25 พฤศจิกายน 2567, 20:42:01
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 [2] 3 4  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: พระอาจารย์ ปราโมทย์ ปราโมชโช  (อ่าน 77756 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มีนา
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2515
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 1,865

« ตอบ #25 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2553, 21:32:14 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 31 มกราคม 2553, 12:30:38
...เป็นหวัดทีไร...เข็ดจริงๆเลย...
...มันทรมานยิ่งกว่าขึ้นเตียงผ่าตัดอีก...ทรมานตอนที่มันมีอาการคันคอมากๆ...พาลอยากอาเจียน...
...ถ้าพ้นตอนคันคอไปได้...ถือว่าค่อยยังชั่วหน่อย...
...ต่อไปก็คืออาการไอ...แม้จะทานยาตามกำหนดเวลา...ก็เหมือนกับว่ายานั้นไม่มีประสิทธิภาพ...
...เพราะไอได้เป็นวรรคเป็นเวร...บางทีพาลคิดไปว่ายาหมดอายุหรือไร...
...ทานยามาเป็นวันที่ 5 แล้ว...อาการยังไม่ทุเลาเลย...
...แต่พอวันที่ 6 ก็แสนอัศจรรย์ไจ...อยู่ๆอาการไอก็หายไปมากๆ...เหลือแต่คิกๆแค๊กๆ...
...ทานยาต่อจนวันที่ 7 ยาปฎิชีวนะที่ให้มาทานจนหมด...อาการดีขึ้นมากๆ...
...ตอนเป็นหวัดทีไร...นึกถึงตอนผ่าตัด...ใจเสียก่อนเข้าห้อง...
...แต่ตอนออกมา...รู้สึกสบาย...เหมือนขึ้นสวรรค์...แบบโล่งอกมากๆ...
...เทียบกับหวัดแล้ว...รู้สึกทรมานน้อยกว่าอีก...
...นี้...ตอนเจอกันครั้งหลังๆ...พี่เห็นเธอถือกระติกอยู่อันนึง...
...พี่ก็ได้มาอันนึงเหมือนกัน...มีคนให้พี่มา...
...อาการเราแบบเดียวกันเลยคือเป็นหวัดหลังจากใช้กระติกอันนี้...
...ไม่รู้ว่าพี่คิดไปเองหรือเปล่า...


...พี่ตู่พูดเรื่องกระติกนึกอยู่พักหนึ่งว่ากระติกอันไหนเพราะไม่เคยถือกระติกไปตอนเจอพี่ เคยถือกระบอกน้ำ
และแก้วน้ำ  ต้องมาฟันธงและคอนเฟิร์มว่าไม่ได้เป็นหวัดเพราะใช้กระติก/ กระบอก/ แก้วน้ำแน่นอน
แต่เหตุที่นี้เป็นหวัดเพราะไปนั่งกลางแดดเปรี้ยงที่ลานพระบรมรูปทรงม้าแถมนั่งคู่กับคนเป็นหวัด
ทั้งเที่ยวไป-กลับ กรุงเทพฯ-ชล  ภูมิต้านทานเหลือน้อยตามวัย หวัดเลยเล่นงาน ฟันธง....
ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
      บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #26 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2553, 13:22:50 »

     

              หวัดดีค่ะพี่ตู่...มีคนบอกว่าหวัดดีคือเป็นหวัดแล้วก็ดี..เล่นเอานู๋..งง..นู๋ก้อเป็นหลังปีใหม่นอนซม..สังเกตูก่อนเ้ป็นน่าจะ..น่าจะไปดื่มน้ำในแก้วที่ใส่ตู้เย็นไว้...แล้วปั่นป่วนในหัวแต่ไม่มีไข้...มีคนเขาเตือนเรื่องน้ำดื่มในขวดที่ดื่มจากขวดแล้วมีเชื้อโรคอยู่ที่ขวด..ทิ้งไว้อาจมีเชื้อสะสมได้..ไม่รู้ใช่ป่ะคะ...แต่หนูไม่เคยดื่มน้ำในขวดแต่คอยระวังใช้เทกรอกปากเอา..แต่คราวนี้พลาดก็เลยนอนซม 2-3 อาทิตย์..น่าจะไล่ ๆ กะพี่นะคะ...ตอนนี้หายสบายดีแล้วใช่ไหมคะ......จาได้เห็นทุกข์กันตอนป่วยไง้....

              พี่แจ่มคะ..หนูก็ตามเรื่องอยู่...หนูเริ่มอ่านข้อเขียนของหลวงพ่อจากเน็ทที่เขาพริ้นท์ มาให้ตั้งแต่ท่านยังไม่บวช...ฝึกเองถูกมั่งเพ่งมั่ง...เป็นปีจึงเจอคุณตุลย์(ดังตฤณ) แรกเจอคุณตุลย์ก็บอกว่า...จิตพี่ดีขึ้นเยอะฯ...หนูเองก็สังเกตุตัวเองว่าชีวิตมีความสุขขึ้นเยอะ...เราปฏิบัติเองก็รู้เองจิง ๆ และครูบาอาจารย์รุ่นเก่า  เช่น หลวงปู่ชา..หลวงปู่เทสก์..ฯลฯ ที่เราเคยอ่านหรือฟังคำสอนของท่านเราก็นำมาศึกษาปฏิบัติตามอย่างผสมกลมกลืน..หนูว่าคนที่เขาศึกษากันจิงก็ไม่ได้อ่านหรือฟังคำสอนของท่านองค์เดียวอยู่แล้ว...อันไหนถูกจริตก็นำมาประยุกต์กันได้....ขอให้ทุกปัญหาผ่านพ้นไปได้ด้วยดีิเท้ิ้ิอดดด....

            ..ธรรมะของพระพุทธองค์รู้ได้ด้วยการปฏิบัติจิง ๆนะคะพี่แจ่ม......
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #27 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553, 13:13:39 »

อ้างถึง
ข้อความของ เจษฎา เมื่อ 31 มกราคม 2553, 14:14:56
สวัสดีครับพี่ตู่
...สวัสดีค่ะ...น้องเจษฏา...
...ช่วยมาเล่าเรื่องหลวงพี่สมปองให้พี่ตู่และชาวหอฟังบ้างสิคะ...
...คือพี่ยังไม่รู้จักท่านค่ะ(เชยมากๆ)...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #28 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553, 13:17:45 »

อ้างถึง
ข้อความของ มีนา เมื่อ 01 กุมภาพันธ์ 2553, 21:32:14
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 31 มกราคม 2553, 12:30:38
...เป็นหวัดทีไร...เข็ดจริงๆเลย...
...มันทรมานยิ่งกว่าขึ้นเตียงผ่าตัดอีก...ทรมานตอนที่มันมีอาการคันคอมากๆ...พาลอยากอาเจียน...
...ถ้าพ้นตอนคันคอไปได้...ถือว่าค่อยยังชั่วหน่อย...
...ต่อไปก็คืออาการไอ...แม้จะทานยาตามกำหนดเวลา...ก็เหมือนกับว่ายานั้นไม่มีประสิทธิภาพ...
...เพราะไอได้เป็นวรรคเป็นเวร...บางทีพาลคิดไปว่ายาหมดอายุหรือไร...
...ทานยามาเป็นวันที่ 5 แล้ว...อาการยังไม่ทุเลาเลย...
...แต่พอวันที่ 6 ก็แสนอัศจรรย์ไจ...อยู่ๆอาการไอก็หายไปมากๆ...เหลือแต่คิกๆแค๊กๆ...
...ทานยาต่อจนวันที่ 7 ยาปฎิชีวนะที่ให้มาทานจนหมด...อาการดีขึ้นมากๆ...
...ตอนเป็นหวัดทีไร...นึกถึงตอนผ่าตัด...ใจเสียก่อนเข้าห้อง...
...แต่ตอนออกมา...รู้สึกสบาย...เหมือนขึ้นสวรรค์...แบบโล่งอกมากๆ...
...เทียบกับหวัดแล้ว...รู้สึกทรมานน้อยกว่าอีก...
...นี้...ตอนเจอกันครั้งหลังๆ...พี่เห็นเธอถือกระติกอยู่อันนึง...
...พี่ก็ได้มาอันนึงเหมือนกัน...มีคนให้พี่มา...
...อาการเราแบบเดียวกันเลยคือเป็นหวัดหลังจากใช้กระติกอันนี้...
...ไม่รู้ว่าพี่คิดไปเองหรือเปล่า...


...พี่ตู่พูดเรื่องกระติกนึกอยู่พักหนึ่งว่ากระติกอันไหนเพราะไม่เคยถือกระติกไปตอนเจอพี่ เคยถือกระบอกน้ำ
และแก้วน้ำ  ต้องมาฟันธงและคอนเฟิร์มว่าไม่ได้เป็นหวัดเพราะใช้กระติก/ กระบอก/ แก้วน้ำแน่นอน
แต่เหตุที่นี้เป็นหวัดเพราะไปนั่งกลางแดดเปรี้ยงที่ลานพระบรมรูปทรงม้าแถมนั่งคู่กับคนเป็นหวัด
ทั้งเที่ยวไป-กลับ กรุงเทพฯ-ชล  ภูมิต้านทานเหลือน้อยตามวัย หวัดเลยเล่นงาน ฟันธง....
ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ

...ไม่เป็นไรค่ะดูเรื่องไหนก็ได้...แต่ไม่น่าออกเร็วเลยเนอะ...หนังยังใหม่อยู่แท้ๆ...
...เรื่องกระติกพี่คงจำผิด...พี่จำได้ว่าเห็นนี้ห้อยเหรียญนั้นไว้ที่คอ...
...ส่วนพี่...พี่ได้กระติกมาโดยบังเอิญค่ะ...
...น้องพยาบาลเอามาสวัสดีปีใหม่...
...บอกว่าใส่น้ำทานแล้วจะดี...หลักเดียวกันกับเหรียญของนี้...
...พี่ก็พยายามใช้ค่ะ...กำลังทดลองอยู่...ว่าดีจริงหรือไม่...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #29 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553, 14:12:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ jimsy เมื่อ 03 กุมภาพันธ์ 2553, 13:22:50
     

              หวัดดีค่ะพี่ตู่...มีคนบอกว่าหวัดดีคือเป็นหวัดแล้วก็ดี..เล่นเอานู๋..งง..นู๋ก้อเป็นหลังปีใหม่นอนซม..สังเกตูก่อนเ้ป็นน่าจะ..น่าจะไปดื่มน้ำในแก้วที่ใส่ตู้เย็นไว้...แล้วปั่นป่วนในหัวแต่ไม่มีไข้...มีคนเขาเตือนเรื่องน้ำดื่มในขวดที่ดื่มจากขวดแล้วมีเชื้อโรคอยู่ที่ขวด..ทิ้งไว้อาจมีเชื้อสะสมได้..ไม่รู้ใช่ป่ะคะ...แต่หนูไม่เคยดื่มน้ำในขวดแต่คอยระวังใช้เทกรอกปากเอา..แต่คราวนี้พลาดก็เลยนอนซม 2-3 อาทิตย์..น่าจะไล่ ๆ กะพี่นะคะ...ตอนนี้หายสบายดีแล้วใช่ไหมคะ......จาได้เห็นทุกข์กันตอนป่วยไง้....

