seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #325 เมื่อ: 23 สิงหาคม 2553, 11:23:18 » |
|
วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 10:36:00 น. มติชนออนไลน์
จากมหา′ลัยแดกด่วน ถึงการศึกษาคุณภาพต่ำ
วันก่อน ผมคุยกับอาจารย์มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ได้ความว่า ตอนนี้ มหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่งกำลังกระอักเลือด เพราะโดนมหาวิทยาลัยของรัฐแย่งตลาดอย่างดุเดือด
ผลสืบเนื่องจากเมื่อมหาวิทยาลัยของรัฐออกนอกระบบ ทำให้ต้องมุ่งหาเงินเป็นการใหญ่ วิธีการหาเงินที่ง่ายที่สุดคือ การเปิดหลักสูตร เปิดตลาดใหม่ ๆ ในย่านทำเลดี ๆ
ว่าแล้ว มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดก็บุกกรุงเทพฯ โดยแห่มาเช่าอาคารกลางกรุงเทพฯชั้นใน ยิ่งอยู่บนเส้นทางผ่านของรถไฟฟ้า ยิ่งดูดนักศึกษาได้เยอะดี
หลายสิบมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดใหม่ แจ้งเกิดใหม่ กลางกรุงเทพฯ เปิดหลักสูตรคล้าย ๆ กันหมด ไม่ว่าจะเป็น หลักสูตรปริญญาเอก หลักสูตรบริหารธุรกิจ มหาบัณฑิต เอ็มบีเอ สำหรับนักบริหาร หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ มหาบัณฑิต หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต และอื่น ๆ อีกมากมาย
เดิมตลาดปริญญาโท เอ็มบีเอ ปริญญาเอก ยุคหนึ่งเป็นตลาดของมหาวิทยาลัยเอกชน แต่วันนี้ มหาวิทยาลัยของรัฐ โดยเฉพาะจากต่างจังหวัด เข้ามาแย่งชิงเค้กถึงกลางกรุงเทพฯ โดยใช้กลยุทธ์ตัดราคา บางแห่งให้คำมั่นสัญญาว่า จ่ายครบจบแน่ คราวนี้เลยสนุกกันใหญ่
สอดคล้องกับ อาจารย์อภิชาต สถิตนิรามัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่เคยเล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันการหาลำไพ่พิเศษด้วยการรับจ้างสอนนั้น กระทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการพิเศษภาคค่ำในทุกระดับ ตั้งแต่ปริญญาตรี โท เอก ซึ่งเก็บค่าหน่วยกิตแพง ๆ มาจ่ายค่าสอนอัตรา "ตลาด" จนกระทั่งเกิดคำขวัญว่า "จ่ายครบจบแน่" หรือ "Mac University" (มหา′ลัยแดกด่วน) หรือ "การทำไร่เลื่อนลอย"
อาจารย์อภิชาตหมายถึง มหาวิทยาลัยพากันไปเช่าตึก เปิดศูนย์ เปิดสาขาสอนในที่ที่มี "ตลาด" เช่น ย่านกลางเมือง หรือหัวเมืองต่าง ๆ จนกระทั่ง "ตลาดหมด" ก็ปิดตัวไปเปิดที่อื่น ๆ ต่อไป
"ไม่แปลกเลยที่ประสบการณ์ส่วนตัวของผมเคยพบว่า งานเขียนของนักศึกษาปริญญาเอกบางคน มีคุณภาพต่ำกว่างานของนักศึกษาปริญญาตรีภาคปกติที่ผมสอนเสียอีก" ดร.อภิชาต อาจารย์เงินเดือนหลักหมื่นที่ไม่กระโดดเข้าไปขุดทองเช่นอาจารย์ชื่อดังที่ เดินสาย ทำมาหาเงินอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ผมเคยสำรวจค่าตอบแทนของอาจารย์ "คิวทอง" พบว่า โดยเฉลี่ยจะได้ 3 ชั่วโมง 6 พันบาท หรือชั่วโมงละ 2 พันบาท หรือมากกว่านั้นเป็นหลักหมื่น อาจารย์กลุ่มนี้ก็จะสอนไปทุกมหาวิทยาลัย ในยุคที่ชนชั้นกลางหิวกระหายปริญญา
อาจารย์ชื่อดังที่สอนเอ็มบีเอ เคยเปิดสมุดนัดให้ผมดู พบว่าหมายนัดแน่น ยิ่งกว่าดารานักร้องชื่อดัง ไม่เคยมีเวลาว่างช่วงเย็น จดค่ำ 3 ทุ่ม ช่วงเสาร์อาทิตย์ ต้องเดินสาย นั่งเครื่องบินไปสอนเป็นว่าเล่น ทุกเที่ยวบินเช้าวันเสาร์อาทิตย์ที่สนามบินดอนเมือง จะพบอาจารย์ชื่อดังแทบจะเดินชนกัน
อาจารย์หลายคนจะใช้เครื่องมือทำมาหากินชุดเดียว สอนได้ทั่วประเทศ คือ "power point" ที่ลงทุนทำครั้งเดียว แต่ใช้สอนได้นานเกินคุ้ม หลังจากเลกเชอร์ 3 ชั่วโมง สอนเสร็จก็รับค่าตอบแทน แล้วโบกมือ อวยพรให้ลูกค้าโชคดี มีความสุข
ผมไม่แน่ใจว่านอกจากกระดาษหนึ่งแผ่นแล้ว คนเรียนได้อะไรกลับไป เพราะวิทยานิพนธ์ หรือสารนิพนธ์ ก็ลอกกันไปลอกกันมา ถามว่าคนเรียนปริญญาโท หรือปริญญาเอก อ่านหนังสือจบถึง 10 เล่มหรือไม่ ยังน่าสงสัย
นักการเมืองชื่อดัง คนที่คุยว่าจบปริญญาเอก ผมฟังการให้สัมภาษณ์แล้ว ไม่พบวิธีคิดแบบปัญญาชนเลย เรื่องอย่างนี้ผมไม่โทษลูกค้า ผมโทษพวกอาจารย์มากกว่า (ครับ)
เหลียวมาดูการศึกษาในระบบโรงเรียนยิ่งน่าห่วง จนทำให้ผมเชื่อว่า สังคมไทยไม่มีอนาคตเท่าไร หลายเดือนก่อน ผมพบงานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยที่บอกว่า ยิ่งรัฐบาลทุ่มงบประมาณด้านการศึกษามากเท่าใด เม็ดเงินส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ยิ่งตกกับกลุ่มชนชั้นกลาง คนรวยที่มีโอกาส และมีข่าวสารครบถ้วน
เด็กลูกชาวบ้านจริง ๆ ที่จะผ่านจากโรงเรียนไปสู่มหาวิทยาลัยของรัฐแทบไม่มี เด็กผู้ชายก็เสียคน หล่นหายไปจากเส้นทางการศึกษา
เด็กที่คว้าโอกาสทางการศึกษา ล้วนมาจากครอบครัวที่มีฐานะ เด็กกลุ่มนี้คือเด็กที่ไปกวาดรางวัลโอลิมปิกวิชาการ เด็กกลุ่มนี้คือเด็กที่คว้าทุนการศึกษาที่ดีที่สุดของประเทศนี้ เด็กกลุ่มนี้คือนักศึกษาในคณะที่คะแนนสูงที่สุดของมหาวิทยาลัยชั้นยอดของ ประเทศที่ชิงเก้าอี้กันเพียงไม่กี่พันคน
แต่ปัญหาคือคนเก่งที่เป็นระดับครีมที่สุดในสังคมไทย วันหนึ่งก็ต้องไปเจอกับกุ๊ยที่ถูกเขี่ยออกจากระบบ บนถนน ถ้าใครพลาดก็โดนอีกฝ่ายหนึ่งกำจัด...ผมไม่พูดเรื่องการเมือง
ไม่ใช่ความผิดของ "คนเก่ง" ไม่ใช่เป็นความผิดของ "กุ๊ย" แต่เป็นเพราะพวกเราร่วมกันสร้างระบบเลว ๆ นี้ขึ้นมา ด้วยมือของพวกเราเอง
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #326 เมื่อ: 25 สิงหาคม 2553, 10:39:04 » |
|
ความเห็นกฤษฎีกาอัปยศ อุ้ม “พัชรวาท” ของจริงหรือไม่ ? โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 สิงหาคม 2553 08:45 น.
กลับมามีความหวังขึ้นอีกครั้ง กับความพยายามดิ้นหนีบ่วงกรรมของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่กระทำชั่วอย่างร้ายแรงเนื่องจากใช้กำลัง ตำรวจปราบปรามประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 51 ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือป.ป.ช.แจ้งข้อหาเอาผิดทั้งอาญาและวินัย และ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีคำสั่งให้ปลดพัชรวาทออกจากราชการเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 52 เมื่อมีรายงานข่าวเปิดเผยความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะ 2 ที่รับเรื่องหารือจากนายกฯอภิสิทธิ์ว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 224/2552 ลงโทษปลด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ออกจากราชการตามมติที่คณะกรรมการป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ต่อมาพล.ต.อ.พัชรวาท ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งลงโทษต่อ ก.ตร. ตามมาตรา 105(2) แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 เมื่อ ก.ตร.ได้มีมติแล้ว และสำนักงานก.ตร. ได้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาตามมาตรา72(1)แห่งพ.ร.บ.ตำรวจแห่ง ชาติฯ จึงมีหน้าที่ต้องยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 224/2552 เพื่อดำเนินการตามมติ ก.ตร.โดยไม่อาจใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่นได้ ความเห็นกฤษฎีกาที่ปรากฏในรายงานข่าวชิ้นนี้เป็นคำตัดสินที่ส่งผล เป็นคุณ อย่าง มากแก่พัชรวาท ด้วยที่ยึดเอามติของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจหรือก.ตร.คือความถูกต้องของ เรื่องทั้งหมด มิหนำซ้ำยังระบุว่า นายกฯอภิสิทธิ์มีหน้าที่ต้องยกเลิกคำสั่งปลดพัชรวาทสถานเดียว จะบิดพลิ้วเป็นอย่างอื่น หรือไม่ทำเลยก็เห็นจะไม่ได้ แต่ปัญหามีอยู่ที่ว่า ความเห็นของกฤษฎีกาดังกล่าวเป็น “ของจริง” หรือว่าเป็นรายงานข่าวที่เลื่อนลอยถูกปล่อยออกมาผ่านสื่อที่รับงานมาทำ เพื่อความพยายามช่วยให้พัชรวาทหลุดจากมลทินข้อหาฆ่าประชาชน เหตุชวนสงสัยว่าข่าวชิ้นนี้มี น้ำหนักเป็นของปลอมมากกว่าจริง ก็เนื่องจากเป็นรายงานข่าวที่ไม่มีตัวตนของคนให้ข่าวแล้วยังอ้างแหล่งที่มา จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งประเด็นแหล่งที่มาของข่าวไม่น่าจะเป็นไปได้จึงมีพิรุธให้คิด เพราะเรื่องนี้ไม่น่าจะโผล่ที่สตช.ได้ หากกฤษฎีกาจะส่งคำหารือสรุปให้แล้ว ก็ต้องส่งให้สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้ส่งเรื่องไปถาม ไม่ใช่ส่งไปให้สตช.ที่ไม่ใช่ผู้ส่งคำร้องขอ เว้นแต่กฤษฎีกาจะทะลึ่งแกล้งส่งจดหมายผิดซอง ทั้งนี้ นายกฯอภิสิทธิ์ได้ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ว่า ยังไม่เห็นเรื่องและได้สอบถามเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าส่งมาหรือยัง สิ่งที่ให้กฤษฎีกาตีความเป็นการถามย้ำอีกครั้ง เพราะที่ตอบมาครั้งแรก เป็นคนละประเด็นกับที่ถามไป แต่ครั้งที่สองยังไม่ทราบว่า คำตอบเป็นอย่างไร โดยครั้งที่สองถามว่า กรณีการดำเนินการตามมติ ก.ตร.แต่มติดังกล่าวเป็นการพลิกคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีคำวินิจฉัยไปแล้ว กรณีที่เกิดขึ้นและเทียบเคียงกันได้กับ ก.พ.และบอกว่า บรรทัดฐานต้องยึดตาม ป.ป.ช.กรณีเช่นนี้จะต้องปฏิบัติอย่างไร เรื่องรัฐธรรมนูญว่าเป็นอย่างไร คน ถามยังไม่ได้รับเรื่อง ก็เลยไม่รู้ว่าความเห็นของกฤษฎีกาออกมาว่าอย่างไร แต่ยังไม่น่าแปลกใจเท่ากับประเด็นที่ปรากฎในข่าวไม่ใช่ประเด็นที่ได้สอบถาม ไป ส่วนที่ถามไปนั้นอยากรู้ว่ามติก.ตร.พลิกคำวินิจฉัยของป.ป.ช. ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไว้แล้วกับเรื่องที่คณะกรรมการข้าราชการพล เรือนหรือก.พ.มีมติให้นายวีรพล ดวงสูงเนิน อดีตอธิบดีกรมประชาชนสัมพันธ์กลับเข้ารับราชการหลังจากที่ป.ป.ช.ชี้มูลความ ผิด ในความผิดทุจริตต่อหน้าที่ และถูกปลดออกไปก่อนหน้านั้น จนกลายเป็นเรื่องขัดกันของอำนาจระหว่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญ โดยศาลรธน.ชี้ว่ามติก.พ.จะกลับคำตัดสินของป.ป.ช.ไม่ได้ ก็เป็นกรณีที่เทียบเคียงกับมติก.ตร.ที่ให้รับพล.ต.อ.พัชรวาทกลับรับราชการ ในเรื่องทำนองเดียวกันนี้กฤษฎีกาจะว่าอย่างไร เพื่อหาข้อยุติที่จะเป็นบรรทัดฐานตามหลักนิติธรรมต่อไป ความพยายามดิ้นหนีบ่วงกรรมอันเกิดจากการกระทำชั่วอย่างร้ายแรง พล.ต.อ.พัชรวาทได้เห็นช่องทางที่จะทำให้ตนเองรอดพ้นได้ คือใช้ก.ตร.เป็นเครื่องฟอกความผิดให้ โดยที่ก่อนหน้านั้น พัชรวาทได้นำเรื่องไปฟ้องต่อศาลปกครองแต่ศาลปกครองรับคำฟ้องไว้พิจารณาไม่ ได้ เพราะพัชรวาทต้องดำเนินเรื่องให้เป็นที่ยุติในองค์กรเสียก่อน ที่สุดเรื่องก็มาจบที่ก.ตร.ที่พัชรวาทสามารถเข้าครอบงำให้มติก.ตร.ออกมาตาม ที่เขาต้องการได้ จึงเป็นที่มาของมติก.ตร.เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 52 ที่ให้ยกโทษแก่พัชรวาท และให้กลับเข้ารับราชการ และที่ประชุมก.ตร.เมื่อวันที่ 15 ม.ค.53 ก็ยืนยันมติครั้งแรก อุ้มพัชรวาทต่อพร้อมกับนายตำรวจที่มีความผิดเช่นเดียวกันอีก 2 นาย คือพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผบช.น. และพล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภาดรศักดิ์ ผบก.จ.อุดรธานี จากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯกับกลุ่มนปช. โดยก.ตร.ส่งเรื่องให้นายกฯอภิสิทธิ์นำเข้าครม.ส่งศาลรธน.วินิจฉัยตาม รัฐ ธรรมนูญมาตรา 214 เนื่องจากมติก.ตร.ต้องให้ครม.มีมติเห็นชอบก.ตร. และเป็นผู้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญขัดแย้งกับมติป.ป.ช.ซึ่งเป็นองค์กร อิสระ จึงเข้าข่ายความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่องค์กรตามรธน. แต่นายกฯอภิสิทธิ์ยืนยันความเห็นเดิมว่า ก.ตร.ไม่สามารถมีมติให้นายตำรวจทั้งสามนายกลับเข้ารับราชการได้ เพราะขัดแย้งกับป.ป.ช. เพราะเคยมีคำวินิจัยของศาลรธน.ว่า ก.พ.ไม่สามารถมีมติให้อดีตอธิบดีกรมประชาฯกลับเข้ารับราชการได้เพราะขัดแย้ง กับมติของป.ป.ช.ที่ระบุ ความผิดวินัยร้ายแรงต้องไล่ออกหรือปลดออกเท่านั้น นอกจากผู้บังคับบัญชาต้องลงโทษตามฐานความผิดที่คณะกรรมการป.ป.ช.มี มติแล้ว การอุทธรณ์การลงโทษดังกล่าว ตามมาตรา 96 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 ระบุว่า อุทธรณ์ได้แค่ดุลพินิจในการสั่งลงโทษของผู้บังคับบัญชาเท่านั้น กล่าวคือ สามารถอุทธรณ์ให้ลดระดับการลงโทษได้ เช่นจากไล่ออกเป็นปลดออกในกรณีที่มีความผิดทางวินัยร้ายแรง ไม่สามารถอุทธรณ์ฐานความผิดได้ แต่ก.ตร.กลับรับอุทธรณ์พล.ต.อ.พัชรวาทโดยฝ่าฝืนกฎหมายฉบับนี้ ความ พยายามดิ้นรนเพื่อตัวเองของ พล.ต.อ.พัชรวาท โดยใช้ก.ตร.เป็นเครื่องฟอกผิด เริ่มที่ยื่นอุทธรณ์ต่อ อนุก.ตร.ชุดที่ “พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์” (เพื่อนร่วมรุ่น) เป็นประธาน ซึ่งมีมติในวันที่ 24 ธันวาคม 2552 พลิกมติ ปปช. ให้ 3 นายพลตำรวจกลับเข้ารับราชการ และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ในฐานะประธาน ก.ตร.ก็สนองพระเดชพระคุณได้ทันอกทันใจเบรรจุผลการประชุมของ อนุก.ตร.ชุดดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม ก.ตร.ในวันที่ 30 ธันวาคม 2552 จนเป็นที่มาของมติ ก.ตร.อัปยศ ทั้ง ๆ ที่ทางออกตามระบบของเรื่องนี้มีอยู่แล้ว คือ เมื่อนายพลตำรวจทั้งสามคนถูกชี้มูลความผิดโดย ป.ป.ช. ก็เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่ต้องพิจารณาสั่งโทษภายใน 30 วันนับจากได้รับเรื่องจาก ป.ป.ช. โดยทั้งสามกรณีผู้บังคับบัญชาได้พิจารณาโทษไปแล้วคือ ปลดออก ขั้นตอนต่อไปหากเห็นว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ไปยื่นอุทธรณ์ต่อ อนุ ก.ตร.อุทธรณ์ ซึ่งตามอำนาจหน้าที่อนุกรรมการชุดดังกล่าวก็ต้องยกอุทธรณ์ เนื่องจากไม่มีอำนาจในการโต้แย้งข้อเท็จจริงของ ป.ป.ช. มีเพียงแค่ใช้ดุลพินิจในการลดโทษเท่านั้น ในเมื่อทั้งสามกรณีนี้ผู้บังคับบัญชาได้ลงโทษขั้นต่ำสุดไปแล้วคือ ปลดออก จึงไม่เหลือเหตุให้ อนุ ก.ตร.พิจารณาได้อีก อันจะเป็นเหตุผลที่ทำให้นายพลตำรวจทั้ง 3 คน สามารถนำเรื่องไปฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอความเป็นธรรมต่อไปได้ ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย แต่ทั้ง 3 นายพลตำรวจกลับไม่เลือกเดิน เป็นเพราะอะไร เพราะคิดว่าอุ้มกันเองใน ก.ตร.มันง่ายกว่าไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงในศาลปกครอง เพราะมั่นใจว่าคุมเกมฝ่ายการเมืองได้เพราะ “สุเทพ-เนวิน” หนุนหลัง กรณีนี้คงเป็นบทสรุปของสัจธรรมที่ว่า “คนดีจะยอมเสียสละตัวเองเพื่อรักษาระบบและความถูกต้อง แต่คนจัญไรพร้อมที่จะทำลายระบบเพื่อประโยชน์ของตัวเอง” สำหรับกรณีก.พ.มีมติให้รับนายวีรพลกลับเข้ารับราชการสวนมติป. ป.ช.นั้น คำ พิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ที่มี นายนพดล เฮงเจริญ ตุลาการศาลปกกครองสูงสุด เป็นตุลาการเจ้าของสำนวน ซึ่งได้มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น ว่า ก.พ.ไม่มีอำนาจพลิกมติ ป.ป.ช. แต่ศาลปกครองสามารถดำเนินการได้ ซึ่งในการไต่สวนข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่า การชี้มูลของ ป.ป.ช.ว่า นายวีรพล มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตในโครงการเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมประชา สัมพันธ์ ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ต่อไปนี้เป็นข้อความส่วนหนึ่งของคำพิพากษาดังกล่าว “ ศาลเห็นว่า กรณีนี้การที่นายวีรพล (ดวงสูงเนิน) ยื่นอุทธรณ์มติป.ป.ช.และคำสั่งไล่ออกจากราชการของ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีต่อ ก.พ.และ ก.พ. วินิจฉัยว่านายวีรพลกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ถือว่าก.พ.ได้ ใช้อำนาจหน้าที่ล่วงล้ำ กระทบกระเทือนอำนาจหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญรับรองว่าเป็นอำนาจของป.ป.ช. ไว้เป็นการเฉพาะ โดยพิจารณาวินิจฉัยในประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงใหม่แล้วเปลี่ยนฐานความคิด เพื่อกำหนดโทษใหม่ จึงไม่เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ. ป.ป.ช. 42 ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 2/2546 แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวย่อมไม่ผูกพันการพิจารณาพิพากษาคดี ของตุลาการศาลปกครองกลาง ซึ่งมีอิสระในการพิจารณาอรรถคดีและตรวจสอบ แสวงหาข้อเท็จจริงได้ตามความเหมาะสม” ปรากฏการณ์ จากคำพิพากษานี้มีความสำคัญยิ่ง เพราะจะเป็นบรรทัดฐานสำหรับการพิจารณาคดีของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ข้าราชการถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางวินัยร้ายแรงว่า หน่วยงานเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ก.พ. หรือ กตร. ไม่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงฐานความผิดที่ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลไปแล้ว ทำได้เพียงแค่ใช้ดุลพินิจในการพิจารณาโทษตามฐานความผิดที่ ปปช.ชี้มูลไปเท่านั้น รวมทั้งความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกาที่จะตอบข้อหารือของนายกฯ อภิสิทธิ์ก็จะต้องยึด แนวทางคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองเป็นบรรทัดฐาน เว้นแต่เนติบริกรจะใช้เหลี่ยมคูหาช่องทางอุ้มพล.ต.อ.พัชรวาท
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #327 เมื่อ: 27 สิงหาคม 2553, 12:35:47 » |
|
วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20:56:05 น. มติชนออนไลน์
ป.ป.ช.โยนมาร์คตัดสินใจปมกฤษฎีกาให้ยกเลิกคำสั่งไล่ออกพัชรวาท
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ในฐานะผู้รับผิดชอบสำนวนคดีสั่งสลายการชุมนุมผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตยหน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 กล่าววันที่ 26 สิงหาคมถึงกรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ยกเลิกคำสั่งไล่ออก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ออกจากตำแหน่ง ภายหลัง ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิดทางวินัยร้ายแรงจากคดีดังกล่าวว่า ขอศึกษาก่อนว่ารายละเอียดของการวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นอย่างไร เพราะทราบผ่านสื่อเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีว่าจะปฏิบัติตามมติของ ป.ป.ช. หรือตามคำวินิจฉัยของกฤษฎีกา
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายกรัฐมนตรีปฏิบัติตามมติของ ก.ตร.ต่อไป ป.ป.ช.จะไม่เป็นเสือกระดาษหรือเพราะหน่วยงานราชการต่างๆ สามารถกลับมติของ ป.ป.ช.ได้ นายวิชากล่าวว่า มติของ ป.ป.ช.มีอำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่งนายอภิสิทธิ์เป็นหนึ่งในผู้ร่างกฎหมาย น่าจะเข้าใจดีถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว ดังนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #328 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2553, 20:01:54 » |
|
ประทิน” มึน!! ตร.แจ้งป่วนสนามบินแต่ไม่มีหลักฐาน รอดูสั่งฟ้องหรือไม่ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 สิงหาคม 2553 16:36 น.
