23 พฤศจิกายน 2567, 12:24:13
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 17  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องของเขา จะเล่าให้ฟัง  (อ่าน 289302 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 18 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #125 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2554, 17:34:42 »

วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7563 ข่าวสดรายวัน


บทบาท เสื้อแดง ต่อเหตุการณ์เมื่อปี 2553 ต้อง "กระจ่าง"



ความแตกต่าง คือ เงาสะท้อนแห่งการผลัดเปลี่ยนจากรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

หากไม่มีความแตกต่างก็ต้องถือว่า "เสียของ"

อย่าได้แปลกใจที่ภายหลังการเลือกตั้งเพียงไม่กี่วัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็สามารถเดินทางเข้าประเทศเยอรมนีได้

ทั้งๆ ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังไม่ได้รับการรับรองผลการเลือกตั้ง

อย่าได้แปลกใจที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ยินยอมออกวีซ่าให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นได้

ทั้งๆ ที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังไม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา

ความแตกต่างอันเกิดขึ้นในรัฐบาลใหม่ไม่น่าจะจำกัดกรอบอยู่แต่เพียงในเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น

หากเรื่องของ 91 ศพ เรื่องของเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 ก็ต้องแตกต่างด้วย



น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอันมาจากคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการคอป.สะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดยิ่งถึงอุณหภูมิที่เปลี่ยนไป

อุณหภูมิที่ "เจ้าหน้าที่รัฐ" กล้าเปิดปากบอก "ความจริง" มากยิ่งขึ้น

หากได้รับการหนุนเสริมอย่างจริงจังจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในเรื่องเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่รัฐให้ความร่วมมือมากยิ่งขึ้นทั้งในเรื่องเอกสารหลักฐาน ทั้งในเรื่องการให้ปากคำต่อคณะกรรมการ

เชื่อเถิดว่า ความจริงที่เคยถูกปิดบัง ซ่อนเร้น ก็จะเริ่มแผแบออกมา

ขณะเดียวกัน ในส่วนของนปช.แดงทั้งแผ่นดินที่เข้าไปเป็นส.ส.ทั้งระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำของรัฐบาลก็ไม่ควรนิ่งเฉย

บทบาท นายจตุพร พรหมพันธุ์ ต้องเด่นชัด บทบาท นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ต้องเด่นชัด



ความเด่นชัดในที่นี้มิได้อยู่ที่การประกาศจะนัดชุมนุมหรือเคลื่อนไหวเหมือนอย่างที่เคยเคลื่อนไหวในรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ตรงกันข้าม ต้องแสดงบทบาทในสถานะอันเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล

ที่เสนอในเรื่องการเยียวยาไม่ว่าจะต่อผู้เสียชีวิต ต่อผู้ได้รับบาดเจ็บต้องพิการ ต่อผู้ถูกจับกุมคุมขังอย่างเหวี่ยงแหและไม่เป็นธรรมนั้น

ถูกต้องอย่างยิ่ง ถูกต้องอย่างถึงที่สุด

แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือ จะต้องผลักดันและหนุนเสริมทุกวิถีทางให้ความเป็นจริงของเหตุการณ์การชุมนุม การสลายการชุมนุมและความสูญเสียปรากฏออกมาเบื้องหน้าประชาชน

ความเป็นจริงนี้แหละจะเป็นเครื่อง "เยียวยา" อย่างยอดเยี่ยม ตรงเป้า



ต้องยอมรับว่าชัยชนะจากการเลือกตั้งเสมอเป็นเพียงก้าวแรกแห่งพัฒนาการประชาธิปไตย

ผลจากการเลือกตั้งสะท้อนความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของประชาชน ตรงนี้คือสิ่งที่ผู้ได้รับการเลือกตั้งไม่ควรเพิกเฉย ละเลยหรือซื้อเวลาไปวันๆ เหมือนรัฐบาลบางรัฐบาล

บทบาทนี้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ต้องจริง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ต้องจริงจัง

หน้า 6
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #126 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2554, 17:40:35 »

   วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7565 ข่าวสดรายวัน


สังคมอุดมคติ

เก็บเรื่องมาเล่า
ชนา ชลาศัย



สังคมอุดมคติที่ผู้คนส่วนใหญ่ใฝ่ฝันยามเกิดวิกฤต มีอย่างน้อย 3 สังคม นิตยสาร "ซีเคร็ต" ฉบับ ก.ค.สรุปไว้ดังนี้

สังคมยูโทเปีย : เซอร์โทมัส มอร์ นักปรัชญานิยมชาวอังกฤษ กล่าวว่า สังคมนี้มนุษย์ทุกคนจะมีความเท่าเทียมกัน ทุกคนอยู่ดีกินดี ไม่มีอาชญา กรรม ผู้คนมีความรักซึ่ง กันและกัน ไม่เห็นแก่ตัว รัฐบาลในยูโทเปียมาจากการเลือกตั้งจากบรรดาชนชั้นที่มีความรู้ พร้อมสนับสนุนการทำความดี และชาวยูโทเปียทุกคนล้วนมีสำนึกเกี่ยวกับความพึงพอใจหรือความสุขที่แท้จริง

สังคมยุคพระศรีอริยเมตไตรย : เป็นสังคมที่ชาวพุทธทุกคนมุ่งมาดปรารถนาจะได้ไปอยู่ในชาติภพต่อไป สังคมยุคนี้จะมีแต่ความสุข ทุกคนต่างพอใจในความเป็นอยู่ของตัวเอง ทุกคนเป็นคนดีเหมือนกันหมด ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน มีต้นไม้พิเศษที่เรียกว่า ต้นกัลปพฤกษ์อยู่ทุกทิศ ใครขออะไรก็จะได้ตามประสงค์ทุกอย่าง

สังคมดารุสสลาม : เป็นสังคมแห่ง สันติภาพหรือสังคมแห่งธรรมรัฐชั้นสูงสุดในศาสนาอิสลาม ทุกคนมีวิถีชีวิตเรียบง่าย สมถะ พอเพียง รักความสันโดษและเสียสละเพื่อผู้อื่น ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบทางสังคม หรือละเมิดสิทธิมนุษยชน สังคมแห่งสันติภาพ นี้เคยเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ.622-633 (และหลังจากนั้นอีก 600 ปี) ณ นครมาดีนะฮ์ ซาอุดีอาระเบีย โดยการนำของศาสดามูฮัมหมัด ภายใต้หลักปฏิบัติของคัมภีร์อัลกุรอาน แต่สุดท้ายต้องล่มสลาย เมื่อผู้คนทอดทิ้งศาสนา ให้ความสำคัญกับวัตถุมากกว่า

สังคมอุดมคติจะเกิดขึ้นได้จริง หากเริ่มจากตัวเราเองก่อน เริ่มต้นคิดสิ่งดีๆ และลงมือทำก่อน สักวันฝันคงเป็นจริง โดยไม่ต้องรอถึงภพหน้า

หน้า 27
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Uncle Na
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2524-2201
คณะ: นิเทศ
กระทู้: 4,957

« ตอบ #127 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2554, 18:59:30 »

มาฟังปรัชญาการเมืองโบราณ
      บันทึกการเข้า

จิตใจที่จุดประกายแล้ว คือทรัพยากรที่ทรงพลังที่สุดบนพิภพ เหนือพิภพ และใต้พิภพ/จิตวิญญาณมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้/ โดย เอพีเจ อับดุล กาลัม/สุวิทย์ วิบูลเศรษฐ์  แปล
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #128 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2554, 00:18:37 »