              พี่แจ่มคะ..หนูก็ตามเรื่องอยู่...หนูเริ่มอ่านข้อเขียนของหลวงพ่อจากเน็ทที่เขาพริ้นท์ มาให้ตั้งแต่ท่านยังไม่บวช...ฝึกเองถูกมั่งเพ่งมั่ง...เป็นปีจึงเจอคุณตุลย์(ดังตฤณ) แรกเจอคุณตุลย์ก็บอกว่า...จิตพี่ดีขึ้นเยอะฯ...หนูเองก็สังเกตุตัวเองว่าชีวิตมีความสุขขึ้นเยอะ...เราปฏิบัติเองก็รู้เองจิง ๆ และครูบาอาจารย์รุ่นเก่า  เช่น หลวงปู่ชา..หลวงปู่เทสก์..ฯลฯ ที่เราเคยอ่านหรือฟังคำสอนของท่านเราก็นำมาศึกษาปฏิบัติตามอย่างผสมกลมกลืน..หนูว่าคนที่เขาศึกษากันจิงก็ไม่ได้อ่านหรือฟังคำสอนของท่านองค์เดียวอยู่แล้ว...อันไหนถูกจริตก็นำมาประยุกต์กันได้....ขอให้ทุกปัญหาผ่านพ้นไปได้ด้วยดีิเท้ิ้ิอดดด....

            ..ธรรมะของพระพุทธองค์รู้ได้ด้วยการปฏิบัติจิง ๆนะคะพี่แจ่ม......
...ใช่จ้ะ...น้องจิ๋ม...เห็นทุกข์จริงๆเลยค่ะ...
...แต่ส่วนมากหวัดของพี่ตู่จะเกิดเวลาอากาศเปลี่ยนค่ะเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น...เสร็จทุกที...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
เพื่อนเดียว-69
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu69
กระทู้: 152

« ตอบ #30 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553, 22:19:31 »

พรุ่งนี้วันพระ

มีความคิดว่า...

รู้สึกดีที่พี่ๆสนใจธรรมะกัน

เดินผิดทางบ้างถูกทางบ้าง ก็ลองเดินดู

คลำทางไป ตามแผนผัง (ที่มีสะสมกันอยู่ก่อนในใจมานานแล้ว)

แต่ต้องตั้งใจนะ ที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย

เมื่่อรู้ว่าไม่ใช่ทาง เมื่่อต้องการพ้นทุกข์ เดี๋ยวใจมันก็กลับเอง

แต่อย่าลืมว่า ทางสายนี้ ไม่มีทางลัด.

      บันทึกการเข้า

หน้าที่ของมนุษย์ คือการศึกษาธรรม เรียนรู้ธรรม เพื่อยอมรับธรรม

ธรรม คือธรรมชาติของรูปนาม
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #31 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553, 23:58:02 »

ทำดีอาจได้ดีหรือไม่ได้ดีก็ได้ เพราะสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลมากำหนดกดดัน
แต่ทำชั่วนั้น รับรองได้เลยว่าไม่มีทางได้ดีแน่นอน
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #32 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553, 10:07:25 »

ออกตัวก่อนนะครับว่า ไม่ใช่เพราะไม่มีห้องการเมืองให้อยู่จึงต้องมาห้องนี้

ผมน่าจะรู้จักพระอาจารย์ปราโมทย์เท่ากับพี่ป๋องกระมัง
จึงต้องอาศัยอ่านตามคำแนะนำของพี่ๆน้องๆ
และก็คงรู้มากขึ้นเท่าที่พี่ป๋องรู้

บอร์ดที่มีสาระและประเทืองปัญญาจริงๆคงมี ที่pantip.com
และ cmadong.com นี่แหละครับ
แต่ที่นี่ cmadong.com ผมว่าแน่นกว่า และไม่ต้องคัดกรองมาก ไม่เสียเวลาสายตา
ไม่เสียเวลาหาข้อมูล

ไม่ขอวิจารณ์เรื่องแง่สอน วิธีสอนและธรรมะที่ถูกนำมาถ่ายทอดครับ
เพราะการรับรู้ของคนเราขึ้นกับสติปัญญา และภาวะการดำรงชีพขณะนั้นๆ

สาธุ
      บันทึกการเข้า
เพื่อนเดียว-69
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu69
กระทู้: 152

« ตอบ #33 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2553, 18:28:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 06 กุมภาพันธ์ 2553, 23:58:02
ทำดีอาจได้ดีหรือไม่ได้ดีก็ได้ เพราะสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลมากำหนดกดดัน
แต่ทำชั่วนั้น รับรองได้เลยว่าไม่มีทางได้ดีแน่นอน


เมื่อเราปลูกต้นมะม่วง ในเวลาเช้า ตกเย็น เราได้กินชมพู่

ก็ไม่ใช่ว่า ต้นมะม่วงออกลูกเป็นชมพู่ นะ

เพียงแต่ ต้นมะม่วงยังไม่ถึงเวลาออกผล

แต่ทว่าต้นมะม่วงต้นนี้ไม่มีวันตาย ถ้าไม่ออกผลก่อน  (หรือ...

      บันทึกการเข้า

หน้าที่ของมนุษย์ คือการศึกษาธรรม เรียนรู้ธรรม เพื่อยอมรับธรรม

ธรรม คือธรรมชาติของรูปนาม
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #34 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2553, 14:28:05 »

อย่า เพ่งโทษครูบาอาจารย์   บทความโดย ภูเตศวร

 

ลงในนิตยสารขวัญเรือน รายปักษ์ เล่มที่  918

ปักษ์หลัง กุมภาพันธ์ 2553

 

 ลองอ่านดูนะคะ

 





 

 

 

 

      บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #35 เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2553, 12:16:13 »

Subject:  พระอาจารย์ไพศาล เขียนถึง ลพ.ปราโมทย์ ในมติชน เรื่อง เหตุเกิดในวงการกรรมฐาน

มติชน ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
เหตุเกิดในวงการกรรมฐาน

พระ ไพศาล วิสาโล

ใน อดีตนั้นถือกันว่าสมาธิภาวนาหรือการทำกรรมฐาน
เป็น เรื่องของสงฆ์  ส่วนฆราวาสนั้นปฏิบัติธรรมด้วยการให้ทาน
และรักษาศีลก็พอ แล้ว   แม้จนทุกวันนี้เราก็ยังเห็นฆราวาสเข้า
วัดเพื่อ “ทำบุญ” เป็นส่วนใหญ่  แต่แบบแผนดังกล่าวดูเหมือน
จะจำกัดเฉพาะชาวพุทธไทย  เอกลักษณ์ดังกล่าวจะเห็นได้ชัด
เมื่อไปเยือนวัดในยุโรปหรืออเมริกาที่มี ชาวพุทธหลายเชื้อชาติ
ให้ความศรัทธานับถือ   ในขณะที่ชาวพุทธไทยนิยมมาถวาย
อาหารแก่พระสงฆ์(แล้วก็ลากลับ)  ชาวพุทธชาติอื่นโดยเฉพาะ
ชาติตะวันตกกลับสนใจฟังธรรมะและทำสมาธิกัน อย่างจริงจัง

อย่างไรก็ตามในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ฆราวาสที่สนใจทำ
กรรมฐาน มีจำนวนมากขึ้นและขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็น
ปรากฏการณ์ที่โดดเด่น ในแวดวงชาวพุทธไทย  ตามสำนักต่าง ๆ
มีฆราวาสมาทำสมาธิภาวนาอย่างต่อ เนื่อง  รวมทั้งจัดอบรม
กรรมฐานกันเอง  บ่อยครั้งก็มีฆราวาสเป็นอาจารย์กรรมฐาน  
ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ควบคู่กับความสนใจใฝ่ศึกษาธรรม
ทั้งจากการอ่านและการฟังอย่างแพร่หลาย จนหนังสือธรรมะกลาย
เป็นหนังสือขายดี  ขณะที่หน่วยงานหลายแห่งทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ
ก็มีการบรรยายธรรมอย่าง สม่ำเสมอ  

ความเครียด ความรุ่มร้อนในจิตใจและความรู้สึกว่างเปล่า
ใน ชีวิตทั้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยวัตถุสิ่งเสพและความสะดวกสบาย
เป็นสาเหตุ สำคัญที่ผลักดันให้ผู้คนหันมาหาความสงบจากพุทธศาสนา
แต่ผู้คนยากจะค้นพบ คำตอบจากพุทธศาสนาได้หากไม่มีผู้บอกทาง
ที่สามารถสื่อ สารกับฆราวาสได้อย่างถึงแก่น  ครั้นค้นพบแล้วจะลงมือ
ปฏิบัติหรือไม่ ก็ยังขึ้นอยู่กับผู้บอกทางว่าได้นำเสนอการปฏิบัติที่สมเหตุ
สมผล น่าเชื่อถือ  ทำได้จริงหรือไม่  แต่เท่านั้นยังไม่พอ ที่ขาดไม่ได้
สำหรับ คนสมัยใหม่ก็คือ จักต้องเป็นการปฏิบัติที่ทำได้ง่ายในชีวิตประจำวัน
ยิ่ง เป็นวิธีการที่ลัดสั้น ตรงถึงเป้าหมาย ก็ยิ่งได้รับความนิยม
ปฏิเสธไม่ ได้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช
เป็นผู้ที่มี บทบาทโดดเด่นที่สุดในการชักนำให้ฆราวาสโดยเฉพาะคนชั้นกลาง
หัน มาทำกรรมฐานกันอย่างจริงจังและอย่างแพร่หลายชนิดที่ไม่เคยปรากฏ
มาก่อน  ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือคนเหล่านี้มีเป็นจำนวนมากที่ไม่เคยเห็นตัวท่าน
หรือ ได้รับการชี้แนะจากท่านโดยตรง หรือแม้แต่ฟังคำบรรยายจากปาก
ของท่าน หลายคนอยู่ไกลถึงต่างประเทศด้วยซ้ำ  แต่ได้ปฏิบัติตามคำ
ชี้แนะของ ท่านอย่างต่อเนื่อง   เท่าที่ทราบมีเป็นจำนวนมากที่ได้รับ
ผลดีจากการ ปฏิบัติ

ความสำเร็จดังกล่าว (หากจะใช้คำนี้) ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก
การ ใช้สื่ออย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะซีดี ซึ่งสะดวกแก่การเผย
แพร่ในหลาย ช่องทางรวมทั้งทางอินเทอร์เน็ต  ทำให้เข้าถึง
คนชั้นกลางจำนวนมาก   แม้หนังสือของท่านจะพิมพ์เผยแพร่มิใช่น้อย
แต่เชื่อว่าผู้คนรู้จักพระ อาจารย์ปราโมทย์ผ่านซีดีมากกว่าหนังสือ
 และที่ศรัทธาปฏิบัติตามแนวทาง ของท่านก็เพราะซีดีมากกว่า
หนังสือเช่นกัน

อย่างไรก็ตามเหตุผลที่ สำคัญกว่านั้นน่าจะได้แก่  
แนวทางการปฏิบัติของ ท่าน ที่เน้นการดูจิต หรือตามรู้สภาวะ
และอาการต่าง ๆ ของจิต ด้วยใจที่เป็นกลาง  ไม่กดข่มอารมณ์ที่
ไม่พึงปรารถนา และไม่แทรกแซง หรือควบคุมบังคับจิตเพื่อให้เกิด
ความสงบ   ซึ่งรวมถึงการไม่ “กำหนด” หรือ เพ่งที่รูปหรือนามใดๆ
 กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ “รู้” โดยไม่ต้อง “ทำ”อะไรทั้งสิ้น

วิธีการดังกล่าว (ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าจิตตานุปัสสนาตาม
หลักสติปัฏฐานสี่)  เหมาะกับคนชั้นกลางซึ่งมีนิสัยคิดฟุ้งปรุงแต่ง
มากจนยากที่จะทำใจให้สงบ ดิ่งลึก   อีกทั้งยังสามารถปฏิบัติได้ใน
ชีวิตประจำวันโดยไม่เลือกสถาน ที่และบรรยากาศ   ทำให้กรรมฐาน
กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตได้โดยไม่ต้อง หลีกเร้นไปอยู่ป่าหรือเข้า
คอร์สปฏิบัติธรรม   ด้วยเหตุนี้หลายคนที่นำวิธีการดังกล่าวไปปฏิบัติ
จึงเห็นผลได้เร็ว คือมีสติรู้ตัวมากขึ้น   จิตใจปลอดโปร่งกว่าเดิม  
เห็นกายและใจชัดขึ้น การบอกกล่าวจากปากต่อปาก โดยมีซีดีคำ
บรรยายของท่านเป็นสื่อการสอน ทำให้ผู้คนหันมาปฏิบัติตามแนว
ทางของท่านมากขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ที่เคยปฏิบัติแนวอื่นแต่ไม่
ก้าวหน้าเพราะใช้วิธี เพ่งหรือบังคับจิตจนเครียด  

จุดเด่นอีกประการหนึ่ง ก็คือ การสอนของท่าน ซึ่งนำเสนอ
แนวทางดังกล่าวในฐานะที่เป็นวิถีสู่ความพ้น ทุกข์   จากการดูจิต
 สู่การเห็นรูปและนามด้วยสติ  ตามมาด้วยการเห็นรูปและ
นามด้วยปัญญา  คือเห็นไตรลักษณ์จนละวางความยึดติดถือมั่น
ว่ารูปและนามเป็นตัวตน  คำสอนของท่านพูดถึงการบรรลุธรรม
การหลุดพ้น และมรรคผลนิพพานบ่อยครั้ง  มิใช่ในฐานที่เป็นสิ่ง
เหลือวิสัยของมนุษย์  หากเป็นอุดมคติที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
และควรทำให้ได้ในชีวิตนี้  คำสอนดังกล่าวได้ทำให้ผู้คนจำนวน
มากซึ่งเคยไกลวัดหันมาสนใจพระนิพพาน   กล่าวได้ว่าไม่มีใคร
ที่สามารถจุดประกายให้ฆราวาสยุคนี้ปรารถนาและ บำเพ็ญเพียร
เพื่อพระนิพพานได้มากเท่ากับพระอาจารย์ปราโมทย์

ทั้ง แนวทางปฏิบัติและเนื้อหาคำสอนของท่านตามที่กล่าว
มาข้างต้น  สามารถหาอ่านได้ไม่ยากจากหนังสือของท่าน
แต่สิ่งที่ไม่ปรากฏในหนังสือ ก็คือวิธีการสอนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
ตัว ซึ่งจะประจักษ์ได้ก็จากการไปฟังการบรรยายของท่านตาม
สถานที่ต่าง ๆ เท่านั้น  นั่นก็คือ การบรรยายด้วยถ้อยคำที่เข้าใจ
ง่าย เป็นกันเอง และที่ขาดไม่ได้ก็คือ การ “ทักจิต”ผู้ที่มา
“ส่งการบ้าน”  ว่า หลงไปแล้ว หรือกำลังเพ่ง หรือ “ตื่น”แล้ว  
เชื่อว่าวิธีนี้เป็นเหตุผล หนึ่งที่ทำให้ผู้คนมาฟังคำบรรยายของท่าน
อย่างเนืองแน่นทุกครั้ง เพราะต้องการสอบถามให้แน่ใจว่าตน
ปฏิบัติถูกต้องตามคำสอนของท่านหรือไม่  สำหรับผู้ฟังคนอื่น ๆ  
การทักจิตของท่านยังช่วยให้เข้าใจการปฏิบัติตาม คำสอน
ของท่านดีขึ้น   เนื้อหาและบรรยากาศส่วนนี้ถูกถ่ายทอดลงซีดี
ซึ่ง ทำให้เป็นที่นิยมในวงกว้างกว่าหนังสือ  

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการทัก จิตของท่านย่อมทำให้
ศิษยานุศิษย์ (รวมทั้งลูกศิษย์ทางซีดี)เห็นท่านอยู่ในสถานะ
พิเศษเหนือคนธรรมดา ดังนั้นจึงเกิดศรัทธาปสาทะในตัวท่านมากขึ้น
  หากนี้เป็นจุดแข็ง มันก็เป็นจุดอ่อนในเวลาเดียวกัน  เพราะเป็นเหตุให้
ท่านถูกวิพากษ์ วิจารณ์เรื่อยมาโดยเฉพาะจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับ
แนวทางปฏิบัติของท่าน  จนถึงจุดหนึ่งก็ขยายตัวเป็นการต่อต้านท่าน
อย่างชัดเจน ที่น่าประหลาดใจคือแกนนำหลายคนเคยเป็นลูกศิษย์หรือ
ผู้สนับสนุนคำสอนของ ท่านอย่างแข็งขันมาก่อน

เหตุผลข้อหนึ่งที่ผู้ต่อต้านใช้ในการโจมตี ท่านก็คือ การอวดอุตริ
มนุ สสธรรม คือธรรมล้ำมนุษย์หรือคุณวิเศษที่เหนือปุถุชน ซึ่งโดยทั่วไป
หมาย ถึงการอวดอ้างว่าเป็นอริยบุคคล  การกระทำดังกล่าวถือว่า
เป็นความผิด ตามพระวินัย หากอวดคุณวิเศษดังกล่าวทั้ง ๆ ที่ตนเอง
ไม่มี ผู้อวดนั้นย่อมขาดจากความเป็นพระ   กรณีพระอาจารย์
ปราโมทย์นั้น แม้ท่านจะแสดงให้เห็นว่ามีการทักจิตอยู่บ่อยครั้ง
 แต่ก็ยากที่จะชี้ชัด ว่าเป็นการอวดอุตริมนุสสธรรมตามที่ระบุใน
พระวินัย  (แม้จะตีความเช่นนั้นแต่ถ้าท่านมีคุณสมบัติดังกล่าวจริง
ก็เป็นอาบัติ เล็กน้อย) จะว่าไปแล้ววิธีการดังกล่าว ครูบาอาจารย์
หลาย ท่านทั้งอดีตและปัจจุบันก็ทำเป็นอาจิณ   ส่วนที่กล่าวว่าท่าน
อวดอ้าง เป็นอริยบุคคลนั้น   ก็เป็นเรื่องของการตีความจากคำบรรยาย
เมื่อท่านพูด ถึงสภาวะหรือสิ่งที่พบเห็นจากการปฏิบัติ  ที่ผ่านมายัง
ไม่มีการอ้างคำ พูดใด ๆ ของท่านที่เป็นหลักฐานสนับสนุนข้อ
กล่าวหาดังกล่าวอย่างชัดเจน

หาก ไม่นับสาเหตุส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวน
ไม่มากนักแล้ว  มูลเหตุที่แท้จริงของความขัดแย้งที่ขยายวงน่า
จะเป็นเพราะแนวทางการ ปฏิบัติและวิธีการสอนของท่านนั้นขัดกับ
แบบแผนที่ปฏิบัติกันมาแต่ดั้ง เดิม  อาทิ การดูจิตโดยไม่เน้น
ที่รูปแบบ   การทักจิตผู้ปฏิบัติในที่สาธารณะท่ามกลางผู้คนนับร้อย
(แทนที่จะทำในที่ รโหฐาน)  การสอนกรรมฐานโดยไม่เน้นพิธีรีตอง
(ไม่มีพิธีขอกรรมฐาน  และใครจะแต่งตัวมาฟังธรรมที่สำนักของท่าน
อย่างไร ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแต่งขาว และไม่มีการสวดมนต์รับศีล )
ซึ่งแม้ถูกจริต คนหนุ่มสาวแต่ไม่เป็นที่นิยมของคนแก่วัด    
ยิ่งกว่านั้นการที่ท่าน วิจารณ์การปฏิบัติที่เน้นการเพ่ง กำหนด
หรือควบคุมบังคับจิต อันเป็นที่นิยมในหลายสำนัก ย่อมทำให้เกิด
ปฏิกิริยาต่อต้านท่าน   แต่ปฏิกิริยาดังกล่าวจะไม่มากหาก
ลูกศิษย์ยังคงปฏิบัติในสำนักดังกล่าว แทนที่จะแห่กันไปปฏิบัติ
ตามแนวทางของท่าน หรือกลับมาตั้งคำถามกับการปฏิบัติของ
สำนักเดิม

แม้แกนนำในการต่อ ต้านจะเป็นฆราวาส  แต่เชื่อว่ามี
พระจำนวนไม่น้อยสนับ สนุนหรือขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง  เพื่อ
ความเป็นธรรม ควรกล่าวด้วยว่าหลายท่านทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
บางท่านเป็นครูบาอาจารย์ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  แต่ส่วนใหญ่
รับไม่ได้ กับแนวทางการปฏิบัติและวิธีการสอนของพระอาจารย์
ปราโมทย์ ซึ่งหลายท่านมองว่าเป็นพระที่ยังมีพรรษาน้อย  
และปฏิบัติสวนทางกับ ธรรมเนียมหลายประการพระป่าโดยเฉพาะ
สายหลวงปู่มั่น   ข้อกล่าวหาอีกประการหนึ่งซึ่งร้ายแรงมาก
ในสายตาของพระป่าก็คือ การดัดแปลงคำสอนของครูบาอาจารย์
ซึ่งในที่นี้หมายถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

พระ อาจารย์ปราโมทย์เป็นผู้ที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก
คำสอนของหลวงปู่ ดูลย์  และนำคำสอนของท่านมาเผยแพร่
โดยอธิบายให้เข้าใจได้อย่างเป็นระบบ ทำให้หลวงปู่ดูลย์เป็น
ที่รู้จักอย่างแพร่หลายในหมู่คนรุ่นใหม่  อย่างไรก็ตาม
อรรถาธิบายของท่านนั้นไม่ตรงกับที่ลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ หลาย
ท่านเข้าใจ   หลายท่านเชื่อมั่นว่าท่านเข้าใจหลวงปู่ดูลย์ได้ถูก
ต้องกว่า  จึงไม่พอใจพระอาจารย์ปราโมทย์ที่ “สอนผิดครู”  
จนบางท่านถึงกับกล่าว หาพระอาจารย์ปราโมทย์ว่าเป็นศิษย์
คิดล้างครู  สำหรับท่านเหล่านี้คำสอนของหลวงปู่ดูลย์เป็นสิ่งที่
ต้องรักษาไว้ในรูป แบบเดิมหรือถ่ายทอดตามตัวอักษรอย่าง
เคร่งครัด

