King Never Smiles ไปดึงอาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นแนวร่วม ประเภทอยากดัง เฮ้าเลี่ยน ดึงเยาวชนไม่เอาสถาบัน เพราะเห็นว่า เยาวชนที่เกิดใหม่ในยุคนี้ เกิดไม่ทันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้ออกไปเยี่ยมประชาชนตามภูมิภาคต่างๆ เสียสละพระวรกาย เจ็บไข้ได้ป่วย แต่เข้าไปแก้ปัญหาประชาชน ซึ่งรัฐบาลไม่เคยแก้ให้ เด็กพวกนี้ เพิ่งเกิดใหม่ เด็กพวกนี้เล่นไอแพด ไอโฟน เด็กพวกนี้ดู MV ไม่สนใจเรื่องอะไร พอบอกกษัตริย์ไม่มีประโยชน์ ก็บอกเอา ขอเอาด้วย เขียนบทความท้าทายกษัตริย์ เว็บไซต์จาบจ้วงสถาบัน นิตยสารอย่างฟ้าเดียวกัน ประชาไท ฟ้าเดียวกัน เจ้าของคือ หลานคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ทำทุกอย่าง กำจัดสถาบันองคมนตรี ลบความน่าเชื่อถือของสถาบัน นี่คือกระบวนการซึ่งอยู่ภายใต้งานของฝรั่ง ที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อกี้ ที่ผ่านองค์กรของเขา ที่ใช้ชุดภาษาที่สวยหรู ส่วนด้านงานใต้ดินนี้ ก็มีพวกซีไอเอเกี่ยวข้องด้วย ให้การสนับสนุน และที่ นปช. แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์ โค่นล้มประธานองคมนตรี อุ้มชูระบอบทักษิณ ทำลายพันธมิตรฯ ใช้สื่อรัฐถล่ม นี่คือฝ่ายที่เดินงานตลอดเวลา
       
       เรามาดูฝ่ายการเมือง สมัยก่อนคือพลังประชาชน วันนี้เป็นเพื่อไทย ประชานิยมยึดมวลชน ยึดนิติบัญญัติแก้กฎหมาย ร่างรัฐธรรมนูญ แก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ยึดฝ่ายบริหาร รวบงบประมาณ งบประมาณแก้น้ำผ่านมาแล้ว 350,000 ล้าน คุณสมิทธ ธรรมสโรช ขอลาออกบอกว่า ออกงบประมาณมายังไม่รู้เลยมีงานอะไรบ้าง นี่คือการออกงบประมาณแบบต้องการโกงกิน และพี่น้องจำได้เปล่า วันที่น้ำท่วมวันแรก ก็พรรคเพื่อไทยนี่แหละบอก ว่าต้องใช้งบ 900,000 ล้าน คุกคามองค์กรอิสระ ติดสินบนแก้กฎหมาย ลดอำนาจศาล การลดอำนาจศาลนั้น พยายามที่จะผ่านมาทางนักวิชาการให้ออกมา จะให้ ครม.ตั้งศาลยังงี้ และให้รัฐสภารับรอง ไร้เดียงสา บัดซบ เลวทรามต่ำช้า โยกย้ายข้าราชการ ยึดกลไกรัฐ พยายามทำสถาบันให้เป็นสัญลักษณ์ และนิรโทษกรรม
       
       ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มทุน ขยายทุนเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งและอำนาจ คอร์รัปชั่น แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ยึด ปตท.ไป จับมือทุนต่างชาติ ผูกขาดรวบอำนาจทุนในประเทศ
       
       พี่น้องครับ สมัยที่ผมต่อสู้เรื่อง ปตท.หลายคนยังไม่ให้ความสนใจ วันนี้เห็นชัดหรือยัง ปตท.ปีหนึ่งกำไรเกือบ 2 แสนล้าน คำถามมีอยู่ว่า ไอ้เกือบ 2 แสนล้านนี่ มันเดิมทีเป็นของคนไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ทำไมจู่ๆ ต้องแปรรูปไปให้ฝรั่ง หรือต่างชาติ หรือนอมินีนักการเมือง กำไรไป 49 เปอร์เซ็นต์ ก็คือเกือบแสนล้าน มันอยู่ในกระเป๋าเรา ของประเทศไทย ของคนไทย ของส่วนร่วมอยู่แล้ว ทำไมต้องแบ่งไปให้เขา
       
       แล้วนี่ถ้าจะขาย ปตท.อีก ฝรั่งชอบสิ มันก็เข้าทางต่างชาติที่ผมยกตัวอย่างให้ฟังว่าต้องการมายึดไง เห็นหรือยังพี่น้อง เพราะฉะนั้นพี่น้องดูผังนี่สิ ความโลภ ความโกรธ ผสมกัน ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ให้ได้ ถ้าตั้งเป็นระบอบสาธารณรัฐได้ ก็ตั้ง ถ้าตั้งไม่ได้ก็ลดพระราชอำนาจลงไป ให้กลายเป็นเหมือนกับสีหมุนีของเขมร นั่นคือแนวทาง ทฤษฎี รูปแบบ ที่เขากำลังเดินอยู่
       
       พี่น้องครับ วันนี้ศึกสงครามเรามันไม่ใช่พรรคเพื่อไทยหรอก เพราะเราหมดพรรคเพื่อไทยไปเราก็จะมีพรรคอะไรก็ตามที่ขึ้นมา ขอประทานโทษพี่น้อง มันสันดานเดิม สันดานเดียวกัน ไม่เปลี่ยนหรอก เป็นเพียงแต่ฝ่ายหนึ่งปล้นกลางแดด ควงดาบ คาดยันต์ผ้าประเจียดแล้วบอก ไอ้เสือเอาวา ขอปล้น อีกฝ่ายหนึ่งคือปล้นเงียบ ทำไมเพิ่งมาโวยเรื่อง ปตท.ตอนนี้ล่ะ ทำไมสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์มีอำนาจ ถึงไม่พยายามเอา ปตท.กลับมาเป็นของประเทศไทย มีวิธีเอากลับมาตั้งเยอะแยะ บัวก็ไม่ช้ำ น้ำก็ไม่ขุ่น ไม่สนใจ สนใจแต่พูดเพื่อหวังผลทางการเมือง ไม่ถูกต้อง
       
       ประเทศไทยจะอยู่ได้ จากนี้ไปด้วย 2 อย่างเท่านั้นเอง อย่างแรก เราต้องมีในหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงทศพิธราชธรรม และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เราต้องปกป้องสถาบันกษัตริย์เยี่ยงชีวิต ถ้าจะต้องออกมาสู้แล้วต้องตายเพื่อในหลวง ต้องยอมที่จะตายกันทุกคน เพราะพระองค์ท่านเป็นมากกว่าคำว่า ในหลวง เพราะมีพระองค์ท่าน ฝรั่งถึงยึดประเทศไทยไม่ได้
       
       ผมมีเวลาครั้งหนึ่ง ค้นหนังสือเอกสาร ผมไปเจอเอกสารเก่าชุดหนึ่ง รู้สึกจะเป็นปี 2542 สมัยนั้นคุณชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี พระองค์ท่านมีพระราชดำรัส กับพสกนิกร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระองค์ท่านพูดบอกว่า พระองค์ท่านเล่าเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พระองค์ท่านเล่าเรื่องน้ำท่วมหัวหิน น้ำท่วมเพชรบุรี และพระองค์ท่านชี้ให้เห็นว่า ต้องปิดตรงนี้แก้ตรงนั้น น้ำถึงจะหายท่วม เจ้าหน้าที่บอกไม่มีงบประมาณไม่มีเงิน พระองค์ท่านเสียสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ 32 ล้านบาท ทำเขื่อนขุดลอกคูคลองตรงนี้ และพระองค์ท่านก็บอก กันน้ำท่วมได้ พระองค์บอก เงิน 32 ล้านบาท กันความเสียหายได้เป็น พันๆ ล้านทุกปี และพระองค์ท่านก็บอกนี่แหละคือ เศรษฐกิจพอเพียง
       
       สำหรับผมแล้ว นัยพระองค์ท่าน คำว่า เศรษฐกิจพอเพียงคือว่า เอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง ถ้าเราทำงานให้ส่วนรวม ถึงจะเสียเงินแต่ถ้าส่วนรวมได้ ก็คุ้มในการเสีย พ่อแม่พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จำได้ไหม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เคยมีพระราชดำรัสครั้งหนึ่งว่า บางครั้งเราต้องยอมขาดทุน เพื่อจะมีกำไร ตราบใดที่กำไรอันนั้นเป็นของประชาชน แต่นักการเมืองมันไม่ยอมขาดทุน มันต้องการกำไรเข้ากระเป๋าตัวมันเอง ทุกหน้า ไม่ว่าจะเป็นอ้ายคนไหน อีคนไหนก็ตาม เหมือนกันหมดพี่น้อง การเมืองเมืองไทย ต้องมีความเป็นชาตินิยม ประเทศไทยต้องมีความเป็นชาตินิยม เราต้องรักชาติ รักชาติผิดตรงไหน มันเป็นผืนแผ่นดินที่เราอยู่ ชาติไทยมันดี คนไทยเจริญก้าวหน้า กินดีอยู่ดีมีความสุขสามัคคี มีความสงบ เพราะความรักชาติของเรา เราก็ต้องรักให้มากขึ้นกว่าเก่า เราต้องไม่รักให้น้อย เราต้องรักให้มากกว่าเก่าเยอะๆ
       
       เพราะฉะนั้น เมื่อเราพิจารณาถึงเรื่องพวกนี้ ถามว่า ในวิกฤตบ้านเมืองแบบนี้ เราจะอยู่ตัวรอดได้ไง เราต้องอยู่รอดด้วยการรักชาติให้มากขึ้น และเมื่อถึงเวลาที่ต้องแสดงออก เมื่อเวลานั้นมาถึงต้องแสดงออก อย่าให้รีรอ ชาติไม่มีสี ประชาชนของชาติ เมื่อมีความสุขความเจริญก้าวหน้า ชาติเจริญ เราได้เปรียบทุกๆ ชาติ เพราะเรามีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะเอาพระเจ้าอยู่หัวฯเราไปเปรียบกับกษัตริย์คนอื่นไม่ได้ จะไปเปรียบกับจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นไม่ได้ คนละรูปแบบ คนละเงื่อนไข เพราะฉะนั้น พระเจ้าอยู่หัวฯ ต้องอยู่ประเทศไทยถึงจะรอด และพวกเราต้องรักชาติ ความรักชาติมันเกิดขึ้น ใครก็ตามที่จะเข้ามาประเทศ มารังแกประเทศไทยไม่ได้ การที่เราไม่พอใจอเมริกา ไมได้แปลว่าเราต้องเป็นศัตรูเขา ก็ไม่ได้แปลว่าเราต้องไปเข้าข้างจีน 100% เราสามารถคบได้ทั้งจีนและอเมริกา ให้เท่าเทียมกันทั้ง 2 ชาติ ให้เขารู้
       
       พี่น้องครับ สมัยรัชกาลที่ 5 ใครเป็นคนเดินเรื่องให้ชาติไทยไม่ต้องล่มสลาย ถ้าไม่ใช่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มาวันนี้ เราให้นักการเมือง ซึ่งขี้ฉ้อ ขี้โกง เลวทรามต่ำช้าเป็นคนเดินนโยบายต่างประเทศ เพราะฉะนั้น ใครให้ประโยชน์เขา เขาก็พร้อมเปิดประตู ถ้าเขาบอกว่า พระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นอุปสรรค เขาก็แอบหลับตาข้างหนึ่ง และให้พวกนิติราษฎร์เดินหน้าต่อไป พอเห็นว่าจวนตัว โดนสังคมไทยทั้งสังคมต่อต้าน ตอนนี้ก็ปัดสวะแล้วว่าตัวเองไม่เกี่ยวนิติราษฎร์ เกี่ยวตั้งแต่ต้นพี่น้อง พรรคเพื่อไทยเกี่ยวตั้งแต่ต้น คนที่บอกไม่เกี่ยว รับรู้แต่ต้น ถ้าไม่เห็นด้วยแต่ต้น ทำไมไม่แสดงออกตั้งแต่ต้น ทำไมเพิ่งแสดงออกตอนหลัง หลังจากกระแสแรงแล้ว ก่อนหน้าประชุมหลายครั้ง ชุมนุมหลายครั้ง ออกแถลงการณ์หลายครั้งไม่ปราม พูดได้คำเดียวคือ พูดได้คำเดียวก็คือ เป็นสิทธิของนักวิชาการ
       
       พี่น้องครับ นิติราษฎร์ เบื้องหลังถูกผูกไว้ด้วยที่ปรึกษา ซึ่งเป็นฝ่ายซ้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนพวกนี้วางแผนอยู่ข้างหลัง เจตนารมณ์เหมือนเดิม ยังไงต้องล้มกษัตริย์ให้ได้ น่าสนใจ คนพวกนี้ คือคนซึ่งสู้กับอเมริกาสมัยก่อน วันนี้กลับเป็นเครื่องมือให้อเมริกาใช้ เหตุผลเพราะคนพวกนี้ ไม่ได้หวังดีต่อชาติบ้านเมือง แต่เอาเรื่องพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นข้ออ้าง แล้วเที่ยวมาว่าผม ว่า ผมเอาพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเล่นการเมือง นี่ขนาดผมสู้แบบนี้ พวกคุณยังหมิ่นขนาดนี้ และถ้าผมเงียบ ไม่ต่อสู้อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว พวกคุณจะขนาดไหน
       
       พี่น้องครับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 77 รัฐ คือ รัฐทั้งหมด ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณาภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีสมัยจำเป็น และเพียงพอ เพื่ออะไรพี่น้อง รัฐธรรมนูญระบุว่า เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตย และความมั่นคงของรัฐ สถาบันกษัตริย์ ผลประโยชน์ของชาติ และการปกครองประเทศ ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
       
       พี่น้องครับ ถ้าหากรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ขณะนี้มีคนจ้องจะทำลายล้มล้างกษัตริย์ ถึงแม้พรรคเพื่อไทยจะปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยว แต่พฤติกรรมในอดีตพิสูจน์ชัดว่า พรรคเพื่อไทยเกี่ยวข้อง ผลประโยชน์ของชาติสูญเสีย เสียหาย จากที่ดิน ที่ถูกเขมรยึดครองไป ความมั่นคงของรัฐสั่นคลอนตั้งแต่วันที่น้ำท่วมวันแรกแล้ว แล้วแก้ปัญหาไม่ได้ ทำให้ประชาชนพินาศฉิบหายไปหมด เพราะฉะนั้น หน้าที่ทหารต้องออกมาทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติ รักษาเอกราชอธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันมหากษัตริย์ ผลประโยชน์ของชาติ และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อย่ามาหาว่า ผมยุให้ทหารปฏิวัติ และว่างงานกันนักไปเที่ยวแจ้งความ ไอ้ ส.ว.สรรหา ที่เขาไม่สรรหาให้แล้วไม่มีอะไรทำ และทนายความพรรคเพื่อไทยที่ไปแจ้งความผม ไปแจ้งอีก ไปแจ้งเยอะๆ เลย
       
       พี่น้องครับ ประเทศไทยจะอยู่รอดได้ด้วยหลัก 2 ประการ ประการแรก เราต้องพิทักษ์รักษาพระมหากษัตริย์เราจนสุดชีวิต ถึงแม้คนที่มีหน้าที่ที่ต้องพิทักษ์รักษา สาบานต่อหน้าธงชัยเฉลิมพลบางคน ไปคบคิดกับอดีตทหารบอกให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร ถ้าตัวเองไม่เดือดร้อน จะไม่ทำอะไรทั้งสิ้น คนพวกนี้น่าสังเวช เพราะฉะนั้นหน้าที่ในการพิทักษ์สถาบันกษัตริย์ ต้องเป็นหน้าที่พวกเรา เหมือนอย่างที่ผมพูดเมื่อปี 2551 ว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่มีใครอีกแล้วนอกจากพวกเรา แล้วอย่ามาบอกว่าผมเอาพระมหากษัตริย์มาเล่นการเมือง เพราะสิ่งที่ผมพูดเมื่อปี 2551 ที่คุณด่าผม วันนี้เป็นความจริงทุกประการ พวกคุณอายบ้างหรือเปล่า
       
       เรื่องที่สอง เราต้องรักชาติ เราต้องนิยมชาติไทย เราต้องเชื่อมั่นในชาติไทย เราต้องเชื่อมั่นในคนไทย เราต้องเปลี่ยนแปลงการเมืองให้ได้ เมืองไทยต้องการ 3 ประการ นอกเหนือจากการมีพระมหากษัตริย์ และรักชาติแล้ว เมืองไทยต้องมีประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะประสิทธิภาพคือความมั่งคั่งของชาติบ้านเมือง ทุกคนจะงอมืองอเท้ารอรับแจกเงินจากรัฐไม่ได้ ทุกคนต้องช่วยกันทำงาน นี่คือความเป็นชาตินิยมของคนไทย เราต้องให้ความยุติธรรม ไม่ใช่ในเรื่องของหลักนิติรัฐอย่างเดียว ความยุติธรรมในการเข้าสู่ทุน พ่อค้าแม่ค้าที่ผัดก๋วยเตี๋ยว ผัดไท อยู่ริมถนนต้องมีสิทธิ์เข้าสู่ทุนในการกู้เงิน 50,000-100,000 บาทไม่ต้องมีอะไรค้ำประกัน เพื่อเอาเงินไปทำมาหากิน เราต้องให้คนที่เขาไม่งอมืองอเท้าและต้องการทำมาหากิน เขามีโอกาสในชีวิต ไม่ใช่เฉพาะนักการเมือง ญาตินักการเมือง หัวคะแนนนักการเมือง ซึ่งรอรับเงิน
       
       อันสุดท้าย เราต้องดูแลชาติบ้านเมืองด้วยความยั่งยืน เก็บรักษาป่าไม้ เก็บรักษาที่ดิน เก็บรักษาแหล่งน้ำ เก็บรักษาทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานใช้จ่ายต่อไป นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
       
       สำหรับวันนี้รายการกระบวนการล้มเจ้า จบเพียงแค่นี้ แต่ก่อนที่จะจบผมมีต่อนิดหนึ่ง ผมอยากพูดเรื่องนี้กับ คุณบรรหาร ศิลปอาชา และตระกูลศิลปอาชา พี่น้องชาวสุพรรณที่ดูรายการนี้อยู่ ช่วยให้คุณบรรหารดูนิดหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าคุณบรรหารเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า แต่ผมเชื่อเพราะผมเจอด้วยตัวเองมาแล้ว คุณบรรหารคิดว่าโดนยิง 200 นัด คุณบรรหารตายไหม อาจจะไม่ตายเพราะเขายิงผิดเพราะคุณตัวเตี้ยเกินไป แต่ผมรอดมาได้เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขณะโดนยิงเผาขน และผมเชื่อมั่นว่าที่ผมรอดมาได้นั้นเพราะว่าผมไม่ได้ทรยศต่อชาติบ้านเมือง ใจผมมอบให้กับองค์ราชัน กายและชีวิต วิญญาณผมมอบให้ชาติไทย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ข้างบนรู้ถึงปกป้องผม
       
       ผมเห็นไฟไหม้ที่สุพรรณ มังกรทอง ผมอยากจะฝากความคิดเห็นส่วนตัวให้คุณบรรหาร ศิลปอาชา และตระกูลศิลปอาชาทุกคน ผมว่าเป็นเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลายคนบอกเป็นเรื่องความประมาท ผมบอกไม่ใช่ ประมาทอาจเป็นส่วนหนึ่ง บางครั้งอาจจะถึงเวลาที่คุณบรรหาร และตระกูลศิลปอาชาต้องทบทวนตัวเอง ว่าชีวิตตัวเองตั้งแต่เป็นนักการเมือง เคยเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้งหรือเปล่า คุณอาจจะเคยแต่ผมไม่ทราบ ผมเพียงแต่ตั้งปุจฉาให้คุณไปคิด
       
       ตั้งแต่เริ่มแรกคุณสร้างมังกรทอง ปี 2550 ก็ถูกไฟไหม้ วันนี้ก็ถูกแล้วมีคนตาย ที่สำคัญคือกุฎิพระไม่มีเหลือ วัดพังทลาย ผมไม่รู้ แต่ผมรู้อยู่อย่างคุณบรรหารจะเชื่อหรือไม่เชื่อผมไม่ว่าอะไร คนเราไม่ว่ายิ่งใหญ่มาจากไหนหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น ผมไม่แน่ใจคุณบรรหารว่ากรรมกำลังตามตัวคุณและตระกูลคุณหรือเปล่า ผมเพียงแต่ตั้งคำถามให้คุณคิด มันยังไม่ช้าจนเกินไปที่คุณจะเริ่มเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้งแล้วเสียสละจริงๆ เพื่อชาติบ้านเมือง
       
       คุณเป็นนักการเมืองเก่า คุณเคยเป็นแม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี เวลาจัดตั้งรัฐบาลคุณมีความเห็นตลอดเวลา แต่เวลาพระเจ้าอยู่หัวโดนหมิ่น พระเจ้าอยู่หัวโดนเด็กเมื่อวานซืนเสนอให้ต้องสาบานตนต่อหน้ารัฐสภา ห้ามมีพระราชดำรัสโดยตรงกับประชาชน คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรอ ในฐานะนายบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งตระกูลคุณมาพึ่งพระบรมโพธิสัมภารในประเทศไทย คุณไม่รู้สึกเลยหรอ แล้วในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยได้รับความเมตตาจากพระองค์ท่าน คุณไม่รู้สึกอะไรเลยหรอ แต่ทีเรื่องการเมืองว่าคุณจะได้เข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ คุณมีความเชื่อมั่นว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะไม่ให้คุณออกจากรัฐบาล คุณมีความรู้สึกหมด แต่เรื่องพ่อของแผ่นดิน คุณในฐานะหัวหน้าพรรคการเมือง คุณไม่แสดงออกเลยแม้แต่นิดเดียวเชียวหรือ คุณกลับไปคิดดูให้ดีๆ ผมฝากความคิดที่สำคัญมากให้คุณไปคิด เชื่อผมคุณจะ 80 แล้ว อำนาจวาสนา เงินทองไม่มีความหมาย อีกไม่กี่ปีพวกเราก็ตายกันแล้วคุณบรรหาร ขอให้ไฟไหม้สุพรรณครั้งนี้ ไหม้วัดครั้งนี้ และคนตายครั้งนี้ เป็นบทเรียนที่คาใจคุณอยู่ ถ้าคุณยังแก้ปมตรงนี้ไม่ได้ วันที่คุณต้องจากโลกนี้ไปคุณจะไม่มีความสุข
       
       ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมต้องลาไปก่อน พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คงอีกนานกว่าผมจะได้ออกอีก ผมบอกแล้วว่าผมไม่พูดซ้ำพูดซากทุกวัน เพราะว่าผมพูดแล้วทุกเรื่อง พูดก่อนทุกคนพูด ทำนายก่อนทุกคนรู้แล้วทุกอย่างเป็นจริงหมด แต่วันนี้ต้องออกมาพูดเพื่อให้พ่อแม่พี่น้องเข้าใจภาพรวมทั้งหมด ขอให้พวกเรามีความมั่นใจในตัวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และพวกเราต้องมีความพร้อมที่วันหนึ่งพวกเราอาจจะต้องออกมาพร้อมกันหมดเพื่อปกป้องประเทศไทย ขอบพระคุณครับ
       
       ลิงก์อ้างอิง
       http://landdestroyer.blogspot.com/2011/08/exposed-indy-newspaper-funded-by-us.html
       http://landdestroyer.blogspot.com/2011/08/confirmed-thailands-pro-democracy.html
       http://www.ned.org/where-we-work/asia/Thailand
       http://www.us-asean.org/us-thai-fta/ITC.pdf
       http://landdestroyer.blogspot.com/2011/06/corporate-funded-peoples-movement.html
       http://thanong.tripod.com/03072001.htm
        http://www.cfr.org/thailand/conversation-thaksin-shinawatra-prime-minister-thailand-rush-transcript-federal-news-service-inc/p11482
       http://www.usasean.org/Aboutus/members.asp
       http://landdestroyer.blogspot.com/2011/02/flash-back-thailands-thaksin-and-us-fta.html
       http://landdestroyer.blogspot.com/2011/02/egypt-today-thailand-tomorrow_12.html
       http://www.thailandwto.org/Doc/Pub/PubCur/Current5_FTA_ThaiUs.pdf
       http://ttmp.trf.or.th/ttmp_may-aug45_1.doc


      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #680 เมื่อ: 28 มกราคม 2555, 12:54:44 »

 กู  (เพื่อน) อ่านจนเหนื่อย เช่นกัน ....... เหนื่อย เหนื่อย gek gek
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #681 เมื่อ: 28 มกราคม 2555, 14:35:44 »

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 28 มกราคม 2555, 12:54:44
กู  (เพื่อน) อ่านจนเหนื่อย เช่นกัน ....... เหนื่อย เหนื่อย gek gek
ทนหน่อยเพื่อน...เรื่องดีๆมันก็ยาวอย่างนี้แหละ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #682 เมื่อ: 29 มกราคม 2555, 18:57:54 »

นักวิเคราะห์ต่างชาติตีแผ่คำ “สนธิ” แฉทุนมะกันหนุนหลังแก๊งล้มเจ้า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

 แลนด์ ดิสตรอยเออร์ รีพอร์ต/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - “สนธิ ลิ้มทองกุล” เจ้าของสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับบทบาทของสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (CFR), องค์กรบริจาคเงินเพื่อประชาธิปไตย (NED), องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID), ฮิวแมนไรต์ วอตช์ (HRW) องค์การนิรโทษกรรมสากล และหน่วยงานอื่นๆ ของสหรัฐฯ ที่เป็นตัวการบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย
       
       สนธิ เปิดใจชี้แจงทุกคำถามอย่างตรงไปตรงมา หลังจากนั้น บทสัมภาษณ์โดยละเอียดก็ถูกนำไปเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ Manager.co.th พร้อมภาพกราฟิกแสดงสายสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทุนต่างชาติและพวกยุยงปลุกปั่นในไทยที่ทำงานร่วมกับพวกเขา

       
       บทวิเคราะห์ของ สนธิ นอกจากจะครอบคลุมที่มาของวิกฤตการเมืองไทยตลอด 6 ปีที่ผ่านมาแล้ว ยังพุ่งประเด็นไปที่อดีตผู้นำซึ่งเป็นตัวแทนของลอนดอนและวอลล์สตรีทอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ด้วย
       
       ทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยตั้งแต่ปี 2001 จนกระทั่งถูกรัฐประหารเมื่อปี 2006 เคยเป็นอดีตที่ปรึกษาให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ Carlyle Group ของอเมริกา และส่งรายงานถึง CFR ในนครนิวยอร์กก่อนจะถูกปฏิวัติเพียง 1 วัน ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ทักษิณ พยายามผลักดันสนธิสัญญาเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐฯ แม้จะไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาก็ตาม และเมื่อเดือนเมษายนปี 2011แกนนำกลุ่มเสื้อแดงก็ได้เดินทางไปยังสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (USABC) ซึ่งมีส่วนสนับสนุนสนธิสัญญาเขตการค้าเสรีเมื่อปี 2004 ด้วย
       
       สภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน ประกอบด้วย บริษัทใหญ่ๆ เช่น 3M, Bechtel, Boeing, Cargill, Citigroup, General Electric, IBM, Monsanto และล่าสุดยังรวมถึง Goldman Sachs และ JR Morgan, Lockheed Martin, Raytheon, Chevron, Exxon, BP, Glaxo Smith Kline, Merck, Northrop Grumman, Syngenta และ Philip Morris ซึ่งถ้าจะว่ากันแล้ว กลุ่มบริษัทเหล่านี้ดูจะมีความเชื่อมโยงกับคำว่า สังหารหมู่, ทุจริตคอร์รัปชัน, สงคราม และความทุกข์ทรมานของมนุษย์ มากกว่านโยบาย “ประชาธิปไตย” และ “สังคมเปิด” ที่ ทักษิณ สัญญาว่าจะสร้างให้เกิดมีขึ้นในประเทศไทย
       
       หลังการปฏิวัติปี 2006 เป็นต้นมา นักการเงินจากบริษัทล็อบบี้ยิสต์อเมริกันจำนวนมากอาสาเป็นปากเสียงให้กับทักษิณ เช่น เคนเนธ เอเดลแมน จากบริษัทโฆษณา Edelman, เจมส์ เบก จาก Baker Botts (CFR), โรเบิร์ต แบล็กวิลล์ จาก Barbour Griffith & Rogers (CFR), Kobre&Kim และล่าสุด โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม จาก Amsterdam & Peroff (Chatham House) นอกจากนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงยังได้รับแรงเชียร์จากเอ็นจีโอที่สหรัฐฯ หนุนหลังอยู่ เช่น ประชาไท เป็นต้น
       
       ไม่นานมานี้ ทักษิณ ยังผลักดันให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวแท้ๆ เป็นตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมาในนามพรรคเพื่อไทย โดยได้แรงสนับสนุนจากสื่อตะวันตกอย่างล้นหลาม รวมไปถึงคำขู่จาก CFR ที่ต้องการให้พรรคของทักษิณได้ขึ้นสู่อำนาจอย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยคว้าชัยชนะมาได้ด้วยคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 35 จากจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด และแม้จะได้อำนาจมาครองก็จริง ทว่าฐานเสียงและความชอบธรรมที่ไม่ได้มากมายอย่างที่คิดก็เริ่มปรากฎชัดเจน อีกทั้งพรรคเพื่อไทยก็ยังต้องเผชิญแรงเสียดทานจากกลุ่มผู้มีอำนาจและกองทัพด้วย
       
       ข้อมูลเชิงลึกซึ่งแต่เดิมจะถูกจำกัดอยู่ในแวดวงสื่อทางเลือก ถูกเผยแพร่ไปตามสื่อกระแสหลักของไทยผ่านบทวิเคราะห์ของ สนธิ เมื่อวันศุกร์ (27) ที่ผ่านมา ซึ่งจากการสำรวจของ Alexa พบว่า เว็บไซต์ Manager.co.th เป็นเว็บที่มีผู้เข้าชมมากเป็นอันดับ 14 ของประเทศ และมีฐานผู้อ่านพอๆ กับเว็บข่าว RT ของรัสเซีย
       
       สนธิ ยังกล่าวถึงแนวคิด “ศตวรรษแห่งแปซิฟิก” ของสหรัฐฯ ซึ่งไม่ใช่เพียงการยกระดับอาเซียนให้เป็นคู่แข่งในภูมิภาคกับจีนเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการหลอมรวมเอเชียทั้งหมดให้เข้าอยู่ในระเบียบสากลที่ สนธิ เรียกว่า “ฉันทมติวอชิงตัน” (Washington Concensus)
       
       หลังคำสัมภาษณ์ของสนธิถูกเผยแพร่ออกไป เว็บไซต์ประชาไท ซึ่งรับทุนสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ออกมาตอบโต้ทันที โดยระบุว่า เงินจำนวนหลายล้านบาทต่อปี ที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มอบผ่าน NED นั้น “ไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อข่าวที่นำเสนอ” ทั้งที่บทบาทของ NED ในการบ่อนทำลายและโค่นล้มรัฐบาลอาหรับตลอดปี 2011 ที่ผ่านมานั้นเป็นที่ทราบกันดี ยังไม่รวมถ้อยแถลงยอมรับที่เผยแพร่ลงหนังสือพิมพ์ นิวยอร์ก ไทม์ส ในหัวข้อ “องค์กรสหรัฐฯสนับสนุนการปฏิวัติในโลกอาหรับ” ซึ่งมีใจความว่า
       
       “กลุ่มและบุคคลต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในการปฏิวัติและปฏิรูปทั่วภูมิภาคอาหรับ เช่น ขบวนการเยาวชน 6 เมษายนในอียิปต์, สถาบันสิทธิมนุษยชนในบาห์เรน รวมถึงนักเคลื่อนไหวรากหญ้าอย่าง เอ็นซาร์ กอดี ผู้นำเยาวชนในเยเมน ล้วนได้รับการฝึกฝนและสนับสนุนเงินทุนจากองค์กรของสหรัฐฯ เช่น สถาบันรีพับลิกันนานาชาติ, สถาบันประชาธิปไตยแห่งชาติ และ ฟรีดอม เฮาส์ ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนไม่แสวงหาผลกำไรในวอชิงตัน”
       
       “สถาบันรีพับลิกันและประชาธิปไตยมีสายสัมพันธ์ห่างๆ กับพรรครีพับลิกัน และเดโมแครต องค์กรทั้งสองก่อตั้งและได้รับเงินสนับสนุนจากองค์กรบริจาคเงินเพื่อประชาธิปไตย (NED) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1983 เพื่อสนับสนุนประชาธิปไตยในประเทศกำลังพัฒนา NED ได้รับงบประมาณราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปีจากสภาคองเกรส ในขณะที่ ฟรีดอม เฮาส์ ได้รับทุนสนับสนุนส่วนใหญ่จากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ”
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #683 เมื่อ: 30 มกราคม 2555, 18:43:40 »


"สมคิด" ระบุกก.บริหารมธ.มีมติเอกฉันท์ไม่ให้ใช้พท.มหาวิทยาลัยเคลื่อนไหว112
วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555


สะใจจริงๆครับพี่น้อง หากนายวรเจตน์ อยากเคลื่อนไหว เรื่อง ม.112
ก็มีความอิสระที่จะทำได้ในชื่อนาย วรเจตน์ อย่าได้มาแอบอ้างม.ธรรมศาสตร์ ให้เสียหายไปด้วย
อใสมคิด และกรรมการบริหารทำถูกต้องแล้วครับ


   

นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 30 มกราคมว่า


"ที่ประชุมกรรมการบริหารมหาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งประกอบด้วยคณบดี ผู้อำนวยการสำนักสถาบันมีมติเอกฉันท์ว่ามหาลัยคณะสำนักสถาบันจะไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่มหาลัยเพื่อเคลื่อนไหวกรณีมาตรา 112 อีกต่อไป เพราะมหาลัยเป็นสถานที่ราชการ การอนุญาตต่อไปอาจทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นการดำเนีนการของมหาลัยหรือมหาลัยเห็นด้วยกับการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น อีกทั้งอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในบริเวณมหาลัย จนมหาลัยไม่อาจดูแลความปลอดภัยของบุคคลและทรัพย์สินของมหาลัยได้"
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #684 เมื่อ: 30 มกราคม 2555, 18:53:14 »

ภรรยา"ร่มเกล้า"จวกรัฐเยียวยาคนผิด
posttoday.com

 
คอป.ระดมความเห็นเยียวยาปรองดอง แก้ปัญหาความขัดแย้งครั้งใหม่
"นิชา" ภรรยา "พ.อ.ร่มเกล้า" อัดรัฐจ่ายเยียวยาให้ผู้กระทำผิด นโยบายจ่ายเงิน

นายกิตติพงษ์ กิตยิรักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม  กล่าวว่า  การจัดเสวนาเรื่องความปรองดองในกระแสพลวัตทางสังคมและการเมือง เป็นการรับฟังความเห็นจากนานาชาติ เพื่อนำมาปรับใช้ด้านยุทศาสตร์เพื่อการปรองดอง เนื่องจาก คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) พิจารณาแล้วเห็นว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน สังคมไทยยังมีความแตกแยกทางความคิด มีการแบ่งขั้วทางการเมือง และการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นครั้งใหม่ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การเคลื่อนไหวเรื่องกฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ การเสนอให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรม รวมถึงบทบาทที่เพิ่มมากขึ้นขององค์กรอิสระ และถูกมองว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ด้าน นายคณิต ณ นคร ประธานคอป. กล่าวว่า  ในช่วงพ.ศ.2546-2547 ที่ผ่านมา เกิดลักษณะการใช้กฎหมายไม่ตรงไปตรงมา จึงเป็นปัญหารากเหง้าที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง จึงเปรียบเทียบช่วงเวลานั้นเหมือนในสมัยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำประเทศเยอรมันนี ที่กฎหมายไม่มีความศักดิ์สิทธิ์

ขณะที่นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาของพ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม นายทหารที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะกันของเจ้าหน้าที่ทหารและผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จกานแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยว่า การปรองดองจะต้องควบคู่กับความยุติธรรม ไม่ใช่แค่เยียวยาคนเสื้อเหลือง-คนเสื้อแดง แต่ยังมีผู้เกี่ยวข้องมากกว่านั้นอีกมากที่สูญเสียและยังไม่มีการชดเชย

นางนิชา กล่าวว่า การหาความจริงในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ควรจะต้องเริ่มจากหาข้อเท็จจริง ไปสู่กระบวนการให้ความยุติธรรม จากนั้นจึงจะเริ่มการเยียวยา แต่ทว่าเกิดความสับสนที่การเยียวยาถูกนำขึ้นมาก่อน ซึ่งต้องมีการพิสูจน์ก่อนว่าผู้ได้รับการเยียวยาเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่

ทั้งนี้ที่มีการกล่าวถึงผู้เสียชีวิต91ศพ ไม่ได้มีแต่คนเสื้อแดงเท่านั้น แต่ยังมี เจ้าหน้าที่ทหาร อาสาสมัครกู้ภัย ประชาชนที่ถูกลูกหลง และผู้เข้าร่วมการชุมนุม แบ่งเป็น2ส่วนคือ ผู้ชุมนุมอย่างสงบ และผู้ชุมนุมที่ใช้ความรุนแรง ซึ่งทุกกลุ่มที่อยู่ใน91ศพควรได้รับการเยียวยาเหมือนกันหรือไม่

"รมว.ยุติธรรมได้ส่งเอกสารความคืบหน้าล่าสุดการเสียชีวิตของพ.อ.ร่มเกล้า มาให้พบว่าไม่สามารถระบุผู้กระทำได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดีเอสไอ สืบสวนว่า การเสียชีวิตเกิดจากการกระทำของผู้ชุมนุมนปช. สุดท้ายก็มีการให้ประกันตัวไปหมด" นิชา กล่าว

นายเอกชัย ศรีวิลาศ ผอ.สำนักสันติวิธีและธรรมมาภิบาล กล่าวว่า สังคมไทยยังขาดคนให้ความรู้ความถูกต้องอย่างชัดเจน ตต้องยอมรับว่าประชาชนรับฟังสื่อเพียงด้านเดียวเท่านั้นทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม ทั้งนี้ไม่ต้องการให้คอป.นำกระแสสังคมมาเป็นที่ตั้งในเรื่องของการเยียวยา เพราะหากนโยบายเยียวยากำหนดเพียงปี47-53 ก็จะไม่ยุติธรรมกับประชาชนที่ล้มตายในเหตุการณ์อื่นๆ ส่วนกรณีความพยายามแก้กฎหมาย ม.112 ขอตั้งข้อสังเกตว่าเกิดจากความจงใจบางอย่างในช่วงนี้เท่านั้น จึงขอถามว่าถ้าแก้ม.112แล้วจะทำให้สังคมดีขึ้นได้จริงหรือไม่

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #685 เมื่อ: 31 มกราคม 2555, 15:23:15 »

กนก”นำทีมลูกแม่โดม นัดรวมพลดีเดย์ ตะเพิด “นิติราษฏร์” บ่ายสอง 2 ก.พ.
 จี้อธิการบดี มธ.สอบวินัย-อาญา ยกแก็งค์ ใช้เครือข่ายออนไลน์กระจายข่าวรวมพลัง

ข่าวจากเดลินิวส์

วันนี้ ( 31 ม.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  หลังจากที่หลายภาคส่วนในสังคมออกมาต้านกลุ่มนิติราษฏร์ ที่เสนอขอแก้ไข ม. 112 และรัฐธรรมนูญ ม. 8  ได้มีการเคลื่อนไหวของศิษย์เก่า ปัจจุบันของคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และแนวร่วมรวมพลังปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และปกป้องสถาบันมหาวิทยาลัยธรรมศษสตร์ได้ออกเอกสาร ประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการกระทำของคณะนิติราษฏร์ที่ใช้ชื่อของมหาวิทยาลัยไปสร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวสถาบัน  รวมทั้งเรียกร้องอธิการบดีให้มีการสอบสวนเอาผิดทั้งทางวินัยและทางกฎหมายต่อคณะนิติราษฏร์โดยนัดรวมพลหน้าคณะวารสารศาสตร์ ในวันพฤหัสที่ 2 ก.พ.เวลา 14.00 น.  โดยมีกิจกรรมเดินขบวนแสดงพลังประกาศเจตนารมณ์ที่ลานปรีดีฯ มีนายกนก  รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรชื่อดังในฐานะตัวแทนศิษย์เก่ายื่นหนังสือต่ออธิการบดีที่ตึกโดม และปิดท้ายกิจกรรมด้วยการร้องเพลงถวายพระพรหันหน้าไปยังโรงพยาบาลศิริราช  โดยในเอกสารยังเชิญชวนให้ลูกแม่โดมและผู้จงรักภักดีเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย
               
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  การเผยแพร่เอกสารของกลุ่มวารสารฯยังใช้เครือข่ายเฟสบุ๊คเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูล กระจายไปยังสาธารณะด้วยผ่านเว็บไซซ์ http;// www.facebook.com/Jctu9999 พร้อมกับระบุชื่อผู้ประสานงาน วิลาศินี  โฆษจันทร์
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #686 เมื่อ: 31 มกราคม 2555, 22:23:21 »

สถาบันพระปกเกล้า แถลงการณ์ ต้าน "นิติราษฎร์"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

สถาบันพระปกเกล้า ออกแถลงการณ์ ให้กลุ่มนักวิชาการที่เคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 112 ให้หยุดเคลื่อนไหว, ให้สถาบันต้นสังกัดควบคุมพฤติกรรม, และให้สังคมร่วมติดตามตรวจสอบใกล้ชิด พร้อมยกระดับตอบโต้จากเบาไปหาหนักหากยังไม่ยอมหยุด
       
       นายมหรรณพ เดชวิทักษ์ นายกสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า เป็นประธานแถลงการณ์คณะกรรมการสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าเรื่องการละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ของคณะกลุ่มบุคคลที่ได้อ้างความเป็นนักวิชาการและเสนอต่อสาธารณะในการแก้ไขมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และนำไปสู่การละเมิด พาดพิงวิพากษ์วิจารณ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสถาบันของชาติให้เกิดความเสียหาย และ กระทบกระเทือนต่อจิตใจประชาชนทั่วทุกหมู่เหล่า และขยายวงไปสู่ความขัดแย้งและแตกยกของผู้คนในสังคม
       
       ดังนั้นสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าในฐานะศูนย์รวมของนักศึกษาปัจจุบันและศิษย์เก่าของสถาบันพระปกเกล้า และมีวัตถุประสงค์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและสร้างความห่วงใยต่อพฤติกรรมและการกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวที่ก้าวเลยความเป็นนักวิชาการที่แสดงออกอย่างบริสุทธิ์ใจอย่างมีจรรยาบรรณ อย่างที่วิญญูชนพึงแสดงออกและพึงกระทำ คณะกรรมการสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าจึงขอเรียกร้องต่อสาธารณะดังนี้
       
       1.ให้คณะบุคคลดังกล่าวได้ยุติการกระทำที่ละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
       
       2.ขอให้สถาบันการศึกษาต้นสังกัดของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ ได้ดำเนินการควบคุมพฤติกรรมและการกระทำที่สร้างความแตกแยกแก่สังคมและประเทศโดยรวม และพิจารณาถึงการกล่าวอ้างตำแหน่งทางวิชาการของสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงของประเทศไปแสวงหาผลประโยชน์ให้เกิดแก่กลุ่มตนเองและพวกพ้องแห่งตน ตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
       
