23 พฤศจิกายน 2567, 03:13:21
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 16 17 [18] 19 20 ... 33  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน  (อ่าน 328720 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #425 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2554, 22:14:08 »

เล่าเรื่องคุณมาร์ค อีกหน่อยนะคะ

จังหวัดยโสธรเป็นจังหวัดเเรกเเละจังหวัดเดียวของภาคอิสาน ที่ท่านนายกรักษาการณ์ มานอนพัก

ชาวตำบลสิงห์ภาคภูมิใจมาก ช่วยกันปัดกวาด บ้านเรือน วัด กันอย่างสะอาดเรียบร้อย

เเต่เดิม เจ้าเมืองยโสธร เเพ้สงคราม เจ้าอนุวงศ์  เลยกลายเป็นกบฎ (คงเหมือน นปช.มั้ง )

จึงหนีมาจาก เวียงจันท์ และมาอยู่ ที่ นครเขื่อนขันธ์กาบเเก้วบัวบาน (หนองบัวลำพู)ในปัจจุบัน

หลังจากนั้นจึงรอนเเรม มาตั้งบ้านเรือน ที่ต. สิงห์ อ.เมือง  นี่ค่ะ จะมีรูปปั้นสิงห์คู่อยู่ที่นี่

ตำบลที่ท่าน นายกอภิสิทธิ์ จะมาค้าง ในคืนวันพรุ่งนี้ค่ะ

น้องตะวันมารอต้อนรับหน่อยดิ
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #426 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2554, 22:46:29 »

ตามสบายครับพี่แอ๊ะ
จะรักจะชอบใคร ก็แล่วแต๊....ระวังพี่หาญ จะเคืองนะครับ ไปปันใจให้คนอื่น..อิอิอิ

ผมก็ไม่ได้เกลียดอภิสิทธ์ เพราะเขาหล่อมากกว่าผม เอ๊ยไม่ใช่
ผมไม่เลือกเขา เพราะคิดว่า ไม่อยากถูกหลอกซ้ำซาก แค่นั้นเอง
และคิดว่า โวตโน..คือสิ่งที่ทำให้ผมสบายใจ
และจะพยายามชักชวนญาติมิตร มาร่วมขบวนการให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ส่วนพี่ ทุ่มสุดตัว ในฐานะแม่ยก ก็ไม่ว่า และไม่เคืองกัน..ลางเนื้อ ชอบ ลางยา
วันเวลา คงพิสูจน์ ให้คนเราได้เห็น ซักวันหนึ่ง ว่าใคร คือ ทองแท้ หรือ ทองเทียม

ขอฝากคำขวัญให้พี่หน่อยครับ

3 กรกฎา เข้าคูหา   ..ดองปู..ส่งคุณหนู กลับบ้าน..ด้วยการ....กาไม่เลือกใคร..

นอนหลับฝันดีนะครับ..พี่สาวที่แสนสวย(กว่าปูดอง)..และแสนดี..

12พย.อย่าลืมมาร่วมงานวันคืนสู่เหย้านะครับ
แต่ ต้องขอโทษ ที่ปีนี้ ผมไม่ได้เป็นแม่งานครับ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #427 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2554, 09:24:04 »

คุณพี่ที่น่ารักของผม
นี่คือ ผลงาน หวานใจของพี่


ท่าทีของอภิสิทธ์ ต่อกรณีเขาพระวิหาร ที่พันธมิตรเรียกร้องให้ รัฐบาลถอนตัวออกจาก ภาคีมรดกโลก
แต่อภิสิทธ์ไม่ยอมตามคำเรียกร้อง
ต่ในที่สุด อภิสิทธ์ต้องหน้าแตกยับ เพราะความไม่เอาไหนของเด็กน้อยของพี่แอ๊ะ ที่ไม่มีวิชั่น
งั้นพี่ต้องหันกลับมารักพันธมิตรอีกนะครับ
เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งนอกจากการไล่ทักษิณ ก็คือ การต่อสู้เพื่อรักษาแผ่นดินไทย
ไม่ให้เสียกับเขมร


นายกฯ ยังเชื่อมรดกโลกจะเห็นพ้องไทย ย้ำขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวขัดแย้งเพิ่ม

รบ.ไทยยังระรื่น คาดมติ คกก.มรดกโลก เลื่อนถกแผนบริหารจัดการพระวิหาร


เทพมนตรี” (พันธมิตร ที่คุณสุวิทย์เชิญไปเป็นที่ปรึกษา)
เผยเวที คก.มรดกโลกล็อบบี้กันหนัก ไม่ยุติธรรมกับฝ่ายไทย


ด่วน! "สุวิทย์" ประกาศถอนตัวจากภาคีมรดกโลกแล้ว 
 

"สุวิทย์" ทวีต ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก บรรจุวาระพิจารณาแผนบริหารจัดการโดยรอบประสาทเขาพระวิหาร โดยไม่ยอมเลื่อนตามที่ไทยขอ ประกาศนำประเทศไทยถอนตัวจากการเป็นสมาชิกมรดกโลกแล้ว ย้ำไม่มีประโยชน์ใดที่จะอยู่ในสังคมที่ดำเนินการตามใจตนเอง ไม่คิดถึงกฏระเบียบที่ลงมติโดยสมาชิกแล้ว
       นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจามรดกโลกไทย ได้ทวิตข้อความผ่าน @SuwitKhunkitti เมื่อเวลา 23.24 น. ระหว่างการเดินทางร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจะมีการประชุมเพื่อหาข้อสรุปกรณีปราสาทเขาพระวิหาร ว่า ที่ประชุมบรรจุวาระ ผมไม่มีทางเลือกครับ คงต้องถอนตัว ผมได้เคยพูดกับสื่อไทยไปว่า หากสังคมใดดำเนินการตามใจตนเอง ไม่คิดถึงกฏระเบียบที่ลงมติโดยสมาชิกแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆที่เราจะอยู่ในสังคมแบบนี้
       
       นายสุวิทย์ เผยต่อมาว่า "กำลังแถลงต่อที่ประชุมครับ คณะผู้แทนพยายามเข้าใจ อธิบาย และอดทนรออย่างเต็มที่แล้ว"
       
       ล่าสุด เมื่อเวลา 23.40 น. ตามเวลาในประเทศไทย นายสุวิทย์ระบุว่า
 "ผมและคณะนำประเทศไทยถอนตัวจากการเป็นสมาชิกมรดกโลกแล้วครับ"

       
       โดยก่อนหน้านี้เมื่อเวลาประมาณ 17.47 น. นายสุวิทย์ ได้ระบุว่า  ไม่มีประโยชน์อะไรที่ประเทศไทยจะอยู่ในสังคมที่ไม่มีกติกาแบบนี้ ทุกคนได้ทำหน้าที่ในการปกป้องผลประโยชน์ของไทยอย่างเต็มความสามารถแล้ว ทำทุกอย่างเท่าที่ควร และจำเป็นต้องทำไปหมดแล้ว สิ่งที่เหลือในตอนนี้คือ รอการพิจารณา และเราจะตัดสินใจในขั้นสุดท้ายต่อไป คาดว่า คณะกรรมการมรดกโลก จะมีคำตอบให้ภายใน 1 ชั่วโมงนับจากนี้ ซึ่งเราจะใช้เวลาช่วงสุดท้ายตัดสินใจก่อนเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ
 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
Soponเท่านั้น
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,405

« ตอบ #428 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2554, 16:26:25 »

พี่ๆน้องๆครับ การเลือกกสทช.จะรู้ผลหลังเลือกตั้งทั่วไป ช่วยกันจับตาดู และสนับสนุนคนเก่งคนดีกันด้วย อย่าให้เหมือนการเลือกสว.ที่คนดีอย่างครูหยุยก็แพ้เงิน และการเล่นพรรคเล่นพวก
ขอหาเสียงให้เพื่อนหน่อยครับ

   
Rom Hiranpruk   11:09pm Jun 23

ผมเป็นผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นกรรมการกสทช. ซึ่งจะต้องถูกคัดเลือกโดยวุฒิสมาชิกทั้ง 150 คน จากจำนวนรายชื่อที่เสนอ 44 ชื่อให้เหลือเพียง 11 ชื่อ ในช่วงหลังการเลื่อกตั้ง
http://www.facebook.com/l/eaa31FvlNsKHpymPnxrQicAK-pw/romhiranpruk.blogspot.com/2011/06/blog-post_22.html
หากท่านคิดว่าผมมีคุณสมบัติและความสามารถเหมาะสมกับงานนี้ ก็ขอได้ช่วยแนะนำตัวผมให้กับสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)ที่ท่านรู้จักด้วยครับ ขอบคุณครับ
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #429 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2554, 19:42:38 »

โหวตโน...แล้วได้อะไร?

วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 16:00:07 น.

มติชนออนไลน์

โดย ศาสตราจารย์ ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์

ศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช


10 มิถุนายน 2554




การเลือกตั้งเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ เพราะเป็นกลไกสำคัญสำหรับพลเมือง ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองโดยตรง และสามารถกำหนดได้ว่าใครจะเข้ามาทำหน้าที่ในการปกครองในระยะเวลาจำกัด ซึ่งโดยปกติอยู่ในระยะเวลา 4 ปี หรือ 5 ปี

หรืออาจกล่าวได้ว่า การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยเป็นกระบวนการทางการเมืองที่สำคัญยิ่ง ในการถ่ายโอนอำนาจอธิปไตยของประชาชนไปให้ตัวแทนทำหน้าที่ใช้แทนประชาชน

อย่างไรก็ตาม จะต้องพิจารณาด้วยว่าการเลือกตั้งดังกล่าวนั้นเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนได้อย่างแท้จริงมากน้อยเพียงไร หากสิทธิและเสรีภาพในการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งเป็นเครื่องกำหนดที่มาของขอบเขตและอำนาจขององค์การทางการเมืองได้อย่างแท้จริงแล้ว สิทธิและเสรีภาพนั้นก็มีความสำคัญทางการเมือง

ตรงข้ามถ้าการเลือกตั้งเป็นไปในทิศทางของการผูกขาด เอารัดเอาเปรียบ หลอกลวง หรืออยุติธรรมแล้ว ความสำคัญของสิทธิและเสรีภาพของการเลือกตั้งก็จะหมดไป

การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยในทรรศนะของนักวิชาการมีความหมายไม่แตกต่างกันมากนัก ส่วนใหญ่มองว่าการเลือกตั้งเป็นการต่อสู้แข่งขันในการรณรงค์เพื่อชัยชนะ ในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้เกิดตามความคาดหวังอันเป็นที่พึงพอใจ

หรือ การเลือกตั้ง หมายถึง กระบวนการทางการเมืองรูปแบบหนึ่งที่แสดงถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย โดยการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนของตนเข้าไปทำหน้าที่ในการปกครองประเทศและตัดสินใจในนโยบายสาธารณะที่มีผลกระทบต่อประชาชน

จากความหมายดังกล่าวข้างต้น การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยที่พึงปรารถนาจึงจำเป็นต้องมีลักษณะที่สำคัญอย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่