มองในแง่หนึ่ง ความขัดแย้งกรณีพระอาจารย์ปราโมทย์
เป็นความขัดแย้งระหว่างระหว่าง “ใหม่” กับ “เก่า” (ไม่ต่างจาก
ความขัดแย้งระหว่างพระอาจารย์พรหมวังโส กับสำนักหนอง
ป่าพงกรณีบวชภิกษุณี) จะพูดว่า โดยพื้นฐานแล้วนี้คือความขัด
แย้งระหว่างแนว “ปฏิรูป”กับ แนว “อนุรักษ์นิยม” ก็ย่อมได้
ซึ่งเป็นธรรมดาในทุกวงการและเกิดขึ้นทุกยุค ทุกสมัย  
เมื่อ ๖๐ ปีก่อนท่านอาจารย์พุทธทาสก็เคยถูกโจมตีว่าเป็น
คอมมิวนิสต์ เพราะการสอน ที่แปลกใหม่ของท่าน ที่กระตุก
ความรู้สึกของผู้ฟัง (เช่น กล่าวว่าพระรัตนตรัยหากนับถือ
ไม่ถูกต้องก็เป็นภูเขาขวางกั้นทางสู่พระ นิพพาน)  แต่
ความขัดแย้งเป็นแค่ความแตกต่าง ที่ไม่ควรนำไปสู่
ความ แตกแยก หรือการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน  ที่สำคัญก็
คือไม่ควรให้ความโกรธ เกลียดหรือกลัวเป็นตัวผลักดัน
การกระทำ

เมื่อมีความแตกต่างทาง ความคิดหรือการปฏิบัติ
ควรโต้กันด้วยเหตุผล แทนที่จะใช้วิธีโจมตี ใส่ร้าย หรือข่มขู่
คุกคาม  แม้จะทำด้วยความปรารถนาดีคือเพื่อปกป้องธรรมะ  
แต่หากใช้วิธีอธรรมแล้ว   ผลร้ายย่อมตกอยู่กับธรรมะ
อย่างไม่ต้องสงสัย
 
from:  http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8906567/Y8906567.html


      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #36 เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2553, 18:24:37 »

...เข้ามาอ่านเพื่อทำความเข้าใจและศึกษาค่ะ...
...ตอนนี้ได้อ่านหนังสือของหลวงพ่อเล่มสีชมพูใหญ่ๆหนาๆจบแล้ว...เป็นหนังสือที่รวมการเทศนาของท่าน...
...และกำลังอ่านหนังสือเล่มสีฟ้าใหญ่ๆหนาๆอยู่(ชื่อหนังสือจำไม่ได้ค่ะ...พอดีอยู่อีกบ้านหนึ่ง)...เป็นหนังสือที่หลวงพ่ออธิบายเกี่ยวกับธรรมะ...
...ส่วนมากจะอ่านตอนก่อนนอน...เพราะต้องใช้สมาธิในการอ่านและทำความเข้าใจค่ะ...
...อ่านแล้วทำให้หลับสบายดีมากๆค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #37 เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2553, 18:52:18 »

อ่าน บทความของพระอาจารย์ไพศาล ที่ jimsy นำมาโพสท์ไว้ทำให้เข้าใจอะไรได้มากขึ้นเยอะ

และได้รู้เพิ่มขึ้นอีกว่า ที่เคยนับถือศรัทธาพระอาจารย์ไพศาล มานานปีแล้วนั้น ไม่เสียใจเลย
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
เจษฎา
Cmadong พันธุ์แท้
****


the more you get ,the less you feel
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,682

« ตอบ #38 เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2553, 21:17:33 »

สาธุครับ
      บันทึกการเข้า

ไม่หล่อ แต่ไม่ค่อยว่าง
jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #39 เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2553, 16:01:17 »

สวัสดีค่ะ

ก่อนนี้ ไม่เคยไปเข้าพันทิปเลย  พอตามเรื่องพระอาจารย์ปราโมทย์  จึงได้เผลอไปเข้าเวปนักร้องวัยจ๊าปคนหนึ่งที่บอกว่านักปฏิบัติธรรมก็เปรี๊ยวได้ จ๊าปได้  ช่วงเกิดเรื่องใหม่ๆ ทุกเวปงดการให้ download คำสอน และซีดีของพระอาจารย์ปราโมทย์  ยกเว้นเวปของนายคนนี้ คือ  http//:www.jozho.net  ซึ่งเขาอ้างว่าถูกขอร้องให้บอยคอตหลวงพ่อไปด้วย  แต่เขา ยืนหยัด ยืนยันตามเหตุผล ความเชื่อของตน จึงไม่ยอมทำตามขอ

น่าสนใจมั้ยล่ะ พี่น้อง คนที่ยืนหยัดด้วยเหตุผล  ไม่หวั่นไหวตามผลประโยชน์  สามารถตรึงตา ตรึงใจ ป้าได้เสมอ

แอ่น แอ๊น น น น น น น น น น น


ตามมานะคะ  จะพามารู้จัก
 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #40 เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2553, 16:18:47 »

แรกๆก็ทึ่งในพฤติกรรมของเขา ก็ชื่นชม และสุดท้ายเมืออ่านความเห็นของเขาต่อกรณี
วิกฤติการณ์พระอาจารย์ปราโมทย์ ก็ขอบอกว่า คนแก่ อย่างป้าต้องขอคารวะเด็กจ๊าป คนนี้
สักหลายๆจอก
เยี่ยม  และเจ๋ง จิงๆๆ


ทำอย่างไรหนอจึงจะสอนนิสิตให้รู้คิด เช่น นี้
ทำอย่างไรหนอจึงจะสอนนิสิตใให้ใส่ใจสังคม และ ชาติบ้านเมือง ได้อย่างนี้
ทำอย่างไรหนอจึงจะสอนนิสิต ไม่ให้เป็นแต่เพียง รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
ทำอย่างไรหนอจึงจะสอนนิสิต ไม่ให้เป็นแต่เพียง ......สร้างสามัคคีรักใคร่
ด้วยการห้ามไม่ให้แสดงความแตกต่าง

ฯลฯ
เฮ้ออออออออออ
 เหอๆๆ เหนื่อย
      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #41 เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2553, 16:27:38 »

มาดูสิ ทำไมป้าจึงทึ่ง....เด็กจ๊าปเขียนว่า..

ความในใจเรื่องของหลวงตาและหลวงพ่อ จากการคาดเดาของเด็กน้อยทางธรรม

อ่านเล่นๆ นะครับ อีกแง่มุมหนึ่งที่อยากนำเสนอ แค่ความคิดของคนโง่ๆ คนหนึ่งครับ

ใน ฐานะที่ถือว่าเป็นศิษย์คนหนึ่งของหลวง ตา และได้กราบถวายตัวขอเป็นลูกหลวงตาแล้ว
และก็น่าจะถือได้ว่าเป็นศิษย์ คนหนึ่งของหลวงพ่อปราโมทย์เหมือนกัน เพราะภาวนาตามแนวทาง
ของท่าน นอกจากพระพุทธเจ้าแล้ว ผมมีหลวงตาเป็นที่พึ่งที่ระลึก และเป็นแบบอย่างในความเพียร
ทำดีเพื่อปฏิบัติขัดเกลาตน และทำเพื่อส่วนรวม เป็น แบบอย่างในการเจริญเมตตาต่อสรรพสัตว์
เป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อประโยชน์ของผู้คนและเหล่าสัตว์โดย ไม่มีแบ่งแยก  

ส่วนในการภาวนาปฏิบัติจริงๆ  ผมถูกจริตและรู้สึกได้ถึงจิตที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนวทางของ
หลวงพ่อปราโมทย์  ผมจึงกล้าพูดได้ว่า ผมเคารพและศรัทธาท่านทั้งสองไม่น้อยหน้ากว่าใครในโลกนี้เลย
แล้ว ผม ศรัทธาด้วยปัญญา ด้วยใจที่เห็นพระคุณของท่านทั้งสองตามจริง ไม่ใช่เคารพ ศรัทธา เพราะลือๆ
กันมาว่าตรงนี้ของจริง ศักดิ์สิทธิ์จริง  หรือกราบไหว้ ตามคนอื่น หรือเชื่อในปาฏิหารย์อิทธิฤทธิ์อะไร


อยากให้ทุกคนมีสติใน การพิจารณา กรณีหลวงพ่อปราโมทย์ถูกโจมตี จากหลายกลุ่ม
และ บางกลุ่มยังได้ กระทำการไม่เหมาะสม คือดึงเอาพระเถระ หรือนำเอาหลวงตามากล่าวอ้างเพื่อโจมตี
หลวงพ่อปราโมทย์ เพื่อให้น้ำหนัก ของคำกล่าวหาของตนมีเพิ่มขึ้น ซึ่งก็ทำให้มีคนหลงเชื่อไปจริงๆ
และ ก็ยังมีผู้ไม่หวังดีที่จ้องทำลายพระศาสนา จ้องทำลายหลวงตาและหลวงพ่อปราโมทย์ โดยได้กระทำ
การยุยงให้เกิดการแตกแยก ระหว่างศิษย์ทั้งสองฝ่าย (ซึ่งต่างเป็นกำลังหลักของพระศาสนา และประเทศ)
ยก ตัวอย่างเช่น มีการใส่ร้าย และว่ากล่าวพระอาจารย์ของอีกฝ่าย โดยอ้างว่าเป็นศิษย์ของอีกฝ่าย

หรือ นำคำสอนของฝ่ายนี้ไปถามอีกฝ่าย โดยไม่ต่างอะไรกับทนายที่รู้วิธีบิดเบือนข้อความและความหมาย
จนชนะคดี ทั้งที่ผิดจริง แต่ในที่นี้คือ เอาข้อความและเหตุผลที่ถูกมาบิดเบือนให้ผิด ด้วยหลักของภาษา
(ซึ่งธรรมะนั้นลึกซึ้งยิ่งกว่ากฎหมาย)และจิตวิทยา ฯลฯ โจม ตีไปมา และทำมาเป็นเวลานาน จนเกิดกระแส
ให้เกิดการขัดแย้งกัน เอาคำสอนและ ข้อวัตรต่างๆ มาบิดเบือนเพื่อโจมตี หรือเผยแพร่แบบผิดๆ  เพื่อใช้เป็น
การจุดชนวนในการก่อข้อพิพาท   เป็นการวางแผนอย่างแยบคาย (ซึ่งในอดีตเรา ก็คงทราบกันดีว่า
หลวงตาท่านก็โดนโจมตี และโดนคนใส่ร้ายอย่างไร เพียงแต่คราวนี้เปลี่ยนเป้าหมายไป)



 งง งง ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #42 เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2553, 16:42:26 »

อ่านต่อ นะคะ

ซึ่งก็ได้ผลพอสมควร  ก่อให้เกิดภาพความขัดแย้งระหว่างศิษย์ของทั้งสองฝั่งได้ภาพความขัดแย้ง ที่เกิดอาจเป็นของจริง หรือเป็นแค่การสร้างภาพของคนบางกลุ่ม ก็คาดเดาได้ยาก  เพราะ อาจมีการปลอมตัว หรืออ้างตัวเป็นศิษย์ของหลวงตา มาโจมตีหลวงพ่อ และก็อ้างตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อไปโจมตีหลวงตา  ซึ่งทั้งสองอย่าง อาจจะเป็นมือที่สามที่วางแผนไว้อย่างดีก็ได้ จนปัจจุบันมีศิษย์สายพระป่าจำนวนหนึ่ง ออกมาโจมตีหลวงพ่อ  โดยผมคิดว่าท่านคงเข้าใจผิดจากชนวนที่ผู้ไม่หวังดีจุดขึ้น ผมเชื่อว่าเพราะได้ข้อมูลผิด และเกิดจากแผนการณ์ที่แยบยล ลึกซึ้งมาก จนยากจะอธิบาย และ คงไม่ใช่สิ่งที่พูดในที่สาธารณะได้  แต่ผมเชื่อมั่นว่า งานนี้เป็นการเล่นสงครามจิตวิทยาและข่าวสารบิดเบือนกัน  และเป็นอนันตริยะ กรรมของจริง คือยุยงให้สงฆ์แตกแยกกันเอง  ซึ่งน่าสงสารคนกระทำอย่างมาก (หนาวแทน)