อดีตอธิบดีกรมตำรวจ เผยหลังเข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดีชุมนุมสนามบิน รับขอดูพยานหลักฐานทำใช้เวลาสอบนาน สุดงง!! โดนก่อความวุ่นวาย แต่ถามหาหลักฐานไม่พบ รอดูสั่งฟ้องหรือไม่ ชี้ “สมยศ” จ่อถูกฟ้องกลับสมควรแล้ว สอนน้องๆ จะตั้งข้อกล่าวหาต้องรวบหลักฐานให้ปรากฏก่อน วันนี้ (30 ส.ค.) ที่ASTVผู้จัดการออนไลน์ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ให้สัมภาษณ์ถึงการที่เข้าพบพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อรับทราบข้อกล่าวหากรณีการชุมนุมที่สนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตยว่า บรรยากาศทั่วไปก็ดีไม่มีอะไร พนักงานสอบสวนก็ทำหน้าที่ดี จะขอเช็กดูอะไรเขาก็ให้ดู ซึ่งเป็นไปตามสิทธิทางกฏหมายของเรา ส่วนที่ใช้เวลารับทราบข้อกล่าวหาเป็นเวลานานกว่า 7 ชั่วโมงนั้น เพื่อให้พนักงานสอบสวนได้แสดงหลักฐาน พยานต่างๆตามข้อเท็จจริง และข้อกล่าวหา เพราะเรามีสิทธิ์ที่จะให้พนักงานสอบสวนแสดงได้ ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาคดีความอาญา “เจ้าหน้าที่อ้างว่า ผมไปชุมนุมเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2551 เขาก็เอาภาพถ่ายของเอเอสทีวีมาให้ดู ผมก็บอกว่าไปจริง พูดอย่างนี้จริง แต่นอกจากข้อกล่าวหานี้มันไม่มีนี่ ทั้งคดีก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ผมก็ถามว่าก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองตรงไหน แล้วมีหลักฐานพยานหรือไม่ว่าผมไปชุมนุม หรือเดินขบวนกับเขามา มันมีไหม ก็ไม่มี แต่ผมไปขึ้นเวทีแค่ครั้งเดียว กลับมีข้อกล่าวหาทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง แล้วผมเป็นคนสั่งการในการชุมนุมตรงไหนมั้ย มันก็ไม่มีพยานหลักฐานอะไร เมื่อสอบถามไปยังพนักงานสอบสวน เขาก็ไม่มีหลักฐานในข้อกล่าวหาดังกล่าว บอกว่าไม่มีบ้าง ไม่พบบ้าง” พล.ต.อ.ประทินกล่าว พล.ต.อ.ประทินกล่าวต่อว่า หลังจากนี้ก็ต้องดูว่าทางพนักงานสอบสวนจะดำเนินการอย่างไรต่อไป จะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ทั้งที่ปรากฏว่ามันไม่มีข้อเท็จจริง ไม่มีพยานหลักฐาน ไม่มีเหตุการณ์ ไม่มีพฤติการณ์ดังกล่าวตามที่เขากล่าวหา เขาจะดำเนินการยังไงต่อไป ซึ่งเมื่อเขารวบรวมหลักฐานเสร็จสิ้นแล้วก็มีอำนาจที่พิจารณาว่าพอที่จะฟ้อง หรือไม่ ส่วนกรณีที่แกนนำพันธมิตรฯ จะทำการฟ้องกลับ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนนั้น ก็แล้วแต่ว่าแกนนำแต่ละท่านหรือผู้ถูกกล่าวหาแต่ละคนจะเอายังไง ถ้าสมมุติว่ามันไม่มีพยานหลักฐานต่างๆ มันก็สมควรแล้ว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าการดำเนินคดีดังกล่าวเป็นมติของที่ประชุม ตนก็ถามว่ามติที่ประชุมนี่มันเป็นข้อเท็จจริงหรืออย่างไีร ทำไมมติถึงออกมาเป็นอย่างนี้ เขาก็ไม่ทราบเหมือนกัน ขณะที่ช่วงที่มีการสอบสวนนั้น พล.ต.ท.สมยศไม่ได้อยู่ในห้องสอบสวนด้วย มีเพียงพนักงานสอบสวนยศ พ.ต.อ.กับ ร.ต.ท.อีกคนมาบันทึกปากคำ อย่างไรก็ตาม อดีตอธิบดีกรมตำรวจยังตั้งข้อสังเกตถึงการตั้งข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่ใน คดีดังกล่าวด้วยว่า ตนเห็นว่าการที่พนักงาน หรือหัวหน้าพนักงานสอบสวนจะกล่าวหาว่าผู้ใดกระทำความผิด หรือว่าการกระทำที่มีมูลความผิด มันต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้ปรากฏเสียก่อน อย่างกรณีของตนพยานหลักฐานมันก็ไม่ปรากฏ ตนขึ้นไปพูดทักทายประชาชนประมาณ 5 นาที ได้ แล้วก็ไม่ได้พูดยุยงปลุกปั่นอะไรเลย ตนก็ยังตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีดังกล่าว ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประทินถูกดำเนินคดีดังกล่าวในข้อหา 1.มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ 2.เข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุข หรือโดยไม่มีเหตุอันควรเข้าไปหรือซ่อนตัวในอาคารเก็บรักษาทรัพย์หรือสำนัก งานในความครอบครองของผู้อื่น หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่านั้น เมื่อผู้มีสิทธิห้ามมิให้เข้าไป ได้ไล่ให้ออก โดยใช้กำลังประทุษร้าย และโดยมีอาวุธ หรือร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป 3.ทำลาย หรือทำให้เสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานที่ให้ บริการการบินพลเรือน หรือต่ออากาศยานที่ไม่อยู่ในระหว่างบริการและแยู่ในท่าอากาศยานนั้น หรือทำให้การให้บริการของท่าอากาศยานหยุดชะงักลง ทั้งนี้ โดยใช้กลอุปกรณ์ วัตถุ หรืออาวุธใดๆ และการกระทำนั้นเป็นอันตรายหรือน่าจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของท่า อากาศยานนั้น 4.กระทำด้วยประการใดๆ ให้ทางสาธารณะอยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิด อันตรายแก่การจราจร 5.กระทำด้วยประการใดๆ ให้การสื่อสารสาธารณะ ทางไปรษณีย์ขัดข้อง
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #329 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2553, 09:54:55 » |
|
คนกรุงเบื่อม็อบ สั่งสอนเพื่อไทย 31 สิงหาคม 2553 Post today online
ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) และสมาชิกสภาเขต (สข.) เล่นเอาช็อกพรรคเพื่อไทย เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ยึดเก้าอี้ถล่มทลายครองใจคนกรุง
โดย...ทีมข่าวการเมือง
โดย สก. 50 เขต ประชาธิปัตย์กวาดไป 45 คน เพื่อไทย 15 คน และผู้สมัครอิสระ 1 คน ขณะที่ สข. 36 เขต จำนวน 259 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์กวาด 210 คน เพื่อไทย 39 คน อิสระ 7 คน ส่วนยอดผู้มาใช้สิทธิบางตา สก.อยู่ที่ 41.15% สข.มีผู้มาใช้สิทธิ 42.04%
ผลการเลือกตั้ง สก.สข. แม้เป็นการเลือกตั้งท้องถิ่น มิใช่การเลือกตั้งระดับชาติอย่าง สส. แต่ก็สะท้อนอารมณ์คนกรุง และวัดกระแสของแต่ละพรรคได้ดี โดยเฉพาะหลังสมรภูมิ “ราชดำเนินราชประสงค์” ของ “ม็อบเสื้อแดง” ที่สร้างความสูญเสียสองฝ่าย ผู้ชุมนุมเสียชีวิต 70 กว่าคน พร้อมกับการเผาบ้านเผาเมือง!!
ฝ่ายเพื่อไทยอ้างกระแสเสื้อแดงว่า ประชาชนไม่เอารัฐบาลอภิสิทธิ์ เพราะเกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชน ขณะที่เพื่อไทยก็ติดภาพใช้ความรุนแรง พ่วงโดนคดีก่อการร้ายต่างฝ่ายที่เป็นคู่กรณีมีจุดแข็งและจุดอ่อนกับผลของเหตุการณ์ชุมนุมทั้งนั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้จะเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่น แต่ผลพวงจากม็อบแดงที่ใช้สมรภูมิกรุงเทพฯ เป็นสนามรบ สถานการณ์การเมืองที่ยังอึมครึมขณะนี้ล้วนมีความเกี่ยวพันกับการเลือกตั้ง สก.สข.อย่างเลี่ยงไม่ได้
นี่จึงเป็นความพ่ายแพ้ราบคาบของเพื่อไทยที่เป็นผลจากการผูกติดม็อบเสื้อแดง เป็นบทเรียนอีกครั้งที่ต้องนำมาทบทวนว่า การใช้การเมืองนอกสภาเพื่อขับไล่รัฐบาล ยึดอำนาจรัฐจนเกิดความรุนแรงขึ้น ไม่เฉพาะพรรคจะสูญเสียคะแนนนิยม ดีไม่ดีอาจถึงขั้นพังทั้งพรรค บิ๊กเพื่อไทยประเมินตั้งแต่แรกว่า การเลือกตั้ง สก.จะถูกกระแส “ม็อบแดง” พัดจนทำให้พรรคได้รับผลกระทบ
วิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค สส.กทม. พรรคเพื่อไทย วิเคราะห์ก่อนผลออกว่า พรรคจะได้ สก.มากกว่าเดิม 5 ที่นั่ง หรือจาก 15 เป็น 20 ที่สุดได้เท่าเดิม 15 คน แม้จะออกมาปลอบประโลมว่าพรรคไม่แพ้ และไม่ชนะ ทุกอย่างเท่าทุน
แต่ในทางการเมือง การที่เพื่อไทยไม่สามารถกวาดที่นั่งมาได้เพิ่ม ทั้งที่เป็นพรรคการเมืองใหญ่อันดับหนึ่งในสภา ย่อมแสดงว่ากระแสพรรคไม่ได้ดีขึ้น แต่อาศัยฐานจัดตั้งที่เหนียวแน่นของพรรคที่มีประมาณ 3 แสนคนในกรุงเทพฯ
ที่สำคัญ เขตที่เพื่อไทยเอาชนะไม่ได้ ไม่ใช่พรรคอื่นหรือกลุ่มอิสระที่ได้ไป แต่กลับเป็นพรรคประชาธิปัตย์ คู่แข่งเบอร์หนึ่งที่คว้าไป 15 คนของเพื่อไทยที่ได้มาล้วนเป็น สก.ชุดเก่าแทบทุกคน ที่สร้างผลงานในพื้นที่มาต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน ฐานเสียงคนชั้นกลางซึ่งไม่เอาม็อบเสื้อแดง สก.เพื่อไทยที่แหวกออกจากหลุมดำม็อบมาได้ก็อาศัยจุดแข็งของผู้สมัครล้วนๆ สก.เก่าของเพื่อไทยบางเขตถึงขั้นไม่กล้าระบุชื่อพรรคในป้ายหาเสียงเพราะกลัวคนกรุงต่อต้าน
ส่วนชานกรุงรอบนอก ฐานเสียงคนชั้นล่าง พรรคเพื่อไทยกวาดที่นั่งเป็นส่วนใหญ่ เช่น ดอนเมือง ลาดกระบัง หนองจอก คันนายาว มีนบุรี ก็เพราะได้กระแสพรรคบวกกับตัวผู้สมัครควบคู่กัน
ก่อนหน้านี้ วิชาญ ยอมรับว่าเพื่อไทยเป็นรองประชาธิปัตย์หลายช่วง ปมหนึ่งนอกจากความได้เปรียบของประชาธิปัตย์ที่เป็นทั้งรัฐบาลและมีผู้ว่าฯ กทม.อยู่ฝ่ายอำนาจรัฐ บวกกับกระแสในเมืองที่วูบวาบ อ่อนไหว ก็ไม่ได้เป็นใจให้เพื่อไทย เพราะผู้คนยังสยองกับภาพม็อบแดงเผาเมืองอยู่ ใน 100% ของการตัดสินใจคนกรุง วิชาญ วิเคราะห์ว่า 50% เป็นกระแสพรรค ที่เหลือ 25% เป็นตัวผู้สมัคร อีก 25% เป็นเทคนิคการหาเสียงของผู้สมัครแต่ละราย
นั่นหมายความว่า ทัศนคติในการเลือกไม่ได้มองว่าเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นที่เน้นแต่ตัวผู้สมัคร หรือภารกิจหน้าที่ของ สก. ที่ต้องเลือกไปถ่วงดุลพรรคประชาธิปัตย์ ตรวจสอบงบ กทม. 6 หมื่นล้านบาท ที่บริหารโดยผู้ว่าฯ กทม.
แต่ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์การเมืองร้อนแรง และครั้งนี้คนกรุงได้รับผลกระทบเต็มๆ จากม็อบเสื้อแดง กระทบต่อการดำเนินชีวิต ต่อการจราจร การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง สำคัญสุดคือความรุนแรงจนบ้านเมืองเกิดความปั่นป่วนดังสงครามกลางเมือง
ปัจจัยเหล่านี้จึงมีผลต่อการเลือกตั้งทุกระดับใน กทม. ไม่ว่า สข. หรือ สก. ผู้ว่าฯ กทม. กระทั่ง สส. เพราะนี่เป็นการเลือกโดยอิงพรรคการเมืองและนโยบายของพรรคนั้น และคนกรุงเองก็อยู่ในศูนย์กลางข้อมูลข่าวสารรอบตัวตลอด กลุ่มที่ไม่ได้เป็นฐานจัดตั้งพรรคใดซึ่งคาดว่ามีประมาณ 50% จึงหย่อนบัตรเลือกตั้งเพื่อแสดงจุดยืนบางอย่างต่อพรรคการเมือง และต่อเหตุการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่
น่าสนใจ เพราะการ “ไม่ชนะ” ของเพื่อไทยครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก หลังเหตุการณ์พฤษภาอำมหิต ก่อนหน้านี้มีการเลือกตั้ง 2 ครั้ง ครั้งแรกเลือก สข. 14 เขต เมื่อ 2 เดือนก่อน ประชาธิปัตย์กวาดยกทีม 10 เขต ขณะที่เพื่อไทยได้เพียง 3 เขต
ถัดมาเป็นการเลือกตั้งซ่อม สส. เขต 6 กทม. พื้นที่ชานเมืองฐานเสียงของเพื่อไทยล้วนๆ ประชาธิปัตย์โดย พนิช วิกิตเศรษฐ์ ก็ชนะก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายจากเพื่อไทยด้วยคะแนน 9.6 หมื่นต่อ 8.1 หมื่นคะแนน 3 ครั้ง ประชาธิปัตย์ชนะหมด เพราะคนกรุงเบื่อม็อบ เบื่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับม็อบแดงและเพื่อไทย
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #330 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 20:06:27 » |
|
วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 19:49:52 น. มติชนออนไลน์
"ศุภชัย" ดิ้นแจง "ที่ปรึกษา รมว.วท." ปัดลอกวิทยานิพนธ์ฝรั่ง ท้าจุฬาฯแน่จริงไม่ต้องรอรีถอดปริญญาได้เลย
ผอ.สนช.ปัดลอกวิทยานิพนธ์ฝรั่ง แจง"ที่ปรึกษารมว.วท."เรื่องเก่า ท้า"จุฬาฯ"แน่จริงไม่ต้องหารือกฤษฎีกาถอดถอนปริญญาได้เลย เล็งศาลฟ้องศาลปค.พิจารณา "วีระชัย"ลั่นเป็นเรื่องจริยธรรม ไม่มีมวยล้ม ขอเวลา 1-2วันหาข้อสรุป อุนกก.ส่งเสริมคุณธรรมฯ ถกวางเกณฑ์ล้อมคอกก็อปผลงานวิชาการ 28 ก.ย.
ความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร(กวฉ.) สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย มีคำวินิจฉัยที่ สค 112/2553 ให้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยผลสรุปการสอบสวนเบื้องต้นพร้อมทั้งสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องให้แก่ นายวิลเลี่ยม วีล เอลลิตส์ ที่ร้องเรียนกล่าวหานายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) อดีตนิสิตระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าส่อทุจริตทางวิชาการ คัดลอกผลงานทางวิชาการในการทำวิทยาพินธ์ปริญญาเอก ซึ่งขณะนี้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อยู่ระหว่างการทำหนังสือหารือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่ามีอำนาจเพิกถอนการอนุมัติให้ปริญญาบัตรหรือไม่ นั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 กันยายน นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการอุดมศึกษา(กกอ.) กล่าวว่า เท่าที่ทราบ ยังไม่เคยลงโทษถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการใคร อันเนื่องจากการคัดลอกผลงานทางวิชาการเพื่อเสนอขอตำแหน่งทางวิชาการ หรือเพื่อทำปริญญาเอกมาก่อน ส่วนเรื่องร้องเรียน มีร้องเรียนมาที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) เพียงกรณีของนายศุภชัย ส่วนกรณีอื่น ยังไม่มีมูล อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาสกอ.ยังไม่มีเคยมีเกณฑ์กลางว่ากรณีคัดลอกผลงานทาง วิชาการจะมีผิดจรรยาบรรณอย่างไร กรณีคัดลอกผลงานต่างประเทศ ฝรั่งจะฟ้องร้อง แต่กรณีคัดลอกผลงานของคนไทยกันเอง ยังไม่เคยพูดถึงความผิดกัน
"ซึ่งในวันที่ 28 กันยายน เวลา 13.30 น. คณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมทางวิชาการในระบบอุดมศึกษา มีผมเป็นประธาน จะพิจารณาเรื่อง Plagiarism (การโจรกรรมทางวรรณกรรม หรือ การขโมยความคิด) เป็นครั้งแรก ที่สกอ. โดยจะพิจารณาว่าการดึงข้อมูลมาใช้กี่เปอร์เซ็นต์ถึงจะเรียกว่าคัดลอกซึ่งใน ต่างประเทศเหมือนกันแค่เป็นประโยค เขายังไม่ยอม หรือกรณีที่คัดลอกผลงานของผู้อื่นโดยให้ชื่อเครดิต จะถือว่าเป็นการคัดลอกหรือไม่เพราะบางสาขา เช่น วิทยาศาสตร์ แม้จะให้ชื่ออ้างอิง เขายังไม่ยอม ขณะที่บางสาขา การดึงมาอ้างอิงโดยให้เครดิตไม่ถือเป็นการคัดลอก เนื่องจากที่ผ่านมาคำว่าการคัดลอกผลงาน มีความหมายกว้างมาก จึงต้องมาพิจารณาขอบเขตกัน รวมถึงจะพิจารณาด้วยว่าจะดูแลเรื่องนี้อย่างไร"นพ.กำจรกล่าวและว่า จะต้องพัฒนาซอฟท์แวร์เหมือนอย่างต่างประเทศหรือไม่ ซึ่งในต่างประเทศใช้ซอฟท์แวร์นานแล้วในการตรวจสอบประโยคที่เหมือนกัน อีกทั้งจะต้องพิจารณาด้วยว่าความผิดดังกล่าวจะนำไปสู่การชะลอ ระยับหรือถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการด้วยหรือไม่ ซึ่งตนยังตอบไม่ได้ ต้องรอผลการหารือของคณะอนุกรรมการฯ เมื่อได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้ว จึงจะนำเสนอคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา(ก.พ.อ.) เพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป
นพ.กำจร กล่าวอีกว่า อำนาจถอดถอดตำแหน่งทางวิชาการหรือดอกเตอร์ เป็นของสภามหาวิทยาลัย ซึ่งที่ผ่านมา ก.พ.อ.ยังไม่มีการเกณฑ์กลางพิจารณาเรื่องการคัดลอกผลงานทางวิชาการ เมื่อไม่มีเกณฑ์กลาง จึงเป็นไปได้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำเรื่องถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อขอหารือว่ามีอำนาจในการเพิกถอน การอนุมัติให้ปริญญาบัตรหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามกรณีที่จะถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการ “ศาตราจารย์” จะต้องเสนอสกอ.เพื่อทำเรื่องทูลเกล้าฯ เพราะเป็นตำแหน่งโปรดเกล้าฯ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีการเสนอถอดถอนตำแหน่งทางวิชาการแต่อย่างใด และเท่าที่ทราบตำแหน่งทางวิชาการอื่นๆยังไม่เคยมีสภามหาวิทยาลัยใดดำเนินการ ถอดถอนอันด้วย
ด้าน นายสุพจน์ หารหนองบัว คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าคงให้ความเห็นอะไรไม่ได้เพราะต้องรอกระบวนการการพิจารณาจากสภา มหาวิทยาลัยจุฬาฯ ซึ่งตนไม่ทราบว่าในวันที่ 30กันยายนนี้ ที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยจุฬาฯ จะนำเรื่องนี้พิจารณาหรือไม่ โดยปกติแล้วการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ของทางมหาวิทยาลัยและคณะวิทยาศาสตร์ก็มี มาตรฐานและความเข้มเข้นมากอยู่แล้ว และที่ผ่านยังไม่เคยมีกรณีนี้เกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งในอดีตเทคโนโลยียังไม่มากอาจารย์จะตรวจข้อมูลจากหนังสือในห้องสมุดและ ความรู้ของอาจารย์แต่ละท่าน แต่ปัจจุบันนั้นเทคโนโลยีมีค่อนข้างทันสมัยทำให้ต้องตรวจสอบความถูกต้องของ วิทยานิพนธ์มากยิ่งขึ้น
รายงานข่าวแจ้งว่าในวันที่ 30 กันยายน เวลา 14.00น.ที่อาคารจามจุรี 4 จะมีการประชุมสภามหาวิทยาลัยจุฬาฯ ในวาระประชุมปกติไม่ได้กำหนดวาระพิจารณากรณีการร้องเรียนเรื่องการคัดลอกผล งานทางวิชาการของนายศุภชัย แต่อาจจะเสนอเป็นวาระจรให้ที่ประชุมพิจารณา
รายงานข่าวจากแจ้งว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ส่งสรุปผลสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีนายวิลเลี่ยมร้องเรียนนายศุภชัยลอกเลียน ผลงานทางวิชาการ ตามคำสั่งของ กวฉ. ให้กับนายวิลเลี่ยมแล้วเมื่อเร็วๆนี้ ในบันทึกสรุปผลการสอบสวนตอนท้ายระบุว่า คณะกรรมการสอบสวนฯได้รวบรวมพยานเอกสารโดยติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ เอกสารที่ถูกอ้างอิงเพื่อรวบรวมเอกสารต้นฉบับมาใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณา และสอบสวนพยานบุคคล ได้แก่ ผู้ร้องเรียน ผู้ถูกร้องเรียน คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ และพยานที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานภายนอกแล้ว มีความเห็นว่า แม้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าเอกสารวิชาการที่ผู้ร้องเรียนกล่าว อ้างว่าเป็นของตนนั้น เป็นผลงานของผู้ร้องเรียนจริงหรือไม่ หรือเป็นผลงานของผู้ถูกร้องเรียนหรือไม่ก็ตาม แต่วิทยานิพนธ์ของผู้ถูกร้องเรียนได้คัดลอกงานวิชาการจากเอกสารจำนวน 4 ฉบับ ซึ่งเป็นงานเขียนของกลุ่มบุคคลในปริมาณงานที่มาก"
ผลสอบระบุต่อไปว่า "ถึงแม้ว่าผู้ร้องเรียนจะได้อ้างอิงเอกสารบางรายการไว้ในบรรณานุกรมของวิทยา นิพนธ์ก็ตาม การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นการลอกเลียนวรรณกรรมโดยมิชอบ (Plagiarism) ไม่ว่าจะเป็นการลอกวรรณกรรมของตนเอง (Self-Plagiarism) หรือเป็นการลอกวรรณกรรมของผู้อื่น (Plagiarism) หรือโดยผู้อื่นเป็นเจ้าของผลงานร่วม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อเท็จจริงและความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนข้างต้นนี้ต้องใช้ พิจารณาในส่วนของการเพิกถอนปริญญาดุษฎีบัณฑิต ซึ่งเป็นอำนาจของสภามหาวิทยาลัย และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยังไม่สิ้นสุด"
อนึ่ง สำหรับคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว มี ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ เป็นประธาน ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญหา ,รศ.ธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย ,นพ.กิตติศักดิ์ กุลวิชิต และนางนฤมล กิจไพศาลรัตนา เป็นกรรมการ
เมื่อเวลา 15.00 น.วันเดียวกัน นายศุภชัย เข้าพบนายก้องศักดิ์ ยอดมณี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประมาณ 15 นาที เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง
นายศุภชัย เปิดเผยว่า เรื่องที่ถูกกล่าวหาเป็นเรื่องเก่าที่เกิดขึ้นหลายปีแล้ว ซึ่งได้ฟ้องร้องนายวิลเลี่ยม คู่กรณีทั้งทางแพ่งและอาญา เพื่อให้มีการพิสูจน์ว่าได้ลอกผลงานวิทยานิพนธ์ของนายวิลเลี่ยมจริงหรือไม่ ส่วนผลสอบสวนข้อเท็จจริงของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นั้น ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่ถ้าทำผิดจริงขอท้าให้จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย ถอดถอนปริญญา โดยไม่ต้องไปปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกาให้เสียเวลา ซึ่งหากจุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการจริงจะฟ้องร้องศาลปกครอง เพื่อให้พิสูจน์ความถูกผิด หากผลสรุปว่าผิดจริง จะขอถอนปริญญาเอง
ด้านนายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า วท.ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นเรื่องจริยธรรมระดับสูงของบุคลากรในหน่วยงานรัฐ ได้เรียก น.ส.สุจินดา โชติพานิช ปลัด วท. เข้าหารือแล้ว และจะทำหนังสือถึงคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ (บอร์ด สนช.) เพื่อหารือในเรื่องข้อกฎหมายต่อไป เนื่องจาก สนช.แม้จะสังกัด วท. แต่เป็นองค์การมหาชน การดำเนินงานต่างๆ ต้องใช้เวลา แต่คาดว่าจะไม่เกิน 1 – 2 วันนี้ ที่จะหารือกัน เพื่อหาข้อสรุป เนื่องจากขณะนี้จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย มีผลสอบสวนออกมาในเบื้องต้นแล้ว ขอยืนยันว่าไม่มีมวยล้มเด็ดขาด เมื่อถามว่า หากผลสอบสวนของจุฬาลงการณืมหาวิยาลัย ชี้ชัดว่านายศุภชัยลอกผลงานทางวิชาการจริง จะมีผลต่อทางนิติกรรมต่างๆ ที่ได้กระทำมาก่อนหน้านี้หรือไม่ นายวีระชัย กล่าวว่า การถูกกล่าวหาว่า คงไม่สามารถตอบได้ต้องให้ข้อสรุปออกมาก่อน
ด้าน น.ส.สุจินดา กล่าวว่า ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง จึงไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆ จนกว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนกว่านี้
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #331 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 09:35:47 » |
|
วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 23:59:59 น. มติชนออนไลน์
เปิดผลสอบจุฬาฯคดีลอกวิทยานิพนธ์ของ "ศุภชัย หล่อโลหการ" ระบุชัดเข้าข่ายลอกเลียนวรรณกรรมโดยมิชอบ !!
สรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริงจากรายงานการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ตามคำสั่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลับ ที่ 2422/2552 ลงวันที่ 3 กรกฎาคมคม 2552
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับเรื่องร้องเรียนจาก Mr.William Wyn Ellis ว่า นายศุภชัย หล่อโลหการ อดีตนิสิตระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต หลักสูตรวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำเร็จการศึกษาเมื่อปีการศึกษา 2550 ได้ลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้ร้องเรียนเพื่อนำไปเป็นส่วนหนึ่งของวิทยา นิพนธ์ของตนโดยไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มา ทำให้ผู้ร้องเรียนได้รับความเสียหาย ซึ่งมหาวิทยาลัยได้มอบหมายให้คณะวิทยาศาสตร์และบัณฑิตวิทยาลัยร่วมกัน พิจารณาข้อเท็จจริงกรณีนี้ไปส่วนหนึ่งแล้ว ต่อมาผู้ร้องเรียนได้มีหนังสือร้องเรียนเพิ่มเติมไปที่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอให้มหาวิทยาลัยเพิกถอนการอนุมัติปริญญาดุษฎีบัณฑิตของนายศุภชัย หล่อโลหการ โดยอ้างว่าคณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ รวมทั้งมหาวิทยาลัยได้ดำเนินการเพื่ออนุมัติปริญญาดุษฎีบัณฑิตให้กับนายศุภ ชัย หล่อโลหการ ทั้งที่ผู้ร้องเรียนได้มีหนังสือถึงมหาวิทยาลัยเพื่อโต้แย้งสิทธิ์ในผลงาน ทางวิชาการไว้ก่อนแล้ว และเรื่องอยู่ระหว่างการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินการหาข้อเท็จจริงเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและชัดเจน มหาวิทยาลัยจึงได้มีคำสั่ง ลับ ที่ 2422/2552 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2552 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงในกรณีนี้ ประกอบด้วย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ เป็นประธาน ศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ ปัญหา คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ รศ.ธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย อาจารย์ นายแพทย์กิตติศักดิ์ กุลวิชิต และนางนฤมล กิจไพศาลรัตนา เป็นกรรมการ
ขอบเขตในการสอบสวนหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมการฯ คือการรวบรวมข้อเท็จจริงที่มีประเด็นที่ต้องพิจารณา 2 ประเด็น คือ ประเด็นเรื่องการคัดลอกผลงานวิชาการ และประเด็นเรื่องการเพิกถอนปริญญาดุษฎีบัณฑิต ในประเด็นเรื่องการคัดลอกผลงานทางวิชาการ นั้น เป็นการพิสูจน์ผลงานวิชาการของผู้ถูกร้องเรียนว่ามีการคัดลอกผลงานทาง วิชาการของบุคคลอื่นหรือไม่ โดยพิจารณาวิทยานิพนธ์ของผู้ถูกร้องเรียนเรื่อง "Establishment of Thailand′s National Organic Agriculture strategies : A Case Study in Organic Asparagus Production" (2007) เปรียบเทียบกับเอกสารวิชาการจำนวน 4 ฉบับ และไม่ครอบคลุมถึงประเด็นความเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในผลงานต่าง ๆ ที่ถูกอ้างว่ามีการลอกเลียน เนื่องจากเป็นประเด็นที่ต้องไปพิสูจน์ในศาลยุติธรรม ส่วนประเด็นเรื่องการเพิกถอนปริญญาดุษฎีบัณฑิตนั้น เป็นอำนาจของสภามหาวิทยาลัยตามพระราชบัณญัติิจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2551 ที่จะพิจารณาตัดสินโดยอาจพิจารณาจากรายงานการสอบข้อเท็จจริงที่คณะกรรมการ สอบสวนฯ จะได้ทำขึ้นจากการสอบสวนครั้งนี้
คณะกรรมการสอบสวนฯ ได้รวบรวมพยานเอกสารโดยติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสารที่ถูกอ้างอิง เพื่อรวบรวมเอกสารต้นฉบับมาใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณา และสอบสวนพยานบุคคล ได้แก่ ผู้ร้องเรียน ผู้ถูกร้องเรียน คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ และพยานที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานภายนอกแล้ว มีความ เห็นว่า แม้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าเอกสารวิชาการที่ผู้ร้องเรียนกล่าว อ้างว่าเป็นของตนนั้น เป็นผลงานของผู้ร้องเรียนจริงหรือไม่ หรือเป็นผลงานของผู้ถูกร้องเรียนหรือไม่ก็ตาม แต่วิทยานิพนธ์ของผู้ถูกร้องเรียนได้มีการคัดลอกงานวิชาการจากเอกสารจำนวน 4 ฉบับซึ่งเป็นงานเขียนของกลุ่มบุคคลในปริมาณงานที่มาก ถึงแม้ว่าผู้ถูกร้องเรียนจะได้ทำการอ้างอิงเอกสารบางรายการไว้ในบรรณานุกรม ของวิทยานิพนธ์ก็ตาม การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นการลอกเลียนวรรณกรรมโดยมิชอบ (Plagiarism) ไม่ว่าจะเป็นการลอกวรรณกรรมของตนเอง (Self-Plagiarism) หรือเป็นการลอกวรรณกรรมของผู้อื่น (Plagiarism) หรือโดยผู้อื่นเป็นเจ้าของผลงานร่วม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อเท็จจริงและความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าวข้างต้นนี้ต้อง ใช้พิจารณาในส่วนของการเพิกถอนปริญญาดุษฎีบัณฑิต ซึ่งเป็นอำนาจของสภามหาวิทยาลัยดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยังไม่สิ้นสุด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง "ศุภชัย" ดิ้นแจง "ที่ปรึกษา รมว.วท." ปัดลอกวิทยานิพนธ์ฝรั่ง ท้าจุฬาฯแน่จริงไม่ต้องรอรีถอดปริญญาได้เลย จุฬาฯหารือกฤษฎีกาถอนปริญญา "ดอกเตอร์"ศุภชัย หล่อโลหการ ผอ.สนช.หลังสรุปคดีกล่าวหาลอกวิทยานินพธ์
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
ตุ๋ย 22
|
|
« ตอบ #332 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 15:41:07 » |
|
ตามมาอ่านแล้วพี่ตะวัน
|
น้ำใจน้องพี่สีชมพู ไม่เสื่อมคลายหายไปจากหัวใจ
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #333 เมื่อ: 29 กันยายน 2553, 10:27:29 » |
|
เนวิน-สุเทพจักทัพ 48 ผู้ว่าฯ เตรียมรับมือเลือกตั้ง 29 กันยายน 2553 posttoday.com
ในที่สุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่มี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี เป็นหัวโต๊ะการประชุม ได้อนุมัติการแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด 48 ตำแหน่ง ตามที่ “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” รมว.มหาดไทย เป็นผู้เสนอ โดยมี “มานิตวัฒนเสน” ปลัดกระทรวง เป็นผู้ลงนามแต่งตั้ง ก่อนที่จะเกษียณในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ทั้งที่ธรรมเนียมปฏิบัติต้องให้ปลัดกระทรวงคนใหม่เข้ามาแต่งตั้ง
โดย.....ทีมข่าวการเมือง
ในที่สุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่มี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี เป็นหัวโต๊ะการประชุม ได้อนุมัติการแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด 48 ตำแหน่ง ตามที่ “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” รมว.มหาดไทย เป็นผู้เสนอ โดยมี “มานิตวัฒนเสน” ปลัดกระทรวง เป็นผู้ลงนามแต่งตั้ง ก่อนที่จะเกษียณในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ทั้งที่ธรรมเนียมปฏิบัติต้องให้ปลัดกระทรวงคนใหม่เข้ามาแต่งตั้ง
แต่ปรากฏว่า “มงคล สุระสัจจะ” ยังมีปัญหาเพราะถูกร้องปมทุจริตการเช่าคอมพิวเตอร์ โดยการแต่งตั้งผู้ว่าฯ ครั้งนี้เป็นไปอย่างเร่งรีบเพราะเพิ่งมีการสอบวิสัยทัศน์รองผู้ว่าฯ เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 24 ก.ย.เท่านั้น แต่ฝ่ายการเมืองได้เร่งรีบทำให้เสร็จสิ้น เพราะสัปดาห์นี้ถือเป็นสุดท้ายของปีงบประมาณ หากล่วงเลยไปอาจเกิดปัญหาได้
และเป็นไปตามคาดเมื่อพบว่าการแต่งตั้งผู้ว่าฯ ครั้งนี้ ไม่ต่างจากการแต่งตั้งครั้งอื่นๆ ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เพราะทั้งพรรคภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ล้วนแล้วแต่มีการผลักดันคนใกล้ชิดของตัวเองลงในพื้นที่ซึ่งเป็นฐานเสียงของตัวเองเพื่อหวังผลทางการเมือง โดยเฉพาะการเตรียมการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า
เห็นได้ชัดเจนจากผู้ว่าฯ สายพรรคภูมิใจไทย ที่มีความใกล้ชิดกับฝ่ายการเมือง ทั้งนายเนวิน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ต่างได้ดิบได้ดีไปอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ ในพื้นที่เป้าหมายที่ภูมิใจไทยต้องการปักธงให้ได้โดยเฉพาะในพื้นที่อีสาน โดยส่ง “ระพี ผ่องบุพกิจ” ผู้ว่าฯ สุรินทร์ ที่ย้ายไปผู้ว่าฯ นครราชสีมา ซึ่งเป็นพื้นที่เกรดเอ ในภาคอีสาน เพราะมี สส.มากเป็นอันดับ 2 รองจาก กทม. และเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันทางการเมืองสูง ซึ่ง “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รมช.มหาดไทย เจ้าของพื้นที่กำลังถูกกดดันในพื้นที่อย่างหนักจากการแย่งชิงพื้นที่นี้ ทั้งจาก “ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” พรรคเพื่อแผ่นดิน และ “พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ” ของพรรคเพื่อไทย
นอกจากนี้ ยังมีการดันให้ “ธานี สามารถกิจ” สิงห์แดง รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ที่เดียวกับ “ศักดิ์สยาม” ที่ขยับจากรองผู้ว่าฯ ชลบุรี มาเป็นผู้ว่าฯ ปทุมธานี โดยปีที่ผ่านมา “ธานี” ได้เข้ามาเป็นคณะทำงานของ “ศักดิ์สยาม” จนถือว่าเป็นมือขวาของ “ศักดิ์สยาม” เลยทีเดียว อีกทั้งปทุมธานียังเป็นพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในภาคกลางด้วย รวมถึง “สุทธิพงษ์จุลเจริญ” สิงห์ดำ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะทำงานของ “ศักดิ์สยาม” อีกคน รองผู้ว่าฯ นครนายก ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าฯ นครนายก เช่นกัน
