ดูภาพให้เต็มตา...เจ้าพระยาสุขาวินาศ!!? โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 8 มีนาคม 2554 14:04 น. manager online
ชาวเฟซบุ๊กรายหนึ่งเป็นคนมีฝีมือในการแสดงทัศนะในการล้อเลียนทางการเมืองด้วยภาพที่แสดงอารมณ์ขันได้อย่างแหลมคมอย่างยิ่ง โดยภาพนี้มีชื่อว่า “เจ้าพระยาสุขาวินาศ” โดยได้กล่าวหัวข้อในการเขียนครั้งนี้ว่า “ผู้กล้าคนใหม่ของกรุงรัตนโกสินทร์” ภาพทางซ้ายเป็นรูปคล้ายหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สวมชุดลิเกทาแก้มแดง ส่วนด้านขวามือเป็นภาพโถส้วมถูกทุบทิ้งอยู่บนพื้น คงไม่ต้องอธิบายกันมากเพราะทำให้ผู้ที่เห็นภาพนี้นึกถึงสถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่รัฐในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ มีความพยายามที่จะกลั่นแกล้งผู้ชุมนุมที่ออกมาเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง ด้วยการทวงคืนถนน 2 ช่องจราจรบ้าง และประกาศที่จะทุบทำลายสุขาของผู้ชุมนุมเพื่อให้ได้รับความเดือดร้อนให้ได้
เรียกได้ว่า...เห็นพระเอกลิเกคนนี้รุกไปที่ไหน ส้วมแตกที่นั่น!!!
“ผู้กล้าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์คนนี้” ลงมือในการจัดการกับผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและผู้สูงวัย ที่ออกมาเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องอธิปไตยของชาติและทวงคืนแผ่นดินที่เสียไปให้กับกัมพูชาได้ครอบครองอยู่ในปัจจุบัน
ถึงวันนี้ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโชฮุนเซน คงได้รับความนิยมในกัมพูชาอยู่ไม่น้อยเพราะสามารถเข้ามายึดดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหารได้ และกลายเป็น “วีรบุรุษ 4.6 ตารางกิโลเมตร”
ในขณะที่ “เจ้าพระยาสุขาวินาศ” ก็ทำผลงานไม่แพ้กันเพราะสามารถทวงคืนได้ 2 ช่องจราจรจากคนไทยด้วยกันเองได้สำเร็จ พร้อมให้สมุนคอยประกาศพยายามที่จะทำลายส้วมในการชุมนุม 48 ชุด คงจะกลายเป็น “วีรบุรุษ 2 เลน 48 ส้วม” ในเร็ววันนี้
เพื่อให้สมกับความเป็นลูกไล่ให้กับ “สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโชฮุนเซน” อย่างแท้จริง เจ้าพระยาสุขาวินาศ จึงน่าจะมีชื่อเต็มๆ ว่า...
“เจ้าพระยาสุขาวินาศพิชิตทวิเลนมหาถุงยางเสนาบดีเตโชฮุนมาสิทธิ์”
“เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” มีความกล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก เพราะเมื่อมีกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ 10 คน พยายามจะเดินทางไปที่หน้าบ้านของเจ้าพระยาสุขาวินาศเพื่อทวงคืนถนนที่ปิดการจราจรรอบบ้านเจ้าพระยาสุขาวินาศ ถึงกับมีการใช้กองกำลังตำรวจจำนวนมากปิดซอยสุขุมวิท 31 ทั้งซอย สร้างความเดือดร้อนไปทั่วเพียงเพื่อปกป้องอธิปไตยถนนหน้าบ้านของตัวเอง จริงหรือไม่?
ผลงานของ “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” ในยามที่นักธุรกิจและผู้ประกอบการบริเวณสี่แยกราชประสงค์ร้องเรียนให้รัฐบาลจัดการกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่เคยมีประวัติเผาบ้านเผาเมือง เจ้าพระยาสุขาวินาศกลับไล่ให้นักธุรกิจเหล่านั้นไปคุยกับคนเสื้อแดงเอาเองอย่างไม่มีเยื่อใย
ทหารและชุมชนชาวกัมพูชาที่ยึดครองดินแดนไทย “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” กลับใช้วิธีการประท้วงไปแล้วไม่ต่ำกว่า 123 ครั้ง แต่ไม่สามารถจัดการอะไรได้ จนทำให้กัมพูชาซึ่งจากเดิมอยู่บนตีนหน้าผาฝั่งกัมพูชา ได้ทยอยสร้างถนนแล้วเข้ามายึดครองง “ยอดหน้าผา” ในดินแดนไทยจนสามารถยิงอาวุธสงครามจากยอดหน้าผาฝั่งไทยใส่ทหาร ราษฎร จนได้รับบาดเจ็บล้มตาย และบ้านเรือนได้รับความเสียหาย อันถือเป็นผลงานของ MOU 2543 ที่เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ กอดเอาไว้อย่างเหนียวแน่นมาโดยตลอด
รัฐบาลของ “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” ถือเป็นรัฐบาลชุดแรกที่เชื้อเชิญประเทศที่สาม เข้ามาเป็นสักขีพยานว่า ประเทศไทยจะไม่ใช้กำลังทหารผลักดันกัมพูชาที่ยึดครองดินแดนไทย ไม่ใช้แสนยานุภาพทางการทหารเพื่อมาเป็นอำนาจต่อรองในการเจรจา และถึงขั้นที่จะนำทหารอินโดนีเซียมาสังเกตการณ์เพื่อเป็นหลักประกันว่าประเทศไทยจะไม่ปะทะเพื่อทวงคืนดินแดนจากกัมพูชาโดยเด็ดขาด
“เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” ในยามที่เป็นฝ่ายค้าน เรียกดินแดนแม้แต่ขอบๆ ของตัวปราสาทพระวิหารว่าเป็นดินแดนไทย แต่พอมาเป็นรัฐบาลกลับบอกชาวโลกว่าเส้นเขตแดนไม่ชัดเจนจนกว่าจะตกลงกันได้ระหว่างไทย-กัมพูชา
เป็นยุคแรกที่รัฐบาลไทยแทนที่จะจัดการกับทหารกัมพูชาที่รุกล้ำยึดครองดินแดนไทย กลับมาจัดการดำเนินคดีอาญากับผู้ชุมนุมที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องอธิปไตยของชาติ!!?