ขอให้ย้อนอดีตไปดูสมัย พุทธกาล  พระพุทธองค์เผยแพร่คำสอนที่ถูกจนมีผลกระทบ
ไปถึงพวกเดียรถีย์ และ ลัทธิหรือความเชื่ออื่นๆ  ทำ ให้ลาภสักการะและความนิยม
ในลัทธิอื่นน้อยลง มี ผลกระทบอย่างแรง จนพวกนั้นทนไม่ไหว ต้องออกมาใส่ร้าย กล่าวร้าย
หาเรื่องกับพระพุทธองค์ เพื่อทำลายศรัทธาและเพื่อดึงคนกลับไปนับถือและ เชื่อฟังพวกตน
เหมือนเดิม กลับไปงมงายเหมือนเดิม ฯลฯ
ครูบาอาจารย์ที่ดังๆ ก็ล้วนเจอกล่าวร้ายมาแทบทั้งนั้น ถ้าเราจะย้อนดูอดีตกลับไป ผมจึง
ไม่แปลกใจเลยที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เพราะวิธีทำลายประเทศ ทำลายพระศาสนา ถ้าไม่ตีตรงๆ
ที่จุดหลักๆ จุดแข็ง แล้วจะไปตีจุดไหน  แต่ตีไม่ได้ ก็ยุให้ตีกันเอง ซึ่งง่ายกว่า และได้ผลกว่า

มี คนบางคนอาฆาตแค้นหลวงพ่อมาก จึงได้วางแผนทำลายท่าน ซึ่งในบรรดาศิษย์
คงรู้กันดีว่าเป็นใคร และยิ่งเมื่อพวกที่จอ้งทำลายความ มั่นคงของประเทศและพระพุทธศาสนาในไทย
เห็นโอกาส ก็ผสมโรงเข้าไปโดยไม่ยาก ลองคิดดูว่า ในยุคปัจจุบันศิษย์ทั้งสองสาย เป็นกำลังหลักให้
พระศาสนาและบ้านเมืองแค่ไหน

ศิษย์หลวงพ่อจะเป็นคนเมือง คนรุ่นใหม่ซะส่วนใหญ่  ซึ่ง มีบทบาทต่อสังคมชนชั้นนักธุรกิจและเยาวชน
อย่างมาก ศิษย์หลวงตา จะเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่น่าจะเรียกว่าต่างกับคนกลุ่มลูกศิษย์หลวงพ่อ ซึ่งมี บทบาท
ต่อการรักษาหลักการปฏิบัติในรูปแบบที่ถูกต้อง และมีกำลังมากในการสร้างชาติหรือมีผลทางการเมือง
อีกด้วย (อย่าง เช่น ถ้ารัฐบาลจะทำอะไรไม่ดี เฉพาะศิษย์หลวงตาออกมาติติง ก็ทำให้ชะงักได้แล้ว)


ผม พยายามจะอธิบาย แต่ก็นึกคำไม่ออกนะ ว่าจะอธิบายอย่างไร ให้เข้าใจว่า ศิษย์ ทั้งสองฝ่าย
ล้วนมีผลต่อพระศาสนาและประเทศชาติอย่างมาก และเป็นกำลังหลักที่เด่นมากๆ  นอก จากการดำรง
ความถูกต้องในธรรมจะกระทบ ต่อแผนการณ์ของกลุ่มจ้องทำลายประเทศไทย ก็ยังกระทบไปถึงลัทธิ
หรือ บางกลุ่มที่เผยแพร่หลักธรรมแบบผิดๆ ด้วย


 เอิ่มม เหนื่อย
      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #43 เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2553, 16:54:15 »

อ่านต่อ นะคะ ( ๒ )

ขอให้ย้อนอดีตไปดูสมัย พุทธกาล  พระพุทธองค์เผยแพร่คำสอนที่ถูกจนมีผลกระทบ
ไปถึงพวกเดียรถีย์ และ ลัทธิหรือความเชื่ออื่นๆ  ทำให้ลาภสักการะและความนิยมในลัทธิอื่น
น้อยลง มี ผลกระทบอย่างแรง จนพวกนั้นทนไม่ไหว ต้องออกมาใส่ร้าย กล่าวร้าย หาเรื่อง
กับพระพุทธองค์ เพื่อทำลายศรัทธาและเพื่อดึงคนกลับไปนับถือและ เชื่อฟังพวกตนเหมือนเดิม
กลับไปงมงายเหมือนเดิม ฯลฯ ครูบาอาจารย์ที่ดังๆ ก็ล้วนเจอกล่าวร้ายมาแทบทั้งนั้น
ถ้าเราจะย้อนดูอดีตกลับไปผมจึงไม่แปลกใจเลยที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เพราะวิธีทำลายประเทศ
ทำลายพระศาสนา ถ้าไม่ตีตรงๆ ที่จุดหลักๆ จุดแข็ง แล้วจะไปตีจุดไหน  แต่ตีไม่ได้ ก็ยุให้ตีกันเอง
 ซึ่งง่ายกว่า และได้ผลกว่า


หาก เรา ใช้สติซักนิดว่า เราปฎิบัติธรรมไปเพื่ออะไร ใช้จิตที่มีสติ เป็นกลาง ระลึกถึงพระรัตนตรัย
ระลึกถึงพระพุทธเจ้าให้จิตใจอบอุ่นก่อน แล้วค่อยใช้ ใจที่อบอุ่นตัดสินใจว่า ควรเชื่อใคร ควรพูด
ควรอะไร ผมเชื่อว่า ใจที่สะอาด จะทำให้เราเห็นความจริงเองว่าตรงไหนน่าเชื่อ ตรงไหนอบอุ่น
ตรงไหนของดีจริง ตรงไหนของปลอม
 ปิ๊งๆ งง งง

สำหรับ ผม ผมเคารพศรัทธาทั้งหลวงตาและหลวงพ่อ และน่าจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง
ที่ได้เป็นทั้งลูกหลวงตาและถือว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ(เพราะภาวนา ตามแบบท่าน) และได้ทำงาน
(เผยแพร่ธรรมะ)ถวายท่านทั้งสอง อย่างที่น้อยคนนักจะมีโอกาสทำได้แบบนี้
ผม ก็คงเหมือนคนอื่นๆ ที่ทำทุกอย่าง ไม่ได้ทำเพราะติดครูบาอาจารย์ แต่ผมเห็นว่ามันเป็นประเด็น
ของความมั่นคงของพระศาสนา ผมไม่ได้คิดว่าจะออกมาปกป้องใคร แต่ ด้วยใจที่คิดจะจรรโลง
พระศาสนาให้มั่นคง และให้ผู้คนได้พบเจอแนวทางที่ถูกต้อง เมื่อมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น จึงเห็นได้ชัดว่า
พระศาสนาน่าเป็นห่วงมาก แม้พระดีๆ  ที่มีคุณสมบัติหาได้ยากขนาดนี้  ยังโดนกล่าวร้าย และเกิดการ
ยุยงให้แตก แยกได้ขนาดนี้  และที่น่ากลัวก็คือ  มีการนำบุคคลและพระที่มีชื่อเสียงมา เข้าร่วมด้วย

 เหนื่อย เหนื่อย
      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #44 เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2553, 17:02:06 »

ต่อ นะคะ(๓)

ซึ่ง เราจะเห็นได้ว่า ภัยของพระศาสนานั้น มาเร็วและแรงกว่าที่คิด เพราะแม้แต่สิ่งที่โดน
โจมตีจะไม่มีเหตุมีผล แต่ ก็ไม่น่าเชื่อว่า ฝ่ายที่จ้องทำลาย สามารถโน้มน้าวและดึงคน(ที่มีภาพ)ดี
คนดัง และบุคคลที่เราหลายคนคงคิดไม่ถึงว่า ทำไมถึงทำได้ขนาดนี้
แล้วเหตุผลอะไร ทำไมบางคนถึงย้อนกลับมาโจมตีคนที่ตัวเองเคยเคารพเป็นครู บาอาจารย์ได้ถึง
เพียงนี้ ซึ่งหลายคนดูเหตุผลแล้ว มันก็ไม่มีน้ำหนักเอาเลย ที่จะให้ทำได้ถึงขนาดนี้

แต่สงครามข้อมูล และหลักจิตวิทยา หลักการที่วางแผนไว้อย่างดี ก็สามารถดึงแนวร่วมเข้า
ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ (ยังมีความเชื่อกันแบบไม่ เป็นทางการอีกว่า ส่วนหนึ่งเป็นการใช้วิชา
สะกดจิตและพลังทางจิตร่วมด้วย)


เพราะ เราประมาท คิดว่า ของดี ทองแท้ไม่กลัวไฟ ใครจะใส่ร้าย จะทำอย่างไรก็ได้.....
แต่ นี่มันยุคดิจิตอล ยุคผู้คนอ่อนแอทางความคิด ยุคที่ข่าวบิดเบือนสะพัดไปไว เข้าถึงทุกซอก
ทุกมุมในเวลารวดเร็ว ถ้าเรานิ่งเฉย ไม่ออกมาปกป้องพระศาสนา  ไม่ออกมาทำอะไรบ้าง  
มันเป็นการสมควรแล้วหรือ ............... งง งง
เพียงแต่ว่า คนที่จะออกมาปกป้องหรือแก้ข่าว หรือชี้แจงควรเป็น
ฆราวาสหรือ บุคคลที่เหมาะสมก็เท่านั้น  แล้ว ต้องกระทำด้วยความมีสติ มีเมตตาด้วย
ผมเห็นหลายคนพยายามออกมาชี้แจงปกป้อง แต่กลับกลายเป็นมาเติมเชื้อไฟ ทำให้เหตุการณ์
บานปลายไปซะอีกเพราะขาดสติและทำไปด้วยโทสะ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของปุถุชนที่เคารพรักใคร
แล้วถูกใส่ร้ายก็ต้องโมโหเป็นธรรมดา  แต่ความหวังดีก็อาจกลายเป็นทำให้ เรื่องมันแย่ลงได้
ถ้าไม่ได้ทำด้วยปัญญาและเมตตาอย่างแท้จริง


ส่วน พระท่าน ท่านคงไม่มาวุ่นวายด้วย ซึ่งก็เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะท่านไม่อยู่ในสถานะ
ที่จะออกมาตอบโต้ได้ ซึ่งหน้าที่ในการชี้แจงก็ ต้องอยู่ที่กลุ่มลูกศิษย์ที่รู้จริงและมีภูมิธรรมสูงด้วย
เหมือนที่ทีม วิมุตติออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีหลวงพ่อปราโมทย์โดนกล่าวหา  หรือ คุณดังตฤณ
เขียนชี้แจงในธรรมะใกล้ตัว ..........................

ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีใครอ่าน หรือทำความเข้าใจกันบ้าง เพราะนิสัยคนไทย
ชอบฟังแต่ข่าวลือ ชอบฟังแต่เรื่องที่คนอื่นโดนใส่ร้าย แต่ไม่ชอบฟังคำแก้ตัวหรือคำชี้แจง
จากผู้ที่โดนใส่ร้าย  ..
.