       3.ขอเรียกร้องให้สาธารณะสังคมได้โปรดติดตามตรวจสอบพฤติกรรมของกลุ่มคณะบุคคลดังกล่าวต่อไปอย่างใกล้ชิด
       
       คณะกรรมการสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าจึงแถลงมายังสังคมและประชาชนให้ทราบโดยทั่วกัน และขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนในสังคมได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี ปกป้องเทิดทูนและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดไป
       
      เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหากยังไม่มีการยุติการกระทำดังกล่าวจะมีการเรียกร้องอย่างไรต่อไป นายมหรรณพกล่าวว่าทางสมาคมจะทำการตอบโต้จากเบาไปหาหนักซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของศรัทธา เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่าถ้ายังมีการเสนอเรื่องนี้เข้าสู่รัฐสภาจะทำอย่างไร นายมหรรณพกล่าวว่าก็ให้เป็นไปตามขั้นตอนของสภา แต่เรื่องแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำอยู่แล้ว และอยากให้ทุกองค์กรและหน่วยงานตระหนักถึงภัยที่จะตามมา เพราะนี่เป็นเพียงการเคลื่อนไหวครั้งแรกของสมาคม

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #687 เมื่อ: 31 มกราคม 2555, 22:30:16 »

วันนี้ พี่น้องคู่นี้ ทักษิณ ชินวัตร กับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
บอกว่าไม่แก้ ไม่แตะต้องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ที่กลุ่มนิติราษฎร์กำลังวัดกระแสสังคม ฝ่ากำแพงแห่งศรัทธา
แต่ผลที่เราเห็นอยู่ ว่ากำลังจะล้มเหลว

ก่อนหน้านี้ดูท่าทีของทักษิณกับน้องสาวเคยพูดไว้ว่าอย่างไร

ทักษิณเคยให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์สเตรทไทมส์ เมื่อประมาณปลายเดือนพฤษภาคม 2554 ไว้ มีเนื้อข่าว ดังนี้

กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ “ทำให้เสื่อม”

"ต่อประเด็นการฟ้องร้องและดำเนินคดีบุคคลจำนวนมากในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ทักษิณกล่าวว่า “ทำให้สิ่งที่แย่อยู่แล้วเสื่อมลงไปอีก...หากว่าคุณเคารพและจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
ต้องหยุดการแสดงความจงรักภักดีด้วยวิธีโง่ๆเช่นนี้”

และเมื่อถามว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่กับการรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าว
 เขาตอบว่า “ก็ถ้ามีอยู่แล้วไม่ได้ใช้แบบไม่จำเป็นล่ะก็...”
ซึ่งสื่อว่าก็ไม่ได้เห็นด้วยเท่าใดนัก และยังเสริมว่า
“ยิ่งคุณดำเนินคดีกับคนในข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากขึ้นเท่าใด
ประชาคมนานาชาติและองค์กรสิทธิมนุษยชนก็จะเรียกร้องให้มีการยกเลิก(กฎหมายนี้)มากขึ้นเท่านั้น”

เขาย้อนไปถึงสมัยที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี
เขาเล่าว่าเคยเกือบให้มีการจับกุมผู้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์คนหนึ่ง
และในการเข้าเฝ้ากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งก่อน
พระมหากษัตริย์ทรงตรัสว่า “ไม่อยากให้ใช้กฎหมายตัวนี้พร่ำเพรื่อ”
อดีตนายกผู้ลี้ภัยสะท้อนว่า “ผู้ที่พยายามจะแสดงออกว่าเขาจงรักภักดีต่อกษัตริย์มากๆ
 และประกาศว่าจะเล่นงานคนที่แตะต้องสถาบันกษัตริย์นั้น เป็นการทำให้สิ่งที่แย่อยู่แล้วแย่ยิ่งขึ้น”

ต่อกรณีที่กองทัพบกได้เป็นผู้ยื่นฟ้องในกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรายล่าสุดนั้น
 ทักษิณกล่าวว่า ทหารมีหน้าที่หลักๆสองอย่าง
อย่างแรกคือปกป้องอธิปไตยของชาติ
อย่างที่สองคือปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์
กองทัพต้องการแสดงความจงรักภักดีของตนเองโดยแสดงออกชัดแจ้งเกินไป
ตนคิดว่าการกระทำดังกล่าวเป็นผลเสียต่อกองทัพและไม่ดีต่อสถาบันกษัตริย์เองด้วย"(ประชาไท)


แล้วผู้น้องสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกไทยคนปัจจุบัน
 เคยกล่าวไว้ หลังจากชนะเลือกตั้ง เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2554 กับสื่อนอกไว้ว่า

"สำหรับปัญหาเกี่ยวกับความผิดอาญาฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี
 น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ควรจะมีการสะสางให้เสร็จสิ้น และตนก็คิดว่าปัญหาดังกล่าว เป็นเรื่องที่อ่อนไหว
 ซึ่งจะต้องหาผู้ที่มีความชำนาญการเป็นพิเศษ ในการหารือเกี่ยวกับปัญหานี้
 และตนก็ไม่อยากให้ประชาชนใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบ่อยเกินไป
และไม่ต้องการให้คนไทยใช้กฎหมายนี้ในทางที่ผิด"(ผู้จัดการออนไลน์)

วันนี้ทั้งสองหักมุม 180 องศา ทันที
ทักษิณฝากผ่านนายนพดล ปัทมะ
 ว่าเห็นด้วยกับการไม่แก้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ขณะที่ยิ่งลักษณ์เธอบอกว่า เป็นการหวังผลการเมือง
และได้ปฎิเสธว่ารัฐบาลไม่เกี่ยวกับนิติราษฎร์


หลายคนพยายามควานหาสิ่งที่ยืนยันว่าทักษิณ ชินวัตร เกี่ยวกับ นิติราษฎร์ แต่หาไม่พบ ไม่เจอ ลิงค์ไปหากันลำบากยากยิ่ง
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง ผมขอตั้งข้อสังเกตุไว้
คือนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความชาวคานาดา ที่ในเว็บไซค์ของนายคนนี้ อย่างน้อย 2 บทความ
 ที่เห็นด้วยที่จะมีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 คือ

1. ต้องมีการปฏิรูปกฎหมายหมิ่นฯ

2. คำแถลงการณ์เรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112

คำถามก็คือ ทนายความฝรั่งตาน้ำข้าวคนนี้ ใครจ้างมา นิติราษฎร์จ้างมา หรือ คนเสื้อแดงคนไหนจ่ายค่าจ้างให้แก่เขา


เจ็บครับ ณ เวลานี้ ต้องบอกว่านิติราษฎร์เดียวดาย วังเวง เป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาเหมือนขยะสังคม อาจมทางความคิด ซึ่งก็ไม่รู้จะโทษใครเหมือนกัน
 ถ้าไม่รู้ว่าจะต้องร้องเพลงอะไร ในการตอกย้ำความเจ็บปวดที่ได้รับ
 ขอแนะนำเพลงของอ๊อฟปองศักดิ์ ท่อนฮุคท่อนนี้ให้ร้องกันทั้งคณะนิติราษฎร์
ผมเข้าใจคุณนะ

"ฉันเหมือนคนไม่มีกำลัง
และหมดแรงจะยืนจะลุกจะเดินไป
ฉันเหมือนคนกำลังจะตาย
ที่ขาดอากาศจะหายใจ

ฉันเหมือนคนที่โดนเธอแทงข้างหลัง
แล้วมันทะลุถึงหัวใจ
เธอจะให้ฉันมีชีวิตต่อไปอย่างไร
ไม่มีอีกแล้ว กับเธอ
ไม่มีเหลือสักอย่าง .... อยากตาย

แถมให้อีกเพลงของพี่อ๊อฟพงษ์พัฒน์

"เจ็บนี้อีกนาน เจ็บนี้ไม่ลืม"
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #688 เมื่อ: 31 มกราคม 2555, 23:02:44 »

ศิษย์มธ.นัดชุมนุมต้านนิติราษฎร์
Posttoday.com
   
ศิษย์คณะวารสารฯ มธ. นัดชุมนุมค้านนิติราษฎร์ 2 ก.พ. 14.00 น.
 จี้เอาผิดวินัย-อาญา ด้านอธิการฯย้ำห้ามนิติราษำร์ใช้พื้นที่เคลื่อนไหวตัดไฟแต่ต้นลม


เมื่อวันที่ 31 ม.ค. กลุ่มศิษย์เก่าและปัจจุบันของคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รวมตัวกันในนาม "วารสารฯ ต้านนิติราษฎร์" ร่วมกับแนวร่วมรวมพลังปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และปกป้องสถาบัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกเอกสารประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการกระทำของคณะนิติราษฎร์ ที่ใช้ชื่อของมหาวิทยาลัยไปสร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวสถาบัน หลังจากที่หลายภาคส่วนในสังคมออกมาต้านกลุ่มนิติราษฎร์ที่เสนอขอแก้ไขมาตรา 112 และรัฐธรรมนูญ มาตรา 8

กลุ่ม "วารสารฯ ต้านนิติราษฎร์" ยังได้เรียกร้องอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้มีการสอบสวนเอาผิดทั้งทางวินัย และทางกฎหมาย แก่คณะนิติราษฎร์ โดยกลุ่มดังกล่าว นัดรวมพลหน้าคณะวารสารฯ ม.ธรรมศาสตร์ วิทยาเขตท่าพระจันทร์ ในวันพฤหัสบดีที่ 2 ก.พ. นี้ เวลา 14.00 น.

ทั้งนี้จะมีกิจกรรมเดินขบวนแสดงพลังประกาศเจตนารมณ์ที่ลานปรีดี โดยมี นายกนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรชื่อดัง และนายยุทธนา มุกดาสนิท ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ร่วมด้วยอดีตคณบดีคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ทั้ง ดร.เสรี วงศ์มณฑา รองศาสตราจารย์ ปิยกุล เลาวัณย์ศิริ รวมทั้ง นางผาณิต พูนศิริวงศ์ นายกสมาคมศิษย์เก่าวารสารศาสตร์ฯ ทั้งหมดในฐานะตัวแทนศิษย์เก่า เข้ายื่นหนังสือต่ออธิการบดีที่ตึกโดม ในเอกสารดังกล่าว ยังเชิญชวนให้ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน และผู้ที่มีเจตนารมณ์เหมือนกันเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย

เอกสารดังกล่าว มีการเผยแพร่โดยกลุ่มวารสารฯ ต้านนิติราษฎร์ โดยอาศัยใช้เครือข่ายเฟซบุ๊ก เผยแพร่ข้อมูลไปยังสาธารณะ ผ่าน www.facebook.com/Jctu9999

ด้าน นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Somkit Lertpai thoon" โดยระบุว่า มีหลายคนแสดงความไม่เห็นด้วยกับการที่อธิการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ห้ามกลุ่มนิติราษฏร์เคลื่อนไหวเรื่อง ม.112 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกต่อไป  โดยมองว่าเป็นการกำจัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น นี่ก็เป็นมุมมองหนึ่งที่เข้าใจได้ครับ

แต่ผมอยากให้พวกเรามองอีกมุมมองหนึ่งด้วยว่าการที่ผู้บริหารมหาลัยต้องออกมาตรการนี้ออกมา คงเป็นกรณีฉุกเฉินเพราะเกรงว่าอาจจะลุกลามจนกลายเป็น "6 ตุลาครั้งที่สอง" ได้ และถ้าจะเกิดก็คงจะเกิดที่ธรรมศาสตร์เหมือนเมื่อปี 2519...เพราะฉะนั้น ผมจึงมองว่ามาตรการนี้ของผู้บริหารมหาลัยเป็น "การตัดไฟแต่ต้นลม"มากกว่าเป็นการจำกัดเสรีภาพครับ เพราะที่ผ่านมาธรรมศาสตร์ก็เปิดโอกาสให้กลุ่มนิติราษฏร์ใช้ธรรมศาสตร์เป็นที่เคลื่อนไหวมาหลายครั้งแล้ว...สรุปก็คือผมเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้ของผู้บริหารมหาลัยครับ

"ผมไม่ได้ห้ามไม่ให้ใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือเสรีภาพในทางวิชาการในมธ. แต่ต้องแยกเสรีภาพทั้งสองนี้ออกจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการขยายความขัดแย้ง และนำมาซึ่งความวุ่นวายในมธ.และประเทศ"

นอกจากนี้นายสมคิดยังโพสต์ข้อความด้วยว่า เป็นอธิการมธ.ก็ลำบากหน่อย 1.แสดงความไม่เห็นด้วยทางวิชาการกับนิติราษฎร์ก็มีคนออกมาประท้วง ด่าและข่มขู่คุกคาม ให้ปลดจากตำแหน่ง 2.อนุญาตให้นิติราษฎร์ใช้ที่มหาลัยก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งมากดดันคัดค้านต่อว่า 3.เห็นว่าควรพอได้แล้วกับ 112 (หลังจากอนุญาตไปแล้ว4-5 ครั้ง) คนกลุ่มแรกก็ออกมาอีก 4.เห็นว่าไม่ควรไล่ล่าแม่มดก้านธูป คนกลุ่มแรกออกมาชมคนกลุ่ม 2 ออกมาว่าอีก สังคมไทยไม่ยอมให้คนยืนบนความถูกต้องและพอดีพองามเลยหรือไง

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #689 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 09:17:13 »

ว่าด้วยกลุ่มนิติราษฎร์อีกครั้ง

โดย วสิษฐ เดชกุญชร

(ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 31 มกราคม 2555)

ทีแรกผมตั้งใจจะยังไม่เขียนเรื่องนิติราษฎร์กับมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาอีก เพราะเพิ่งเขียนไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้เอง แต่มีเหตุการณ์ไม่สู้ดีใหม่ๆ ปรากฏขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงอดไม่ได้ ต้องขอเขียนอีก

เหตุการณ์ไม่สู้ดีใหม่ๆ ที่ว่านี้คือการที่มีหลายกลุ่มออกมาชุมนุมแสดงความเห็นคัดค้านกลุ่มนิติราษฎร์ และในการแสดงความเห็นคัดค้านนั้น บางกลุ่มก็ส่อความรุนแรง เช่นกลุ่มที่ไปคัดค้านที่หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีการเผาหุ่นที่มีใบหน้าเหมือนคนสำคัญคนหนึ่งในกลุ่มนิติราษฎร์ด้วย

ท่านผู้อ่านคงจำได้ว่า ผมได้เคยเขียนติงกลุ่มนิติราษฎร์ไปแล้วในหน้านี้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการที่ข้อเสนอของกลุ่มมีลักษณะจะให้มีมาตรการควบคุมพระมหากษัตริย์ ด้วยการบัญญัติในรัฐธรรมนูญ (ที่หากแก้ไขหรือร่างขึ้นใหม่ได้ตามที่กลุ่มนิติราษฎร์ต้องการ) ให้พระมหากษัตริย์สาบานพระองค์ก่อนครองราชย์ ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะให้มีหลักประกันว่าทรง "พิทักษ์รัฐธรรมนูญ"

เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมได้เขียนไว้ในบทความว่า ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระมหากษัตริย์ต้องทรงประกาศต่อมหาสมาคมว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" คำประกาศที่ถือกันว่าเป็นปฐมบรมราชโองการ (น่าจะเรียกว่าปฐมบรมราชปฏิญญา) นี้ ไม่ได้เป็นบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับใด แต่เป็นไปตามโบราณราชประเพณี และมีลักษณะไม่ต่างอะไรกับคำสาบานที่กลุ่มนิติราษฎร์ต้องการ

ผมศึกษาความเป็นมาของกลุ่มนิติราษฎร์ และอ่านข้อเสนอของกลุ่มแล้ว ต้องยอมรับว่าแม้จะพยายามศึกษาและอ่านด้วยใจเป็นกลางเพียงใด แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์มีเจตนาอื่น (ที่ไม่เปิดเผย) แฝงเร้นอยู่

กลุ่มนิติราษฎร์ใช้คำว่า "กษัตริย์" แทนคำว่า "พระมหากษัตริย์"
ที่เราคนไทยนิยมใช้เมื่อกล่าวถึงสถาบันนั้น ที่จริงคำว่า "กษัตริย์" ดั้งเดิมก็มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่าผู้ป้องกันภัย หรือชาตินักรบ บาลีว่าขัตติยะ (ขตฺติย) ในสังคมฮินดูซึ่งแบ่งคนออกเป็นวรรณะหรือชั้นนั้น กษัตริย์เป็นวรรณะที่ 2 ใน 4 วรรณะ อีก 3 วรรณะคือ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร ไทยเรารับเอาคำ "กษัตริย์" มาใช้ให้หมายถึงผู้เป็นประมุขของประเทศ หรือพระเจ้าแผ่นดิน และนิยมเรียกว่า "พระมหากษัตริย์" ส่วนกษัตริย์ของประเทศอื่นนั้น เรียกว่าสมเด็จพระราชาธิบดี

คำว่า "พระ" และ "มหา" ที่อยู่ในคำว่า "พระมหากษัตริย์" นั้น สะท้อนความเคารพสักการะที่คนไทยมีต่อสถาบันนั้นมาแต่โบราณ เมื่อกลุ่มนิติราษฎร์เรียกว่า "กษัตริย์" เฉยๆ จึงทำให้คนแก่หัวโบราณอย่างผมอดสงสัยไม่ได้ว่า กลุ่มนิติราษฎร์มีเจตนาอยู่เป็นเบื้องต้นแล้ว ที่จะลดฐานะของพระมหากษัตริย์ลง

ผมขอตั้งข้อสังเกตอีกครั้งหนึ่งว่า มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญานั้น อยู่ในภาค 2 ลักษณะ 1 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ที่ผมใช้ตัวหนาและขีดเส้นใต้เอาไว้นี้ ก็เพื่อเน้นและเตือนท่านผู้อ่านว่า ความในมาตรา 112 และในประมวลกฎหมายอาญาภาคและลักษณะนั้นเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติหรือของประเทศ และสะท้อนเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ยอมรับว่า สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคงของชาตินั้นแยกกันไม่ได้ หากจะให้บ้านเมืองอยู่ได้ก็ยังต้องมีพระมหากษัตริย์

เกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้สมาชิกบางคนของกลุ่มนิติราษฎร์จะอ้างว่า ตนไม่มีเจตนาที่จะล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ และว่าข้อเสนอของตนเป็นไปเพื่อเชิดชูสถาบัน แต่แล้วก็ "ข้อเสนอเพื่อการรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112" ที่กลุ่มนิติราษฎร์เสนอในวันที่ 26 ธันวาคม 2554 ปีกลายนี้นั้นเอง ที่ให้ยกมาตรา 112 ออกไปไว้ในส่วน (ใหม่) ที่ว่าด้วย "เกียรติยศและชื่อเสียงของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" โดยเฉพาะ ยิ่งกว่านั้น กลุ่มนิติราษฎร์ยังให้เหตุผลด้วยว่า การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี ฯลฯ "ไม่มีสภาพร้ายแรงถึงขนาดกระทบกระเทือนต่อการดำรงอยู่ของบูรณภาพและความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร"

ผมอ่านข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์อย่างไรๆ ก็ตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากว่ากลุ่มนิติราษฎร์เห็นว่า ราชอาณาจักรไทยหรือประเทศไทยไม่จำเป็นต้องอาศัยพระมหากษัตริย์เป็นประกันความมั่นคงต่อไปอีกแล้ว

หรืออีกนัยหนึ่ง กลุ่มนิติราษฎร์เห็นว่าระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ไม่จำเป็นสำหรับประเทศไทยต่อไปแล้ว

ผมจึงขอประกาศด้วยบทความนี้ว่า เป็นสิทธิของผมในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่จะไม่เห็นด้วย และขอคัดค้านกลุ่มนิติราษฎร์ เพราะผมเห็นว่าพระมหากษัตริย์ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยยังสำคัญและจำเป็นสำหรับประเทศไทย

ผมอาจจะถูกหาว่าเป็น "อุลตร้ารอแยลิสต์ (ultra-royalist)" หรืออภิมหาราชนิยมหรือกษัตริยนิยม แต่ผมขอยืนยันว่า ทั้งสิ้นนี้เป็นความรู้สึกและความเห็นแท้ๆ ของผม ความรู้สึกและความเห็นที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากตำราฝรั่งภาษาใดเล่มใด หรือจากตำราไทยเล่มใดที่แปลงมาจากฝรั่ง แต่เป็นความรู้สึกและความเห็นที่เกิดจากการที่ได้เห็นพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่ง คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ สละพระราชหฤทัยและพระวรกาย "ครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" (ซึ่งหมายรวมถึงบรรพบุรุษของผม ครอบครัวของผม และตัวผมด้วย) มาเป็นเวลากว่า 60 ปี เห็นพระองค์ทรงเผชิญกับรัฐบาลเผด็จการทหารและรัฐบาลพลเรือนทุจริตชุดแล้วชุดเล่า และเห็นผลลัพธ์คือความต่อเนื่องและยั่งยืนของเมืองไทยในปัจจุบัน

เมืองไทยที่คนไทยส่วนใหญ่ได้อาศัยเป็นที่ประกอบสัมมาชีพและมีความสุขพอควรแก่อัตภาพ เมืองไทยที่คนไทยส่วนน้อยมีอิสรภาพเสรีภาพ สามารถแสดงความเห็นที่แตกต่างและเรียกร้องเอาสิ่งที่ตนต้องการได้

ตราบเท่าที่ความเห็นที่แตกต่างและการเรียกร้องนั้น มิได้เป็นไปเพื่อทำลายสิ่งที่ผู้อื่นเคารพสักการะและเห็นว่ามีคุณค่าสำหรับเขา อาทิ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สามสถาบันที่ทำให้เมืองไทยเป็นไทมาได้จนถึงวันนี้

   

   

   
   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #690 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 23:19:37 »

สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ" โฆษกศาลร่อนบทความ "อากงปลงไม่ตก (2)"

(ที่มา ข่าวสดออนไลน์)

บทความเรื่อง “อากงปลงไม่ตก” ที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ มีผู้ที่เห็นพ้องและเห็นแย้งในตรรกะและเนื้อหาของผู้เขียน สุดแต่มุมมองความเชื่อ ความเข้าใจและต้นทุนองค์ความรู้ของแต่ละคน ซึ่งผู้เขียนพร้อมน้อมรับด้วยความเคารพในความเห็นที่มองต่างมุม อันเป็นผลธรรมดาของนักนิติศาสตร์และสังคมประชาธิปไตยที่ทุกคนไม่จำต้องเห็นตรงกันในเรื่องเดียวกันเสมอไป อย่างไรก็ตามความเห็นแตกต่างที่อาจทำให้สังคมฉงนสนเท่ห์ลังเล สับสนในทฤษฎีวิชาการทางกฎหมายหรือข้อเท็จจริงแห่งคดีที่ศาลพิพากษา ผู้เขียนย่อมจำต้องขออนุญาตอรรถาธิบายขยายความให้กระจ่างชัดขึ้น ซึ่งความเคลือบคลุมดังกล่าวคงเป็นข้อจำกัดหลายประการของผู้เขียนเอง บทความนี้จึงขอนำเอาความเห็นแย้งของท่านผู้อ่านมาเป็นประเด็นคลายปมให้ตกผลึก ดังนี้

ข้อสงสัยประการแรก เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกอากงแล้วเหตุใดอากงยังได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุดตามหลักPresumption of Innocence มิเป็นการขัดแย้งกันเองหรือ

คำตอบ ตราบใดที่อากงหรือจำเลยยังคงติดใจโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยวิธีการอุทธรณ์หรือฎีกาแล้ว ถือว่าคดีนั้นยังไม่จบสิ้นกระแสความหรือถึงที่สุด เนื่องจากศาลสูงอาจพิพากษายืน ยก กลับ แก้คำพิพากษาศาลล่างได้  ฉะนั้นผลของคดีจึงอาจจะตรงกันข้ามกับที่ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ตัดสินก็ได้ เพราะในการพิจารณาพิพากษาคดี  ศาลสูงยังคงใช้หลักข้อสันนิษฐานเดียวกันว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์  ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยอันมีพื้นฐานมาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

เหตุผลสำคัญที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานดังกล่าวคือแม้อากงจะต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว แต่อากงก็ยังคงมีสิทธิยื่นคำร้องของปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาได้เพราะคดียังไม่ถึงที่สุดนั่นเอง

ส่วนการที่อากงหรือจำเลยจะได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาหรือไม่นั้นเป็นคนละเรื่องคนละขั้นตอนกับที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าอากงมีความผิดเพราะการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นเรื่องที่ศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานจนแน่ใจปราศจากข้อสงสัยว่ามีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้นศาลจึงพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคแรก

ส่วนขั้นตอนการขอปล่อยชั่วคราวในแต่ละชั้นศาล เกิดขึ้นตั้งแต่จำเลยเข้ามาอยู่ในอำนาจศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง  ส่วนการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว  ศาลจะพิจารณาเงื่อนไขตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 และ 108/1 ซึ่งบางครั้งการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวของศาลก็ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบยุติธรรมและสังคมได้  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเช่น ในคดีสำคัญหลายเรื่องที่จำเลยเป็นที่รู้จักและไม่รู้จักของสังคมได้รับการประกันตัวในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น หรือในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดแต่จำเลยได้รับการประกันตัวไปในระหว่างอุทธรณ์หรือฎีกาต่อมาได้หลบหนีไปย่อมทำความเสียหายแก่กระบวนการยุติธรรมเพราะไม่สามารถนำตัวจำเลยมาพิจารณาคดีหรือรับโทษได้จึงสรุปได้ว่า การที่จำเลยมีสิทธิได้รับการประกันตัวในศาลสูงจึงเป็นข้อสนับสนุนว่าจำเลยได้รับการสันนิษฐานว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ตามกฎหมายนั่นเอง

ข้อสงสัยประการต่อมา มีผู้โต้แย้งว่าในคดีอากงเมื่อผู้เขียนบอกว่า สำหรับบุคคลที่เจนโลก  โชกโชนสันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคม สถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความเข้าใจหลงผิด ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงควรต้องถูกลงโทษอันขัดแย้งกันเองกับที่ผู้เขียนบอกว่า อากงยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุดนั้น

ในข้อนี้  ฟังผิวเผินอาจเป็นปรปักษ์กันเอง แต่สำหรับผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายหรือนักนิติศาสตร์ย่อมสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก หรืออาจเป็นความเลินเล่อที่ผู้เขียนมิได้อธิบายขยายความให้แจ่มแจ้งแทงทะลุ ความจริงคือข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นหลักการสากลของกฎหมายตามที่ได้อธิบายในข้อแรก

ส่วนเนื้อหาข้อเท็จจริงแห่งคดีนั้นศาลจะพิพากษาอย่างไรเป็นเหตุผลเฉพาะคดีตามพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายโต้แย้งต่อสู้คดีกัน ถ้าจะพิพากษาลงโทษจำเลย โจทก์ก็ต้องนำสืบพิสูจน์ให้ศาลเชื่อโดยสนิทใจว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์  แต่หากพยานหลักฐานไม่พอฟังลงโทษหรือมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่  ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยและศาลต้องพิพากษายกฟ้องปล่อยจำเลยไป หรือถ้าคดีใดอัยการโจทก์สามารถนำสืบพิสูจน์จนให้ศาลเห็นและเชื่อได้ว่าจำเลยมีเจตนาชั่วร้าย ดังวลีที่ผู้เขียนบัญญัติขึ้น จำเลยในคดีนั้นก็สมควรที่จะได้รับโทษานุโทษตามความเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี ทั้งนี้เพื่อปกป้องคุ้มครองปัจเจกชนซึ่งเป็นผู้เสียหายคุ้มครองความสงบเรียบร้อยของสังคม ประเทศชาติ  ประชาชนและสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นเสาหลักความมั่นคงของประเทศให้มีความปลอดภัย แต่ถ้าคำตอบสุดท้ายศาลสูงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลล่างว่าจำเลยไม่มีความผิดแล้ว ข้อกล่าวหาทั้งปวงและผลแห่งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมถูกลบล้างไป  จำเลยย่อมพ้นมลทินเป็นผู้บริสุทธิ์

อนึ่ง ที่มักจะมีการกล่าวอ้างว่าทุกคนมีสิทธิเสรีภาพตามธรรมชาติ ในการพูดหรือแสดงความคิดเห็นมีเกียรติยศศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์  ไม่ควรถูกใครทำร้ายย่ำยีบีฑาทั้งชีวิต ร่างกาย  จิตใจ  หรือชื่อเสียงเกียรติคุณ  ข้อนี้ผู้เขียนเห็นด้วยแต่ว่าสิทธิดังกล่าวคงมิได้หมายความรวมไปถึงการมีสิทธิทำลายแผ่นดินเกิดของตนเองหรือเสาหลักของชาติบ้านเมืองหรือกระทำการใดอันฝ่าฝืนต่อกฎหมายที่ทุกคนเคารพและยึดถือร่วมกันอันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเกินกรอบที่วิญญูชนจะยอมรับได้  อนึ่งการกระทำการใดตามอำเภอใจโดยไม่เคารพสิทธิผู้อื่นก็ไม่ต่างอะไรกับคนป่าได้ปืนหรือคนเสียสติบ้าคลั่งไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี บริภาษด่าทอทำลาย ทำร้าย ผู้อื่นด้วยความคะนองใจ  โดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่บุคคล  สังคม  และประเทศชาติรวมถึงตนเองและครอบครัว ดังนั้นเหตุผลของผู้เขียนที่หยิบยกมาเป็นข้อเขียนในบทความแรก  จึงเป็นหลักการตามที่กฎหมายบัญญัติและเป็นกระบวนการที่ศาลใช้บรรทัดฐานในการพิจารณาพิพากษาคดี  มิได้มีความขัดแย้งกันแต่ประการใด

ข้อสงสัยประการสุดท้าย คือหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีอากงแล้ว   มีบุคคลหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ข้อเท็จจริงคดีนี้ตามสื่อโทรทัศน์บางช่องหรือสื่อสารสนเทศ  โดยผู้วิจารณ์ไม่ได้อ่านหรือเห็นคำพิพากษาที่ศาลชั้นต้นตัดสิน แต่นำเอาข้อเท็จจริงนอกสำนวนหรือเฉพาะข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นข้ออ้างสนับสนุนความเชื่อของตนเองและกล่าวหาทำนองว่า ศาลชั้นต้นตัดสินผิดพลาด

ข้อนี้ ผู้เขียนขอฝากว่าคดีนี้อากงหรือจำเลยซึ่งเป็นคู่ความคดีย่อมรู้ความจริงแก่ใจดีที่สุดว่าข้อเท็จจริงแห่งคดีหรือพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์และฝ่ายตนเป็นอย่างไรและปัจจุบันคดีนี้อยู่ในระหว่างคู่ความทั้งสองกำลังใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นอยู่บุคคลภายนอกที่มิใช่คู่ความในคดีไม่บังควรโน้มน้าวจูงใจทำให้สังคมเกิดอคติต่อข้อเท็จจริงที่ตนเองยังรู้ไม่แจ้งเห็นจริงเพื่อให้ผู้คนเชื่อว่าจำเลยบริสุทธิ์และศาลชั้นต้นพิพากษาไม่ถูกต้องอันมิใช่เป็นการวิพากษ์ในเชิงวิชาการหรือติชมด้วยความเป็นธรรมและสุ่มเสี่ยงต่อความผิดตามกฎหมาย

หนทางที่ถูกต้อง ควรปล่อยให้ศาลสูงเป็นผู้ทบทวนคำพิพากษาศาลล่างตามกระบวนการและช่องทางที่กฎหมายกำหนดจะเหมาะสม ชอบธรรม ถูกต้อง และสง่างามกว่าการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงนอกเรื่องนอกสำนวนนอกศาลซึ่งมีแต่ทำให้สังคมผิดหลง สับสน และมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องต่อศาลและกระบวนการยุติธรรม วันนี้สังคมไทยยังอ่อนไหว  คลื่นใต้น้ำยังไม่สงบ  ประเทศชาติต้องการความเป็นเอกภาพ สันติภาพและสันติธรรม  ต้องการความเข้มแข็งและความสามัคคี  เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ชาวโลก  อันมีผลต่อระบบเศรษฐกิจการค้า  การลงทุน  และการท่องเที่ยวรวมทั้งเรื่องอื่น ๆ  ผู้เขียนมั่นใจว่าคนไทยทุกคนรักแผ่นดินเกิด ต้องการเห็นประเทศชาติก้าวหน้ามั่นคง พัฒนาในทุกมิติให้เท่าทันอารยะประเทศ  ปรารถนาให้บรรยากาศบ้านเมืองอบอุ่นเป็นมิตรต่อกัน ความสุขมวลรวมและรายได้ของประชากรในชาติสูง ถ้าทุกคนมีเป้าหมายตรงกันเช่นนี้

ผู้เขียนใคร่ขออนุญาตนำเอาคำกล่าวในอดีตที่เคยพูดกันมาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างชาติให้มีสันติสุขอย่างถาวรยั่งยืนคือ “อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตกและอย่าแยกแผ่นดิน”
                           
สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ                                             
โฆษกศาลยุติธรรม
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #691 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2555, 22:43:05 »

วารสารฯมธ.แสดงพลัง จี้อธิการบดีตั้งกก.สอบ'นิติราษฎร์'

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

"วารสารฯมธ."แสดงพลังจี้ "อธิการบดี มธ." ตั้งกรรมการสอบ"นิติราษฎร์"หวังเอาผิดทั้งวินัย และอาญา หวิดป่วน หลังมีคนถือป้าย"โอเค นิติราษฎร์"


กลุ่ม "วารสารฯต้านนิติราษฎร์" ซึ่งเป็นการรวมตัวระหว่างอาจารย์ นักศึกษาและศิษย์เก่าของคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนม.ธรรมศาสตร์ เมื่อเวลา 14.00 น.ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ได้รวมตัวที่บริเวณหน้าตึกโดม ตรงข้ามลานปรีดี พนมยงค์ ทั้งนี้เพื่ออ่านแถลงการณ์รวบรวมรายชื่อเสนอต่อนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีม.ธรรมศาสตร์ ให้ดำเนินการต่อคณะอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในนามกลุ่ม "นิติราษฎร์" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์แก้ไขประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112

โดยแถลงการณ์มีข้อเรียกร้องประกอบไปด้วย1.เรียกร้องต่อประชาคมธรรมศาสตร์ ให้ร่วมกันต่อต้านการแก้ไข ม. 112 รวมถึงการใช้ชื่อมหาวิทยาลัยไปสร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวที่ล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.เรียกร้องให้อธิการบดี มีคำสั่งตั้งคณะสอบสวนคณาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ ในการกระทำที่อาจมีความผิดทั้งทางวินัยและกฏหมายให้เป็นที่กระจ่างแก่มหาชน พร้อมลงโทษตามมูลความผิด 3.เรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นรูปธรรม และดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีพฤติกรรมล่วงละเมิดสถาบันในทุกรูปแบบ อย่างจริงจังและเฉียบขาด 4.เรียกร้องต่อสื่อมวลชนให้ใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับมาตรา 112 เพื่อไม่ขยายผลการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ 5.เรียกร้องให้ประชาชน ให้ร่วมกันแสดงตนในการคัดค้าน ม. 112

นายยุทธนา มุกดาสนิท ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ในฐานะศิษย์เก่าคณะวารสาร กล่าวว่า การเสนอความเห็นของคณะนิติราษฎร์ ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นทางวิชาการอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่เป็นการใช้วิชาการบังหน้าจุดมุ่งหมายทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งยังอาจสร้างความขัดแย้งขึ้นในสังคมและทำให้ภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เสียหายเพราะมีการใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยในการจัดกิจกรรมรณรงค์เหตุนี้ประชาชนและนักศึกษาพร้อมทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันจึงรวมพลังลงชื่อร่วมต่อต้านคณะนิติราษฎร์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศระหว่างการจัดกิจกรรมของกลุ่มวารสารฯนี้เป็นไปอย่างคึกคัก โดยต่างคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์อย่างดุดัน มีการใส่เสื้อยืดพิมพ์บริเวณหน้าอกข้อความว่า"วารสารค้านนิติราษฎร์ หรือยืนถือแผ่นป้ายที่มีข้อความต่อต้านกลุ่มนิติราษฎร์อาทิเช่น "หยุดใช้ธรรมศาสตร์เป็นเครื่องมือทำลายสถาบันกษัตริย์" "นิติราษฏร์ไม่ใช่ธรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์ไม่ใช่นิติราษฎร์" "อย่าใช้ความรู้บิดเบือนคุณธรรม"ฯลฯ รวมถึงมีบุคคลในวงสังคมที่คุ้นหน้าเป็นอย่างดีร่วมด้วย อาทิ นายเสรี วงษ์มณฑา นายทรงอภิรัชต์ สิงโต อดีตผู้ประกาศ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี เป็นต้นทั้งนี้มีการร้องเพลงพระราชนิพนธ์ยูงทอง และร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงสดุดีมหาราชา พร้อมกันหันหน้าไปยังโรงพยาบาลศิริราชอีกด้วยหลังการอ่านแถลงการณ์เสร็จ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่กิจกรรมดำเนินไปได้ด้วยดีและถึงช่วงที่บรรดาผู้ร่วมกิจกรรมต่างผลัดเปลี่ยนกันมาปราศรัยให้กำลังใจซึ่งกันและกันนั้น บริเวณ ลานอนุสาวรีย์ปรีดี พนมยงค์นั้น ได้มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ทราบชื่อภายหลังคือ น.ส. เชาว์นาค มุสิกภูมิ สมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว มีลายทางลงเป็นสีแดง สวมหมวกสีน้ำเงินเข้ม ได้มายืนถือป้ายสนับสนุนกลุ่มนิติราษฎร์โดยมีข้อความว่า "โอเคนิติราษฎร์112" ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ที่มาร่วมงานเป็นอย่างมาก โดยที่ผู้ชุมนุมเหล่านั้นต่างตะโกนขับไล่พร้อมทั้งเดินเข้าไปหานางเชาว์นาคจนเกือบเกิดการกระทบกระทั่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในมหาวิทยาลัย รีบเข้ามาดึงตัวนางสาวเชาว์นาค ซ้อนมอเตอร์ไซค์ออกไปจากพื้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทันที ทั้งนี้นางเชาว์นาค ตะโกนกล่าวสั้นๆระหว่างถูกควบคุมตัวว่า "ไม่มีใครจ้างมา มาคนเดียว นิติราษฎร์ทำถูกต้องแล้ว อยากเห็นประเทศเดินหน้า เขาทำเพื่อปกป้องสถาบัน" ทั้งนี้กิจกรรมจะหยุดชะงักไปชั่วครู่แต่ภายหลังนางสาวเชาวน์นาค ได้ถูกนำตัวออกไป ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติ

นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวิจัย ม.ธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้แทนรับหนังสือ กล่าวว่า จะนำแถลงการณ์ดังกล่าวมอบให้กับนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อนำเข้าที่ประชุมกรรมการบริหารวิทยาลัยเพื่อพิจารณาข้อเสนอ ที่ผ่านมาก็ได้ระบุชัดแล้วว่า มหาวิทยาลัยไม่ได้ห้ามในการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการเรื่องประมวลกฎหมายอาญา112 แต่ต้องห้ามเนื่องจากอาจมีการนำมาใช้เคลื่อนไหวทางการเมืองจนนำไปสู่ความวุ่นวายในอนาคต ทั้งนี้การเสวนาทางการเมือง ตลอดจนการพูดในเชิงวิชาการเกี่ยวกับประเด็น ม.112 สามารถทำได้ในอนาคต แต่ขณะนี้ขอให้ระงับไว้ก่อนทุกกรณี จนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายลงกว่านี้ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะใช้เวลานานเท่าใด
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #692 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2555, 23:43:58 »

112 เกาไม่ถูกที่คัน'เขากล้าหาญ แต่ยังมีปัญหา'

   

 "ผมไม่ได้หมายความว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยไม่ควรเปลี่ยนแปลง สถาบันทุกสถาบันต้องเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตามสภาพการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเพียงแต่เวลาเราอยากจะเอาต่างประเทศมาเพื่อแก้ปัญหาในไทย"

โดย..ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม
         
"มาตรา 112" ที่คณาจารย์นิติราษฎร์จุดพลุเป็นข้อเสนอเพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ร้อนเกินความคาดหมาย เกิดฝ่ายสนับสนุน-คัดค้านเขย่าสังคมไทย ลามไปถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กลายเป็นพื้นที่สงครามความคิดจนอธิการบดีมีมติห้ามเคลื่อนไหวมาตรา 112 ในรั้วแม่โดม จนมีการประท้วงโดยการวางหรีดต่อต้านกันวุ่นวาย
         
ข้อเสนอแก้ มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา มองกันสองมุมสุดขั้ว ฝ่ายนิติราษฎร์บอกนี่เป็นข้อเสนอเพื่อพิทักษ์สถาบันในระยะยาว อีกฝ่ายเห็นว่า การแก้ 112 เท่ากับบ่อนเซาะทำลายสถาบัน บรรยากาศการเผชิญหน้าไปไกลถึงใช้อารมณ์ละเลยต่อการวิพากษ์เนื้อหาเหตุผล

สมคิด เลิศไพฑูรย์

สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อีกสถานะคือ อดีตเลขากรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ผู้ตกเป็นเป้าเพราะอยู่ฝั่งตรงข้ามความคิด "นิติราษฎร์" วิเคราะห์ข้อเสนอแก้มาตรา 112 และประเด็นต่อเนื่องที่ตามมาของคณะนิติราษฎร์
         
ก่อนเริ่มเนื้อหาก็กระเซ้าว่า ข้อความในเฟซบุ๊กที่เจ้าตัวเขียน "นิติราษฎร์กู่ไม่กลับแล้ว"หมายความว่ายังไง?
         
