23 พฤศจิกายน 2567, 03:12:13
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 19 20 [21] 22 23 ... 33  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน  (อ่าน 328709 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #500 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2554, 22:54:33 »

ส.ส.สวมสิทธิ์ของบริจาค หวังดีประสงค์คะแนนเสียง?

โดย : ทีมข่าวการเมือง

   
ไขปม ส.ส.เพื่อไทย สวมสิทธิ์ติดป้ายจองของบริจาคกลาง ศปภ. ใครทำอะไร หวังดีหรือหวังคะแนน ติดตามได้ในรายงานชิ้นนี้

กระแสวิพากษ์วิจารณ์ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างหนัก ถึงเรื่องของบริจาคของภาคเอกชนและประชาชนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ผ่านทางศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ(ศปภ.)แต่ปรากฏว่ามีการติดป้ายชื่อนักการเมือง ทั้ง ส.ส.และ ส.จ.พรรคเพื่อไทย รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ทำให้มีการตั้งคำถามการกระทำของนักการเมือง ที่ฉกฉวยโอกาสหาเสียงด้วยของบริจาคของภาคประชาชนและเอกชน โดยนำรถติดป้ายชื่อของตนมาขนของบริจาคเพื่อให้เข้าใจว่านักการเมืองผู้นั้นเป็นผู้บริจาค จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนักการเมืองเหล่านี้อย่างกว้างขวาง   

โดยเฉพาะประชาชนบางส่วนในโซเชียลมีเดีย ได้นำรูปภาพไปโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และตามเว็บไซต์ต่างๆ พร้อมทั้งรณรงค์ไม่ให้บริจาคสิ่งของและเงินผ่าน ศปภ.เพราะไม่ไว้วางใจจริงๆ โดยแนะนำให้บริจาคผ่านหน่วยงานอื่นๆ ที่น่าเชื่อถือ

ภาพและข้อความยอดฮิต คือ ป้ายจองน้ำดื่ม 722 แพ็ค แปะชื่อ ส.ส.จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ระบุว่า "ห้ามขนย้าย"  และภาพถุงซิปใสบรรจุยาสามัญประจำบ้านมีโกโล้ กทม.มีชื่อ ส.ส.การุณ โหสกุล พร้อมโลโก้พรรคเพื่อไทยแปะไว้ด้วย และยังมีข้อความ เช่น "เตือนภัยรายวัน อย่าไปบริจาคของที่ศปภ.มิฉะนั้นจะเป็นภาพ(ตัวอย่าง)แบบนี้" หรือข้อความ "ถ้านักการเมืองคนไหนเอาของประชาชนไปอ้างชื่อตัวเอง ผมขอบอกว่าพวกเขาไม่ต่างจากมิจฉาชีพ ตั้งกล่องหลอกชาวบ้านให้บริจาคช่วยน้ำท่วม"

วิม รุ่งวัฒนจินดา เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (กฤษณา สีหลักษณ์) ในฐานะโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ(ศปภ.) มีคำอธิบายถึงกรณี กรณีของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำป้ายชื่อของตนเองไปติดไว้ข้างรถขนส่งของบริจาคว่า

"ศปภ.ได้รับรายงานเบื้องต้น และขอให้สำนักรัฐมนตรีไปดูมาตรการเรื่องจ่ายถุงยังชีพให้กับผู้ประสบภัย แต่อาจจะมี ส.ส.บางคนที่เอารถมาบริการฟรี โดยรถที่นำมาอาจเคยนำไปใช้หาเสียงเลือกตั้ง โดยมีการติดป้าย ขอขอบคุณประชาชน และลืมปลดป้ายออก ซึ่งเจตนาหรือไม่ก็ตาม ศปภ.ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการนำถุงยังไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

ขอยืนยันว่า ขณะนี้ ศปภ.ยังขาดรถที่จะขนของบริจาคไปแจกให้กับผู้ประสบภัย จึงจำเป็นต้องใช้รถของ ส.ส.หรือ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยกรณีที่เกิดขึ้น พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการ ศปภ.ได้ทำความเข้าใจกับส.ส.ที่กระทำดังกล่าวแล้ว และขอให้สำนักรัฐมนตรีเข้าไปดูเรื่องระเบียบการรับบริจาค และระเบียบการจ่ายสิ่งของต่างๆ ออกไปให้ผู้ประสบภัย คาดว่าจะมีระเบียบเพิ่มมากขึ้น"

วิม ยืนยันว่า ก่อนหน้านี้มีระเบียบที่ชัดเจนในการจ่าย เพื่อให้ถึงมือผู้ประสบภัยอย่างแท้จริง โดยของส่วนใหญ่ทาง ศปภ.สั่งให้ทหารนำรถมาขนของทั้งหมด เพื่อไปแจกจ่ายกับผู้ประสบภัย โดยสามารถตรวจสอบได้เพราะรถทหารที่มาให้บริการเหล่านั้น นำถึงยังชีพไปแจกจ่ายที่ใดบ้าง

ส่วนกรณีที่มีการนำป้ายขนาดใหญ่ติดชื่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาติดไว้ข้างรถและติดชื่อไว้กับสิ่งของบริจาคนั้น โฆษกศปภ.ชี้แจงว่า กลุ่มคนเสื้อแดงได้นำถุงยังชีพมาบริจาคให้กับ ศปภ.และไม่ได้นำของบริจาคลงจากรถ เพียงแต่มีการแจ้งให้ ศปภ.ทราบว่า จะนำของยังชีพไปให้ผู้ที่เดือดร้อนที่ไหน โดย ศปภ.ได้แจ้งกลับไปว่า ต้องนำไปบริจาคให้กับจังหวัดต่างๆ ที่ยังขาดแคลน 

"การเอารูปพ.ต.ท.ทักษิณ ไปติดไว้ อาจเป็นความนิยมส่วนตัว ยืนยันว่าสิ่งของที่กลุ่มเสื้อแดงนำมาบริจาค นั้น เป็นของเขานำมาเอง" โฆษก ศปภ.ระบุ

สำหรับกรณีที่ กลุ่มโซเชียลเน็ตเวิร์ก โพสต์ข้อความลงในเฟสบุ๊ค และ ทวิตเตอร์ รณรงค์ว่าจะไม่บริจาคผ่าน ศปภ.นั้น ก็ไม่มีปัญหาอะไร จะนำของไปบริจาคที่ไหนก็ถือว่าเป็นการบริจาคให้กับประชาชนที่ประสบภัย ไม่บริจาคผ่าน ศปภ.เพราะไม่ไว้ใจ ก็ไม่เป็นอะไร เพราะการบริจาคสิ่งของให้กับผู้ที่เดือดร้อนเป็นเรื่องที่ดี ถ้าไม่มีใครบริจาคทางรัฐบาลก็ต้องดำเนินการซื้อจองบริจาคเพื่อแจกจ่าย ประชาชนอยู่แล้ว

ก่อนหน้านี้วันเดียวกัน โฆษกศปภ.แถลงข่าว ชี้แจงถึงขั้นตอนการเบิกจ่ายของรับบริจาคเพื่อนำไปแจกจ่ายประชาชนที่ประสบอุทกภัยว่า เป็นอำนาจการตัดสินใจของสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งหมด เพื่อไม่ให้สิ่งของไปกระจุกอยู่จุดเดียว

ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า การุณ โหสกุล ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ผู้รับผิดชอบการเบิกจ่ายสิ่งของบริจาค นั้นยืนยันว่าขณะนี้สำนักนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบเพียงผู้เดียว

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจากศปภ.เปิดเผยว่า ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลการเบิกจ่ายสิ่งของบริจาคทั้งหมด คือ นายการุณ โหสกุล และนายสุรชาติ เทียนทอง ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย โดยมีคณะกรรมการประมาณ 6 คน แต่จะต้องมีลายเซ็นต์ของนายการุณ และนายสุรชาติ กำกับเท่านั้น จึงจะนำสิ่งของออกมาได้

ขณะที่สถานการณ์เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 25 ต.ค.2554 ระดับน้ำบริเวณดอนเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ศปภ.ได้สูงขึ้นจนต้องปิดถนนวิภาวดีทั้งขาเข้าและขาออก ทำให้ภายในศปภ.ได้เคลื่อนย้ายสิ่งของต่างๆ เพื่อป้องกัน พร้อมทั้งปิดจุดรับเรื่องร้องเรียนและขอรับความช่วยเหลือของประชาชนของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่อยู่ชั้น 2 อาคารภายในประเทศ

โดยเจ้าหน้าที่ปิดรับทั้งเรื่องร้องเรียน และงดแจกจ่ายถุงยังชีพและเรือให้ประชาชนที่มาขอรับความช่วยเหลือชั่วคราว โดยอ้างว่าต้องเคลียร์คน และสิ่งของบริจาคที่อยู่ชั้น 1 หากน้ำท่วมจะทำให้การขนย้ายสิ่งของลำบาก อาทิ ข้าวสาร อาหารแห้ง และระบุด้วยว่า ถึงแม้จะรับเรื่องไว้ ก็ไม่รู้ว่าจะยื่นเรื่องต่อที่ใคร เนื่องจากว่าแต่ละจุดปิดรับเรื่องแล้ว แต่จะเปิดรับเรื่องร้องเรียนใหม่ หลังจากที่ทราบว่าจะย้ายไปจุดใดจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ทำให้ประชาชนที่มาขอความช่วยเหลือเดินทางกลับไปมือเปล่า

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงเหตุผลที่ปิดรับเรื่องร้องเรียน เจ้าหน้าที่ชี้แจงว่าจำเป็นที่ต้องเก็บสิ่งของ แต่จะมีเจ้าหน้าที่บางคนมาช่วยรับเรื่องไว้ก่อน หลังจากถูกสอบถาม ทำให้มีการส่งเจ้าหน้าที่มานั่งประจำจุดรับร้องเรียนจากประชาชนอีกครั้งเพื่อส่งต่อไปยังเขต

ชาวบ้านที่มาขอความช่วยเหลือบอกว่า ถ้าไม่เดือดร้อน ก็คงไม่มาขอรับบริจาคสิ่งของ หรือมาร้องเรียนเช่นนี้

ขณะที่ 2 ส.ส.กทม.ทั้ง การุณ โหสกุล และสุรชาติ เทียนทอง อ้างว่าติดภารกิจช่วยน้ำท่วม ขอเคลียร์ตัวเองวันนี้

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #501 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2554, 23:06:03 »

สส.นนทบุรี พท.ท้าแดงตั้งโต๊ะบริจาคราชประสงค์

  posttoday.com  26 ตุลาคม 2554 เวลา 22:21 น. |
   
ส.ส.เพิ่อไทยนนทบุรี ท้าแดงทำบัญชีแจกแจงการบริจาคหากโปร่งใส
แนะตั้งโต๊ะรับบริจาคที่ราชประสงค์วัดความนิยม ชี้เป็นส.ส.ของประชาชนไม่ใช่กลุ่มสี

นายฉลอง เรี่ยวแรง ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ตอบโต้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.และคนเสื้อแดง ที่ระบุว่าคนเสื้อแดงไม่ใช้อภิสิทธิ์รับของบริจาค ช่วยน้ำท่วมว่าเรื่องนี้ถ้าโปร่งใสจริง ก็ควรทำบัญชีแจกแจงการบริจาคให้ชัดเจนเพื่อให้เกิดความสบายใจต่อผู้บริจาค เพื่อกระจายสิ่งของไปถึงประชาชนอย่างทั่วถึง


ท้าแดงวัดใจ ตั้งบริจาคแยกราชประสงค์

เมื่อถามว่ากรณีที่คนเสื้อแดง จะจัดงานระดมเงินบริจาควันที่ 29ต.ค.เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมอีกครั้ง นายฉลอง ตอบว่า ก็เป็นเรื่องที่ดี ถ้าจะดีกว่านี้ น่าไปตั้งเต๊นท์โต๊ะรับบริจาคแยกราชประสงค์ อยากรู้ว่าจะมีคนมาเป็นหมื่นหรือไม่ หากมาจริงบริจาคแค่คนละ100บาทก็น่าจะได้เงินเป็นล้านบาท จะดูว่าจะมีเสื้อแดงมา โดยโดยที่ไม่ให้ส.ส.จัดหรือขนคนมาหรือไม่ ถ้าวันนี้ยังมั่นใจในกระแสเสื้อแดง ที่บอกว่าแดงทั้งแผ่นดินและมีเยอะจริง การเลือกตั้งในกทม.หลายเขตคงไม่สอบตกอย่างนี้ ขอท้าเลย สมัยหน้า ถ้าแน่จริง ทั้งนายณัฐวุฒิและนายจตุพร พรหมพันธู ควรไปลงสมัคร ส.ส.เขตเลย จะมาลงที่นนทบุรี หรือในเขต กทม.ก็ได้ จะได้รู้ถึงความนิยม อย่าไปหนีลงอันดับต้นๆในระบบบัญชีรายชื่อ

โต้มีจิตวิญญาณ ภาวะผู้นำเหนือนปช.



นายฉลอง ยังได้ตอบโต้ที่ถูกกล่าวหาว่าไม่มีจิตวิญญาณของคนเสื้อแดงว่า ตนเข้าใจจิตวิญญาณการต่อสู้ของเสื้อแดง และเข้าใจดีจิตวิญญาณและมีวุฒิภาวะในการเป็นผู้นำมากว่าแกนนำ นปช. แต่ในวันสลายชุมนุม แกนนำเสื้อแดงกลับหนีเอาตัวรอด ไม่มีวุฒิภาวะผู้นำรับผิดชอบกับที่พาคนไปร่วมชุมนุมเลย มีคนที่ไปร่วมชุมนุมตาย กลับไม่มีความรับผิดชอบและไม่มีอยู่เป็นคนสุดท้าย เหมือนแกนนำเสื้อเหลืองอย่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ไม่เคยทิ้งอยู่เป็นคนสุดท้ายยอมถูกจับก็อยู่ด้วย

ซัด”ตู่-เต้น”หายตัว ไม่รับผิดชอบเด็กตาย

“ผมรู้ว่าคนเสื้อแดงมีหลายกลุ่ม 80% ที่ออกมาต่อสู้เพราะศรัทธาผลงานพ.ต.ท.ทักษิณ กระแส น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งนโยบายพรรคเพื่อไทย ที่เหลือ20%เป็นแดงแสวงหาประโยชน์ หากินกับเสื้อแดง ผมมีความรับผิดชอบ และเข้าใจกับการต่อสู้คนเสื้อแดงในการต่อสู้พาคนเข้าไปแล้ว มีเด็กที่ไทรน้อยไปร่วมชุมนุมเขาถูกยิงตายก็ดูแลรับผิดชอบตั้งแต่งานศพถึงวันเผา ส.ส.นนทบุรีมาดูแลกันหมด แต่แกนนำเสื้อแดงอย่าง นายจตุพร นายณัฐวุฒิ หายหัวไปไหน ไม่เห็นมาช่วยงานเลย  ที่ผ่านมาเวลาจัดกิจกรรมวันเกิดใน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่วัดแก้วฟ้าก็ไม่พ้น ส.ส.ก็เสียเงิน มีแต่จะจ่ายเงินให้กับคนเสื้อแดงทั้งนั้น นายณัฐวุฒิ มีบ้านใหญ่โตหลังเป็นสิบล้าน ย่านนนทบุรี เคยควักเงินบริจาคช่วยเหลือคนเสื้อแดงบ้างหรือไม่”นายฉลอง ย้ำ   

ข้องใจมีรัฐบาลแล้ว เสื้อแดงจัดกิจกรรมไม่เลิก

นายฉลองกล่าวอีกว่า ส่วนตัวแปลกใจ เมื่อเสร็จสิ้นการเลือกตั้งแล้ว และมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งของประชาชนแล้ว ทำไมกลุ่มคนเสื้อแดงยังจัดกิจกรรมอะไรกันนักหนา ไม่รู้ว่ามันมีผลประโยชน์อะไรหรือไม่ ส่วนตัวเองยังศรัทธาเสื้อแดงที่ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ ที่ต่อต้านรัฐประหาร หรือที่จะล้มรัฐธรรมนูญ 50 ก็เห็นด้วย แต่ถ้าคิดจะล้มเจ้า ตนไม่เอาด้วย เพราะคนในพื้นที่มีความรู้และเห็นว่าศรัทธาในแนวนี้ ก็ไม่ต้องมาเลือกตน ซึ่งคนเสื้อแดงไม่ใช่จะมาทำถูกทุกเรื่อง อะไรที่ถูกก็ต้องชื่นชม อะไรที่ถูกรังแก ก็ต้องพูด แต่วันนี้ อย่าทำให้คนรังเกียจไปมากกว่า

ม่เข้าใจจุดประเด็นแก้กม.จ้องเล่นงานทหาร

“ทุกวันนี้ชาวบ้านก็เห็น ทหารมาช่วยเรื่องน้ำท่วมมากมาย แต่ก็ไม่เข้าใจทำไมบางคนจ้องจะจุดประเด็นสร้างความขัดแย้ง โดยเฉพาะการจะแก้ พ.ร.บ.กลาโหม ที่จะยิ่งไปสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นไปทำไม ไม่รู้ว่าทำไมต้องไปเล่นงานทหาร ผมอายเขา วันนี้เราต้องละลายสี ไม่มีกลุ่ม มวลชนควรเก็บเอาไว้ เมื่อใดที่เคลื่อนไหว หรือพูดเรื่องสีจะทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมืองไม่จบ ไม่สิ้น”นายฉลอง ย้ำ

ชี้เป็น ส.ส..ของ ประชาชนไม่ใช่กลุ่มสี

นอกจากนี้ นายฉลอง ยังกล่าวอีกว่า การได้กลับมาเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย มันเลยจุดประสงค์ไปแล้ว เมื่อได้รับเลือกตั้ง เข้ามาเป็นส.ส.ก็ควรเป็น ส.ส.ของประชาชน ไม่ใช่ ส.ส.ของกลุ่มใดหรือสีอะไร ต้องเข้าใจหลักการนี้ ไม่ใช่ไม่พอใจเรื่องอะไร ก็จะเอามวลชนมาบีบจะเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งการจะผลักดันเอากฎหมายอะไร ควรให้เป็นไปตามกลไกลสภาฯจากเสียงที่มีอยู่ในสภา

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #502 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2554, 23:15:31 »


ขึ้น ฮ. ตรวจพื้นที่?Huh?



รถวิ่งออกจาก ศปภ. ของที่ออกไปมันของบริจาคจากประชาชนไม่ใช่เหรอ?