นอกจากนี้ ฝ่ายการเมืองของพรรคภูมิใจยังได้ผลักดันคนสนิทลงในพื้นที่ที่ขนาดใหญ่ที่หวังว่าจะปักหลักให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ด้วยการแต่งตั้ง “เสริม ไชยณรงค์” รองผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ขึ้นเป็นผู้ว่าฯ สุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานที่มั่นของพรรคภูมิใจไทย รวมทั้งการแต่งตั้ง“สุรพล สายพันธ์” จากรองผู้ว่าฯ อุบลราชธานี ไปเป็นผู้ว่าฯ อุบลราชธานี เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะตอนนี้ที่ “สุพล ฟองงาม” สส.อุบลฯ พรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรคเพื่อไทย อาจจะทำให้การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงกระเพื่อมอีกก็ได้
การแต่งตั้ง “สมชัย หทยะตันติ” ผู้ว่าฯพิจิตร ไปเป็นผู้ว่าฯ เชียงราย พื้นที่ของ “สัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์” แกนนำพรรคภูมิใจไทย ภาคเหนือ การย้าย “เริงศักดิ์ มหาวินิจฉัยมนตรี” จากผู้ว่าฯ กาญจนบุรี ไปเป็นผู้ว่าฯ นครพนม ซึ่งเป็นพื้นที่ของ “ศุภชัย โพธิ์สุ” รมช.เกษตรและสหกรณ์ รวมถึง “สมศักดิ์ สุวรรณสุจริต” ผู้ว่าฯ หนองบัวลำภู ไปเป็นผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ ขณะที่ “สมบัติ ตรีวัฒน์สุวรรณ” จากผู้ว่าฯ สกลนคร ไปเป็นผู้ว่าฯ ขอนแก่น พื้นที่ของนายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ สส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย
“กิตติ ทรัพย์วิสุทธิ์” รองผู้ว่าฯ ราชบุรี ขึ้นไปเป็นผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา พื้นที่ของ “สุชาติ ตันเจริญ” และ “วิชิต ชาตไพสิฐ” รักษาการผู้ว่าฯ อุบลราชธานี ไปเป็นผู้ว่าฯ ชลบุรี พื้นที่ของนายสนธยา คุณปลื้ม ที่มีข่าวว่าจะมาเป็นหัวหน้าทีมภาคตะวันออกของพรรคภูมิใจไทย และมีการโยก “เสนีย์ จิตตเกษม” ผู้ว่าฯ ชลบุรี ไปเป็นผู้ว่าฯ น่าน เพราะมีข่าวไม่กินเส้นกับ “สนธยา”
ขณะที่ฝั่งประชาธิปัตย์ก็ไม่น้อยหน้า โดยการทำโผนาทีสุดท้ายที่อาคารสิริภิญโญ ช่วงดึกวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่าน “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ได้ส่งตัวแทนเพื่อนำโผผู้ว่าฯ โควตาพรรคประชาธิปัตย์ให้กับ “เนวิน” เพื่อฝากฝังคนของตัวเองลงพื้นที่ทั้งภาคใต้และภาคตะวันออก อาทิ “ธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล” รองผู้ว่าฯ ภูเก็ต ขยับไปเป็นผู้ว่าฯ สุราษฎร์ธานี เพื่อวางเกมการเลือกตั้งซ่อมที่จะเกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ “ธีระยุทธ” เคยเป็นอดีตนายอำเภอเกาะสมุย ทำให้มีความใกล้ชิดกับ “สุเทพ” เป็นอย่างมาก
รวมถึง “ธำรง เจริญกุล” รองผู้ว่าฯ สงขลา ไปเป็นผู้ว่าฯ พังงา ซึ่งเป็นพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน “ตรี อัครเดชา” รองผู้ว่าฯ ภูเก็ต เป็นผู้ว่าฯ ภูเก็ต ซึ่งเป็นพื้นที่ของ “อัญชลี วานิช เทพบุตร” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี “ธวัชชัย เทอดเผ่าไทย” จากผู้ว่าฯ เพชรบูรณ์ ไปเป็นผู้ว่าฯ ระยอง พื้นที่ของ “สาธิต ปิตุเตชะ” สส.พรรคประชาธิปัตย์ด้วย
นอกจากนี้ อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญในช่วง 23 ปีที่ผ่านมา คือการย้ายผู้ว่าฯ เพื่อไปดูแลและควบคุมมวลชนฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะในรัฐบาลชุดนี้ที่รัฐต้องควบคุมการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงอย่างใกล้ชิด เห็นได้จากการแต่งตั้ง “ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล” ผู้ว่าฯ นครปฐม ที่ถูกย้ายไปเป็นผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง โดยหวังว่าจะให้ “ม.ล.ปนัดดา” ผู้ว่าฯ ราชสกุล ผู้นี้ซึ่งแสดงตัวปกป้องสถาบันมาโดยตลอด น่าจะปราบคนเสื้อแดงได้ รวมถึงการย้าย “พีระศักดิ์ หินเมืองเก่า” ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ไปเป็นผู้ว่าฯ อุดรธานี เพราะต้องการให้ไปคุมเสื้อแดงเช่นกัน
ในทางตรงกันข้ามกับผู้ว่าฯ ในพื้นที่สีแดงที่ผลงานไม่เข้าตาต่างถูกเด้งเข้ามาเป็นผู้ตรวจกระทรวงมหาดไทยกันเป็นแถว ไม่ว่าจะเป็น “ศุภกิจ บุญญฤทธิพงษ์” ผู้ว่าฯ ลำบาง “ปรีชา บุตรศรี” ผู้ว่าฯ ปทุมธานี “ธวัชชัย ฟักอังกูร” ผู้ว่าฯ ร้อยเอ็ด และ “วันชัย สุทธิวรชัย” ผู้ว่าฯ ชัยภูมิ ที่ต้องเข้ามาตบยุงที่สำนักผู้ตรวจฯ เพราะไม่สามารถตอบสนองฝ่ายการเมืองได้
อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้งครั้งนี้ฝ่ายการเมืองไม่ต้องการให้ถูกวิจารณ์ว่าเอาแต่พวกสิงห์แดง รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจทำให้ถูกโจมตีได้ ทำให้โผครั้งนี้มีการผสมกันไปทั้งสิงห์แดง สิงห์ดำ (รัฐศาสตร์ จุฬาฯ) สิงห์ทอง รัฐศาสตร์ รามคำแหง และสิงห์ขาว รัฐศาสตร์ เชียงใหม่ และที่สำคัญทั้งหมดนี้เห็นได้ชัดว่า การแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าฯ ครั้งนี้ ภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ต่างวินวินด้วยกันทั้งคู่
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #334 เมื่อ: 29 กันยายน 2553, 22:02:46 » |
|
วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 21:30:44 น. มติชนออนไลน์
แกะรอยผู้ว่าฯเมืองชล เพื่อนเรียนรัฐศาสตร์"พระปราโมทย์"สรุป "สวนสันติธรรม"ไม่ผิดก่อนย้าย3วัน
นอกจากพระปราโมทย์ ปราโมชโช (สันตยากร) เจ้าสำนักสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มีเพื่อนร่วมรุ่นคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ (รุ่น 24) ซึ่งล้วนเป็นคนดัง ไม่ว่านายเกรียงกมล เลาหไพโรจน์ เลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ปี 2518 หรือ นายอภัยชนม์ วัชรสินธุ์ ผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) นักรัฐศาสตร์และนักกฎหมาย อาทิ กฤต ไกรจิตติ , กิตติ แก้วทับทิม , เกษม คมสัตย์ธรรม ,ทินกร ตันติวนิช ,ธนวัฒน์ เนติโพธิ์ ,ธนวิทย์ สิงหเสนี , ธีรพจน์ จรูญศรี , นวนิต สิงหเสนี , นุชนารถ วะสีนนท์ , ปาริชาติ จันทรางศุ , ไพบูลย์ จันทรางศุ , มยุรี อนุมานราชธน , รจนี อาชวานันทกุล , วันทนีย์ กัลยาณมิตร - บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด วัส ติงสมิตร - ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง , วิชช์ จีระแพทย์ สำนักอัยการสูงสุด , วีระนารถ วีระไวทยะ และ อุษา ตันติเวชกุล
ล่าสุด"มติชนออนไลน์" ตรวจสอบพบว่า นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่น 24 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯกับพระปราโมทย์ด้วยเหมือนกัน โดยในหนังสือทำเนียบรุ่นระบุว่านายเสนีย์เลขที่ 261 ส่วนเลขที่ 116
นายเสนีย์เป็นคนอำเภอพนัสนิคม ชลบุรี ประวัติรับราชการเคยรักษาการในตำแหน่งนายอำเภอปากชม จังหวัดเลย ,นายอำเภอตาลสุม จังหวัดอุบลราชธานี , นายอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี , นายอำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ,นายอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี,ผู้อำนวยการส่วนกิจกรรมมวลชน สำนักงานประสานงานมวลชน กรมการปกครอง , ผู้อำนวยการสำนักกิจการความมั่นคงภายใน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ( เลื่อนระดับ 9 ) 2542 ,รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ , รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 และผู้ว่าฯชลบุรี
ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2553 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ย้ายไปเป็นผู้ว่าฯน่าน พร้อมผูว่าฯคนอื่น 47 ตำแหน่ง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 วันเดียวกันที่ ครม.มีมติเห็นชอบให้โยกย้าย นายเสนีย์ก็ออกมาเปิดเผยผลการสอบสวนพระปราโมทย์ โดยมีนายยุติศักดิ์ เอกอัคร นายอำเภอศรีราชา ประธานกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ไม่พบว่าเจ้าสำนักสวนสวนสันติธรรมฉ้อฉลและหลอกลวงประชาชน
ส่วนแม่ชีอรนุช สันตยาก อดีตภรรยานั้นได้ทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับยกที่ดินหากสวนสันติธรรมได้รับการ พิจารณาให้เป็นวัดไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเงินรายได้นั้นมาจากผู้มีจิตศรัทธาบริจาค พระไม่ได้หยิบเงินแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าแม่ชีอรนุชถือบัญชีก็ตาม แต่มีผู้ตรวจสอบบัญชี จากพยานหลักฐานดังกล่าวไม่เข้าข่ายฉ้อฉลตามที่ร้องเรียน ส่วนกรณีอวดอุตริมนุสธรรม ขอให้สำนักพุทธศาสนาตรวจสอบ
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #335 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2553, 18:18:50 » |
|
วันที่ 04 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 15:02:52 น. มติชนออนไลน์
เปิดบันทึกถ้อยคำ"ธาริต"พยานคดียุบ ปชป. พิรุธ"ทวี สอดส่อง"วางแผนสร้างเรื่อง-ตั้งวอร์รูมช่วย นปช.
บันทึกถ้อยคำ "ธาริต เพ็งดิษฐ์" พยานคดียุบพรรค ฝ่าย ปชป. งัดพิรุธคำสั่งการของ "ทวี สอดส่อง" พร้อมระบุเป็นการวางแผน สร้างเรื่องให้เกิดคดียุบพรรค ดิสเครดิตซ้ำอดีตบิ๊กดีเอสไอดอดตั้งวอร์รูมช่วย นปช.ที่พรรคเพื่อไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 4 ตุลาคมถึงความคืบหน้าในการพิจารณาคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ยื่นคำ ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีการใช้เงินจากกองทุนเพื่อ พัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ว่า ว่า บันทึกถ้อยคำของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) จำนวน 5 หน้ากระดาษ ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ระบุความว่าเมื่อตนเข้ารับตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอได้ 3 เดือน ได้รับเรื่องร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอกลุ่มหนึ่งกลั่นแกล้ง สร้างเรื่อง และสร้างพยานเท็จเกี่ยวกับการเสนอยุบพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) และคดีเกี่ยวกับบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด(มหาชน) จึงได้ตรวจสอบพบข้อเท็จจริงพบว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2551 ส.ต.อ.ทชภณ พรหมจันทร์ ได้ทำหนังสือร้องทุกข์ต่อพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอในขณะนั้น
โดยมีสาระสำคัญว่า ปชป.กระทำทุจริตรับเงินจากนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และขอให้ดำเนินคดีกับปชป. ทั้งนี้พ.ต.อ.ทวี ย่อมทราบดีว่า เรื่องที่ร้องเรียนไม่อยู่ในอำนาจการสอบสวนของดีเอสไอ พ.ต.อ.ทวีจะต้องสั่งไม่รับดำเนินการโดยแจ้งให้ผู้ร้องรับทราบหรืออาจให้ส่ง เรื่องไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เป็นข้อมูล เพราะเรื่องนี้เป็นความผิดเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองแต่พ.ต.อ.ทวี กลับมอบให้พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผบ.สำนักกิจการระหว่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่าง ประเทศ เป็นหัวหน้าคดีตรวจสอบ
บันทึกถ้อยคำระบุด้วยว่า การสั่งการดังกล่าวพ.ต.อ.ทวี จึงไม่ถูกต้อง เพราะเรื่องนี้ไม่เป็นคดีพิเศษตามพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษและไม่มีการร้องขอ ให้มีมติรับเป็นคดีพิเศษ จึงรับไว้ดำเนินการไม่ได้ นอกจากนี้การสั่งการดังกล่าวเป็นพิรุธมาก เพราะมีการสั่งการมายังตน ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองอธิบดีดีเอสไอ โดยสั่งให้จ่ายเรื่องให้กับพ.ต.อ.สุชาติ จึงเป็นการบังคับให้ตนต้องจ่ายเรื่องให้พ.ต.อ.สุชาติ เท่านั้น โดยไม่สามารถใช้ดุลยพินิจจ่ายคดีไปให้บุคคลอื่นที่เหมาะสมได้ ทั้งที่เรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับขอบข่ายงานของสำนักกิจการระหว่าง ประเทศฯ การสั่งเจาะจงเช่นนี้เพราะต้องการให้พ.ต.อ.สุชาติเป็นผู้รับทำเรื่องนี้เท่า นั้น
ต่อมาวันที่ 24 มิ.ย. 2551 พ.ต.อ.ทวี มีคำสั่งที่ 217/2551 แต่งตั้งพ.ต.อ.สุชาติ เป็นหัวหน้าคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งเหตุผลในการออกคำสั่งอ้างว่าเป็นความผิดตามมาตรา 21 วรรค 1 ซึ่งไม่ถูกต้องไม่ตรงกับเรื่องที่ส.ต.อ.ทชภณ ร้องทุกข์ แต่เป็นการออกคำสั่งเพราะเกรงว่าคำสั่งจะไม่ชอบ หลังจากมีการออกคำสั่งแล้วแม้จะระบุให้ตนกำกับดูแล แต่ในความเป็นจริงคณะตรวจสอบชุดที่พ.ต.อ.สุชาติ เป็นหัวหน้าไม่เคยรายงานหรือหารือใด ๆ กับตนแม้แต่ครั้งเดียว แต่จะรายงานตรงกับพ.ต.อ.ทวี เท่านั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2551 พ.ต.อ.ทวี ได้นำเรื่องนี้เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) โดยกล่าวอ้างว่าเป็นคดีความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยไม่มีการพูดถึงความผิดตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง การนำเสนอข้อเท็จจริงต่อที่ประชุมจึงเป็นการบิดเบือนรูปคดีให้กลายเป็น เรื่องความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ และเป็นการลวงให้กคพ. สำคัญผิดจนที่ประชุมมีมติเห็นชอบ หากที่ประชุมรู้ความจริงตามที่ส.ต.อ.ทชภณ ร้องทุกข์จะไม่มีมติเห็นชอบแน่นอน เพราะไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอ
อย่างไรก็ตาม เมื่อที่กคพ.มีมติเห็นชอบย่อมผูกพันให้ดีเอสไอต้องดำเนินการเฉพาะความผิด ตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ เท่านั้น ไม่มีอำนาจไปดำเนินคดีตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง ทั้งนี้ ภายหลังการประชุมกคพ. ตนได้ทำเรื่องเสนอต่อพ.ต.อ.ทวี เพื่อขอให้พ.ต.อ.ทวี สั่งมอบหมายคดีที่ผ่านความเห็นชอบจากกคพ. ซึ่งจะเห็นข้อพิรุธได้ว่าในทุก ๆ เรื่องพ.ต.อ.ทวี จะเขียนด้วยลายมือ โดยเรื่องใดมอบหมายให้รองอธิบดีจะเขียนว่ารองฯสพ. 1 หรือรองฯสพ. 2 ซึ่งหมายความว่ารองอธิบดีฯจะใช้ดุลยพินิจมอบหมายนั่นเอง แต่พอมาถึงเรื่องที่ 6 คือคดีนี้พ.ต.อ.ทวี กลับเขียนว่ารองฯ สพ. 1 มอบ ผบ.สตท.ซึ่งคือพ.ต.อ.สุชาติ จึงเป็นการเจาะจงล็อคกันไว้ รองอธิบดีไม่มีสิทธิใช้ดุลยพินิจเหมือนเรื่องอื่น
บันทึกถ้อยคำระบุอีกว่า การที่พ.ต.อ.สุชาติอ้างว่าการสอบสวนในส่วนที่เกี่ยวกับคดีพรรคการเมืองเป็น เรื่องที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกับพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ เป็นข้ออ้างที่ผิดเพราะการเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันต้องตีความอย่างแคบตามหลัก การในกฎหมายอาญา โดยเฉพาะต้องไม่ใช่คดีความผิดที่อยู่ในอำนาจขององค์กรอื่น ดังนั้น พ.ต.อ.สุชาติ และคณะเจาะจงเข้าทำคดีนี้ทั้งที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ มีเจตนาแอบแฝงไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2551 พ.ต.อ.ทวี ออกคำสั่งที่ 528/2551 ยกเลิกคำสั่งที่ 371/2551 แล้วแต่งตั้งพ.ต.ท.วรชัย อารักษ์รัฐ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน โดยมอบรองอธิบดีคือพ.ต.อ.สุชาติ ให้กำกับดูแล จึงเป็นความจงใจของพ.ต.อ.ทวี ที่ต้องการให้พ.ต.อ.สุชาติ ดำเนินการเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ โดยไม่ให้มีการกำกับควบคุมจากรองอธิบดี การกระทำของพ.ต.อ.ทวี พ.ต.อ.สุชาติ และพ.ต.ท.วรชัย จึงเป็นการร่วมกับวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ของการเป็นหน่วยงานด้านการสอบสวนถักทอ บิดเบือน และสร้างเรื่องมุ่งหมายดำเนินคดีนี้ ทั้งที่ไม่ใช่คดีที่อยู่ในอำนาจของดีเอสไอ แต่ตกแต่งเรื่องจนกคพ.ผิดหลงมีมติเห็นชอบให้สอบสวน และอาศัยช่องทางจากมติกคพ. สอบสวนความผิดตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง โดยไม่ทำคดีตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ให้แล้วเสร็จ
หลังจากตนเข้ารับตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอระยะหนึ่งพ.ต.ท.วรชัยกับคณะได้ขอลา ออกจากการเป็นพนักงานสอบสวน ตนจึงแต่งตั้งพ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดี จนสอบสวนแล้วเสร็จและมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องตามความผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ต่อมาตนได้ทราบเรื่องว่าพ.ต.อ.สุชาติ มาเบิกความต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยนำเทปบันทึกเสียงมามอบให้ศาลจึงได้ตรวจสอบใน สำนวนคดีแต่ไม่พบเทปบันทึกเสียงเก็บรวบรวมไว้ในบันทึกการสอบสวน การกระทำของพ.ต.อ.สุชาติจึงไม่ถูกต้องตามหลักปฏิบัติของพนักงานสอบสวนซึ่งจะ ต้องรวบรวมพยานหลักฐานไว้ในสำนวนจะนำไปเก็บไว้เป็นการส่วนตัวไม่ได้
นอกจากนี้ตนยังได้รับทราบข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ว่าพ.ต.อ.ทวี และพ.ต.อ.สุชาติได้เข้าไปแนะนำในด้านการปฏิบัติการณ์และข้อชี้แนะต่าง ๆ ในลักษณะวอร์รูมที่ทำการของนปช.และพรรคเพื่อไทยในช่วงเหตุการณ์ในช่วง เหตุการณ์ความไม่สงบเดือนเม.ย.-พ.ค. 2553 อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากพ.ต.อ.ทวี และพ.ต.อ.สุชาติ ได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีและรองอธิบดีในสมัยพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลและ เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าบุคคลทั้งสองมีความใกล้ชิดกับอย่างมากกับบุคคลที่ เป็นแกนนำหลักระดับสูงของพรรคเพื่อไทยมาช้านานจวบจนปัจจุบัน
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #336 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553, 13:27:48 » |
|
นักวิชาการไล่ส่ง กทช.3G ลาออกพ่วงรับผิดชอบ 80 ล. โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 ตุลาคม 2553 09:16 น. กลุ่มจับตานโยบายรัฐบาล อาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์ ทิ่ม กทช.แสดงความรับผิดชอบประมูล 3G ล่ม ผลาญงบไปกว่า 80 ล้านบาทแบบสูญเปล่า ชี้แค่ขอโทษไม่พอ กทช.เจ้าของเรื่องต้องยืดอกลาออกและรับผิดชอบเม็ดเงินที่เสียหาย ด้าน กทช.มึนทำงานไม่ถูก ส่งเรื่องถามศาลปกครองสูงสุด 3 ประเด็น ดร.ประชา คุณธรรมดี อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะกลุ่มจับตานโยบายรัฐบาล (Policy Watch) แถลงข่าวครั้งที่ 2 ในหัวข้อ “เราควรเรียนรู้อะไรจากเรื่อง 3G” ว่าการดำเนินการเตรียมการประมูล 3G ที่ยกเลิกไปเพราะศาลปกครองวินิจฉัยว่าคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ไม่มีอำนาจ ขณะที่มีการใช้จ่ายงบประมาณไปมากกว่า 80 ล้านบาทนั้น ที่ผ่านมา กทช.ยังขาดความรับผิดชอบเท่าที่ควร และการออกมาขอโทษของกทช.ที่ผ่านมาไม่เพียงพอซึ่งความรับผิดชอบอาจจะทำได้โดยการรับผิดชอบตัวเงินที่เกิดขึ้นไปเลย และรับผิดชอบในหน้าที่โดย กทช.ที่ดูแลเรื่อง 3G โดยเฉพาะควรลาออกจากตำแหน่งเพื่อเป็นการรับผิดชอบ หากต่อไปศาลตัดสินว่า กทช.มีอำนาจวันนั้นก็จะได้รับการเยียวยาเอง “งบประมาณที่หมดไปกับการดำเนินการประมูล 3G ที่ทราบกันมากกว่า 80 ล้านบาทนั้นกทช.ควรจะแสดงความรับผิดชอบในแง่ตัวเงินที่มีความเสียหาย และ กทช.ที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรงควรลาออกเพราะถือเป็นการทำงานที่ผิดพลาด แค่ขอโทษไม่เพียงพอ และถือเป็นการทำงานแบบไร้หลักธรรมาภิบาล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า กทช.ไร้การบริการความเสี่ยงที่ดี เพราะที่ผ่านมามีการทวงถามเรื่องอำนาจของ กทช.จากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมาตลอดแต่กทช.ก็ไม่ได้พยายามหาความชัดเจนเรื่องนี้ก่อนเดินหน้าผลักดันการประมูล” อย่างไรก็ตาม ไม่เห็นด้วยที่ กทช.จะลาออกยกชุดเพราะจะทำให้เกิดสุญญากาศแก่วงการโทรคมนาคม เพราะ กทช.มีหน้าที่หลัก 2 ประการ คือ 1.หน้าที่การกำหนดนโยบาย ซึ่งหน้าที่ส่วนนี้ควรจะงดดำเนินการ และควรรอคณะกรรมการ กสทช.ชุดใหม่ 2.หน้าที่การกำกับดูแลซึ่งที่ผ่านมากทช.ไม่ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ ดังนั้น ช่วงเวลาที่เหลือ กทช.ควรเข้าไปดำเนินการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องการคงสิทธิเลขหมาย (นัมเบอร์พอร์บิลิตี้) ที่มีการพูดถึงมากว่า 5 ปีแต่ยังผลักดันไม่สำเร็จ และโครงการบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (USO) ที่ดำเนินการกันมา 15 ปี แต่บริการโทรคมนาคมไทยยังไม่ทั่วถึงในปัจจุบัน ดร.ประชากล่าวต่อว่า กลุ่มจับตานโยบายรัฐบาล มีข้อเสนอ 3ข้อ ที่รัฐบาลควรพิจารณาจากการเรียนรู้เรื่อง 3G ที่ผ่านมาคือ ข้อเสนอที่1รัฐบาลควรใช้ระยะเวลาที่เหลืออีก1 ปี ก่อนมีกสทช.เข้ามาเดินหน้าจัดประมูล 3G หรือ 4G และเร่งผลักดันการแปรสัญญาสัมปทานเป็นใบอนุญาต พร้อมทั้งมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับผู้ประกอบการรายใหม่โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นผู้ให้บริการไทย เพราะเป็นการพัฒนากิจการโทรคมนาคมทั้งระบบและแก้ต้นเหตุความวุ่นวาย รวมทั้งยังเป็นการสร้างการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมรองรับการเกิดเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งเรื่องนี้ต้องอาศัยฝีมือของรัฐบาล เพราะเร่งดำเนินการเรื่องนี้ดีกว่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปเฉยๆ “ในส่วนการปรับปรุงความถี่เดิมให้บริการ 3G นั้นเห็นว่าไม่มีโอกาสสำเร็จเพราะระยะเวลาของอายุสัญญาสัมปทานที่เหลือ3-8 ปีเหลือน้อยเกินไปเอกชนจึงเห็นว่าไม่คุ้มค่าการลงทุน” ส่วนข้อเสนอที่ 2 กทช.สมควรเดินหน้าเรื่องคงสิทธิเลขหมายและแก้ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบระหว่างผู้ให้บริการด้วยกัน หรือ ผู้ให้บริการกับผู้บริโภคในประเด็นต่างๆ ให้สำเร็จก่อนหมดวาระ และกทช.สมควรเผยแพร่ข้อเท็จจริงกรณีจ้างที่ปรึกษาต่างประเทศในการดำเนินการจัดประมูล 3G ที่ใช้ไปมากว่า 10 ล้านบาทให้สาธารณะชนรับทราบ ข้อเสนอที่ 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการโทรคมนาคมควรมีบทบาทในการเผยแพร่ข้อมูลสาธารณะให้กับประชาชนในแง่มุมต่างๆและสนับสนุนการขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำในทางการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และสร้างแหล่งข้อมูล ในส่วนการแต่งตั้ง กสทช. เห็นว่าไม่ควรจะมีจำนวนมากนักเพราะจะเป็นแหล่งรวมของตัวแทนผลประโยชน์ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นประโยชน์สำหรับประเทศล่าช้าออกไป และควรเลือกบุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการกำหนดยุทธศาสตร์ในการดำเนินการ
