ทำไม?ส.ส.ต้องขายตัวโดย : เฉลา กาญจนา
kanchanatuk@hotmail.com ช่วงนี้อากาศแปรปรวนพอๆ กับคนการเมืองที่ความคิดเริ่มแปรปรวน...รวนเร หาโอกาสจังหวะคิดย้ายพรรคกัน "อุตลุด"
ฉะนั้น จึงไม่แปลก นับจากนี้ไป "ตลาดนัด" ช้อป ส.ส.จะกลับมาคึกคักอีกรอบ
ข่าวซื้อตัว ส.ส.ช่วงนี้หนาหูขึ้นทุกวัน...เรื่องนี้ให้ดีต้องฟังหูไว้หู เพราะในทางการเมืองคงไม่มีพรรคไหนที่เลือกลงทุน ทุ่มเงินซื้อตัวล่วงหน้า ทั้งที่ยังไม่รู้อนาคต วันเวลาเลือกตั้งที่แน่นอน อย่างมากทำได้แค่ "จีบๆ" หรือไม่ก็สัญญาว่าจะให้โน่นให้นี่ เป็นยาหอมล่วงหน้า
แต่ถ้าถึงขั้นทุ่มเงิน 20-30 ล้านบาท เพื่อซื้อ ส.ส.ตั้งแต่วันนี้บอกได้เลยว่าแค่ "ราคาคุย"
ตัวอย่างเห็นชัดๆ ที่พรรคภูมิใจไทยของ "เสี่ยเนวิน ชิดชอบ" ตอนนี้ ดูเหมือนจะเป็นพรรคการเมืองดาวรุ่ง ที่เพียบพร้อมทั้ง "ทุนทรัพย์และอำนาจ" อย่างโดดเด่น ทำเอา ส.ส.จากหลายพรรคเริ่มอ่อนไหว เอนเอียง เข้าคิวรอ ส่วนจะยั่งยืนถาวรแค่ไหน คงเป็นเรื่องอนาคต ต้องรอพิสูจน์เมื่อถึงวันเลือกตั้งจริง
แม้ 2 วันที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยจะชิงโอกาสเปิดตัว ดูด ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา 6 คน แต่ "กลุ่มชลบุรี" ของ "สนธยา คุณปลื้ม" น่าจะยังอยู่ในอาการจดๆ จ่อๆ รายหลังแว่วๆ มาว่าเริ่มมีการทำสำรวจความนิยมจากคนในพื้นที่แล้ว ผลที่ออกมา "ยังไม่ปลื้ม" ฉะนั้นจึงไม่แน่ใจว่า ตอนจบกลุ่มชลบุรีจะคิดอย่างไร
เมื่อวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่เขาเรียกว่า "ส.ส.ขายตัว" ก็คงหนีไม่พ้น "เงิน" ที่เป็นแรงดึงดูดเวลานี้ เพราะ ส.ส.ก็ต้องมีภาระค่าใช้จ่าย ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ถ้าจะอยู่กับพรรคที่มี "ค่าหัวต่ำ" ย่อมเป็นปัญหาแน่นอน
การเป็น ส.ส.มันคืออาชีพๆ หนึ่ง ในเมื่อต้นสังกัด "ลดเงินเดือน" ด้วยการตัดโน่นตัดนี่ ฉะนั้นบรรยากาศการกระเสือกกระสนหาที่อยู่ใหม่จึงเป็นเรื่องปกติละครับท่าน
จากการตรวจสอบ ค่าหัวรายเดือน ส.ส.แต่ละพรรค จะไม่เท่ากัน แตกต่างกันไปตามฐานะ
พรรคเล็ก ไม่เกิน 10 คน ค่าหัวรายเดือนเฉลี่ยอยู่ที่คนละ 200,000 บาทต่อเดือน พรรคกลางๆ อยู่ที่ 70,000-100,000 บาทต่อคนต่อเดือน ถ้าพรรคใหญ่ระดับต้นๆ อยู่ที่ 50,000-70,000 บาท
สถานการณ์วันนี้ พรรคเล็กจะจ่ายค่าหัวรายเดือนสูงกว่าพรรคใหญ่ ถ้าเป็นพรรคใหญ่ที่มั่นคง อัตราค่าหัวรายเดือนของ ส.ส.จะไม่ค่อยเปลี่ยนมากนัก แม้กระทั่งตัว ส.ส.เอง
แต่ถ้าเป็นพรรคใหญ่ ที่อยู่ในอาการแพแตกประเภท "หัวขาด" แถมค่าหัวรายเดือนลดลง โอกาสตีจากหรือหาที่ซุกหัวใหม่จึงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ถ้าคำนวณคร่าวๆ ค่าหัวรายเดือน ส.ส.เฉลี่ยที่คนละ 100,000 บาท ตามรัฐธรรมนูญ ทั้ง ส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ รวมเบ็ดเสร็จ 480 คน จะเห็นว่าภาระที่พรรคการเมืองต้องจ่ายให้ลูกพรรคปีหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่า 576 ล้านบาท หากรวมรายจ่ายอื่นๆ เชื่อไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
หากเป็นการเลือกตั้งค่าใช้จ่ายต่อหัวของผู้สมัคร ส.ส. จะสูงกว่าที่ปรากฏอีกหลายเท่าตัว โดยเฉพาะพรรคเล็ก หลายพรรคบอกตรงกันว่า ต้องใช้เงินเฉลี่ยคนละไม่ต่ำกว่า 60-80 ล้านบาท อัตราที่ว่านี้ส่วนใหญ่สอบผ่าน แต่สำหรับพรรคใหญ่ ค่าใช้จ่ายต่อหัวอยู่ที่ 30-40 ล้านบาท
เงิน ส.ส.ทั้งที่เป็นค่าหัวรายเดือนและค่าใช้จ่ายเลือกตั้งจะเห็นว่าสูงอย่างน่าแปลกใจ และนับวันจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจะเห็นว่า วันนี้มีพรรคการเมืองบางพรรคหันมาใช้วิธี "เกทับด้วยเงิน"
ยิ่งไปกว่านี้ ทุกวันนี้เริ่มมีแกนนำบางพรรค "ไดเร็คเซล" เข้าหา ส.ส.ยื่นข้อเสนอแบบ "ลดแลกแจกแถม" เพื่อให้ได้มาซึ่ง ส.ส.ในสังกัด
ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง เห็นการใช้จ่ายเงินของ ส.ส.แต่ละคน รู้สึกใจหายแทน ทำให้คิดต่อไปว่า แต่ละพรรคที่ลงทุนกับการเลือกตั้งครั้งละเป็นพันๆ ล้านบาทอย่างนี้ แล้วคิดจะ "ถอนทุนคืน" กันขนาดไหน
ผลกรรมที่ตามมาสำหรับประเทศไทย มันถึงไม่ค่อยเจริญอย่างที่เห็นๆ ละครับพี่น้อง ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือปัญหาคอร์รัปชัน ที่นับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ...