ทำตัวเหมือนนางฟ้า แต่แก้ปัญหาเหมือนควาย (เส้นใต้บรรทัด)โดย จิตกร บุษบา
http://www.naewna.com/news.asp?ID=287396 สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส อัญเชิญกระแสพระราชดำรัสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแนวทางการบริหารจัดการน้ำ เพื่อลดความรุนแรงของปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมื่อปีพุทธศักราช 2538 มาออก อากาศให้ชมกันหลายครั้งในช่วงสี่ห้าวันที่ผ่านมา
ไม่เพียงแต่ซาบซึ้งว่า ประเทศของเรามีองค์พระประมุขที่ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระปรีชาสามารถเท่านั้น แต่ยังเห็นได้ชัดว่าพระองค์ท่าน ทรงมีน้ำพระราชหฤทัยเมตตาห่วงใยพสกนิกรอยู่เสมอ
แต่ก็น่าเศร้าใจ ที่แนวทางหลายประการที่พระองค์ท่านพระราชทานไว้นั้น มิได้มีการนำไปปฏิบัติให้บังเกิดผล มาสำนึก สำเหนียกกันก็คราวน้ำท่วมใหญ่มาก ในปัจจุบันนี้แหละ ว่าสิ่งที่พระองค์ท่านพระราชทานแนวทางให้นั้น ถูกต้องทั้งหมด
ความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองไหนๆ ก็ตาม เริ่มต้นจาก ประมุข หรือ ผู้นำ ที่มีความรู้ความสามารถ
พูดง่ายๆ ว่า มีสมอง และ มีหัวใจ ที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความกรุณา หรืออาจเรียกว่า มีมโนธรรม
ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีข้าราชการที่ดี ที่มีความจงรักภักดี ที่เอาใจใส่ เฝ้าถวายคำแนะนำหรือข้อมูลในด้านต่างๆ อย่างเที่ยงตรง และน้อมนำอัญเชิญเอา ภูมิปัญญา หรือ ภูมิรู้ ไปขยายผล ปฏิบัติให้บังเกิดผล โดยสร้างความร่วมมือกับพี่น้องประชาชน และปฏิบัติคู่เคียงกันไป
พูดอย่างเป็นธรรม จากปี 2538 ถึงปัจจุบัน ไม่ใช่ความผิดอะไรของรัฐบาลนี้ ที่ไม่มีการดำเนินการตามแนวพระราชดำริ มันเป็น ความละเลยที่ทบๆ กันมาหลายรัฐบาล และหลายกลุ่มข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย และน่าตำหนิ
แต่เมื่อเกิดวิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้แล้วสิ น่าสนใจว่า นางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคณะรัฐมนตรี ได้ใส่ใจต่อ ภูมิรู้ ที่พระองค์ท่าน พระราชทานเป็นแนวทางไว้บ้างหรือไม่ ใส่ใจที่จะขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาต เข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายรายงานและขอพระราชทาน แนวปฏิบัติในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบ้างหรือเปล่า
ถ้ายิ่งลักษณ์มีปัญญาปราดเปรื่องก็เรื่องหนึ่ง แต่นี่แค่อ่าน ภาษาไทยที่มีคนเขียนให้ให้ถูกต้องทั้งหมดยังไม่มีปัญญา ฉะนั้น หน้าที่ของความเป็นนายกฯ ที่ไม่ได้รอบรู้ทุกเรื่อง จึงสมควรต้องสรรหาผู้รู้มาอยู่ใกล้ตัว ตั้งเป็นคณะทำงาน ฟังเขา แล้วใช้อำนาจของนายก รัฐมนตรี สั่งการให้ผู้เกี่ยวข้องลงมือปฏิบัติ