 บรึ๋ยยย เหนื่อย
      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #45 เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2553, 17:12:06 »

ตอนนี้ก็จบค่ะ

นั่น เลยทำให้ข่าวลือในบ้านเราได้ผล คนเชื่อได้โดยไม่ต้องคิด และกลายเป็นเครื่องมือหลัก
ของคนที่จ้องจะทำลาย ประเทศ หรือทำลายกลุ่มบุคคลอื่น มาช้านาน (ใน หลายประเทศก็ใช้วิธีนี้
คือทำลายศัตรูหรือบุคคลกลุ่มอื่น ด้วยข่าวลือ ซึ่งได้ผลมากกว่าที่คิด ไม่ต้องลงทุนอะไรมากด้วย)
ยกตัวอย่างเช่น เคยรู้สึกบ้างไหมว่า ตั้งแต่เกิดมา เราทุกคนจะได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับบุคคลระดับสูง
ซึ่งได้ ยินบ่อยมาก ออกมาบ่อยมาก  แล้วท่านก็มาแก้ข่าวไม่ได้ แล้วปรากฎเป็นอย่างไร ..........

คนไทยเกือบทั้งหมดเกิดอคติ แล้วเชื่อไปจริงๆ ว่าน่าจะไม่ดีอย่างทีว่าจริง ทั้งที่ข่าวที่ลือออกมา
ทุกวันทุกปี ไม่น่ามีมูล แล้วไม่น่ามีใครไปรู้ลึกแล้วเอามาบอกมาลือต่อได้ขนาดนี้เลย


ซึ่ง นี่เชื่อกันว่าเป็นแผนระยะยาวของต่างชาติทีต้องการล้มระบบที่ปกป้องประเทศ ไว้ได้มายาวนาน
(รวมถึงศาสนาด้วย) ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมที่แข็งแกร่ง  เมื่อผู้ที่จะก้าวมาเป็นศุนย์รวมของคนทั้งประเทศ  
กลาย เป็นมี ภาพไม่น่าชื่นชมอยู่ในทัศนคติของคนส่วนใหญ่ ฝังใจอยู่กับเรื่องข่าวลือในแง่ลบหลายเรื่อง
จนเชื่อไปจริงๆ แล้วอะไรจะ เกิดขึ้น  เมื่อศาสนาดูอ่อนแอและมีแต่เรื่องเสียหาย อะไรจะเกิดขึ้น
กับหลักใจของคนทั้งประเทศ

ประเทศ เรามีความอุดมสมบูรณ์ และเป็นดินแดนที่มีแต่คนอยากได้ เป็นจุดยุทธศาสตร์ แต่ปัจจุบัน
ไม่สามารถมีอะไรแทรกซึมมาได้ เพราะระบบศาสนาและสถาบันสูงสุด นั่นคือเหตุผล ที่มีการจ้อง
ทำลายจุดแข็งของประเทศให้ได้เสียก่อน (ซึ่งในหลายประเทศก็ โดนแบบนี้มาแล้ว สำเร็จมาแล้ว
ด้วยกับสงครามยึดเมืองขึ้นในรูปแบบใหม่)


ฉะนั้น ฝากไว้ให้พิจารณากันสักนิดว่า จะทำอะไรต้องใช้สติและใช้ใจที่ชุ่มเย็นไปด้วยกุศลจิต
ตัดสินใจใคร่ครวญให้ดี ก่อน จะเชื่อข่าวลือ ก่อนจะเชื่อข้อมูลใคร หรือก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไป  
ถ้า ไม่แน่ใจอะไร ผมว่า ควรจะอยู่เฉยๆ  แล้วปฏิบัติภาวนาทำตนให้หลุดพ้น และเอาเวลาไปช่วยเหลือ
สังคม ช่วยเหลือคนรอบข้างที่เขายังต้องการความช่วยเหลืออีกมากมาย ดีกว่านะครับ

อย่า เอาเวลามาคิดเรื่องไร้สาระ หรือมาจ้องจับผิดคนอื่นเลย  มันไม่ได้ประโยชน์ อะไรจริงๆ  
การจะจับผิดคนอื่น ตัวเราก็ต้องมีดีพอ จับผิดตัวเองให้หมดก่อน การจะว่าคนอื่นว่าเลว หรือไม่ดี  
ตัวเองก็ต้องมีดีมากพอซะก่อน


ทุกคนล้วนเกิดมามีความทุกข์มากพอ แล้ว ขจัดความทุกข์ให้ตัวเองซะก่อนดีกว่านะครับ

อยากเห็นคนไทยรัก กัน อยากให้พระศาสนาร่มเย็นและแพร่หลาย  พวกเราทุกคนต้องเป็นคนดี
มีศีลธรรม ก่อนนะครับ  การ เมือง ศาสนา เราคิดต่างกันได้ เชื่อต่างกันได้ แต่ สำหรับคนที่มีคุณธรรม
มีศีลธรรม เป็นคนดี เขาคิดต่างแต่ไม่แตกแยก ไม่ทะเลาะกันหรอกครับ  ทำดีมากๆ  แล้วแผ่เมตตา
ให้กับคนรอบข้างเยอะๆ  แล้วภาพความจริงจะปรากฎในใจพวกเราครับ

เจริญในธรรมทุกท่านครับ
โฉ คับ


จาก http://www.jozho.net/index.php?mo=5&qid=435319
 ปิ๊งๆ เหนื่อย emo21:)
ไปละ bye bye
      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #46 เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2553, 14:15:30 »

       
                      

นิตยสารธรรมะใกล้ตัวฉบับล่าสุดที่คุณตุลย์ ( ดังตฤณ ) นำมาเขียนค่ะลองเดา ๆ กันดูแล้วกันนะคะ







แม้วิทยาศาสตร์บอกอะไรเรา ไม่ได้ทั้งหมด
แต่ก็ช่วยให้เรามีคำอธิบายที่ชัดเจน
ไม่ต้องเดาไปต่างๆนานา
ตามความเชื่ออันเป็น อัตโนมัติของแต่ละคน
ซึ่งถ้าเถียงกันแบบอาศัยความเชื่อท่า เดียว
เราจะไม่พบข้อยุติใดๆ
ต่อเมื่อมี หลักฐานที่จับต้องได้ตรงกัน
แม้จะยังไม่พบข้อยุติ
อย่างน้อยก็พบข้อสรุปเบื้องต้นได้บ้าง

ตัวอย่างเช่นสมัยก่อนเรา ไม่มีทางพบข้อยุติ
ว่าอะไรเช่นน้ำมนต์และพระเครื่อง
มีดีต่างจากน้ำธรรมดาดินธรรมดาจริงๆ
หรือว่าเป็น เพียงการสร้างอุปาทาน
ดีแต่มีผลแค่ทางจิตใจท่าเดียวกันแน่

กระทั่ง เริ่มมีการใช้เทคนิคถ่ายภาพแบบเกอร์เลี่ยน
นำไปถ่ายสิ่ง ต่างๆที่เชื่อกันว่าเป็นวัตถุมงคล
เราจึงได้ "ข้อสรุปเบื้องต้น" ว่าวัตถุมงคลเหล่านั้น
มีความแตกต่าง จากวัตถุธรรมดาทั่วไป
แม้จะยังไม่ได้ "ข้อยุติ" ที่แน่ชัดว่าแตกต่างนั้น
แตกต่างอย่างไร แค่ไหน เอาอะไรเป็นเครื่องบอก

ปัจจุบันเราสามารถหาซื้อกล้องเกอร์เลี่ยนได้ ง่าย
ถ้าสืบค้นดูในแหล่งขายอย่าง
Amazon.com และ eBay.com
คุณจะพบ ทั้งกล้องเกอร์เลี่ยนราคาแค่หมื่นเดียว
ตลอดจนอุปกรณ์ เสริม
รวมทั้งหนังสือที่รวมเรื่องราวเกี่ยวกับการประยุกต์
เอามาอธิบายเรื่องพลังจิตและสิ่งลึกลับต่างๆ
นี่ เป็นเรื่องที่แพร่หลายมาเป็นสิบปี
แต่ยังมีคนพูดถึงกัน น้อย
เพราะภาพถ่ายที่ได้จากเทคนิคเกอร์เลี่ยนนั้น
บอกอะไรได้แค่หยาบๆว่า "ดี" หรือ "ไม่ดี"
"สว่าง สวย" หรือ "หม่นหมอง"

พวกขายพระเครื่องเดี๋ยวนี้เขาก็พิสูจน์องค์ที่ ราคาแพง
ด้วยภาพถ่ายออร่าซึ่งมาจากกล้องเกอร์ เลี่ยน อย่างเช่นที่
http://www.ounamilit.com/b44_auracolor.htm
ซึ่งดูด้วยตาเปล่าได้ว่าต่างกันจริงๆ
แต่ คนทั่วไปไม่รู้อยู่ดีว่าที่สีต่างกันนั้นหมายความว่าอย่างไร
เป็น ไปตามนิยามของสีที่อธิบายกำกับแน่หรือเปล่า
ฉะนั้น ความเคลือบแคลงจึงยังไม่หมดไปโดยง่าย

คุณสมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ
เจ้าของเว็บ http://saringkan.com
ซึ่งเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ร่วมกันสร้างนิตยสารธรรมะใกล้ ตัว
แกมีกล้องเกอร์เลี่ยน ผมจึงไหว้วานให้ช่วยถ่ายภาพวัตถุต่างๆ
ตามที่ผมคิดว่าน่า จะเห็นได้ชัดว่าต่างกันอย่างไร
อย่างไรเข้าทางมืด อย่างไรเข้าทางสว่าง
ต้องขอขอบคุณคุณสมเจตน์ไว้ ณ ที่นี้
เนื่องจากแต่ละภาพต้องใช้ต้นทุนสูงพอควร

มาเริ่มกันจากอะไรที่ใกล้ ตัวก่อนครับ
ลองให้น้ำ "ฟังเสียง" ดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
วิธีก็ง่ายๆ รินน้ำใส่แก้ว จับแก้วใส่ตู้
เอาลำโพงขนาบซ้ายขวา



 

จากนั้นก็นำแก้วน้ำมาวาง หน้าฉากดำ
เพื่อถ่ายรูปตามเทคนิคเกอร์เลี่ยน



 

รูปนี้เป็นน้ำกรองที่ได้ จากก๊อกธรรมดา
ยังไม่ได้ฟังเสียง ยังไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
ถ่ายออกมาเราจะพบว่ามีความสว่าง พอควร
เนื่องจากน้ำประปาที่สะอาดมีความชุ่มชื่น
และเต็มไปด้วยพลังหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่แล้ว
ถ่ายภาพ น้ำที่ไหน เมื่อไร โดยใคร
ก็น่าจะได้ผลเป็นความสว่างไม่ ต่างจากที่เห็นสักเท่าไร
เว้นแต่น้ำนั้นจะมีความสกปรกใน ทางใดทางห


 

ส่วนนี่เป็นรูปออร่าของน้ำ ที่ฟังเสียงพระเทศน์
คุณสมเจตน์ได้เลือกเสียงของพระรูป หนึ่ง
ซึ่งประชาชนกำลังให้ความนับถือกันทั่วประเทศ
ค่าที่ชักชวนให้คนจำนวนมากหันมาสนใจเจริญสติ
อัน เป็นธรรมะขั้นสูงสุดของพุทธศาสนา
ก็ขอให้ดูไว้เป็น ตัวอย่างว่าความสว่างของเสียงท่าน
เมื่อประจุลงในน้ำผ่าน ลำโพงแล้ว
สว่างขึ้นจากเดิมถึงอย่างนี้



 

ส่วนน้ำอีกแก้วหนึ่งให้ฟัง เสียงปลุกระดมคนมาฆ่ากัน
รูปออร่าหลังฟังเสียงแห่งความมืด ดังกล่าว
ก็กลายเป็นอะไรแบบนี้ไปได้