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #337 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 11:22:27 » |
|
ถึงเวบมาสเตอร์ ข้อความนี้เป็นเมลที่ส่งมาให้อ่านกันทั่วๆ คิดว่ามีประโยชน์ ต่อคนไทยมาก อย่าโกรธ อย่าเกลียดคนเขียน เพราะทั้งหมดที่เขาเขียนมาเป็นความจริง ที่เราต้องยอมรับ และหาทางแก้ไข
จดหมายถึงนาย อ่าน...โปรดส่งต่อด้วยเพื่อประเทศชาติของเรา
อ่านแล้วจะเป็นลม ช่วยคิดให้หน่อยว่าคนเขียนฝีมือแบบนี้คือใครกันแน่ ไทยหรือฝรั่ง. ทำไม่เค้าว่าเราได้ถูกต้องแล้วก็เจ็บแสบได้ขนาดนี้ เหมือนถูกคนตบหน้าจนช้ำแดงก่ำไปหมดหรือเหมือนถูกกระทืบจมกองอยู่ที่พื้นก็เป็นไปได้. ต้องยอมรับว่าคนเขียนเขาเรียนรู้คนไทยแล้วก็ประเทศของเราได้ชัดเจนด้วยความชำนาญจริงๆ ต้องให้แน่ใจว่าเราต้องส่งให้คนไทยเพื่อนของเราได้อ่านให้มากที่สุด
จดหมายถึงนาย
“ จดหมายถึงนาย ” ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นข้อเขียนของคนหนุ่มซึ่งมีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์ในแวดวงการทูตและแวดวงของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นคนเก่งที่ซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งหายากยุคสมัยนี้ แนวคิดและวิธีเขียนอาจจะดูเหมือนรุนแรงแต่ถ้าเราไม่ปฏิเสธความจริง คงต้องยอมรับว่าสิ่งที่บรรยายไว้มีอยู่จริงในบ้านเมืองของเรา ผมเห็น ว่าเป็นข้อเขียนที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการกระตุ้นเตือนทุกคนให้ตระหนักถึงพิษภัยที่เรากำลังเผชิญอยู่เผื่อจะได้ช่วยกันคิดอ่านป้องกันหรือแก้ไขให้ดีขึ้น ในยุคนักธุรกิจครองเมืองจึงได้นำลงมาไว้ใสคอลัมน์นี้
ข้าพเจ้าเป็นชาวต่างประเทศที่ทำงานอยู่ในเมืองไทย มีหน้าที่รายงานภาพรวมของประเทศไทยกลังไปยังนาย คือ บริษัทแม่ในต่างประเทศ หรือ บางครั้งก็แอบเสนอรายงานต่อรัฐบาลประเทศของข้าพเจ้า
ในโอกาสล่าสุดนี้ นายต้องการทราบว่าควรจะดำเนินการในแง่ยุทธศาสตร์ต่อประเทศไทยอย่างไรดี เพื่อให้การครอบงำประเทศนี้สมบูรณ์ที่สุด ในระยะยาวข้าพเจ้าขอสนองความต้องการของนายด้วยจดหมายสั้นๆ ฉบับนี้
นายที่รัก ตามที่มอบหมายให้ข้าพเจ้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทยเกือบ 20 ปีแล้วนั้นข้าพเจ้าพอจะสรุปคำตอบเพื่อเสนอต่อนายได้ดังต่อไปนี้
ภาพรวมของประเทศไทย ยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ค่อนข้างยากจน สังคมไทยโดยพื้นฐานมีลักษณะไร้ระเบียบกฎเกณฑ์ซึ่งเป็นอุปนิสัยประจำตัวของชนชาตินี้
แม้ว่ารัฐบาล รัฐสภาและประชาชนส่วนหนึ่งได้พยายามแก้ไขกฎหมายต่างๆ จำนวนมากรวมทั้งรัฐธรรมนูญในการปกครองประเทศให้ดีขึ้น แต่โดยพฤติกรรมแล้ว คนไทยนิยมการดำเนินชีวิต ธุรกิจ และการใช้อำนาจรัฐ ที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ต่างๆ หรือที่มีคำกล่าวในประเพณีไทยว่า “ ทำได้ตามใจคือไทยแท้ ” ท่านจะประมาทต่อคำกล่าวนี้ไม่ได้เลย
ในทางกายภาพ กรุงเทพฯเป็นตัวอย่างของเมืองหลวงที่ไร้ระเบียบที่สุดแห่งหนึ่งของโลกซึ่งเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจมหาศาล ความไร้ระเบียบนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้งหรือลดน้อยลงเลย เมืองเชียงใหม่ซึ่งน่าจะได้เรียนรู้บทเรียนราคาแพงจากกรุงเทพฯแต่ก็ไม่ทำ หรือทำไม่ได้ เมืองพัทยาซึ่งควรเป็นบทเรียนให้กับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ แต่ก็ไม่เป็นหรือเป็นไม่ได้
ระบบการจราจรและพฤติกรรมของผู้ขับขี่ยานพาหนะก็เป็นอีกตัวอย่างที่เลวที่สุด นับเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติก็ว่าได้
การรุกล้ำที่ดินสาธารณะ ที่ป่าสงวน เขตอุทยานแห่งชาติ ฯลฯ ก็เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แก้ไขไม่ได้ แม้แต่หน่วยงานราชการถึงขนาดทำเนียบรัฐบาลเอง ภายนอกดูสวยงามแต่ภายในนั้นไร้ระเบียบทางกายภาพอย่างน่ากลัว เช่น งานเอกสารที่ท่วมทางเดิน ซึ่งเป็นปัญหาของทุกหน่วยงานราชการตลอดกาลแก้ไม่ได้ ความไร้ระเบียบทางกายภาพนี้ ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นเพียงแค่ประเทศเล็กๆ ที่เราควรเข้ามากอบโกยเอาผลประโยชน์เมื่อมีโอกาสและก็กลับไปยังความศิวิไลซ์ของเราโดยเร็ว เมืองไทยไม่ใช่ประเทศที่ควรเข้ามาปักหลักลงทุนหรืออยู่อาศัยอย่างยาวนานหรือถาวร เพราะเป็นการยากที่เราจะปกครองคนชาตินี้ให้อยู่ในระเบียบวินัยได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่เหมาะกับวัฒนธรรมอันเจริญของเรา ความไร้ระเบียบทางศีลธรรม จริยธรรม
ท่านจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ แต่มีการค้าประเวณี และยาเสพติดอย่างเปิดเผยทั่วไป มีการฆาตกรรมกันมาก การฉ้อราษฎร์บังหลวงมีอยู่ทั่วหัวระแหง ไม่เว้นแม้แต่ในโรงเรียน มีครูโกงเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ในวัด ซึ่งพระโกงชาวบ้าน หรือราชการหลอกพระและพุทธศาสนิกชน หรือที่สื่อมวลชนทำกับเยาวชน ตำรวจเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาสังคม ทั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงระบบราชการไทย ซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นสัญลักษณ์สุดยอดของความไร้ระเบียบทางศีลธรรม-จริยธรรม จนกลายเป็นสาเหตุบ่อนทำลายรากฐานของสังคมไทยให้ผุกร่อน เห็นได้จากการที่กลไกของรัฐไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาสังคมและศีลธรรมได้เลยผู้นำทางศีลธรรมและจริยธรรม อันได้แก่ พระ ครู สื่อมวลชน ฯลฯ ได้ เสื่อมอิทธิพลในการนำจิตใจลงอย่างมากเพราะถูกเงินเข้าครอบงำ ทั้งโดยเจตนาในทางทุจริตจริงๆ และโดยสถานการณ์บังคับ
ส่วนผู้นำประเทศและชนชั้นนำในสังคมก็ล้มเหลวในทางศีลธรรมและจริยธรรมโดยสิ้นเชิงดังจะเห็นได้ชัดในแวดวงการเมือง สังคมไทยยังคง “ ยอมรับนับถือ ” นักการเมือง และข้าราชการระดับสูงซึ่งมีประวัติไม่สะอาดหรือพฤติการณ์ที่น่ารังเกียจ พวกเจ้าเล่ห์เพทุบาย หรือในวงการแพทย์ ซึ่งเคยเป็นวิชาชีพที่สังคมให้เกียรติอย่างมากกลับมีกรณีฉาวโฉ่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในวงการผู้พิพากษาก็มีกรณีที่ทำให้สถาบันต้องมัวหมองอยู่เนืองๆ เชื่อหรือไม่ว่า คนไทยนั้น ที่หวังพึ่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างจริงจัง มีน้อยมาก ปัญหาเด็กหาที่เรียนในกรุงเทพฯกลายเป็นตลกเศร้าของพ่อแม่ตลอดกาลชั่วนาตาปี ฯลฯ
ในทางกฎหมาย ปรากฏว่ามีความไร้ระเบียบจนการใช้กฎหมายตั้งแต่รัฐธรรมนูญลงมาถึงระดับระเบียบปฏิบัติต่างๆ เกิดความวุ่นวายไปหมด สิ่งที่น่าขันก็คือ ในเรื่องๆ หนึ่งอาจมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกันมากมายหลายฉบับและให้อำนาจบุคคลต่างๆ ไว้แตกต่างกัน ทำให้สังคมไทยอยู่บนช่องว่างของกฎหมายมากกว่าตัวบทกฎหมายเอง ตัวอย่างที่ดีก็เช่นว่า เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น สำนักงานการบริหารราชการแผ่นดินนายกรัฐมนตรีเกือบไม่ต้องรับผิดชอบเลย โดยอ้างว่าอำนาจต่างๆ เป็นของรัฐมนตรี ส่วนรัฐมนตรีก็อ้างว่าเป็นอำนาจของปลัดกระทรวง ปลัดกระทรวงก็อ้างว่าเป็นอำนาจของอธิบดี อธิบดีมักจะกล่าวว่า “ เราจะป้องกันมิให้ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ” โดยไม่มีผู้ใดแสดงความรับผิดชอบตามกฎหมายจริงๆ เลย และเมื่อมีผู้ถามว่าเหตุใดจึงมีกฎหมายที่ทำให้เกิดช่องว่างดังกล่าวมากเหลือเกิน นักกฎหมายก็จะตอบด้วยความภูมิใจว่า “ เพื่อกระจายอำนาจและให้เกิดความคล่องตัวในทางปฏิบัติ ” ความไร้ระเบียบทางกฎหมายตั้งแต่ระดับกติกาสูงสุดในการปกครองประเทศลงมาถึงระเบียบจุกจิกสารพัดเรื่องในหน่วยงานราชการหนึ่งๆ ได้กลายเป็น “ ต้นทุน ” ในการพัฒนาของประเทศไทยยุคใหม่ทั้งๆ ที่ประชาชนในยุคนี้มีการศึกษาสูงกว่ายุคก่อนๆ จึงนับว่าเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง และสะท้อนให้เห็นว่า มันสมองที่แท้จริงในสังคมไทยยังไม่ได้รับการพัฒนา หรือพูดง่ายๆ ยังไม่ได้เกิดมาเพื่อสร้างสรรค์สังคมแม้ว่ากาลเวลาผ่านมาแล้วอย่างยาวนาน
ในทางวัฒนธรรม อะไรเล่าคือ วัฒนธรรมไทย เมื่อข้าพเจ้าถามเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยเขาจะพาเราไปดูการฟ้อนรำที่ซ้ำๆ กัน ดูผ้าไหม ดูวัด และพาไปทานอาหารไทย เขาจะพาเราไปเที่ยวดูช้าง และชาวเขา ดูเรือในแม่น้ำและการพิธีต่างๆ มวยไทยและตลาดน้ำ เราได้ดูพระพุทธรูป ปราสาทราชวัง ซึ่งล้วนแต่เป็นอดีต แต่พวกเขาไม่เคยพาเราไปดูวัฒนธรรมในการศึกษาหาความรู้ของคนไทย วัฒนธรรมในการผลิตสินค้าและการให้บริการของคนไทย การคิดค้นสิ่งใหม่ประดิษฐกรรมและศิลปกรรม ข้าพเจ้าไม่เคยได้พบวัฒนธรรมที่ดีงามมากในธุรกิจของไทยและยิ่งพบเห็นได้ยากในระบบราชการของไทยซึ่งเน้นความเป็นเจ้าขุนมูลนายและสายสัมพันธ์มากกว่าการมีวัฒนธรรมที่สร้างจิตสำนึกต่อสังคม คนไทยไม่สามารถชี้ให้เห็นวัฒนธรรมของพวกเขาในส่วนที่เป็นพลังขับเคลื่อนที่แท้จริงของชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม และไม่สามารถอธิบายให้น่าฟังได้ในระดับนามธรรม ความไร้ระเบียบทางกายภาพและทางศีลธรรม-จริยธรรม และความไร้ระเบียบทางกฎหมายและวัฒนธรรม ที่สรุปไว้ข้างต้นนี้นับว่าเป็นข้อดีสำหรับเรา ซึ่งเป็นคนต่างชาติที่มีอำนาจ เพราะแสดงให้เห็นว่าคนไทยนั้นอ่อนแอในทุกด้าน ผู้ใหญ่ก็อ่อนแอและเด็กก็อ่อนแอ คนมีความรู้ก็อ่อนแอและคนไม่มีความรู้ก็อ่อนแอ คนมีอำนาจหรือไม่มีอำนาจก็อ่อนแอทั้งสิ้น นับเป็นเวลากว่า 50 ปีมาแล้วที่คนไทยไม่มีผู้นำที่สามารถและเสียสละอย่างแท้จริง (ยกเว้นองค์พระมหากษัตริย์) อันสะท้อนกลับมาที่ลักษณะประจำชาติของคนไทยเอง นายท่าน ! สังคมไทยเป็นสังคมที่ผุกร่อนมากแล้วรอวันแตกสลายลง เหมือนหินกับปูนซึ่งถูกน้ำกรดกัดกร่อนทุกวัน ในวันหนึ่งข้างหน้าก็จะไม่มีอะไรให้เห็นเป็นแก่นสารเลย นายควรที่จะพอใจว่ารัฐบาลข้ามชาติ รวมทั้งมาเฟียต่างๆ ของเราชาวต่างชาติเพียงแต่ใช้กุศโลบายอันแยบยลอย่างเงียบๆ หลอกล่อให้คนไทยหลงอยู่ในความฝันว่าตนมีสติปัญญาเพียงพอแล้วโดยการเลียนแบบฝรั่งก็ใช้ได้ ความไร้ระเบียบจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ในทุกด้าน สังคมไทยในที่สุดจะตั้งอยู่ได้ด้วยประชาชนที่อ่อนแออย่างหลวมๆ เพียงอย่างเดียว
ไม่มีจุดเชื่อมโยงอย่างมีความหมายกับอำนาจรัฐและอิทธิพลทางจิตใจของผู้นำทางการเมือง สังคม สถาบันหรือศาสนาใดๆ เมื่อนั้นเราจะบังคับเอาประเทศไทยเป็นทาสอย่างง่ายดาย เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น สิ่งที่เป็นเวทย์มนต์อันศักดิ์สิทธิ์ที่เราชาวต่างชาติจะใช้สะกดผู้นำของชาติไทยก็คือ จงหลอกล่อให้พวกเขาหลงใหลเข้าใจว่าพวกเราชาวต่างชาติจะอยู่ในระเบียบวินัยทางการค้าและการลงทุนอันเสรีในกฎเกณฑ์ที่เรานั่นเองเป็นผู้คิดค้นขึ้น เราจะต้องสะกดให้เขาเชื่อว่าเราชาวต่างชาติจะอยู่ในระเบียบวินัยของกฎบัตรสหประชาชาติ และหลักการด้านสันติภาพ ประชาธิปไตย และมนุษยธรรมต่างๆ รวมทั้งมาตรฐานอันสูงส่งในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ อย่าให้พวกเขาได้มีโอกาสเรียนรู้ศาสตร์ชั้นสูงของการลูบหน้าปะจมูกหรือมือถือสากปากถือศีลของชนชาติเราเป็นอันขาด ชาติเล็กๆ ที่น่าสงสารชาตินี้ย่อมอยู่ในอุ้งมือของเราเป็นแน่แท้ แม้คนอยากจะลุกขึ้นสู้ แต่พวกเขาก็มีแต่ความรักชาติเท่านั้น ไม่มีระเบียบวินัยและพลังภายในของสังคม อันเป็นจิตวิญญาณของชาติที่แท้จริงซึ่งจะผลักดันให้ต่อสู้ได้สำเร็จเลย “ สิ่งที่พึงระวัง ” เราชาวต่างชาติจะต้องระวังย่างก้าวของเราบางประการเพื่อมิให้การครอบงำอย่างเงียบๆ นี้สะดุดหยุดลง ข้าพเจ้าขอเสนอแนวคิดต่อนายดังนี้
1. อย่าให้เมืองไทยมีผู้นำที่เข้มแข็งและเสียสละ สังคมไทยส่วนใหญ่ยังหวังพึ่งหัวหน้าฝูงและสิ่งที่มีอำนาจ เขายังไม่หวังพึ่งพาตนเองมากนัก หากสังคมไทยได้ผู้นำที่เสียสละ พวกเขาจะกลายเป็นชาติที่รุ่งเรืองได้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังเช่นที่ปรากฏมาทุกยุคในประวัติศาสตร์ชาติไทย สิ่งที่เราควรทำคือ ส่งสัญญาณสนับสนุนผู้ที่จะได้รับเลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากแม่พิมพ์ ( mold ) แบบเก่าของไทย เช่น นาย ช. นาย ก. นาย บ. ฯลฯ หรือผู้ที่แสวงประโยชน์สูงสุดจากการเมือง คนพวกนี้จะช่วยให้เราชาวต่างชาติใช้เวทย์มนต์ของเราได้ง่ายขึ้นเหมือนที่ผ่านๆ มา
2. อย่าให้ผู้นำของไทยคิดออกนอกแนวโลกาภิวัฒน์ เพราะโลกาภิวัฒน์คือเวทย์มนต์ของเรา จงทำให้พวกเขาหลงใหลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าโลกาภิวัตน์ที่ถูกต้อง คือ การเอาใจท้องถิ่น (localization of globalization) เพื่อว่าเขาจะได้แคลงใจสงสัยน้อยลง จงทำให้พวกเขาเชื่อว่าปัญหาต่างๆ ของพวกเขานั้น จะพึ่งพากลไกของรัฐไม่ได้ แต่ต้องพึ่งพานักคิดแก้ปัญหาอิสระในนามผู้เชี่ยวชาญและเอ็นจีโอบางแห่งที่เราสนับสนุนอยู่ จงจูงมือพวกเขา จงจูงใจพวกเขาและให้อามิสแกพวกเขา ทำให้เขารู้สึกว่าภาคประชาชนเท่านั้นที่สำคัญ พวกเขาจะดูหมิ่นเหยียดหยามอำนาจรัฐ พวกเขาจะเกลียดชัง พวกเขาจะเคียดแค้น ซึ่งจะเป็นผลดีแก่ความก้าวหน้าของเรา ขณะเดียวกัน เราเองจะต้องสนับสนุนให้อำนาจรัฐพัฒนาประเทศไปในแนวทางที่ประชาชนเกลียดชังมากขึ้นทีละน้อย โดยแสร้งทำเป็นว่าอย่าช่วยเหลืออย่างจริงใจ
3. จงเร่งให้คนไทยรู้สึกว่าพวกเขาพ้นจากปัญหาเศรษฐกิจแล้ว เมื่อพวกเขาหลงเชื่อว่าทุกอย่างดีขึ้น นิสัยประจำชาติของพวกเขาจะพลุ่งพล่าน พวกเขาจะลืมตัวสร้างความไร้ระเบียบมากขึ้นเป็นทวีคูณ เริ่มจากการเมืองระดับชาติ ข้าราชการ นักธุรกิจ ฯลฯ ลงมาจนถึงการเมืองท้องถิ่น พระ ตำรวจ ชาวบ้าน พวกเขาจะรีบเร่งออกกฎหมายต่างๆ จนยุ่งเหยิงไปหมด ไม่ทราบว่าในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะใช้กฎหมายใด ในกรณีใดเมื่อใด พวกเขาจะย่อหย่อนต่อวินัยทางเศรษฐกิจ การคลัง และการเงิน พวกเขาจะเมินเฉยต่อศีลธรรม-จริยธรรม จะฟุ้งเฟ้อ ทำตัวเป็นคางคกขึ้นวอเพื่อให้เราชาวต่างชาตินิยมชมชอบ ดังนั้นพลวัตทางเศรษฐกิจเพราะความเชื่อผิดๆ ว่าทุกอย่างดีขึ้นจะนำไปสู่จิตวิญญาณของชาติที่เป็นอัมพาตหนักกว่าเดิมในเวลาอันไม่ช้า ซึ่งจะเป็นโอกาสทองของพวกเราชาวต่างชาติอย่างแท้จริง
4. จงช่วยสนับสนุนการศึกษาของคนไทย (ให้แคบขึ้นเรื่อยๆ ) จนคนทั้งชาติเชื่อว่า การใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นคือการไม่ได้รับการศึกษา พวกเขาจะชำนาญและหลงใหลได้ปลื้มกับเทคนิคต่างๆ ซึ่งนำเอาความสะดวกสบาย และเงินเดือนสูงๆ มาให้จนลืมไปว่าการสร้างชาตินั้นสำคัญกว่าการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือการส่ง e-mail เราทำให้พวกเขาเชื่อไปได้เปลาะหนึ่งแล้วว่าตอไปคำว่า “ ชาติ ” จะไม่มี เพราะ internet ได้ทำลายพรมแดนธรรมชาติลงเสียแล้ว ต่อไปก็ต้องทำให้พวกเขาลืม “ ความรักชาติ ” และแรงปรารถนาที่จะ “ สร้างชาติ ” เพื่อว่าจะได้หมดความปรารถนาแบบโบราณที่จะยืนอยู่ในโลกอย่างทรนงเช่นเสรีชนอื่นๆ อย่าให้พวกเขาสนใจศิลปศาสตร์มากนัก เพราะวิชาเหล่านี้ทำให้พวกเขา “ คิดอย่างมีจินตนาการ ” อย่าให้พวกเขา “ คิดได้ ” มากๆ หรือ “ อยากคิด ” มากๆ เพราะมันจะเป็นฐานพลังให้สังคมไทย “ คิดสู้ ” จงเน้นให้พวกเขาหลงใหลในวิชาการเทคนิคและอิเลคโทรนิคเป็นสำคัญ
5. หลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ระบบราชการไทย เพราะระบบราชการไทยนั้นล้าหลังมาก และเป็นทั้งอุปสรรค์ต่อการพัฒนาประเทศพร้อมๆ กับเป็นเชื้อโรคที่กัดกินสังคมไทยโดยส่วนรวมมากขึ้นทุกที ระบบราชการไทยเต็มไปด้วยความกดดันทำลายทรัพยากรบุคคล เต็มไปด้วยความไร้ประสิทธิภาพ และความไร้สำนึกต่อสังคม ทำให้ระบบราชการไทยเป็นมหามิตรของเราชาวต่างชาติ อย่าชี้จุดอ่อนของเขา อย่าวิพากษ์วิจารณ์ ปล่อยให้มันเป็นบ่อนทำลายคนไทยทั้งทางกายและทางจิตใจ ทุกลมหายใจของชีวิตจนกว่าจะหมดลม เมื่อไม่วิพากษ์วิจารณ์ มหามิตรของเราก็จะทำงานอย่างขะมักเขม้นโดยหลงเชื่อว่าตนนั้นดีเลิศประเสริฐที่สุดในชาติ มีความชอบธรรมที่จะเขมือบงบประมาณแผ่นดินมากขึ้นเรื่อยๆ จนชาติไทยทั้งชาติเป็นอัมพาตเพราะมะเร็งร้ายนี้ อย่าลืมว่าเฟืองตัวใหญ่ ที่ขึ้นสนิมเขรอะย่อมทำให้จักรกลทั้งหมดสามารถหยุดหมุนได้ เราชาวต่างชาติไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย นั่งยิ้มให้มหามิตรของเรา และยื่นหัตถ์แห่งมัจจุมิตรแก่พวกเขา จนกว่าเวลาจะมาถึง
6. จงนำรายงานฉบับนี้ให้คนไทยอ่านเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของพวกเขา ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพวกผู้นำจะตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มละไมว่า “ เพิ่งได้รับเอกสาร ขอเวลาให้เราแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาก่อน ” ส่วนคนไทยทั่วไปจะตอบว่า “ ไม่เป็นไร ” แล้วหัวเราะเห็นฟันขาว นายท่านจงตระเตรียมเครื่องปรุงรสให้พร้อมเพื่อลิ้มรสเนื้ออันโอชะจากแผ่นดินไทย
รายงานของข้าพเจ้าฉบับนี้มีเพียงเท่านี้ หากรัฐบาล บริษัทข้ามชาติและมาเฟียของเราวางแผนเข้ามาผูกมิตรกับคนไทยโดยมีเป้าหมายเช่นว่านั้นแล้ว ข้าพเจ้ารับรองว่าคนไทยจะภาคภูมิใจในการผูกมิตรกับเราเป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาโดยเนื้อแท้ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงมากนักและไม่ชอบคิดแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง พวกเขาชอบการยกยอปอปั้น หลีกเลี่ยงความขัดแย้งและใช้ชีวิตตามสบาย
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
BU_KA
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 986
|
|
« ตอบ #338 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 23:21:43 » |
|
มาจองอ่านค่ะ เด๋วหาไม่เจอ
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #339 เมื่อ: 08 ตุลาคม 2553, 21:01:07 » |
|
ก่อนมีการเลือกตั้ง เห็นพวกพรรคเพื่อควาย มันเขียนป้ายโฆษณาว่า ขอเสียงไปคานอำนาจ เพราะตอนนี้ ปชป.ได้ฐานอำนาจผู้ว่าและ สส.ไปแล้ว? โฮะๆๆ > อย่างพวกเอ็ง มีคุณค่าพอที่จะ"คานอำนาจ"กับใคร ด้วยเหรองัย(วะ)?