      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #503 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2554, 23:28:48 »

"กรณ์" แฉ "ปู" บิดเบือนเส้นทางน้ำ ชนวนจ่อท่วมใจกลางกทม.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 ตุลาคม 2554 21:31 น.    


      
"กรณ์" จวก "ยิ่งลักษณ์" ผันน้ำแหวกหลักปฎิบัติ ทำให้น้ำเจ้าพระยาขึ้นสูงสุดในประวัติการณ์ เสี่ยงใจกลางกรุงเทพฯจมน้ำนาน ตัดเส้นทางอำนวยความสะดวก การบริหารจะเป็นอัมพาต ส่งผลให้ ปชช.กลายเป็นผู้ประสบภัยอย่างสาหัส จี้ตอบเลี่ยงผันน้ำผ่านทางตะวันออกต้องการรักษาพื้นที่ไหนเป็นพิเศษหรือไม่
       
       วันนี้ 27 ต.ค. เมื่อเวลา 15.32 น. นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงผ่านเฟซบุ๊ก เรื่องการบิดเบือนเส้นทางระบายน้ำ ผ่านกรุงเทพมหานคร ว่า สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ประเทศไทย ถือเป็นเรื่องวาระสำคัญ เร่งด่วน เป็นงานหลักที่สุด ที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ เพราะรัฐบาลเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการตัดสินใจเพื่อให้วิกฤตินี้ คลี่หลาย หรือสาหัสซ้ำเติม จากที่พรรคประชาธิปัตย์ โดยคณะรัฐมนตรีเงา ได้ทำการลงพื้นที่ ตรวจสอบ ดูแลประชาชน และศึกษาถึงระบบการระบายน้ำ ได้เรียนรู้ถึงหลักปฏิบัติของการระบายน้ำผ่านกรุงเทพมหานคร ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติตามที่ได้กระทำผ่านมาตั้งแต่อดีต รวมทั้งได้เรียนเชิญนักวิชาการผู้มีความสามารถในเรื่องนี้เฉพาะทางได้แก่ ๑) รองศาสตราจารย์ ดร.เสรี ศุภราทิตย์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางวิศวกรรมศาสตร์ และการป้องกันสาธารณภัย และผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานเพื่อสิ่งแวดล้อมนานาชาติ สิรนธร ๒) ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของ เปลือกโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ ๓) รองผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร นายธีระชนม์ มโนมัยพิบูลย์ ในฐานะตัวแทนผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ มาร่วมให้ข้อมูลทางวิชาการ และเสนอแนวทางที่หากรัฐบาลนำไปปฏิบัติตาม จะทำให้เกิดผลดีต่อประเทศ และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รวมถึงชาวกรุงเทพมหานครที่เสี่ยงต่อการเกิดวิกฤติอุทกภัยอยู่ในขณะนี้
       
       พรรคประชาธิปัตย์ โดยคณะรัฐมนตรีเงา ได้ตรวจพบว่า การระบายน้ำในปัจจุบันของรัฐบาล และศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เป็นการบิดเบือนเส้นทางระบายน้ำ ไม่สอดคล้องตามหลักวิชา หลักปฏิบัติจากอดีต และเป็นไปอย่างผิดหลักธรรมชาติของภูมิประเทศของกรุงเทพมหานคร จากที่คณะทำงานได้ลงพื้นที่ศึกษาพบกว่า การที่จะทำการระบายน้ำลงสู่ทะเลอ่าวไทยได้เร็วที่สุดอย่างสมดุลนั้น คือ การระบายผ่านทางหลักๆ ๓ ทางซึ่งคือ ๑) ทางตะวันตก ผ่านแม่น้ำท่าจีน ๒) ทางแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านกลางกรุงเทพมหานคร และ ๓) ทางตะวันออก ผ่านทางแม่น้ำบางปะกง และนอกจากนี้ ทางน้ำที่ใช้ระบายเพิ่มพิเศษคือ ระหว่าง แม่น้ำเจ้าพระยากับ แม่น้ำบางปะกง ยังมีทางระบายพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการนี้อยู่แล้ว ซึ่งคือ คลองด่าน และสถานีสูบน้ำต่างๆ ในจังหวัดสมุทรปราการ
       
       ปัญหาหลักที่พบ คือ การบิดเบือนเส้นทางระบายน้ำ ซึ่งก่อให้เกิดความไม่สมดุลในการระบายน้ำ ของ ๓ ทางหลักนี้ โดยเฉพาะทางพื้นที่ทางตะวันออกของกรุงเทพมหานคร คือ สถานีสูบน้ำต่างๆ ที่จะช่วยให้ระบายน้ำไปทางตะวันออก แทบไม่ได้มีการระบายเลยในช่วงก่อนหน้านี้ แต่เพิ่งมีการเริ่มให้มีการสูบน้ำระบายเพียงแค่ไม่กี่วัน และยังไม่ได้ทำอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้ การระบายน้ำหลักถูกกดดันให้น้ำมาอยู่ที่ แม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นทางเส้นหลักที่อยูตรงกลาง ผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา ดังจะเห็นได้ว่า ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับความสูง เหนือระดับน้ำทะเลปกติ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ การระบายน้ำที่ไม่มีความสมดุลเช่นนี้ จะเกิดความเสี่ยงให้มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานานในใจกลางเมือง กรุงเทพมหานคร และจะก่อให้เกิดความเป็นอัมพาตของระบบการบริหารจัดการทั้งระบบในประเทศ การทำงานของราชการส่วนกลางทั้งหมดจะถูกหยุด เนื่องจากเป็นไปได้สูงมากที่ จะขาดระบบสาธารณูปโภคที่ส่วนกลางจำเป็นต้องใช้เช่น ระบบไฟฟ้า และน้ำประปา ดังนั้นจะทำให้ ศูนย์ดูแลภัยพิบัติ และศูนย์ดูแลประชาชนทั่วประเทศ จะกลับกลายเป็นผู้ประสบภัยอย่างสาหัสอย่างไม่สามารถทำอะไรได้เอง
       
       พรรคประชาธิปัตย์ โดยคณะทำงาน จึงมีข้อเสนอ ในวิธีแก้ไขประเด็นปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ดังนี้
       
       ๑) พรรคประชาธิปัตย์ โดยคณะรัฐมนตรีเงา ต้องการให้รัฐบาลทบทวน ระบบการดำเนินการระบายน้ำลงสู่อ่าวไทยให้เป็นไปอย่างสมดุล ตามหลักปฏิบัติที่ผ่านมา และเป็นไปอย่างธรรมชาติ ผ่านทาง ๓ ช่องทางหลัก ซึ่งหมายถึง ให้มีการระบายน้ำทางตะวันออกมากขึ้น โดย เปิดการระบายน้ำในคลอง ๖ ถึง คลอง ๒๑ รวมทั้งเปิดการสูบน้ำที่สถานีสูบน้ำที่ขึ้นกับกรมชลประทาน สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยรัฐบาลเป็นผู้มีอำนาจสั่งการโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นที่คลองแสนแสบ คลองประเวศบุรีรมย์ และคลองสิบสาม ตัดคลองหกวา เพื่อช่วยลดภาระการระบายน้ำที่หนักอยู่ที่แม่น้ำเจ้าพระยา ทันที
       
       ๒) พรรคประชาธิปัตย์ โดยคณะรัฐมนตรีเงา ต้องการให้รัฐบาลชี้แจงความชัดเจน หากสุดท้ายแล้วรัฐบาลไม่ประสงค์จะทำตามข้อเสนอ ว่าเป็นนโยบายโดยตรงของรัฐบาลที่ต้องการจะเลี่ยงการระบายน้ำทางตะวันออกใช่ หรือไม่ ด้วยเหตุผลอะไร ต้องการรักษาเขตพื้นที่ไหน อย่างไร เป็นพิเศษหรือไม่ เพราะการตัดสินใจว่าจะกระทำ หรือไม่ทำตามข้อเสนอนี้ จำเป็นต้องทำเป็นการเร่งด่วน และมีคำชี้แจงที่ชัดเจน เนื่องจาก ภายในไม่กี่วันข้างหน้า กรุงเทพมหานคร จะประสบปัญหา มวลน้ำมหาศาลจากทางเหนือ ไหลลงมา สมทบกับน้ำทะเลที่หนุนขึ้นมาจากอ่าวไทย
       
       ๓) พรรคประชาธิปัตย์ โดยคณะรัฐมนตรีเงา ต้องการให้รัฐบาล มีนโยบายในการดูแลแก้ปัญหาอันเป็นผลกระทบที่เนื่องมาจากเหตุอุทกภัยใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดทั้ง ๒๑ จังหวัด ทั้งที่กำลังท่วมอยู่ และพื้นที่ที่อยู่ในขั้นตอนการฟื้นฟูแล้ว ดังนี้
       
       ๓.๑) การแก้ปัญหาในเรื่องปัญหาการขาดแคลนสินค้า และราคาสินค้าแพง รัฐบาลจำเป็นต้องร่วมมือกับภาคเอกชน อย่างจริงจังเร่งด่วน เช่นหากสินค้าใดมีปัญหาทางการผลิต ขอให้พิจารณาการนำเข้าสินค้า หรือ หากสินค้าใดผลิตได้ แต่ประสบปัญหาการขนส่ง ขอให้พิจารณาเข้าร่วมมือกับภาคเอกชนในเรื่องดังกล่าว
       
       ๓.๒) ปัญหาสังคม อันเป็นผลสืบเนื่องจาก การสูญเสียในเรื่องต่างๆ จากอุทกภัย ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียชีวิต บาดเจ็บ ทั้งสภาพทางร่างกาย และจิตใจ รวมทั้งการสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง และหน้าที่การงาน
       
       ๓.๓) แผนฟื้นฟูต่างๆ หลังจากนี้ควรมีคณะทำงานที่ต้องเร่งทำเป็นการเร่งด่วน โดยพรรคประชาธิปัตย์ จะนำเสนอต่อไปเช่นกัน
       
       ทั้งนี้ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เอง นอกจากมี ศูนย์อาสาฯคนไทยช่วยน้ำท่วม ที่ลงพื้นที่ นำถุงยังชีพดูแลประชาชนในทุกเขต ทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง มีช่องทางการระดมทุนช่วยเหลือบริจาคผ่านมูลนิธิเสนีย์ ปราโมช แล้ว ยังมีการริเริ่มจะทำโครงการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอีก ๓ โครงการได้แก่
       
       ๑) โครงการ น้ำล้านขวด ล้านน้ำใจ ช่วยภัยน้ำท่วม เนื่องจากตระหนักถึงปัญหาการขาดแคลนน้ำดื่มสะอาดซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในทุก พื้นที่อุทกภัยในขณะนี้
       
       ๒) โครงการศูนย์พักพิง โดยร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร
       
       ๓) โครงการโรงครัว พรรคประชาธิปัตย์ โดยระดมสมาชิกพรรคจากทางภาคใต้เป็นหลัก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในครั้งนี้น้อยมา มาเป็นกำลังสำคัญในการดูแลเรื่องอาหาร การกินของชาวกรุงเทพมหานครเป็นสำคัญ
       
       และหากรัฐบาล หรือศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ต้องการความช่วยเหลือจากส่วนนี้ของโครงการที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจัดทำ พรรคประชาธิปัตย์พร้อมให้ความร่วมมือ โดยตลอดเสมอมา

   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #504 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2554, 18:39:00 »

รอยเตอร์ชี้ “น้ำท่วมไทย” ตัดสินชะตาอนาคต “ยิ่งลักษณ์”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

       ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สำนักข่าวรอยเตอร์เสนอบทวิจารณ์ระบุ ขณะที่อุทกภัยร้ายแรงที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษกำลังลุกลามเข้าถึงใจกลางกรุงเทพมหานคร รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีอายุได้เพียง 3 เดือนเศษๆ ก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักถึงการแก้ไขวิกฤตน้ำที่ย่ำแย่เหลือทน ทั้งด้านความร่วมมือเชิงนโยบาย, การสื่อสารกับประชาชน ไปจนถึงความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายบริหารกรุงเทพมหานคร
       

       บทวิจารณ์ที่เขียนโดย มาร์ติน เพตตี้ (Martin Petty) และ เจสัน เซป (Jason Szep) ชี้ว่า ท่ามกลางสถานการณ์ขั้นวิกฤตที่มวลน้ำมหาศาลอาจทลายพนังกั้นเข้าท่วมเมืองหลวงที่มีประชากรกว่า 12 ล้านคน ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ การตัดสินใจและความผิดพลาดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงเป็นสิ่งที่นักวิจารณ์และผู้รู้ทางการเมืองทางการเมืองกำลังจับตามอง
       
       การตัดสินใจและความผิดพลาดเหล่านี้ ด้านหนึ่งสามารถที่จะทำลายอนาคตทางการเมืองของเธอ ตลอดจนของรัฐบาลที่ยังมีอายุไม่มากของเธอ แต่อีกด้านหนึ่งมันก็อาจจะกระตุ้นความกล้าหาญของเธอ ด้วยการให้ความเป็นอิสระแก่ตัวเธอที่จะผละออกมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายผู้ทรงอำนาจของเธอ
       
       นักการทูต, นักวิเคราะห์อิสระ และบุคคลใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีหญิงวัย 44 ปี ต่างระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลเพื่อไทย น่าจะผ่านวิกฤตการณ์นี้ไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเธอทุ่มงบประมาณฟื้นฟูภาคธุรกิจ และปรับปรุงระบบจัดการน้ำของไทยให้มีประสิทธิภาพ
       
       “จริงอยู่ที่ประชาชนอาจจะไม่พอใจ นายกฯควรใช้มาตรการป้องกันที่เข้มแข็งกว่านี้ แต่ท่านทราบดีว่าจะพาพวกเราให้พ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร” เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งในพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์
       
       “การฟื้นฟูประเทศหลังน้ำลดจะเป็นเครื่องพิสูจน์ภาวะผู้นำของท่าน”
       
       มูลค่าความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินที่สูงขึ้นเรื่อยๆในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ทำให้สโลแกน “สยามเมืองยิ้ม” เริ่มห่างไกลความจริงเข้าไปทุกที นับตั้งแต่เหตุสลายชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปีที่แล้ว, การปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ปี 2008, รัฐประหาร ปี 2006 และสึนามิในมหาสมุทรอินเดียเมื่อปี 2004
       
       วิกฤตอุทกภัยในปีนี้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 377 รายตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีประชาชนได้รับผลกระทบอีกกว่า 2.2 ล้านคน ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและนิคมอุตสาหกรรมใน จ.ปทุมธานี, นนทบุรี และพระนครศรีอยุธยา

โรงงานประกอบรถยนต์ในนิคมอุตสาหกรรมทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ จมหายใต้บาดาล
       ปริมาณการส่งออกข้าวของไทยในช่วงปี 2011/12 ลดลงราว 6 ล้านตัน หรือประมาณ 24 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียง 19 ล้านตันเท่านั้น ขณะที่ตัวเลขจีดีพีซึ่งคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 4.1 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ ก็หดลงเหลือเพียง 2.6 เปอร์เซ็นต์
       
       ผู้ที่เปรียบเสมือนยืนอยู่กลางตาพายุใหญ่คงหนีไม่พ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ มือใหม่ในสนามการเมืองที่นักวิจารณ์ต่างปรามาสว่า ไร้ศักยภาพและขาดความกล้าตัดสินใจ
       
      นอกจากตัวผู้นำเองจะถูกหัวเราะเยาะที่สวมรองเท้าบูตแบรนด์เนมลงไปลุยน้ำท่วมแล้ว รัฐบาลของเธอยังถูกตำหนิว่า ไม่ประกาศเตือนประชาชนและภาคธุรกิจให้เตรียมป้องกันน้ำอย่างทันท่วงที ทั้งยังพยายามปกปิดข่าวร้ายไม่ให้ประชาชนทราบด้วย ซึ่งนายกฯก็ออกมาปฏิเสธเสียงแข็ง
       
       แม้แต่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม (ศปภ.) ก็ช่วยบรรเทาปัญหาได้ไม่ดีพอ และการเตือนภัยยังค่อนข้างสับสน ตัวอย่างเช่น รัฐมนตรีรายหนึ่งเตือนให้ประชาชนในจังหวัดที่อยู่ติด กทม. เร่งอพยพ แต่ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา เจ้าหน้าที่อีกรายกลับยืนยันว่า ยังคุมสถานการณ์ได้

       
       ก่อนหน้านี้ รัฐบาลรับรองว่ากรุงเทพมหานครจะไม่ถูกน้ำท่วมอย่างแน่นอน แต่วันนี้กลับยอมรับอย่างหมดท่าว่าจะท่วมอย่างน้อย 1 เดือน ทำให้บางคนเลิกฟังประกาศจากทางการไปแล้ว
       
       “ทุกวันนี้คนไทยไม่เชื่อมั่นในตัวนายกฯยิ่งลักษณ์และรัฐบาลอีกต่อไป คนเริ่มกักตุนอาหารและน้ำดื่ม และหันมาฟังข่าวจากสื่อสังคมออนไลน์แทน” นายกานต์ ยืนยง กรรมการผู้อำนวยการศูนย์วิจัย สยาม อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต ระบุ

       ในการปรากฏตัวต่อหน้าผู้สื่อข่าวครั้งหลังๆ นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ดูมีท่าทีเหน็ดเหนื่อยหมดแรง หลายครั้งหลายคราเหมือนกับเธอเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมาขณะที่เสียงพูดก็สั่นเครือ ซึ่งตรงกันข้ามเลยกับช่วงการรณรงค์หาเสียงที่เธอดูราวกับเต็มไปด้วยพลังงานและความเชื่อมั่นอย่างไร้ขอบเขตจำกัด
       
       ทว่าสิ่งที่กำลังถูกวางเป็นเดิมพันอยู่ในเวลานี้ ไม่ใช่เพียงแต่ภาพลักษณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เท่านั้น แต่เป็นภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้วย การขยายตัวของพื้นที่ภาคอุตสาหกรรมในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาได้แปรเปลี่ยนประเทศที่ครั้งหนึ่งสร้างขึ้นรอบๆ นาข้าวและสถานตากอากาศชายทะเล ให้กลายเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคของโรงงานอุตสาหกรรมต้นทุนต่ำ อีกทั้งกลายเป็นฟันเฟืองตัวสำคัญยิ่งยวดตัวหนึ่งในสายโซ่อุปทานของโลก (global supply chain)
       