แต่ดูเหมือนยิ่งลักษณ์เขลาเกินกว่าจะรู้ว่าตัวเองไม่รู้ ซึ่งเป็น โศกนาฏกรรมอย่างที่สุดของประเทศชาติ เพราะยิ่งลักษณ์อยู่กับคนรอบข้างที่เอาแต่สอพลอ ปั้นแต่งภาพลักษณ์ของเธอราวกับเป็น นางฟ้า ด้วยกิจกรรมสร้างภาพต่างๆ นานา แต่มีเนื้อหาในทางปฏิบัติอย่างตื้นเขิน ยิ่งลักษณ์ห่วงแต่ปัญหาการเมือง ซึ่งก็คงเป็นไปตามคำแนะนำของนักการเมืองรอบๆ ตัวเธอ ทั้งที่เปิดเผยและที่ซุกอยู่ใต้กระโปรง จึงสาละวนอยู่แต่กับพรรคและพวก ทั้งๆ ที่ทุกข์ของประชาชนอยู่ตรงหน้า และควรจะรู้ตัวว่า ปัญญาของตัวเองก็ไม่มี
เธอเพิกเฉยละเลยตั้งแต่ตัวเลขปริมาณน้ำในเขื่อนที่มากเกินปกติ ขณะที่ฝนยังตกเหนือเขื่อนอยู่ตลอดเวลา กระทั่งเกิดอุทกภัยย่อยๆ ในหลายจังหวัด แต่เธอกับพรรคก็ยังวุ่นวายกับการหาทางช่วยพี่ชายให้พ้นผิด ทั้งๆ ที่บางความผิด ศาลพิพากษาไปแล้ว หลังผ่านกระบวนการต่อสู้ในศาลอย่างสมบูรณ์แบบ โดยตัวทักษิณเอง
ขณะที่น้ำท่วมไล่เรื่อยลงมาทีละจังหวัด ทีละจังหวัด ยิ่งลักษณ์กับคณะรัฐมนตรี ห่วงแต่หาเสียงกับโครงการบ้านหลังแรก รถคันแรก จำนำข้าว ยกเว้นการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ฯลฯ ไม่มี สัญชาตญาณ ของผู้นำที่จะเห็น ภัย ซึ่งใกล้เมืองหลวงเข้ามาเรื่อยๆ
แม้มีคนเตือน คนเสนอ คนให้ข้อมูล เธอก็ไม่เคยใส่ใจหรือให้ความสำคัญ กระทั่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจมบาดาล นิคมอุตสาหกรรมโรจนะจมน้ำ ตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจผุดขึ้นทันที พร้อมเสียงโอดครวญของนักลงทุนต่างชาติ ยิ่งลักษณ์กับพวกถึงเพิ่ง ตื่น
ในการตื่นนั้น ปัญญาของเธอมิได้ตื่นตาม ยิ่งลักษณ์กับพวกยังมองปัญหาเป็น ปัญหาการเมือง มากกว่า ปัญหาบ้านเมือง แทนที่จะวางแผนจัดการกับมวลน้ำมหาศาล จึงมุ่งจัดการกับ ภาพลักษณ์ ของยิ่งลักษณ์ เช่น
ให้ยิ่งลักษณ์ควงดาราไปแจกของช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งก็ไม่ได้จริงจังอะไร เพราะทำอยู่แค่จังหวัดสองจังหวัดก็เลิกกัน เช่นเดียวกับการตั้ง ศปภ. ขึ้นมา ก็มุ่งแก้ปัญหา คะแนนนิยม มากกว่าแก้ปัญหาน้ำท่วม
เพราะหากอยากแก้ปัญหาน้ำท่วม ยิ่งลักษณ์ต้องแต่งตั้ง ผู้รู้ เป็นหัวหน้า ศปภ. ซึ่งไม่ใช่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อย่างแน่นอน ขณะที่คนใน ศปภ. ก็คลาคล่ำไปด้วยคนโง่ แต่อยากทำงาน อยากมีตำแหน่ง อยากออกโทรทัศน์ แต่ผลักผู้รู้ไปอยู่ห่างๆ
ในที่สุด ปทุมธานีก็จมน้ำไปอีกจังหวัด นนทบุรีเกือบทั้งจังหวัด และกรุงเทพมหานครก็วิกฤติตามมา