ถ้าต้องคานอำนาจ ด้วยการเอา กลิ่นขี้ มากลบ กลิ่นเยี่ยว > ผมขอนั่งดมเยี่ยวต่อไปยังจะดีกว่า...สาธุ!
|
...
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #340 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2553, 11:48:36 » |
|
"เมธี"ท้าต่อย"จตุพร" 12 ตุลาคม 2553 posttoday online เมธี ดาราเสื้อแดง เข้าพบ ธาริต ร้องถอนประกัน "จตุพร" อ้าง โทรข่มขู่พยาน ท้าต่อยอย่าลอบกัด
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายเมธี อมรวุฒิกุล อดีตแนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง ได้เข้าพบนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อร้องขอให้ถอนประกันนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง โดยระบุว่านายจตุพรโทรศัพท์มาข่มขู่พยานที่อยู่ในการคุ้มครอง พร้อมทั้งแฉว่าแกนนำคนเสื้อแดงโกงเงินบริจาคผู้เสียชีวิต 628 ล้าน ขณะนี้คนโกงหนีไปมาเลเซียแล้ว หากนายจตุพรแน่จริงก็ท้าต่อยกันดีกว่าอย่ามาลอบกัด
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #341 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2553, 11:54:54 » |
|
การเมือง วันที่ 12 ตุลาคม 2553 11:16 โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"เมธี"ร้องดีเอสไอถอนประกัน "จตุพร" เหตุโทรศัพท์มาข่มขู่ แฉแกนนำแดงอมเงิน 68 ล้าน หนีไปกบดานมาเลเซีย
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) วันที่ 12 ต.ค. นายเมธี อมรวุฒิกุล พยานคดีก่อการร้าย เข้าพบนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อร้องเรียนกรณีถูกนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช. โทรศัพท์ข่มขู่ให้เลิกเป็นพยานในคดีก่อการร้าย โดยใช้เวลาเข้าพบประมาณ 15 นาที จากนั้นนายเมธี แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยอ้างว่าถูกนายจตุพรโทรศัพท์ข่มขู่ทำร้าย บอกว่าทรยศคนเสื้อแดง นายเมธีจึงต้องการให้ดีเอสไอร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ถอนประกันนายจตุพร
นายเมธี กล่าวว่า ที่ผ่านมานายจตุพรไม่เคยดูแลคนเสื้อแดง เวลาที่ถูกจับหรือเดือดร้อน รวมทั้งเวลาเคลื่อนไหวในจุดต่างๆ โดยนายเมธีได้เล่าถึงเหตุการณ์บุกสถานีไทยคมว่านายจตุพรคอยแต่สั่งการอยู่บนรถ และพาคนเสื้อแดงไปสู่ความหายนะ ส่วนเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายนที่สี่แยกคอกวัว นายจตุพรก็ไม่มาร่วมกับคนเสื้อแดง แต่กลับอยู่ที่เวทีราชประสงค์ กรณีเงินบริจาคของคนเสื้อแดง จำนวน 68 ล้านบาทซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องรู้เรื่องเงินบริจาคทั้งหมด 3 คน รวมถึงนายจตุพรก็รู้เห็น แต่ขณะนี้ เงินทั้งหมดถูกโกง โดยคนที่เก็บเงินไว้ได้หนีไปอยู่ประเทศมาเลเซียแล้ว คนเสื้อแดงต่างก็รู้ว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ได้โกงก็ควรเอาหลักฐานมาพิสูจน์ เปิดเผยกัน ไม่ใช่ให้ญาติเป็นผู้เก็บเงินแล้วหลบหนีไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในการแถลงข่าวของนายเมธี นายเมธีได้ท้าให้นายจตุพรออกมาต่อสู้กันตัวต่อตัว โดยใช้ถ้อยคำว่ากล่าวเปรียบเทียบนายจตุพรอย่างรุนแรง และยังบอกให้นายจตุพรไปดูแลภรรยาหลวงของตนเอง โดยระบุว่านายจตุพรมีสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่ภรรยาที่ชายหาดแห่งหนึ่งซึ่งมีคนเสื้อแดงเห็น
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #342 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2553, 09:59:35 » |
|
วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 06:01:03 น. มติชนออนไลน์
ตุลาการศาลรธน.ข้องใจจนท.มือมืดถ่ายคลิปให้"เพื่อไทย"ได้ไง "วิรัช"ซัด"พ"เลขาฯปธ.ศาลรธน.ร่วมจัดฉาก
"วสันต์" เผยตุลาการแค่ถกจะแจ้งความ "จตุพร" หมิ่นศาลหรือไม่
นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถอนตัวจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมถึงกรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) นำคลิปวีดีโอกล่าวหาว่า นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะคณะทำงานด้านกฎหมาย เพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ล็อบบี้ศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้ยุบ ปชป.มาเปิดเผยว่า ที่มีคลิปภาพและเสียงของตุลาการพูดกันในห้องประชุมและมีเสียงตนด้วยนั้น เป็นช่วงที่อยู่ในระหว่างการอภิปรายเท่านั้นในประเด็นว่า จะแจ้งความดำเนินคดีกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)หรือไม่ เนื่องจากนายจตุพรได้ออกมาพูดก่อนหน้านี้ว่าถ้าศาลไม่ทำตามใบสั่งก็จะยุบ พรรคไปนานแล้ว เท่ากับว่าเป็นการกล่าวหาว่าศาลตัดสินตามใบสั่งทำให้เข้าลักษณะดูหมิ่นศาล ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเรื่องนี้กระทบองค์กรไม่ได้กระทบต่อตัวตุลาการ จึงหารือกันในที่ประชุมด้วยว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วทางสำนักงานโดยเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญควร จะแจ้งความหรือไม่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเลขาธิการ และขณะนี้ก็ยังไม่แจ้งความเลย จึงขอถามว่าเรื่องที่นายจตุพรออกมาพูดเป็นเรื่องเสียหายต่อองค์กรหรือไม่
ปัดถกสืบพยานยุบพรรคยันลุกออกห้องทันที
ผู้ สื่อข่าวถามว่า แต่ในคลิปเสียงมีการพูดคุยกันของตุลาการว่า จะนำพยานศาลมาสืบเพิ่มเติ่มหรือไม่ นายวสันต์ กล่าวว่า ในช่วงนี้การสนทนากันของศาลนั้นตนไม่ได้อยู่ในห้องประชุมแล้ว เพราะเมื่อถึงวาระที่มีการหารือเรื่องคดียุบพรรคแล้วตนและนายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ลุกเดินออกจากห้องประชุมทันที เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องเนื่องจากได้ถอนตัวออกจากการพิจารณาคดีไปแล้ว จึงไม่ทราบว่าในห้องประชุมมีการพูดอย่างไรหรือจะสืบพยานอย่างไร
ถามเลขาฯปธ.ศาลสั่งตุลาการได้ไหม งง "พท." ได้คลิป
เมื่อ ถามว่า 1ในคลิปภาพและเสียงปรากฎภาพของผู้ที่ลักษณะคล้ายกับนายพสิษฐ์สนทนาเรื่องคดี ยุบพรรคกับทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ด้วย นายวสันต์ กล่าวว่า "ผมไม่เข้าใจเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญว่าทำทำไม แล้วตัวเลขานุการประธานศาลสั่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ (นายชัช ชลวร) ได้ไหม หรือว่าประธานศาลใช้ไป ต้องถามว่าเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญสั่งตุลาการได้หรือไม่ เพราะเรื่องนี้ผมจำได้ในช่วงผมเป็นผู้พิพากษา ทางอธิบดีศาลก็มาสั่งผมไม่ได้ แต่เขา(พรรคประชาธิปัตย์)อาจเข้าใจว่าเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญใหญ่ เหลือเกินก็เป็นได้"
เมื่อถามว่า คลิปที่เผยแพร่ในช่วงคดียุบพรรคถือเป็นการกดดันและดิสเครดิตศาลใช่หรือไม่ นายวสันต์ กล่าวว่า น่าจะเป็นการดิสเครดิตศาล เพราะ ที่สำคัญต้องถามก่อนว่าใครเป็นผู้ถ่ายคลิปนี้แล้วนำไปเผยแพร่ แล้วคลิปดังกล่าวไปอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทยได้อย่างไรนี่คือเรื่องสำคัญ กว่า ในฐานะที่ตนเป็นเพียงบอร์ดก็แล้วแต่ผู้มีอำนาจจะว่า อย่างไรต้องไปถามประธานศาลรัฐธรรมนูญเองเรื่องนี้ผมไม่เกี่ยวข้อง"
"วิรัช"รับอยู่ในคลิปจริง อ้างถูก"พ"จับมือเพื่อไทย ลวงเข้าเกม
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะคณะทำงานด้านกฎหมาย เพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมชี้แจงกรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) นำคลิปวีดีโอกล่าวหาว่า ตนล็อบบี้ศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้ยุบ ปชป.มาเปิดเผยว่า สมาชิก ปชป.ทุกคนยึดมั่นคำขวัญประจำพรรคว่า "สัจจํ เว อมตวาจา" คือการพูดความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยเฉพาะข้อหาว่าไ ปล็อบบี้ตุลาการ
นายวิรัชกล่าวว่า เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดจากการคบคิดวางแผนชั่วร้ายอย่างเป็นกระบวนการ โดยมี พท.ผู้เขียนบท เพื่อให้ข้อเท็จจริงทั้งหมดมุ่งสู่การทำลายล้างสถาบันองคมนตรี ที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธาน ทำลาย ปชป. และกระบวนการยุติธรรม เป็นกระบวนการชั่วช้าสามานย์
นายวิรัช กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ โดยในคลิปที่ 2 มีภาพบุคคล 3 คน คือตน นาย “พ.พาน” และนายวรวุฒิ นวโภคิน ที่ปรึกษากรรมาธิการการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎรซึ่งตนเป็นประธานกรรมาธิการฯอยู่ โดยนายวรวุฒิ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักศึกสถาบันพระปกเกล้า หลักสูตรการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระรดับสูง (ปปร.13) ซึ่งมีสมาชิกพรรคเพื่อไทย อาทิ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช ส.ส.ขอนแก่น และร.ต.อ.อรรถกวี ขุนพินิจ ลูกเลี้ยงพล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ร่วมเรียนด้วย
"เหตุการณ์เริ่มจากนาย “พ” ได้ติดต่อมาทางนายวรวุฒิว่า อยากขอพบกับผม เพื่อจะได้มีการพูดคุยและรับประทานอาหาร ที่ร้านอาหารฟู้ดดี้ ในซอยหมู่บ้านปูนซิเมนต์ไทย ย่านประชาชื่น เวลา 14.00 น. ของวันที่ 7 ต.ค.ซึ่งผมเห็นว่านาย “พ.พาน” เป็นเลขานุการประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยมารยาทด้วยความเกรงใจ และอยากทราบว่า ต้องการคุยเรื่องอะไร จึงต้องไปพบเป็นการส่วนตัว โดยไม่ได้แจ้งให้ผู้ใหญ่อย่างนายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และนายบัณฑิต ศิริพันธุ์ รวมถึงคณะทำงานทีมกฎหมายคนอื่นๆ รับทราบ
"ในการพบกับนาย “พ.พาน” มีกระบวนการวางแผนตั้งกล้องแอบถ่าย โดยตอนแรกคนชื่อ “พ.พาน” หันหลังให้กล้อง ทำให้บังไม่สามารถเห็นภาพผมได้ชัด จึงย้ายที่มานั่งที่หัวโต๊ะ เนื่องจากเขารูมุมกล้องตั้งไว้ เป็นกล้องขนาดเล็ก แต่ผมไม่ได้สังเกต ทำให้ภาพจับภาพผมได้ชัด ถือว่า เป็นกระบวนการชั่วจริง ๆ และในการพูดคุย นาย “พ.พาน” ก็จะใช้คำถามที่เป็นคำถามนำ"นายวิรัชกล่าว
(ดู คลิปตอนที่ 2 ในYoutube)
นายวิรัช กล่าวว่า โชคดีที่มีคลิปตอนที่ 3-5 ซึ่งเป็นการแอบถ่ายในห้องทำงานของตุลาการทั้ง 7 คน จึงแสดงว่า การทำแบบเป็นกระบวนการจริงๆ และลองคิดดูว่า ใครแอบถ่ายคลิปดังกล่าว ซึ่งต้องดูว่า ใครที่สามารถเข้าไปห้องทำงานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ คำตอบคือเจ้าหน้าที่ ซึ่งตนเชื่อว่า นาย “พ.พาน” เข้าไปได้แน่นอน เพราะกระบวนการศาล มีขั้นตอนเข้มงวดมาก ก่อนจะเข้าไปได้ต้องมีการลงชื่อ แลกบัตร ฝากอุปกรณ์ทั้งมือถือและอุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลาย ไม่สามารถเอาเข้าไปได้ไม่ว่าจะเป็นใคร ยกเว้นนาย “พ.พาน” ที่อยู่นอกเหนือหลักเกณฑ์กติกา สามารถนำอุปกรณ์มือถือไฮเทคทั้งหลายเข้าไปได้เพียงคนเดียว ซึ่งสามารถตรวจสอบจากกล้องซีซีทีวีของศาลได้ หากศาลอนุญาต
นายวิรัชกล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยมีเหตุการณ์กรณีของนายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.นนทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในคณะทำงานด้านกฎหมายฯ เคยถูกนาย “พ.พาน” เรียกให้นายทศพลไปรับเอกสารที่ศาล และมีการถ่ายภาพไว้ ทำให้วันนี้นายทศพลต้องเจ็บช้ำกับเรื่องเหล่านี้ แต่เชื่อว่า การกระทำของนาย “พ.พาน” ที่ร่วมมือกับ พท.เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับตุลาการทั้ง 7 คน แต่ก็แปลกใจที่คนอย่างนาย “พ.พาน” มีความรู้ดี หน้าที่การงานดี แต่ไม่น่าเชื่อว่า จะวิ่งเข้ากองไฟเพื่อเป็นดาวลูกไก่และฮาราคีรี ฆ่าตัวตาย งานนี้ไม่ธรรมดา การแลกด้วยชีวิตราชการ ตนคิดแบบบ้านๆ ว่า คงได้ไม่น้อย น่าจะจำนวนมาก และขอภาวนาให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ที่คนพท.จะคิดวิธีการสกปรกมาใช้กับกระบวนการยุติธรรม
นายวิรัช กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องที่ว่าตนจะไปล็อบบี้ เพื่อให้มีการสืบพยานเพิ่มเติมนั้น ตามระบบการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ เลขานุการศาลรัฐธรรมนูญ หรือเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจกำหนดพยานกี่คน และในการพิจารณาคดียุบพรรค เช่น การยุบพรรคไทยรักไทย คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ จะเรียกพล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต. )และนายนาม ยิ้มแย้ม ประธานอนุคณะกรรมการสอบสวน มาให้การต่อศาล
นายวิรัชกล่าวว่า ดังนั้นในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ เมื่อมีการเรียกนายอิสระ หลิมศิริวงศ์ ประธานคณะกรรมการสอบสวนของ กกต.มาให้การแล้ว ขั้นต่อไปก็อาจจะเรียกนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.มาให้ข้อมูลด้วย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีการไปให้ล็อบบี้ให้มีการเรียกนายอภิชาต มาให้การแต่อย่างใด ขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์เคารพกติกา ไม่เคยล่วงละเมิดอำนาจศาล ศาลเห็นอย่างไรเราก็ว่าตามนั้น
นายวิรัชกล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีคลิปที่ พล.อ.เปรม นั่งอยู่กับนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ โดยพยายามเบี่ยงเบนว่า พล.อ.เปรม มาล็อบบี้ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง เป็นการเขียนและทำขึ้นเอง
นายวิรัชกล่าวว่า อย่าง ไรก็ตามเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2553 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีคลิปเผยแพร่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เคยขู่ว่า จะเปิดคลิปเปิดเกี่ยวกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แสดงว่าเตรียมการไว้แล้ว เพียงแต่รออะไรมาต่ออีกนิด แล้วก็เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อนำมาผสมกัน ถือว่ายิ่งกว่ากดดันศาล แต่เป็นการทำลายระบบยุติธรรมประเทศไทย ทำลายสถาบันสำคัญและทำลายระบบพรรคการเมือง
นายวิรัช กล่าวด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนไม่คิดว่าจะฟ้องร้องกับนาย “พ.พาน” เพราะนาย “พ.พาน” เป็นเจ้าหน้าที่ศาล จึงเป็นเรื่องของกระบวนการศาลรัฐธรรมนูญที่จะดำเนินการภายในเอง และไม่คิดจะปลดนายวรวุฒิ ออกจากที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าได้กระทำความผิด ทั้งนี้มั่นใจว่า ปดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อคดียุบพรรค เพราะการสืบพยานที่ผ่านมา มั่นใจว่า เราทำงานได้อย่างน่าพอใจ ซึ่งตนไม่คิดจะต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกจากทีมกฎหมายของพรรคเพราะไม่ได้ทำ ความผิด และจะเดินทางไปร่วมสืบพยานในศาลรัฐธรรมนูญในวันจันทร์ที่ 18 ต.ค.ด้วย ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนได้รายงานให้นายชวน และนายกรัฐมนตรีทราบแล้ว โดยนายกฯ ให้ตนแถลงตามความจริงที่เกิดขึ้น
ทนาย ปชป.ขำคลิปฉาว บอกมุขตื้น-คนทำประจานตัวเอง
นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความจากสำนักกฎหมาย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ผู้ว่าความคดียุบปชป.กล่าวถึงกรณีที่พท.นำคลิปวีดีโอสมาชิกปชป.ล็อบบี้ไม่ ให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคมาเปิดเผยว่า เป็นวิธีการตื้นๆ ที่สำคัญผู้จัดทำยังประจานตัวเอง เนื่องจากมีการขยับเก้าอี้ให้เห็นหน้านายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง ปชป.ชัดเจน แถมในคลิปที่ 3-5 ยังถ่ายในที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญ หากไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งระดับสูงจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร เมื่อดูเนื้อหาในคลิป ก็ไม่มีคำพูดใด ที่เป็นการล็อบบี้แม้แต่คำเดียว สำหรับการไต่สวนพยานวันที่ 18 ต.ค.หากศาลรัฐธรรมนูญไม่เรียกพยานมาไต่สวนเพิ่มเติม ก็จะนัดวันยื่นคำแถลงปิดคดี และนัดวันอ่านคำพิพากษา
นายบัณฑิตกล่าวว่า กรณีที่มีข่าวจะมีการเรียกว่านายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต.ในฐานะนายเบียนพรรคการเมือง มาไต่สวนเพิ่มเติม ไม่ทราบว่าจะเรียกมาได้อย่างไร เพราะทั้งปชป.และกกต.ไม่ได้ระบุชื่อนายอภิชาตไว้ในบัญชีพยาน แถมถึงศาลรัฐธรรมนูญจะเรียกนายอภิชาตมาไต่สวนก็ไม่แน่ว่าประธานกกต.จะมาหรือ ไม่ เพราะสามารถยื่นเอกสารมาชี้แจงเหมือนกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงและ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ได้ แต่ถ้านายอภิชาตมาจริง ก็เป็นเรื่องดี ตนจะได้ซักถามด้วยตัวเอง
(ดู คลิปคดียุบพรรคตอนที่ 2ในYoutube)
"พร้อมพงศ์"เปิดคลิปล็อบบี้ตอน2แฉ!ทีมกม.ปชป.คุยเลขาฯปธ.ศาลรธน.