       นิคมอุตสาหกรรม 7 แห่งในปทุมธานี, นนทบุรี และ อยุธยา ต้องปิดตัวลงเพราะกระแสน้ำหลากเข้าท่วม ส่งผลให้คนงานราว 650,000 คนต้องตกงานชั่วคราว และทำให้โรงงานอุตสาหกรรมทั่วโลกประสบภาวะชะงักงัน ตั้งแต่อุตสาหกรรมรถยนต์จนถึงดิสก์ไดรฟ์
       
       บริษัทโตโยต้า ถูกบังคับให้ต้องตัดลดการผลิตรถยนต์ในอเมริกาเหนือ ทั้งนี้มีบริษัทอุตสาหกรรมการผลิตญี่ปุ่นประมาณ 1,800 แห่งทีเดียวเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในประเทศไทย และจำนวนมาก เป็นต้นว่า แคนนอน อิงก์, ไพโอเนียร์, และ โซนี่ คอร์ป ต่างได้รับความลำบากถึงขั้นประสบภาวะชะงักงันทางด้านการผลิตหรือการขนส่งแจกจ่ายสินค้า
       
       เลอโนโว กรุ๊ป บริษัทจีนที่มีฐานะเป็นผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีมากเป็นอันดับสองของโลก แถลงว่า น้ำท่วมในไทยจะทำให้ซัปพลายด้านฮาร์ดดิสก์ ไดรฟ์ ขาดแคลนในช่วงประมาณเดือนมีนาคมปีหน้า บริษัทแห่งนี้เป็น 1 ในบริษัทใหญ่ๆ หลายสิบแห่งทั่วโลกที่แจ้งว่าได้รับผลกระทบในลักษณะนี้
       
       ความเชื่อมั่นของบริษัทต่างชาติเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่ออนาคตทางการเมืองของยิ่งลักษณ์ ในขณะที่ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ
       
       สิ่งที่ท้าทายในมุมมองของนักวิเคราะห์การเมืองก็คือ นายกฯยิ่งลักษณ์จะสามารถสั่งการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เพื่อชดเชยความสูญเสียในภาคอุตสาหกรรม, ภาคธุรกิจ และชุมชนที่ได้รับผลกระทบได้หรือไม่, จะเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนคืนมาได้มากน้อยแค่ไหน และจะหาทางป้องกันไม่ให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นอีกได้อย่างไร
       
       “สิ่งสำคัญในขณะนี้ คือ แผนจัดการในระยะยาว เพราะเราจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งถ้าทำได้ทุกอย่างจะจัดการง่ายขึ้น” นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง กล่าว
       
       ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มีการขาดดุลงบประมาณปี 2555 ราว 400,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาฟื้นฟูประเทศหลังน้ำลด
       
       “ระบบชลประทานของเราถูกออกแบบเพื่อใช้ในภาคเกษตรกรรม, ผลิตน้ำประปา และผลิตไฟฟ้า แต่จากนี้ไปเราจะต้องปรับปรุงให้สามารถรองรับอุทกภัยที่เกิดจากพายุและน้ำท่วมขังได้ นี่คือสิ่งงสำคัญที่สุด” นายธีระชัย บอก
       
       คาดหมายกันว่า แผนการใช้จ่ายฟื้นฟูหลังน้ำท่วมน่าจะผ่านการอนุมัติของรัฐสภาที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ครองเสียงสองในสามในสภาผู้แทนราษฎรอยู่แล้ว ทว่ามันก็ยังคงมีอุปสรรคอีกมากมาย

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #505 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2554, 10:39:21 »

บทความ "เอิน กัลยกร" ถึงนายกฯ ซัดทำภาพลักษณ์ผู้หญิงตกต่ำ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 ตุลาคม 2554 05:08 น.    

      
"เอิน กัลยกร" เขียนบทความถึงนายกฯ ซัดสอบตกทุกด้าน ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้นำประเทศ แต่ทำภาพลักษณ์ผู้หญิงตกต่ำ ทำให้เห็นว่าผู้หญิงอ่อนแอ ไม่สามารถเป็นผู้นำได้ พร้อมตั้งข้อสงสัยที่ผ่านมาบริหารพาบริษัทรอดมาได้อย่างไร หรือว่าไม่ได้ทำงานเอง เหน็บถ้าไม่มี "พี่ชาย" ป่านนี้คงทำได้แค่นั่งสวยรอให้สามีชื่นชม
       
       เมื่อวันที่ 26 ต.ค. น.ส.กัลยกร นาคสมภพ หรือที่รู้จักกันในนาม "เอิน กัลยกร" อดีตนักร้อง - นักแสดง ชื่อดัง ได้เขียนบทความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว (Kalyakorn Earn Naksompop) ชื่อเรื่องว่า "จากผู้หญิง (ธรรมดา) ถึงผู้หญิง (ที่เป็นนายก)"  จนกระทั่งบทความได้ถูกเผยแพร่ต่อเป็นจำนวนมาก เนื้อหามีดังนี้
       
       "ตอนแรกก็ว่าจะเก็บไว้เขียนหลังน้ำท่วม ..แต่ก็นะ เราก็ไม่รู้ว่าวันนั้นมันจะถึงเมื่อไหร่ ที่สำคัญคือ หลังจากที่ได้ดู นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ออกแถลงการณ์ทางทีวีเมื่อคืนี้ ...บอกตรงๆ ละเหี่ยใจ และอดใจไม่ให้เขียนบทความนี้ไม่ได้แล้ว
       
       คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย
       
       จริงๆ ตอนที่คุณยิ่งลักษณ์ได้ตำแหน่ง ผู้หญิงทั้งในและต่างประเทศ ก็รู้สึกยินดีที่ประเทศไทยได้มีนายกหญิงคนแรก เราเองได้เขียนลงเฟซบุ๊คว่า ส่วนตัวไม่ถือว่าคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกหญิงคนแรก เหตุเพราะคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้รับการเลือกตั้งเพราะความสามารถของเธอเอง แต่เป็นเพราะคนต้องการผู้ชายที่อยู่เบื้องหลังเธอต่างหาก ประชาชนที่เลือกเธอ ไม่ใช่เพราะชื่อ “ยิ่งลักษณ์” แต่เป็นเพราะนามสกุล “ชินวัตร” ที่เป็นสิ่งการันตีว่าเธอคนนี้คือ “สายตรง” ดังนั้นเราจะนับว่าคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกไม่ได้
       
       เราจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกจริงๆก็ต่อเมื่อ เธอคนนั้นต่อสู้ฟันฝ่ามาด้วยตัวเอง และพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า “ผู้หญิงคนนี้มีความสามารถที่จะเป็นผู้นำประเทศได้” เท่านั้น
       
       แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ สรุปว่า ประเทศไทยได้มีนายกรัฐมนตรีหญิงประดับประวัติศาสตร์กับเขาเสียที และจากวันที่เธอรับตำแหน่ง เราก็ควรจะดูแต่ผลงานของรัฐบาลภายใต้การนำของเธอคนนี้ ซึ่งแรกๆ นั้นเป็นไปได้ด้วยดีค่ะ คุณยิ่งลักษณ์ แม้จะดูไม่แข็งแรงห้าวหาญ แต่เธอมีความละมุนในบุคลิกที่ทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลซึ่งเต็มไปด้วยบุคคลที่เป็นที่กังขาของสังคมดูดีขึ้น แม้นโยบายของเธอจะเป็นที่ถกเถียงในวงกว้าง แต่ก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อยู่ที่ว่าใครมองมุมไหน แต่เวลาเธอไปเยี่ยมประเทศเพื่อนบ้านแล้วถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์นี่สิคะ แม๊... ดูดี
       
       สรุปว่าภาพลักษณ์ดูดีขึ้น เพราะเรามีนายกหญิงที่ดูดี ดูสง่า เป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศไทย
       
       จำได้ว่าตอนหาเสียง ผู้สนับสนุนเธอชอบบอกว่าเธอนี่แหล่ะ ที่จะเป็น “สตรีขี่ม้าขาว” ที่จะเข้ามากอบกู้ประเทศไทย ตามคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
       
       แม้ไม่ได้สนับสนุนพรรคเธอ ก็แอบหวังลึกๆ ว่า “เป็นจริงก็ดี” ถึงตอนนี้ ถ้ามีคนที่สามารถพาประเทศไทยฝ่าวิกฤติทางการเมืองไปได้ จะเป็นใครมาจากฝั่งไหนก็สนับสนุนทั้งนั้น ยิ่งเธอปะยี่ห้อว่าเป็นผู้หญิงคนแรก ที่ได้รับหน้าที่สำคัญที่สุดในประเทศ คือการรับผิดชอบดูแลคนกว่า 70 ล้านคน งานใหญ่นะคะ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงทำงานด้วยกัน ก็แอบเชียร์อยู่ อยากให้เธอเป็นนารีขี่ม้าขาวจริงๆ ประเทศเราจะได้ก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงเสียที
       
       แต่แล้วอุทกภัยก็มาถึง มวลน้ำมหาศาลที่เข้ามาท้าทายความสามารถในการเป็นผู้นำของคุณยิ่งลักษณ์ ผลเป็นอย่างไร ...ไม่ต้องอธิบายให้มากความ
       
       ไม่ใช่แค่คุณยิ่งลักษณ์สอบตกทุกด้าน ในฐานะที่เป็นผู้นำของประเทศ เธอยังทำให้ภาพลักษณ์ของผู้หญิงนั้นเสียหาย

       
       ผู้ชายอาจจะไม่เข้าใจ แต่การเป็นผู้หญิงทำงาน เพื่อจะพิสูจน์ว่าตัวเองมีความสามารถ เหมาะสมกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย หลายคนต้องทำงานหนักกว่าผู้ชาย หลายคนต้องใช้เวลามากกว่าผู้ชาย เพื่อจะลบอคติที่ว่า “ผู้หญิงอ่อนแอ” หรือ “ผู้หญิงมีดีได้แค่สวย” เป็นผู้หญิง ต้องทนคนที่เข้ามาหวังหาเศษหาเลย ต้องปกป้องตัวเองโดยต้องไม่ให้กระทบกับงาน ในขณะเดียวกันก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเราเก่งพอ เพราะเราไม่สามารถไปนั่งกินเหล้า ”เที่ยวผู้หญิง”กับเจ้านายเหมือนผู้ชายคนอื่นได้ เพราะเราไม่สามารถเล่นมุกฮาแบบลามกเต็มที่เหมือนผู้ชายคนอื่นได้ เราไม่สามารถมีช่วงเวลาส่วนตัวขนาดนั้นกับเจ้านายหรือผู้มีอำนาจซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายได้ เราจึงต้องใช้ความสามารถเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์
       
       หลายคนอาจจะบอกว่านี่มันยุคนี้แล้ว ไม่มีแล้วเรื่องความไม่เท่าเทียม ...มีค่ะ ยังมีอยู่ เป็นผู้หญิงค่ะ ทำงานค่ะ และยังเจอทุกสิ่งอย่างที่พูดมากับตัวเองค่ะ และไม่ใช่ผู้เขียนคนเดียวที่เจอ จึงได้เข้าใจและพูดได้
       
       คุณยิ่งลักษณ์ ในฐานะที่เป็นผู้หญิง นอกจากจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นนายกที่ดีได้ ยังต้องพิสูจน์ด้วยว่า “ความสามารถไม่เกี่ยวกับเพศ” คุณเป็นนายกหญิงคนแรกนะคะ คุณแบกรับภาพลักษณ์ตรงนี้เอาไว้อยู่ค่ะ คุณต้องลุย (ลุยจริงๆ ไม่ใช่แค่ลุยออกสื่อ) คุณต้องแข็งแรง และคุณต้องเก๋า ...ต้องเอาให้อยู่
       
       ...แต่คุณยิ่งลักษณ์ทำไม่ได้ค่ะ
       

       การที่สื่อที่เป็นผู้ชายไม่กล้าว่าหนักๆเหมือนที่ว่านักการเมืองคนอื่น หรือนักวิชาการไม่กล้าวิจารณ์แรงๆเหมือนที่วิจารณ์นักการเมืองผู้ชาย เพราะเกรงว่าจะเป็นการ “รังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ” หรือพราะ “สงสาร” ก็ตาม คือหลักฐานว่ามันมีเส้นหนาๆกั้นอยู่ระหว่างเพศชายและหญิง ส่วนตัวนายกเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะเธอออกมาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยแข็งแรง ด้วยคำพูดที่ไม่เคยเข้มแข็ง และด้วยข้อความที่ไม่เคยชัดเจน นอกจากนั้นเธอยังไม่เคยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการคิดเองได้เลย
       
       เธอทำให้เห็นเลยว่า ความละมุนของเธอนั้น จริงๆแล้วมาจากความอ่อนแอ
       
       คุณยิ่งลักษณ์ตอกย้ำทุกวัน ว่าผู้หญิงอ่อนแอ ว่าผู้หญิงพูดจาเป็นงานเป็นการไม่รู้เรื่อง ว่าผู้หญิงคุมลูกน้องไม่ได้ ว่าผู้หญิงตัดสินใจไม่เป็น ว่าผู้หญิงเป็นผู้นำไม่ได้ สิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์ทำ หรือทำไม่ได้ ตอกย้ำว่าผู้หญิงทำงานใหญ่ไม่ได้ ว่าผู้หญิงสุดท้ายก็เป็นได้แค่ผู้หญิงวันยังค่ำ ที่ได้แต่แต่งตัวสวยไปวันๆโดยที่ทำอะไรไม่เป็น ...เสียค่ะ เสียหายอย่างยิ่ง
       
       ลองนึกดูนะคะ แม้ในอนาคตจะมีผู้หญิงที่มีความสามารถ แต่ใครจะอยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย มันขยาดนะคะ ประมาณว่าทดลองแล้ว ไม่สำเร็จ ก็จบแล้ว ยิ่งถ้าคนที่ไม่มีแบ๊คใหญ่ขนาดแบ๊คของคุณยิ่งลักษณ์ ยิ่งไม่ต้องหวัง
       
       แล้วก็พาลสงสัย ว่าประวัติที่ผ่านมาของคุณยิ่งลักษณ์ ก็เป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่ระดับประเทศทั้งนั้น แล้วบริษัทเหล่านั้นรอดมาได้อย่างไร สงสัยแม้กระทั่งว่าคุณยิ่งลักษณ์เคยทำงานเองจริงๆหรือไม่ หรือได้แค่ใช้วุฒิการศึกษาที่ดูดี แต่งตัวดีๆ แต่งหน้าดีๆ ไปนั่งเฉยๆ ให้บริษัทนั้นดูภาพลักษณ์ทันสมัยขึ้น แค่นั้น? ...ถามจริงๆเถอะ ความสามารถในการสื่อสารและการทำงานระดับนี้
       ถ้าไม่มี “พี่ชาย” คอยผลักคอยดันอยู่ข้างหลัง ป่านนี้คุณยิ่งลักษณ์จะทำอะไรอยู่ที่ไหน? ให้เดานะคะ ...แต่งตัวสวยๆ กลางวันไปช็อปปิ้ง ไปสปา กลับมานั่งสวยรอให้สามีชื่นชม
       
       สรุปคือผิดหวังค่ะ เสียใจ และรู้สึกแย่ที่ผู้หญิงซึ่งได้รับตำแหน่งใหญ่ขนาดนี้คนแรก กลับทำให้ภาพลักษณ์ของผู้หญิงด้วยกันตกต่ำลงกว่าเดิม แต่งตัวสวยๆ หน้าผมเป๊ะนั้นไม่ผิดหรอกค่ะ ที่ผิดคือทำได้แค่นั้นจริงๆ
       
       ยอมรับค่ะ ว่าการที่เขียนบทความนี้ขึ้นมาก็กลัวเหมือนกันว่าจะมีผลกระทบกับชีวิต ว่าอาจจะมีผู้สนับสนุนนายกออกมาล่าหัว โทษฐาน “วิจารณ์ผู้นำอันเป็นที่รักยิ่ง” แต่ต้องพูดค่ะ พูดอย่างเป็นกลางโดยไม่ฝักฝ่ายทางการเมือง พูดในฐานะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยที่สามารถวิจารณ์ฝ่ายการเมืองได้ ...พูดในฐานะที่เป็นผู้หญิง
       
       ย้ำนะคะ ไม่ว่าคุณยิ่งลักษณ์จะมาจากพรรคไหนก็ตาม หากได้เป็นนายกแล้วทำงานอย่างนี้ ก็จะออกมาพูดแบบนี้เหมือนกัน
       
      เพราะคุณยิ่งลักษณ์ได้พิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ได้ขี่ม้าขาว และเธอไม่ใช่สตรีในตำนาน (ก็อย่างที่คนข้างตัวเคยพูดไว้) สุดท้าย คุณยิ่งลักษณ์ ก็เป็นได้แค่ “สตรีขี่ม้าน้ำ” เท่านั้น"

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #506 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2554, 22:25:42 »

ขอให้ผมเป็นฝ่ายคิดไปเองเถิดนะครับ

 ผมตั้งข้อสังเกตว่าน้ำท่วมคราวนี้มีส่วนคล้ายเหตุการณเผาเมืองปีที่แล้ว
เริ่มจากการบริหารน้ำในเขื่อน เหมือน รื้อ รั้วบ้านออกไป เวลาเกิด ภัยจึงเดือดร้อน
การบริหารจัดการที่พยายามทำเรื่องให้ยุ่งยากล่าช้าขึ้น
ศปภตั้งมา 1 เดือนแล้วนอกจากทำงานเหมือนตลกเชิญยิ้มแล้วยังกีดกันไม่ให้คนอื่นมาทำงานด้วยเช่นthaiflood  ทนไม่ไหวถึงกับถอนตัว

·      การทำงานเริ่ม จาก ทองไม่รู้ร้อน ไม่ อีนังขังขอบกับ ภัยของประชาชน

·      จากนั้น โกหก เพื่อ ป้องกันความตื่นตระหนก เช่น กรณี นวนคร

·      ต่อมา แจ้งข่าวว่า จะเกิดอะไรขึ้น (หลังจากที่ประชาชนทราบข่าวเรียบร้อยแล้ว จากสื่อ อื่นๆ)


ทิศทางน้ำเดินวนไปเวียนมา กว่าจะออกทะเลอีกเป็นเดือน
กีดกันกั๊กของบริจาคเพือเอาหน้า
ครอบงำสื่อสารพัดยังดีว่าไม่สามารถครอบโซเชี่ยลมีเดี่ยได้
ตำรวจหายสาบสูญปล่อยคนปล้นจี้กันตามสบายเช่นแถวปทุมบางบัวทองรถจอดหนีน้ำกันตามสบายทุกสะพานทางด่วน ปีก่อนห้างที่ไฟไหม้จนวอดแค่ข้ามถนนไปก็เจอกรมตำรวจแล้ว