ถามว่าจากวันที่มี ศปภ. จนถึงวันนี้ เราได้เห็นยิ่งลักษณ์ลงไปฟัดกับปัญหาอย่างเต็มที่ จนเรานึกห่วงใยเธอ เอาใจช่วยเธอ อยากจะแบ่งเบาภาระออกจากบ่าทั้งสองของเธอบ้างไหมครับ
เห็นแต่ความฉาบฉวย แต่งตัวสวยไปออกงาน เหมือนยิ่งลักษณ์แยกไม่ออกระหว่าง การออกงาน กับ การทำงาน
เธอมุ่ง สร้างภาพ มากกว่า สร้างคุณภาพ
เธอไม่เคยมียุทธศาสตร์กับเรื่องต่อไปนี้เลย 1.น้ำ : ยิ่งลักษณ์และ ศปภ. ไม่เคยให้ข้อมูลน้ำกับประชาชนได้อย่างถูกต้อง เธอพูดแต่เพียงว่ารัฐบาลจะทำเต็มที่ แต่ไม่เคยบอกเลยว่าจะทำอะไร อย่างไร มีคนเสนอวิธีรับมือกับมวลน้ำมากมาย ทั้งผู้นำ ฝ่ายค้าน นักวิชาการ และข้าราชการที่มีประสบการณ์ แต่ดูเหมือนข้อเสนอเหล่านั้นไม่เคยกระทบถึงโสตประสาทของเธอ ในที่สุดการไม่มียุทธศาสตร์ การไม่ให้ความจริง การพูดผิด รับประกันผิด และไม่เตือนภัยให้ทันการณ์ ชาวบ้าน โรงงาน ผู้ประกอบการเป็นฝ่ายรับทุกข์
2.คน : ยิ่งลักษณ์ออกอาการเป็นทุกข์เป็นร้อนกับคนที่ถูกน้ำท่วมครั้งไหนบ้าง เธอเคยกุลีกุจอสั่งการให้คนที่เป็นเครือข่าย ของมหาดไทย ของศปภ. และของรัฐทั้งหมด ลงไปจัดการกับปัญหา การกิน การนอน การขับถ่าย การอยู่อาศัยในพื้นที่ปลอดภัยของประชาชนบ้างไหมครับ เธอยิ้มสดใส สวมรองเท้าบู๊ทสวย แต่งหน้าฉ่ำ ผมเรียบกริบ อยู่ทรงเสมอ ในขณะที่ประชาชนรออาหาร รอความช่วยเหลืออยู่ท่ามกลางกระแสน้ำ เธอช่างเยือกเย็นจนเข้าขั้นอำมหิต ทั้งคนที่น้ำท่วมแล้วและยังไม่ท่วม ล้วนไม่อาจพึ่งพาเธอและไม่เห็น น้ำใจ ของเธอ
3.อาหารสำรอง : ยิ่งลักษณ์บริหารสถานการณ์วิกฤติ โดยปล่อย ให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการ ประทังชีวิตขาดตลาด ความไม่เชื่อถือในข้อมูลรัฐบาลทำให้ผู้คนแตกตื่น หาทางมีชีวิตของตนเอาเอง จึงเกิดการกักตุนสินค้า ขณะที่โรงงานและแหล่งผลิตก็ไม่ได้รับการปกป้อง น้ำท่วมเสียหายไปเป็นจำนวนมาก กระทบต่อการผลิตเพื่อส่งเข้าสู่ตลาด แต่รัฐบาลก็ไม่มีมาตรการใดๆ ออกมารองรับ มีออกมาก็เมื่อปัญหาขาดแคลนหนักหน่วงแล้ว
4.การอพยพ : ยิ่งลักษณ์กับ ศปภ. สั่งอพยพคนอย่างมักง่าย เตือนภัยไม่เคยทันการณ์ ทำให้การอพยพของประชาชนเป็นไปอย่าง ฉุกละหุก ได้แต่สั่งให้คนอพยพ แต่ไม่มีการเตรียมการรองรับ ทั้งเรื่อง การเดินทาง ถนนหนทาง ที่หมายปลายทาง ปล่อยให้ประชาชนกระเสือกกระสนไปกันเอง ภายหลังจึงตั้งจุดนัดหมาย จัดรถบริการให้ แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว
5.ระบบการสื่อสาร : ในภาวะวิกฤติ รัฐบาลต้องรู้ว่า ช่องทางการสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็น ถามว่ารัฐบาลได้ดำเนินการอย่างไร ให้การสื่อสารของประชาชนเป็นไปโดยง่าย ไม่ล่ม ไม่หลุดบ้างหรือไม่
6.ปฏิบัติการช่วยเหลือฉุกเฉิน : ความที่เป็นโรคประสาท กลัวทหารจะปฏิวัติ เพราะไปด่าเขาไว้มาก ไปป้ายสีเขาไว้เยอะ ไม่กล้า ใช้ทหารในช่วงแรกๆ ส่งผลให้ประชาชนติดจมอยู่ในบ้านเรือนที่น้ำไหล บ่าเข้าท่วมอย่างมากมาย กว่าจะแก้ไขปัญหานี้ได้ ประชาชนก็พากัน สาปส่งในความไม่พร้อมและไม่มีน้ำใจในเรื่องนี้กันขรมทีเดียว
ถึงวันนี้ ยิ่งลักษณ์กับพวกก็ยังปฏิบัติตัวเหมือนเดิม เรื่องน้ำโยนให้เป็นงานของ ผู้ว่าฯ กทม. แม้จะมีแนวโน้มดีขึ้น ที่นายกฯ ส่งมอบผู้คน อำนาจ และการประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ให้บ้าง ดีกว่าตอนที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กับบริวารออกมาสร้าง ความตึงเครียดทางการเมืองอย่างผิดกาลเทศะ
เธอเริ่มออกงานถี่ขึ้น กระโจนหนีจากความล้มเหลวไปสู่การ ขายฝัน เรื่องการเยียวยาฟื้นฟู สวมรอยเอาความสำเร็จของคนนครสวรรค์มาเป็น โมเดล อย่างหน้าด้านๆ พร้อมๆ กับบีบน้ำตาแลกข่าว และลงพื้นที่อิทธิพลของตน อย่างพระนครศรีอยุธยา ไปกดปุ่มเครื่องสูบน้ำและทาสีบ้าน ซึ่งไม่ใช่งานของคนระดับนายกฯ
ไม่เพียงแต่ไม่เข้าหาผู้รู้หรือรวบรวมผู้รู้มาแก้ปัญหา ยิ่งลักษณ์ ยังปล่อยปละละเลยให้คนเสื้อแดง โดยเฉพาะบางคนเป็นถึง สส. ของพรรค พูดจาวนเวียนฉวัดเฉวียนใส่ไคล้สถาบัน ว่าน้ำท่วมครั้งนี้นั้น เกี่ยวพันกับโครงการฝนหลวง และดึงเอาเขื่อนซึ่งเป็นพระนามมาปลุกระดมให้ประชาชนผู้หลงผิด เข้าใจผิด เกลียดชังและหมิ่นหยามสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเลวทรามต่ำช้า ทั้งๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น คือ หลักชัยทางปัญญา ที่ดีที่สุดในเรื่องการจัดการระบบน้ำทั่วประเทศ
ชาวบ้านผู้ประสบความเดือดร้อนจาก ถนนเทวดา ถนนเชื่อมต่อจากโทลล์เวย์ถึงตึก ศปภ. ที่ ศปภ. เนรมิตเพื่อความสะดวกสบายของตัวเอง แต่ส่งผลให้น้ำเอ่อท้นเข้าบ้านเรือนประชาชนในละแวกตึกเอนเนอยี่ กระทรวงพลังงาน พูดในสิ่งที่จับใจคนไทยเหลือเกินว่า
ผมก็เลยอยากจะถามผ่านไปหาท่านนายกฯ ว่า ทำไมคุณถึงทำตรงนี้ ในเมื่อทางด้านหลังน้ำไม่ท่วม คุณสามารถมาได้ นั่นคือ ผลกระทบของชาวบ้านที่เขาเดือดร้อน คุณพูดอยู่ปาวๆ ว่าเสียสละ เเต่คุณไม่เสียสละเพื่อลุยน้ำมาหาประชาชนบ้าง เเล้วคุณจะเป็นผู้นำที่ดีได้ยังไง ในเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอยากรู้ทุกข์สุขประชาชน ยังเดินลุยน้ำลุยโคลน แล้วคุณเป็นใคร คุณเป็นแค่นายกฯคนหนึ่ง
ในสถานการณ์อย่างนี้ ความสวยงามและความฉาบฉวยไม่ช่วย อะไร ความเห็นอกเห็นใจและสติปัญญาต่างหากที่ประชาชนต้องการ
คนไม่ได้ต้องการนางฟ้าที่ปัญญาควายๆ
คนต้องการอีเพิ้ง อีเยิน อีปลวก ฯลฯ คนหนึ่ง ที่ทำ ทุกอย่างได้ เพื่อทุเลาปัญหาของประชาชน
นั่นคือผู้นำที่คนทุกชาติต่างก็ต้องการในภาวะวิกฤติครับ
จิตกร บุษบา