ประการแรก ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องมีหลายคน หรือมีบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งหลายบัญชี (ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดให้เลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อ) หากมีผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงคนเดียว หรือมีบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงบัญชีเดียว ย่อมไม่ถือว่าเป็นการเลือกตั้งที่พึงปรารถนา

ประการที่สอง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีเสรีภาพบริบูรณ์ที่จะเลือกหรือไม่เลือกผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง หรือบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งบัญชีใดบัญชีหนึ่ง ฉะนั้น หากมีการบังคับให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครคนใดคนหนึ่งหรือบัญชีรายชื่อบัญชีใดบัญชีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการบังคับโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม ย่อมถือว่าไม่ใช่การเลือกตั้งที่พึงปรารถนา

และ ประการที่สาม ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิและเสรีภาพที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลอื่น และมีโอกาสที่จะทราบความคิดเห็นรวมทั้งข้อมูลข่าวสารของผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ก่อนการตัดสินใจเลือก ทั้งนี้ เพื่อให้การเลือกตั้งถูกต้องตามความเป็นจริงที่แต่ละคนชอบ

ฉะนั้น การเลือกตั้งที่ขาดเสรีภาพในการรับฟังความคิดเห็น จึงย่อมไม่ใช่การเลือกตั้งที่พึงปรารถนา

การออกเสียงเลือกตั้งจึงเป็นสิทธิขั้นมูลฐานของมนุษย์ โดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตย ดังปรากฏในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 21(1) ความว่า "เจตจำนงของประชาชนย่อมเป็นมูลฐานแห่งอำนาจของรัฐบาล ของผู้ปกครอง เจตจำนงดังกล่าวต้องแสดงออกโดยการเลือกตั้งอันสุจริต ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งคราวตามกำหนดเวลา ด้วยการลงคะแนนเสียงอย่างทั่วถึง โดยถือหลักคนละหนึ่งเสียงเท่านั้น ด้วยกระทำเป็นการลับด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อที่จะประกันให้การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นไปโดยเสรี"

การเลือกตั้งยังมีนัยสำคัญในสองแง่มุม กล่าวคือ ส่วนแรก การเลือกตั้งในแง่มุมของปรัชญา และส่วนที่สอง การเลือกตั้งในแง่มุมของกฎหมาย

การเลือกตั้งในแง่มุมของปรัชญา สามารถพิจารณาได้เป็น 3 ประการ ได้แก่

ประการแรก การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีสภาพเป็นสิทธิตามธรรมชาติ มาจากแนวคิดที่ว่า สิทธิเลือกตั้งเป็นสิทธิตามธรรมชาติที่ติดตัวมากับบุคคลในฐานะที่บุคคลเป็นหน่วยหนึ่งของรัฐ เพราะบุคคลย่อมเสมอภาคกัน อันเป็นลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์ หากบุคคลเป็นผู้บรรลุนิติภาวะ มีวุฒิภาวะ และไม่มีลักษณะต้องห้ามแล้ว ก็ย่อมจะมีสิทธิในการลงคะแนนเลือกตั้ง

ประการที่สอง การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีสภาพเป็นภารกิจสาธารณะ มาจากแนวคิดที่ว่าความก้าวหน้าของสังคมย่อมขึ้นอยู่กับการปฏิบัติการของบุคคลให้เป็นไปตามหน้าที่อย่างชาญฉลาด ดังนั้น การให้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแก่บุคคล จึงจำกัดเฉพาะบุคคลที่มีความเหมาะสมและสามารถปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีเท่านั้น การดำเนินการตามแนวคิดนี้ บุคคลอาจถูกจำกัดสิทธิในการลงคะแนนได้เสมอ หากเมื่อปรากฏว่าบุคคลนั้นเข้าลักษณะที่ไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้อย่างถูกต้อง

ประการที่สาม การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีสภาพเป็นสิทธิคัดค้านการกระทำ มาจากแนวคิดที่ว่าผู้ออกเสียงเลือกตั้งที่ลงคะแนนเพื่อคัดค้านการกระทำหรือนโยบายของรัฐบาลรวมทั้ง เจ้าหน้าที่ทางราชการผู้ใดก็จะไม่ลงคะแนนสนับสนุนพรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ทางราชการนั้นๆ ตรงข้ามผู้ออกเสียงเลือกตั้งก็จะลงคะแนนให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือพรรคการเมืองที่ตรงกันข้ามกับผู้สมัครรับเลือกตั้งที่สังกัดพรรครัฐบาลหรือพรรคร่วมรัฐบาล

สำหรับ การเลือกตั้งในแง่มุมของกฎหมาย ก็สามารถพิจารณาออกได้เป็น 3 ประการเช่นเดียวกันได้แก่

ประการแรก การเลือกตั้งในฐานะที่เป็นสิทธิ (rights) หมายความว่า ความสามารถที่แต่ละบุคคลกระทำได้ ภายใต้การยอมรับของกฎหมาย สิทธิจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่ในปัจเจกบุคคลแต่ละคน และกฎหมายให้การรับรอง หากถูกละเมิด กฎหมายจะให้การคุ้มครอง การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งถือเป็นสิทธิที่สำคัญประการหนึ่งที่รัฐจะให้การคุ้มครอง

ประการที่สอง การเลือกตั้งในฐานะที่เป็นเอกสิทธิ์ (priviledge) หมายความว่า การที่บุคคลได้มาซึ่งเสรีภาพที่จะไม่ให้บุคคลอื่นแทรกสอดเข้ามาเกี่ยวข้องได้ การออกเสียงลงคะแนนจึงถือเป็นเอกสิทธิ์ที่ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีความเป็นอิสระที่จะเลือกกระทำการอย่างใดก็ได้ ที่ได้รับการยอมรับจากกฎหมาย ปราศจากการแทรกแซงหรือเกี่ยวข้องของบุคคลอื่นเป็นสำคัญ

ประการที่สาม การเลือกตั้งในฐานะที่เป็นหน้าที่ (duty) หมายความว่า การที่บุคคลจำเป็นต้องกระทำหรืองดเว้นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีสภาพเป็นหน้าที่ก็ต่อเมื่อ กฎหมายได้ระบุหรือบังคับให้ผู้ออกเสียงลงคะแนนไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง กฎหมายได้ระบุหรือบังคับว่าการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งถือเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่ต้องกระทำ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจึงเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งในทางการเมืองที่บังคับโดยกฎหมาย

นอกจากนั้น การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยยังมีหลักเกณฑ์ที่เป็นแกนกลางที่ประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกยอมรับกันโดยทั่วไป ได้แก่

ประการแรก หลักอิสระแห่งการเลือกตั้ง (freedom of election) หมายถึง การให้ความเป็นอิสระต่อการออกเสียงเลือกตั้ง โดยมิให้มีการขู่บังคับให้การเลือกตั้งถูกบิดเบือนไปจากเจตจำนงอันแท้จริงของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชนยังเป็นเอกสิทธิ์ของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยเด็ดขาด ดังนั้นจึงต้องมีการกำหนดให้มีการลงคะแนนที่เป็นความลับ เพื่อให้ประชาชนสามารถลงคะแนนได้อย่างอิสระ ปราศจากอิทธิพล อามิสสินจ้างหรือการข่มขู่ใดๆ อีกด้วย

ประการที่สอง หลักการเลือกตั้งตามกำหนดเวลา (periodic election) หมายความว่า การเลือกตั้งจะต้องมีการกำหนดเวลาไว้อย่างชัดเจนแน่นอน อาทิ การกำหนดให้มีการเลือกตั้งโดยปกติทุก 4 ปีหรือทุก 5 ปี เป็นต้น

ประการที่สาม หลักการเลือกตั้งอย่างแท้จริง (genuine election) หมายถึง การดำเนินการให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม รัฐบาลจะต้องถือเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องป้องกันมิให้มีการคดโกงในการเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ รวมทั้งอาจให้องค์กรที่เป็นกลางทำหน้าที่เป็นผู้จัดการเลือกตั้ง โดยเปิดโอกาสให้มีการคัดค้านการเลือกตั้งได้ เมื่อเห็นว่าการเลือกตั้งนั้นมิได้เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริง

ประการที่สี่ หลักการออกเสียงทั่วถึง (universal suffrage) หมายถึง การเปิดโอกาสให้มีการออกเสียงเลือกตั้งอย่างทั่วถึงแก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า เว้นแต่ในกรณีที่มีข้อจำกัดอันเป็นที่รับรองหรือยอมรับกันโดยทั่วไป อาทิ การไม่อนุญาตสิทธิเลือกตั้งให้แก่เด็ก ภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช บุคคลวิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือผู้ที่ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาล เป็นต้น

และ ประการที่ห้า หลักการเลือกตั้งอย่างเสมอภาค (equal suffrage) หมายความว่า บุคคลผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งย่อมมีสิทธิคนละหนึ่งเสียงเท่าเทียมกัน และคะแนนเสียงทุกคะแนนมีน้ำหนักเท่ากัน

ดังนั้น อาจกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำได้ว่า การเลือกตั้งเป็นการเลือกรัฐบาลที่จะมาทำการปกครอง ขณะเดียวกัน การเลือกตั้งก็อาจเป็นเสมือน "ห้ามล้อ" ของการปกครองได้เช่นเดียวกัน เพราะผู้เลือกตั้งอาจจะไม่เลือกผู้ที่เคยเป็นรัฐบาล

กระบวนการเลือกตั้งจึงเป็นทั้งการนำมาซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลและจำกัดการกระทำของรัฐบาลไปด้วยในขณะเดียวกัน

สำหรับการเลือกตั้งในประเทศไทยหลังการปฏิรูปการเมืองเมื่อ พ.ศ.2540 เป็นต้นมา ถือได้ว่ามีทั้งความก้าวหน้าและความล้าหลังไปในขณะเดียวกัน กล่าวคือ

ประการแรก การมีคณะกรรมการการเลือกตั้งที่เป็นอิสระ เป็นกลาง ทำหน้าที่บริหารจัดการเลือกตั้งให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรมถือเป็นความก้าวหน้าของการปฏิรูปการเมือง

แต่ขณะเดียวกันก็เกิดความล้าหลัง ได้แก่ ความไร้ประสิทธิภาพของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรมได้

มิหนำซ้ำยังมีปรากฏการณ์ของการทุจริตในการเลือกตั้ง การซื้อสิทธิขายเสียงที่แพร่ระบาดมากขึ้น ประกอบกับการขาดความสามารถในการควบคุมการใช้จ่ายเงินในการหาเสียงเลือกตั้งให้เป็นไปตามที่กำหนด ได้นำไปสู่ความไม่เสมอภาคในการเลือกตั้งและเปิดโอกาสให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งบางคนหรือพรรคการเมืองบางพรรคได้เปรียบในการแข่งขัน ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง

ประการที่สอง กฎหมายเลือกตั้งที่สะท้อนหลักปรัชญาของการเลือกตั้ง คือ เมื่อมีการกำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีหน้าที่ต้องไปเลือกตั้งแล้ว ก็ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิที่จะปฏิเสธผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคน หรือพรรคการเมืองทุกพรรคที่เขาไม่ชอบได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น ในบัตรเลือกตั้งที่มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถกาเครื่องหมายในช่องที่ไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งในระบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และในช่องที่ไม่ลงคะแนนให้แก่พรรคการเมืองใดเลยในระบบบัญชีรายชื่อหรือเรียกกันสั้นๆ ว่าเป็นการ "Vote No" จึงเป็นการสะท้อนหลักปรัชญาของการเลือกตั้งที่แสดงถึงสิทธิในการคัดค้านการกระทำของนักการเมืองและพรรคการเมืองต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าของกฎหมายเลือกตั้ง

ในขณะเดียวกันความล้าหลังที่เกิดขึ้นก็คือ การเขียนกฎหมายที่ไม่ครบถ้วนหรือไม่สมบูรณ์ ว่าในกรณีการเลือกตั้งทั้งในระบบแบ่งเขตเลือกตั้งหรือระบบบัญชีรายชื่อ ในกรณีที่เสียงของผู้ใช้สิทธิคัดค้านหรือ "Vote No" มีจำนวนสูงสุดมากกว่าผู้ที่ "Vote Yes" ผลลัพธ์ควรจะเป็นอย่างไร ควรจะต้องจัดการเลือกตั้งซ้ำใหม่หรือไม่ และจะต้องมีการนำเสนอผู้สมัครรับเลือกตั้งใหม่หรือไม่ อย่างไร

อย่างไรก็ตาม การ "Vote No" ที่แสดงถึงการไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรายใดเลย หรือพรรคการเมืองใดเลยนั้น ผลลัพธ์ในทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นและสมควรจะต้องนำไปพิจารณาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ

ประการแรก เป็นการสะท้อนสิทธิของการคัดค้านของประชาชน ซึ่งหมายถึงการสะท้อนถึงหลักปรัชญาของการเลือกตั้ง อันจะมีผลต่อความชอบธรรมของระบบการเมือง พรรคการเมืองหรือนักการเมืองได้เป็นอย่างดี

ประการที่สอง ในกรณีที่เสียง "Vote No" มีจำนวนมากที่สุดหรือเป็นเสียงข้างมาก ย่อมสะท้อนถึงหลักการปกครองโดยเสียงข้างมากที่เป็นหลักการสำคัญของการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แม้รัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งจะไม่ได้รองรับในประเด็นดังกล่าวไว้ก็ตาม แต่ในหลักปรัชญาของระบอบประชาธิปไตยแล้ว รัฐบาลหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะเกิดขึ้นจากเสียงข้างน้อยย่อมขาดความชอบธรรมในการปกครองโดยทันที

ประการที่สาม ในกรณีที่เสียง "Vote No" มีจำนวนน้อยจะจำนวนเท่าใดก็ตาม หลักการของระบอบประชาธิปไตย สิทธิของเสียงข้างน้อยย่อมจะต้องได้รับการพิทักษ์คุ้มครองหรือให้ความเคารพ เสียงส่วนใหญ่ย่อมต้องรับฟังเสียงข้างน้อยด้วยเช่นกัน


กล่าวโดยสรุป เสียง "Vote No" เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่จะนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาการเมือง "น้ำเน่า" ที่ยังหมักหมมอยู่ในระบบสังคมการเมืองไทย

และหากไม่รีบดำเนินการตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องดังกล่าวนี้ การเมืองไทยจะนำบ้านเมืองเข้าสู่กลียุค และการแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
jeam
สมาชิกวิสามัญ
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 574

« ตอบ #430 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2554, 19:37:28 »

นำมาฝาก......

http://www.khonthai.com/Election/enqvoter/indexenqvoter.php
      บันทึกการเข้า

I think, therefore I am.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #431 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2554, 09:23:19 »

เผย “มีชัย ฤชุพันธุ์” เสนอในเวทีสัมมนาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่า ด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ให้นำโหวตโนมาคำนวณด้วย


 ชี้ เป็น เจตนารมณ์ของผู้ใช้สิทธิ ระบุจะทำให้สังคมมีทางออกมากขึ้น
 กรณีที่มีการระบุถึงคะแนนของผู้ประสงค์ไม่เลือกใคร หรือ โหวตโน ในมาตรา 88 และ 89
ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 นั้น
 เมื่อมีการตรวจสอบข่าวย้อน หลัง พบว่า
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้เสนอใน
 การสัมมนาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. ว่า
ควรแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดฐานคะแนนเสียงของ ส.ส.เพื่อให้คะแนนโนโหวตมีผลทางกฎหมาย
โดยเฉพาะช่องไม่ลงคะแนน เพราะการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว คะแนนโนโหวตสูงมาก แต่ไม่มีผลทางกฎหมาย

กลายเป็นเพียงแค่บัตรเสียเท่านั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่า จะต้องแก้กฎหมายให้ ส.ส.ที่ได้รับการเลือกตั้งต้องได้คะแนนสูงกว่าคะแนนโนโหวต หากไม่ผ่านต้อง มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ได้ตัวแทนที่ประชาชนยอมรับมากที่สุด “ถ้าได้คะแนนน้อยกว่าคะแนนโนโหวต จะเป็นตัวแทนของประชาชนได้อย่างไร เพราะคะแนนดังกล่าวเป็นเจตนารมณ์ของประชาชนที่ใช้สิทธิแสดงความไม่เห็น ด้วยกับตัวผู้สมัคร โดยส่วนตัวเชื่อว่า การเขียนไว้จะทำให้สังคมมีทางออกมาก ขึ้น” นายมีชัย กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อเสนอของ นายมีชัย ทำให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่ง ชาติ (สนช.) อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยส่วนใหญ่สนับสนุน อย่างไร ก็ตาม นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ แสดงความกังวลว่า หากบัญญัติไว้เช่นนั้น อาจจะเป็นการเปิดช่องทาง ให้มีการรณรงค์โนโหวต จนทำให้ได้ ส.ส.ไม่ ครบ 400 คน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน และภาคเหนือ เราจะแก้ปัญหา อย่างไร ขณะที่ นายสำราญ รอดเพชร เสนอว่า ถ้าจะให้คะแนนโนโหวตมีผล ทางกฎหมาย ต้องนำคะแนนโนโหวตทั้งหมดมาเปรียบเทียบกับคะแนน ส.ส.ทั้งหมดของประเทศ หากมีคะแนนน้อยกว่าคะแนนโนโหวต ต้องมีการ เลือกตั้งใหม่ ด้าน นายณรงค์ โชควัฒนา กล่าวว่า เห็นด้วยที่ให้คะแนนโนโหวตมีผลทาง กฎหมาย และจะเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคเล็กมีโอกาสในการแข่งขันมากขึ้น และขอเสนอว่า ผู้สมัครคนใดที่ได้คะแนนเสียงน้อยกว่าคะแนนโนโหวต ควรตัด สิทธิ์ผู้สมัครคนดังกล่าวออกจากพื้นที่ไปเลย เพราะถือว่าประชาชนไม่ยอมรับ แล้ว และยังเสนอในส่วนของการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งว่า หากนักการเมืองคน ใดถูกเพิกถอนสิทธิ ด้วยข้อหาการทุจริต ไม่ควรถูกจำกัดสิทธิเพียง 5 ปี แต่ ควรเพิกถอนสิทธิตลอดชีวิต เพราะการจับคนโกงไม่ใช่เรื่องง่าย จึงควรลงโทษ ให้หนักให้หมดอาชีพนักการเมืองไปเลย

      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #432 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2554, 13:22:54 »

ขอบคุณน้อง เจียม  เมื่อกี้ได้ใช้ลิ้งค์ นี้เเหละไปเลือกตั้ง

พอดีบางปีหน่วยเลือกตั้งพี่แอ๊ะเขาเปลียน วัด (วัดคือหน่วยเลือกตั้ง)

พอดี จดหมายของพี่เเอ๊ะทีบอกว่าจะไปเลือกที่ไหน

เขาบอกรายชื่อ partylist ด้วยพี่เเอ๊ะอยากอ่านว่าเป็นใครมั่งเเต่ตอนนั้นกำลังทำงานไม่มีเวลาอ่าน

บอกให้เเม่บ้านเอาไปเก็บไว้ในบ้าน

เธอได้ยินว่าให้เอาไปใส่ถังขยะ

พอตามหาเธอบอกว่าหนูเอาไปทิ้งเเล้ว555555

เลยใช้ ลิ้งค์น้อง  jeam  เเทน

พี่หาญตื่นเต้นมาก แกไม่รู้เรื่องไอที พอใส่เลขที่บัตรปชช.พี่หาญลงไป
เขาก็บอกว่าให้ไปเลือกตั้งที่ไหน


แกบอกว่า  ไอ้ หยา มีอย่างนี้ด้วยหรือ


อ้างถึง
ข้อความของ jeam เมื่อ 29 มิถุนายน 2554, 19:37:28
นำมาฝาก......

http://www.khonthai.com/Election/enqvoter/indexenqvoter.php
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #433 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2554, 14:15:44 »

อ้างถึง
ข้อความของ prapasri AH เมื่อ 03 กรกฎาคม 2554, 13:22:54
ขอบคุณน้องเเหลม  เมื่อกี้ได้ใช้ลิ้งค์ นี้เเหละไปเลือกตั้ง

พอดีบางปีหน่วยเลือกตั้งพี่แอ๊ะเขาเปลียน วัด (วัดคือหน่วยเลือกตั้ง)

พอดี จดหมายของพี่เเอ๊ะทีบอกว่าจะไปเลือกที่ไหน

เขาบอกรายชื่อ partylist ด้วยพี่เเอ๊ะอยากอ่านว่าเป็นใครมั่งเเต่ตอนนั้นกำลังทำงานไม่มีเวลาอ่าน

บอกให้เเม่บ้านเอาไปเก็บไว้ในบ้าน

เธอได้ยินว่าให้เอาไปใส่ถังขยะ

พอตามหาเธอบอกว่าหนูเอาไปทิ้งเเล้ว555555

เลยใช้ ลิ้งค์น้อง  jeam  เเทน

พี่หาญตื่นเต้นมาก แกไม่รู้เรื่องไอที พอใส่เลขที่บัตรปชช.พี่หาญลงไป
เขาก็บอกว่าให้ไปเลือกตั้งที่ไหน


แกบอกว่า  ไอ้ หยา มีอย่างนี้ด้วยหรือ


อ้างถึง
ข้อความของ jeam เมื่อ 29 มิถุนายน 2554, 19:37:28
นำมาฝาก......