ไม่มีการบอกว่ารัฐบาลจะทำอะไรมีแต่บอกว่าจะทำให้ดีที่สุด
ความขัดแย้งเกิดขึ้นโดยทั่วไปตั้งแระหว่างฝ่ายการเมืองกับข้าราชการแบบว่าสั่งให้เขาไปขุดดินมือเปล่าสั่งให้ไปเปิดประตูน้ำแต่ปล่อยชาวบ้านแถวนั้นมารุมอัดเจ้าหน้าที่
แม้รมตก็ทะเลาะกันเองแย่งกันแสดงความคิดเห็นแย่งกันแจกของบริจาค
แม้ต่างชาติจะยื่นมือมาช่วยก็ทำเป็นเฉยๆไม่ตื่นเต้น
คราวก่อนใครจะออกไปดับไฟไหม้จะโดนลอบยิง   อาคารหลายแห่งเลยโดนไฟไหม้จนวอด

 ทีแรก ผมคิดว่า ผู้นำ และ ทีมงานโง่  แต่ เมื่อ วาน ผมได้ ข้อ สังเกต และ ข้อ สรุปว่า ไม่ใช้เช่นนั้น ผมคิด(ไปเองว่า)

·      มีการวางแผนทำลายประเทศอย่างบูรณาการ

·      ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก

·      คนขอเข้ามาช่วย ก็เพิกเฉย ไม่สนใจ

·      กีดกันความช่วยเหลือ เท่าที่ทำได้ที่ดังคือ Thai Flood ถอนตัว  อเมริกา ถอนตัว

·      ไม่มีการร่วมแรงแข็งขันว่าจากนี้ จะทำอย่างไร แบบรูปธรรม จัดต้องได้ มีแต่ สั่งให้คนอื่นไปทำ แบบ สั่งให้ คนไปขุดดินมือเปล่า เช่น ให้ กรมชลไปบริหารน้ำโดยลำพัง

·      ผู้นำ และ ทีมงานสามารถทนได้ กับความเดือดร้อนตั้งแต่ อยุธยา อ่างทอง จะ 2เดือนแล้วครับ ส่วนบางบัวทอง ปทุม ปล่อยให้อยู่กันตามยะถากรรม โจร  ขโมย ปล้น กันตามสบาย

·      จังหวัดที่ติดกรุงเทพ ล้วนเดือดร้อน คนกรุง ไป แย่งกิน แย่งใช้ ที่พักเต็มหมด

 คนที่โดนน้ำท่วมเดือดร้อนอย่างที่เห็นกันใน ทีวี

แต่ คนที่น้ำยังมาไม่ถึง กำลัง ประสาทกิน อีกเป็น ล้านครอบครัว ตอนนี้ทุกอย่างหยุดชะงักหมด

ดังนั้น น้ำ จะ ค่อยๆ ระ บาย อย่างช้าๆ ผม คาดว่า เรา จะ อยู่อย่างงี้ไปอีก 3-4 สัปดาห์  จนอ่วม  จนอ่อนล้า  คนอ่อนแอ สิ้นหวัง ปกครองง่ายนะครับ

พอน้ำลด จะมี เทพ มาจากต่างแดน บอกว่าจะ กลับมาเนรมิต ให้ทุกอย่างกลับมาดังเดิม  วันที่กลับมา จะมี การปะทะกันอีก แบบ เหลืองแดง เพราะคราวนี้ คนเดือดร้อน คับแค้น ร่วม 10 ล้านครัวเรือน ส่วนทางโน้น มี ลิ่วล้อ แดงไว้ คอย รับมืออยู่แล้ว


 ผมใช้เวลานานมาก ใน การ ตัดสินใจว่า จะ แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้หรือไม่
แต่ ตกลง ทำไป เพราะ เชื่อ ว่า ผลดี มากกว่าผลเสีย
 การรู้ก่อนว่าจะมี พายุใหญ่ ย่อมดีกว่า ไม่รู้ไม่คาดคิด


ขอให้ ดูแล ตัวเองและครอบครัวให้ดีนะครับ ไว้น้ำก็ลด   ตามข่าวก็ พอสม พอควรอย่าเกาะติด เดี๋ยวจะบ้าเสียก่อน
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #507 เมื่อ: 30 ตุลาคม 2554, 21:14:56 »

แก้ท่วมเด่นเกินหน้าเชือดไก่ผู้ว่าฯปทุมฯ

    27 ตุลาคม 2554 เวลา 08:02 น. |
   
โดย...ทีมข่าวการเมือง posttoday.com

อยู่ดีๆ กระทรวงมหาดไทยก็มีเรื่องให้ตื่นเต้น เมื่อมีคำสั่งสายฟ้าแลบ ย้าย “พีระศักดิ์ หินเมืองเก่า” ผวจ.ปทุมธานี เข้ากรุผู้ตรวจราชการกระทรวง โดยที่ไม่มีสัญญาณอะไรก่อนหน้านี้ และหากว่ากันตามตรงแล้ว ค่อนข้างผิดธรรมเนียมประเพณีของกระทรวงคลองหลอดแห่งนี้ ที่จะโยกย้ายสักทีก็ต้องโยกย้ายกันเป็นบัญชีใหญ่ถึงขั้น 40-50 ตำแหน่ง เพราะเมื่อสิ้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา มีข้าราชการระดับ 10ซึ่งมีตั้งแต่อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการกระทรวง เกษียณอายุราชการวมกันมากกว่า 20 ตำแหน่ง ไม่นับรวมถึงรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกษียณอายุราชการอีก 20 ตำแหน่งเช่นเดียวกัน

อันที่จริงชื่อชั้นของ “พีระศักดิ์” ติดอยู่ใน “แบล็กลิสต์” อยู่แล้ว เนื่องจากเติบโตแบบก้าวกระโดดในยุคที่พรรคภูมิใจไทยครอบครองอำนาจปกคลุมกระทรวงมหาดไทยในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์มาโดยตลอด เพราะถูกเลือกให้เป็น ผวจ.บุรีรัมย์ เมืองหลวงของพรรคภูมิใจไทย ตั้งแต่ปี 2552 และหลังจากดำรงตำแหน่งเพียงปีเดียวเท่านั้น ก็ได้ขึ้นเป็น ผวจ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นจังหวัดเกรดเอทันที ทำให้ทุกฝ่ายหมายตาว่าเก้าอี้ของพีระศักดิ์นั้น หากมาด้วยตัวเองคงไม่มีใครดันขึ้นมาได้ไกลจนถึงขนาดนี้

เมื่อฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดง รัฐบาลใหม่เข้ามาควบคุมมหาดไทยแทน นอกจากจะมี “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” อดีตปลัดกระทรวงฯ เป็น รมว.มหาดไทยแล้ว ยังหอบเอา “ชูชาติ หาญสวัสดิ์” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองปทุมธานีมาเป็น มท.2ด้วย ซึ่งทุกครั้งที่ชูชาติมอบนโยบายหรือไปเป็นประธานการประชุมที่ไหน ก็จะหยิบยก “ปทุมธานี” ขึ้นมาเป็นตัวอย่างในการแก้ปัญหาที่ “ไม่บูรณาการ” ทุกครั้ง เพราะผู้ว่าฯ มาแล้วก็ไป ไม่เคยสนใจจะรู้พื้นที่จริง และมักจะพูดว่า ความสำเร็จทุกอย่างที่เกิดขึ้นใน จ.ปทุมธานีไม่เคยมาจากข้าราชการประจำ หรือผู้ว่าฯ เลย แต่เกิดจากฝ่ายการเมืองเท่านั้น!

 


เสียวสันหลังไปถึงพีระศักดิ์ จนมีคำร่ำลือมาจากศาลากลางปทุมธานี ว่าเขาเริ่มแพ็กของเตรียมไปรับตำแหน่งผู้ตรวจตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย. ซึ่งเข้าใกล้ฤดูกาลโยกย้ายของกระทรวงมหาดไทย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีคำสั่งลงมาเสียที เนื่องจากเกิดมหาอุทกภัยขึ้นก่อน

“ปทุมธานี” เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ต้องรับน้ำเหนือเต็มๆ ต่อมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งพีระศักดิ์เองก็ออกแอ็กชันเต็มที่จนประทับใจ “อารี ไกรนรา” เลขานุการ รมว.มหาดไทย ที่เอ่ยปากชมให้ฟังว่า พีระศักดิ์นั้นตั้งใจทำงาน และรู้พื้นที่ใน จ.ปทุมธานี ดีมากคนหนึ่ง ถึงกับควงกันขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจพื้นที่กัน 2-3 ครั้ง จนสนิทสนมกันแนบแน่น และยิ่งพีระศักดิ์เป็น “สิงห์ทอง” จบการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจูนกันได้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น จนมีเสียงเล็ดลอดออกมาจากผู้มีอำนาจของกระทรวงมหาดไทยออกมาแล้วว่า “ทำงานดีขนาดนี้ ให้อยู่ที่เดิมแก้ปัญหาไปก่อนก็แล้วกัน”

จนกระทั่ง “มหาอุทกภัย” คืบเข้าใกล้ จ.ปทุมธานี จริงๆ บทบาทของพีระศักดิ์ก็มากขึ้นตามไปด้วย

วันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะถูกน้ำท่วมจนเสียหายทั้งหมดเพียง 2 วัน พีระศักดิ์ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนว่า น้ำจะท่วม จ.ปทุมธานี นั้น จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีพายุลูกใหญ่อย่างพายุเกย์ผ่านกลางเมืองเท่านั้น เมื่อส่งเสียงผ่านออกมาทุกคนก็มั่นใจเต็มที่ว่า จ.ปทุมธานี จะต้องรอดพ้นจากปัญหาน้ำท่วมแน่นอน และจะส่งผลทำให้ “กรุงเทพฯ” ปลอดภัยตามไปด้วย

แต่ถัดจากนั้นมาเพียงไม่กี่วัน จ.ปทุมธานีก็เริ่มเอาไม่อยู่ เมื่อน้ำเริ่มลงต่ำเข้ามาเรื่อยๆ ท่วมลามไปตั้งแต่บ้านเรือนในเขต อ.สามโคก คลองหลวง ลาดหลุมแก้ว ธัญบุรี ท่ามกลางข่าวลือและข่าวจริงที่ว่ามีชาวบ้านมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากเพื่อขัดขวางการเปิดปิดประตูระบายน้ำ และการทำลายคันกั้นน้ำ เพื่อไม่ให้น้ำท่วมพื้นที่ของตัวเอง จนบางพื้นที่ถึงกับมีข่าวว่านำอาวุธปืนมาจ่อเจ้าหน้าที่กรมชลประทานและเจ้าหน้าที่ของจังหวัด จนเกิดเป็นโมเดล “ผู้มีอิทธิพลขวางทางน้ำ” ขึ้นมา เพราะ จ.ปทุมธานี นั้นมี สส.เป็นรัฐมนตรีถึง 2 คน นอกจาก “ชูชาติ” แล้ว ยังมี “สุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล” เป็น รมช.ศึกษาธิการ รวมถึง สส.ปทุมธานีทั้ง 6 คนก็ล้วนเป็น สส.พรรคเพื่อไทยยกจังหวัด

ถึงขั้นพีระศักดิ์ร้องไห้ออกทีวีว่า “ไม่ต้องเอาผมไว้ในตำแหน่งก็ได้ แต่ขอให้จังหวัดผมรอดก็พอ” และขอให้ยก จ.ปทุมธานี ให้ทหารเป็นคนจัดการแทน หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ขอให้ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ดูแลจังหวัดแทนเขาเพื่อยุติเหล่าผู้มีอิทธิพล เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขาถูกกดดันเป็นอย่างหนักจากทั้ง สส.ในพรรคและผู้ใหญ่ในศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.)

ผ่านมาเกือบ 2 สัปดาห์ พีระศักดิ์ก็ถูกเด้งจริง ท่ามกลางเสียงครหามากมายว่าเป็นการ “เปลี่ยนม้ากลางศึก” และถูกตั้งคำถามอย่างหนักหน่วงว่า เพราะเหตุใดถึงจะต้องย้ายพีระศักดิ์ที่มีภาพของคนทำงานเพื่อปกป้องจังหวัดจนวินาทีสุดท้ายมาตลอด โดย “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” มท.1 ตอบง่ายๆ สั้นๆ ว่า เหตุที่ย้ายพีระศักดิ์เข้าไปนั่งในกระทรวงนั้น เพราะพีระศักดิ์เหนื่อยกับการแก้ปัญหาน้ำท่วมมามากแล้ว

แต่ก็ถูกข้าราชการในกระทรวงมหาดไทยและสื่อมวลชนวิจารณ์กันระงมไปหมดว่า ถ้าย้ายเพราะพีระศักดิ์เหนื่อยจากน้ำท่วม ทำไมจึงไม่ย้าย ชัยโรจน์ มีแตง ผวจ.นครสวรรค์ วิทยา ผิวผ่อง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา หรือผู้ว่าฯ จังหวัดอื่นๆ ที่เหน็ดเหนื่อยจากการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมตามไปด้วย เพราะคงไม่ใช่มีพีระศักดิ์คนเดียวที่เหนื่อย

วันรุ่งขึ้นยงยุทธจึงตอบแก้เกี้ยวไปว่า เหตุที่ย้ายพีระศักดิ์ก็เพื่อกระชับการประสานงานระหว่างกระทรวงมหาดไทยและ ศปภ.ให้ทำงานกันได้ใกล้ชิดมากขึ้น แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วทุกคนก็รู้ดีว่า รัฐบาลเพื่อไทยไม่พอใจพีระศักดิ์ เนื่องจากค่อนข้างเป็นคน “กร้าว” และ“ดื้อรั้น” รวมถึงมักจะพูดตรงๆ ทำให้หลายครั้งดูเหมือนเป็นการให้ร้ายรัฐบาล

แม้พีระศักดิ์จะยอมรับการโยกย้ายโดยดุษฎี และไม่ขออุทธรณ์คำสั่งใดๆ ทั้งสิ้น แต่แน่นอนว่า นี่คือการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” ของ “ยงยุทธ” ที่ย้ำเตือนให้รู้ว่า ต่อแต่นี้ไปข้าราชการมหาดไทยห้าม “ขัดคำสั่งนักการเมือง” และห้าม “เด่นเกินหน้าเกินตา” อีกต่อไปแล้วจะสามารถทำงานกันต่อไปได้ราบรื่น!

 

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #508 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2554, 10:17:02 »

พระเอกสรยุทธ์-นางเอกปู กับน้ำท่วมตอผุด
โดย บัณรส บัวคลี่    31 ตุลาคม 2554 13:48 น. ผู้จัดการออนไลน์   


      
เวลาผ่านไปไวจริง ๆ เผลอแผล็บก็ผ่านไปปีนึงแล้วจนหลายท่านอาจจะจำไม่ได้แล้วว่าช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว(2553) ก็เกิดอุทกภัยน้ำท่วมพื้นที่ภาคกลางของประเทศแบบที่เกิดคราวนี้แหละ
       
       ในตอนนั้นสื่อจำนวนมากทั้งสื่อดริฟท์ สื่อดราม่า สื่อการเมืองต่างพากันพรรณนาเสียใหญ่โตบ้างก็ยกให้เป็นสถิติพิบัติภัยจากน้ำในรอบหลายสิบปี บ้างเอาเรือไปถึงที่เกิดเหตุป้ายน้ำตาหยดแหมะ ๆ เพื่อรายงานความทุกข์ยากแสนสาหัสของพี่น้องผู้ประสบภัย ไปถึงที่ไหนเอาไมค์จ่อปาก เดือดร้อนไหม ลำบากไหม มีใครมาช่วยยัง ต้องการอะไร ? เรตติ้งของสื่อที่รายงานเรียบ ๆ ไม่หวือหวาเอาเฉพาะเนื้อ ๆ ว่าเป็นน้ำท่วมตามปกติไม่มีใครอยากฟังหรอกกดรีโมตหนีมาดูรายงานของสื่อดราม่ากันสนุกกว่า
       
        ช่วงนั้นรัฐบาล ปชป.เองก็ไม่ได้เรื่องได้ราวเท่าไรนักหรอกเพราะขยับตัวช้า(ดูเหมือนไม่รู้สึกรู้สาด้วยซ้ำ) ไม่เหมือนภาคเอกชนที่ขยับเร็วกว่าจึงไม่แปลกที่ สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา จึงมีบทบาทโดดเด่นทั้งเรื่องการส่งทีมไปปาดน้ำตารายงานความทุกข์ยากแสนสาหัสลุยน้ำกันเห็น ๆ ออกทีวีเช้าเย็นลากข้าราชการที่เกี่ยวข้องมาสั่งราชการทางอ้อมแถมด้วยตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยช่อง 3 มีการบริจาคท่วมท้น
       
       มติชนสุดฯ (ซึ่งคงไม่ต้องมาดัดจริตนิยามกันแล้วว่าเป็นสื่อสนับสนุนพรรคเพื่อไทย)ได้ทีจับสรยุทธ์มาแต่งซุปเปอร์แมนขึ้นปกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 พาดหัวเก๋ไก๋ไฉไลเกิ้นนนน..ว่า“พระเอกตัวจริง” ซึ่งไม่ต้องอธิบายต่อว่ามันมีนัยสะท้อนให้คิดต่อว่าแล้วใครล่ะที่เป็น “พระเอกตัวปลอม”และมีผลแคนนอนทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งระดับไหน !!?
       