ความศักดิ์สิทธิ์ของ MOU 2543 ที่ “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” ยึดมั่นถือมั่นมาโดยตลอดนั้น มันได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว
MOU 2543 ที่คุยนักคุยหนาว่าจะสามารถทำให้เกิดสันติวิธี กลับกลายเป็นเครื่องมือที่กัมพูชาใช้เอาไว้สำหรับมัดมือมัดเท้าทหารไทย แล้วใช้กำลังทหารและชุมชนชาวกัมพูชาเข้ายึดครองดินแดนไทย แล้วทหารกัมพูชาก็ยิงอาวุธสงครามจากผืนแผ่นดินไทยโถมเข้าใส่ราษฎรไทยอย่างน่าอดสูยิ่ง
MOU 2543 ที่คุยนักคุยหนาว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ไม่รวมระวางดงรัก (รวมเขาพระวิหาร) นั้นเอาเข้าจริงเหตุผลนี้ก็ไม่เคยและไม่กล้าใช้ในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและอาเซียน (ซึ่งเข้าใจว่าตรรกะนี้ใช้ไม่ได้จริงในเวทีระหว่างประเทศ) ทำให้ไทยไม่สามารถยืนยันเส้นเขตแดนของตัวเองในเวทีสำคัญ ส่งผลทำให้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและอาเซียนเรียกร้องให้ทำข้อตกลงหยุดยิงถาวร ทั้งๆ ที่กัมพูชาเป็นฝ่ายรุกรานและยึดครองดินแดนไทยอยู่
MOU 2543 ที่คุยนักคุยหนาว่าจะไม่ทำให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงและจะทำให้เป็นการเจรจาทวิภาคีเท่านั้น บัดนี้ได้ไปไกลถึงขั้นกำลังจะเชิญกองกำลังทหารต่างชาติมาเป็นสักขีพยานว่า ไทยจะไม่ใช้กำลังทหารทวงคืนแผ่นดินไทยจากกัมพูชาแล้ว จนกว่าผลการเจรจาจะเป็นที่พอใจต่อฝ่ายกัมพูชาเท่านั้น มิเช่นนั้นกัมพูชาก็จะใช้สิทธิ์ครอบครองดินแดนไทยได้ตลอดไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา
ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นต้นมา ที่ฝ่ายกัมพูชาได้ยื่นถ้อยแถลงต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ยืนยันเส้นเขตแดนตาม MOU 2543 ว่าหมายถึงแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ในขณะที่ฝ่ายไทยไม่ยืนยันเส้นเขตแดนของตัวเอง แต่กลับไปใช้เหตุผลว่าเส้นเขตแดนยังไม่ชัดเจนจนกว่าจะจัดทำหลักเขตแดนให้แล้วเสร็จ ได้สร้างปัญหาบานปลายอยู่ในขณะนี้ เพราะทำให้ประชาคมโลกสนใจแต่การให้หยุดยิงโดยมองไม่เห็นปัญหาการที่กัมพูชารุกรานอธิปไตยของไทย อีกทั้งฝ่ายไทยก็ดันเป็นฝ่ายเรียกร้องให้หยุดยิงถาวรเสียเอง และร่วมเชื้อเชิญให้อินโดนีเซียเข้ามาเป็นสักขีพยานเองอีกด้วย
วันใดที่ทหารอินโดนีเซียลงพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์เมื่อใด เมื่อนั้นก็น่าเชื่อได้ว่าจะไม่มีการปะทะกันอีกระหว่างไทย-กัมพูชา เพราะหากมีลูกหลงที่ทำให้ทหารอินโดนีเซียต้องบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิต ก็จะทำให้ปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาบานปลายจนลากอินโดนีเซียเข้ามาพัวพันกับปัญหานี้อย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
การลงพื้นที่ของ “ทหารอินโดนีเซีย” ด้วยความยินยอมจากทั้ง 2 ประเทศ ทำให้กัมพูชายิ่งมั่นใจว่าประเทศไทยจะไม่มีทางใช้กำลังทหารทวงคืนแผ่นดินจากกัมพูชาได้อีกตลอดไป ซึ่งก็คือการสูญเสียดินแดนถาวรไปในทางปฏิบัตินั่นเอง