ที่พรรคเพื่อไทย วันเดียวกัน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้นำคลิปวิดีโอที่อ้างว่า เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยเป็นคลิปเดียวกับที่แพร่หลายในเว็บไซต์ Youtube ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นตอนที่ 2 โดยมีภาพของชาย 3 คน นั่งรับประทานอาหารและร่วมพูดคุย นายพร้อมพงศ์ ระบุว่า ชายคนหนึ่งในภาพคือ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กำลังคุยอยู่กับนายพิสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเนื้อหาในคลิปคำพูดพาดพิงถึง นายชวน หลีกภัย หัวหน้าทีมทนายความต่อสู้คดียุบพรรค และผู้ใหญ่ของฝ่ายศาล ทั้งนี้ ยังพบว่ามีความพยายามนำประธาน กกต. มาสื่อเป็นพยานด้วย
ทั้งนี้ นายพร้อมพงศ์ เผยว่า เรื่องคลิปที่เกิดขึ้นนั้น พรรคเพื่อไทย มีข้อสงสัยว่า ผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายจะรู้เห็นเช่นเดียวกันกับกรณี นายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.นนทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ที่รับเอกสารจากเจ้าหน้าที่ศาล นอกเวลาทำการด้วย
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #343 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2553, 10:26:43 » |
|
แผนสกัด 'อภิชาติ' กุญแจสำคัญ ปชป.ชนะฟาวล์ยุบพรรค 18 ตุลาคม 2553 posttoday online ยิ่งใกล้ปิดคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แรงกดดันที่มีต่อศาลรัฐธรรมนูญและพรรคประชาธิปัตย์ยิ่งมหาศาล
โดย...ทีมข่าวการเมือง
ยิ่งใกล้ปิดคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แรงกดดันที่มีต่อศาลรัฐธรรมนูญและพรรคประชาธิปัตย์ยิ่งมหาศาล
เพราะคดีเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท และการใช้เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ของประชาธิปัตย์มีเดิมพันที่สูงยิ่ง
ไม่เฉพาะเก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่ อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ และชะตากรรมของพรรคเก่าแก่ 64 ปีของประเทศ ที่อาจปิดฉากพร้อมกับคณะกรรมการบริหารพรรคที่จะต้องเว้นวรรค 5 ปี
แต่รวมถึงการคงอำนาจของขั้วไม่เอาทักษิณ
ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญถูกกดดันอย่างหนักจากกระแส “สองมาตรฐาน” เมื่อพรรคเพื่อไทย ออกมาปลุกตลอดว่า ถ้าไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์แสดงว่า บ้านนี้เมืองนี้ยังมีระบบสองมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด
หลังศาลรัฐธรรมนูญเปิดศาลให้ผู้ร้อง คือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และผู้ถูกร้อง พรรคประชาธิปัตย์นำพยานมาเบิกความไต่สวนเป็นเวลาร่วม 2 เดือน วันนี้จะเป็นนัดสุดท้ายที่นายกฯ อภิสิทธิ์ เตรียมเบิกความพร้อมพยาน 3 ปากของฟากประชาธิปัตย์
ตามขั้นตอน เมื่อไต่สวนพยานสองฝ่ายเสร็จ องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาว่าจะเรียกพยานรายใดมาเบิกความเพิ่มเติมหรือไม่ โดยเล็ง “อภิชาต สุขัคคานนท์” ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยตำแหน่งที่เคยลงมติยกคำร้องไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์
ตามปฏิทินคาดว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะเชิญอภิชาตมาเบิกความปลายเดือน ต.ค. หรือต้นเดือน พ.ย. จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายที่ทั้งสองฝ่ายต้องเขียนคำแถลงปิดคดีอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่ศาลธรรมนูญจะมีคำตัดสินคดียุบพรรค คาดว่าไม่เกินเดือน พ.ย. หรือต้นเดือน ธ.ค.
สถานการณ์การเมืองช่วงปลายปี 2553 จึงจะเข้าจุดเดือดฉลองรับปีใหม่อีกครั้ง
โค้งสุดท้ายนี้จึงปรากฏคลิปร้อน ที่ออกมา“แฉ–โจมตี” ทำลายความน่าเชื่อถือศาลรัฐธรรมนูญ ว่ามีการวิ่งเต้นคดีจากคนของพรรคประชาธิปัตย์และคนใกล้ตัวประธานศาลรัฐธรรมนูญ และคลิปภาพการประชุมภายในศาลรัฐธรรมนูญที่ “เจ้าหน้าที่ศาลมะเขือเทศ” แอบเป็นไส้ศึกอัดไว้ถึงสามครั้ง
“จตุพร พรหมพันธุ์พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” นำร่องขู่เปิดโปงคลิปฉาวหลายสัปดาห์ก่อนว่า ถ้าเปิดเมื่อไรจะเสื่อมถึงจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแน่
จนที่สุด คลิปร้อนนี้ก็แพร่หลายในเว็บไซต์เสื้อแดง ราวกับนัดแนะให้ออกมาพอดีในวันไต่สวนนัดสุดท้าย
คลิปแบ่งเป็น 5 ตอน พร้อมคำอธิบายสรุป และยังมีการถอด “บทบรรยาย” ลักษณะเลือกถอดบางตอน ไม่ถอดบางตอน
ทว่าคำอธิบาย เช่น ตอนแรกที่เป็นภาพนิ่งพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี นั่งพูดคุยร่วมกับบุคคลสำคัญ เช่น สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา อักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ มีการเขียนจับโยงโดยไม่มีมูล ป้ายสี พล.อ.เปรม เข้ามาสั่งการคดียุบพรรค ดังที่ระบุว่า “ตอน 1 เปรมได้พบและปรึกษาหารือคณะตุลาการรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยประชาธิปัตย์ไม่ให้ถูกยุบโดยรับปากประธาน หากผ่านวิกฤตนี้ได้จะเสนอชื่อทูลเกล้าฯ ถวายให้เป็นองคมนตรี”
แต่บางคลิปก็เป็นเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องชี้แจง เพราะมีภาพ วิรัช ร่มเย็น สส.ระนอง ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ นั่งพูดคุยกับ พสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งหารือถึงการดึงอภิชาตมาเป็นพยานศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วน 3 คลิปที่เหลือ เป็นภาพการประชุมภายในของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เนื้อหาโดยรวม ต้องการดึงอภิชาตมาเป็นพยานศาล และกำหนดวันนัดเบิกความ และวันตัดสินคดีหุ้น สส.ที่ยังค้างอยู่ รวมถึงระดมความเห็นว่า จะฟ้องโฆษกพรรคเพื่อไทย และจตุพรที่ปูดคลิปกระทบศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพื่อปกป้ององค์กรศาล
แต่ทั้ง 5 ตอน ไม่มีเนื้อหาการเสนอแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เหมือนกรณีถุงขนมสินบน 2 ล้านบาทของทนายความทักษิณที่อื้อฉาวครั้งนั้น
ที่หนักสุดคือ การหารือของ สส.พรรคประชาธิปัตย์กับเลขาประธานศาลรัฐธรรมนูญ ถึงข้อคิดเห็นในการดึงอภิชาตมาเป็นพยาน เพื่อเป็นประโยชน์กับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต่อมา วิรัช แถลงยอมรับว่า เป็นภาพเขาจริง แต่เป็นการวางแผนชั่วร้ายอย่างเป็นกระบวนการ โดยมีเครือข่ายพรรคสีแดงเป็นผู้เขียนบท
ฟังขึ้นหรือไม่ สังคมเป็นฝ่ายตัดสิน...
ทว่า คำถามสำคัญ คือ อภิชาตมีความสำคัญอย่างไรกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องการขอเบิกตัวมาเป็นพยานคนสำคัญ เพื่อเป็นข้อมูลกดปุ่มตัดสินคดีนี้
เพราะประเด็นที่ประชาธิปัตย์ต่อสู้หลักใหญ่มี 2 เรื่อง คือ อำนาจของผู้ฟ้องที่เป็นปมปัญหา คือ กกต.
กลัดกระดุมผิดเม็ดแรก เม็ดต่อมาก็ผิดหมด...
และประเด็นข้อเท็จจริงปมเงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท และการใช้เงินบริจาค 258 ล้านบาท
เมื่อดู พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองปี 2550 มาตรา 95 ระบุว่า หากพบว่าพรรคการเมืองใดกระทำผิดกฎหมาย ก็ให้นายทะเบียนพรรคการเมือง โดยความเห็นชอบของ กกต. เสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค
แต่ในทางกลับกัน ถ้านายทะเบียนฯ เห็นว่าพรรคการเมืองนั้นไม่มีความผิดก็ไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้ อสส. หรือขอความเห็นชอบจากที่ประชุม กกต.
สำหรับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กกต.เคยมีมติเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2552 หลังที่ประชุมพิจารณาผลการไต่สวนของคณะอนุกรรมการทั้งสองคดี โดย “สุทธิพล ทวีชัยการ” เลขาธิการสำนักงาน กกต. แถลงว่า ที่ประชุม กกต.มีมติเสียงข้างมาก ให้เป็นดุลพินิจของอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนฯ ที่จะพิจารณาส่งคำร้องยุบพรรคนี้ไปยัง อสส.หรือไม่
สรุปคือ อำนาจชี้ขาดอยู่ที่อภิชาตเพียงผู้เดียว
และอภิชาตก็ได้ใช้อำนาจในฐานะนายทะเบียนฯ ตามกฎหมายและตามมติของ กกต.ขณะนั้น ชี้ขาดให้ยกคำร้องคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท เพราะเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำผิดตามผลการสอบของคณะอนุไต่สวน กกต.
คดียุบพรรคประชาธิปัตย์จบบริบูรณ์ตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว
แต่การชุมนุมใหญ่ของม็อบเสื้อแดงที่ผ่านฟ้าได้ใช้ประเด็นยุบพรรคมาเป็นเงื่อนไขต่อรองเพื่อสลายการชุมนุม
แกนนำเสื้อแดงยังได้ยกพลไปกดดัน กกต.ถึงที่ทำการ พร้อมขู่จะบุกไปเผาบ้านอภิชาต ทำให้เจ้าตัวเครียดต้องเข้าโรงพยาบาล ต่อมาประธาน กกต. ยอมลดแรงกดดัน เปลี่ยนใจรื้อฟื้นคดียุบพรรคโดยนำกลับมาหารือในที่ประชุม กกต.ใหม่ เพื่อให้พิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์โดยหวังจะให้บ้านเมืองสงบ
จนวันที่ 12 เม.ย. 2553 ที่ประชุม กกต. มีมติ 4 ต่อ 1 ในประเด็นเงินบริจาค 258 ล้านบาท เสนอ อสส.เพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ซึ่งเสียงข้างน้อยหนึ่งเสียงก็คือ อภิชาต
ส่วนประเด็นเงินกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท กกต.มีมติ 5 ต่อ 0 เสียงให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์
พลันที่ กกต.มีมติตรงกับคำขอเสื้อแดง “วีระมุสิกพงศ์” ประธานเสื้อแดง ถึงลั่นกับผู้ชุมนุมว่า นี่คือชัยชนะของประชาธิปไตย และอาจพิจารณายุติการชุมนุม ขณะที่หลายภาคส่วนในสังคม เชื่อว่ามติ กกต. เซ่นพรรคประชาธิปัตย์ช่วยเปิดรูระบายคลายวิกฤตม็อบลง
แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่...
ทั้งหมด นักกฎหมายมองว่า คดีนี้ประชาธิปัตย์มีโอกาสชนะจาก ปม กกต.ไม่มีอำนาจฟ้องคดี
แม้แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน สส.พรรคเพื่อไทย ผู้เปิดประเด็นคดียุบพรรค ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ ยอมรับตรงๆ ถึงช่องโหว่ที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ชนะคดี คือ กรณีนายทะเบียนฯ มีความเห็นแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ผิด หรือ นัยหนึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะชนะฟาวล์
ขณะที่คนในพรรคเพื่อไทยก็รู้ถึงจุดอ่อนคดีนี้ แต่ต้องออกมาสร้างกระแสว่ามีการล็อบบี้ช่วยเหลือ และตอกย้ำความเป็นสองมาตรฐานว่า พรรคอื่นถูกยุบหมด มีแต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่โดนยุบพรรคเดียว
เพราะกระแส “สองมาตรฐาน” เป็นวาทกรรมที่พรรคเพื่อไทยและเสื้อแดงจะใช้ในการหาเสียงเรียกคะแนน สร้างความเคียดแค้นให้กับคนเสื้อแดง
“อภิชาต” จึงมีความสำคัญต่อพรรคประชาธิปัตย์ยิ่ง
พอๆ กับที่พรรคเสื้อแดง ต้องสกัดและโจมตีทุกวิถีทางว่าวางแผนช่วยเหลือกัน
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
Intania๑๖
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
ออฟไลน์
รุ่น: ๒๕๑๖
คณะ: เวสสุกรรม
กระทู้: 1,071
|
|
« ตอบ #344 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2553, 06:05:57 » |
|
"ใครว่า ตูหลับฟะ แค่งีบไปเฉยๆ ได้ยินเสียงกน อะปล่าว ก็ปล่าว เฉยๆนะ"
สภาพของ รมต. และ สส. ผู้ทรงเกือก แห่งรัฐบาลไทบ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นี่คือ ตย. อันดีงาม ที่เยาวชนไทย คือจะดูไว้เอา เป็นเยี่ยงอย่าง
|
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #345 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2553, 10:39:49 » |
|
วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 07:19:19 น. มติชนออนไลน์
แกะรอย ณัฐวุฒิ-จตุพร-จักรภพ-วีระ โอนหุ้นโทรทัศน์แดง"PTV"2บริษัท40ล้านอุตลุตช่วงปี2550 ให้ใครบ้าง?
แม้ว่า "เขาพลายดำรีสอร์ท" ใน อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช (แหล่งพักพิกของนายจตุพร พรมหพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ) ไม่มีชื่อของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเด็จการแห่งชาติ (นปช.) ถือครองแม้แต่หุ้นเดียว
กระนั้น มี 2 บริษัทที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวีระ มุสิกพงศ์ และ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แกนนำ นปช.เหล่านี้ร่วมกันถือหุ้น
นั่นคือ บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด และ บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด หรือทีวีของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งมีบทบาทในการขับเคลื่อนมวลชนคนเสื้อแดงเมื่อ 2 ปีก่อน ประการสำคัญหากเจาะลึกพบว่าทั้ง 2 บริษัทมีการผ่องถ่ายหุ้นอุตลุตกว่า 40 ล้านบาท กล่าวคือ
1.บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2545 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ผู้ถือหุ้น 7 คน ประกอบด้วย นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 15,000 หุ้น นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายอนกูล ก้องกูล นายชนินทร์ หวันกะมา คนละ 10,000 หุ้น นายวุฒิไกร ทองอ่อน 2,000 หุ้น นายเชิดศักดิ์ พงศ์เวตร และนายสาวธัญรัตน์ พุทธสุข คนละ 1,500 หุ้น รวม 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท (ดูตารางประกอบ)
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2549 (ยุครัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์) นาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายวีระ มุสิกพงศ์ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ โดยนายณัฐวุฒิถือ 20,000 หุ้น นายจตุพร 10,000 หุ้น นายวีระ 10,000 หุ้น ขณะที่ นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายนิรันดร์ แก่นยะมูล และ นายเสกสรรค์ แก้วนพจิตร คนละ 2,500 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ
วันที่ 18 มกราคม 2550 บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 45 ล้านบาท (จาก 5 ล้านบาทเป็น 50 ล้านบาท) นายณัฐวุฒิได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 200,000 หุ้น (มูลค่า 20 ล้านบาท) นายจตุพร 100,000 หุ้น (มูลค่า 10 ล้านบาท) นายวีระ 100,000 หุ้น ขณะที่นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายนิรันดร์ แก่นยะมูล และ นายเสกสรรค์ แก้วนพจิตร ได้เพิ่มสัดส่วนเป็นคนละ 25,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ
วันที่ 4 มิถุนายน 2550 นายจักรภพ เพ็ญแข ได้เข้ามาถือหุ้นบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด เป็นครั้งแรก โดยได้รับโอนมาจากนายณัฐวุฒิ จำนวน 100,000 หุ้น เท่ากับ นายณัฐวุฒิ นายจตุพร นายวีระ และ นายจักรภพ ถือหุ้นเท่ากับคนละ 100,000 หุ้น (มูลค่าคนละ 10 ล้านบาท) ส่วนที่นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายนิรันดร์ แก่นยะมูล และ นายเสกสรรค์ แก้วนพจิตร ถือครองหุ้นจำนวนเท่าเดิม คนละ 25,000 หุ้น
วันที่ 31 ตุลาคม 2550 บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอีกครั้ง นายณัฐวุฒิและนายจตุพร ซึ่งถือคนละ 100,000 หุ้น รวม 200,000 หุ้น ได้ถอนการถือครองหุ้นทั้งหมด กระจายให้บุคคล 4 คนคือ
นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 50,000 หุ้น (จากเดิม 25,000 หุ้น เพิ่มเป็น 75,000 หุ้น)
นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า 50,000 หุ้น (จากเดิม 25,000 หุ้นเพิ่มเป็น 75,000 หุ้น)
นายนิรันดร์ แก่นยะมูล 90,000 หุ้น (จากเดิม 25,000 หุ้นเพิ่มเป็น 115,000 หุ้น)
และ นายอุกฤษฏ์ ชลสินธุ์ 10,000 หุ้น (นายอุกฤษฏฺ์ เข้ามาถือเป็นครั้งแรก อยู่บ้านเลขที่ 126 หมู่ที่ 3 ต.ทุ่งใส อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช)
ส่วนนายวีระ และ นายจักรภพ ถือครองหุ้นเท่าเดิมคนละ 100,000 หุ้น
วันที่ 15 มกราคม 2551 (รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯวันที่ 6 ก.พ.2551 นายจักรภพ เพ็ญแข เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯกำกับสื่อของรัฐ) มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น 1 คนคือ นายจักรภพ เพ็ญแข ได้โอนหุ้น 100,000 หุ้นไปให้นายสุชาติ ประเสริฐศรี อยู่บ้านเลขที่ 38 หมู่ 6 ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ทั้งหมด
วันที่ 11 กันยายน 2551 (รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯวันที่ 25 ก.ย.2551) มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอีกครั้ง นายวีระ มุสิกพงศ์ ได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นจาก 100,000 หุ้น เหลือ 20,000 หุ้น อีก 80,000 หุ้นได้โอนไปให้ นายนิรันดร์ แก่นยะมูล ทำให้นายนิรันดร์เพิ่มสัดส่วนจาก 115,000 หุ้น เป็น 195,000 หุ้น
วันที่ 6 กรกฎาคม 2552 (รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯวันที่ 22 ธ.ค.2551) บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ซึ่งมีนายวีระ เป็นกรรมการ ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 40 ล้านบาท (จาก 50 ล้านบาทเป็น 90 ล้านบาท) แบ่งเป็น 400,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท มีการกระจายให้ผู้ถือหุ้น 7 คน
นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า จาก 75,000 หุ้น เพิ่มเป็น 135,000 หุ้น นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า จาก 75,000 หุ้น เพิ่มเป็น 135,000 หุ้น นายสุชาติ ประเสริฐศรี จาก 100,000 หุ้น เพิ่มเป็น 180,000 หุ้น นายวีระ มุสิกพงศ์ จาก 20,000 หุ้น เพิ่มเป็น 36,000 หุ้น นายนิรันดร์ แก่นยะมูล 195,000 หุ้น เพิ่มเป็น 351,000 หุ้น นายเสกสันต์ แก้วนพจิตร จาก 25,000 หุ้น เพิ่มเป็น 45,000 หุ้น นายอุกฤษก์ ชลสินธุ์ จาก 10,000 หุ้น เพิ่มเป็น 18,000 หุ้น
2. บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2550 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท วัน ที่ 4 มิถุนายน 2550 มีผู้ถือหุ้น 8 คน คือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจักรภพ เพ็ญแข นายจตุพร พรหมพันธุ์ คนละ 10,000 หุ้น นายนิรันดร์ แก่นยะมูล นายเสกสันต์ แก้วนพจิตร นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า และ นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่าคนละ 2,500 หุ้น รวม 50,000 หุ้น มูลค่า หุ้นละ 100 บาท มีนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ วันที่ 31 ตุลาคม 2550 นายณัฐวุฒิและนายจตุพร ซึ่งถือคนละ 10,000 หุ้น รวม 20,000 หุ้น ได้ถอนการถือครองหุ้นทั้งหมด กระจายให้บุคคล 4 คนคือ นายนิรันดร์ แก่นยะมูล จำนวน 10,000 หุ้น (จาก 2,500 หุ้น เป็น 12,500 หุ้น) นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า และ นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า คนละ 5,000 หุ้น (จาก 2,500 หุ้นเป็น 7,500 หุ้น)
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2550 นายวีระได้หนังสือถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น 1 รายคือขอเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2550 ใหม่คือนายนิรันดร์ แก่นยะมูล ซึ่งที่ถือ 12,500 หุ้น ลดเหลือ 11,500 หุ้น อีก 1,000 หุ้นโอนให้ให้นายอุกฤษฏ์ ชลสินธุ์
วันที่ 31 มกราคม 2551 นายวีระ ได้หนังสือถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น1 รายคือ นายจักรภพ เพ็ญแข ได้โอนหุ้นให้นายสุชาติ ประเสริฐศรี ทั้งหมด
วันที่ 11 กันยายน 2551 นายวีระได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นเหลือ 2,000 หุ้น ที่เหลือ 8,000 หุ้น ได้โอนไปให้นายนิรันดร์ แก่นยะมูล ทำให้มนายนิรันดร์มีสัดส่วนจาก 11,500 หุ้นเป็น 19,500 หุ้น
กระทั่งวันที่ 23 มกราคม 2552 หุ้นของนายนิรันดร์ แก่นยะกูล จำนวน 8000 หุ้น ได้โอนกลับมาให้นายวีระเหมือนเดิม ทำให้นายวีระมีสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 10,000 หุ้น กรณีดังกล่าวมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
นาย ณัฐวุฒิถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จำนวน 200,000 หุ้น (ขณะเพิ่มทุนในช่วงปี 2550 และยังไม่โอนให้บุคคลอื่น) มูลค่า 20 ล้านบาท ,บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท รวมมูลค่า 21 ล้านบาท
นาย จตุพร ถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จำนวน 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท ,บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท
นาย จักรภพ เพ็ญแข ถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ช่วงปี 2550 (รับโอนมาจากนายณัฐวุฒิวันที่ 4 มิถุนายน 2550) จำนวน 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท , บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท
นาย วีระ มุสิกพงศ์ ถือครอง บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท ,บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท กล่าวเฉพาะนายณัฐวุฒิ ในช่วงนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ มีตำแหน่งเป็นรองโฆษรัฐบาล บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ(ป.ป.ช.) มิได้เปิดเผยต่อสาธารณชน จึงไม่ใครทราบว่านายณัฐวุฒิแสดงทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ว่ามีทรัพย์สินเท่าไหร่ ขณะ ที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตอนเป็น ส.ส.วันที่ 22 มกราคม 2551 ระบุว่ามีทรัพย์สิน 8 ล้านบาท ไม่มีเงินลงทุน แต่มีเงินฝาก 2,599,939 บาท หนี้สิน เงินกู้ 2,750,112 บาท นายจักรภพ เพ็ญแข ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตอนเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 ระบุว่าทรัพย์สิน 10.3 ล้านบาท ไม่มีเงินลงทุน แต่มีเงินสดและเงินฝาก 1.1 ล้านบาท หนี้สิน 1.7 ล้านบาท
จาก ข้อมูลดังกล่าวย่อมต้องเกิดคำถามทันทีนอกจาก"ที่มา"ของเงินลงทุน 40-50 ล้านบาทของนายณัฐวุฒิ นายจตุพร และเครือข่ายแล้ว เงินที่ได้จากการขายหุ้น (ถ้าขาย) หายไปอย่างพิสดารได้อย่างไร?
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #346 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553, 16:58:34 » |
|
คุยกับแพะ
"รัตนา เหรียญโมรา" บนเส้นทางต่อสู้ รอพบนายกฯ เรียกค่าเยียวยา 99 ล้าน.. ดิฉันอยากเห็นเขาตาย!!!
วันที่ 09 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 11:41:09 น.
ต้นพฤศจิกายน หลังลมหนาวมาเยือนกรุงเทพ ป้ารัตนา เหรียญโมรา ได้แวะมาเยือน”มติชนออนไลน์” เพื่อบอกเล่า เรื่องราวการต่อสู้ตลอด 23 ปีที่ผ่านมา อย่างมีความหวัง แตกต่างจากหลายปีก่อนที่เธอดูเศร้าหมอง หดหู่ และไร้ความหวัง
“รัตนา เหรียญโมรา” ตกเป็นจำเลยในข้อหาฆาตกรรม นายแพทย์ สุรนารถ เหรียญโมรา ผู้เป็นสามีเมื่อปี พ.ศ.2530 ครั้งนั้น ศพของสามีของเธอ ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงที่ศีรษะจนถึงแก่ความตาย
เธออ้างว่า ถูกพลตำรวจโท ชลอ เกิดเทศ หัวหน้าทีมพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าว บังคับให้รับสารภาพว่า ร่วมมือกับชู้ คือนายภาคย์ มาดีสรรค์ ฆ่าสามีตัวเอง นับจากตกเป็นผู้ต้องหา ชีวิตเธอก็เปลี่ยนไปทันที จากชีวิตที่สุขสบายพร้อมครอบครัวที่อบอุ่น ก็เปลี่ยนเป็นขุมนรก
การต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ดำเนินไปอย่างเนิ่นช้าและไม่มีข่าวดี ต้นทุนต่อสู้คดีในศาล ได้ทำให้เธอตกเป็นหนี้ธนาคาร ไม่นับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เธอป่วยหนักถึง 10 ครั้ง สิ้นเงินในการรักษาตัวเองมากกว่า 5 ล้านบาท โรครุมเร้า เธอตลอด 23 ปีคือ โรคเครียด
“เมื่อก่อนมีรถเบนซ์ มีบ้านหลังใหญ่โต วันนี้ ไม่มีอะไรแล้ว นอกจากจิตใจที่ต่อสู้ และกำลังใจจากครอบครัวและเพื่อนๆ ที่เข้าใจ”
บนเส้นทาง การต่อสู้ของ “รัตนา เหรียญโมรา” เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ไม่ใช่เพียงแค่การพึ่งศาลยุติธรรม แต่เธอใช้วิธีร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน ผ่านคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ผ่านกระทรวงยุติธรรม ผ่านกรรมาธิการหลายชุด และผ่านทุกช่องทางที่เธอ คิดว่า ช่วยเธอได้
แล้วข่าวดีก็ค่อยๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ชัยชนะในชั้นศาล รวมถึงนายตำรวจคู่กรณีของเธอคือ “ชลอ เกิดเทศ”ถูกพิพากษาประหารชีวิต ถูกถอดยศ และถูกถอดเครื่องราชย์
“ดิฉันอยากเห็นเขาตาย” นางรัตนา เหรียญโมรา กล่าว
ล่าสุด นายวรินทร์ เทียมจรัส สมาชิกวุฒิสภาและทนายความสิทธิมนุษย์ชน ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเธอ เพื่อเรียกคืนความเป็นธรรม และที่สำคัญคือ การล้างมลทิน และการเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจ โอกาสที่เธอรอคอยมากที่สุดคือ การได้พบ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งล่าสุดอยู่ระหว่างการนัดหมาย
เมื่อถามเธอว่า ค่าชดเชยเยียวยา แค่ไหนถึงเพียงพอ เธอตอบว่า “ ชีวิต ที่รอคอยความสำเร็จมานาน การเยียวยาและความเสียหายของธุรกิจในเหตุการณ์ครั้งนั้น รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 500-600 ล้านบาท หายทางรัฐบาลช่วยเยียวยา ฉันต้องการเรียกร้องเพียง 99 ล้านบาท แลกกับสิ่งที่ฉันสูญเสียไปอย่างไม่มีวันหวนคืน”
“หากได้รับค่าเยียวยา ก็จะนำไปทดแทนผู้ที่มีพระคุณ ที่คอยช่วยเหลือในการดำเนินคดี และส่วนหนึ่งก็จะมอบให้กับมูลนิธิต่างๆ”
การต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมของ “รัตนา เหรียญโมรา” เป็นตัวอย่างคดีที่ใช้เวลาเดินทางยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ แต่ท้ายที่สุด เธอ จะได้รับการเยียวยาหรือไม่ ยังไม่มีคำตอบ !!!!
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #347 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2553, 17:00:18 » |
|
คุยกับแพะ 2..
"ส.ว.วรินทร์"ยอมรับเยียวยา คดีแพะ"รัตนา"ฆ่าสามีไม่ง่าย คดีขาดอายุความ วอนนายกฯไล่บี้หาคนรับผิดชอบ
วันที่ 09 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 16:24:18 น.
จากกรณีการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมของนางรัตนา เหรียญโมรา ตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา หลังตกเป็นผู้ต้องหาฆ่าสามีของตนเอง ต่อมาศาลฎีกาได้ตัดสินยกฟ้อง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่นางรัตนา ต้องการให้มีการเยียวยาและชดเชยความเสียหายที่ตนเองตกเป็นแพะในกระบวนการ ยุติธรรมอาญา
ล่าสุด นายวรินทร์ เทียมจรัส สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และทนายความด้านสิทธิมนุษยชน รับปากว่าจะให้ความช่วยเหลือ นางรัตนา เพื่อให้ได้รับการเยียวยาตามกระบวนการยุติธรรม
" กระบวนการทางศาลในขณะนี้ถือว่าจบแล้ว แต่สิ่งที่จะต้องต่อสู้ก็คือกระบวนการยุติธรรม โดยเรียกร้องไปยังนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งขณะนี้ได้ส่งต่อไปยังนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเพื่อเข้าสู่กระบวนการเยียวยาและชดเชยต่อไป "
ส่วนช่องทางในการเยียวยานางรัตนาที่ทำได้ก็มีอยู่ 2 ทาง อันแรกก็คือ กระบวนการยุติธรรมที่กำลังหาลู่ทางทางกฎหมายว่าจะทำอย่างไรให้การต่อสู้คดี โดยไม่มีเงื่อนไขของอายุความ เนื่องจากว่าคดีหมดอายุความมานานแล้ว อยากจะให้กฎหมายเป็นตัวรองรับ หรือมีหลักการทางด้านกฎหมายเข้ามารองรับ ซึ่งอยู่ในระหว่างการเสนอแนวคิด อย่างน้อยมีการร่างกฎหมายเพิ่มเข้ามา หรือให้หน่วยงานเอ็นจีโอเข้ามาช่วย ทั้งนี้หน่วยงานเอ็นจีโออาจเข้ามาช่วยได้น้อย เพราะว่าไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านกฎหมาย อีกช่องทางหนึ่งก็จะต้องเป็นการเยียวยาทางด้านจิตใจ คอยให้กำลังใจอยู่ตลอด หรือเปิดพื้นที่เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม
นอกจากนี้ นายวรินทร์ยังกล่าวอีกว่า การเข้าร้องเรียนต่อหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนก็เป็นช่องทางหนึ่ง เพื่อสร้างกระแสในด้านสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตามการให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายก็ยังคงต้องรอตามขั้นตอนต่อ ไป แต่ถ้านายกฯอภิสิทธิ์จะสั่งการให้ใครเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบในเรื่องนี้จะคืบ หน้าได้มากกว่าที่เป็นอยู่
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
seree_60
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ชีวิต คือ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยว คือ ชีวิตเรา
ออฟไลน์
กระทู้: 9,865
|
|
« ตอบ #348 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2553, 10:49:36 » |
|
ผู้ดี “บิ๊กบอสแสนสิริ”ฉาว โดนร้องบังคับใส่ "เสื้อหน้าแม้ว" โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 พฤศจิกายน 2553 00:50 น. ไม่เคยมีชื่อติดในแบล็กลิสต์เป็นเครือข่ายท่อน้ำเลี้ยงแดง แต่พฤติกรรมของ เศรษฐา ทวีสิน บิ๊กบอสแห่งแสนสิริ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ กลับแสดงออกชัดเจน ชนิดเกินพอดีในการสนับสนุนนักโทษหนีคุกอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ราวกับตกภาษาไทยโดยเฉพาะการสะกดคำว่า “แยกแยะ” ไม่เป็น ก่อนแดงเผาเมืองในช่วงเดือนเมษา-พฤษภา บิ๊กบอสแสนสิริรายนี้ลงทุนทำเสื้อแดง สกรีนรูปทักษิณไว้ด้านหน้าไปตระเวนแจกผู้คนในสนามราชกรีฑาสโมสร หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ สปอร์ตคลับ ตั้งแต่เมื่อตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนมีเสียงครหาว่าเสื้อแดงหน้าทักษิณที่คนในสนามราชกรีฑาสโมสรไม่ต้องการ ล้นทะลักไปอยู่แถวสี่แยกราชประสงค์ ในวันที่ถนนเศรษฐกิจของไทยถูกจับเป็นตัวประกัน จนนำไปสู่การเผาบ้านเผาเมือง เศรษฐา ทวีสิน ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าทีมฟุตบอลราชกรีฑาสโมสรโปโลคลับ ซึ่งเศรษฐานั่งควบเป็นหัวหน้าทีมฟุตบอลของสโมสรผู้ดีกรุงเทพฯ ทั้ง 3 ทีมคือ ทีมเอ ทีมบี และทีมเวทเทรัน ที่มีนักเตะอายุเกินกว่า40 ปีขึ้นไป มาถึงวันนี้เสื้อแดงสกรีนภาพคนหนีคุกกลับมาหลอกหลอนนักฟุตบอลอีกครั้ง จากฝีมือของเจ้าเก่ารายเดิม โดยปรับเปลี่ยนวิธีการกระจายเสื้อแดงทักษิณ จากการแจกมาเป็น “การยัดเยียด” แทน จนกลายเป็นที่มาของเสียงครหาว่า คนอย่าง เศรษฐา สะกดคำว่า “แยกแยะ” ไม่เป็นดังที่กล่าวไว้ในข้างต้น เพราะไม่เพียงเอาเรื่องการเมืองมาปะปนกับกีฬา แต่ยังมีความคิดและพฤติกรรมเผด็จการบีบบังคับให้ลูกทีมฟุตบอลต้องใส่เสื้อแดงหน้านักโทษ ทำให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงจากนักกีฬาฟุตบอลในทีม โดยทุกคน (ยกเว้นลูกน้องเศรษฐา) ปฏิเสธที่จะใส่เสื้อที่ทั้งสี และภาพล้วนเป็นกาลกิณีต่อชาติบ้านเมือง และแสดงความไม่พอใจร้องเรียนไปยังกรรมการโปโลคลับ เกี่ยวกับพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของ เศรษฐา จนมีการโทรศัพท์แจ้งเตือนไปยังเจ้าตัว เพื่อให้หยุดการกระทำดังกล่าว แต่แทนที่ เศรษฐา จะได้คิด เขากลับฟาดงวงฟาดงาหนักขึ้น พาลพาโลจนเกิดวิวาทะเข้าขั้นทะเลาะกับลูกทีมฟุตบอลอย่างดุเดือด “ผมเอาเสื้อมาแจกมันผิดตรงไหน” เศรษฐา ถามลูกทีมฟุตบอลอย่างหัวเสีย ขณะที่ลูกทีมฟุตบอลประสานเสียงตอบว่า “ผิด” “จะผิดได้ยังไง ผมเห็นหลายคนก็เอาเสื้อเหลืองมาแจก” “ก็ตอนที่เขาแจกเสื้อ ไม่ว่าสีอะไรก็ตาม มันไม่มีเหตุเผาบ้านเผาเมือง ยึดราชประสงค์ ทำลายเศรษฐกิจชาติ จนบ้านเมืองเสียหาย แล้วตอนนี้อยากให้ประเทศชาติกลับไปเป็นอย่างนั้นอีกหรือ เราเป็นทีมฟุตบอล นี่เป็นกีฬาอย่าเอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง” เจอเข้าดอกนี้ เศรษฐา ถึงกับอึ้ง เถียงไม่ออก แต่ยังแถต่อพร้อมแสดงพฤติกรรมต่ำที่ไม่น่าเชื่อว่าบิ๊กบอสแห่งแสนสิริจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ “คุณพูดอย่างนี้ได้อย่างไร” เมื่อปากพูดจบ ก็ทำหน้าบึ้งตึงพร้อมกับมีน้ำลายกระจายใส่หน้าคู่สนทนาต่อหน้าสักขีพยานจำนวนมาก ก่อนที่ เศรษฐา จะเดินจากไปอย่างหัวเสีย เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่ร่ำลืออย่างมากในหมู่ไฮโซที่เป็นสมาชิกโปโลคลับ และเริ่มมีคำถามมากขึ้นว่า สโมสรที่ได้ชื่อว่ามีแต่ไฮโซ และผู้ดีเป็นสมาชิกนั้นควรจะมีการสกรีนพฤติกรรมและวุฒิภาวะของคนที่เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกมากกว่าการใช้คุณสมบัติเรื่อง “เงินถึง” อย่างเดียวหรือไม่ เพราะสังคมไทยที่เลวร้ายอยุ่ทุกวันนี้ ก็เนื่องมาจากการไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดี ให้การยอมรับคนที่เงินมากกว่า “ความดี” ซึ่งโปโลคลับ น่าจะได้ลองทบทวนดูว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะกระตุ้นค่านิยมยกย่องคนดีมากกว่าเงินมาใช้หรือไม่ ใครมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็ควรถูกขับออกไป หากทำได้เช่นนี้ก็จะถือเป็นมาตรการทางสังคมที่จะส่งผลกดดันทำให้ไม่ว่าใครก็ตาม ต้องระมัดระวังพฤติกรรมของตัวเองมากขึ้น สังคมไทยจะได้ไม่ต้องจมปลักอยู่กับยุค “ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน” ดูเหมือนว่า เศรษฐา จะรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มสูงขึ้น จึงพยายามปรับพฤติกรรมยอมถอย เอ่ยปากขอโทษลูกทีมฟุตบอล เพราะเกรงว่าจะถูกโหวตไล่ออกจากการเป็นหัวหน้าทีม ซึ่งคงจะเสียหน้ายิ่งกว่าแจกเสื้อนักโทษแล้วไม่มีคนเอา มีคำแนะนำถึง เศรษฐา ว่า หากรักทักษิณเข้าเส้นขนาดนี้ น่าจะเปลี่ยนชื่อบริษัทแสนสิริเป็น “แดงสิริ” เสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว จะได้วัดกันไปเลยว่า ที่วางเป้าหมายทางธุรกิจหวังขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งด้านอสังหาริมทรัพย์นั้น จะได้ตามหวัง หรือจะพังพาบ เพราะผู้คนเขาจะบอยคอตไม่ซื้อบ้านที่สร้างจากน้ำมือคนหนุนแดงเผาเมือง
|
iss u.Don"t be sure that the world is wide until you check it out by your self.
|
|
|
เจตน์
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ใครๆเรียกผมว่า "กุ๊ปปิ๊"
ออฟไลน์
รุ่น: RCU2534
คณะ: ครุฯ พลศึกษา
กระทู้: 6,520
|
|
« ตอบ #349 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2553, 13:32:05 » |
|
ผมในฐานะเด็กพละคนนึง ขอสาปแช่งคนที่เอากีฬามาใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อหวังผลทางการเมือง ให้มันชิบหาย ไม่ได้ผุดได้เกิดครับ...
แต่ต้องแยกนะครับ นักการเมืองมาสนับสนุนกีฬา เป็นเรื่องดี แต่ต้องไม่ใช้วิธีสกปรกแบบนี้
|
ชีวิตผมเป็นดั่งวงกลม จึงได้แต่ดอมดมความสุขจากคนอื่นๆ
|
|
|
|