"ที่เขียนเพราะมีคนถามผม จะเตือนนิติราษฎร์บ้างไหม ก็เลยบอกว่า กู่ไม่กลับ จะไปเตือนเขาได้อย่างไร เขาไปขนาดนั้นแล้ว ไม่ใช่กู่ไม่กลับเพราะเนื้อหาเขาไม่ดี ความจริง มาตรา 112 มีความเห็นทางวิชาการเยอะ คนวิจารณ์นิติราษฎร์ก็ไม่ค่อยวิจารณ์เนื้อหา แต่วิจารณ์ท่าที พูดเรื่องเนรคุณซึ่งผมไม่เห็นด้วย ผมคิดว่าการที่นิติราษฎร์เสนอมาตรา 112 เป็นเสรีภาพที่จะทำได้"

ข้อเสนอของนิติราษฎร์ที่ให้สำนักพระราชวังเป็นคนฟ้องแทนและลดโทษลงมา ผมไม่แน่ใจว่าถ้าแก้แล้วจะนำไปสู่อะไร แต่ก็คิดว่ามันก็จะมีคนวิพากษ์วิจารณ์สถาบัย้อนกลับไปดูข้อเสนอแก้มาตรา 112 ของนิติราษฎร์ มีเนื้อหาโดยสรุป 7 ข้อ
         
1.ให้ยกเลิกมาตรา 112 ออกจากลักษณะว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร2.เพิ่มหมวดลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 3.แบ่งแยกการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ออกจากการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 4.เปลี่ยนบทกำหนดโทษ โดยไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ แต่กำหนดเพดานโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 3 ปี สำหรับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และไม่เกิน 2 ปี สำหรับพระราชินีรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
         
5.เพิ่มเหตุยกเว้นความผิดกรณีแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต 6.เพิ่มเหตุยกเว้นโทษ กรณีข้อความที่กล่าวหานั้นได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงและการพิสูจน์นั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ 7.ห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษผู้ที่ทำความผิด ให้สำนักราชเลขาธิการมีอำนาจเป็นผู้กล่าวโทษเท่านั้น

         
สมคิด วิพากษ์ว่า สิ่งที่นิติราษฎร์เสนอมีหลายเรื่อง เช่น การย้ายหมวดพระมหากษัตริย์ การลดโทษลงมา การให้สามารถวิจารณ์พระมหากษัตริย์ได้ส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะ มาตรา 112 ไม่ได้เป็นปัญหาในเชิงบทบัญญัติอย่างที่นิติราษฎร์ระบุ แต่เป็นปัญหาจากการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงโทษที่แรงเกินไป เมื่อเทียบกับมาตรฐานโทษอื่น 3-15 ปี
       
 "สำหรับบทบัญญัติว่าด้วยการหมิ่นประมาทในระบบกฎหมายไทย มีคน 3-4 กลุ่ม ที่กฎหมายวางไว้ หมิ่นประมาทคนธรรมดา หมิ่นประมาทข้าราชการ หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ รัชทายาทไทย และหมิ่นประมาทประมุขของต่างประเทศแต่นิติราษฎร์แก้เรื่องเดียว ซึ่งเป็นข้ออ่อนของนิติราษฎร์ คนถึงวิจารณ์ว่า ทำไมต้องไปแก้ลดโทษหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไทย แต่ไม่เสนอแก้ลดโทษหมิ่นประมาทประมุขของต่างประเทศ ซึ่งมีโทษสูงเช่นกัน"
         
สมคิด ตั้งคำถามว่า ในอดีตจนถึงปัจจุบัน คนที่ถูกลงโทษตามมาตรา 112 ได้กระทำความผิดตามมาตรา 112 จริงหรือไม่ หลักการคือ ในทางวิชาการเวลาเราหมิ่นประมาทใคร ต้องมีเจตนา คือ ต้องการให้เสื่อมเสีย แต่ถ้าหมิ่นประมาทเพื่อหวังดี ในทางกฎหมายถือว่า ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาท ในระบบกฎหมายไทยศาลก็ใช้ "เจตนา" มาบังคับตลอด แต่ปัญหาใหญ่ของสังคมไทยนั้น เรื่องใดที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มาตรา 112 จึงถูกใช้บังคับโดยไม่คำนึงถึงเจตนา ทำให้มีคนที่ถูกลงโทษตามมาตรา112 จำนวนมาก

"ผมยกตัวอย่าง มี 2 เรื่อง 1.กรณีคุณวีระมุสิกพงศ์ ที่พูดเปรียบเปรยบางอย่าง ซึ่งนักกฎหมายถือว่าคุณวีระไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์แต่มีคนไปแจ้งความ ตำรวจก็ต้องรับ มิฉะนั้นตำรวจก็ถูกกล่าวหาว่าไม่หวังดีต่อพระมหากษัตริย์ อัยการก็ต้องส่งฟ้อง ศาลก็ต้องตัดสิน 2.คดีคุณสนธิลิ้มทองกุล ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินคดี คุณสนธิเอาคำของคนที่หมิ่นประมาทมาเพื่อปกป้องพระมหากษัตริย์ ถามว่า คุณสนธิมีเจตนาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือไม่ ก็ไม่มี ตำรวจต้องไม่รับแจ้งความ อัยการต้องไม่ส่งฟ้องศาล ศาลต้องไม่ตัดสินว่าผิด นี่คือหลักของ มาตรา 112"
         
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ถูกแจ้งความร้องทุกข์ตามมาตรา 112 มีบางคนที่หมิ่นประมาทจริง และไม่ได้หมิ่นประมาทด้วย แต่ทุกวันนี้เนื่องจากการบังคับใช้การตีความทางกฎหมายของคนในกระบวนการยุติธรรมไม่เอาเจตนามาจับ จึงเกิดปัญหาขึ้น
         
"ข้อเสนอของนิติราษฎร์ที่ให้สำนักพระราชวังเป็นคนฟ้องแทนและลดโทษลงมา ผมไม่แน่ใจว่าถ้าแก้แล้วจะนำไปสู่อะไร แต่ก็คิดว่ามันก็จะมีคนวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งก็จะนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ที่เหมาะสมหรือเกินเลยก็ได้ ผมเลยคิดว่าทำไมไม่แก้ปัญหาที่การบังคับใช้กฎหมายให้ชัดขึ้น"
         
         
จุดอ่อนของนิติราษฎร์ที่สมคิดมองอีกเรื่องคือการแก้ไขมาตรา 112 ที่อ้างเหตุผลให้สถาบันกษัตริย์ไทยเทียบเท่ามาตรฐานสากล เขาว่า ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้มีมาตรฐานเดียวกันทั้งหมดในโลก ไม่ว่า ภูฏานอังกฤษ ญี่ปุ่น หรืออีกหลายประเทศก็มีมาตรฐานที่แตกต่างกัน ไม่จำเป็นจะต้องเอามาตรฐานระบอบกษัตริย์ของประเทศหนึ่งมาใช้กับประเทศหนึ่ง
         
"ผมไม่ได้หมายความว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยไม่ควรเปลี่ยนแปลงสถาบันทุกสถาบันต้องเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตามสภาพการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพียง
       
แต่เวลาเราอยากจะเอาต่างประเทศมาเพื่อแก้ปัญหาในไทย เราก็ยกตัวอย่างต่างประเทศเวลาเราไม่อยากเอาต่างประเทศ เราบอกว่า นี่เป็นระบบไทยๆ ตกลงเราใช้หลักอะไรกันแน่เราตามทุกประเทศได้จริงหรือ และจริงๆ ในโลกมีมาตรฐานเดียวหรือ นี่คือประเด็นใหญ่ของการแก้มาตรา 112 ซึ่งผมคิดว่ามีปัญหาในเชิงวิธีคิด"
       
แนวคิดของนิติราษฎร์ที่เสนอห้ามไม่ให้พระมหากษัตริย์มีพระราชดำรัสต่อสาธารณะหรือให้พระมหากษัตริย์สาบานต่อรัฐสภาในฐานะประมุขว่า จะพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญ มีความก้าวหน้าแค่ไหน?..."นี่ก็ไม่ใช่มาตรฐานโลก อย่างในอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์และเป็นต้นแบบของหลายประเทศ นายกฯ ต้องเข้าพบกษัตริย์และกษัตริย์มีอำนาจที่จะแนะนำนายกฯ ว่าต้องทำอย่างไร และกษัตริย์ต้องมาเปิดประชุมสภา
         
ถ้าไม่เสด็จ สภาก็เปิดไม่ได้ มีอีกหลายประเด็นเยอะแยะ ซึ่งมีข้อแตกต่างในสาระที่ไม่เหมือนกัน แต่ละประเทศมีจารีตประเพณีที่แตกต่างกันออกไป
         
"ผมย้ำอีกทีว่า ไม่ใช่ว่ามาตรา 112 ไม่ควรเปลี่ยนแปลง แต่ถ้ามันถึงเวลามันก็ควรปรับปรุง แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวบทกฎหมาย ถ้าเราจะไปเปลี่ยนแปลงมันก็แก้ไม่ตรงจุด"
         
สมคิด ยังหยิบยกข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของนิติราษฎร์ที่เห็นว่าเป็นปัญหา นั่นคือการปรับปรุงสถาบันศาล ที่เสนอว่าตุลาการศาลสูงต้องได้รับการเสนอชื่อโดยคณะรัฐมนตรี และได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา       

"ผมว่า เละเลยนะ ต่อไปสภาคือนักการเมืองจะคุมศาลได้ ผู้พิพากษา ประธานศาลฎีกาคนไหนที่เข้มแข็งก็จะถูกโหวตไม่เอามาเป็นประธานศาลฎีกา เอาคนที่อ่อนลงมาหน่อยก็ได้ สถาบันศาลที่ดำรงอยู่ได้ทุกวันนี้ในสังคมไทย ก็เพราะศาลปลอดจากฝ่ายการเมือง แต่แน่นอนความคิดของนิติราษฎร์คือ ทุกสถาบันต้องเชื่อมโยงกับประชาชน แน่นอนต่างประเทศเป็นอย่างนั้น แต่ระบบอย่างนี้ใช้ได้กับสังคมไทยหรือ นักการเมืองไทยกับนักการเมืองต่างประเทศได้มาตรฐานเดียวกันหรือ ถ้าศาลไทยต้องผ่านความเห็นชอบของสภา นักการเมืองก็จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อศาลไทย ก็มีคำถามว่า เราไม่เชื่อมั่นประชาชนหรือ เราเชื่อมั่นครับ แต่ถามว่าวันนี้เรามีสภาที่มีคุณภาพเพียงพอหรือเปล่าที่ยังทำหน้าที่นี้ได้ เราไว้ใจสภาผู้แทนราษฎรขนาดนั้นหรือไม่ นี่เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย"
         
อีกประเด็น ข้อเสนอให้มีระบบสภาเดี่ยวคือมีสภาผู้แทนราษฎรแต่ไม่มีวุฒิสภา สมคิดไม่เห็นด้วย โดยยกเหตุผลว่า ถ้ามีสภาเดียวแล้วดี ทำไมผู้ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ2550 ถึงให้มี 2 สภา เพราะเขาคิดว่าสภาที่ 2 คือ วุฒิสภา ต้องมีเพื่อคานอำนาจสภาผู้แทนฯถ้ามีสภาผู้แทนฯ เพียงสภาเดียว จะไม่มีองค์กรไหนมาตรวจสอบสภาผู้แทนฯ ได้
         
"แน่ล่ะ มีตัวอย่างหลายประเทศที่ใช้สภาเดี่ยวแล้วประสบความสำเร็จ แต่มันก็เป็นประเทศของเขา จำเป็นต้องประสบความสำเร็จในประเทศไทยหรือไม่ คนละเรื่องนะครับ เพราะคุณภาพของสภาไทยกับสภานอกไม่เหมือนกัน ถามว่าทำไมเรามีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) แต่ต่างประเทศไม่มี ผมไปเยอรมนีผมก็ถามเขาว่า เมืองไทยทุจริตเยอะ แล้วเยอรมนีป้องกันปัญหาทุจริตอย่างไร เขาบอกไม่ต้องป้องกันมาก เพราะคนเยอรมันไม่ทุจริตมันอาย ไม่ทำกัน
         
"ฉะนั้น ข้อเสนอนิติราษฎร์ดูดี ได้มาตรฐานอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี แต่ว่าสอดคล้องกับสังคมไทยหรือไม่ นี่เป็นปัญหามาก" ...
       
เช่นเดียวกับข้อเสนอให้ลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ที่นิติราษฎร์เสนอแต่แรก สมคิด บอกว่า เป็นเรื่องดี และนักวิชาการทุกคนก็ต้องเห็นด้วย แต่ข้อสังเกตคือ ทำไมไม่ลบล้างย้อนหลังไปถึงการรัฐประหารครั้งก่อนๆ เช่น สมัยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (รสช.) และที่นิติราษฎร์บอกว่าจะแก้มาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อแก้ปัญหาผลของการรัฐประหาร คำถามคือ จะแก้ได้จริงหรือไม่
         
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญมี 2 ส่วน บทถาวรหลักกับบทเฉพาะกาล ในส่วนของบทเฉพาะกาลเมื่อใช้แล้วมันก็เลิกไปตามเวลาที่ผ่านไป วันนี้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ผ่านไป 5 ปี บทเฉพาะกาลจึงไม่มีผลแล้ว ฉะนั้นจะมายกเลิกบทเฉพาะกาลในมาตรา 309 เพื่อให้มีผลย้อนหลังไป หลายคนจึงไม่เข้าใจว่าคืออะไร
         
อย่างไรก็ตาม อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่า การขับเคลื่อนแก้มาตรา112 ได้ก่อให้เกิดการเผชิญหน้าที่ขมึงเกลียวทั้งที่วันนี้ประเทศไทยมีปัญหาสำคัญที่ต้องแก้มากกว่ามาตรา 112 เช่น ปัญหาความยากจนของคนไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหาทางกฎหมายอื่น การช่วยเหลือชาวบ้านที่ไปบุกรุกที่สาธารณะแล้วถูกจับกุมคุมขัง ซึ่งมากกว่าคนที่โดนคดีหมิ่นฯ มาตรา 112 ปัญหาทุจริตของนักการเมือง ฯลฯ ทำไมไม่จับสาระตรงนี้
         
แต่ถึงแม้จะเห็นต่าง ทว่า สมคิด ก็ชื่นชมความกล้าหาญของคณาจารย์นิติราษฎร์ที่เสนอความเห็นแหลมคมที่ไม่มีใครกล้ามาก่อน ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางความคิด มีการโต้แย้งถกเถียงทางวิชาการ นำไปสู่ทางออกที่ดีในอนาคต
         
"การจุดพลุของนิติราษฎร์เป็นข้อดีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งได้เปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้แสดงความเห็นอย่างเต็มที่ เพราะไม่ขัดต่อกฎหมาย แต่สังคมรับไม่ได้กับเรื่องบางเรื่อง เพราะวันนี้สังคมไทยอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ การจะแก้ไขมาตรา112 ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก และหากจะเกิดการแก้ไขครั้งนี้ขึ้น ก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย สามารถแก้ไขได้ เพียงแต่ว่า คนที่จะขอแก้ ต้องตอบโจทย์ก่อนว่า ทำไมต้องแก้".

 "ผมไม่ได้หมายความว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยไม่ควรเปลี่ยนแปลง สถาบันทุกสถาบันต้องเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตามสภาพการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเพียงแต่เวลาเราอยากจะเอาต่างประเทศมาเพื่อแก้ปัญหาในไทย"

นิติราษฎร์ 'เพื่อน-น้อง-ลูกศิษย์-ผู้ช่วย'

กับคณาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า สนิทสนม มักคุ้น เพราะเคยอยู่ที่คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ด้วยกันมาก่อน
         
7 คณาจารย์นิติราษฎร์ ประกอบด้วย วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ปิยบุตร แสงกนกกุล จันทจิรา เอี่ยมมยุรา ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล ธีระ สุธีวรางกูร ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ และสาวตรีสุขศรี ทั้งหมดเป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมตัวเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2553 มีจุดยืนต่อต้านการรัฐประหาร สมคิดเล่าว่า บางคนเป็นเพื่อน บางคนเป็นลูกศิษย์ บางคนเคยเป็นผู้ช่วยเขา
       
 "อาจาย์วรเจตน์ ก็เป็นเพื่อน เขารุ่นน้องที่ธรรมศาสตร์ (หัวเราะ) อาจารย์ปิยบุตร เป็นทั้งลูกศิษย์และผู้ช่วยของผมเอง เขาก็ช่วยผมนานพอสมควรก็สนิทชิดเชื้อกัน ผมก็แนะนำเขา
       
 ตลอด ปิยบุตรก็ดีกับผมมาก เขาไม่เคยวิจารณ์หรืออะไรต่อกัน แต่ว่าธรรมศาสตร์เป็นอย่างนี้เขาจะเป็นลูกศิษย์ หรือเป็นใคร แต่เมื่อเขาเป็นอาจารย์เขาก็มีสิทธิแสดงความคิดเห็นอย่างเสมอภาค เราจะไม่มาบอกว่า สมคิดเป็นอาจารย์ปิยบุตรมาก่อน ฉะนั้นสมคิดต้องเก่งกว่า ปิยบุตรปิยบุตรห้ามวิจารณ์อย่างนี้ ปิยบุตรสามารถเถียงกับสมคิดได้ แม้จะเคยเป็นลูกศิษย์มาก่อนก็ตามเขาอาจจะเก่งก็ได้ในบางเรื่อง เช่น 112 เขาอาจจะค้นไปสุดๆ รู้เรื่องมากกว่า เราก็ได้"
         
"ผมเพิ่งกินข้าวกับปิยบุตรเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว ก็แสดงความยินดีกับ ปิยบุตร ที่จบปริญญาเอกจากฝรั่งเศส เราไม่ได้มีปัญหาอะไรกันหรอกในเรื่องส่วนตัว ถ้าใครจะค้นว่า ผมมีอคติกับวรเจตน์ หรือใครมีอคติต่อใคร ผมไม่เห็นด้วยนะแม้แต่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า อาจารย์วรเจตน์ได้ทุนอานันทมหิดล แล้วเนรคุณต่อเจ้าของทุน ผมก็ไม่เห็นด้วยที่เราจะวิจารณ์กันอย่างนี้ เราต้องวิจารณ์เนื้อหาที่ อาจารย์วรเจตน์ หรืออาจารย์ปิยบุตรพูด
       
สมคิดเล่าต่อถึงความสัมพันธ์กับสมาชิกนิติราษฎร์ "อาจารย์จันทจิรา ก็รู้จักตั้งแต่เป็นนักศึกษา เขาเป็นรุ่นพี่นิติศาสตร์ของผม อาจารย์ธีระก็รู้จักกันในภาควิชา เกือบทั้งหมดในนิติราษฎร์ อยู่ในภาควิชาเดียวกับผม คือ ภาควิชากฎหมายมหาชน ตั้งแต่อาจารย์วรเจตน์อาจารย์ธีระ อาจารย์ปิยบุตร อาจารย์จันทจิราสนิทสนมกัน สมัยก่อนก็กินข้าวด้วยกัน เดี๋ยวนี้ผมมาทำบริหาร เขาก็ไปเคลื่อนไหว ก็ไม่ค่อยได้เจอ แต่เราคุยกันได้ตลอด
       
"บางเรื่องผมก็กริ๊งกร๊างหา ฟังคนนั้นคนนี้เมื่อ 2 ปี ผมก็โทร.ไปหาอาจารย์วรเจตน์ มีหนังสือพิมพ์ออกข่าวทำนองว่า อาจารย์วรเจตน์วิพากษ์วิจารณ์ผมว่า ผมไม่ยอมให้ใช้สถานที่อะไรต่างๆ ผมตรวจสอบ ผมก็โทร.ไปถามว่าอาจารย์วรเจตน์เรื่องนี้ไม่จริงนะ ผมไม่เคยไม่ให้ใช้สถานที่ อาจารย์วรเจตน์ก็บอกว่า ผมไม่ได้ให้สัมภาษณ์ครับ หนังสือพิมพ์ลงไปเอง ก็กริ๊งกร๊างหากัน
         
"แม้แต่เรื่อง 112 เมื่อวาน (วันพุธที่ 1 ก.พ.)ผมก็โทร.ไปหาอาจารย์ปิยบุตรในฐานะเพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชาว่า มติธรรมศาสตร์เป็นอย่างนี้ คุณช่วยดูหน่อยว่า จะทำอย่างไรให้ภาพรวมของธรรมศาสตร์ออกมาดี อาจารย์ปิยบุตรก็บอกว่า ก็คงไปคุยกัน และก็ถามผมว่าจะขออนุญาตแถลงข่าวได้ไหม ก็พูดกันไปครับ"
         
สมคิดยืนยันว่าได้ให้เสรีภาพทางวิชาการกับนิติราษฎร์ แต่ช่วงหลังมีนักศึกษา เจ้าหน้าที่เป็นห่วงเรื่องการจัดเสวนามาตรา 112 ในธรรมศาสตร์มาก หลายคนติงอธิการบดีว่า ทำไมถึงยอมให้เขามาใช้ที่ธรรมศาสตร์จัดกิจกรรม ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อความขัดแย้งที่รุนแรง ก็ตอบไปว่า เป็นเสรีภาพทางวิชาการ และเป็นความหลากหลายในธรรมศาสตร์ แต่ถ้าเลยเถิดไปกว่านั้น จะถึงขนาดที่จะเป็นปัญหา ก็ต้องลงไปดูแล ซึ่งถ้านิติราษฎร์จะจัดอภิปรายเรื่องอื่นในธรรมศาสตร์ ก็ไม่ได้ห้ามอะไร
         
"ในระบบธรรมศาสตร์ ผมจะบอกว่า เอ้ยคุณหยุดพูดนะ ผมเป็นผู้บังคับบัญชาคุณ ถ้าที่อื่นเขาทำไปแล้ว ทหาร มหาดไทยเขาก็สั่งให้หยุดพูดแต่มหาลัยเรามีเสรีภาพทางวิชาการ อธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาของทุกคนก็จริง แต่อธิการบดีก็ไม่สามารถสั่งให้คุณหยุดพูดได้ มันทำไม่ได้เพราะมหาลัยมีเสรีภาพทางวิชาการ"

ระวังวิกฤตรธน.

 

สถานการณ์ประเทศขณะนี้ ในทัศนะของสมคิด มองว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่น่าเป็นห่วง อาจเกิดความรุนแรงได้ทุกเมื่อ เพราะไม่ได้ถกเถียงทางวิชาการ แต่ส่วนตัวก็ยังมองโลกในแง่ดีว่า ทุกอย่างมีทางออก ไม่มีทางที่จะอุดตัน
         
"หลายคนคิดว่าสังคมจะเปลี่ยนเร็ว มันไม่เร็วอย่างที่เราคิดหรอกครับ ถามว่า ผมอยากให้สังคมไทยเป็นประชาธิปไตยไหม ผมอยากครับ และผมก็ไม่อยากเห็นทหารทำรัฐประหาร 19 ก.ย. ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะผมคิดว่าแม้รัฐประหารเมืองไทยทำง่ายแต่การรักษาอำนาจไว้มันทำยาก แม้แต่วันนี้ก็มีคนพูดว่า อาจมีการทำรัฐประหารจากประเด็น 112 นะ ผมก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง"

สมคิด วิเคราะห์ว่า ปัจจัยเปราะบางที่จะเกิดความขัดแย้งในปัจจุบันมี 3 เรื่อง คือ 1.มาตรา 112 2.การแก้รัฐธรรมนูญ และ 3.การแก้ พ.ร.บ.กลาโหม
         
เรื่องรัฐธรรมนูญอยู่ที่เนื้อหาที่จะแก้ เช่นถ้าแก้บางเรื่องที่ไม่ใหญ่ก็ไม่ขัดแย้ง แต่ถ้าแก้มาตรา 237 เรื่องยุบพรรค ก็อาจเจอการเคลื่อนไหวต่อต้านได้ หรือแก้ไม่ให้มีวุฒิสภาสว.ก็อาจไม่ผ่านรัฐธรรมนูญให้ แต่มองว่าเหตุผลลึกๆ ที่รัฐบาลอยากแก้รัฐธรรมนูญก็เพื่อควบคุมองค์กรอิสระเหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณที่คุมเบ็ดเสร็จทั้ง สส. สว. ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระบางส่วน เพราะวันนี้รัฐบาลยังคุมองคาพยพทั้งระบบไม่ได้ หลายคนจึงมองออกว่ารัฐบาลมองไกลไปที่การคุมกลไกอำนาจรัฐทั้งหมดของประเทศผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้น
         
"รัฐบาลอย่าคิดว่าตัวเองมีเสียงข้างมากในสภา เพราะเสียงข้างมากไม่ได้เป็นจุดชี้ขาดเราเห็นมาแล้ว ตอนนายกฯ ทักษิณ มีเสียงข้างมาก ก็พ่ายแพ้ ใครจะคิดว่ากรณีไม่เสียภาษีซื้อขายหุ้นของคุณทักษิณจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว การแก้รัฐธรรมนูญก็เช่นเดียวกันจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวได้ ถ้ารัฐบาลอ้างว่าฉันมาจากประชาธิปไตย ฉันกุมเสียงข้างมาก จะแก้อย่างไรก็ได้"
         
สมคิด เห็นว่า สถานการณ์ปัจจุบันรัฐบาลไม่จำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ได้ เพราะหลายเรื่องที่รัฐบาลบริหารประเทศมา 6 เดือนก็มีข้อดีที่ทำงานเร็ว มีประสิทธิภาพ

   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #693 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2555, 10:10:48 »

คอป.ย้อน "ยงยุทธ" ถามเกณฑ์ความรู้สึกคนอื่นแล้วหรือไม่ก่อนควัก 3 ล้าน
 ย้ำหลักสากลไม่จ่ายให้คนจงใจทำผิด



นพ.รณชัย คงสกนธ์ ประธานอนุกรรมการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความรุนแรง คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กล่าวถึงกรณีที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคอป. (ปคอป.) ระบุว่าเงินเยียวยาจิตใจ 3 ล้านบาทในเงินเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตจากการชุมนุมทางการเมือง ทั้งหมด 7.75 ล้านบาท ตั้งขึ้นโดยหลักเกณฑ์ความรู้สึก ว่า ถือเป็นเรื่องดีที่ประธาน ปคอป.ออกมาชี้แจงว่าใช้หลักเกณฑ์อะไรในการตั้งตัวเลขเงินเยียวยาดังกล่าว ในส่วนของเงินชดเชย 4.5 ล้านบาท เมื่อชี้แจงมาจากรายได้เฉลี่ยประชาชาติ คูณจำนวนปีที่ผู้เสียชีวิตน่าจะทำงานได้ คอป.ก็ไม่ได้ติดใจอะไร


"แต่เงินเยียวยาจิตใจ 3 ล้านบาทที่นายยงยุทธบอกว่าใช้ “หลักเกณฑ์ความรู้สึก” คอป.เห็นด้วยว่าชีวิตคนประเมินค่าเป็นตัวเงินไม่ได้ แต่ถ้านายยงยุทธจะใช้เกณฑ์ความรู้สึกในการตั้งตัวเลขเงินเยียวยาจิตใจ อยากให้ช่วยไปถามเกณฑ์ความรู้สึกของคนส่วนอื่นในสังคมด้วยว่าเห็นด้วยกับเกณฑ์ความรู้สึกที่นายยงยุทธตั้งขึ้นมาหรือไม่ หากคนเหล่านั้นยอมรับ ก็คาดว่าจะทำให้เกิดความปรองดองขึ้นมาได้ แต่ถ้าคนเหล่านั้นไม่ยอมรับ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก" นพ.รณชัยกล่าว

               
กรรมการ คอป.ยังกล่าวว่า ขอชื่นชมที่นายยงยุทธประกาศว่าก่อนจะจ่ายเงินเยียวยา จะต้องมีการพิสูจน์ว่าบุคคลเหล่านั้นได้รับความเสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้หลักการสากลยังระบุว่าไม่ให้จ่ายเงินเยียวยาผู้ที่จงใจกระทำผิด ดังนั้น ก่อนที่จะจ่ายเงินเยียวยาให้กับบุคคลใดโดยเฉพาะ 91 ศพที่นายยงยุทธบอกว่าควรจะได้ทุกคน ก็ควรจะมีการตั้งโต๊ะชี้แจงเป็นรายบุคคลเลยว่า คนเหล่านี้ได้รับเงินเยียวยาเพราะอะไร
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #694 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2555, 22:55:47 »

คำสั่งแบ่งงานบิ๊กตร."รอบ3" เมื่อ "บิ๊กอ๊อบ" ลดบทบาท "บิ๊กอ๊อด" ฉาย "รอยร้าว" กรมปทุมวัน


คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่ 33/2555 เรื่อง "แก้ไขกำหนดลักษณะงานและการมอบอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบให้จเรตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ (สบ 10) ที่ปรึกษา (สบ 10) ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ (สบ 9) และรองจเรตำรวจแห่งชาติ (สบ 9)" ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) "พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" ลงนามเมื่อค่ำวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา กลายเป็น "ชนวน" ให้เกิดการตั้งข้อสังเกต ถึงการปรากฏ "ความไม่ลงรอย" ใน "กรมปทุมวัน"

นั่นเพราะเป็นคำสั่งเปลี่ยนแปลงการ "แบ่งงาน" แก่เหล่า "31 บิ๊ก ตร." ครั้งที่ 3 ในรอบไม่ถึง 4 เดือนนับตั้งแต่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์นั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. ฉายให้เห็นสไตล์การบริหารแบบ "บิ๊กอ๊อบ" ซึ่งแตกต่างจาก ผบ.ตร.คนอื่นๆ ที่ไม่เปลี่ยนแปลงการแบ่งงาน เป็นลักษณะสั่งครั้งเดียวจบ

แต่สำหรับ "บิ๊กอ๊อบ" ไม่ใช่ ผู้นำสีกากีคนนี้มาในสไตล์ "คิดใหม่ สั่งใหม่" ได้ตลอดเวลา ขณะที่คำสั่งล่าสุดส่งนัยยะหลายประการ

คำสั่ง ตร.ที่ 33/2555 แบ่งกลุ่มงานตามเดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของหน้างานต่างๆ จนเกิดข้อกังขา เช่น การจัดให้สำนักงานตำรวจคนเข้าเมือง ซึ่งอยู่ในกลุ่มหน่วยงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ตามการจัดโครงสร้างแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาอยู่ในความดูแลของรอง ผบ.ตร.ด้านบริหาร นั่นก็คือ "พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ" และยังให้งานบริหาร ดูแลงานป้องกันปราบปรามน้ำมันเถื่อน ซึ่งเป็นที่ทราบกันในวงสีกากี ว่าผู้ที่ได้รับมอบหมายคุมงานด้านนี้ ต้องเป็นคนสนิทของ ผบ.ตร. หรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่วางใจได้ เนื่องจากมีงบประมาณมหาศาล และที่สำคัญงานปราบปรามน้ำมันเถื่อนใน พ.ศ.นี้มีนัยยะทางการเมืองแฝงอยู่ เพราะสามารถใช้เป็นเครื่องมือจัดการปรปักษ์ทางการเมืองได้?!

พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ให้เหตุผลของการวางตัว "พล.ต.อ.พงศพัศ" ให้เป็นเบอร์ 1 ของงานด้านบริหาร ขึ้นแท่นชนิดหนึ่งเดียวเบ็ดเสร็จ ว่าเป็นไปตามเหตุเดียวกับที่ปรับเปลี่ยนงานของ บิ๊ก ตร.คนอื่นๆ นั่นคือ เป็นไปตามความเหมาะสม

"พล.ต.อ.พงศพัศได้ช่วยงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมาในช่วงน้ำท่วม ทำให้การประสานงานกับรัฐบาลไปได้ดี ทั้งการประสานสื่อมวลชน ประสานรัฐบาล ตัว พล.ต.อ.พงศพัศ เป็นคน Flexible (ยืดหยุ่น) เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ ก็เห็นว่าเหมาะสมจะรับงานบริหาร" เป็นคำอธิบายของ ผบ.ตร. ที่อาจเรียกได้ว่าได้มาเพราะ "นารีอุปถัมภ์" คงไม่ผิดนัก

ในงานด้านยาเสพติด งานหลักจุดขายของ ผบ.ตร. ในคำสั่งนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ มอบ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รอง ผบ.ตร. รับไปดูแล โดยให้ดูแต่งานยาเสพติดอย่างเดียว ไม่มีจับงานอื่น

มองตามตรรกะหยาบๆ พล.ต.อ.วัชรพลเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) การวางตัวเป็นรอง ผบ.ตร.คุมงาน ปป.ยาเสพติดไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยแต่ประการใด แต่ในวงสีกากีกลับมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าแม้งานด้านยาเสพติดจะเป็นงานสำคัญ แต่อย่าลืมว่าเป็นงานที่ ผบ.ตร.คนนี้ลงมาเล่นเองตลอด และเป็นพระเอกที่ดูโดดเด่นมาก

ดังนั้น การมอบหมายให้ พล.ต.อ.วัชรพลกำกับเพียง บช.ปส. โดยไม่ให้รับผิดชอบกำกับดูแลพื้นที่ ก็มองได้ว่าเป็นการ "สตั๊ฟ" ลดบทบาทของบิ๊กสีกากีผู้นี้ ละม้ายคล้ายๆ ในยุคที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ยังเป็นรอง ผบ.ตร.กำกับดูแลงานด้านกิจการพิเศษ ก็ได้รับมอบหมายให้คุม บช.ปส. โดยไม่ได้กำกับพื้นที่ สมัยนั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เคยออกทำนองว่าถูก "สตั๊ฟ" ลดบาทเช่นกัน?!!

ขณะที่การปรับเปลี่ยนงานด้านปราบปรามอาชญากรรม ของ ผบ.ตร.เพรียวพันธ์ในครั้งนี้ เป็นจุดที่ถูกจับตามองมากที่สุด เนื่องจากมีการลดบทบาทของ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร. ที่เคยเป็นรอง ผบ.ตร. ด้านป้องกันปราบปราบอาชญากรรม (ปป.) กำกับรับผิดชอบ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เป็นเสมือนพระเอกในงาน ปป.มาหลายสมัย

แต่คำสั่งนี้ให้รับผิดชอบเพียง บช.ภ.1, 2, 3, 4 โดยโยกบทพระเอก คุม "นครบาล" หัวใจของประเทศ ให้แก่ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. รับไปแทน โดยให้คุมทั้ง บช.น. บช.ภ.5, 6 และ 7 อีกทั้งยังให้ พล.ต.อ.ปานศิริ คุมงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ อีกหลายอย่าง ทั้งงานปราบปรามการลักลอบตัดไม้ ทำลายป่า ทรัพยากรธรรมชาติ การโจรกรรมรถยนต์ การปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

ขณะที่ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์คุมเพียงงานปราบปรามผู้มีอิทธิพลและมือปืนรับจ้าง ส่วนงานปราบน้ำมันเถื่อนโยกให้ พล.ต.อ.พงศพัศ ไปดูแลแทน!!

ซึ่ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ให้คำอธิบายสั้นๆ ว่า เป็นการปรับเปลี่ยนไม่ได้มีความขัดแย้ง แต่เป็นความเหมาะสม

"เพราะผมดูว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข่าวต่างๆ ทั้งเรื่องอบายมุข อะไรอย่างนี้ ประกอบด้วย รวมทั้งการจัดการบริหารงานตำรวจ เห็นควรว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง ก็สั่งการไปมีแค่นี้ ไม่มีอะไรลึกซึ้งกว่านี้ ไม่มีความขัดแย้งอะไร ผมทำตามความเหมาะสม ไม่มีการโกรธเคืองอะไร

"ที่ปรับ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ ไปคุม บช.ภ.1, 2, 3, 4 ก็ยังเป็นงานปราบปรามอยู่ดี เพียงแต่ไม่ได้ดูนครบาลเท่านั้นเอง ที่ให้ พล.ต.อ.ปานศิริ มาคุม บช.น. เนื่องจากเคยเป็น ผบช.น.มาก่อน ก็น่าจะดูเรื่องอบายมุขได้เรียบร้อย เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาการประสานงานหรือความต่อเนื่องของงานเพราะคนเป็นตำรวจย่อมรู้งานดี รับงานไหนก็ทำกันได้"

กระนั้น การปรับโยกงานบิ๊ก ปป. ก็มีนัยยะสะท้อน "ความไว้วางใจ" ที่มีต่อ พล.ต.อ.ปานศิริอย่างมาก นั่นเพราะ บช.น. บช.ภ.5 ซึ่งเป็นพื้นที่ภาคเหนือ บช.ภ.6 ภาคเหนือตอนล่าง และ บช.ภ.7 จังหวัดภาคกลางปริมณฑล เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านการปราบปรามยาเสพติด อันเป็นภารกิจหลักที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ให้ความสำคัญลำดับต้นๆ ดังนั้น การโยกสลับเปลี่ยนบทมือขวา จึงเป็นที่น่าจับตา

ในทางกลับกันที่น่าสนใจกว่า คือ อย่าลืมว่าตลอดเวลาที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์อยู่บนเก้าอี้ "พิทักษ์ 1" มีข่าวลือ ข่าวปล่อยในแวดวงสีกากีตลอดเวลาว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะนั่งบนบัลลังก์สีกากีไม่ครบเกษียณ โดยมี พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ ซึ่งประหนึ่ง "คอหอยกับลูกกระเดือก" กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีผู้กำกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มารับไม้ต่อก่อนเกษียณ เป็นข่าวลือที่ไม่เคยจางไปจากรั้วปทุมวัน จนล่าสุด ร.ต.อ.เฉลิมต้องออกโรงตอบโต้สยบข่าวลือชนิดควันออกหู

เพราะทั้ง "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ และ ร.ต.อ.เฉลิม ประสานเสียงว่า "ไม่เคยมีความคิดหักขาเก้าอี้ ผบ.ตร." เช่นเดียวกับ ผบ.ตร.เพรียวพันธ์ที่มีแนวโน้มจะไม่สละเก้าอี้ก่อนวันที่ 30 กันยายน 2555

จุดนี้เองทำให้คำสั่งเปลี่ยนแปลงการแบ่งงานครั้งนี้ ถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่แนบแน่นในความสัมพันธ์ระหว่าง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ และ ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งไม่ได้หมายรวมถึงพรรคเพื่อไทย หรือรัฐบาล

ว่ากันว่าการแต่งตั้งนายพลครั้งที่ผ่านมา เกิดปรากฏการณ์ จับมือกันพยายามหักบัญชี ผบ.ตร. ในที่ประชุม ก.ตร.ถึงขั้นทุบโต๊ะ ท้าทาย จน "ตอกลิ่ม" ให้ร้าวลึก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม และ ผบ.ตร.จะออกมาประสานเสียง ไม่มีเกาเหลาชามใหญ่ ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่การลงนามคำสั่งแบ่งงาน ซึ่งเขย่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งนี้ ก็ปิดรอยร้าวไม่มิด

และที่สำคัญในห้วงนี้เหล่าสีกากีเริ่มเห็นอำนาจนอกองค์กรเข้ามาป้วนเปี้ยนในสำนักปทุมวัน ยิ่งขับเน้นให้เห็นเค้าลางของอิทธิพลเหนือการตัดสินใจบริหารองค์กรสีกากีของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ประชิดเข้ามาทุกที ใช่หรือไม่ว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุของรอยร้าวที่ปรากฏ?!!

 
หน้า 8 มติชนรายวัน ฉบับวันที่5ก.พ.55[/color]
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #695 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2555, 09:46:26 »

แพทย์ชนบทเคลื่อนสะเทือน วิทยา
06 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 07:42 น. | เปิดอ่าน 325 |  ความคิดเห็น 0
 หยั่งรากลงลึกแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ ขบวนการล้มหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปรากฏร่องรอยสำทับการตั้งอยู่จริง

โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน

หยั่งรากลงลึกแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ ขบวนการล้มหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปรากฏร่องรอยสำทับการตั้งอยู่จริง

เม็ดเงินมหาศาลร่วมแสนล้านบาทหมุนเวียนอยู่ในกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) คือชิ้นปลามันที่กำลังถูกจับจ้อง

พลันที่ วิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข (สธ.) เข้าดำรงตำแหน่ง ขั้วอำนาจในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ถูกพลิก กลุ่มผู้บริหารเดิมโดนล้างบาง

โครงสร้างบอร์ด สปสช. ประกอบด้วยผู้แทนภาคประชาชน 5 คน ผู้แทนผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุข 5 คน ผู้แทนหน่วยงานราชการ 8 คน ผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 4 คน รมว.สาธารณสุข 1 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน (ผู้ทรงคุณวุฒิได้รับการแต่งตั้งจากบอร์ด 23 คนแรก) รวมทั้งสิ้น 30 คน


แน่นอนว่าเสียงของผู้แทนหน่วยงานราชการอปท. จะเทตามบัญชาของ รมว.สาธารณสุข นั่นหมายความว่า รมว.สาธารณสุข กุมเสียงไว้ทั้งหมด 13 เสียง

ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา คือตั้งแต่ปี 2545 จนถึงปี 2554 ก่อนได้บอร์ดชุดปัจจุบัน เสียงภาคประชาชนผู้ทรงคุณวุฒิ จะผนึกเข้ากับ รมว.สาธารณสุข เสมือนหนึ่งลดทอนและจำกัดบทบาทผู้แทนผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุข (กลุ่มแพทย์โรงพยาบาลเอกชน)

ทว่าเมื่อเข้าสู่ยุควิทยา กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง กล่าวคือทั้ง 13 เสียง ได้ควบรวมเข้ากับเครือข่ายแพทย์เอกชนสภาวิชาชีพอย่างเหนียวแน่น จนสามารถแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากแพทย์เอกชนนายทุนอีก 7 เสียง ได้สำเร็จ

เกิดเป็นข้อเคลือบแคลง “สายสัมพันธ์ผลประโยชน์” คือผลเลิศของการแต่งตั้งตัวบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งใช่หรือไม่?

“พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มสมาคมยาข้ามชาติ กลุ่มโรงพยาบาลเอกชน เครือข่ายแพทย์ สภาวิชาชีพ ข้าราชการ สธ.บางราย ที่ผนึกเข้ากับฝ่ายการเมืองเพื่อล้มระบบบัตรทอง เนื่องจากสูญเสียอำนาจบริหารตัดสินใจงบประมาณ” สุภัทรา นาคะผิว โฆษกกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ เปิดประเด็นขบวนการล้มหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา

วาทกรรม “ล้มบัตรทอง” ในที่นี้ หมายถึงการแสวงหาประโยชน์จากเงินในกองทุน

ท่ามกลางความคลุมเครือที่ยังไร้ข้อพิสูจน์ในขณะนั้น มีความเคลื่อนไหวจากชมรมแพทย์ชนบทที่น่าสนใจ

สองวันให้หลัง นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ประกาศจุดยืนสนับสนุนข้อมูลของกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ และเปิดหน้าชกด้วยการตีแผ่ “บันได 4 ขั้น” ของขบวนการฮุบกองทุน

1.ฝ่ายการเมืองจะเปิดทางให้กลุ่มแพทย์ที่ไม่เห็นด้วยกับระบบและฝ่ายการเมืองเข้ายึดครองบอร์ด สปสช. เพื่อจัดบุคคลเข้าสู่อนุกรรมการชุดต่างๆ 2.เปลี่ยนตัวผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. โดยเอาตัวแทนฝ่ายการเมืองเข้าไปแทนที่ 3.ของบประมาณเหมาจ่ายรายหัวเพิ่มขึ้น 4.สร้างกระแสสังคมให้ยุบเลิกหรือแก้ไขสาระสำคัญของพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545


ที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์ถึงบทบาทการตรวจสอบข้อพิรุธปมทุจริตของชมรมแพทย์ชนบท ทั้งกรณีการทุจริตยา 1,400 ล้านบาท เป็นเหตุให้ รักเกียรติ สุขธนะ อดีต รมว.สาธารณสุข ต้องติดคุก หรือกรณีทุจริตจัดซื้อครุภัณฑ์ในโครงการไทยเข้มแข็งจน วิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ในขณะนั้น ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก

การแสดงท่าทีของชมรมแพทย์ชนบทในครั้งนี้จึงมีพลังและน่ารับฟัง ที่สำคัญใช่ว่าบันได 4 ขั้น จะไม่มีความน่าจะเป็น

นั่นเพราะเมื่อตรวจสอบรายชื่อบอร์ด สปสช.ชุดใหม่ โดยพิจารณาความเหมาะสมและเทียบเคียงกับบอร์ดชุดก่อน พบความไม่ชอบมาพากลหลายตำแหน่ง อาทิ สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา จ.ชลบุรี ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประกันสุขภาพ ส่วนบอร์ดชุดก่อนคือ นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก

นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ กรรมการบอร์ดการบินไทย เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์แผนไทย บอร์ดชุดก่อน คือ ภญ.สำลี ใจดี ประธานกรรมการมูลนิธิพัฒนาการแพทย์แผนไทย และมูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา เสงี่ยม บุญจันทร์ ทนายความสำนักงานเสงี่ยม บุญจันทร์ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย บอร์ดชุดก่อนคือ เจษฏ์ โทณะวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม

หรือแม้แต่ วรานุช หงสประภาส ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณระดับ 10 เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลัง ซึ่งล่าสุดได้ยื่นหนังสือลาออกต่อ รมว.วิทยา แล้ว โดย วิทยา ระบุว่า เหตุผลที่วรานุชลาออกเพราะมีภารกิจส่วนตัวในต่างประเทศจึงไม่สะดวกในการทำงาน ทว่ากลับมีชื่อวรานุชปรากฏอยู่ในบอร์ด ปตท.สผ. เริ่มดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา

เร้าให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของขบวนการยึดกองทุนโดยภาคธุรกิจเอกชน

นอกจากนี้ เมื่อจับสัญญาณจากการประชุมบอร์ด สปสช เมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา ยิ่งชัดเจนถึงแผนบันไดขั้นที่ 1.เพราะระยะเวลาร่วม 5 ชั่วโมง ที่ประชุมสามารถแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 13 คณะ จำนวน 217 คน ได้สำเร็จ

นิมิตร์ เทียนอุดม บอร์ด สปสช. สัดส่วนภาคประชาชน บอกว่า การแต่งตั้งครั้งนี้ฝ่ายการเมืองมีการนำคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับวงการแพทย์มาดำรงตำแหน่ง และเมื่อถูกคัดค้านก็หาทางออกด้วยวิธีการลงคะแนนเสียงข้างมาก ท้ายที่สุดก็เข้าข่ายพวกมากลากไป ขณะที่ นพ.วิชัย โชควิวัฒน บอร์ด สปสช. สัดส่วนภาคประชาชน ระบุว่า กำลังหารือกับฝ่ายกฎหมายเพื่อขอให้ศาลสั่งเพิกถอนมติดังกล่าว


ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา วิทยา ได้ชี้แจงข้อครหาผ่านเวทีเสวนาทางแพร่งระบบประกันสุขภาพภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เพียงสั้นๆ ว่า แผนบันได 4 ขั้นไม่มีจริง และยังเชื่อมั่นในบอร์ด สปสช.ชุดนี้ ส่วนประเด็นอื่นๆ กลับเลี่ยงที่จะให้คำตอบ โดยอ้างว่า “เป็นเรื่องภายใน ไม่ขอพูด”

“ผมจะให้ระบบเป็นตัวชี้วัด ถ้ามันจะพังเพราะระบบที่วางเอาไว้ก็ให้มันพัง แต่ระบบมันอยู่ได้ก็เพราะบอร์ดซึ่งมีที่มาที่ไปในแต่ละส่วน ใครไม่ทำงานผมก็จะจี้ให้มันทำ ... ผมจะเรียกเขา (ชมรมแพทย์ชนบท) มานั่งคุย เขาอยากทำอะไรก็ให้บอกผม ถ้าผมไม่ทำเขาก็คงจะเคลื่อน” วิทยาตอบข้อถามถึงความกังวลต่อการเคลื่อนไหวของชมรมแพทย์ชนบท

เห็นได้ว่า แรงกระเพื่อมจากชมรมแพทย์ชนบทพุ่งเป้าไปที่พฤติกรรมของวิทยาโดยตรง ระยะแรกอาจเกิดผลเพียงเขย่าความน่าเชื่อถือ ทว่าหากยังไม่ชี้แจงข้อเคลือบแคลงหรือพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ น่าจับตาในระยะยาวว่าเก้าอี้รัฐมนตรีตัวนี้จะสั่นสะเทือนหรือไม่

 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #696 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2555, 09:51:38 »

คำถามเรื่องปรองดองเยียวยา...จากหัวใจช้ำ "ภรรยาร่มเกล้า"

โดย : นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม

ข้อเขียนจากหัวใจ "นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม" ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม
 ถึงการปรองดอง เยียวยา และความหมาย "นักโทษการเมือง" ของ คอป.