http://www.khonthai.com/Election/enqvoter/indexenqvoter.php
แม่ยกอภิสิทธ์ คงลุ้นมากเลยขอบคุณผิดๆถูกๆ เดี๋ยวน้องเจียมเขาจะน้อยใจนะครับ
วันนี้ ผมก็ไป ดองปู และส่งคุณหนูกลับบ้านเรียบโร้ย..แล้วครับ
เดี๋ยวแม่ยก คงได้เป่าปี่กันเป็นแถวๆๆ เพราะคุณหนู ต้องกลับบ้านไปนั่งบี้สิว กับใครไม่รู้..555555

แล้วก็ต้องหันมาขอคืนดี เสื้อเหลือง เพื่อไป ต่อสู้กับเหลี่ยมอีกหน
แต่ คราวนี้ ตัวใครตัวมันละครับ
ขอให้โชคดีนะครับ..แม่ยก ปชป....555555
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #434 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 10:15:17 »

พี่แอ๊ะครับ
พี่รู้จัก หลวงพ่อดีเนาะ ที่จ.หวัด อุดรธานี มั้ยครับ
เรื่องนี้ท่านคงบอกว่า

ทักษิณ มาก็ดีเนาะ...
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #435 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 12:24:15 »

"แม่ยกอภิสิทธ์ คงลุ้นมากเลยขอบคุณผิดๆถูกๆ เดี๋ยวน้องเจียมเขาจะน้อยใจนะครับ"


กับพี่กับเชื้อ ก็ไม่เว้นนะคะคุณปูแดงตะวัน  คนอื่นไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงด้วย มีพี่แอ๊ะ นี่แหละไม่กลัว ปูเเดงตะวันอยู่คนเดียว
5555555
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #436 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 14:06:38 »

เเม่ยกอภิสิทธ์

ไม่ได้เป็นแม่ยก ค่ะ ไม่ใช่ ลิเก

แต่ชอบคนดีมีการศึกษา เป็นผู้ดี และมีคุณธรรม ไม่เอาความเป็นผู้ดี มาข่มคนอื่น

และตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติ ที่จริงชาตินี้ทั้งชาติ อยู่สบายๆก็ได้ เเต่ต้องการทำงานเพื่อชาติ

เเละไม่ทำธุรกิจใดๆที่จะทำให้เสียหายต่อการทำหน้าที่ให้กับประเทศ

แค่นี้ก็ยังไม่พอใจอีกหรือ ที่คนไทยคนหนึ่ง เกิดในต่างเเดนเเต่รักประเทศชาติ

พูดภาษาไทย  ไม่ดัดจริต ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ผิดเเม้เเต่นิดเดียว

พี่แอ๊ะ ไม่ได้สนิท กับคูณอภิสิทธิ์ นะคะ เเต่ มองคนเเบบให้ความเป็นธรรม

การบริหารประเทศในช่วงวิกฤติขนาดนี้ ทำได้เเค่นี้พี่แอ๊ะก็พอใจ แล้วค่ะ


ไม่สนใจคะเเนน โหวต no หรอก ค่ะอุตส่าห์เอาวัวเอาควายมาขึ้นป้ายเเทบตาย

ก็ไม่ได้ฉุดคะเเนน ลงไปให้เห็นเป็นความเเตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ

เหนื่อยเปล่ากับการโหวตโน แถม คนด่าด้วย  จะประชดประเทศชาติไปทำไมกัน

เขาเรียกว่าว่าขี้เเพ้ชวนตี


พี่เเอ๊ะยินดีให้ เพื่อไทยเป็นรัฐบาล เคารพเสียงของประชาชนค่ะ

      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #437 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 15:04:56 »

อ้างถึง
ข้อความของ prapasri AH เมื่อ 04 กรกฎาคม 2554, 14:06:38
เเม่ยกอภิสิทธ์

ไม่ได้เป็นแม่ยก ค่ะ ไม่ใช่ ลิเก

แต่ชอบคนดีมีการศึกษา เป็นผู้ดี และมีคุณธรรม ไม่เอาความเป็นผู้ดี มาข่มคนอื่น

และตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติ ที่จริงชาตินี้ทั้งชาติ อยู่สบายๆก็ได้ เเต่ต้องการทำงานเพื่อชาติ

เเละไม่ทำธุรกิจใดๆที่จะทำให้เสียหายต่อการทำหน้าที่ให้กับประเทศ

แค่นี้ก็ยังไม่พอใจอีกหรือ ที่คนไทยคนหนึ่ง เกิดในต่างเเดนเเต่รักประเทศชาติ

พูดภาษาไทย  ไม่ดัดจริต ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ผิดเเม้เเต่นิดเดียว

พี่แอ๊ะ ไม่ได้สนิท กับคูณอภิสิทธิ์ นะคะ เเต่ มองคนเเบบให้ความเป็นธรรม

การบริหารประเทศในช่วงวิกฤติขนาดนี้ ทำได้เเค่นี้พี่แอ๊ะก็พอใจ แล้วค่ะ


ไม่สนใจคะเเนน โหวต no หรอก ค่ะอุตส่าห์เอาวัวเอาควายมาขึ้นป้ายเเทบตาย

ก็ไม่ได้ฉุดคะเเนน ลงไปให้เห็นเป็นความเเตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ

เหนื่อยเปล่ากับการโหวตโน แถม คนด่าด้วย  จะประชดประเทศชาติไปทำไมกัน

เขาเรียกว่าว่าขี้เเพ้ชวนตี


พี่เเอ๊ะยินดีให้ เพื่อไทยเป็นรัฐบาล เคารพเสียงของประชาชนค่ะ



  หนูก็ยินดีค่ะ..ถ้าเขาจะทำให้ชาติเจริญขึ้น...เพียงแต่กลัว.........ค่ะ...
      บันทึกการเข้า
jeam
สมาชิกวิสามัญ
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 574

« ตอบ #438 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 17:10:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ prapasri AH เมื่อ 04 กรกฎาคม 2554, 14:06:38
เเม่ยกอภิสิทธ์

ไม่ได้เป็นแม่ยก ค่ะ ไม่ใช่ ลิเก

แต่ชอบคนดีมีการศึกษา เป็นผู้ดี และมีคุณธรรม ไม่เอาความเป็นผู้ดี มาข่มคนอื่น

และตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติ ที่จริงชาตินี้ทั้งชาติ อยู่สบายๆก็ได้ เเต่ต้องการทำงานเพื่อชาติ

เเละไม่ทำธุรกิจใดๆที่จะทำให้เสียหายต่อการทำหน้าที่ให้กับประเทศ

แค่นี้ก็ยังไม่พอใจอีกหรือ ที่คนไทยคนหนึ่ง เกิดในต่างเเดนเเต่รักประเทศชาติ

พูดภาษาไทย  ไม่ดัดจริต ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ผิดเเม้เเต่นิดเดียว

พี่แอ๊ะ ไม่ได้สนิท กับคูณอภิสิทธิ์ นะคะ เเต่ มองคนเเบบให้ความเป็นธรรม

การบริหารประเทศในช่วงวิกฤติขนาดนี้ ทำได้เเค่นี้พี่แอ๊ะก็พอใจ แล้วค่ะ


ไม่สนใจคะเเนน โหวต no หรอก ค่ะอุตส่าห์เอาวัวเอาควายมาขึ้นป้ายเเทบตาย

ก็ไม่ได้ฉุดคะเเนน ลงไปให้เห็นเป็นความเเตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ

เหนื่อยเปล่ากับการโหวตโน แถม คนด่าด้วย  จะประชดประเทศชาติไปทำไมกัน

เขาเรียกว่าว่าขี้เเพ้ชวนตี


พี่เเอ๊ะยินดีให้ เพื่อไทยเป็นรัฐบาล เคารพเสียงของประชาชนค่ะ



สำหรับผมแล้ว พยายามมองการเมืองไทยแบบ Bird eye view.....ครับ
เพื่อที่จะได้ไม่ไป IN
และหาเหตุผลมาวิเคราะห์ ว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ แบบนั้น

ประชาธิปัตย์ ไม่สามารถสร้างกระแส ...พวกคนบ้านมีรั้วบ้าน...ได้มากพอ
และยังมีบางส่วนตีตัวออก ดูจาก....จำนวน สส. ของกทม....

ได้โอกาสทำงานแล้ว แต่กลับไม่รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่านี้
เพื่อสร้างฐานมวลชนให้กระจายไปสู่ ...คนบ้านไม่มีรั้ว...ในวงกว้าง
ใช้การตลาดไม่เป็น อภิสิทธิ์ และ กุนซือ รอบข้าง คิดแบบผู้ดีเกินไป

การแก้ัปัญหาบางครั้ง อ้างอิงหลักการ จนไม่กล้าสั่งการ
กุนซือรอบข้าง มีแต่พวก นักกฏหมาย นักเศรษศาสตร์ นักบัญชี และก็แพทย์

น่าจะมีพวกวิศวกร บ้าง เผื่อว่าวิธีคิดจะได้แตกต่างไปจากที่เป็นอยู่
เพื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว วิศวกร จะหาทางทำให้ได้ ไม่ว่าวิธีใดก็ตาม เรียกว่า...ถึงลูก...ถึงคน...กว่า
(เขียนในฐานะที่ มีความรู้สึกแบบ วิศวกร)

ถ้าจำไม่ผิด เคยดูจากการนำมาพูดของ...สุทธิชัย หยุ่น...ว่า
ผู้นำจีนยุคปัจจุบัน ถ้ามองดูภูมิหลัง จะพบว่าเกินกว่าครึ่ง เป็นผู้ที่จบทางสาขาวิศวกรรม
นับตั้งแต่ประธานาธิปดีหูจิ่นเทา จบวิศวกรรมไฮดรอลิก
ดังนั้น ทำไมจีนถึงแข็งแกร่งขึ้นมาได้

ประชาธิปัตย์ ต้องเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำงาน เมื่อโอกาสมาถึง
ไม่ใช่ปล่อยให้หลุดลอยไป อย่างที่เกิดขึ้น......

ผมก็เขียนไปเรื่อยเปื่อยแหละครับ
      บันทึกการเข้า

I think, therefore I am.
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #439 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 17:49:36 »

คุณเจียม

ผมสนับสนุนความเห็นของคุณเจียมครับ
      บันทึกการเข้า
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #440 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 18:22:56 »

อ้างถึง
ข้อความของ jeam เมื่อ 04 กรกฎาคม 2554, 17:10:16
อ้างถึง
ข้อความของ prapasri AH เมื่อ 04 กรกฎาคม 2554, 14:06:38
เเม่ยกอภิสิทธ์

ไม่ได้เป็นแม่ยก ค่ะ ไม่ใช่ ลิเก

แต่ชอบคนดีมีการศึกษา เป็นผู้ดี และมีคุณธรรม ไม่เอาความเป็นผู้ดี มาข่มคนอื่น

และตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติ ที่จริงชาตินี้ทั้งชาติ อยู่สบายๆก็ได้ เเต่ต้องการทำงานเพื่อชาติ

เเละไม่ทำธุรกิจใดๆที่จะทำให้เสียหายต่อการทำหน้าที่ให้กับประเทศ

แค่นี้ก็ยังไม่พอใจอีกหรือ ที่คนไทยคนหนึ่ง เกิดในต่างเเดนเเต่รักประเทศชาติ

พูดภาษาไทย  ไม่ดัดจริต ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ผิดเเม้เเต่นิดเดียว

พี่แอ๊ะ ไม่ได้สนิท กับคูณอภิสิทธิ์ นะคะ เเต่ มองคนเเบบให้ความเป็นธรรม

การบริหารประเทศในช่วงวิกฤติขนาดนี้ ทำได้เเค่นี้พี่แอ๊ะก็พอใจ แล้วค่ะ


ไม่สนใจคะเเนน โหวต no หรอก ค่ะอุตส่าห์เอาวัวเอาควายมาขึ้นป้ายเเทบตาย

ก็ไม่ได้ฉุดคะเเนน ลงไปให้เห็นเป็นความเเตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ

เหนื่อยเปล่ากับการโหวตโน แถม คนด่าด้วย  จะประชดประเทศชาติไปทำไมกัน

เขาเรียกว่าว่าขี้เเพ้ชวนตี


พี่เเอ๊ะยินดีให้ เพื่อไทยเป็นรัฐบาล เคารพเสียงของประชาชนค่ะ



สำหรับผมแล้ว พยายามมองการเมืองไทยแบบ Bird eye view.....ครับ
เพื่อที่จะได้ไม่ไป IN
และหาเหตุผลมาวิเคราะห์ ว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ แบบนั้น

ประชาธิปัตย์ ไม่สามารถสร้างกระแส ...พวกคนบ้านมีรั้วบ้าน...ได้มากพอ
และยังมีบางส่วนตีตัวออก ดูจาก....จำนวน สส. ของกทม....

ได้โอกาสทำงานแล้ว แต่กลับไม่รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่านี้
เพื่อสร้างฐานมวลชนให้กระจายไปสู่ ...คนบ้านไม่มีรั้ว...ในวงกว้าง
ใช้การตลาดไม่เป็น อภิสิทธิ์ และ กุนซือ รอบข้าง คิดแบบผู้ดีเกินไป

การแก้ัปัญหาบางครั้ง อ้างอิงหลักการ จนไม่กล้าสั่งการ
กุนซือรอบข้าง มีแต่พวก นักกฏหมาย นักเศรษศาสตร์ นักบัญชี และก็แพทย์

น่าจะมีพวกวิศวกร บ้าง เผื่อว่าวิธีคิดจะได้แตกต่างไปจากที่เป็นอยู่
เพื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว วิศวกร จะหาทางทำให้ได้ ไม่ว่าวิธีใดก็ตาม เรียกว่า...ถึงลูก...ถึงคน...กว่า
(เขียนในฐานะที่ มีความรู้สึกแบบ วิศวกร)

ถ้าจำไม่ผิด เคยดูจากการนำมาพูดของ...สุทธิชัย หยุ่น...ว่า
ผู้นำจีนยุคปัจจุบัน ถ้ามองดูภูมิหลัง จะพบว่าเกินกว่าครึ่ง เป็นผู้ที่จบทางสาขาวิศวกรรม
นับตั้งแต่ประธานาธิปดีหูจิ่นเทา จบวิศวกรรมไฮดรอลิก
ดังนั้น ทำไมจีนถึงแข็งแกร่งขึ้นมาได้

ประชาธิปัตย์ ต้องเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำงาน เมื่อโอกาสมาถึง
ไม่ใช่ปล่อยให้หลุดลอยไป อย่างที่เกิดขึ้น......

ผมก็เขียนไปเรื่อยเปื่อยแหละครับ


พี่แอ๊ะครับ อย่าโกรธ ผมเลยนะครับ
ความเห็นของน้องเจียม ตรงเผงที่สุดครับ
พี่แอ๊ะลองใคร่ครวญ และพิจารณา ข้อมูลให้ถี่ถ้วน

ผมเองก็ไม่ได้นิยมชมชอบ พวกไอ้เหลี่ยมเลยเกลียดมันพอๆกับที่พี่รังเกียจมัน
แต่ที่ต่อต้านและไม่เลือกอภิสิทธ์ เพราะอภิสิทธ์ เป็นคนอีโก้ ดื้อ คิดว่าตัวเองเก่ง
ไม่ฟังเสียงคนอื่น เสื้อเหลืองที่ผ่านมาก็สนับสนุน อภิสิทธ์ มามากมาย
อย่างตอนอภิปราย นายกสมัคร ก็ป้อนข้อมูล เรื่องเขาพระวิหารอย่างเต็มที่
แต่เมื่อเขาเป็นรัฐบาล กลับมารังแก เสื้อเหลือง
แกนนำจะฟ้องไม่ว่า แต่กลับเหวี่ยงแห ประชาชนที่เขาไม่ใช่แกนนำก็โดนข้อหาก่อการร้าย
คนตายและบาดเจ็บจากเหตุการณ์ 7 ตุลาก็ไม่ช่วยอะไรเลย
อย่างนี้คนเขาเจ็บช้ำมาก แล้วใครจะมาเลือก แถมสุเทพก็ด่าพันธมิตรตลอด
ไม่แยกมิตร แยกศัตรู อย่างนี้ คะแนนก็หายหมดซิครับ

อภิสิทธ์อ่อนหัดเกินไป เขาเป็นเด็กเก่ง แต่เขาไม่เข้าใจสังคมไทย ที่มันต้องลูกทุ่ง
มีลูกล่อลูกชน..เขาเชื่อแต่แก๊งไอติมของเขา ที่ละอ่อน ทางการเมืองทั้งนั้น
สุเทพ ก็มัวแต่บ้าอำนาจ โกงกิน ไม่เคยจะมาคิด บริหารจัดการ เรื่องราวต่างๆให้มันดี
เมื่อมีอำนาจ ต้องจัดการกับฝ่ายตรงข้ามให้เด็ดขาด มาทำตัวสำอางค์เป็นผู้ดี มันก็จบเท่านั้นเอง


ปชป.ต้องหาหัวใหม่ และเปลี่ยนแนว ทางการทำงาน
ต้องคิดใหม่ ที่ไปลอกการบ้านทักษิณมามันไม่ได้ผล


พี่ลองคิดดู ชูวิทย์ ที่หาเสียงคนเดียวแต่ได้คะแนนมาอื้อ เขามาแนวทางเีดียวกับ เสื้อเหลือง
ที่ว่า นักการเมืองชั่ว คอรับชั่น ซึ่งถูกใจคนจำนวนมาก
ตอนนั้นถ้า อภิสิทธ์กล้าๆ หน่อย ปฎิรูปการเมือง และยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่านี้
คงไม่อับจนอย่างวันนี้

ลองพิจารณาความเห็นของน้องเจียมให้ดี มันคือ บทวิเคราะห์ ที่เป็นกลางชัดเจน และเป็นวิทยาศาสตร์

เราหัวอกเดียวกันแหละครับ ผมไม่นิยม ปู ครับ ไม่ว่าปูแดง หรือ ปูเหลี่ยม

ปชป.ต้องรู้จักสร้างฐานมวลชน ไม่ใช่กระจุกตัวแค่ ภาคใต้ และพวกบ้านมีรั้ว

แต่หนนี้ ต้องเหนื่อยหนักละครับ
แต่คนชั่ว มันต้องสดุดขาตัวเองแน่ๆ ขอแต่ ปชป.ต้องสรุป บทเรียน ความผิดพลาดให้ถูกต้อง
ไม่ใช่มาโทษ เสื้อเหลือง และ โวตโน

ขอให้โชคดีนะครับ วันหนึ่งข้างหน้า เราคงมาจับมือกันสู้กับพวกโครตรโกงอีกแน่ๆ
แต่เสร็จสมหวังแล้ง อย่ามาถีบหัวเราส่งอีกแล้วกัน
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #441 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 20:11:20 »

เบื่อทะเลาะกับคนกันเอง น้อง เเดงตะวัน แล้วล่ะ

เอาเวลาไปดูนางงามยิ้มไปยิ้มมาใส่หน้ากล้อง

เวลาพูดก็อ่าน script ไปด้วย นายกหญิงน่ารักดีจัง

พอไม่มีกล้องก็หน้าหงุดหงิดเเบบผู้จัดการในบริษัท

ชี้นิ้ว สั่งงานอย่างโน้นอย่างนี เป็นอาซิ้มเต็มที่

พอผู้สื่อข่าวเเพนกล้องมา ก็ยิ้มให้เหมือนประกวดนางสาวไทย ยังไงยังงั้น

ดูแล้วมีความสุขดีค่ะ
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #442 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 20:13:23 »


บายๆ ๆ

นะน้องเเดงตะวัน เเล้วเจอกันเมื่อชาติและประชาชนต้องการค่ะ

ตอนนี้ประชาชนไม่ต้องการ ลาก่อนล่ะ ซาหวัดดี
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #443 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 20:20:01 »

ขอบคุณพี่แอ๊ะ ที่แวะมาสร้างสีสรร ให้ห้องนี้ชั่วขณะ
ผมยังรักและเคารพพี่เหมือนเดิม แม้อุดมการณืเราจะต่างกัน

ยังไงก็ช่วยบอก อภิสิทธ์ว่า ให้ไปรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี
อย่ากลับลำมาเป็น หน.ปชป.อีกครั้งนะครับ
เพราะยังไงๆๆก็สู้ทักษิณไม่ได้ ให้คนอื่นที่เขาลูกล่อลูกชนมากกว่านี้
เข้ามากอบกู้ ปชป.นะครับ
หวัดดีครับ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #444 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 21:01:13 »

ยังไงก็ช่วยบอก อภิสิทธ์ว่า ให้ไปรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี

อย่ากลับลำมาเป็น หน.ปชป.อีกครั้งนะครับ



พี่แอ๊ะ ไม่ได้สนิท กับเขาที่จะคุยได้ อย่าฝากพี่แอ๊ะเลย เเต่พี่เเอ๊ะชื่นชม คนดี ที่ไม่โกงไม่กิน

ปชป.คนไหนโกงกินพี่แอ๊ะก็ไม่พิสวาทด้วยค่ะ

เเละคนเราไม่ได้เก่งเเบบคนทักษิณไปทุกคน

การทำงานการเมืองที่บริสูทธิ์ต้องไม่ทำการตลาด เหมือนธุรกิจ

แต่อาจจะมี campaigne บ้าง

การทำงานการเมืองจะต้องไม่หวังผลกำไรให้ตัวเอง

อยากได้กำไรก็ทำธรุกิจดีกว่า

ว่าจะไม่มาหาตะวันเเดงเเล้ว

ว่างๆหากไม่อยากทะเลาะก็ไปคุยห้องพี่เเอ๊ะ นะคะ

      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #445 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 21:08:36 »

มาอีกทีค่ะ ว่าจะจากน้องตะวันเเดงเเล้วเเต่ได้รับอีเมล์จากพี่ที่นับถือท่านหนึ่งเลยอยากจะบอกค่ะ