        อันที่จริงคุณูปการของสรยุทธ์และช่อง 3 ในห้วงนั้นก็มีอยู่โดยเฉพาะการกระตุ้นให้คนไทยมีจิตสาธารณะยื่นมือมาช่วยผู้ประสบอุทกภัย แต่ในความดีงามดังกล่าวก็มีผลทางการเมืองแฝงอยู่ไม่เพียงเท่านั้นผลที่ไม่พึงประสงค์ก็มีแฝงอยู่เพราะอิทธิพลของสื่อหลักมีผลตรงต่อทัศนคติของสังคม กระแสการรายงานแบบดราม่าทำให้ภาพของปัญหาน้ำท่วม(ที่เป็นเรื่องปกติมาก ๆ ของคนที่ราบภาคกลาง)กลายเป็นสภาวะไม่พึงประสงค์เป็นสิ่งแปลกแยกเป็นปัญหารันทดเป็นความทุกข์ยากแสนสาหัส ฯลฯ ขึ้นมา
       
        ผมเชื่อของผมว่าการ Built ของสื่อดราม่าที่บ่มสังคมไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงที่ผ่านมาเป็นปัจจัยสำคัญส่งผลต่ออาการตื่นตระหนก Panic เกินเหตุของคนกรุงในปีนี้นอกเหนือจากปัจจัยที่เมืองกรุงฯ ว่างเว้นจากศึกน้ำมาหลายปีจนคนรุ่นใหม่แทบไม่มีประสบการณ์รับมือกับน้ำท่วมเลย
       
        ในที่สุดกาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่าคำพรรณาของสื่อแบบดราม่าเมื่อพ.ศ. 2553 ในทำนองว่านี่เป็นน้ำท่วมสาหัสในรอบหลายทศวรรษ ท่วมมากท่วมใหญ่อะไรทั้งหลายแหล่เร้าอารมณ์ให้คนตาตื่นนั้นมันแค่เด็ก ๆ เมื่อเทียบกับภาวะผลกระทบและพื้นที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นในปีนี้
       
        น้ำท่วมรอบนี้สาหัสจริง ๆ ทั้งต่อคนทั้งต่อเศรษฐกิจและสังคม มองในแง่ดีการที่ประชาชนส่วนใหญ่อยู่กับข่าวสารติดตามสถานการณ์น้ำย่อมทำให้เกิดความเข้าใจต่อภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ระบบของน้ำฯลฯ มากขึ้นชื่อคลองที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ได้รู้จักตอนนี้ มวลน้ำเป็นก้อน ๆ ไหลแบบไหนไปทางไหน เจ้า ลบ.ม.ต่อวินาทีนี่มันขนาดไหน ฯลฯ และที่สำคัญมีหลายเรื่องหลายประเด็นที่เราบังเกิดตาสว่างขึ้นมา
       
        ข้อมูลข่าวสารที่แพร่หลายในอินเตอร์เน็ต ในโซเชี่ยลมีเดียมีทั้งแบบบวกลบต่อรัฐบาลก็ปกติของสื่อประเภทนี้แหละครับที่ต้องมีอารมณ์ความรู้สึกและความเห็นส่วนตัวใส่ลงไป ขาที่เชียร์รัฐบาลก็พยายามจะเตือนสติกันให้ระวังการเสพข่าวจากโซเชี่ยลมีเดียและให้ดูจากสื่อที่เชื่อถือได้เช่น NBT (ฮา!) แต่โดยรวมคือขาที่เชียร์รัฐบาลอยากให้คนเลิกเสพอะไรที่มันดราม่า กระตุ้นอารมณ์ในทำนอง Emotional Report
       
       สกู๊ปเรื่อง “หยุดกวนน้ำให้ขุ่น ขวางรัฐบาลแก้อุทกภัย”ของ DNN (ทีวีแดง) ที่แพร่หลายในเฟซบุ้คตอนหนึ่งเขาก็บอกตรง ๆ ทำนองว่า “การรายงานข่าวก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำท่วมเกินจริง ไปรายงานในที่ท่วม เร้าอารมณ์ผู้ชม ข่าวควรรายงานเฉพาะข้อเท็จจริง การรายงานใช้คำว่าวิกฤตและน้ำท่วมหนักทั้ง ๆ บางแห่งไม่หนัก”
       
       ฟังสกู๊ปชิ้นนี้ปุ๊บนึกถึงสื่อดราม่าที่คนเสื้อแดงเคยชื่นชมปั๊บเลย !!
       
       ใครว่าไงไม่รู้ล่ะ ผมฟังสกู๊ปทีวีแดงเรื่องนี้ภาพแรกที่ลอยมาคือสรยุทธ์ใส่ชุดซุปเปอร์แมนเป็นพระเอกลุยน้ำท่วมท่วมกลางสมองมือที่ชูสลอนของผู้ประสบภัยที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัส !!!
       
        ทีวีแดงกล่าวไม่ผิดหรอกครับที่ว่าไม่ควรดูสื่อประเภทปาดน้ำตารายงาน วิกฤติโน่น สาหัสนี่เร้าอารมณ์ เพราะหลักการของการรายงานข่าวในสถานการณ์ภัยพิบัติไม่ควรใส่อารมณ์เร้าคนดู เพียงแต่มาพูดช้าไปหน่อยคือมาพูดเอาตอนที่รัฐบาลตัวเองมาบริหารประเทศ หากทีวีแดงรายงานเรื่องนี้เมื่อปี 2553 ตอนที่สรยุทธ์ได้รับยกย่องจากมติชนสุดฯ ให้สวมชุดซุปเปอร์แมนเป็นพระเอกตัวจริง อย่าปฏิเสธเลยว่าคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยกลับชมชอบกับวิธีการรายงานข่าวแบบดังกล่าว
       
       จนกระทั่งเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่บานปลายทะลักเข้ากรุงฯ ศปภ.ที่เคย “เอาอยู่” ก็เลิกใช้คำนี้ไปแล้วเพราะต้องขนของหนีน้ำเป็นผู้ประสบภัยเอง วิธีการรายงานข่าวแบบดราม่าปาดน้ำตาตอกย้ำคำวิกฤติสองคำก็วิกฤติกลายเป็นวิธีการรายงานที่สำนักข่าวเสื้อแดงไม่ชอบ รัฐบาลปูแดงก็ไม่ชอบ คนที่กลาง ๆ อยากฟังข่าวสารเขาก็ไม่ชอบมานาน เรตติ้งสถานีข่าวกลับตกเป็นของสถานีที่รายงานเรียบ ๆ กว้างขวางครอบคลุมไม่ใส่อารมณ์ลงไป พิบัติภัยของจริงกลายเป็นเครื่องพิสูจน์คุณภาพและความเชื่อถือวิธีการรายงานข่าวของสื่อทีวีพร้อมกันไปด้วย
       
       “พระเอกตัวจริง” ที่มาพร้อมกับ Emotional Report จึงกลายเป็นสินค้าตกยุคพ้นสมัยไปทันที เพราะขนาดสื่อแดง DNN ยังประกาศโต้ง ๆ ว่าไม่นิยมการรายงานแบบเร้าอารมณ์ น้ำท่วมรอบนี้ไม่จำเป็นให้หนังสือรายสัปดาห์ฉบับไหน “ยกใคร” หรือ “อวยใคร” ให้เกินพอดีเพราะพระเอกนางเอกตัวจริงประชาชนจิตอาสามีอยู่ทั่วไปในพื้นที่ประสบภัย และที่สำคัญน้ำท่วมรอบนี้ยังกระชากหน้ากากของนางเอก พระรอง และตัวประกอบทั้งหลายแหล่พร้อมกันด้วย
       
       นอกจากไม่มีพระเอกตัวจริงแล้ว “นางเอก”ที่นักการเมืองสอพลอจำนวนหนึ่งเคยบอกสรรพคุณกับสื่อมวลชนว่าเธอเป็นซีอีโอนักบริหารมืออาชีพเป็นหญิงแกร่งที่ผ่านกิจการหมื่นล้านมาแล้วก็ถูกน้ำพัดพาหายไปเหลือแค่หญิงกลางคนวัยสี่สิบต้นที่น่าสงสารซีดเซียวเหนื่อยล้าคนหนึ่ง
       
       เมื่อสถานการณ์สร้างวีรบุรุษได้.. สถานการณ์ก็ยังกระชากหน้ากากนางเอกได้เช่นกัน !
       
       น้ำลดตอผุดฉันใด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เคยได้รับ “คำอวย” จากคนเสื้อแดงให้เป็นสุดยอดซีอีโอนักบริหารหญิงแกร่งอะไรนั่นก็ถูกสถานการณ์น้ำพิสูจน์ล่อนจ้อนแล้วว่าเป็นแค่การยกก้นกันเองสื่อไทยสื่อเทศพูดตรงกันว่าเธอขาดภาวะผู้นำ สถานการณ์วิกฤตของประเทศระดับนี้ภาวะผู้นำเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ ของการขับเคลื่อนกลไก ของการพยุงรักษาสิ่งต่าง ๆ และต่อการนำพาประเทศให้พ้นจากหายนะภัย
       

       ในแง่ปัจเจกระหว่างคนกับคนผมเห็นใจนายกฯปู-ยิ่งลักษณ์นะครับจำเป็นต้องแบกของที่ไม่อยากแบก บางเวลาต้องกล้ำกลืนกับสิ่งที่ตัวเองไม่มีความสุขแต่เมื่อนึกถึงส่วนรวมแล้วก็จำเป็นต้องตำหนิ ประเทศชาติไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่ออฟฟิศทดลองงาน ประเทศไทยไม่ใช่ของคน 15 ล้านคนที่เลือกเพื่อไทย แต่เป็นของคนอีก 55 ล้านที่ไม่ได้เลือกด้วย
       
       น้ำท่วมรอบนี้ทำให้เราตาสว่างขึ้นหลายเรื่อง ปัญหาน้ำที่ใกล้ตัวที่สุดแต่คนจำนวนมากกลับไม่เคยมองจนกระทั่งภัยมาจึงได้เห็นว่าผังเมืองเราไม่สอดคล้องกับภูมิประเทศอย่างยิ่ง ผมนึกถึงเคยมีกลุ่มคนที่ประท้วงโครงการใหญ่อย่างไนท์ซาฟารีและพืชสวนโลกว่าตั้งขวางทางน้ำไหล และจะแย่งสูบน้ำจากพื้นที่ดอยแต่คนส่วนใหญ่ไม่ฟังเหตุผลคำคัดค้านดังกล่าวหาว่าขวางความเจริญจนมาปีนี้ 2554 กระมังที่เหตุผลทำนองว่าไม่ควรสร้างโครงการใหญ่ขวางทางน้ำจึงค่อยดังขึ้นมาในสังคม
       
       น้ำท่วมรอบนี้ทำให้คนเสพสื่อตาสว่างขึ้นว่า ทันทีที่ภัยลามมาใกล้ถึงตัวเขาจะเลือกเสพและเชื่อสื่อแบบไหน ? แบบเร้าอารมณ์หรือแบบให้ข้อมูลไม่หวือหวา
       
      น้ำท่วมรอบนี้ทำให้สิ่งที่เราเรียกว่าการเมืองในสถานการณ์ภัยพิบัติชัดเจนขึ้นมา ในยุคหนึ่งมีคนจำนวนหนึ่งชมชอบอยากเห็นการรายงานข่าวแบบเร้าอารมณ์เพียงเพื่อให้กระทบต่อรัฐบาลที่เขาไม่ชอบ แต่พอพวกเขามาเป็นรัฐบาลเองกลับต้องการสื่อที่รายงานเรียบ ๆ ไม่หวือหวาเร้าอารมณ์ และกล่าวหาว่าสื่อที่รายงานแบบดังกล่าวไม่หวังดี (ทางการเมือง) ต่อรัฐบาล
       
       แล้วเราก็ได้เห็นพระเอก-นางเอกที่เคยถูกยกย่องอวยขึ้นในสถานการณ์หนึ่งถูกน้ำของจริงพัดพาหัวโขนคำอวยออกไป ไม่เหลือภาพพระเอก-นางเอกของสังคมการตลาดดราม่า(และการเมืองดราม่า)ต่อไป
       
       โบราณท่านว่าน้ำลดตอผุดเพื่อเปรียบเปรยว่าความจริงที่เคยถูกปิดบังย่อมถูกเปิดเผยสักวันหนึ่งวันยังค่ำ ... แต่ก็น่าประหลาดแท้สำหรับเรื่องบางเรื่องในประเทศสารขัณฑ์ต้องรอให้น้ำท่วมใหญ่เสียก่อนเจ้าตอที่ว่าจึงค่อยผุดขึ้นมาให้ชาวประชาได้เห็นกัน

   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #509 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2554, 11:05:51 »

ความเชื่อมั่นไทยจ่อ เหว ต่างชาติอัด รัฐไร้น้ำยาแก้

   
posttoday.com


โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ

ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส คือหนึ่งในบริษัทหลายพันแห่งมีโรงงานจมน้ำ และออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยรับประกันให้มั่นใจว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งนับเป็นท่าทีต่อเนื่องของบรรดาบริษัทข้ามชาติ ที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งจัดการกับปัญหาน้ำท่วมใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 50 ปีโดยเร็ว

เพียงแต่ครั้งนี้นักลงทุนต่างชาติเริ่มพุ่งเป้าเป็นพิเศษไปที่ทิศทางในอนาคต กับ “ความน่าเชื่อถือของประเทศไทย” ที่เห็นได้ชัดเจนว่าเริ่มจะสั่นคลอนลงไปตามแรงกระเพื่อมของน้ำ ที่เข้ากระทบท่วมนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่งในประเทศ

“ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยขึ้นอยู่กับตรงจุดนี้ จำเป็นต้องมีการจัดทำแผนทบทวนเรื่องการป้องกันนิคมอุตสาหกรรมจากภาวะน้ำท่วมอย่างสมบูรณ์ และแผนการที่ว่านี้ก็จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้วย” ริชาร์ด ฮาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของฮานา กล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก

แน่นอนว่า Credibility หรือความน่าเชื่อถือของประเทศไทย หรืออาจสื่อความหมายได้อีกว่า “ความน่าเชื่อถือต่อศักยภาพในการแก้ปัญหาของรัฐบาลไทย” นั้น คือประเด็นที่นักลงทุนต่างชาติกำลังจับตามากที่สุดในขณะนี้ ซึ่งอาจกระทบต่อการพิจารณาหรือทบทวนแผนการลงทุนระยะยาวในประเทศไทย

หากรัฐบาลไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า ภาวะน้ำท่วมใหญ่กลืนนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่งนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อทิศทางการลงทุนของต่างชาติในไทย นับตั้งแต่เกิดนิคมอุตสาหกรรมขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ 40 ปีก่อน ซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าประเทศไทยในฐานะประเทศเกษตรกรรมให้เริ่มกลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของต่างชาติ

ดังเช่นที่ พงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า รัฐบาลอาจต้องใช้งบประมาณสูงถึง 500 ล้านบาท ในการเข้าฟื้นฟูบริษัทเหล่านี้ รวมถึงก่อสร้างโครงสร้างต่างๆ เพื่อเบี่ยงเส้นทางน้ำ

ทว่า เงินจำนวนนี้ก็ยังไม่น่าวิตกเท่ากับความเชื่อมั่นของต่างชาติต่อประเทศไทยในระยะยาว

“นักลงทุนทุกรายต่างก็สอบถามเข้ามาตลอดว่า จะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำรอยขึ้นอีกในปีหน้าหรือปีถัดไป ซึ่งเราจำเป็นต้องรับประกัน ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเขา” พงษ์ศักดิ์ กล่าวกับบลูมเบิร์ก

แม้จนถึงขณะนี้จะยังไม่มีบริษัทใดส่งสัญญาณแรงๆ ว่าจะทบทวนแผนการลงทุนในไทย แต่ตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วกับบริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งที่มีฐานการผลิตในไทย ก็อาจทำให้ใครร้อนๆ หนาวๆ ได้เหมือนกัน

ฮอนด้า มอเตอร์ คือตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนที่สุด กับตัวเลขผลประกอบการครึ่งปีงบประมาณแรก ที่มีผลกำไรสุทธิลดลงถึง 77.4% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

แน่นอนว่า ผลกำไรที่ดิ่งลงจากรายได้สุทธิที่ลดลงเหลือเพียง 9.22 แสนล้านเยน (ราว 3.51 หมื่นล้านบาท) ไม่ได้เป็นปัญหาจากน้ำท่วมในประเทศไทย ทั้งหมดนี้เป็นผลกระทบหลักๆ มาจากแผ่นดินไหวพ่วงสึนามิเมื่อเดือน มี.ค. ในหลายพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น รวมถึงปัจจัยค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นอย่างหนัก

แต่ภาวะน้ำท่วมในไทยก็เป็นตัวดับฝันของฮอนด้า และอีกหลายบริษัทที่หวังจะฟื้นกำลังการผลิตอย่างเต็มที่ช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อชดเชยความเสียหายจากแผ่นดินไหวเมื่อต้นปี

ฮอนด้า มอเตอร์ ต้องเลื่อนการเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังออกไปก่อน ระหว่างการแถลงผลประกอบการครึ่งปีแรกเมื่อวันที่ 31 ต.ค. เพราะยังต้องประเมินความเสียหายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะฮอนด้านั้น เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เพียงรายเดียวที่โรงงานผลิตรถยนต์ต้องจมน้ำเสียหาย ซึ่งล่าสุดหนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวันในญี่ปุ่น นิกเกอิ ระบุว่า ฮอนด้าอาจต้องปิดโรงงานที่น้ำท่วมนานถึง 6 เดือน

ขณะที่บริษัท ทีดีเค (TDK) ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่จากญี่ปุ่น ก็ได้ประกาศลดจำนวนพนักงานลงทั่วโลก 1.1 หมื่นอัตรา หรือราว 12% จากพนักงานทั้งหมด 8.5 หมื่นอัตรา เมื่อวันที่ 31 ต.ค. มีผลภายใน 2 ปีนี้ โดยเป็นมาตรการลดรายจ่ายเพิ่มผลกำไรให้บริษัท

แม้จะไม่ได้ระบุในเหตุผลของการเลย์ออฟรอบนี้ แต่ทีดีเคก็มีโรงงานในประเทศไทยถึง 4 แห่ง ซึ่งทั้งหมดต้องระงับการผลิตลงชั่วคราวจากปัญหาน้ำท่วม จนส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตอย่างหนัก

ทางด้านหนังสือพิมพ์วอลสตรีต เจอร์นัล ได้รายงานอ้างบรรดานักวิเคราะห์ทางการเมืองว่า การฟื้นฟูอุตสาหกรรมเหล่านี้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไรก็ตาม คือภารกิจสำคัญที่เป็นบททดสอบนายกรัฐมนตรีชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอาจรวมถึงรัฐบาลทั้งชุดหลังจากที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่กี่เดือน

ปัจจุบันโรงงานเกี่ยวกับยานยนต์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์หลายแห่งในเขตนิคมอุตสาหกรรมทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ ต้องประสบกับภาวะน้ำท่วมและได้รับความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ในไทยที่ต้องระงับการผลิตเพราะน้ำท่วมนั้น มีสัดส่วนมากถึง 1 ใน 4 ของโลก

ขณะที่ภาคยานยนต์นั้น บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 1 อย่างโตโยต้า มอเตอร์ ได้รับผลกระทบรวนเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลกทั้งในญี่ปุ่นและสหรัฐ เช่นเดียวกับฮอนด้า มอเตอร์ ที่อาจจะไม่สามารถฟื้นการผลิตเต็มรูปแบบในโรงงานที่ถูกน้ำท่วมนานถึง 6 เดือน

“การให้คะแนนในการแก้ปัญหาของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ อาจจะออกมาดีมาก หรือแย่มาก แต่จะไม่มีการตัดเกรดแบบให้ผ่านกลางๆ แน่ และหัวใจสำคัญของบททดสอบนี้ก็อยู่ที่ว่า ยิ่งลักษณ์จะจัดการกับกระบวนการฟื้นฟูครั้งนี้อย่างไร” ไมเคิล มอนเตซาโน นักวิเคราะห์จากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาในสิงคโปร์ กล่าวกับวอลสตรีต เจอร์นัล

เพราะนอกจากน้ำท่วมครั้งนี้จะกระทบต่อโรงงานกว่า 1 หมื่นแห่ง ที่ต้องหยุดการผลิตลงโดยไม่มีกำหนดแล้ว ก็ยังกระทบต่อตำแหน่งงานถึงราว 6.6 แสนอัตรา ที่เป็นหัวใจสำคัญของพี่น้องชาวไทยทั้งชนชั้นกลางและคนหาเช้ากินค่ำด้วย

ขณะที่ คริส เบเกอร์ นักเขียนและนักวิจารณ์ทางการเมืองในไทย มองว่า ยังเป็นเรื่องยากมากที่จะบอกได้ว่าลูกเต๋าจะออกมาอย่างไรสำหรับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้

“คิดว่าผลลัพธ์ที่จะออกมา ยังคงอยู่ในมือของยิ่งลักษณ์และรัฐบาล ซึ่งที่สุดแล้วอาจจะออกมาตรงข้ามกับที่นักวิจารณ์พูดไว้ก็ได้” เบเกอร์ กล่าว ซึ่งชี้ชัดว่า ณ วันนี้ รัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ยังมีโอกาสที่จะโชว์ศักยภาพแก้ปัญหา และแสดงให้เห็นความสามารถในการฟื้นฟูประเทศหลังน้ำลด

ทว่า หากโอกาสผ่านพ้นไปโดยไม่สามารถแสดงให้เห็นความน่าเชื่อถือ หรือเครดิตใดๆ ที่ประเทศไทยควรจะมีในฐานะฮับการผลิตสำคัญแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้....