 

จริงๆรูปออร่าไม่ได้บอก อะไรมากไปกว่าที่เห็นกับตาครับ
เดิมน้ำมีความสว่าง อยู่บ้าง
ขนาดที่ถ่ายแล้วแสงสว่างเฉิดฉายจนไม่เห็นตัวแก้ว
แต่น้ำที่ประจุความสว่างของพระที่เทศน์ธรรมอันบริสุทธิ์
ยัง ผลให้ความสว่างที่มีอยู่เดิมกลับยิ่งจัดจ้าเป็นทวีคูณ
ขอบ สีเหลืองอ่อนสำหรับวงการออร่า
เชื่อกันว่าแทนความหมาย ของกระแสธรรมะชั้นสูง
หากต่อไปมีเทคนิคการถ่ายทำที่ ละเอียดและกว้างขวางขึ้น
เราอาจจะประจักษ์ตาทีเดียวว่าน้ำ สว่างขึ้นกว่าเดิมเป็นล้านเท่า
และสีสันที่แท้ของน้ำหลัง ประจุเสียงเทศน์
ก็ไม่ใช่แค่สวยสบายตาธรรมดาอย่างนี้หรอก
แต่ควรจะสวยวิจิตรราวกับแสงทิพย์เลยทีเดียว

ส่วนน้ำที่ฟังเสียงมืด นั้น ลดความสว่างจากคุณสมบัติเดิม
ขนาดที่เห็นตัวแก้ว ได้เกือบชัด
รังสีทะมึนที่เห็น ก็ขอให้ใช้ใจของคุณเองตีความเอาก็แล้วกัน
ว่ามันชวนให้ขน หัวลุกหรือเปล่า

เมื่อประจักษ์กับตาว่าสีออร่าแยกแยะได้แค่ คร่าวๆ หยาบๆ
ว่าวัตถุทั้งหลายมีความแตกต่างกันอย่างไร
เป็นของสว่างหรือของมืด
เราก็นำไปลองดูวัตถุมงคล ที่ปัจจุบันนิยมกันมาก

มันน่าตกตะลึงงง เมื่อวัตถุมงคลบางชิ้นนั้น
แม้ ได้รับมาจากมือผู้ทรงศีล
ที่แท้อาจถูกส่งทอดมาจากคนอื่น ที่ไม่มีศีลธรรมก็ได้
ดังเช่นที่ทันตแพทย์หญิงนางหนึ่ง
เธอมีสร้อยประคำซึ่งได้รับจากมือบุคคลที่เธอนับถือมาก
จึง คิดจะนำมาลองถ่ายภาพเพื่อดูออร่าว่าจะเป็นอย่างไร




ผลปรากฏว่าเป็นสีเขียวคล้ำ
ซึ่ง ต่างกันมากกับสีของความสว่างแห่งธรรมะ



เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่า อย่างไรจึงดีกว่ากัน
เธอได้สวดมนต์อิติปิโส ซึ่งเป็นบทสวดวิเศษสูงสุด
เนื่องจากเป็นพุทธพจน์
และเป็นการกล่าวสรรเสริญพระรัตนตรัย
ไม่มีการเรียก ร้องให้คุ้มครองหรือเอาของดีเข้าตัวใดๆ
จิตใจจึงสะอาด ผู้สวดด้วยความนุ่มนวลทุกคน
ย่อมรู้สึกได้ถึงกระแสเมตตา ธรรมอันเยือกเย็นไพศาล



หลังจากสวดประจุความสว่าง ลงน้ำเสร็จ
ก็นำน้ำในแก้วมาถ่ายรูปดูออร่าก่อนเป็น หลักฐาน
จะเห็นความน่าอัศจรรย์ได้อย่างชัดเจน
ถ้า คุณมีกล้องเกอร์เลี่ยน ผมขอให้ลองดูเลยครับ
เอาบทสวดทุกบท ในโลกมาสวดโดยคนๆเดียวกัน
ดูเลยว่ามีบทไหนให้ความสว่างได้ เท่าอิติปิโสบ้าง
แล้วคุณจะตาสว่าง ไม่ไปเอาบทไหนมาสวดอีกเลย
ชาวพุทธจำนวนมากมีบทสวด ศักดิ์สิทธิ์ติดตัวขึ้นใจอยู่แล้ว
แต่อนิจจา หารู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่นั้นไม่
มัวแต่วิ่งหา เครื่องรางของขลัง
จนไปได้ของที่ขลังไม่จริงมาก็บ่อย



บุคคลผู้เป็นพยานที่น่า เชื่อถือท่านหนึ่ง
เป็นตัวแทนนำน้ำซึ่งบัดนี้
ได้ ประจุความสว่างของอิติปิโสมาราดประคำ



จากนั้นก็ได้มีการถ่ายรูป ออร่าของประคำซ้ำอีกครั้ง
ผลที่เกิดขึ้นต่างไป เป็นคนละเรื่อง
ดูแล้วใกล้เคียงกับน้ำมนต์อันเกิดขึ้น
จากบทสวดอิติปิโสมากทีเดียว



 

จากรูปทั้งหมดที่แสดงมา
ก็ เพื่อบอกว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่ตาเห็นไม่ได้
เราสามารถใช้ เทคโนโลยีเห็นแทน
และนำมาแสดงกับตาเปล่าของเราได้แล้ว
เรื่องที่เคยต้องอาศัยความเชื่ออย่างเดียว
จนใกล้ เคียงกับหลุมดำของความงมงาย
จึงกลายเป็นอะไรที่สามารถจับ ต้อง
และกล่าวถึงได้เต็มปากเต็มคำมากขึ้น

สิ่งที่ คนไม่รู้ หรือรู้แล้วลืมนึกถึง
ก็คือร่างกายมนุษย์ ประกอบด้วยน้ำถึง ๗๐%
เมื่อใช้จิตไปประกอบกรรมขาวมากๆ
ถ่ายรูปออร่าจึงออกมาขาวสว่าง
แต่เมื่อใช้จิตไป ประกอบกรรมดำมากๆ
ถ่ายรูปออร่าจึงออกมาช้ำเลือดช้ำหนอง
น่ากลัวมากกว่าน่าดู
จิตคนอ่อนไหวได้ยิ่งกว่าน้ำ หลายร้อยเท่า
น้ำเป็นอย่างนี้ จิตจะไปเหลือหรือ?

แล้ว แปลกนะครับ
ยุคอินเตอร์เน็ตที่แสนล้ำสมัยอย่าง ปัจจุบัน
กลับมีหลายต่อหลายคนหวาดระแวง
หรือ ถึงขั้นตกประหวั่นขวัญผวา
ว่าตนจะโดนคุณไสยที่ใครเขาปล่อย มาเล่นงานบ้างหรือไม่

จริงๆหลักการของคุณไสยมีสองฝั่ง
ฝั่ง สว่างกับฝั่งมืด เรียกไสยขาวและไสยดำ
ไสยดำเอาไว้ทำร้าย ไสยขาวเอาไว้ช่วยคน
ตลอดจนช่วยให้พ้นจากกระแสมาร
ซึ่งในคัมภีร์พระไตรปิฎกกล่าวถึงไว้หลายแห่ง
ทว่า เรามักคิดว่าเป็นเรื่องหลอกหรือแต่งเติมในภายหลัง

เอาเป็นใครสงสัยว่าตัวเอง อาจถูกของ
หรืออาจถูกมารครอบอยู่
ผม มีวิธีพิสูจน์ให้รู้ตัวได้ง่ายๆนะครับ
ให้ถือศีล ๕ จนสะอาดอย่างน้อยหนึ่งวัน
ตกเย็นสำรวจความสว่างของศีล
คุณจะรู้สึกถึงพลังอำนาจฝ่ายดีที่เกิดขึ้นในตัวเอง

จากนั้นให้ปิดตาลง
ท่อง อิติปิโสแบบเปล่งเสียงเต็มปากเต็มคำในอาการสบาย
สวดกี่จบ ก็ได้ จนกว่าจะรู้สึกถึงความสว่าง อบอุ่น สะอาด
และเป็น อันเดียวกับความศักดิ์สิทธิ์ของพระรัตนตรัย

จากนั้นให้อธิษฐานในใจ
ถาม เข้าไปที่ความสว่างซึ่งเกิดขึ้นกลางใจตนเอง
ว่ามีของมืดใด ครอบคลุมเราอยู่หรือไม่ ขอให้รู้ได้ด้วยเถิด
แล้วลืมตาลุก ขึ้นเดินอย่างมีสติ
ไปดูกระจกเงาที่อยู่ใกล้ที่สุด
เอาแบบบานใหญ่ที่เห็นได้ครึ่งตัวจะดี
หากมีกระแส มืดๆคลุมอยู่
คุณจะรู้สึกสัมผัสได้ราวกับควันดำจากกองไฟ
อาจลอยวนอยู่รอบตัว หรือขมุกขมัวอยู่ทั่วหน้า

เห็นอย่างนั้นไม่ต้องตกใจ
เพราะ เงาดำจะหยั่งลงถึงใจไม่ ได้ ถ้าคุณไม่รับ
อย่างมากก็ กระตุ้นให้คิดในทางบาป
ถ้าไม่คิดตามกระแสบาปไป
ก็ไม่เกิดกรรมติดตัวคุณได้

จากนั้นให้เร่งหมั่นสร้าง สมความสว่างให้หนักแน่นที่สุด
ทั้งในด้านของน้ำใจ คิดเสียสละ
น้ำใจให้อภัย ตลอดจนมีใจเด็ดเดี่ยวรักษาศีล ๕
ถ้าขนาดยอมตายดีกว่ายอมเสียศีลได้ยิ่งดี
เท่านี้ แม้มีเมฆหมอกดำคลุมตัวหนาทึบ
ที่สุดมันก็ต้องพ่าย สลายตัวไปไม่เหลือ
ตามหลักของอนิจจังขาขึ้น
ถ้า ฉุดลงต่ำไม่ได้ ก็กลายเป็นผลักดันให้ยิ่งสูงส่งเป็นทวีคูณครับ

ดังตฤณ
กุมภาพันธ์ ๕๓
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #47 เมื่อ: 04 มีนาคม 2553, 10:39:25 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2553, 18:52:18
อ่าน บทความของพระอาจารย์ไพศาล ที่ jimsy นำมาโพสท์ไว้ทำให้เข้าใจอะไรได้มากขึ้นเยอะ

และได้รู้เพิ่มขึ้นอีกว่า ที่เคยนับถือศรัทธาพระอาจารย์ไพศาล มานานปีแล้วนั้น ไม่เสียใจเลย


ฝากลิ้งค์ ให้พี่ป๋องครับ

                http://www.visalo.org/

ถ้าพี่ป๋องว่าง สามารถไปปฎิบัติธรรมกับพระอาจารย์ไพศาลได้ที่วัดป่าสุคะโต ชัยภูมิครับ

      บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #48 เมื่อ: 14 มีนาคม 2553, 10:11:15 »

ปรามาสพระอริยะ              

โดย ดังตฤณ

 

ถาม: เคยอ่านหนังสือเจอเกี่ยวกับพวกสติปัฏฐาน เค้าบอกว่าถ้าเกิดเคยปรามาสพระอริยะ
เค้าบอกว่าจะห้าม สวรรค์ห้ามมรรคผล อันนี้จริงหรือเปล่าครับ