พี่เคยพูดกับกรรมการร่างรธน.ยุค คมช.ว่าสีแดงเขาเหนียวแน่นเรื่อง"ขายตรง" หมายความว่าเขาจัดตั้งสมาชิกแน่นหนา เงิน

ถึง นำเลี้ยงถึง พยากรณ์ว่าเลือกกี่ครั้งก็ได้ เพราะฐานเจดีย์คือระดับรากหญ้า เกษตรกรและแรงงาน กว่า 50% แม้เสียงชนชั้น

กลางและระดับบนก้สู้เขาไม่ได้ เผาบ้านเมืองก็มาจากกลุ่มนี้ ดังนั้นพวกเรากลุ่มเสียงข้างน้อยต้องปรับยุทธวิธีใหม่ คนในกรุง

และเทศบาลน่าจะเลือกปชป.แต่นอกเทศบาลเลือกสีแดงแน่นอน การปรับตัวอาจต้องทำใจ พี่ไม่แน่ใจว่าหากสีแดงกร้าว เรียก

ร้องมาก อาจถุกโต้กลับและเกิดนำผึ้งหยดเดียวและกลายเป้นสงครามกลางเมืองพราะชนชั้นกลางและระดับสูงรับไม่ได้จึงขอ

ให้เฝ้าดูไปประมาณ 3 ไตรมาส( 9 เดือน)จะเห็นรูปร่างว่าคุณปูเธอบริหารได้หรือไม่ อย่างไร
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #446 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2554, 22:11:05 »

ถึงพี่จะยัดเยียด ให้ผมเป็นตะวันแดง
แต่ผมก็ไม่นิยม เสื้อแดงเด็ดขาด
คราวก่อนพี่ก็เห็นว่า ผมยืนหยัดซัดกับพวกเสื้อแดงมามากมายแค่ไหน
แต่มาผิดหวังอย่างแรงกับอภิสิทธ์ จึงไม่เลือก และไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือเขาอีก

ปชป.ต้องปรับกระบวนท่าใหม่ สร้างฐาน มวลชน ของตัวเองขึ้นมา
ต้องรุกเข้าหามวลชน สร้างฐาน ใน ภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก
น่าจะรุกคืบ แย่งเสียง สส.คืนมาได้มากพอสมควร
แต่ต้องเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงานใหม่ ไม่ชักช้า ความคิดโบราณ ตีีแต่ฝีปาก
และหานักวิศวกร เข้ามาสร้างแนวทางพรรคใหม่

ผมเชื่อว่า ทักษิณต้องสดุดขาตัวเองอีกครั้ง
( ไม่รู้เมื่อไร..อดใจรอ..หมูมันอดกิน อาจม ไม่ได้หรอกครับ)
แถมยายปูดอง..(นักข่าวเรียกเธอว่า PROXy)...ฝีมือไม่เท่าไหร่หรอกครับ
แต่ถ้า ปชป.ไม่ปรับ แนวทางพรรคใหม่ ก็ไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก


คุยกันได้เสมอครับ..ไม่ใช่เราทะเลาะกันนะครับ..เรียกว่า แลกเปลี่ยนทัศนะกันมากกว่า
ผมยินดี เสนอความคิดสร้างสรรให้กับ ปชป.

พี่ก็รู้ว่า ลุงจำลองเป็นคนดี..และผมก็ยืนอยู่ข้างลุงจำลองเสมอ..
และลุงจำลองนี้แหละที่ไม่เคยพูดจาหยาบคาย กลับต้องมาว่า อภิสิทธ์ ตอแหล
พี่ต้องยอมรับความจริง เพราะ มหาจำลอง ไม่ผิดศิลแน่นอน...
ขอเป็นกำลังใจให้ ปชป.ยุคใหม่ ผลัดใบเถิดครับ..วิธีเก่า โบราณ มันใช้ไม่ได้แล้วครับ
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #447 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2554, 12:34:58 »

ทวงสัญญาประชานิยม "หลอกว่าจะให้"
 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กรกฎาคม 2554 16:59 น.
 
 
นโยบายประชานิยม "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" กำลังถูกจับจ้องว่าจะนำพาไทยสู่ความรุ่งเรืองหรือวิกฤต
 
 
       ASTVผู้จัดการออนไลน์ - คำสัญญาหลอกว่าจะให้กลายเป็นบ่วงรัดคอเพื่อไทย พิสูจน์น้ำยาประชานิยมสินค้าเก่ารีแบรนด์ใหม่ หากทำไม่ได้กระแสตีกลับถูกเหยียดหยันดีแต่พูดไม่ต่างประชาธิปัตย์แน่ ผู้ใช้แรงงานทวงค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท บัณฑิตใหม่ฝันเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท นักเรียนทุกคนรอแจกคอมพิวเตอร์ เกษตรกรตั้งตาคอยพักหนี้ รีไฟแนนซ์หนี้ส่วนบุคคล คืนภาษีผู้ซื้อบ้านซื้อรถ ลดราคาน้ำมัน เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุหัวละพัน รับจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท ขณะที่เสียงค้านเริ่มดัง ห่วงใช้จ่ายเกินตัวเกิดวิกฤตเศรษฐกิจพาชาติล่มจม
       
       การเลือกตั้งเมื่อ 3 ก.ค. 54 ที่ผ่านมา ทุกพรรคการเมืองต่างแข่งขันกันหาเสียงด้วยนโยบายประชานิยม ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยเจ้าตำหรับประชานิยมก็ได้มาด้วยคำสัญญาต่างๆ นาๆ เช่นเดียวกัน ดังนั้น ภารกิจสำคัญของเพื่อไทยหลังชัยชนะจึงไม่ใช่แค่เรื่องการนิรโทษกรรม ทักษิณ ชินวัตร ที่แอบซ่อนไว้เบื้องหลังเท่านั้น แต่ยังต้องทำให้คำสัญญา “หลอกว่าจะให้” เป็นจริงให้ได้ด้วยเพื่อรักษาคะแนนนิยมไม่ให้มวลชนรากหญ้ารู้ว่าดีแต่คุยโม้โอ้อวดไม่ต่างจากประชาธิปัตย์
       
       แต่ในทางกลับกันก็มีเสียงแสดงความห่วงใยหากเพื่อไทยทำตามคำสัญญาหลอกว่าจะให้ได้จริง ก็เท่ากับว่า ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย นำพาประเทศเดินเข้าสู่กับดักวิกฤตเศรษฐกิจสร้างประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เพราะรัฐบาลจะต้องกู้เงินจำนวนมหาศาลมาทุ่มเทให้กับโครงการลดแลกแจกแถมตามที่สัญญาเอาไว้
       
       ย้อนกลับมาดูกันว่า คำสัญญาหลอกว่าจะให้ หลอกว่าจะทำนั้น ต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลขนาดไหน ซึ่งก่อนนี้มีนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการคลัง ออกมาให้ข้อมูลเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ โดยประเมินกันว่านโยบายประชานิยมลดแลกแจกแถมของเพื่อไทยนั้นจะต้องใช้เงินเพิ่มประมาณ 1 ล้านล้านบาท ถ้ารวมกับโครงการลงทุนต่างๆ เช่น รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ระบบน้ำ ฯลฯ ประมาณ 3 ล้านล้านบาท รวมๆ แล้วเม็ดเงินที่จะใช้จ่ายเพิ่มสูงถึงประมาณ 4 ล้านล้านบาท
       
       สำหรับโครงการตามนโยบายที่เพื่อไทยหาเสียง ซึ่งจะต้องหาเงินใส่ลงไป มีดังนี้
       
       1.องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับเงินเพิ่ม 25%
       2.เพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านๆ ละ 1 ล้านบาท 80,000 หมู่บ้าน ประมาณ 80,000 ล้านบาท
       3.พักหนี้เกษตรกร ไม่เกิน 500,000 บาท 5 ปี และหนี้ไม่เกิน 5 ล้านบาท ยืดหนี้ 10 ปี ประมาณ 20,000 ล้านบาท
       4.รีไฟแนนซ์หนี้ส่วนบุคคลไม่เกิน 500,000 บาท ไม่น้อยกว่า 3 ปี และปรับโครงสร้างหนี้ผู้ที่มีหนี้เกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท ประมาณ 10,000 ล้านบาท
       
       5.ลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% รัฐสูญเสียรายได้ ประมาณ 98,000 ล้านบาท (1% ของภาษีที่ลดลงเท่ากับ 14,000 ล้านบาท)
       6.ปรับเงินเดือนให้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
       7.จบปริญญาตรีเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท หากคำนวณจากจำนวนบัณฑิตจบใหม่ต่อปี 400,000 คน ฐานเงินเดือนปัจจุบัน 10,500 บาท ต้องใช้เงินประมาณ 700 ล้านบาท
       8.คืนภาษีและเพิ่มค่าลดหย่อนภาษีให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรก คืนภาษีให้ผู้ซื้อรถคันแรก
       9.ตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเฉลี่ยจังหวัดละ 100 ล้านบาท รวม 77 จังหวัด ประมาณ 7,700 ล้านบาท
       10.เบี้ยเพื่อไทยวัยสูงอายุ เฉลี่ย 600 - 1,000 บาทต่อเดือน ประมาณ 4,200 - 7,000 ล้านบาท
       
       11.คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตแจกนักเรียนทุกคนทั้งประเทศ ประมาณ 80,000 - 100,000 ล้านบาท
       12.โครงการรับจำนำข้าว ผลผลิตข้าวในแต่ละปีประมาณ 30 ล้านตันๆ ละ 15,000 ประมาณ 400,000 ล้านบาท
       13.บัตรเครดิตชาวนา เกษตรกรมี 5.8 ล้านครัวเรือน ต้องการสินเชื่อ 30,000 บาทต่อฤดูกาลผลิต ตกประมาณ 174,000 ล้านบาท
       14.โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ประมาณ 130,000 ล้านบาท
       15.โครงการรถไฟฟ้า 10 สายรอบกรุงเทพฯและปริมณฑล ประมาณ 250,000 ล้านบาท
       
       16.โครงการรถไฟรางคู่เชื่อมต่อบริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ
       17.โครงการรถไฟความเร็วสูงไปนครราชสีมา ระยอง จันทบุรี ประมาณ 78,000 ล้านบาท
       18.โครงการขยายแอร์พอร์ตลิงค์ ไปพัทยา
       19.ภาคใต้ทำแลนด์บริดจ์ ประมาณ 100,000 ล้านบาท
       20.สนามบินสุวรรณภูมิให้เป็นศูนย์กลางการบิน ประมาณ 73,000 ล้านบาท
       
       21.ชลประทานระบบท่อ 25 ลุ่มน้ำ ประมาณ 400,000 ล้านบาท
       22.ตั้งกองทุนร่วมทุนในมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน เพื่อให้นักศึกษากู้ยืม 169 มหาวิทยาลัยๆ ละ 1,000 ล้านบาท ประมาณ 1.69 แสนล้านบาท
       23.ทำเขื่อนกั้นทะลไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ 30กม. ใช้เวลา 9 ปี ประมาณ 900,000 ล้านบาท หรือปีละ 1.8 แสนล้าน
       24.ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำวันละ 300 บาท
       25.ยกเลิกการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันชั่วคราว เพื่อลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซล (แต่เพื่อไทยไม่ได้บอกว่าราคาก๊าซฯจะพุ่งสูงขึ้นเพราะไม่มีเงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันแล้วจะแก้ไขอย่างไร)
       