ไม่นักลงทุนต่างชาติก็รัฐบาลไทย ที่อาจจะไปพร้อมกับน้ำ

 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #510 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2554, 19:38:57 »

ชะตากรรม...ผู้อพยพ

โดย : รักษ์ มนตรี mo_tri@hotmail.com

ผมเขียนคอลัมน์ขณะที่ตัวเองได้กลายเป็น "ผู้อพยพ" พร้อมครอบครัว อีก 9 ชีวิต มาอยู่ที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์

  ฟังแล้วดูดีที่ได้มาเที่ยวทะเล

 คนที่ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพน้ำท่วมบ้านหลังแรกที่บางบัวทอง นนทบุรี และอีกสองสัปดาห์น้ำก็เข้าท่วมบ้านที่เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก ไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกนี้หรอก

 การตกอยู่ในสภาพเป็น "ผู้อพยพ" ทุกอย่างมันเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องควักเงินออมออกมาใช้ ส่วนหนึ่งใช้เงินล่วงหน้าจากบัตรเครดิต และไม่มีทีท่าว่าตัวเลขจะบานปลายไปมากแค่ไหน

 นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายสำหรับการซ่อมแซมบ้านช่องให้กลับมาเอาแค่พออยู่อาศัยได้

 พ่อ แม่ ลูก จำต้องพลัดพราก ผมและภรรยา ก็ต้องทิ้งลูกๆ กลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ จะไม่เรียกว่านี่คือสภาพ "บ้านแตกสาแหรกขาด"...ได้หรือ

 ถึงกระนั้น ผมขอเป็นกำลังใจสำหรับเพื่อนสื่อคนอื่นๆ ที่ตกอยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่างกันกับผม

 ผมขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบภัย ที่ต้องพลัดพรากบ้านไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่รู้เมื่อไรจะได้กลับเข้าบ้าน
 เพื่อนบ้านบางคนสูญสิ้นอาชีพไปแม้จะเป็นแค่ชั่วขณะ ได้บอกกับผมว่า "ป้าเห็นเขาขายของ แล้วอยากกลับเข้าบ้านไปเอาอุปกรณ์ออกมาทำมาค้าขาย แต่น้ำก็ยังท่วมสูง"

 ชีวิตเล็กๆ วิถีเล็กๆ ยังมีอีกนับล้านคนที่จะต้องเผชิญชะตากรรมไม่ต่างกันนี้

 ผมเข้าใจเป็นอย่างดีว่าทำไมผู้อพยพที่ศูนย์พักพิงดอนเมือง จึงไม่ยอมย้ายไปไหน เพราะเขาไม่รู้ชะตากรรมว่าจะต้องย้ายไกลจากบ้านไปอีกมากน้อยแค่ไหน

 ผู้ที่พลัดพรากจากบ้านโดยผู้อื่นกำหนดชะตากรรม ไม่ต่างจากผู้ที่ "สูญสิ้นอิสรภาพ"
 ผมเชื่อว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่มีใครที่ยอมรับชะตากรรมโดย "ดุษณี"

 คนเดือดร้อนจากน้ำท่วมมีเป็นล้านๆ คน เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของคนเพียงไม่กี่คน

 คนไม่กี่คนที่ไม่ยอมให้กรมชลประทาน ปล่อยน้ำออกจากเขื่อนก่อนวันที่ 15 ก.ย. เพียงเพราะต้องรอเก็บเกี่ยวข้าวในที่นาของกลุ่มทุนตะวันออกกลาง และกลุ่มทุนการเมืองในพื้นที่หลายจังหวัดภาคกลาง

 คนไม่กี่คนที่ไม่ยอมให้ระบายน้ำออกไปทาง อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ไปลงแม่น้ำบางปะกง เพียงเพราะกลัวน้ำจะไหลเข้าท่วมสนามกอล์ฟของตัวเองที่สร้างขวางทางน้ำทั้งที่คลองแห่งนี้ ใช้ระบายน้ำเหนือออกจากกรุงเทพฯ มาตั้งนมนาน


 น้ำเหนือมันจึงไปหยุดที่คลอง 13 ไม่ไปบางน้ำเปรี้ยว แต่มันถูกผันมาท่วมคนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกแทน
 คนไม่กี่คนที่ผมพูดถึงอยู่นี้ คือ ผู้ผลักความเดือดร้อนไปสู่ประชาชน เพื่อประโยชน์ส่วนตน

 คนไม่กี่คนที่ผมพูดถึงอยู่นี้ คือ ผู้ที่จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับ "นิวไทยแลนด์" ที่ต้องใช้เงิน 9 แสนล้านใน 5 ปี
 การกู้เงินจำนวนมหาศาล แค่ "เงินปากถุง" 3 เปอร์เซ็นต์ นั้น ถือว่ามากมายไม่ต้องไปคิดเลยว่าเคยถูกยึดเงินไปเท่าไร

 คนไม่กี่คนเหล่านี้นอกจากไม่สำนึกว่า...เพียงเพราะคิดเอาประโยชน์ส่วนตน...ได้ทำคนเดือดร้อน แล้วยังไม่มีสำนึกรับผิดชอบ

 พวกเขายังคิดจะกู้เงิน มาใช้กลบความผิดของตน โดยไม่ละอายใจ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #511 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2554, 21:17:52 »

        เกิดมาก็หลายสิบปี ต้องขอบคุณท่านนายกจริงๆครับ.
        ที่ทำให้ผมได้เห็นอะไรที่ไม่เคยได้เห็นมาตลอดทั้งชีวิตที่ผ่าน.ไม่ว่าจะเป็น


        1.ได้เห็นรถจอดเต็มแม่งทุกสะพาน เหลือทางวิ่งแค่ช่องเดียวทั่ว กทม
        2.ได้เห็นถุงทรายราคาแพงพอๆกับถุงข้าว
        3.ได้เห็น มาม่า ปลากระป๋อง น้ำดื่ม แม่งหมดห้าง
        4.ได้เห็น เซเว่น ร้าง มีเหลือแต่ พนักงานคิดเงิน
        5.ได้เห็นของที่ทุกบ้านต้องมี คือ กระสอบทราย
        6.ได้เห็นน้ำท่วม กทมและปริมณฑล แบบมิดหัวแบบตัวเป็นๆ
        7.ได้เห็นเรือพลาสติกราคาแพงเท่ารถมอเตอร์ไซค์
        8.ได้เห็นของบริจาค กองเป็นภูเขาแต่ชาวบ้านยังไม่มีของกิน
        9.ได้เห็นผู้นำประเทศอ่านภาษาไทยออกทีวี แบบกึกๆกั๊กๆ
        10.ได้เห็น อยุธยาเสียกรุงครั้งที่ 3 ในช่วงชีวิต
        11.ได้เห็นนิคมอุตสาหกรรมแตก 7 นิคมแบบเละเทะ
        12.ได้เห็นปัญญาชนกรอกทราย
        13.ได้เห็นควายบริหารประเทศ
        14.ได้เห็นน้ำใจและความแน่วแน่ ของทหารแบบไม่เคยคิดสงสัย ว่าเค้าทำเพื่อใคร
        เพื่ออะไร ทั้งที่ โดน สส ท่านด่าอยู่ทุกวัน.

        _____ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เพราะคำว่า "เอาอยู่ค่ะ" ขอบคุณท่านจากใจจริงๆครับ__
                  ____ โดย: ยาฆ่ารากหญ้า ตราหมาแดง

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
jeam
สมาชิกวิสามัญ
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 574

« ตอบ #512 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2554, 10:29:48 »

....คลายเครียด....

นักหนังสือพิมพ์ปากจัดนายหนึ่งถูกฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาท
เนื่องจากเขาไปเรียกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง (ไม่รู้รัฐบาลไหนเหมือนกัน) ว่า “ควาย”

หลังจากการไต่สวนหลายนัดศาลก็ตัดสินให้นักหนังสือพิมพ์มีความผิดตามฟ้อง
แล้วลงโทษปรับ 5,000 บาทกับจำคุก 1 เดือน โดยให้รอลงอาญาไว้ก่อน

นักหนังสือพิมพ์รับคำตัดสินอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก
“ยังงั้น ถ้าผมเรียกควายว่ารัฐมนตรี ผมจะมีความผิดไหมครับ” เขาถามผู้พิพากษา

"อืม..." ผู้พิพากษาลังเล “ก็คงจะไม่ผิดอะไร”

นักหนังสือพิมพ์ยิ้มรับคำตอบอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปหารัฐมนตรีคู่กรณี

“ไงครับ? ท่านรัฐมนตรี!”
  sing
      บันทึกการเข้า

I think, therefore I am.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #513 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2554, 10:52:46 »

อ้างถึง
ข้อความของ jeam เมื่อ 03 พฤศจิกายน 2554, 10:29:48
....คลายเครียด....

นักหนังสือพิมพ์ปากจัดนายหนึ่งถูกฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาท
เนื่องจากเขาไปเรียกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง (ไม่รู้รัฐบาลไหนเหมือนกัน) ว่า “ควาย”

หลังจากการไต่สวนหลายนัดศาลก็ตัดสินให้นักหนังสือพิมพ์มีความผิดตามฟ้อง
แล้วลงโทษปรับ 5,000 บาทกับจำคุก 1 เดือน โดยให้รอลงอาญาไว้ก่อน

นักหนังสือพิมพ์รับคำตัดสินอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก
“ยังงั้น ถ้าผมเรียกควายว่ารัฐมนตรี ผมจะมีความผิดไหมครับ” เขาถามผู้พิพากษา

"อืม..." ผู้พิพากษาลังเล “ก็คงจะไม่ผิดอะไร”

นักหนังสือพิมพ์ยิ้มรับคำตอบอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปหารัฐมนตรีคู่กรณี

“ไงครับ? ท่านรัฐมนตรี!”
  sing
สงสัยต่อครับ น้องเจียมช่วยคิดเพิ่มอีกนิดครับ

รัฐมนตรี = ควาย
นายกรัฐมนตรี = ??
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #514 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2554, 09:54:49 »

ทุ่งอุตสาหกรรม” ที่โลกลืม

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์





น้ำยังไม่ทันลด สันดานนักเลือกตั้งก็โผล่หางขึ้นเหนือน้ำเน่าเริ่มออกลายใส่ร้ายป้ายสีกัน พรรคโน้นอมน้ำ พรรคนี้อมของบริจาค

  ว่ากันว่า น้ำหลากทุ่งมาถึงเมืองกรุงส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง ยังไม่เท่ากับกลิ่นน้ำลายนักเลือกตั้งที่เล่นเกมโต้วาทีบนความเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎร์

 สถานการณ์มหาอุทกภัยในชั่วโมงนี้ มิได้มีแค่ที่จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพฯ ที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนแสนสาหัส

 “นครปฐม” กับ “สมุทรสาคร” เป็นอีกสองจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจาก “น้ำแปลกหน้า” ที่มาจากทุ่งเจ้าพระยา และทุ่งปทุมธานีฝั่งตะวันตก

 สมทบด้วย “น้ำเจ้าถิ่น” จากแม่น้ำท่าจีน ที่เอ่อล้นฝั่งเข้าท่วมชุมชนและย่านเศรษฐกิจมานานแรมเดือนแล้ว
 ข่าวสารอุทกภัยในฝั่งตะวันตก ปรากฏผ่านสื่อน้อยมาก จนผู้คนในท้องถิ่นแถวนั้นตัดพ้อต่อว่า “เราเป็นพลเมืองชั้นสอง”

 นาทีที่มวลน้ำข้ามทุ่งบางใหญ่เข้าคลองมหาสวัสดิ์ ทุ่งพุทธมณฑล ทุ่งบางเลน และทุ่งนครชัยศรี ก็จมน้ำระดับมิดหัวแล้ว

 กระทั่งน้ำข้ามถนนบรมราชชนนี เข้ามาที่หัวถนนพุทธมณฑลสาย 4 ผู้คนตื่นตระหนกน้ำจะท่วมฝั่งธนบุรี แต่หารู้ไม่ว่ามวลน้ำทะลักล้นไปทางถนนพุทธมณฑลสาย 5 บวกกับน้ำล้นฝั่งท่าจีน ก็ทำให้ถนนพุทธมณฑลสาย 7 บางพื้นที่เจอกับภาวะน้ำท่วมขัง

 การที่น้ำเข้าท่วมถนนพุทธมณฑลสาย 4 และ สาย 5 ย่อมมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศ ไม่แพ้นิคมอุตสาหกรรมแถบทุ่งเจ้าพระยา และทุ่งรังสิตที่จมบาดาล

 เพราะแถวถิ่นนี้เปรียบเป็น “ทุ่งอุตสาหกรรมเก่าแก่” หรือ “ดงโรงงาน” ที่เคยเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ
 คำขวัญประจำ “เทศบาลเมืองไร่ขิง” อ.สามพราน จ.นครปฐม ก็บอกชัด “ไร่ขิงศูนย์ราชการ พุทธสถานล้ำค่า การศึกษารุ่งเรือง เลื่องชื่อการเกษตร เขตอุตสาหกรรม นำชุมชนพัฒนา”


 สามพราน จึงไม่ใช่ดินแดนส้มโอหวาน ข้าวสารขาว และสาวสวยเช่นเมื่อวันวาน หากแต่วันนี้ สามพรานเปลี่ยนไปตามยุคสมัยอุตสาหกรรม

 เช่นเดียวกันกับคำขวัญประจำ “เทศบาลนครอ้อมน้อย” อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ที่ว่า “ศรัทธาหลวงพ่อเพ็ง หลวงพ่อพักตร์ อนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ลือไกลอุตสาหกรรม งามล้ำเบญจรงค์”

 หรือพูดจาภาษาชาวบ้านก็ว่าย่านโรงงานอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ และสามพราน

 บริเวณรอยต่อสาย 4 กับสาย 5  รอยต่อกระทุ่มแบน-สามพราน คือย่านอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก มีโรงงานผลิตสินค้าประเภทอาหารแปรรูป แช่แข็ง เสื้อผ้า สิ่งทอ พลาสติก และเครื่องประดับต่างๆ

 ในหน้าประวัติศาสตร์แรงงานไทย “กลุ่มสหภาพแรงงานอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่” ถือว่าเป็นทัพหลวงของขบวนการกรรมกรไทยยุค 14 ตุลาคม 2516

 ปัจจุบัน กรรมกรอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ ยังมีบทบาททางการเมืองภาคประชาชน ภายใต้การนำของ วิไลวรรณ แซ่เตีย
 เมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มสหภาพแรงงานอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ ได้นำสิ่งของไปบริจาคช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมย่านนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ บางปะอิน บ้านหว้าไฮเทค และ สหรัตนนคร

 ดังนั้น อ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ และ สามพราน จึงไม่ใช่แผ่นดินเกษตรกรรมที่จะกลายเป็น “แก้มลิงตะวันตก” ให้เมืองใหญ่อยู่รอดปลอดภัย หากแต่น้ำท่วมดงโรงงานย่านนี้จริง ย่อมส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อ “แรงงานรากหญ้า”

 น้ำแปลกหน้ามาถึงทุ่งอุตสาหกรรมเก่าแก่แล้ว ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่ามันจะเข้าท่วมกี่โรงงานกี่ย่านอุตสาหกรรม
 หลังจากน้ำลด ภาวะข้าวยากหมากแพงคงมาเยือน แรงงานหลายแสนคนตกงาน นักเลือกตั้งมัวแต่ถกเถียงกันเรื่องใครเป็นต้นตอน้ำท่วม? ใครบริหารจัดการวิกฤติน้ำท่วมล้มเหลว?