เอาจากที่พระ พุทธเจ้าตรัสเองเลยนะ
ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเคยตรัสเรื่องสวรรค์นรก เคยตรัสเรื่องเกี่ยวกับพรหมภูมิ
ตรัสเกี่ยวกับเรื่องนิพพาน พูดง่ายๆว่าตรัสเกี่ยวกับเรื่องเหนือโลก
แล้ว พระองค์ลงท้ายไว้นะครับว่า
ตรงนี้พระองค์รู้ด้วยสัพพัญญุตญาณ ไม่ใช่ด้วยการคิดเอา
ถ้าหากว่าใครนึกว่า ท่านตรัสเรื่องเหล่านี้ด้วยอาการคิดเอาด้นเดาเอานะครับ
คน นั้นก็พูดง่ายๆว่า ได้ชื่อว่าปรามาสพระพุทธเจ้า
แล้วถ้าไม่เปลี่ยนความ คิดก่อนตาย ก็มีสิทธิได้ไปอบาย ไปทุคติภูมินะ

อันนี้ท่านตรัส ไว้ในแบบเป็นพุทธพจน์ เป็นสัจพจน์นะ เป็นความจริงตามธรรมชาติ
ไม่ใช่ว่า ท่านสาปแช่งใคร หรือยกตนเองว่าเป็นผู้วิเศษ ที่ไม่มีใครไปว่าได้ ไม่มีใครไปติเตียนได้
ถ้าใครติเตียน ใครตั้งตนเป็นศัตรูกับพระองค์หรือว่าอริยเจ้าสาวกของพระองค์ จะต้องไปอบายนะ
แต่ท่านตรัสไว้เป็นหลักของธรรมชาติว่า
อริยเจ้าอริย สาวก หรือแม้แต่พระองค์ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ ผู้อยู่สูงสุด เป็นประมุขของพระพุทธศาสนา
มีจิตที่พ้นแล้ว ปราศจากกิเลสแล้ว ไม่เบียดเบียนใครแล้ว
เพราะฉะนั้นจึง มีผลใหญ่ ถ้าหากใครไปปรามาสเข้า ใครไปติเตียนเข้านะครับ
แต่ทั้งนี้ทั้ง นั้น พระองค์กำกับไว้ด้วยว่า ถ้าหากไม่เปลี่ยนความคิด ก็จะได้ไปอบาย
แปล ว่า ถ้าหากเปลี่ยนความคิดได้ทันก่อนตาย ก็ไม่ต้องไปอบาย
ไม่ต้องห้ามแม้แต่กระทั่งสวรรค์หรือนิพพานด้วยนะครับ

ลองคิดดูว่า อย่างคนที่พระองค์ไปสอน ก็มีที่บางคนมาติเตียนมาด่าว่าท่านอย่างรุนแรงเลย
บอก เป็นคนไม่เอาไหน เป็นคนไม่เอาถ่าน เป็นคนอะไรต่อมิอะไรต่างๆ
พูดง่ายๆว่า ใช้ภาษาที่แม่ค้าปากตลาดในปัจจุบันเค้าใช้กัน ด่าว่าพระองค์เลยนะ
แต่ว่าพระองค์ก็ไม่ได้ทรงโต้ตอบด้วยอาการโกรธเกรี้ยว
ตรง ข้าม ท่านใช้เมตตาธรรมนะครับ แล้วก็คำสอนในแบบที่จะกลับใจคนๆนั้นได้
คนๆ นั้นก็เปลี่ยนจากต้นทางไปอบาย กลายเป็นได้บรรลุมรรคผลเลยนะครับ
ถ้าผมจำไม่ผิด จะเป็นในวันนั้นเลยด้วยซ้ำ
แต่ที่แน่ๆคือผมจำเหตุการณ์ ทั้งหมดไม่ได้
เอาเป็นสรุปว่าในภายหลังท่านได้เป็นพระอรหันต์ทีเดียว

เพราะฉะนั้นการ ปรามาสอริยเจ้าที่รองลงมาเป็นสาวกของพระองค์ ก็เหมือนกันนะ
อยู่ภายใต้ กฎเกณฑ์เดียวกัน
คือว่าถ้าหากเรากลับใจ เราเปลี่ยนใจ เราไปขอขมาท่าน
หรือว่าเปลี่ยนจากคำด่าคำติฉินนินทาเป็นคำสรรเสริญ พูดจากร้ายกลายเป็นดีเสีย
ไอ้ที่จะห้ามสวรรค์ห้ามนิพพานอะไรมันก็หายไป
ไอ้ ที่จะต้องไปอบาย มันก็กลับเปลี่ยนเป็นสร้างทางที่จะได้ถึงพระนิพพานให้ตัวเองได้
เพราะว่า กราบอริยเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอรหันต์
ถ้าหากกราบด้วยใจ ถ้าหากว่ามีใจเคารพเลื่อมใสพวกท่านด้วยความบริสุทธิ์นะครับ
ตรงนั้นก็ เท่ากับกราบนิพพาน เพราะพวกท่านถึงนิพพานแล้ว
เหมือนกับเป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นตัวแทนนิพพาน เป็นประตูนิพพาน
การที่เราได้กราบท่าน การที่เราได้พูดดีๆกับท่าน หรือว่าการได้สรรเสริญท่านให้คนอื่นฟัง
มันก็คือการที่เราเข้าพวกกับนิพพานนั่นเอง พร้อมที่จะเข้ากระแสนิพพานนั่นเองนะครับ

ฉะนั้นสบายใจได้ นะครับ ถ้าหากว่าเคยผิดพลั้ง เคยพลาดไปปรามาสไว้
ไม่ว่าจะเป็นอริยะที่ ไหน หรือไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้ายังไงก็แล้วแต่
มันไม่ได้ปิดประตูมรรคผลนิพพาน หากใจจริงของเราหันกลับมานะครับ
มีความ เคารพเลื่อมใสด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่เชื่อด้วยความงมงายนะ
เชื่อด้วยเหตุ ด้วยผลว่าพวกท่านมีทางไปที่ดีแล้ว มีคำสอนที่ดีแล้ว เป็นแบบอย่างที่ดีแล้ว


ถาม: ถ้าเกิดอยากจะขอขมาตรงหิ้งพระที่บ้านได้ไหมครับ

การเปล่งวาจาขอ ขมา มันมีผลดีอยู่นะครับ
คือว่าทำให้เกิดความหนักแน่นขึ้นมา เพราะว่าใจของเราปกติมันจะเบา
แค่คิดเฉยๆมันยังเหมือนเลื่อนลอย เพราะความคิดมันซัดไปซัดมาเหมือนฝุ่นทราย
แต่ ถ้าเมื่อไหร่เราหนักแน่นพอที่จะเปล่งวาจาขอขมาออกมา
นั่นแสดงถึงความ ชัดเจนนะ ว่าจิตมีทิศทางที่ตั้งมั่นแน่วแน่แล้ว
ว่าเราคิดอย่างนี้ เราถึงพูดอย่างนี้ นะครับ

ฉะนั้นจะเป็นที่ ตรงหน้าโต๊ะหมู่บูชา
หรือว่าหน้ารูปเคารพของพระที่เราเคยปรามาสอะไรก็ แล้วแต่ มันได้ทั้งนั้นแหละ
เพราะว่ามันได้ที่ใจเราแน่ๆ มันได้ที่ปากเราแน่ๆนะครับ
กรรมที่เกิดจากใจ แล้วก็กรรมที่เกิดจากปากนั่นแหละ
ตัวนั้นแหละของจริงที่จะติดตัวเราไป
ส่วน องค์ท่านจะมรณภาพไปแล้ว หรือว่าจะไม่อยู่แล้ว
หรืออยู่ห่างไกลในประเทศ ไกลๆไป ตรงนั้นมันไม่ได้มีความหมายเท่า

เพียงแต่ว่า คือถ้าพูดถึงอะไรแบบที่ครบวงจร แล้วทำให้เคลียร์จริงๆ ทำให้ดีจริงๆ
ควร จะไปขอขมาต่อหน้า
ทีนี้ถ้าในเมื่อไม่มีท่านให้ขอขมาแล้ว เราก็ใช้ใจของเรานั่นแหละ
เป็นที่พึ่ง เป็นหลัก เป็นตัวตั้งกรรมใหม่


(จาก คุย กับดังตฤณ 6 - ช่วงนิพพานมีจริง )

 


--
มีสติรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง
ด้วยความตั้ง มั่นและเป็นกลาง
      บันทึกการเข้า
jimsy
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 195

« ตอบ #49 เมื่อ: 03 เมษายน 2553, 11:56:59 »

ประกาศสวนสันติธรรม

ที่ ๑ / ๒๕๕๓
วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๓
เรื่องการปรับ เปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานของสวนสันติธรรม


          ตามที่สวนสันติ ธรรมได้มีแถลงการณ์เมื่อ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๓ เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนแนว ทางการดำเนินงานของสวนสันติธรรม เพื่อลดความขัดแย้งต่างๆ ลง โดยหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช และสวนสันติธรรมจะลดการเผยแผ่ในวงกว้างลง เท่าที่จะทำได้ เช่น (๑) การยุติการผลิต CD แผ่น ใหม่ (๒) การยกเลิกการเผยแผ่ธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์ทางเวปวิมุตติ และ (๓) การเจรจาเพื่อขอยกเลิกการนิมนต์แสดงธรรมนอกสถานที่ซึ่งได้รับไว้ แล้ว นั้น

          ขณะนี้สถานการณ์ ต่างๆ มีความกระจ่างชัด พ่อแม่ครูอาจารย์ในสายกรรมฐานชั้นผู้ใหญ่หลายรูป พระมหาเถระในสายการปกครอง พระอุปัชฌาย์อาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์ สื่อมวลชนทั้งที่หลวงพ่อปราโมทย์เคยรู้จักและไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว ตลอดจนองค์กรและปัจเจกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวนมาก ได้เข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว รวมทั้งได้มีความเห็นสนับสนุนให้หลวงพ่อปราโมทย์และสวนสันติธรรมเผยแผ่พระ สัทธรรมต่อไปตามปกติ ซึ่งการให้ความเห็นได้กระทำในหลายรูปแบบ เช่นการแสดงออกโดยตรงด้วยวาจา การเยี่ยมให้กำลังใจที่สวนสันติธรรม การส่งจดหมายหรือไฟล์เสียงสนับสนุน และที่น่าประทับใจมากอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ การเขียนจดหมายเล่าประสบการณ์การปฏิบัติตามแนวทางที่หลวงพ่อปราโมทย์สอน อันส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างมากในชีวิต โดยสรุปแล้วทุกฝ่ายเห็นควรให้หลวงพ่อปราโมทย์ทำงานต่อไปตามปกติ

          เพื่อให้เป็นไปตาม ความเห็นของพระมหาเถระหลายฝ่าย และเพื่อประโยชน์ความสุข แก่มหาชนจำนวนมาก แม้แต่กับผู้ที่ไม่เคยสนใจพระพุทธศาสนามาก่อน สวนสันติธรรมจึงได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานใหม่ โดยอนุญาตให้ผลิต CD แผ่นใหม่ และให้มีการเผยแผ่ธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์ทางเวปวิมุตติได้ดังเดิม สำหรับงานนิมนต์ยังต้องชะลอไว้ก่อนอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากช่วงนี้หลวงพ่อปราโมทย์มีภารกิจมาก และสุขภาพยังไม่ดีนัก



--
มีสติรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง
ด้วยความตั้งมั่นและเป็นกลาง
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 [2] 3 4  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><