       หากพิจารณาโครงการและเม็ดเงินลงทุนข้างต้นแล้ว หลายฝ่ายจึงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นโครงการขายฝัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าโครงการขายฝันนี้กลับขายได้ ประชาชนซื้อ ดังเช่นที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานเทคะแนนให้กับพรรคเพื่อไทย และขณะนี้พวกเขากำลังรอว่า เมื่อไหร่พรรคเพื่อไทยจะทำให้ความฝันของพวกเขาเป็นจริงเสียที ขณะที่นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เกษตรกร ฯลฯ ต่างรอความหวังจากนโยบายขายฝันของเพื่อไทยถ้วนหน้า
       
       แต่ถ้าตื่นจากฝันหันมามองความจริง คำถามแรกที่ควรถามกลับก็คือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะเอาเงินจากที่ไหนมาใส่เข้าไปในนโยบายขายฝันข้างต้น เพราะสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ประเมินกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2555 ที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 ต.ค. 54- 30 ก.ย. 55 ตามมติครม.เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 54 ว่า มีรายจ่ายอยู่ที่ 2,250,000ล้านบาท และมีรายรับ 1,900,000 ล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 350,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนงบประมาณที่ขาดดุลนี้สามารถนำมาจัดสรรเป็นงบลงทุนตามนโยบายรัฐบาลได้เพียง 186,000ล้านบาทเท่านั้น ถ้าเช่นนั้น จะเอาเงินมาจากไหนนอกจากกู้หนี้ยืมสินเพื่อมาใช้จ่าย
       
       การกู้หนี้สาธารณะ การทำงบประมาณขาดดุลอย่างต่อเนื่องเพื่อนำมาใช้จ่ายแบบเกินตัว ย่อมส่งผลต่อฐานะการเงินการคลังของประเทศ ยอดหนี้สาธารณะ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 41.28% ของจีดีพี มีแนวโน้มจะพุ่งทะยานขึ้น และหากทะลุ 60% ของจีดีพีเมื่อไหร่ก็หมายถึงหายนะของประเทศ แม้ว่า ว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะบอกว่า การดำเนินการตามโครงการขายฝันจะไม่กระทบต่อฐานะการเงินการคลังของประเทศ แต่การพูดเช่นนั้นถือเป็นคำกล่าวอ้างที่เชื่อถือได้น้อย แม้ด้านหนึ่งจะหวังว่าโครงการประชานิยมจะกระตุ้นการใช้จ่าย เพิ่มความต้องการซื้อ ทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟูรายได้หมุนเวียนกลับคืนสู่รัฐ ก็ตาม
       
       นอกเหนือไปจากนั้น สิ่งที่จะตามมากับประชานิยม ก็คือ สินค้าจะปรับราคาสูงขึ้น ค่าครองชีพพุ่ง เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นมโหฬาร
       
       ชัยชนะถล่มทลายของเพื่อไทย ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดการตัดสินใจของคนไทยที่ยกประเทศให้ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ครั้งนี้ กำลังนำไปสู่คำตอบสุดท้าย ประชาชนชาวไทยจะได้รู้กันอย่างสิ้นสงสัยเสียทีว่า แท้จริงแล้ว ทักษิณ ชินวัตร คือนักบุญหรือซาตานกันแน่

 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #448 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2554, 14:00:55 »

จดหมายถึงคนเสื้อเหลือง
 
โดย วิทยา วชิระอังกูร 10 กรกฎาคม 2554 15:35 น.
 
 
  คนเสื้อเหลือง ที่รัก
       
       หลายวันก่อนการเลือกตั้ง ฉันได้เขียนจดหมายถึงคนเสื้อแดง และพลังเงียบ เพื่อชักชวนให้มาร่วมขบวนการปฏิเสธระบบการเมืองล้มเหลวของประเทศนี้ ร่วมกับขบวนการคนเสื้อเหลืองที่รักประเทศชาติและประชาชน ด้วยการเข้าคูหากาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน
       
       บัดนี้ผลการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ก็ปรากฏผลอย่างที่เธอและคนไทยทุกคนรับทราบแล้ว คือพรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย จนผู้พ่ายแพ้ยับเยินอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์โดยดุษฎี และประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าเป็นโคลนนิ่งของ ทักษิณ ชินวัตร เพราะแม้แต่นโยบายที่ใช้หาเสียงครั้งนี้ก็ประกาศอย่างไม่กระดากอายว่า ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ
       
       กกต.ได้ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่า การลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้ จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 46,921,682 คน การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ มีผู้มาใช้สิทธิ 35,203,107 คน คิดเป็นร้อยละ 75.03 มีบัตรเสีย 1,726,051 ใบ คิดเป็นร้อยละ 4.9 บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 958,052 ใบ คิดเป็นร้อยละ 2.72 สำหรับการลงคะแนนเลือกตั้งแบบแบ่งเขต มีผู้มาใช้สิทธิ 35,119,885 คน คิดเป็นร้อยละ 74.85 มีบัตรเสีย 2,039,694 ใบ คิดเป็นร้อยละ 5.79 บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 1,419,088 คิดเป็นร้อยละ 4.03
       
       เกี่ยวกับรายละเอียดจำนวนตัวเลข ส.ส.จำนวนบัตรเสีย และจำนวนบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน ผู้รู้และผู้ช่ำชองทางการเมืองต่างก็วิเคราะห์วิจารณ์แจกแจงเหตุและผลกันไปนานัปการแล้ว ซึ่งก็ย่อมเป็นไปตามทัศนะและความเชื่อของแต่ละฝ่ายแต่ละคน แตกต่างกันไปตามข้อมูลและจุดยืนทางความคิดเห็นทางการเมืองที่ไม่เหมือนกัน
       
       ในส่วนของเธอและฉัน และแนวร่วมทั้งมวลที่ร่วมกันไปกาโหวตโน จำนวน 1.4 ล้าน กับ 9.5 แสนคน ซึ่งรวมกันกับบัตรเสียส่วนหนึ่งกับบัตรที่กาให้พรรครักประเทศไทยส่วนหนึ่ง อนุมานได้ว่าประมาณ 2 ล้านกว่าคน แม้จำนวนจะน้อยนิด เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ไปกาบัตรเลือก ส.ส.ซ้ำยังมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเรา พยายามจะวิเคราะห์ในเชิงเยาะเย้ยถากถางอย่างไรก็ตาม ฉันเองกลับมีความรู้สึกว่าคนเสื้อเหลืองอย่างเธอน่าจะอบอุ่นใจ ที่ท่ามกลางการโหมกระหน่ำโจมตีขัดขวางการโหวตโนจากนักวิชาการมากหน้าหลายตา และการบิดเบือนจากสื่อที่ไม่ซื่อต่อมวลชนทั้งทางวิทยุ ทีวี และสิ่งพิมพ์ ก่อนการเลือกตั้งอย่างเอาเป็นเอาตาย ฉันอยากชี้ให้เธอมองตัวเลขจำนวนคนที่ไปกาโหวตโน ว่าทุกเสียงทุกมือคือมิตรแท้ร่วมขบวนการที่เธอน่าจะเชื่อถือได้โดยสนิทใจว่า คนเหล่านั้นคือขบวนการคนเสื้อเหลืองที่แท้จริง
       
       ฉันกล่าวเช่นนี้ เพราะฉันเชื่อว่า จำนวนคนที่ไปกาโหวตโนครั้งนี้ น่าจะมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ใช่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำหลายสายที่เคยไหลมารวมตัวกับ พธม.และแตกกระสานซ่านเซ็นไป หลังการชุมนุม 193 วัน ที่ฉันเคยปรารภเสียดายว่า พธม.ปล่อยให้การเฮโลสาระพาตั้งพรรคการเมืองใหม่ ทำให้เกิดการกระเพื่อมอย่างรุนแรงของสายน้ำ และแตกกอแยกสายไปจำนวนมากมาย
       
       เราต้องยอมรับว่า หลักการสำคัญของการเมืองภาคประชาชนคือการรวบรวมผู้คนที่มีอุดมการณ์รักความเป็นธรรม เพื่อต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในสังคม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่การเมืองไทยกำลังเติบใหญ่กลายเป็นธุรกิจการเมือง ที่มีเครือข่ายมั่นคงแข็งแรงครอบคลุมแทบทุกบริบทของสังคมไทย การเมืองภาคประชาชนยิ่งจำเป็นจะต้องมียุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่รอบคอบแหลมคม เพื่อสร้างพลังมวลชนให้มากพอที่จะสามารถต้านทานและทลายปราการอันหนาทึบมหึมาลงไปได้
       
       การเลือกตั้งครั้งนี้ ก็เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา ยังคงไม่ซื่อไม่ตรง และใช้เงินทุนกันอย่างมหาศาล แต่ในฐานะฝ่ายเสียงข้างน้อย เธอและฉันก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการสงบนิ่งรอดูการจัดตั้งรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ซึ่งฉันไม่เคยหวังว่า ด้วยโครงสร้างระบบการเมืองและองคาพยพเดิมๆ ที่เป็นอยู่ จะทำให้การเมืองไทยพลิกฟื้นดีขึ้นในชั่วข้ามคืน ตามที่แนวร่วมคนเสื้อแดงโหมโฆษณาให้ความหวังอย่างเกินจริง
       
       อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศนี้กว่า 35 ล้านคน ยังยืนยันที่จะให้ประเทศชาตินำพาโดยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่ไม่ซื่อตรง เราก็คงต้องปล่อยให้มันดำเนินไป โดยเร่งการสัญจรให้ความรู้และแสงสว่างทางปัญญาแก่มวลชนให้มากยิ่งขึ้น และหากถึงจุดที่มันปู้ยี่ปู้ยำชาติจนรับไม่ไหวจริงๆ ถึงตอนนั้นฉันเชื่อว่า เธอจะมีแนวร่วมคนรักความเป็นธรรมออกมาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเธอ อย่างน้อยที่สุดก็ 2 ล้านกว่าคนที่ร่วมขบวนการโหวตโนในครั้งนี้
       
       หลังทราบผลการเลือกตั้ง ที่คนไทยส่วนหนึ่งถึงกับช็อกและออกมาตีโพยตีพายกันมากมาย ทำให้ฉันต้องปลงสังเวช ระบายเป็นบทกวี ซึ่งขอฝากมาให้เธออ่าน ในท้ายจดหมายนี้ด้วย
       