วางแผนเยียวยากันไม่ทั่วถึงและไม่ทันเหตุการณ์ ระวัง “เหยื่ออุทกภัย” ที่เป็นแรงงานรากหญ้าจะเอาคืน!
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #515 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2554, 21:34:52 »

ยิ่งลักษณ์ ยิ่งแก้ ยิ่งแย่

  posttoday.com  04 พฤศจิกายน 2554 เวลา 07:15 น. |
   
ออกอาการ “ลิงแก้แห” ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งเหยิง!!! ผ่านมาเกือบ 3 เดือน นายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาตุปัดตุเป๋ไป หนักขึ้นเรื่อยๆ

โดย...ทีมข่าวการเมือง

ออกอาการ “ลิงแก้แห” ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งเหยิง!!! ผ่านมาเกือบ 3 เดือน นายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาตุปัดตุเป๋ไป หนักขึ้นเรื่อยๆ ตามเสียงต่อว่าต่อขานทั้งจากชาวบ้านชาวช่องที่ต้องทนทุกข์กับสภาพน้ำท่วมขังมายาวนาน รวมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวกรุง ที่รัฐบาลไม่อาจปกป้องพื้นที่ไว้ได้อย่างที่เคยประกาศ

เดิมทีน้ำท่วมครั้งนี้มีความพยายามจะโยงให้เข้าใจว่าเป็น “เหตุสุดวิสัย” ที่ถูกเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากพายุเนสาด ไห่ถาง นาลแก ประดังประเดเข้ามาแบบต่อเนื่อง จนส่งผลให้ระดับน้ำเหนือค้างอยู่ในพื้นที่มากเป็นประวัติศาสตร์ ยากจะทยอยระบายออกลงสู่ทะเลได้ทันท่วงที

แต่จนถึงวันนี้ ทั้งท่าที ความตั้งใจ แนวนโยบาย มาตรการรับมือที่ออกมา ล้วนแต่ตอกย้ำถึงความล้มเหลวในการ “บริหารจัดการ” แก้ปัญหาที่ยิ่งแก้ ยิ่งนำไปสู่ปัญหาใหม่ๆ แก้เท่าไหร่ก็ไม่จบสิ้น ที่สำคัญยังฉุดรั้งพาตัว “ยิ่งลักษณ์” เข้าไปติดอยู่ในวังวนปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ

 

ไล่ย้อนดูไปตั้งแต่นโยบายตั้งต้น “2P 2R” เตรียมตัว ป้องกัน แก้ปัญหารวดเร็ว และดูแลชดเชย มาจนถึง “บางระกำโมเดล” ที่มองกันว่าไม่ได้มีอะไรมากมายไปกว่าแผนปกติ แต่กลับถูกขยายผลใช้ไปทั่วทุกพื้นที่

ครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ลุกลามบานปลายด้วยสมมติฐานที่ว่ารัฐบาลประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าที่จะเกิดขึ้น จนทำให้การเตรียมการป้องกันน้ำเหนือก้อนใหญ่เป็นไปอย่างสะเปะสะปะไร้ระบบเอาจริงเอาจัง

จนปัญหาลุกลามหนักขึ้นถึงขั้นตั้งเป็นศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เมื่อวันที่ 4 ต.ค. แทนที่ศูนย์อำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศอส.) ที่แต่งตั้ง ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ เป็นประธานแบกรับแรงเสียดทาน

แต่เอาเข้าจริง ศปภ. ในฐานะหน้าด่านสำคัญที่บูรณาการทุกภาคส่วนมาร่วมรับมือแก้ปัญหาน้ำท่วม ก็ไม่อาจแม้แต่จะสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นในสังคมด้วยข้อมูลที่กลับไปกลับมา ไปจนถึงการไม่เปิดเผยข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับทราบ

สถานการณ์น้ำท่วมหนักขึ้นเรื่อยๆ 5 ต.ค. ระดับน้ำเจ้าพระยาที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เกินระดับวิกฤต ส่งผลให้น้ำท่วมพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และลุกลามมาถึงนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ สร้างความเสียหายนับแสนล้านบาท

การประเมินสถานการณ์ผิดครั้งนั้น นำไปสู่การแสดงออกว่าจะปกป้องรักษานิคมอุตสาหกรรมมากกว่าการประกาศแจ้งเตือน อพยพลำเลียงสิ่งของเครื่องจักรต่างๆ เพื่อผ่อนหนักเป็นเบา ไม่ต่างจากนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ อีก 7 แห่ง ที่ทยอยท่วมไล่ตามมา

ทว่า... ท่าทีของรัฐบาลยังแสดงความมั่นใจต่อการรับมือน้ำท่วมครั้งนี้เรื่อยมา จนน้ำเริ่มทะลักคันกั้นน้ำคลองรังสิตที่พัง ส่งผลให้น้ำท่วม กทม. ตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค.

คำนวณระยะเวลาจากวันที่ 522 ต.ค. รัฐบาลมีเวลากว่าครึ่งเดือนกับการรับมือมวลน้ำจาก จ.พระนครศรีอยุธยา ด้วยการวางแผนระดมสรรพกำลังเร่งระบายไปทางตะวันตกหรือตะวันออก แต่ก็ไม่อาจบรรลุเป้าหมายเมื่อมีปัญหาติดขัดรายพื้นที่

สุดท้ายสถานการณ์ย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ จน“ยิ่งลักษณ์” ออกมาแถลงยอมรับสถานการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจว่า กทม.ชั้นในมีโอกาสเสี่ยงที่จะถูกน้ำท่วมในวันที่ 25 ต.ค. หลังจากที่เคยประกาศจะปกปักรักษาพื้นที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจให้พ้นน้ำท่วม

จนถึงวันนี้สถานที่สำคัญต่างๆ ถูกน้ำท่วมกันเป็นแถว ไม่ว่าจะเป็นพระบรมมหาราชวัง กองทัพอากาศที่ต้องขนย้ายเครื่องบินหนีน้ำ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ที่ต้องขนยุทโธปกรณ์หนีน้ำไป จ.กาญจนบุรี ไปจนถึงที่ตั้งของศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ

แม้แต่สนามบินดอนเมือง สถานที่ตั้ง ศปภ. ที่มั่นใจนักหนาว่าน้ำจะไม่ท่วม แต่สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานแรงน้ำ จนต้องย้ายมาที่ตึก ปตท. ซึ่งกำลังถูกมวลน้ำไล่กระชับพื้นที่เข้ามาเรื่อยๆ จนต้องเสริมถนนเตรียมความพร้อมสถานการณ์ที่น้ำเริ่มไหลเข้าสู่ใจกลางกรุงขึ้นทุกที

หลายต่อหลายจุดตามคันกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำ ที่มีปัญหาเรื่องการเปิดการปิดเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างคนต้นน้ำกับปลายน้ำ ยังเป็นปัญหาที่รัฐบาลแก้ไม่ตก และส่งผลให้ลุกลามบานปลายเรื่อยๆ ยังไม่รวมถึงปัญหาความล่าช้าในการเข้าไปแก้ไข ที่มองว่าตั้งรับน้ำที่จะมาแทนที่จะคาดการณ์ล่วงหน้าและไปหาทางป้องกันอย่างทันท่วงที

จุดเสี่ยงอย่างประตูน้ำคลองสามวาที่กำลังชุลมุนวุ่นวายกับมวลชนที่ออกมากดดันการเปิดน้ำ ที่งัดกันไปงัดกันมาระหว่างประชาชนในพื้นที่กับความพยายามปกปักรักษา “นิคมอุตสาหกรรมบางชัน” ที่ตั้งโรงงาน 93 แห่ง ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท

ปัญหานี้ลุกลามยืดเยื้อจน “ยิ่งลักษณ์” ต้องมาบัญชาการด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ข้อยุติเด็ดขาด ยังคงมีการต่อรองขอเปิด ขอหรี่ประตูนี้ไม่จบสิ้น

ยังไม่รวมกับปัญหาการจัดการในเรื่องระบบให้ความช่วยเหลือเยียวยาที่ล่าช้า ไม่ทั่วถึง มีการเล่นพรรคเล่นพวกให้กับคนบางสี บางพื้นที่ จนถึงปัญหาของบริจาคตกค้างที่ลอยน้ำประจานอยู่ที่สนามบินดอนเมือง

ในขณะที่พื้นที่รอบๆ กทม.น้ำเริ่มท่วมสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่หลายพื้นที่น้ำท่วมค้างเดิมตั้งแต่ จ.พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี ฯลฯ ยังกลับไม่มีวี่แววว่าจะสามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่ได้ แม้ฝนจะหยุดตกไปได้สักพัก ช่วงเวลาที่ระดับน้ำทะเลหนุนสูงสุดผ่านไปแล้ว

ปัญหา “น้ำท่วม” ยังไม่คลี่คลาย ปัญหาใหม่อย่าง “น้ำเน่า” เริ่มเข้ามาซ้ำเติมสถานการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ และกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่จะลุกลามไปถึงโรคระบาดที่สุ่มเสี่ยงต่อความสูญเสียอีกมากมาย

สิ่งที่ทำได้เวลานี้ยังเป็นเพียงแค่การบรรเทาอาการด้วยการเร่งผลิตอีเอ็มบอลไปหย่อนกระจายแต่ละพื้นที่ดังจะเห็นจากที่ “ยิ่งลักษณ์” ลงพื้นที่ดอนเมือง วัดไผ่เหลือง ตลาดโกสุมรวมใจ ชุมชนสรงประภา 7 ที่น้ำเริ่มเน่าส่งกลิ่นแล้ว พร้อมนำอีเอ็มบอลไปหย่อนลงน้ำ

นี่แค่ส่วนหนึ่งของปัญหาใหม่ๆ ที่ตามมาจากการบริหารจัดการที่ผิดพลาด และไม่รู้ว่าจะมีปัญหาใดๆ เพิ่มเข้ามาอีกในช่วงอย่างน้อย 1 เดือน กว่าสถานการณ์จะกลับมาสู่สภาวะปกติ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #516 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2554, 21:50:26 »

มา ครับ
      บันทึกการเข้า
มีนา
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2515
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 1,865

« ตอบ #517 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2554, 23:15:39 »


ตะวัน..เราก็มา
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #518 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2554, 21:52:08 »

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 04 พฤศจิกายน 2554, 21:50:26
มา ครับ
อ้างถึง
ข้อความของ มีนา เมื่อ 04 พฤศจิกายน 2554, 23:15:39

ตะวัน..เราก็มา
มาบ่อยแล้วกัน..เหงา
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #519 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2554, 22:42:59 »

อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 05 พฤศจิกายน 2554, 21:52:08
อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 04 พฤศจิกายน 2554, 21:50:26
มา ครับ
อ้างถึง
ข้อความของ มีนา เมื่อ 04 พฤศจิกายน 2554, 23:15:39

ตะวัน..เราก็มา
มาบ่อยแล้วกัน..เหงา

มาแล้ว แจกถุงยังชีพ ? ป่าววววว........ งง งง งง งง เค้าไม่ยอม
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #520 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2554, 23:03:21 »

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 05 พฤศจิกายน 2554, 22:42:59
อ้างถึง
ข้อความของ seree_60 เมื่อ 05 พฤศจิกายน 2554, 21:52:08
อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 04 พฤศจิกายน 2554, 21:50:26
มา ครับ
อ้างถึง
ข้อความของ มีนา เมื่อ 04 พฤศจิกายน 2554, 23:15:39

ตะวัน..เราก็มา
มาบ่อยแล้วกัน..เหงา

มาแล้ว แจกถุงยังชีพ ? ป่าววววว........ งง งง งง งง เค้าไม่ยอม
เอา อีเอ็มบอล ไปใส่บาตรพระ ล่ะกัน ได้บุญเยอะ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #521 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2554, 23:20:15 »

ตุ๊กตาบาร์บี้ คอลเลคชั่น รุ่นพิเศษ

-จำนวนที่ผลิต 1 ชิ้นเท่นั้น
-สถานที่ผลิต Thailand Only
-ร้องไห้ได้ หัวเราะได้
-เคลื่อนไหวได้ Body ทุกส่่วน ซ้ายหัน ขวาหันได้
-บริเวณใบหน้า ใช้วัสดุอย่างหนา ทนทาน
-สามารถใช้ Remote Control ได้ แม้มีระยะ ไกลถึงดูไบ
-สวมใส่แว่นหรูสีดำสนิท 1 อัน ป้องกันการเห็น
-สวมรองเท้าบู้ท สีแดงสด ทำจากหนังควายอย่างดี


-ค่าใช้จ่ายในการผลิตตุ๊กตาตัวนี้มูลค่าถึง 15 ล้านบาท
-ราคาตั้งขายตอนนี้ 1,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือนแล้ว ยังขายไมได้
-ขอยืนราคาไว้ 60 วัน หากยังไม่ได้รับการสั่งซื้อ ถุงดำมี ไม่ง้อ
จึงขอแจ้งมาเพื่อให้ได้อ่านๆกัน เพื่อทราบ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #522 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2554, 09:23:33 »

ลือว่อนเน็ต! ศปภ.ฟาดหัวคิวงบถุงยังชีพ 20-50%
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 พฤศจิกายน 2554 23:52 น.    

      
ASTVผู้จัดการ - ชาวเน็ตกังขาถุงยังชีพ ศปภ.ไม่สมราคา แกะถุงออกมาพบสิ่งของ ข้าวสาร อาหารแห้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมเค้ก ยาแก้ปวด เครื่องอุปโภค ตีราคาแค่ 200-350 บาทเท่านั้น ขณะที่ก่อนหน้านี้สำนักนายกฯ เผยขออนุมติงบ 50 ล้านจัดซื้อถุงยังชีพชุดละ 500 บาท ตั้งข้อสงสัยฟาดหัวคิวจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่
       
       วันนี้ (5 ต.ค.) ในเว็บไซต์เฟซบุ๊กได้มีการแชร์ภาพถุงยังชีพที่ติดตราสัญลักษณ์ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเจ้าของภาพที่ใช้นามแฝงว่า “Tukta Perace” ได้ระบุข้อความในภาพว่า ถุงยังชีพแบบ 800 บาท ศปภ. ซื้อไปหนึ่งแสนชุด เป็นเงิน 80 ล้านบาท เปิดดูข้างในถุงมีแค่นี้ ช่วยประเมินให้ทีว่าราคามัน 800 บาทจริงหรือ โดยในภาพดังกล่าวมีสิ่งของประกอบด้วย ข้าวสารขนาด 5 กิโลกรัม 1 ถุง, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 6 ซอง, ขนมปัง 6 ชิ้น, อาหารกระป๋อง 2 กระป๋อง, ยาพาราเซตามอล ชนิดแผง 10 เม็ด 2 แผง, โลชั่นทากันยุง 2 ซอง, ยาสระผม 1 ขวด, กระดาษชำระ 1 ม้วน, ผ้าอนามัย 1 ห่อ, เทียนไข 6 เล่ม และไฟแช็ก 1 อัน
       

       ภาพดังกล่าวถูกส่งต่อในเครือข่ายเฟซบุ้คจำนวนกว่า 1,700 คน โดยไม่นับเฟซบุ๊กอื่นๆ ที่นำภาพไปโพสต์ต่อ รวมทั้งมีการตั้งข้อสังเกตถึงราคาสินค้าที่นำมาบรรจุในถุงยังชีพของ ศปภ. โดยผู้ใช้นามแฝง “OOm Owlet” ได้ลองเปรียบเทียบราคาสินค้า ได้แก่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปห่อละ 5 บาท 10 ห่อ เป็น 50 บาท, เทียน 10 บาท, แชมพู 12 บาท, ปลากระป๋อง 16 บาท 2 กระป๋องเป็น 32 บาท, ข้าวสารแบบถูก ถุงขนาด 5 กิโลกรัมถุงละไม่เกิน 70 บาท, ผ้าอนามัย ซานิต้า 23 บาท, ทิชชู่ 12 บาท, ไฟแช็ค 8 บาท, ยาแก้ปวดหัว แผงละ 8 บาท 2 แผงเป็น 16 บาท, ขนมปังห่อละ 4 บาท ถ้าซื้อเป็นโหลในแม็คโคร ตกอันละ 3.25 บาท 10 ซองเป็น 40 บาท, ถุงใส่ของสกรีนโลโก้ กิโลกรัมละ 48 บาท ประมาณ 150 ใบ หากคิดแบบแพงตกใบละ 32 สตางค์ต่อถุง และมีโลชั่นกันยุง 2 ซอง 16 บาท
       
       ส่วนเจ้าของนามแฝง “SaNdzz Sureeporn รักในหลวง” ระบุว่า ราคาสินค้าในถุงยังชีพของ ศปภ.ชุดนี้โดยประมาณ เพราะซื้อจำนวนมาก คาดว่าได้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปห่อละ 3.5 บาท 6 ห่อเป็น 21 บาท, ขนมเค้ก 3 บาท 6 ห่อเป็น 18 บาท, ยาพาราเซตามอล แผงละ 5 บาท 2 แผง 10 บาท, เทียน 7 บาท, ครีมกันยุง 7 บาท, ปลากระป๋อง 10 บาท 2 กระป๋อง 20 บาท, ข้าวสารเดาว่าเป็น 50 บาท, ทิชชู 6 บาท, ผ้าอนามัย 10 บาท และค่าถุงพิมพ์ชื่อ ศปภ. 5 บาท อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าชมภาพในเฟซบุ้คดังกล่าวส่วนใหญ่ต่างแสดงความคิดเห็นว่า ราคาสินค้าของถุงยังชีพของ ศปภ.ชุดนี้น่าจะอยู่ในระหว่าง 200-350 บาทเท่านั้น และตั้งข้อสังเกตว่า ศปภ.อาจมีการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่นำไปบรรจุลงในถุงยังชีพเพื่อแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมหรือไม่
     
       อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายจำเริญ ยุติธรรมสกุล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการบริหารจัดการสิ่งของบริจาคและดูแลการบรรจุถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย เปิดเผยเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ได้มีการขออนุมัติจัดซื้อถุงยังชีพเพิ่มเติมในราคาชุดละ 500 บาท จำนวน 1 แสนชุด รวมเป็นเงิน 50 ล้านบาท
โดยใช้เงินจากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยที่ได้รับจากการบริจาคของประชาชนและหน่วยงานต่างๆผ่านศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) เพื่อใช้ดำเนินการจัดซื้อ ซึ่งได้รับการอนุมัติหลักการจากปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอยู่ในระหว่างขั้นตอนการจัดซื้อ คาดว่าจะได้รับถุงยังชีพชุดแรกประมาณวันที่ 2 พ.ย.นี้ โดยจะทยอยจัดส่งครั้งละประมาณ 1-2 หมื่นชุด
       
       ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาเป็นที่น่าสังเกตว่า สิ่งของบริจาคที่มาจาก ศปภ. ถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่โปร่งใสในการบริหารจัดการผ่าน ส.ส.พรรคเพื่อไทย นับตั้งแต่ศูนย์ ศปภ.ปฏิบัติหน้าที่ ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง อาทิ กรณีของบริจาคที่มาจากประชาชนถูกนักการเมืองหรือกระทรวงต่างๆ ถูกนักการเมืองและ ส.ส.สอบตกนำกระดาษระบุชื่อว่าตนเองเป็นผู้บริจาคแนบไปด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาเสียงทางการเมือง, กรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเขียนข้อความลงในกองสิ่งของบริจาคว่าเป็นเจ้าของ ห้ามเคลื่อนย้าย, กรณีที่นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก เลขานุการ รมช.มหาดไทยร้องขอเรือบริจาคให้แก่ตนเอง รวมทั้งมีการแถลงข่าวภายหลังว่าของบริจาคทั้งหมดที่เข้ามาอยู่ใน ศปภ. อยู่ในความรับผิดชอบของนายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ซึ่งภายหลังได้ให้สำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบเพียงผู้เดียว นอกจากนี้ภายหลังเมื่อน้ำจากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ได้เข้าท่วมท่าอากาศยานดอนเมือง ศปภ.ได้ย้ายสถานที่ไปยังอาคารเอนเนอร์ยี คอมเพล็กซ์ ถนนวิภาวดีรังสิต โดยปล่อยให้สิ่งของบริจาค เสื้อผ้าและสุขาลอยน้ำจมอยู่ใต้น้ำอีกด้วย

   
   
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #523 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2554, 09:45:39 »


ข่าวเก่า เอามาเล่าใหม่จาก ศูนย์ข้อมูล อสังหาริมทรัพย์

ที่มา http://www.reic.or.th/home_eng/news/news_detail.asp?nID=570&p=9&s=15&t=14

เด็กทรท.รุมฉีกฟลัดเวย์ 10บิ๊กอสังหารอส้มหล่น ( December 19, 2004 )


กลุ่มทุนอสังหาฯ-นักการเมือง ดิ้นอีกรอบ !ขอปรับสีผังที่ดินแนว"ฟลัดเวย์ " กว่าแสนไร่รอบสนามบินสุวรรณภูมิ วิ่งฝุ่นตลบ ล็อบบี้รัฐบาลทักษิณขอปรับสีผัง ระบุหัวโจกใหญ่ เป็นกลุ่มส.ส. พรรคไทยรักไทยเขตมีนบุรี "วิชาญ มีนชัยนันท์" ครอบครองที่ดิน กว่า1,000 ไร่ เผย10 บิ๊กนักพัฒนที่ดิน ตุนที่ดินในเขตเขียวลายเพียบ ไล่ตั้งแต่ "ประสงค์ เอาฬาร-หมอบุญ –ศุภาลัย-พฤกษา –แลนด์แอนด์เฮาส์-เค.ซี –บีแลนด์-ประภาวรรณกรุ๊ป รวมถึงตระกูลดัง"อัศวเหม" และอดีตเจ้าแม่อาวุธ "ราศี บัวเลิศ" พ้องเสียงผลักดันอยากปรับสีผังเป็นสีเหลือง ขณะที่ "วิษณุ" สั่งกทม.รื้อร่างผังเมืองใหม่ข้อ 38 อ้างให้อำนาจกทม.เกินขอบเขต พร้อมฟันธงเลื่อนประกาศใช้หลังเลือกตั้ง "อภิรักษ์"ผู้ว่ากทม.เสียงอ่อยแก้ไม่แก้สีผังแล้วแต่ครม.

สืบเนื่องจากหนังสือพิมพ์ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มนักการเมืองที่ได้ออกมาเคลื่อนไหว ขอแก้ไขผ่อนปรนร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร(กทม.)ฉบับใหม่ ที่จะประกาศใช้แทนผังเมืองรวมกทม.ฉบับที่ 414ที่หมดอายุลงไปเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2547 และกทม.กำหนดที่จะประกาศใช้ในช่วงสิ้นปี 2547ไม่เกินเดือนมกราคม2548นั้น

ล่าสุดนาย อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่าขณะนี้ร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่ อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาเห็นชอบตั้งแต่ช่วงปลายปี 2547 ที่ผ่านมา และ คาดว่าจะสามารถประกาศได้ในราวต้นปี 2548 แต่ยังไม่สามารถระบุว่าจะเป็นช่วงไหนขึ้นอยู่กับครม.จะพิจารณาแก้ไขหรือจะมีการเลื่อนการประกาศผังเมืองกทม.ใหม่ออกออกไป

ต่อข้อถามที่ว่าจะต้องมีการแก้ไขเนื้อหาสาระเพิ่มเติมหรือไม่ หากเอกชนเห็นว่าร่างผังดังกล่าวมีความเข้มงวดเกินไป นายอภิรักษ์กล่าวว่า ยอมรับว่าร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับที่จะออกมาบังคับใช้แทนผังเมืองฉบับเก่าที่หมดอายุลง เนื้อหาสาระน่าจะเหมาะสมแล้ว เพียงต้องการให้ภาคเอกชนและประชาชนร่วมทำความเข้าใจและวางแผนพัฒนาที่ดินตามผังเมืองในอนาคตมากกว่า อย่างไรก็ดีกรณีที่จะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระของร่างผังเมืองรวมกทม.ตามที่มีการร้องเรียนให้แก้ไขหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับครม.ว่าจะเห็นสมควรอย่างไร

ในขณะที่ แหล่งข่าวจากศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ทางสำนักนายกรัฐมนตรี โดย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กำหนดจะนำร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่เข้าครม.เพื่อพิจารณาเห็นชอบภายหลังจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือในการจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า ที่เชื่อว่ารัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะมีเสียงข้างมาก และเข้ามาบริหารประเทศต่ออีกสมัย

ทั้งนี้ทางสำนักนายกรฐมนตรี ได้ท้วงติงว่ากทม.ไปพิจารณาร่างผังเมืองข้อ 38 ใหม่ ที่กำหนดให้ใช้ประโยชน์ที่ดินในที่ดินรองหรือพื้นที่โควต้า10 % ของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลัก อาทิ การอนุญาตให้พัฒนาเชิงพาณิชย์10 % ในพื้นที่สีเขียว ซึ่งกำหนดให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมเป็นหลักฯลฯ โดยตั้งข้อสังเกตุว่า ไม่จำเป็นต้องสอบถามจาก กทม. อีกว่าใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ได้ เพราะจะเกิดความล่าช้าและมอบหมายให้กทม.ไปหารือกับกฤษฎีกาว่าสามารถดำเนินการได้อย่างไร

อย่างไรก็ดีตามข้อเท็จจริงแล้วกรณีที่มีการประกาศบังคับใช้ผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่ล่าช้าออกไปแหล่งข่าวกล่าวยืนยันว่า เพราะ มีกลุ่มนักการเมืองหลายกลุ่มในพื้นที่ อย่างกรณีของนายวิชาญ มีนชัยนันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขตมีนบุรี พรรคไทยรักไทย และพวกพ้อง เป็นแกนนำในการวิ่งล็อบบี้รัฐบาลพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อขอปรับสีผังบริเวณแนว "ฟลัดเวย์" หรือพื้นที่สีขาวทะแยงเขียวทั้งหมด ที่กำหนดให้เป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม โซนตะวันออก บริเวณรอบสนามบินสุวรรณภูมิ จำนวน กว่าแสนไร่ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่บริเวณเขตมีนบุรี เขตหนองจอกบางส่วน เขตลาดกระบัง เขตคลองสามวา ที่ร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่กำหนดให้ใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเท่านั้นหากต้องการจัดสรรที่ดินเชิงพาณิชย์จะต้องมีขนาดแปลงที่ดินขนาด 1,000 ตารางวา หรือ 2.5 ไร่ขึ้นไป จากผังเดิมกำหนดให้พัฒนาตั้งแต่ 100 ตารางวาขึ้นไปได้ โดยเสนอให้ปรับจากสีขาวทะแยงเขียวหรือเขียวลายเป็นเป็นพื้นที่สีเหลือง หรือที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย เพื่อสามารถพัฒนาได้ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์

ทั้งๆที่บริเวณดังกล่าวเป็นแนวพระราชดำริ กำหนดให้เป็นแนวฟลัดเวย์หรือพื้นที่รับน้ำมาตั้งแต่ปี 2535 ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำจากทางตอนเหนือของกทม.เพื่อระบายลงสู่อ่าวไทยเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม ดังนั้นกทม.จึงไม่สามารถที่จะปรับตามที่เอกชนและนักการเมืองกลุ่มดังกล่าวต้องการได้

แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้แล้วช่วงที่ผ่านมา มีนักลงทุน นักการเมืองได้พยายามยืมมือประชาชนเจ้าของพื้นที่ โดยร่วมกับกลุ่มพัฒนาที่ดิน ส่งเรื่องร้องเรียนมายังกทม.และสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดเสียงร้องเรียนจำนวนมากๆ เพื่อต้องการผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้องเพราะมีที่ดินอยู่ในแถบนั้นไม่ต่ำากว่า1,000 ไร่

ทั้งนี้จากปัญหาในเรื่องของการเรียกร้องการปรับสีผังแนวฟลัดเวย์ ดังกล่าว ทางกทม.จะร่วมกันหาทางออกกับกรมชลประทาน ด้วยการขุดคลองระบายน้ำใหม่ ขึ้นมาแทนที่แนวฟลัดเวย์ที่กำหนดเป็นพื้นที่รับน้ำทั้งหมด ซึ่งจะสามารถปรับพพื้นที่แนวฟลัดเวย์ที่เหลือเป็นพื้นที่สีเหลืองในอนาคต ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้ เวลาในการศึกษาเรื่องนี้ ราว 2 ปีนับจากนี้เป็นต้นไป แต่ขณะนี้กทม.ขอยืนยันว่าจะขณะนี้ไม่ปรับเปลี่ยนสีผังแต่อย่างเด็ดขาด"

จากการสำรวจของ "ฐานเศรษฐกิจ"พบว่ามีกลุ่มนักการเมืองและบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่มีที่ดินอยู่ในพื้นที่ขาวทะแยงเขียวจำนวนมาก อาทิกลุ่มของวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขตมีนบุรี พรรคไทยรักไทย และพี่น้องที่เป็นทั้งสมาชิกสภากทม.(ส.ก.)และสมาชิกสภาเขต กทม.(ส.ข.) โดยมีที่ดินรวมกันประมาณ กว่า1,000ไร่ กลุ่มนายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัทเวชธานีกรุ๊ป มีที่ดิน ประมาณ 500 ไร่ ,นางราศรี บัวเลิศ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทแชลเลนจ์ กรุ๊ป มีที่ดินบริเวณย่ายสุวินทวงค์ จำนวน 600 ไร่ ,นายประสงค์ เอาฬาร กรรมการบริษัท ฟอร์ร่าวิล์ จำกัดและในฐานะนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรมีที่ดินบริเวณสุวินทวงค์ จำนวน 300 ไร่ บริษัทศุภลัย จำกัด(มหาชน) ของนายประทีบ ตั้งมติธรรม มีที่ดินอยู่ย่านสุวินทวงค์ 50 ไร่

นอกจากนี้บริษัทพฤกษา จำกัด มีที่ดินประมาณ 300 ไร่ ของนายเจ้าพ่อบ่านราคาถูก นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ บริษัทเค.ซีกรุ๊ป ของนายอภิสิทธิ งามอัจฉริยะกุล มีที่ดินประมาณ 2,000 ไร่บริเวณคลองสามวา บริษัทแลนด์แอนเฮ้าส์จำกัด(มหาชน) ของนายอนันต์ อัศวโภคินมีทีดินจำนวน 50 ไร่ นาง เพียงใจ อัศวโภคคิน ซึ่งเป็นมารดาของนายอนันต์ มีที่ดินอยู่บริเวณเขตลาดกระบังใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิจำนวน 2 แปลงรวม 1,000 กว่าไร่ นายวันชัย ชูประภาวรรณ เจ้าของบริษัทประภาวรรณกรุ๊ปมีที่ดินย่านสุวินทวงค์ประมาณ 100-200 ไร่ บางกอกแลนด์ มีที่ดินหลายร้อยไร่ และยังพบว่าตระกูลดังเมืองปากน้ำ"อัศวเหม"เองก็มีที่ดินในย่านดังกล่าวหลายร้อยไร่เช่นเดียวกันกัน

ทางด้านนายวันชัย ชูประภาวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัทประภาวรรณ กรุ๊ป กล่าวว่า มีที่ดินบริเวณพื้นที่ขาวทะแยงเขียวย่านสุวินทวงค์ จำนวน 100 ไร่ แต่ที่ผ่านมาได้ทะยอยพัฒนาไปบ้างแล้วเพราะซื้อเก็บไว้นานแล้ว โดยได้ขอใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทิ้งไว้ ก่อนหน้าที่ผังเมืองรวมกทม.ฉบับปัจจุบันที่หมดอายุลง จะบังคับใช้ ดังนั้นจึงสามารถพัฒนาขนาดพื้นที่ 50-100 ตารางวาได้

อย่างไรก็ดีหากมีการชะลอใช้ผังเมืองฉบับใหม่ออกไป ก็จะเป็นผลดี เพราะพื้นที่ดังกล่าวกำหนดให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม หากจะทำจัดสรรต้องมีขนาดแปลง 1,000ตารางวา หรือ 2.5 ไร่ขึ้นไป แต่ขณะนี้มีปัญหาว่าบ้าหรูในบริเวณรอบหนองงูเห่าเริ่มขายไม่ออกแล้ว ที่ผ่านมาตนพยายามอุทธรณ์ให้มีการปรับเปลี่ยนสีผังมาโดยตลอด และเห็นว่าส.ส.วิชาญ มีความตั้งใจจริงในการทำงานในพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนมากกว่า

ในขณะที่นายแพทย์ บุญวนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท เวชธานีกรุ๊ป กล่าวเช่นกันว่า มีที่ดินอยู่ในพื้นที่ขาวทะแยงเขียว เขตมีนบุรี ประมาณ 400-500 ไร่ ซื้อมาเมื่อ 15 ปีก่อน ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถพัฒนาอะไรได้ คงจะต้องรอกทม.ปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินก่อน ที่ผ่านมาเอกชนก็เรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณนี้แต่ก็ขึ้นอยู่กับกทม.ว่าจะดำเนินการอย่างไร

นอกจากนี้แล้ว นายประสงค์ เฮาฬาร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์ร่าวิลล์ จำกัด และในฐานะนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่าบริษัทมีที่ดินอยู่ย่านสุวินทวงศ์ 300 ไร่ ซึ่งเดิมทีได้พัฒนาโครงการมาแล้วส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเดี่ยว 100 ตารางวา ตามผังเมืองฉบับเก่า

ทางด้านนาย อภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล ประธานกรรมการ บริษัท เค.ซี.กรุ๊ป ให้ความเห็นว่า มีที่ดินอยู่ประมาณ 1,000 ไร่ ขณะนี้เหลือ 200-300 ไร่ บริเวณ เขตคลองสามวา โดยที่ผ่านมาได้ยื่นขออนุญาตจัดสรรไว้ก่อนเมื่อปี 2542 ช่วงผังเมืองฉบับเก่า ส่วนพื้นที่ที่เหลือก็ต้องรอต่อไป อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาได้ยื่นอุทธรณ์ไปแล้วของปรับสีผังเป็นสีเหลือง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวควรยกเลิกแนวเฟลัดเวย์เพราะไม่เคยปรากฎว่ามีน้ำท่วม

นอกจากนี้แล้วในหลวงท่านให้ก่อสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ ที่จังหวัดสระบุรี และแก้มลิง ซึ่งไม่น่าจะมีผลกระทบเกี่ยวกับน้ำท่วมอีกต่อไป ที่สำคัญทำเลดังกล่าวอยู่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิกำลังจะเปิดใช้ในอีกไม่นานนี้ควรจะเปิดใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยเฉพาะบ้านทาวน์เฮ้าส์อาคารชุดเพื่อรองรับกลุ่มคนทำงานย่านนี้ได้แล้ว อย่างไรก็ดีได้มีเอกชนและประชาชนได้ร้องเรียนผ่านนายวิชาญ ซึ่งเป็นส.ส.ในพื้นที่จำนวนมาก ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่จะเรียกร้องรัฐบาลให้แก้ไขในเรื่องดังกล่าว

ทางด้านนายอิสระ บุญยัง อุปนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่าเป็นเกมการเมืองที่จะยื้อประกาศใช้ผังเมือง รวมกทม.ฉบับใหม่ออกไป แม้ว่าที่ผ่านมา3 สมาคมบ้านฯ ได้แก่ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และสมาคมอาคารชุดไทย ได้เรียกร้องให้มีการผ่อนปรนการใช้ประโยชน์ที่ดินมาหลายครั้งแล้วก็ตามไม่ว่าจะ เป็นที่สภาผู้แทนราษฎร, กทม. ฯลฯ แต่ก็เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคทั่วไป เพื่อให้มีที่อยู่อาศัยราคาถูกในเขตกทม.ได้ แต่ขณะนี้ได้มีกลุ่มนักการเมืองที่มากกว่า 1-2 ราย ในพื้นที่ ต้องการวิ่งเต้นของแก้ไขผังบริเวณแนวฟลัดเวย์เพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ซึ่งมองว่าไม่น่าจะทำเช่นนั้น หากจะช่วยประชาชนจริงๆ ควรผลักดันเพื่อขอแก้ไข ทั้งหมดจะดีกว่า นอกจากนี้แล้วทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการสภาฯเพื่อรับเรื่องร้องเรียนจากผลกระทบของร่างผังเมืองกทม.ฉบับดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีโดยตรงอีกด้วย

นายโชคชัย บรรลุทางธรรม นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยกล่าวว่า เชื่อว่าสาเหตุที่รัฐบาลได้เลื่อนการพิจารณาร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่ออกไป พิจารณาหลังการเลือกตั้งเนื่องจาก เล็งเห็นถึงความไม่พร้อมของร่างผังเมืองฉบับดังกล่าวมากกว่า โดยเฉพาะความเข้มงวดการใช้ประโยชน์ที่ดินที่จะเป็นปัญหาอุปสรรคของเอชนและประชาชนเจ้าของที่ดิน อย่างไรก็ดีสมาคมฯอาจจะจะอาศัยจังหวะนี้เข้าร้องเรียนต่อสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อช่วยผลักดันในการแก้ไขผังต่อไป
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #524 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2554, 10:18:17 »

มา ครับ มารับ  EM ball
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 19 20 [21] 22 23 ... 33  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><