แต่ความเจ้าเล่ห์ของกัมพูชาที่พยายามรุกคืบในเกมที่ฝ่ายไทยเดินตามในการเชื้อเชิญอินโดนีเซียนั้น ได้ทำให้กัมพูชาใช้อาเซียนกดดันให้ฝ่ายไทยต้องตอบรับในแผนแม่บท (ทีโออาร์) ในการให้ทหารอินโดนีเซียเข้าสังเกตการณ์ และหากฝ่ายไทยถ่วงเวลา ฝ่ายกัมพูชาก็อาจจะเชิญทหารอินโดนีเซียเข้าพื้นที่ที่อ้างว่าเป็นฝั่งกัมพูชาฝ่ายเดียวไปก่อนเพื่อเป็นหลักประกันในการหยุดยั้งทหารไทยที่คิดจะทวงคืนแผ่นดินไทยจากกัมพูชาเพราะถือว่าฝ่ายไทยได้ยินยอมในหลักการไปแล้ว โดยไม่สนใจการลงตำแหน่งทหารอินโดนีเซียในฝั่งไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามของกัมพูชาที่จะให้ทหารอินโดนีเซียอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นดินแดนของไทยแล้วอ้างว่าเป็นดินแดนของกัมพูชา ทั้งพื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหาร, วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ, ภูมะเขือ ฯลฯ เพื่อเป็นการดึงอินโดนีเซียซึ่งมาในนามตัวแทนกลุ่มประเทศอาเซียนมารับรองอธิปไตยของกัมพูชาในผืนแผ่นดินไทย เหมือนกับที่กัมพูชาทำมาแล้วในการเชิญทูตทหารและผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่สำรวจในผืนแผ่นดินไทยที่กัมพูชายึดครองอยู่ โดยที่ฝ่ายไทยไม่สามารถทำอะไรได้
คนที่น่าจะมีความสุขมากที่สุดก็น่าจะเป็น “ทหารไทยขายชาติ” บางคนที่มีเมียหลายคน เมียคนหนึ่งเป็นลูกสาวเมียน้อยของฮุนเซนที่อยู่เสียมราฐ และมีเมียอีกคนเป็นลูกสาวของน้องสาวฮุนเซน ซึ่งคอยทำมาหากินค้าขายกับกัมพูชา เรียกหัวคิวสินค้าส่งออกไปยังกัมพูชาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน จึงมิต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดฮุนเซนยอมยกหูถึงนักการเมืองไทยเพื่อให้ “ทหารไทยขายชาติ” คนนี้ได้ขึ้นในตำแหน่งที่จะรักษาประโยชน์ของกัมพูชาได้ต่อไป
“ทหารไทยขายชาติ” จึงปฏิเสธทุกข้อเสนอของภาคประชาชนที่ให้ทหารไทยจัดการทหารกัมพูชาที่รุกรานดินแดนไทยในหลายวิธี เช่น หยุดส่งออกน้ำมันซึ่งเป็นยุทธปัจจัยให้กับกัมพูชา ให้ทำลายถนนที่ขนอาวุธยุทโธปกรณ์สร้างจากฝั่งกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย ให้ตัดไฟฟ้าเข้าไปยังบ่อนกาสิโนในฝั่งกัมพูชา ใช้กองทัพอากาศผลักดันทหารกัมพูชาให้ออกจากดินแดนไทย ฯลฯ ข้อเสนอเหล่านี้ไม่เคยได้รับการตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้นจาก “ทหารไทยขายชาติ”
เพราะผลประโยชน์ในพื้นที่ชายแดนมีอยู่อย่างมหาศาล แค่น้ำมันดีเซลและเบนซินที่ส่งออกข้ามไปยังฝั่งกัมพูชานั้น “ทหารไทยขายชาติ” คนนี้เคยเรียกค่าหัวคิวจากพ่อค้าลิตรละ 5 บาทมาแล้ว!!!
“ทหารไทยขายชาติ” มักจะอ้างนโยบายของรัฐบาลและ MOU 2543 ของ “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” เป็นเครื่องมืออันวิเศษที่จะยกดินแดนไทยให้ไปเป็นของกัมพูชา โดยอ้างว่าทหารไทยทำอะไรทหารกัมพูชาไม่ได้เพราะต้องปฏิบัติตาม MOU 2543 อย่างเคร่งครัด โดยต้องยึดแนวทางสันติวิธีและการเจรจาเท่านั้น
ส่วน “เจ้าพระยาสุขาวินาศฯ” ก็จะยังคงสาละวนอยู่กับการแสดงความเก่งกล้าสามารถ พยายามทวงคืนถนนและทำลายส้วมของผู้ชุมนุมที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องอธิปไตยทวงคืนแผ่นดินต่อไป อย่างไม่ลืมหูลืมตา!!!