เมื่อวันที่ 30 ม.ค.255 ดิฉันได้รับเชิญจากคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เข้าร่วมเวทีเสวนาเพื่อแสดงความเห็นเรื่องความปรองดองในกระแสพลวัตทางสังคมและการเมือง พ.ศ.2555 จัดโดยคณะอนุกรรมการด้านยุทธศาสตร์เพื่อการปรองดอง ซึ่งมี ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ เป็นประธานอนุกรรมการ วัตถุประสงค์เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นอันนำไปสู่การแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้เกิดความปรองดองร่วมกันอย่างเป็นระบบ และนำเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรมในการยับยั้งไม่ให้ความรุนแรงเกิดขึ้นใหม่หรือขยายตัว

ในการประชุมครั้งนี้ ดร.คณิต ณ นคร ประธาน คอป.ได้เข้าร่วมการประชุมด้วย ดิฉันจึงเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พบประธาน คอป.ซึ่งไม่เคยมีโอกาสได้พบมาก่อน เพื่อจะได้สอบถาม ไขข้อข้องใจต่างๆ ที่สงสัยแต่ไม่ทราบจะไปถามใคร ซึ่งอยากสรุปประเด็นที่ได้ซักถามและแสดงความคิดเห็นในการประชุมดังกล่าว ขยายความจากที่ปรากฎเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ ดังนี้

1) เนื่องจากเป้าหมายของ คอป.และรัฐบาล ต้องการให้แนวทางเป็นที่ยอมรับร่วมกันของทุกฝ่าย จึงได้ถามว่า คอป.มองว่า "คู่กรณีแห่งความขัดแย้ง" คือใครบ้าง คำว่า "ฝ่าย" หมายถึงฝ่ายใดบ้าง และ คอป.หรือรัฐบาลจะมีกระบวนการให้ "แต่ละฝ่าย" แสดงการยอมรับหรือไม่ยอมรับในมาตรการต่างๆ ที่ออกมาได้อย่างไร เพราะสภาพความขัดแย้งในปัจจุบันมิได้มีฝ่ายชัดเจน เหมือนครั้งฝ่ายเหลือง-แดงในอดีต

หากแต่ความขัดแย้งของสังคมไทยได้ขยายตัวในวงกว้าง ผู้ได้รับผลกระทบมีทั้งผู้บาดเจ็บ เสียชีวิตจากเหตุการณ์จำนวนมาก ยังมีการรวมตัวของกลุ่มคนอีกหลากหลายในสังคม เช่น สีชมพู เสื้อหลากสี  facebook ฯลฯ ยังมีฝ่ายรัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ฝ่ายรัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ฝ่ายทหาร นักธุรกิจและชาวกรุงเทพมหานครที่ได้รับผลกระทบโดยตรง รวมถึงประชาชนเจ้าของประเทศ ซึ่งเป็นเจ้าของภาษีเงินได้ที่รัฐนำมาใช้เยียวยา เขาเหล่านี้มีโอกาสและช่องทางแสดงความเห็นหรือการยอมรับให้รัฐบาลและ คอป.รับฟังได้อย่างไรบ้าง

2) ในแง่ขั้นตอนกระบวนการ ดิฉันเห็นว่าควรต้องเริ่มจาก (1) การค้นหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ จากนั้นนำเข้าสู่ (2) กระบวนการยุติธรรม เมื่อหาตัวคนถูก-คนผิดได้แล้ว จึงนำไปสู่ (3)กระบวนการเยียวยา กล่าวคือ เยียวยาผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบ และดำเนินการกับคนผิด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสังคมว่าจะให้อภัย/ยกโทษให้คนผิดที่สำนึกได้เพื่อความปรองดอง หรือจะลงโทษคนผิดที่ไม่สำนึกให้หลาบจำ

แต่เนื่องจากรัฐบาลและ คอป.เริ่มเปิดฉากด้วยการเยียวยาเป็นเรื่องแรก โดยข้ามผ่านอีก 2 กระบวนการ และมติ ครม.เรื่องการเยียวยาก็ไม่ได้มีคำอธิบายในเชิงเหตุผลใดๆ ประกอบมาตรการให้สังคมเข้าใจ จึงทำให้การเยียวยากลายเป็นประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์และขยายตัวลุกลามไปยังประเด็นอื่นๆ ในอดีต

ที่สำคัญขั้นตอนการค้นหาข้อเท็จจริงและการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมก็ไม่มีความคืบหน้า เสมือนว่าไม่ได้รับความสำคัญ ดิฉันได้ยกตัวอย่างกรณีคดีของ พลเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม สามีว่า เวลาผ่านไปเกือบ 2 ปี แต่ไม่มีความคืบหน้าอย่างใด จนล่าสุดเมื่อต้นเดือน ม.ค.2555 ได้มีโอกาสพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จึงได้เรียนถามความคืบหน้าคดี ซึ่งวันต่อมาท่านก็กรุณาให้เจ้าหน้าที่ส่งสรุปสำนวนคดีมาให้ ปรากฏความคืบหน้าคดีเพียงสั้นๆ 1 บรรทัดว่า “ขณะนี้ยังไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะทราบตัวคนร้ายในคดีนี้”

แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 20 ม.ค.2554 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้เคยแถลงผลการสอบสวนคดีของพี่ร่มเกล้าว่า มีพยานหลักฐานว่าเกิดจากการกระทำของกลุ่ม นปช. จากนั้นก็มีการจับตัวผู้กระทำความผิดฐานก่อการร้ายและใช้อาวุธสงครามเกี่ยวพันกับคดีพี่ร่มเกล้าและคดีอื่นอีก 8 คดีได้ ซึ่งต่อมาก็มีการให้ประกันตัวไป  สรุปสำนวนคดีในวันนี้ทำไมจึงแตกต่างจากในวันก่อน? แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป?

ดิฉันตระหนักว่าการหาตัวผู้กระทำผิดในเหตุการณ์ความไม่สงบครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อย่างน้อยควรมีการแจ้งความคืบหน้าของคดีให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตทราบเป็นระยะๆ เพื่อให้ความมั่นใจว่าคดีของพวกเราไม่ได้ถูกละทิ้ง เพิกเฉย หรือมีการเปลี่ยนแปลงหลักฐานพยานใดๆ ในช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล 

3) สำหรับความเห็นเรื่องมาตรการเยียวยา ดิฉันได้ตั้งคำถามแก่เวทีเสวนา คอป. 3  เรื่อง 

คำถามแรก คือ ตามหลักการสากล ใครคือผู้มีสิทธิได้รับการเยียวยา? ผู้กระทำความผิดมีสิทธิได้รับการเยียวยาด้วยหรือไม่? (ในเงื่อนไขการเยียวยาของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ก็ระบุว่าต้องมีการพิสูจน์ว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด) ซึ่งคำตอบของ คอป. จากเวทีเสวนาครั้งนี้ คือ "ต้องไม่ใช่ผู้กระทำความผิด" แต่เงื่อนไขนี้ คอป.ไม่ได้ระบุไว้ในรายงานที่เสนอต่อรัฐบาล

คำถามที่สอง คือ เนื่องจากผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก คนเหล่านี้มาด้วยเจตนาที่แตกต่างกัน แบ่งประเภทได้ดังนี้   

(1) กลุ่มเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และอาสาสมัครหน่วยกู้ภัยซึ่งมาปฏิบัติตามหน้าที่ 

(2) ประชาชนผู้บริสุทธิ์ 

(3) กลุ่มผู้ชุมนุม นปช.ที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรง และ         

(4) กลุ่มผู้ชุมนุม นปช.ที่ใช้ความรุนแรง

คำถามคือ มาตรการต่อคนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ 4 กลุ่มนี้ ควรอยู่บนหลักการหรือคำอธิบายเหตุผลในการชดเชยเยียวยาเดียวกันหรือไม่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ความรุนแรง?

คำถามที่สาม คือ ขอทราบคำจำกัดความคำว่า "นักโทษคดีการเมือง" ตามที่ คอป.เขียนในรายงาน (ข้อ 5.3.3) ว่า "ผู้ต้องหาและจำเลยมิใช่เป็นผู้ร้ายหรืออาชญากรดังเช่นคดีอาญาตามปกติ แต่เป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอันมีมูลเหตุเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง" ดังนั้น คอป.จึงเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวหรือควบคุมตัวในสถานที่ที่เหมาะสม ซึ่งมิใช่เรือนจำปกติอันเป็นสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาและจำเลยทั่วไป

ในประเด็นนี้ ดิฉันสงสัยว่าเนื่องจากเหตุการณ์การเมืองครั้งนี้มีความผิดทางอาญาเกิดขึ้น คือมีการเสียชีวิตและบาดเจ็บ ดังนั้นนักโทษคดีการเมืองในกรณีนี้จะต่างจากผู้ต้องหาหรืออาชญากรในคดีอาญาตามปกติอย่างไร

คำถามที่สี่ ประเด็นสุดท้าย ดิฉันไม่เห็นด้วยกับปรัชญาการลงโทษที่ปรากฎในรายงาน (คอป.) หน้า 12 ว่า "...การกระทำความผิดมีมูลฐานเริ่มต้นจากความคิดเห็นในทางการเมือง ดังนั้นแม้พฤติกรรมที่ผิดกฎหมายที่ก่อให้เกิดผลกระทบและสร้างความเสียหายแก่บุคคลและส่วนรวมเป็นเรื่องที่ผู้กระทำต้องมีความรับผิดชอบในทางกฎหมายที่เหมาะสม แต่ในหลายกรณีความรับผิดชอบในทางอาญาด้วยการฟ้องคดีและการลงโทษทางอาญาแต่เพียงอย่างเดียวอาจไม่สอดคล้องต่อปรัชญาในการลงโทษ ไม่ก่อให้เกิดความยุติธรรม และไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ ทั้งนี้ เพราะผู้กระทำความผิดที่มีเหตุจูงใจทางการเมืองแตกต่างจากผู้กระทำความผิดอาญาทั่วไปที่เป็นผู้ร้ายหรืออาชญากรโดยกมลสันดาน การลงโทษพฤติกรรมความรุนแรงที่เกิดขึ้นย่อมไม่สามารถส่งผลในทางสร้างความยับยั้งหรือความหลาบจำให้กับผู้กระทำผิดและสังคมโดยรวมตามทฤษฏีในการลงโทษทั่วไปได้

นอกจากนี้ การดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองยังมีปัญหาที่เกิดขึ้นจากข้อจำกัดของกระบวนการในการสืบสวน สอบสวน การตั้งข้อหา การรวบรวมพยานหลักฐานที่ถูกมองว่าไม่เป็นกลางและโน้มเอียงไปในทางที่เป็นคุณต่อผู้กุมอำนาจรัฐในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย..."

ดิฉันไม่เห็นด้วยว่า คนที่ทำผิดด้วยเหตุจูงใจทางการเมืองในครั้งนี้จะมีกมลสันดานที่ดีกว่าผู้กระทำความผิดทางอาญาทั่วไป เพราะความผิดจากมูลเหตุจูงใจทางการเมืองของเขา ทำให้สามีดิฉันและคนอื่นอีกมากมาย "ตาย" ไม่แตกต่างจากความผิดทางอาญา ตรงกันข้าม ดิฉันเห็นว่าผู้ที่นำอาวุธสงครามออกมาทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์ซึ่งไม่เคยรู้จักหรือมีเหตุแค้นเคืองส่วนตัวใดๆ ต่อกันมาก่อน รวมถึงคนที่มีเหตุจูงใจการเมืองแล้วจุดไฟเผาบ้านเผาเมือง ใช้อาวุธสงครามยิงวัดพระแก้วซึ่งทำร้ายหัวใจคนไทย เป็นผู้มีกมลสันดานที่โหดร้ายเลวอย่างไม่มีสิ่งใดเปรียบ จึงไม่เข้าใจว่า คอป.ใช้มาตรฐานใดในการวัดกมลสันดานคน ควรวัดที่ผลของการกระทำนั้นมากกว่า และ คอป.ก็มิได้ระบุว่าการลงโทษใดจึงจะก่อให้เกิดการยับยั้งหรือหลาบจำ มีแต่ขอให้ปล่อยตัวหรือแยกการคุมขัง

นอกจากนี้ เหตุผลในช่วงท้ายข้อความข้างต้น ยังแสดงว่า คอป.เองไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
ในขณะที่ คอป.ขอให้รัฐและสังคมยึดถือปฏิบัติตามหลักนิติธรรมอย่างจริงจัง

มีนักวิชาการใน คอป.บางท่านให้ความเห็นว่าการพิจารณาเรื่องนี้ต้องก้าวข้ามว่าใครถูก-ใครผิด และต้องมองจากมุมคนกลางที่ไม่ใช่ผู้ได้รับผลกระทบ เพราะผู้ได้รับผลกระทบจะมีความรู้สึก "แก้แค้น-เอาคืน" ดิฉันอยากบอกในฐานะเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบคนหนึ่งและเชื่อว่าญาติผู้เสียชีวิตรายอื่นก็คงคิดไม่ต่างกันว่า ความอาฆาตพยาบาทไม่ทำให้ดวงวิญญาณของคนที่เรารักสงบสุข สังคมไทยเป็นสังคมที่รู้จักคำว่า "อภัย" เพียงแต่ขอให้คนทำผิดรู้ตัวว่าเขาผิด สำนึกได้ว่าจะไม่ทำผิดอีก เราก็พร้อมจะให้อภัย แต่ไม่ใช่เขายังไม่รู้ตัวเลยว่าเขาผิด แล้วท่านจะให้ความมั่นใจกับสังคมได้อย่างไรว่าวันหนึ่งเขาจะไม่ทำผิดอีก เขาจะไม่ฆ่าคน จะไม่สร้างความรุนแรง ทำร้ายประเทศไทย   

ลองคิดดูว่า หากวันหนึ่งลูกหลานของท่านลุกขึ้นมาฆ่าคนตายแล้วบอกว่าไม่ผิด เพราะผู้ใหญ่ทำให้เขาดูว่าไม่ผิด ท่านจะตอบลูกหลานท่านได้อย่างไร สังคมไทยจะอยู่กันได้อย่างไร ขอยกคำพูดอดีตนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย ว่า "วิธีการปรองดองที่ดีที่สุดคือ การทำสิ่งถูกให้ถูก และทำสิ่งผิดให้ผิด ไม่ใช่ทำสิ่งที่ผิดให้ถูก การแก้ปัญหาต้องยึดหลัก เพื่อไม่ให้การแก้ป้ญหาหนึ่งกลายเป็นการสร้างปัญหาอื่นๆ ตามมา"
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #697 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2555, 12:50:16 »

ผบ.ทบ.ลั่นทุกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหว ม.112 ย้อนถามคนด่าพ่อ-แม่ของท่านจะรับได้หรือไม่

มติชนออนไลน์

เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวหลังเป็นประธานวันสถาปนาหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ครบรอบ 64 ปี ถึงความพยายามในการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์ โดยเฉพาะการล่ารายชื่อประชาชนเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการเคลื่อนไหวก็จะมีความขัดแย้งระหว่างคน 2 กลุ่มเสมอ คิดว่าในช่วงนี้ไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ตาม ควรหยุดการเคลื่อนไหวได้แล้ว รัฐบาลและหลายส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว ก็บอกชัดเจนไปแล้วว่าไม่เกี่ยวข้อง ไม่ทราบว่าคณะนิติราษฎร์จะทำไปทำอะไร ตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ในส่วนปัญหาข้อกฎหมายไม่น่าจะมี

 

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อยากเรียนในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับในการดำเนินการมาตรา 112 ว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่จะเป็นผู้เริ่มต้นในการดำเนินการ สังคมต้องทบทวนอีกครั้งว่าการกระทำความผิดใดๆ ก็ตาม หรือมาตราใดก็ตาม เมื่อมีผู้กระทำความผิด เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินคดี ต่างฝ่ายจะมาอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ หรือเจ้าหน้าที่จะละเว้นก็ไม่ได้ แต่มาตรา 112 จะมีคณะกรรมการดำเนินการอยู่ ระดับแรกคือเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยจะต้องกลั่นกรองว่าเหมาะสมจะดำเนินคดีหรือไม่อย่างไร หลายครั้งมีหลายคดีที่ไม่ได้ดำเนินคดี ที่ไม่ได้ดำเนินคดีเพราะเราใช้หลักรัฐศาสตร์ คือเจ้าหน้าที่จะไปพบผู้กระทำความผิดโดยอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถูกชักจูง หรือความคะนอง โดยส่วนใหญ่ก็อ้างว่าไม่รู้ไม่เข้าใจ และไม่เจตนา ก็ให้โอกาส เว้นแต่บางรายที่หนักหนาสาหัส พูดก็ไม่รู้เรื่องยังพยายามฝ่าฝืนข้อกฎหมาย เจ้าหน้าที่ก็ต้องดำเนินคดี

 

“การปฏิบัติบังคับใช้ มาตรา 112 นั้นมีคณะกรรมการถึง 2 ระดับ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการเอากฎหมายฉบับนี้มาแกล้งผู้หนึ่งผู้ใด ถ้าไม่มีการละเมิดก็ไม่มีการดำเนินคดี คำพูดนี้ต้องชัดเจน เพราะฉะนั้นอย่างเอาเรื่องมาตรา 112 มาเคลื่อนไหวทำให้เกิดความวุ่นวาย สับสน อลหม่าน และสังคมก็ต้องไม่ให้เกิดเหตุนี้ขึ้นมา เพราะจะกลายเป็นข้อขัดแย้ง ถามกลับไปที่ตัวของท่านเองว่า ถ้าไม่มีกฎหมายหมิ่นประมาท คนมาว่าผู้ปกครอง ญาติพี่น้องของท่านได้หรือไม่ เขาละเมิด หยาบคายได้หรือไม่ ถ้าคิดว่าได้ก็โอเค ตนก็รับได้ แต่ตนคิดว่าท่านรับไม่ได้ถ้ามีใครมาละเมิดคุณพ่อคุณแม่ท่าน"
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #698 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2555, 22:43:05 »

สยามประชาภิวัฒน์” รุมจวก ประชาธิปไตยไทย 1 ครอบครัว 3 นายกฯ


   เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2555 กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ จัดเสวนาวิชาการ หัวข้อ “วิกฤตประเทศไทยใครคือตัวการ” ที่ห้อง LT1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีผู้เข้าร่วมรับฟังล้นห้อง โดย บางคนสวมเสื้อสีเหลือง สีชมพู ปะปนเป็นเสื้อหลากสี ทั้งนี้ น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เข้าร่วมรับฟังด้วย

 นายคมสัน โพธิ์คง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า การขับเคลื่อนของสภาพสังคมในปัจจุบัน อาทิ การแปรรูป ปตท. และอีกหลายกรณีทั้งหมดเป็นการทำมาหากินของทุนผูกขาดทั้งระดับชาติและระดับโลกทั้งสิ้น ตนคิดว่า เราคงต้องตื่นรู้และเท่าทันว่าระบบการเมืองไทยอยู่ภายใต้เผด็จการทุนผูกขาด โดยพรรคการเมืองอย่างสมบูรณ์

“หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยในวันที่ 9 ก.พ. ถ้ามีการรับข้อเสนอกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้าไปด้วย เมืองไทยก็จะกลายเป็น  เผด็จการโดยพรรคการเมืองทุนนิยมผูกขาด อย่างสมบูรณ์แบบและแก้ไข ใดๆ ไม่ได้เลยในอนาคต นอกจากการรัฐประหารเพียงอย่างเดียว

                แต่ตอนนั้น จะเหลือกองทัพให้รัฐประหารหรือไม่ ผมว่าคงไม่มีแล้ว เพราะภายใต้เงื่อนไขนั้น กองทัพก็ต้องอยู่ภายใต้พรรคการเมือง เช่นเดียวกัน ผมไม่ได้พูดให้รัฐประหารนะครับ ผมเพียงแต่บอกว่า ข้อเสนอที่วิปริตเหล่านี้ มันสร้างวิกฤตประชาธิปไตย ให้เกิดขึ้น ผมคิดว่าตอนนี้ เราคงจะต้องตื่นรู้” นายคมสันกล่าว

 นายสุวินัย ภรณวลัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เส้นทางที่คุณทักษิณและ เครือข่ายของเขา กำลังนำพาไป เป็นเส้นทางหายนะ โดย ตนเชื่ออย่างนี้ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ สถานะการเงินของรัฐบาลไม่มีกระแสเงินสดในการลงทุนเนื่องจากหนี้ในอดีต โดยเฉพาะหนี้กองทุนฟื้นฟู และหนี้สาธารณะ ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่มีเงินไปใช้ในนโยบายประชานิยม ที่ตัวเองได้เร่ขายฝันจนชนะการเลือกตั้ง  ประเทศจะไปสู่หายนะอย่างแท้จริงกระบวนการไปสู่หายนะได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นับตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้เข้ามาบริหารประเทศในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้วภายใต้ การกำกับโดยตรงของคุณทักษิณ ชินวัตร

                “ด้วยความตระหนักถึงวิกฤตประเทศไทยในเงื้อมมือเผด็จการพรรคนายทุน จากระบอบทักษิณเอง จึงเป็นความจำเป็นทางประวัติศาสตร์ อย่างยิ่งที่กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ต้องปรากฎตัวขึ้นมา เพื่อยับยั้งและผลักดันให้ประเทศไทยของเราเบี่ยงเบนจากเส้นทางหายนะนี้ โดยเร็วที่สุด ก่อนที่ ทุกสิ่งทุกอย่างจะสายเกินไป” นายสุวินัยกล่าว

               นายสุวินัย กล่าวต่อไปว่า เหตุผลข้อที่สองคือ หากแลไปในอนาคต ภาวะโลกร้อนจะนำไปสู่ยุคขาดแคลนพลังงานและอาหารอย่างแน่นอน ทุนโลกาภิวัฒน์  ก็คงตระหนักเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงมุ่งเน้นที่จะมาฮุบประเทศไทย ในฐานะครัวของโลกและแหล่งพลังงานใต้ทะเลที่ยังไม่ได้ขุดเจาะมาใช้ โดยทุนโลกาภิวัฒน์กำลังร่วมมือกับทุนผูกขาดภายในประเทศ อย่างกลุ่มนายทุนพรรคพวกคุณทักษิณ รุกคืบเข้ามาถือครองที่ดินเกษตรมหาศาล และทรัพยากรธรรมชาติแหล่งพลังงานใต้ทะเลมาเป็นของพวกตนนี่คือโจทย์ที่ท้าทายของไทย

               นายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า ปี 2535 เป็นจุดแบ่งของระบบเผด็จการ ซึ่งก่อนหน้านั้นทหารมีบทบาทในการเมือง แต่หลังปี 2535 ถึงวันนี้ ไม่ใช่ประเด็นปัญหาของระบบทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน  ฉะนั้น ประเด็นที่จะตอบว่าใครคือตัวการวิกฤตประเทศไทย จึงอยากจะชี้วันเวลาสถานที่ เกี่ยวกับระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองในทุน ว่า หัวเลี้ยวหัวต่อที่ทำให้เกิดวิกฤตในวันนี้คือ วันที่ 21 ส.ค. 2544 วันที่มีการอ่านคำวินิจฉัยคดีซุกหุ้น เป็นวันที่ รัฐธรรมนูญไทยถูกหัก ศาลรัฐธรรมนูญถูกหักยอดในคดีซุกหุ้นเพราะมีคนอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ในคดีนี้ 4 ตุลาการ ทำผิดกระบวนการยุติธรรม ตนจึงอยากให้ติดตามทวงถามเรื่องนี้ เพราะนี้คือสัญลักษณ์การหักยอดมงกุฏ มีการทำลายรัฐธรรมนูญ ในเชิงเนื้อหา แล้วนำมาสู่ 19 ก.ย. 2549 ฉะนั้น จุดวิกฤตจริงๆ ไม่ใช่ 19 ก.ย. แต่เป็น 21 ส.ค. 2544 ถูกฌาปนกิจ 19 ก.ย. 2549 นั่นคือรูปธรรมของวิกฤต วันนี้ยังกลับมาสู่วังวนเดิมๆ

               เป็นการผูกขาดอำนาจทางการเมือง โดยพรรคการเมือง ซึ่งพรรคเป็นบริษัทผูกขาดตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่บริษัทตามกฎหมายแพ่ง แต่เป็นบริษัททางการเมือง ตามรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญไทย บอกว่าใครจะเข้าสู่กระบวนการทางการเมือง ต้องมีพรรคการเมือง แต่เมื่อพรรคการเมือง เป็นสมบัติส่วนบุคคล ระบบการเมือง จะเป็นประชาธิปไตยได้หรือนี่คตือคำถาม  เพราะเป็นสมบัติส่วนบุคคล จึงสามารถถือรีโมทได้ เมื่อพรรคการเมืองนั้น เข้าไปคุมทั้งนิติบัญญัติและบริหาร ทำให้เจ้าของพรรคสามารถจิ้มรีโมทได้ กลไกทั้งหลายจึงตอบสนองคนเป็นเจ้าของเพราะพรรคการเมือง เป็นสมบัติส่วนบุคคล นี่คือประเด็นที่ตะวันตก ไม่มีทางเข้าใจประเทศไทย เพราะเขาเข้าใจว่าพรรคการเมืองเป็นสถาบันในทางประชาธิปไตย แต่นี่คือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ ประชาธิปไตยไทย  1 ครอบครัว 3 นายกรัฐมนตรี เกิดขึ้นได้ยังไง ถ้าเป็นในประเทศอย่าง เกาหลีเหนือ เราคงไม่ข้องใจ แต่ที่เข้าใจยาก เพราะ เรามีเสื้อคลุม ประชาธิปไตยแต่เนื้อในเผด็จการ

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #699 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2555, 12:56:31 »

ล็อกสเปก99สสร. ลากตั้งเข้าทางส.ส.สอบตกเด็กนายใหญ่วิ่งเต้นขอเก้าอี้
Thaipost.net
   
เพื่อไทยลุยชำเรารัฐธรรมนูญ 50 เต็มสูบ เผยพิมพ์เขียวแก้ ม.291 ผุด ส.ส.ร.99 คน ลากตั้ง 77 แต่งตั้ง 22 สเปกเปิดกว้างแต่เข้าทาง ส.ส.สอบตก-ผู้กว้างขวางในพื้นที่ ขีดเส้นยกร่าง รธน.ฉบับใหม่ใน 180 วัน ประชามติใน 60 วัน ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ทะแม่ง! ถูกตีตกไม่ว่ากรณีใด ส.ส.1 ใน 3 ยังทู่ซี้ยื้อได้อีก แค่ใช้เสียงข้างมากก็พอ ซ้ำร้ายไม่ยืนยันแตะหมวดพระมหากษัตริย์หรือไม่ หึ่ง! เด็กนายใหญ่วิ่งเต้นขอเก้าอี้แล้ว กกต.มึนกฎหมายไม่เปิดช่องเลือกตั้ง ส.ส.ร. โพลย้ำคนส่วนใหญ่ผวานำไปสู่ความขัดแย้งถึงขั้นปฏิวัติ

    การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้นำร่างที่จัดทำเสร็จแล้วให้พรรคร่วมรัฐบาลนำไปกลับพิจารณา ก่อนจะนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 9 ก.พ.นี้

    โดยนายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานคณะกรรมการประสานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ได้แถลงหลังการประชุมวิปรัฐบาลว่า ที่ประชุมได้หารือการแก้ไข รธน.มาตรา 291 ตามร่างที่ พ.ท.เสนอ โดยพรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคจะนำไปประชุมภายในพรรควันที่ 7 ก.พ. ก่อนจะประชุมวิปรัฐบาลในวันที่ 8 ก.พ. ซึ่งหากพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีข้อสงสัยหรือข้อเสนออื่นใด ก็ให้ส่งรายชื่อ ส.ส.ที่จะร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญมาได้เลย แต่หากพรรคร่วมจะเสนอร่างแก้ไขมาด้วยก็ทำได้ ถ้าไม่ผิดเพี้ยนเท่าไรก็เสนอชื่อร่วมกันได้ ซึ่งคาดว่าวันที่ 9 ก.พ.จะเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรได้
         นายอุดมเดชกล่าวว่า กรอบเวลาคร่าวๆ คือ เมื่อยื่นต่อประธานสภาฯ ในวันที่ 9 ก.พ.แล้ว จะตรวจสอบรายชื่อ ส.ส.เพื่อบรรจุวาระและตั้งคณะกรรมาธิการ โดยใช้เวลาประมาณ 2 เดือนครึ่ง จากนั้นจึงทำการเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) อีกกว่า 1 เดือน ส.ส.ร.ยกร่าง รธน. 180 วัน ทำให้ปลายปีนี้อาจเห็นรูปร่าง รธน.ใหม่
    ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ขัดข้อง เพราะไปปราศรัยหาเสียงไว้ และได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้ เมื่อพรรคมีมติก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่กระบวนการยื่น กระบวนการสรรหา ส.ส.ร.ก็ต้องใช้เวลา
    ขณะที่นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ รักษาการโฆษกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า นปช.มีจุดยืนชัดเจนและมีเจตนารมณ์เคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยจะมีการไปยื่นแก้รัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 ในวันที่ 9 ก.พ.นี้ เวลา 11.00-12.00 น.
        แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยระบุว่า เมื่อวันที่ 6 ก.พ. แกนนำพรรคได้หารือร่วมกันถึงสถานการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะการแก้ไข รธน. ซึ่งชัดเจนแล้วว่าจะมีร่างแก้ไขอย่างน้อย 4 ฉบับที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ โดยฉบับแรกเป็นของรัฐบาล ฉบับที่ 2 เป็นของพรรคเพื่อไทย และฉบับที่ 3 และ 4 นั้นเป็นฉบับของภาคประชาชน ซึ่งในส่วนพรรคนั้นจะเสนอแก้ไขมาตรา 291 เพื่อให้มี ส.ส.ร.ทั้งหมด 99 คนเหมือนสมัยยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2540
    สำหรับร่างแก้ไข รธน.ของพรรคเพื่อไทยนั้นมีทั้ง 5 มาตรา โดยเนื้อหาสำคัญคือ มาตรา 3 ในการแต่งตั้ง ส.ส.ร.เพื่อร่าง รธน.ใหม่ โดยมีทั้งสิ้น 99 คน มาจากการเลือกตั้ง 77 จังหวัด จังหวัดละ 1 คน และมาจากการแต่งตั้งของรัฐสภา 22 คน โดยเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ โดยสิ่งที่น่าสนใจคือ คุณสมบัติของ ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ได้มีการล้อกับคุณสมบัติของการเป็น ส.ส.อย่างมาก ทั้งการกำหนดอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี การมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านจังหวัดที่สมัครไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ก็ยังเปิดกว้างอีกว่าเป็นคนที่เคยเกิด เคยศึกษา เคยรับราชการ หรือแม้กระทั่งเคยอยู่ในจังหวัดนั้นก็สมัครได้ด้วย
ส่วนคุณสมบัติต้องห้ามนั้นก็ไม่ได้กำหนดอย่างชัดเจน โดยบอกแค่ห้ามเป็นข้าราชการการเมือง หรือมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำเท่านั้น ไม่ได้กำหนดว่าต้องสังกัดนานเท่าใด ทำให้เพียงลาออกในวันนี้พรุ่งนี้ก็ลงสมัครได้ ทำให้ขณะนี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวของผู้ที่ทำงานให้พรรคเพื่อไทยบางคน อาทิ นายประเกียรติ นาสิมมา อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชาชน, นายคารม พลทะกลาง ทนายความกลุ่มเสื้อแดง ที่เริ่มเข้าหาผู้ใหญ่หรือแกนนำ นปช.บางคนที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ช่วยประสานงานและคัดเลือกเป็นตัวแทน ส.ส.ร.ที่จะลงสมัครในจังหวัดที่ตัวเองสังกัดแล้ว
    โดยการเลือกตั้ง ส.ส.ร.77 คน ได้กำหนดคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้ดำเนินการ และเมื่อรวมกับการคัดสรรของรัฐสภาอีก 22 คน ต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 90 วัน ในขณะที่การร่างรัฐธรรมนูญก็ได้กำหนดให้ดำเนินการให้เสร็จภายใน 180 วัน หลังจากประกาศรายชื่อ ส.ส.ร.
    สำหรับการยกร่างนั้นยังได้กำหนดด้วยว่า ส.ส.ร.สามารถหยิบยก รธน.ฉบับใดขึ้นมาเป็นต้นแบบก็ได้ รวมทั้งอายุของสภาฯ ก็ไม่มีผลต่อการยกร่างดังกล่าว ไม่ว่าจะยุบสภาฯ หรือมีเหตุให้สภาฯ สิ้นอายุลง และเมื่อได้ยกร่าง รธน.เสร็จสิ้นแล้วยังได้กำหนดให้ส่ง กกต.ภายใน 7 วัน เพื่อให้ทำประชามติภายใน 60 วัน แต่ไม่น้อยกว่า 45 วัน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะเวลาในวันลงประชามติค่อนข้างมาก คือให้เริ่มตั้งแต่ 08.00-17.00 น. และให้ กตต.ประกาศรับรองผลใน 15 วัน หากประชาชนเห็นชอบด้วย ส่วนกรณี ส.ส.ร.ร่าง รธน.ไม่เสร็จใน 180 วันและต้องหมดวาระลง ก็ยังกำหนดให้มีการตั้ง ส.ส.ร.ใหม่ขึ้นอีกภายใน 90 วันเพื่อดำเนินการต่อไป
    ในขณะที่การยกร่าง รธน.นั้น ก็ไม่ได้มีการระบุชัดเจนว่าจะไม่แตะต้องในหมวดพระมหากษัตริย์ โดยระบุเพียงว่าร่าง รธน.ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐจะกระทำมิได้ โดยหากรัฐสภาวินิจฉัยร่าง รธน.มีลักษณะดังกล่าว ให้ร่าง รธน.ตกไป
    นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดอีกว่าหากร่าง รธน.ตกไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุประชามติไม่ผ่าน หรือกรณีพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยการพระราชทานคืนมา หรือเมื่อพ้น 90 วันยังมิได้พระราชทานคืนมาก็เปิดให้ ครม.หรือ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของ ส.ส. หรือ ส.ว. และ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมดของรัฐสภา มีสิทธิ์เสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้มีการจัดทำ รธน.ใหม่ได้ โดยให้เอาเสียงข้างมากเป็นประมาณเท่านั้นด้วย (อ่านรายละเอียดหน้า 4)
    นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการแก้ รธน.ว่า รัฐบาลต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายในการแก้ไข ว่าขอบเขตอยู่ตรงไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคห่วงใย โดยต้องพูดให้ชัดว่าไม่เกี่ยวข้องกับหมวดพระมหากษัตริย์ และไม่เกี่ยวข้องกับความพยายามนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ หากคลายปมเรื่องเหล่านี้ได้ปัญหาก็จะจบ
    นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสี มองว่า พรรคเพื่อไทยคงกำหนดตัวบุคคลที่จะลงรับเลือกตั้ง ส.ส.ร.ในแต่ละพื้นที่แล้ว เพราะสมาชิกพรรคเพื่อไทยได้สัมภาษณ์หลายครั้งว่าจะแก้มาตรานั้นมาตรานี้ เท่ากับว่าได้ล็อกสเปก ส.ส.ร.ไว้หมดแล้ว
“รัฐบาลเตรียมแผนล็อกคนเข้ามาทำหน้าที่ ส.ส.ร.อยู่แล้ว และการที่ออกมาบอกว่าจะแก้มาตรานู้น มาตรานี้ คำพูดเหล่านี้มันล็อกคอตัวคุณเอง ประชาชนกำลังจะได้ ส.ส.ร.ซ้ายหันขวาหันตามใจรัฐบาล และที่ยิ่งน่ากลัวกว่านั้นคือ หากพวกกลุ่มนิติราษฎร์ได้รับเลือกให้เป็น ส.ส.ร.ขึ้นมาจะทำอย่างไร หากเขาไปแก้หมวดพระมหากษัตริย์ใครจะรับผิดชอบ” นพ.ตุลย์กล่าว


    ด้านนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ปฏิเสธที่จะยุ่งเกี่ยวกับการแก้ไข รธน. โดยระบุเพียงว่า หากแก้ไข รธน.ออกมาอย่างไร กกต.ก็พร้อมปฏิบัติตาม ส่วนการเลือก ส.ส.ร.นั้น น่าจะเป็นฝ่ายอื่นดำเนินการมากกว่า เพราะจะให้ดำเนินการอย่างไรเพราะมันไม่ใช่การเลือกตั้ง กฎหมายให้ กกต.รับผิดชอบการเลือกตั้งทั้งหมด แต่การเลือก ส.ส.ร.เป็นการเลือกตั้งหรือไม่ แต่ถ้าให้ดำเนินการ กกต.ก็ต้องทำหน้าที่อยู่แล้ว

    นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ กล่าวถึงการดูแลการเลือก ส.ส.ร.ว่า จำเป็นต้องแก้มาตรา 291 ก่อน เพื่อให้อำนาจ กกต.จัดเลือกตั้ง ส.ส.ร.ทั่วประเทศ 77 จังหวัด และต้องไปดูกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ด้วย เพราะ กกต.มีอำนาจเพียงเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.เท่านั้น หากแก้ไขมาตรา 291 ก็อาจจะแก้ไขเพิ่มเติมเข้าไปว่าให้เลือกตั้ง ส.ส.ร. โดย กกต.มีอำนาจในการออกกฎหมายลูกได้ด้วย
    นางสดศรีกล่าวอีกว่า การออกเสียงประชามติมี พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติปี 2552 อยู่แล้ว แต่การให้ทำประชามติใน 60 วัน ก็จะขัดกับ พ.ร.บ.ที่กำหนดว่าไม่ต่ำกว่า 90 วัน แต่ไม่เกิน 120 วัน จึงควรให้ ส.ส.ร.เป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติโดยให้ กกต.เป็นผู้จัดทำ

    ขณะที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้เผยผลสำรวจประชาชน 1,275 ตัวอย่างทั่วประเทศ ในเรื่องความคิดเห็นของประชาชนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พบว่า 72.9% มองว่าจะเกิดความขัดแย้งในบ้านเมือง มีเพียง 15.5% ที่บอกว่าไม่เกิด และ 11.7% ไม่แน่ แต่เมื่อถามว่าการแก้ไข รธน.จะนำไปสู่การปฏิวัติหรือไม่ ภาพรวม 42.5% มองว่านำไปสู่การปฏิวัติ, 39.5% บอกว่าไม่เกิด และ 18% ไม่แน่ใจ ซึ่งหากแยกเป็นรายภาคนั้นพบว่า กรุงเทพฯ, ปริมณฑลและภาคใต้ มีสัดส่วนสูงถึง 51% ที่มองว่าจะนำไปสู่การปฏิวัติ
    เมื่อถามถึงการแก้ไข รธน.ทำเพื่อประโยชน์ของใคร 49% มองว่าเพื่อประโยชน์ของนักการเมือง, 24.1% เพื่อประโยชน์ประชาชน, 12% เพื่อประโยชน์ พ.ต.ท.ทักษิณ และ 11.7% ไม่แน่ใจ แต่เมื่อถามว่า ส.ส.ร.ควรมาจากการเลือกตั้งหรือไม่ 74.4% มองว่าควร มีเพียง 7.8% มองว่าไม่ควร
วันเดียวกัน กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ได้มีการเสวนาเรื่อง "วิกฤติประเทศไทยใครคือตัวการ" โดยมีผู้ร่วมฟังจำนวนมากจนแน่นห้องประชุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ประเทศไทยมีประชาธิปไตยแค่เปลือก แต่เนื้อแท้เป็นเผด็จการนายทุนซ่อนรูปตั้งแต่ปี 2535 มีการครอบงำ มีการซื้อ ส.ส.-ส.ว.-พรรคการเมือง ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ โดยพรรคการเมืองแปรรูปเป็นแค่บริษัทจำกัดในคอนโทรลของนายทุนและครอบครัว
    "การแก้รัฐธรรมนูญต้องมุ่งแก้ที่สถาบันการเมืองเสียก่อน" ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการกรรมการกฤษฎีการะบุ

ในช่วงท้ายการเสวนาได้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เมื่อผู้เข้าร่วมเสวนาคนหนึ่งพยายามถามความคิดเห็นต่อกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ แต่ไม่ได้รับคำตอบ เมื่อเลิกการเสวนาจึงพูดว่าจอมปลอม ทำให้ผู้เข้าร่วมงานไม่พอใจ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาระงับเหตุและนำชายดังกล่าวออกจากสถานที่ไป.
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 26 27 [28] 29 30 ... 33  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><