มาฟังด้วย....
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #129 เมื่อ: 28 สิงหาคม 2554, 15:13:08 »

“อัล-กออิดะห์”สิ้นผู้นำไปอีกหนึ่ง

วันอาทิตย์ ที่ 28 สิงหาคม 2554 เวลา 13:30 น
 

สหรัฐเผย “อาติยาห์ อับด อัล-ราห์มาน” ผู้อันดับ2 ของกลุ่มก่อการร้าย “อัล-กออิดะห์” เสียชีวิตแล้วใน ปากีสถาน เมื่อ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา

วันนี้ (28 ส.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ได้มีเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลสหรัฐ เปิดเผยว่า นายอาติยาห์ อับด อัล-ราห์มาน ผู้นำหมายเลข 2 ของกลุ่มก่อการร้าย “อัล-กออิดะห์” ถูกฆ่าตายแล้วในประเทศปากีสถาน นับเป็นความสำเร็จในการปราบปรามขั้นเด็จขาดกับกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้ นับตั้งแต่ปฏิบัติการสังหาร นาย โอซามา บิ ลาเดน หัวหน้ากลุ่ม เมื่อต้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา

ข่าวการสังหารผู้นำหมายเลข 2 ของอัล-กออิดะห์ มีขึ้นในขณะที่สหรัฐกำลังเตรียมเข้าสู่ช่วงครบรอบ 10 ปี ของเหตุการณ์วินาศกรรมสะท้านโลก ถล่มตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ นครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2544 มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,00 ศพ ฝีมือของกลุ่มก่อการร้าย อัล-กออิดะห์ และ นายอาติยาห์ อับด อัล-ราห์มานซึ่งมีค่าหัว 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัตถุระเบิด ได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้นำหมายเลข 2 ของกลุ่มก่อการ้าย ส่วนหมายเลข 1 ที่ขึ้นมาเป็นผู้นำแทน นายโอซามา บิน ลาเดน ที่ถูกสังหารไปแล้ว ก็คือ นายไอยมาน อัล-ซาวาฮิรี

ตามรายงานระบุว่า  นายอาติยาห์ อับด อัล-ราห์มาน สัญชาติลิเบีย เสียชีวิตไปเมือวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมาในพื้นที่ของชนเผ่าวาซิริสถาน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ หลังจากที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับปฏิบัติการของกลุ่มก่อการร้าย อัล-กออิดะห์ แต่ยังไม่เปิดเผยสาเหตุการเสียชีวิต

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของปากีสถานเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า มีเครื่องบินไร้คนขับที่ควบคุมด้วยวิทยุทางไกล ได้โจมตีรถยนต์คันหนึ่งเมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #130 เมื่อ: 28 สิงหาคม 2554, 15:36:14 »

คน (ไม่) สำคัญ
สฤณี อาชวานันทกุล
http://www.fringer.org

ที่มา : http://drambedkarbooks.files.wordpress.com/2009/03/20112007409.jpg
“มหาตมะมาแล้วก็ไป แต่จัณฑาลถึงอย่างไรก็เป็นจัณฑาลอยู่วันยังค่ำ”

ดร. บาบาสาเฮบ อัมเบดการ์


ในทศวรรษ ๑๙๓๐ จอห์น สติลล์ นักเขียนพเนจรชาวอังกฤษ ตั้งข้อสังเกตในหนังสือชื่อ The Jungle Tide ว่า “ความทรงจำของมนุษย์นั้นเป็นด้ายที่เปราะบางเกินกว่าจะแขวนประวัติศาสตร์ได้”

แต่บางครั้ง วีรกรรมของใครบางคนก็ได้รับการถ่ายทอดจากปากต่อปาก จากรุ่นสู่รุ่น ถักทอด้ายความจำของปัจเจกจนกลายเป็นผืนผ้าแห่งความทรงจำร่วมกันของสังคมที่แน่นหนา และสะท้อนความจริงอย่างซื่อสัตย์กว่าประวัติศาสตร์ที่จารึกในหน้าหนังสือหรืออนุสาวรีย์ใดๆ

มหาตมะคานธีอาจเป็นชาวอินเดียที่คนทั่วโลกรู้จักดีที่สุดตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน แต่อินเดียคงไม่มีวันทะยานขึ้นเป็นมหาอำนาจใหม่ในศตวรรษที่ ๒๑ ได้เลยหากปราศจากชายชื่อ บาบาสาเฮบ อัมเบดการ์ (ค.ศ. ๑๘๙๑-๑๙๕๖) ผู้สร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้แก่ชาวอินเดียนับล้านคนที่ถูกเพื่อนร่วมชาติหมิ่นแคลนสืบมานานนับพันปี

ดร. บาบาสาเฮบ พิมเรา รามจิ อัมเบดการ์ (Dr. Babasaheb Bhimrao Ramji Ambedkar) เกิดเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน ค.ศ. ๑๘๙๑ ในตระกูลคนอธิศูทร (ชื่อเรียกคนวรรณะจัณฑาล) ที่ยากไร้ตระกูลหนึ่งในรัฐมหาราษฏระของอินเดีย เป็นบุตรชายคนที่ ๑๔ และคนสุดท้องของนายรามจิกับนางพิมมาไบ สักปาล บิดามารดาตั้งชื่อเขาว่า “พิม”

แม้จะยากจน นายรามจิกับนางพิมมาไบก็สู้อดมื้อกินมื้อ ทำงานแบกหามสารพัดเพื่อส่งเสียให้เด็กชายพิมได้เรียนจนจบชั้นมัธยม แต่กว่าจะเรียนจบเด็กชายพิมก็ต้องกัดฟันทนพฤติกรรมหยามเหยียดของครูและเพื่อนร่วมชั้นซึ่งเป็นคนในวรรณะสูงกว่า ครูและนักเรียนรังเกียจกระทั่งไม่ยอมให้เขา
นั่งเก้าอี้ พิมต้องไปปูกระสอบนั่งเรียนกับพื้นอยู่มุมห้องทุกวัน ทุกครั้งที่ครูสั่งให้พิมออกมาทำแบบทดสอบหน้าห้อง เพื่อนนักเรียนจะวิ่งไปเอาปิ่นโตและห่ออาหารที่วางไว้บนรางชอล์กกระดานดำออกมา เพราะกลัวว่าเสนียดของพิมจะไปติดอาหารของพวกเขา เวลาที่พิมกระหายน้ำเขาก็ดื่มน้ำจากแก้วตรงๆ ไม่ได้ ต้องวิงวอนขอความเห็นใจจากเพื่อนให้คอยเทน้ำลงในปากของเขา

โชคดีที่โลกวัยเยาว์ของพิมไม่ได้มีแต่คนใจไม้ไส้ระกำ ครูคนหนึ่งในวรรณะพราหมณ์มีเมตตาต่อพิม คอยหาโอกาสแบ่งอาหารให้เขารับประทาน ครูผู้นี้เล็งเห็นว่าสาเหตุข้อหนึ่งที่พิมถูกรังเกียจคือ “สักปาล” นามสกุลของเขาซึ่งบ่งบอกความเป็นอธิศูทร จึงไปแก้ทะเบียนที่โรงเรียน เปลี่ยนให้พิมใช้นามสกุลของตนคือ “อัมเบดการ์” นับแต่นั้นเป็นต้นมา นามสกุลใหม่นี้ทำให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าพิมเป็นคนในวรรณะพราหมณ์ ซึ่งช่วยลดแรงเสียดทานที่เขาต้องเผชิญได้เป็นอย่างดี

พิมบากบั่นเล่าเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ด้วยผลการเรียนดีเด่น จนมีนักสังคมสงเคราะห์พาเขาเข้าเฝ้ามหาราชาแห่งเมืองบาโรดา มหาราชาผู้ประสงค์จะสนับสนุนการศึกษาให้แก่คนอธิศูทร พระองค์พระราชทานเงินทุนจนพิมเรียนจบปริญญาตรี และหลังจากนั้นก็ส่งเขาไปเรียนต่อปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา
ที่มา : http://buddhambedkar.blogspot.com/2010/05/images-of-dr-b-r-ambedkar.html
ดร.อัมเบดการ์ระหว่างศึกษาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ค.ศ.๑๙๑๓-๑๙๑๖

ชีวิตนักศึกษาที่อเมริกาเปิดประตูให้พิมได้ลิ้มรสชาติของความเท่าเทียมทางสังคมเป็นครั้งแรก เพราะที่นั่นไม่มีใครแสดงอาการรังเกียจความเป็นอธิศูทรของเขาเหมือนอย่างในอินเดีย พิมเดินทางกลับอินเดียด้วยความมุ่งมั่นว่าจะต่อสู้เพื่อคนในวรรณะเดียวกัน สร้างสังคมอินเดียที่เสมอภาคให้จงได้

พิมเข้าเป็นอาจารย์ในวิทยาลัยซิดนาห์ม บอมเบย์ (มุมไบปัจจุบัน) ในปี ค.ศ. ๑๙๑๘ ต่อมาย้ายไปเป็นข้าราชการในเมืองโครักขปุระตามคำเชิญของมหาราชาชาหุที่ ๑ ผู้ทรงสนับสนุนสิทธิของคนอธิศูทร มหาราชาพระองค์นี้นอกจากจะรับพิมเข้าทำงานแล้วยังออกทุนให้เขาเขียนและตีพิมพ์วารสารรายสัปดาห์ชื่อ มุขนายก (ผู้นำพลังเงียบ) ในบอมเบย์ตั้งแต่ปี ๑๙๒๐ พิมใช้วารสารฉบับนี้โจมตีนักการเมืองอนุรักษนิยมที่ไม่แยแสต่อการกดขี่คนวรรณะต่ำ ต่อมาเขากลับไปเรียนที่วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (แอลเอสอี) ในอังกฤษ ด้วยเงินที่ยืมจากมหาราชาและเพื่อน ใช้ชีวิตในอังกฤษอย่างแร้นแค้น มุมานะจนเรียนจบปริญญาโทที่นั่น และปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยลอนดอน ทั้งยังสอบผ่านเนติบัณฑิต วุฒิการศึกษาสูงลิ่วจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกที่พิมซึ่งตอนนี้เป็น ดร. อัมเบดการ์ ได้มาด้วยความยากลำบาก ทำให้ในที่สุดเขาก็กลับมาทำงานเป็นทนายความในศาลสูงของบอมเบย์ได้สำเร็จ

ข้อเขียนที่วิพากษ์นักการเมืองอย่างตรงไปตรงมาและการเคลื่อนไหวรณรงค์เพื่อสิทธิของคนจัณฑาลอย่างต่อเนื่องทำให้ ดร. อัมเบดการ์ได้รับความนิยมชมชอบจากชาวอินเดียร่วมวรรณะมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี ๑๙๓๒ เขาได้รับเชิญไปร่วมงานเสวนาโต๊ะกลมเกี่ยวกับอนาคตของอินเดียที่กรุงลอนดอน ในห้วงเวลาที่จักรวรรดิอังกฤษเริ่มเปิดพื้นที่ให้คนอินเดียมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของประเทศ

ดร. อัมเบดการ์เชื่อมั่นว่า ความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิตของคนวรรณะจัณฑาลทั้งมวลจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อพวกเขามี “อัตลักษณ์” ต่างหากจากทั้งสภาคองเกรสแห่งชาติ (ซึ่งมีมหาตมะคานธีเป็นผู้นำ) และอังกฤษเจ้าอาณานิคม ด้วยเหตุนี้เขาจึงเรียกร้องว่าชาวจัณฑาลควรมีสิทธิเลือกผู้แทนของตนต่างหาก คานธีไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของ ดร. อัมเบดการ์ (ทั้งที่เห็นว่าชนกลุ่มน้อยอื่นๆ อาทิชาวมุสลิม และซิกข์ควรมีสิทธิเลือกผู้แทนของตน) เนื่องจากเกรงว่าการกันผู้แทนให้แก่จัณฑาลโดยเฉพาะจะก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมฮินดูรุ่นหลัง (เพราะมองว่าจัณฑาลยังเป็นฮินดู ไม่ใช่คนต่างศาสนาอย่างมุสลิมหรือซิกข์)

ระหว่างที่รัฐบาลอังกฤษเห็นด้วยกับ ดร. อัมเบดการ์ว่าจัณฑาลควรมีสิทธิเลือกผู้แทนของตน คานธีก็เริ่มอดอาหารประท้วงข้อเสนอดังกล่าวระหว่างที่ถูกคุมขังในคุกเมืองปูเน เรียกร้องว่าชาวฮินดูทั้งมวลจะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และประกาศว่าจะอดอาหารจนถึงแก่ชีวิต การประท้วงของคานธีได้รับการสนับสนุนมหาศาลจากมวลชนทั่วทั้งอินเดีย ผู้นำหัวอนุรักษนิยมชาวฮินดูและนักกิจกรรมชั้นแนวหน้าขอนั่งโต๊ะเจรจากับ ดร. อัมเบดการ์และผู้สนับสนุนเขา พยายามกดดันให้ ดร. อัมเบดการ์ยอมยกเลิกข้อเรียกร้องเรื่องผู้แทนของจัณฑาล แรงกดดันประกอบกับความหวั่นเกรงว่าคนในวรรณะจัณฑาลจะตกเป็นเป้าความโกรธแค้นของชาวฮินดูหมู่มากถ้าหากคานธีสิ้นชีวิตจริงๆ ทำให้ ดร. อัมเบดการ์ยอมละทิ้งจุดยืนที่เคยยึดมั่น

ดร. อัมเบดการ์มองว่าการประท้วงอดอาหารของคานธีเป็นอุบายอันแยบยลที่จะกีดกันไม่ให้จัณฑาลมีสิทธิทางการเมือง และเขาก็มองว่าสภาคองเกรสแห่งชาติภายใต้การนำของคานธีอย่างดีที่สุดก็จะทำให้ชาวฮินดูรู้สึกสมเพชเวทนาจัณฑาล แต่ยังปฏิเสธว่าพวกเขาควรมีสิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียม

อย่างไรก็ตาม คานธีก็หาได้ผูกใจเจ็บ ดร. อัมเบดการ์ไม่ หากมองว่าเขาเป็นเสาหลักที่สำคัญต่ออนาคตของอินเดีย หลังจากที่อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ คานธีหว่านล้อม เยาวหราล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรก ให้แต่งตั้ง ดร. อัมเบดการ์เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และเชิญเขาให้มามีบทบาทนำในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศ

ร่างรัฐธรรมนูญที่ ดร. อัมเบดการ์เขียนขึ้นนั้นชัดเจนว่ามุ่งสร้าง “การปฏิวัติทางสังคม” ในอินเดียเหนือสิ่งอื่นใด ด้วยการประกันและคุ้มครองสิทธิพลเมืองนานัปการ ตั้งแต่เสรีภาพในการนับถือศาสนา การยกเลิกวรรณะจัณฑาล และประกาศให้การเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบเป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ดร. อัมเบดการ์ยังเสนอให้ใช้โควตาในระบบราชการ โรงเรียน และวิทยาลัยเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ด้อยโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม รัฐธรรมนูญที่ ดร. อัมเบดการ์เป็นหัวหอกผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๔๙

หลังจากที่ผลักดันรัฐธรรมนูญได้สำเร็จ ก้าวต่อไปของดร. อัมเบดการ์ คือการเขียนกฎหมายกฎบัตรฮินดู (Hindu Code Bill) เพื่อแทนที่จารีตฮินดูซึ่งผู้หญิงตกเป็นเบี้ยล่างมาตลอด ด้วยกฎหมายที่มอบสิทธิทางเศรษฐกิจและสังคมให้แก่ผู้หญิงอย่างเท่าเทียมกับผู้ชาย โดยเฉพาะเรื่องมรดก การแต่งงาน และเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่า ดร. อัมเบดการ์จะได้รับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรีเนห์รู ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ถูกต่อต้านอย่างหนักจากนักการเมืองส่วนใหญ่ในสภา ความขัดแย้งส่งผลให้ ดร. อัมเบดการ์ตัดสินใจลาออกจากคณะรัฐมนตรีในปี ๑๙๕๑ ปีต่อมาเขาลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่แพ้การเลือกตั้ง เขาได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในปีเดียวกัน และเป็นวุฒิสมาชิกจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

ที่มา : http://buddhambedkar.blogspot.com/2010/05/images-of-dr-b-r-ambedkar.html
ค.ศ.๑๙๒๗ ดร.อัมเบดการ์นำพิธีสัตยาเคราะห์ดื่มน้ำในสระโชว์ดาร์
ที่เมืองมหัท(Mahad)ซึ่งเดิมห้ามคนวรรณะต่ำใช้น้ำในสระนี้
นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ “ศตวรรษแห่งความเสมอภาค”

ที่มา : http://www.columbia.edu/itc/mealac/pritchett/00routesdata/1900_1999/ambedkar/bellwinkel/bellwinkel.html
โปสเตอร์ ดร.อัมเบดการ์ชวนเพื่อนร่วมวรรณะมานับถือพุทธในช่วงทศวรรษ ๑๙๕๐

ดร. อัมเบดการ์เป็น “บิดาแห่งอินเดียสมัยใหม่” ที่คนนอกอินเดียรู้จักน้อยที่สุด ต่างจากรัฐบุรุษร่วมสมัยที่ได้รับสมญานามนี้อีก ๒ คน คือเนห์รูกับคานธี แต่พุทธศาสนิกชนทั่วโลกจำนวนมากรู้จักเขาในฐานะผู้นำคนอธิศูทรกว่า ๕ แสนคน เข้าพิธีปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะพร้อมกันในงานฉลองพุทธชยันตี เมืองนาคปุระ ในปี ค.ศ. ๑๙๕๖

เหตุผลที่ ดร. อัมเบดการ์ประกาศตนเป็นชาวพุทธและชักชวนเพื่อนร่วมวรรณะให้เป็นพุทธด้วยนั้นชัดเจนจนไม่ต้องอธิบายให้มากความ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่ปิดกั้นใคร มองคนทุกคนเสมอกันในความเป็นมนุษย์ ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะเหมือนศาสนาฮินดูซึ่ง ดร. อัมเบดการ์เคยตั้งข้อสังเกตในวารสารของเขาว่า

“สังคมฮินดูมีส่วนประกอบอยู่ ๓ ประการ คือ พราหมณ์ มิใช่พราหมณ์ และอธิศูทร พราหมณ์ผู้สอนศาสนามักกล่าวว่าพระเจ้ามีอยู่ในทุกหนแห่ง ถ้าเช่นนั้นพระเจ้าก็ต้องมีอยู่ในอธิศูทร แต่พราหมณ์กลับรังเกียจคนอธิศูทร เห็นเป็นตัวราคี นั่นแสดงว่าเขากำลังเห็นพระเจ้าเป็นตัวราคีใช่หรือไม่”

พิธีปฏิญาณตนของ ดร. อัมเบดการ์และชาวอธิศูทรในวันนั้นเป็นที่โจษขานกันสืบมาว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่ นอกจากคำปฏิญาณตน ๒๒ ข้อจะรวมหลักธรรมะเช่น “ข้าพเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า” และ “ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญตนในทาน ศีล ภาวนา” แล้ว ยังมีข้อที่สะท้อนเจตนารมณ์ของ ดร. อัมเบดการ์ เช่น “ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อความมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน”

ดร. อัมเบดการ์เลือกเมืองนาคปุระเป็นสถานที่ในการประกอบพิธี แทนที่จะเลือกเมืองใหญ่อย่างเดลีหรือบอมเบย์ ด้วยเหตุผลว่าเมืองนี้เป็นเมืองแห่งนาค ซึ่งตามพุทธประวัตินาคเป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกชาวอารยันย่ำยีข่มเหง คล้ายกับที่คนวรรณะต่ำถูกกดขี่จากคนวรรณะสูงกว่า ชนเผ่านาคเลื่อมใสในศาสนาพุทธหลังจากได้ฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรม ร่วมกันเผยแผ่พุทธศาสนาไปทั่วทั้งอินเดีย จวบจนปัจจุบันศูนย์กลางพุทธศาสนาก็ยังอยู่ที่เมืองนาคปุระ แม้หลังจากที่ถูกชาวฮินดูขับไล่กดขี่จนถูกปรามาสว่าเป็นชนชั้นจัณฑาล (เหตุนี้ชาวจัณฑาลส่วนใหญ่จึงสืบเชื้อสายมาจากชาวพุทธ เป็นเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ ดร. อัมเบดการ์ใช้จูงใจให้คนอธิศูทรเปลี่ยนศาสนา)

ดร. อัมเบดการ์ถึงแก่กรรมก่อนกาลในวันที่ ๖ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๕๖ ด้วยโรคร้าย เพียง ๓ เดือนหลังจบพิธีพุทธชยันตี ท่ามกลางความตกใจและเศร้าโศกเสียใจของชาวอินเดียนับล้านคน นายกรัฐมนตรีเนห์รูกล่าวคำสดุดีเขาตอนหนึ่งว่า “เพชรของรัฐบาลได้จากไปเสียแล้ว…ชื่อของอัมเบดการ์จะต้องถูกจดจำชั่วกาลนาน ในฐานะสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อลบล้างความอยุติธรรมในสังคมฮินดู”
ที่มา : http://buddhambedkar.blogspot.com/2010/05/images-of-dr-b-r-ambedkar.html
รูปปั้น ดร.อัมเบดการ์ในชุมชนคนอธิศูทร

ถึงแม้ว่าเขาจะล่วงลับไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ มรดกทางความคิดและอิทธิพลของ ดร. อัมเบดการ์ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันไม่รู้จบว่ายิ่งใหญ่เพียงใด ถ้าหากมหาตมะคานธีเป็นมโนธรรมของโลกแล้วไซร้ ดร. บาบาสาเฮบ อัมเบดการ์ ก็เป็นมโนธรรมของอินเดียอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าหากคานธีเป็นสัญลักษณ์ของอุดมคติทางศีลธรรม ดร. อัมเบดการ์ก็เป็นสัญลักษณ์ของพลังทางการเมืองและการปฏิวัติสังคม และถ้าหากคุณูปการของคานธีคือการปลุกเร้ามโนธรรมของชนชั้นสูงให้มองเห็นการกดขี่ข่มเหงคนวรรณะต่ำ คุณูปการของ ดร. อัมเบดการ์ก็ยั่งยืนยิ่งกว่านั้นในแง่ที่มอบอัตลักษณ์ใหม่ให้แก่คนวรรณะต่ำ และมอบความเชื่อมั่นในตนเองให้พวกเขาลุกขึ้นสู้กับความอยุติธรรมในสังคม

ขณะที่มหาตมะคานธีเป็นวีรบุรุษในดวงใจของชาวโลกและปัญญาชนผู้มีฐานะในอินเดีย คน (ไม่) สำคัญของโลกแต่สำคัญสำหรับอินเดีย นาม ดร. บาบาสาเฮบ อัมเบดการ์ ก็เป็นวีรบุรุษที่ลูกหลานคนอธิศูทรในอินเดียไม่มีวันลืม ชีวิตของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ด้อยโอกาสจำนวนมหาศาลฮึดสู้กับโชคชะตา มุมานะเล่าเรียนและทำงานหนักเพื่อกำหนดอนาคตของตนเอง มีส่วนร่วมอย่างเต็มภาคภูมิในการเติบโตทางเศรษฐกิจอันน่าทึ่งของอินเดีย

ชาวพุทธในอินเดียเชื่อว่าวิญญาณของเขายังเวียนวนอยู่ในภพนี้ คอยช่วยเหลือพวกเขาและผู้ด้อยโอกาสทั้งมวล ด้วยเหตุนี้จึงนับเขาเป็นสรณะทัดเทียมกับพระรัตนตรัย โดยเพิ่มชื่อเดิมต่อท้ายบทสวดไตรสรณคมน์ว่า “พิมพัง สรณัง คัจฉามิ” สืบมาจนทุกวันนี้

    ตีพิมพ์ใน นิตยสาร สารคดี ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๓๑๑ มกราคม ๒๕๕๔

Tags: คน(ไม่)สำคัญ, ชีวประวัติ, ดร. บาบาสาเฮบ อัมเบดการ์, อินเดีย
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #131 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2554, 13:05:57 »


หวัดดี...น้องป๋า และพี่น้องทุกท่าน

เมืองไทยมีใครพอจะเทียบเคียงกับ ดร.อัมเบดการ์ ได้บ้างไหมครับ?
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #132 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2554, 14:58:35 »

วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา 00:31 น.  ข่าวสดออนไลน์

"นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล"" วอลเปเปอร์ 2 "มือขวา "นายกฯปู"


.......กลายเป็น "วอลเปเปอร์ 2" ประกบ "นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เกือบทุกช็อต ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น "นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 21 เดิมทีเดียวคิดว่า หลังเพื่อไทยประสบชัยชนะและ "ปู-ยิ่งลักษณ์" ได้เป็นนายกฯแล้ว เขาผู้นี้น่าจะได้รับการวางตัวให้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เพื่อเข้ามากำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์-อสมท เพราะเจ้าตัวเคยผ่านงานสื่อมาก่อน "คุณนิวัฒน์ธำรง" หรือ "นิวัฒน์ บุญทรง" เก่า เคยเป็นผู้บริหารหมายเลข 1 ของ "ไอทีวี" มาก่อน

 มีความสัมพันธ์กับสื่อขาเล็ก ขาใหญ่ ทั้งที่เป็นลูกหม้อและไม่ได้เป็นลูกหม้อของ "ไอทีวี" หลายคนอยู่ พูดถึงปูมหลังแล้ว "นิวัฒน์" ถือว่าเป็นนักธุรกิจเก่าแก่คนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับครอบครัว "ชินวัตร" ค่อนข้างมาก เป็นผู้บริหารเบอร์ต้นๆ ของเครือชินคอร์ปอเรชั่น หลังปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 "ระบอบทักษิณ" ถูกทลายห้างลงราบคาบแล้ว

 "นิวัฒน์" ได้เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุลตัวเองใหม่เป็น "นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" เข้าวัดเข้าวา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน กระทั่งในท้ายที่สุดได้ตัดสินใจบวชเป็นพระ ตั้งใจว่าจะถือศีลกินเจไปเรื่อยๆ ครองผ้าเหลืองอีกหลายปี

แต่ก่อนเลือกตั้งไม่กี่เดือน "ปู-ยิ่งลักษณ์" ไปกราบนมัสการถึงกุฏิ นำสารจาก "พี่ใหญ่ดูไบ" มาบอกกล่าวเล่าสิบ ไม่กี่วันถัดมา "พระนิวัฒน์" ก็ลาสิกขา มาช่วยงานการเมืองให้กับ "ยิ่งลักษณ์" และเป็นที่ไว้วางใจ ในฐานะลูกหม้อเก่า จึงทำท่าจะผงาดเป็น "วอลเปเปอร์ 2"
 
"นิวัฒน์ธำรง"  ในฐานะ มือขวา"นายกฯปู"


 มติชน ฉายภาพว่า   เบื้องหน้าความสำเร็จจากการเลือกตั้งของ "พรรคเพื่อไทย" คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และอาจจะรวมถึง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ

 แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลไกสำคัญของ "ทีมงาน" เบื้องหลังเขาคือ "นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" อดีตประธานกรรมการบริหารบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) และรองประธานกรรมการบริหารบริษัทในเครือชินคอร์ปอเรชั่น (ชินคอร์ป) รับผิดชอบด้านภาพลักษณ์ และกิจกรรมสัมพันธ์ จึงเรียกได้ว่า "นิวัฒน์ธำรง" คือมือไม้ของคน "ตระกูลชินวัตร" และเป็น "หัวใจ" ของชินคอร์ป

 ครั้งนี้ "นิวัฒน์ธำรง" เข้ามาสร้างและเสริมภาพลักษณ์ให้ "ยิ่งลักษณ์" ดูเด่น-ดูดี-มีราศี จนก้าวเข้าสู่ตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี" อย่างเต็มภาคภูมิ

 "ท่านนายกฯเป็นคนเป็นเก่ง หัวสมองดี และคล่องแคล่ว" เป็นคำยืนยันของนิวัฒน์ธำรง

 การผ่านงานในตำแหน่ง "ผู้บริหาร" ของบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ กลายเเป็นจุดแข็งของ "ยิ่งลักษณ์" แต่ทุกคนก็ยอมรับว่าการบริหารประเทศย่อมต่างจากงานบริษัทแน่นอน

 
"นิวัฒน์ธำรง" ชี้แจงสวนทางกับความเชื่อของคนทั่วไปว่าว่า "การ ปกครองประเทศเหมือนการบริหารบริษัท เราต้องกำหนดกลยุทธ์ เพื่อทำงานให้บรรลุเป้าหมาย ทำงานให้สำเร็จ ทำได้เท่านี้ประเทศก็สำเร็จ นี่คือจุดเด่นที่นักการเมืองอาชีพไม่มี การปกครองประเทศวัดกันที่งาน การปกครองประเทศจะทำงานลอยตามน้ำไปเรื่อยไม่ได้"