      เมื่อต่างเต้นไปตามเสียงปี่กลอง       เดินไปตามครรลองเขาขีดเส้น
       เลือกกันตามตรรกะเขากะเกณฑ์     ผลลัพธ์ก็ต้องเป็นไปตามนั้น
       มาตีโพยตีพายทำไมหรือ?           เมื่อต่างคนต่างซื้อต่างแข่งขัน
       ต่างโรมรันพันตู รู้เท่าทัน            มันก็พอพอกัน ทุกท่วงที
       เมื่อยอมรับยอมตามบทกำหนด       บทที่คดที่โกงได้เต็มที่
       ต่างแห่ตามกันไป อย่างเปรมปรีดิ์   เลือกได้ดีไม่ดีจะโทษใคร?
       เขาส่งใครมาให้เลือกก็ไปเลือก       เดินไปตามเส้นเชือกเขาขึงให้
       ผลลัพธ์อย่างที่เห็นที่เป็นไป           จะเลือกข้างทางใดก็เหมือนกัน
       มันล้มเหลวทั้งระบบครบถ้วนแล้ว     ตั้งสติให้แน่แน่วให้คงมั่น
       ให้รู้เรารู้เขารู้เท่าทัน                  แล้วรอวัน ปฏิรูปประเทศไทย
       การเมืองไร้ระบบเริ่มผุกร่อน         เหมือนขุยไผ่ที่ลิดรอนลำไม้ไผ่
       การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป       คือความจริงที่ยิ่งใหญ่ และยุติธรรม

       
      คนเสื้อเหลือง ที่รัก ฉันรู้และเข้าใจถึงความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของเธอ ที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย ในวังวนมายาคติของสังคมไทย ที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างสยบยอมอยู่ในภาวะยอมจำนนต่อความไม่ชอบธรรมทั้งปวง ที่นำพาโดยระบบการเมืองที่ล้มเหลว
       
       ภารกิจของเธอและคนเสื้อเหลืองทั้งมวล จึงไม่ต่างอะไรกับการว่ายทวนน้ำทวนกระแสกิเลสสังคม ซึ่งต้องเสียสละและอดทนอย่างแสนสาหัส โดยไม่ยอมย่อท้อต่อจุดหมายปลายทางที่ไกลแสนไกล
       
       คนเสื้อเหลืองที่รัก เธอและฉัน จะพบกันเสมอ ในวันเวลาที่ประชาชนคนไทยผู้รักความเป็นธรรม จำเป็นต้องลุกขึ้นมาปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า จากผู้ครองอำนาจรัฐที่ทุจริตคิดไม่ซื่อต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อันเป็นที่รักและหวงแหนของเรา
       

                               ด้วยความรักละศรัทธา
       
                                      คนสีชมพู

 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,865

« ตอบ #449 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2554, 14:03:57 »

แนวทางพระราชดำริ ที่นักการเมืองไทยไม่ทำ
 
โดย วิทยา วชิระอังกูร  15 พฤษภาคม 2554 15:37 น.
 
 
 พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 อันมีผลให้ สภาผู้แทนราษฏรและรัฐบาลสิ้นสุดวาระลง นับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
       
      นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีรักษาการ ได้แถลงต่อประชาชน ความตอนหนึ่งว่า "...ผมเชื่อว่าการยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นใหม่ด้วย เป็นการเริ่มต้นสำหรับพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่ง และเป็นการเริ่มต้นเดินหน้าประเทศไทยในการที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ของพี่น้องประชาชน และครอบครัวอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ภายใต้กระบวนการของประชาธิปไตย ผมจึงประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง และด้วยความหวังว่าพี่น้องประชาชนจะได้ใช้โอกาสที่สำคัญนี้ในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ยังคงค้างอยู่...”
       
       แต่ผมเองกลับไม่เชื่อว่าการยุบสภาครั้งนี้จะเป็นเริ่มต้นใหม่ และรู้สึกผะอืดผะอมกับวาทกรรมของนายอภิสิทธิ์ ที่ประดิษฐ์ถ้อยคำผลักภาระให้ประชาชนใช้โอกาสจากการยุบสภาครั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า และแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ยังค้างคาอยู่
       
       ผมอยากจะถามกลับว่า ตลอดระยะเวลาที่ครอบครองอำนาจรัฐอยู่เกือบสองปี นายอภิสิทธิ์ เคยคิดที่จะให้โอกาสประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองบ้างหรือไม่? แม้แต่สโลแกนสวยหรูที่ว่า ประชาชนต้องมาก่อน แต่ทุกสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็เห็นแต่พรรคและพรรคร่วมรัฐบาลต้องมาก่อนทุกทีไป
       
       ผมจึงยังยืนหยัดอยู่ในฟากฝั่งของฝ่ายที่เห็นว่า การเลือกตั้งไม่ใช่ทางออก เพราะโดยโครงสร้างและองคาพยพของระบบการเมืองการเลือกตั้งที่ดำรงอยู่ การเลือกตั้งก็จะถูกจำกัดวง อยู่ในแวดวงเฉพาะนักเลือกตั้งหน้าเดิมๆ ที่ต่างก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่รัฐบาลและฝ่ายค้านฝ่ายละหลายรอบ โดยไม่เคยซื่อตรง จนสร้างปัญหาหมักหมมทับถมแก่ประเทศชาติมาโดยตลอด
       
       เลือกตั้งไปก็คงเข้าอีหรอบเดิม ซึ่งไม่อาจขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า หรือแก้ไขปัญหาที่ค้างคามากมายของประเทศนี้ อย่างที่นายอภิสิทธิ์แถลงการณ์ข้างต้น
       
       ผมเสียดายโอกาสของประเทศไทยและคนไทย ที่มีองค์พระประมุขของชาติ ที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรม ทรงทุ่มเททำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนให้เห็นเป็นแบบอย่างมากว่า 60 ปี
       
       นักการเมืองที่มีโอกาสดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีทุกคน ถือเป็นกฎระเบียบและประเพณีที่จะต้องเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อเบื้องพระพักตร์ แต่แทบจะหานักการเมืองที่ซื่อสัตย์ประพฤติปฏิบัติตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ได้เลย
       
       เอาแค่การให้โอกาสหรือเตรียมความพร้อมของประชาชน ซึ่งเป็นหลักเบื้องต้นที่รัฐบาลควรทำ ไม่ว่าจะก่อนการพัฒนาในด้านต่างๆ รวมทั้งการเลือกตั้งผู้แทนนี้ด้วยก็ได้ พระองค์ท่านเคยทรงแนะนำไว้เนิ่นนานมาแล้วว่า “ต้องระเบิดจากข้างใน” คือทรงมุ่งเน้นที่การพัฒนาคน ต้องสร้างความเข้มแข็งให้คนในชุมชนที่เราจะเข้าไปพัฒนา ให้มีสภาพพร้อมที่จะรับการพัฒนาเสียก่อน ไม่ใช่การผลีผลามเอาความเจริญหรือสิ่งใหม่จากสังคมภายนอกเข้าไปหาชุมชนหมู่บ้านที่ยังไม่ทันมีโอกาสเตรียมตัวหรือตั้งตัว
       
       และแบบอย่างการพัฒนาประเทศชาติที่พระองค์ท่านทรงลงมือทำให้เห็นเป็นขั้นเป็นตอน คือมุ่งเน้นจาก “สิ่งจำเป็นที่สุดของประชาชนก่อน” เช่น เริ่มต้นจากการสาธารณสุข โดยทรงให้เหตุผลที่เป็นตรรกะว่า คนเราเมื่อมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ก็จะสามารถทำประโยชน์ด้านอื่นๆ ต่อไปได้ ต่อจากนั้นจึงเป็นการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น ถนน แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร และอุปโภคบริโภค รวมถึงการถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยีที่เรียบง่าย โดยทรงเน้นการปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ราษฎรในพื้นที่สามารถนำไปปฏิบัติได้และเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อตัวราษฎรและชุมชนโดยส่วนรวม ดังปรากฏให้เห็นในโครงการพระราชดำริต่างๆ นับร้อยนับพันโครงการ
       
       ถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และบรรดานักการเมืองทั้งหลาย ยังมืดบอดเล่นการเมืองน้ำเน่ากันแบบมองไม่เห็นหนทางหรือไร้สติปัญญาที่จะนำพาการพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองได้ นอกจากการโกหกพกลมหาเสียงกันตามฤดูกาลที่จะไปสู่การเลือกตั้งแบบเดิมๆ ที่ไม่ใช่ทางออกของประเทศไทย
       
      ผมก็ขอแนะนำให้ลองกลับไปอ่าน พระบรมราโชวาท ที่ทรงพระราชทานไว้ เมื่อ 18 กรกฎาคม 2517 เนิ่นนานถึง 34 ปีมาแล้ว ความตอนหนึ่ง ว่า...
       
       “...การพัฒนาประเทศชาติ จำเป็นต้องทำตามลำดับขั้นต้องสร้างพื้นฐานคือความพอมีพอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน ใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานที่มั่นคง พร้อมพอสมควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศ และของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดังเห็นได้ที่อารยประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในเวลานี้

       
      การช่วยสนับสนุนประชาชนในการประกอบอาชีพและตั้งตัว ให้มีความพอกินพอใช้ก่อนอื่นเป็นพื้นฐานนั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะผู้ที่มีอาชีพและฐานะเพียงพอที่จะพึ่งตนเอง ย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้าระดับที่สูงได้ต่อไปโดยแน่นอน ส่วนการถือหลักที่จะส่งเสริมความเจริญให้ค่อยเป็นไปตามลำดับ ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง และประหยัดนั้น ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาดล้มเหลว และเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จได้แน่นอนบริบูรณ์...”
       
       นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของแนวพระราชดำริ ซึ่งยังมีแบบอย่างและแนวทางอีกมากมายที่ทรงวางเป็นรากฐานการพัฒนาประเทศชาติไว้ ตลอดระยะเลาที่ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม ยาวนานกว่าหกทศวรรษ
       
       ผมอยากให้ท่านผู้มีใจเที่ยงธรรมทั้งหลาย ลองทบทวนดูว่า ตลอดระยะที่ผ่านมา มีรัฐบาลหรือนักการเมืองไทยคนไหนบ้าง ที่ยึดแนวทางการพัฒนาประเทศชาติตามแบบอย่างที่องค์พระประมุขของชาติทรงวางเป็นแนวทางและทำเป็นแบบอย่างไว้
       
       ถ้าท่านตอบว่าไม่มี เลือกตั้งครั้งนี้ ไปร่วมกัน “เข้าคูหา กาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน” หรือ Vote No สาปส่งนักการเมืองไทยรุ่นล้าหลังนี้กันเถอะครับ
       
       หลังการเลือกตั้ง เราอาจมีความหวังได้ร่วมกันปฏิรูปการเมืองไทย ให้มุ่งดีมุ่งเจริญ และร่วมกันขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางพระราชดำริขององค์พระประมุขของปวงชนชาวไทย

 
 
 
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า

iss u.Don"t be sure that the world is wide
       until you check it out by your self.
  หน้า: 1 ... 16 17 [18] 19 20 ... 33  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><