 
ทว่าในฐานะ "นายกรัฐมนตรี" ของประเทศไทย ท่ามกลางความแย้งการทำงานย่อมหนักกว่า "ผู้บริหารบริษัท" จึงเป็นงานที่ท้าทายความสามารถเป็นอย่างยิ่ง

 "อยู่บริษัทก็มีความขัดแย้ง เพียงแต่การปกครองประเทศคนเยอะกว่า อยู่ที่การบริหารการจัดการต่างๆ ก็ต้องทำเพื่อให้คนมาร่วมกันเยอะขึ้น"

 
กับก้าวแรกของ "นายกฯยิ่งลักษณ์" ในวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภากลับถูกวิจารณ์ในแง่ลบว่า "พูดไม่เก่ง" บ้างก็ว่าดีแต่อ่าน และให้ "รัฐมนตรี" คนอื่นชี้แจงแทน


"เท่าที่ผมติดตามท่านนายกฯมา ท่านเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว แต่การพูดน้อย พูดสั้น ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะท่านเป็นคนพูดตรงประเด็น ซึ่งต้องให้โอกาส ต้องให้เวลาท่าน เพราะไม่ได้มาจากการเมืองโดยตรง"


"นิวัฒน์ธำรง" เชื่อมั่นในความเก่งกาจของ "ยิ่งลักษณ์" เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์


 
บทเรียนจากงูเห่า "บุรีรัมย์" ที่ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร ทำให้การวางหมากการเมืองจะต้องละเอียด รอบคอบ เผื่อเหลือเผื่อขาดสำหรับ "อุบัติเหตุการเมือง" จึงจำเป็นต้องมีการวาง "ตัวตาย-ตัวแทน" เอาไว้ และชื่อของ "นิวัฒน์ธำรง" ซึ่งถูกบรรจุไว้ใน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับ 21 พรรคเพื่อไทย เลยพลอยทำให้คาดหมายไว้ว่าเขาคือ "นายกฯสำรอง"

 "โอ๊ะ...ผมไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ไม่ถึงขั้นเป็นนายกฯ เขาให้ผมเข้ามาช่วยดูงานสภา แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้มอบหมายอะไร งานแรกของผมคือการนิมนต์พระมาทำบุญที่ทำเนียบครับ"

 "นิวัฒน์ธำรง" จะเป็นตัวจริง เสียงจริงแทนได้หรือไม่ คงต้องช่วยกันติดตาม
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #133 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2554, 01:30:43 »

วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7578 ข่าวสดรายวัน


'ความในใจของข้าพเจ้า' บทประทานสัมภาษณ์'ฟ้าหญิง'



สมเด็จ พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จไปทรงเป็นประธานเปิดตัวหนังสือ "ความในใจของข้าพ เจ้า" ที่จัดโดยบริษัท วู้ดดี้เวิลด์ จำกัด และสำนัก พิมพ์ดีเอ็มจี พร้อมทั้งทรงบรรยายในหัวข้อ "การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน" ตามหลักของหลวงตามหาบัว โดยมี นายวุฒิธร มิลินทจินดา ประธานกรรมการ บริษัท วู้ดดี้เวิลด์ จำกัด นายดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสำนักพิมพ์ดีเอ็มจี นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ผู้บริหารสยามพารากอน และคณะกรรม การการจัดงาน เฝ้าฯ รับเสด็จ เมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี รับสั่งในบรรยายว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดในวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นคำสอนของข้าพเจ้า แต่เป็นคำสอนของหลายหลวงปู่ หลวงตา โดย 99 เปอร์เซ็นต์เป็นของหลวงตามหาบัว ซึ่งข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์อยู่ 15 ปี

คนเราเมื่อเกิดมาบนโลกใบนี้ย่อมมีความทุกข์ ความทุกข์ที่เกิดจากความไม่เสมอภาค ซึ่งความเสมอภาคเป็นไปไม่ได้ การเกิดมาจนหรือรวย แข็งแรง เจ็บป่วย หรือหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ทั้งหมดถูกกำหนดด้วยกรรมที่ทำมาเอง คนเราจึงเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน คนที่กรรมดีมากก็จะมีความสุขมาก การที่คนเราจะสุขร้อยเปอร์เซ็นต์ นั้นไม่มี ยกเว้นแต่จะฟอกจิตใจให้บริสุทธิ์อย่างหลวงตามหาบัว ท่านไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ท่านทำทุกอย่างเพื่อสังคม ละกิเลสทั้งหมด


รับสั่งด้วยว่า เรื่องเกิดแก่เจ็บตายเป็นความทุกข์ ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่สามารถตัดได้ วิธีเดียว คือเป็นพระอรหันต์ จึงอยากมาแบ่งปันความรู้ที่ทำให้ข้าพเจ้าตื่นมาและยิ้มได้ทุกวัน โดยมีหลายหลวงปู่และหลวงตาให้เคล็ดมาว่าอดีตมันผ่านไปแล้ว ไม่มีใครนำมาแก้ไขได้ อย่าไปยึดติด ทำให้เราเศร้าหมอง อดีตดีอยู่อย่างเดียวคือเป็นเครื่องเตือนใจว่าจะไม่ทำซ้ำสอง ส่วนอนาคต เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง การทำนาย คาดเดา ปรุงแต่ง ทำให้จิตฟุ้งซ่านและเป็นทุกข์ คนเราควรอยู่กับปัจจุบันและทำให้ดีที่สุด

ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทอดพระเนตรประชาชนที่มาร่วมรับฟังการบรรยาย รับสั่งว่ามีผู้หญิงมาเยอะ อยากบอกเคล็ดลับความงามของวัดป่าบ้านตาด ใบหน้าสะท้อนจิตใจข้างใน เราทำเรื่องดี มองโลกในแง่ดี ทำจิตใจสดใส หน้าตาจะสดใส ถ้ามัวแต่คิดร้าย จิตใจหมกมุ่นในเรื่องร้ายๆ จะแต่งเท่าไหร่ก็ไม่สวย คนเราสวยได้ด้วยธรรมะ คือทำแต่สิ่งที่ถูกต้องและดีงาม

รับสั่งถึงพลังใจในการทำงานว่า มีอยู่ 3 องค์ องค์แรกคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์ที่สองควบคู่กันคือสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระ บรมราชินีนาถ ตั้งแต่เด็กมาเห็นตัวอย่างจากพ่อแม่ที่ทำงานเพื่อประชาชน ตอนเด็กไม่เข้าใจ พอโตเข้าใจแก่นสารของชีวิตว่า ทำประโยชน์กับประชาชนได้แค่ไหนเป็นความปลาบปลื้ม

สำหรับแรงใจในการทำงานองค์ที่สาม คือ หลวงตามหาบัว ที่เป็นเหมือนพ่อบุญธรรม ท่านทำเพื่อส่วนรวมตลอด คนเอาเงินมาบริจาค มากมาย ไม่เคยเก็บไว้กับตัว ไปสร้างโรงพยาบาลให้พระ ให้คนยากจน ไม่เคยทำเพื่อตัวเอง ท่านทำเพื่อโลกและประชาชน

"จะเห็นว่าแรงบันดาลใจของข้าพเจ้าไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเอง และในเมื่อข้าพเจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตอนนี้ท่านทรงพระชนมายุมากแล้ว ไปตรากตรำไม่ได้ ตอนนี้เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะสืบทอดเจตนารมณ์ ทั้งสองพระองค์เปรียบเสมือนธงชัยที่ทำให้ข้าพเจ้าทำงาน ความรักความห่วงใยที่เพื่อนมนุษย์มีให้ข้าพเจ้าก็เป็นแรงบันดาลใจอย่างยิ่ง และในฐานะลูกบุญธรรมของหลวงตา จะเผยแพร่ธรรมเพื่อเป็นประโยชน์ด้วย"

รับสั่งถึงการทรงงานว่า ข้าพเจ้าไปทำงานที่ต่างจังหวัดมา 3 วัน และไม่สบาย กลับมาเมื่อวานมือบวม หมอต้องฉีดยา ให้พักผ่อนเยอะๆ แต่จะพักได้เดือนกันยายน ข้าพเจ้าเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง เป็นโรคเดียวกับพุ่มพวง ดวงจันทร์ ที่ผ่านมาหลายปีมีผลกระทบที่กระดูกเป็นส่วนใหญ่ ข้าพเจ้าใช้ฉีดยาแก้ปวดและทำงานเอา เป็นสิ่งที่เป็นอุปสรรค แต่คิดว่าจะต้องข้ามไปให้ได้ จะพยายามทำตามเจตนารมณ์ต่อไป

สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสอนเน้นหนักว่าให้มีสติ และสิ่งที่สำคัญที่สุดให้รำลึกรู้หน้าที่ที่ตัวเองมี ในฐานะที่เกิดมาเป็นลูก ท่านสอนให้รำลึกถึงหน้าที่ที่มีต่อประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ทรงบอกว่าเราอยู่ได้เพราะประชาชน ฉะนั้นต้องทำทุกอย่างเพื่อประชาชนคนไทย

จากนั้นทรงนำนั่งสมาธิกำหนดจิตใจเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเวลา 5 นาที และทรงบอกบุญกับแขกที่มาร่วมงานถึงโครงการพิเศษที่กำลังดำเนินการจัดทำ พิพิธภัณฑ์ให้หลวงตามหาบัว สามารถร่วมสมทบทุนก่อสร้างได้ที่บัญชีมูลนิธิจุฬาภรณ์เพื่อสร้างพิพิธภัณฑ์ หลวงตามหาบัว ณ วัดป่าบ้านตาด เลขที่บัญชี 229-0-983333 ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาหลักสี่พลาซ่า บัญชีสะสมทรัพย์

สำหรับ หนังสือ "ความในใจของข้าพเจ้า" ได้รับพระราชทานพระอนุญาตจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ให้นำบทสัมภาษณ์จากรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ซึ่งออกอากาศไปแล้วทั้งสามตอนทางโมเดิร์นไนน์ทีวี มาเรียบเรียงและจัดพิมพ์เผยแพร่ในรูปแบบหนังสือ รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เพื่อสมทบทุนมูลนิธิจุฬาภรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง

หน้า 25
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #134 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2554, 01:35:55 »

เปิดโฉมหน้า"คนเสื้อแดง" กุนซือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คั่วเก้าอี้ที่ปรึกษาฯ เลขาฯ รองเลขาฯ ผช.รมต.พรึ่บ!

วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา 11:00:38 น.

    

หมายเหตุ - ประวัติ บทบาท และความเป็นมาของเครือข่าย "กลุ่มเสื้อแดง" ที่ได้รับปูนบำเหน็จข้าราชการการเมือง และว่าที่ข้าราชการการเมืองในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทั้งในตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรี รองเลขานุการนายกรัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี

ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

นายทหาร จปร.7 หรือ "กลุ่มยังเติร์ก" เพราะชอบ กระทำปฏิวัติรัฐประหารมากที่สุดในหน้าการเมืองไทย

ทหาร รุ่นเดียวกับ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง ผ่านสมรภูมิการรบมาแล้วนับไม่ถ้วน ทั้งสงครามเวียดนาม สงครามปราบปรามคอมมิวนิสต์ในลาว สำหรับบทบาททางการเมือง ช่วงวิกฤตการณ์การเมืองในปี 2548-2553 ก่อนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 สนับสนุน พล.ต.จำลอง ในการเคลื่อนไหวกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 2 ช่วง คือช่วงก่อนรัฐประหาร และช่วงปี 2551

พล.อ.พัลลภได้รับขนานนามเป็นสายบู๊ เพราะเชี่ยวชาญการรบนอกแบบ มีบทบาทดูแลแก้ปัญหาภาคใต้ ในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ 1

แต่ เกิดเหตุสังหารหมู่ที่มัสยิดกรือเซะช่วงเดือนเมษายน 2547 ทำให้ถูกสั่งย้ายออกจากพื้นที่ทันที พร้อมตั้งกรรมการสอบ แม้กรรมการจะชี้เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ

อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

เป็นอดีตดีเจเครือข่ายคนเสื้อแดง พิธีกรรายการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอ็มทีวี 5 และเอเชียอัพเดท

มีบทบาทร่วมการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มเสื้อแดงทั้งช่วงปี 2552-2553 โดยเฉพาะการดำเนินรายการบนเวทีการชุมนุม

รวมถึงมีบทบาทในการร่วมยุทธการดาวกระจายของกลุ่มเสื้อแดงในช่วงเดือนเมษายน 2553

วีระ ชูสถาน

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

เป็นแกนนำคนเสื้อแดง และ นปช. มีบทบาทร่วมการชุมนุมทางการเมืองทั้งปี 2552-2553 และเป็นหัวหน้าดาวกระจายจุดย่อยในปี 2553

ไพจิตร อักษรณรงค์

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

อดีต นักร้องเพลงลุกทุ่ง-ลูกกรุงหลายค่ายเพลง ชีวิตส่วนตัว เคยสมรสกับ "คณิต อุทยานสิงห์" หรือ "นิค นิรนาม" นักร้องเพลงลูกทุ่ง-เพื่อชีวิต ปัจจุบันสมรสกับ "วิสา คัญทัพ" กวี นักร้อง และนักแต่งเพลงเพื่อชีวิต

ปัจจุบัน "ไพจิตร" เป็นสมาชิก นปช.แดงทั้งแผ่นดิน มักจะขึ้นแสดงดนตรีบนเวทีปราศรัยของ นปช.ในปี 2552-2553 ไม่เคยขาด ร่วมเคลื่อนไหวไม่ห่างเวทีราชประสงค์ จนถูกออกหมายจับตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

แต่มีข่าวว่าหลบหนีไปได้ กระทั่งปรากฏว่ามีชื่อในตำแหน่งทางการเมืองของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์

ธนกฤต ชะเอมน้อย(วันชนะ เกิดดี)

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

เป็น สมาชิก นปช. มีบทบาทร่วมการชุมนุมมาโดยตลอด โดยเฉพาะงานด้านการบันเทิงบนเวที เพราะเป็นอดีตนักร้องลูกทุ่ง และในการชุมนุมที่ราชประสงค์ ได้ขับขานบทเพลงกล่อมมวลชนทุกค่ำคืน โดยเฉพาะบทเพลงแห่งการต่อสู้ของคนเสื้อแดงเพลงหนึ่ง ได้แก่ "เพลงของประชาชน เพื่อประชาชน" "ใครก็รักทักษิณ"

หลังการเคลื่อนไหวรุนแรงในปี 2553 ถูกออกหมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

และมีข่าวหลบหนีซ่อนตัวยังประเทศกัมพูชาเช่นเดียวกับแกนนำเสื้อแดงอีกหลายคน

รังสี เสรีชัยมุ่ง(รังสี เสรีชัย)

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

สมาชิก นปช. อดีตนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ก่อนที่ชื่อเสียงจะตกต่ำ จึงหันไปทำธุรกิจร้านอาหารตามจังหวัดต่างๆ รวมทั้งที่ จ.สระบุรี และลงเล่นการเมืองท้องถิ่นโดยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล อ.มวกเหล็ก ช่วงปี 2543-2547 รวมทั้งพยายามขยับมาเล่นการเมืองระดับประเทศ ด้วยการสมัคร ส.ส. สังกัดพรรคมหาชน เขต 2 จ.สระบุรี ปี 2548 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

กระทั่งเข้าร่วมกับกลุ่ม นปช.เคลื่อนไหวทางการเมืองบนเวที มีบทบาททั้งการดำเนินรายการและขับกล่อมเสียงเพลงแก่มวลชนเสื้อแดง

แน่นอน หลังศึกราชประสงค์ เขาก็โดนหมายจับเหมือนแกนนำคนอื่นๆ แล้วหายหน้าค่าตาไปนาน

พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

แกน นำ นปช.จ.ชุมพร อดีตประธานสมาคมประมง จ.ชุมพร ผู้ดำเนินการออกบัตรสมาชิกของกลุ่ม นปช. เคยตั้งเวทีปราศรัยและยืนยันที่จะติดตั้งจานดาวเทียมดีทีวี ประจำทุกอำเภอในชุมพร ทำให้กลุ่มพันธมิตร จ.ชุมพร ไม่พอใจและเข้าล้อมบ้านของนางกฤษณา สิทธิสาร สมาชิก นปช. เพราะไม่พอใจที่เอาป้ายศูนย์ประสานงาน นปช.ชุมพร มาติดไว้หน้า บ้าน

นอก จากนั้น พ.ต.ต.เสงี่ยมยังเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 กรณีการบุกอาคารรัฐสภา และเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับในการชุมนุม พ.ศ.2553 อีกด้วย ซึ่งก็หลบหนีอีกคน

พิพัฒน์ชัย ไพบูลย์

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

แกน นำ นปช. ร่วมงานเคลื่อนไหวทางการเมืองปี 2553 จนได้เป็นผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 27 บางรัก แต่ก็พ่ายแพ้ราบคาบ และมามีชื่อรับแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมืองในครั้งนี้

วรวุฒิ วิชัยดิษฐ

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

รักษาการโฆษก นปช. มีบทบาทประสาน สื่อสาร และแถลงข่าวความเคลื่อน ไหวของกลุ่ม นปช.มาโดยตลอดการชุมนุม จนปัจจุบัน

ด้าน การเมืองเคยเป็นผู้สมัคร ส.ส.เขต จ.สุราษฎร์ ธานี ชนกับสุเทพ เทือกสุบรรณ จากประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา แต่ต้องแพ้อย่างราบ คาบ

อรรถชัย อนันตเมฆ

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

แกน นำ นปช. อดีตดารานักแสดงชื่อดัง มีผลงานการแสดงทั้งภาพยนตร์และละครทางจอแก้วนับไม่ถ้วน ร่วมการชุมนุมอย่างเหนียวแน่นกับกลุ่ม นปช.ที่ราชประสงค์ และเงียบหายไปหลังมีการสลายการชุมนุม จนมีชื่อเป็นข่าวอีกครั้งกับตำแหน่งทางการเมือง

ชินวัฒน์ หาบุญพาด

ที่ปรึกษา รมช.คมนาคม

เป็น แกนนำ นปช.คนสำคัญ เดิมเป็น "ดีเจ" รายการวิทยุเครือข่ายแท็กซี่ เป็นนายกสมาคมพิทักษ์ผลประโยชน์ผู้ขับรถแท็กซี่ ที่ชื่นชอบในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ

มีบทบาทในการก่อตั้งและผู้จัดรายการของสถานีวิทยุชุมชน คนแท็กซี่ เอฟเอ็ม 92.75 เมกะเฮิร์ตซ์ และเอฟเอ็ม 107.5 เมกะเฮิร์ตซ์ และเป็นแกนนำ นปช.รุ่นที่ 2 เข้ามาเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเข้ามาสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ก่อนรัฐประหาร รวมทั้งร่วมกับกลุ่มคาราวานคนจนที่สวนจตุจักร ร่วมเข้าปิดล้อมอาคารเนชั่นทาวเวอร์

ลงสมัคร ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 72 ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด

ถูกออกหมายจับคดีก่อการร้ายและตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่สำคัญคือเป็นหนึ่งใน 19 ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันที่ดีเอสไอออกหมายจับ

ประแสง มงคลศิริ

ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ

แกน นำ นปช. ชาวอุทัยธานี อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ล่าสุด เป็นผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย มีบทบาทงานการศึกษามาก่อน และในอดีตเคยขุดคุ้ยคดีปลอมแปลงวุฒิการศึกษาของ "บรรหาร ศิลปอาชา" หัวหน้าพรรคชาติไทยในเวลานั้น

ขณะที่ กกต.ตั้งกรรมการสอบเรื่องผลิตและเผยแพร่วีซีดีภาพเสียง พ.ต.ท.ทักษิณ หมิ่นเหม่ขัดต่อกฎหมายเลือกตั้ง เขากลับนำวีซีดีพร้อมรูป พ.ต.ท.ทักษิณขนาดใหญ่ติดขบวนรถหาเสียง ไปเย้ยที่หน้าสำนักงาน กกต.อุทัยธานี เปิดปราศรัยโจมตีท้าทาย 5 เสือ กกต.ว่า จบนิติศาสตร์จะกล้าแจกใบแดงเอาผิดเขาได้หรือไม่ ถ้าได้ก็จะเผาปริญญาวิศวะของตัวเอง

ถือว่ามีบุคลิกที่ดุเดือด กล้าท้าชน

อารี ไกรนรา

เลขานุการ รมว.มหาดไทย

แกน นำ นปช.ตัวจริง เหนียวแน่นดูแลจัดการการชุมนุมทุกครั้ง เป็นชาว จ.นคร ศรีธรรมราช โดยกำเนิด มีบทบาทกำเนิดเครือข่าย นปช. นครศรีธรรมราชและวิทยุชุมนุมเสื้อแดงในนครศรี ธรรมราช

รับผิดชอบงาน รักษาความปลอดภัยหรือเป็นหัวหน้าทีมการ์ด นปช.ในทุกการชุมนุม ทำงานใกล้ชิดกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงในการรักษาความปลอดภัยการชุมนุม

ถูกออกหมายจับสารพัด เคยมีข่าวคราวเมื่อถูกแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เมื่อครั้งเป็นรองประธานสภา จนต้องลาออกเพื่อลบภาพลักษณ์

ยศวริศ ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก)

ผู้ช่วยเลขานุการรมว.มหาดไทย

แกนนำเสื้อแดงตัวฉกาจ จากบทบาทดาราตลกบนเวทีการแสดง กลับกลายเข้ามาเป็นหนึ่งในแกนนำ นปช. บนเวทีการชุมนุม

"เจ๋ง ดอกจิก" หรือชื่อเดิมว่า นายประมวล ชูกล่อม เคยเป็นตัวละครที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาแฉว่า เป็นบุคคลที่จ้างผู้สมัครพรรคเล็ก 3 คน คนละ 3 หมื่นบาท ให้ลงรับสมัครเลือกตั้ง ทั้งที่รู้ว่าคุณสมบัติไม่ครบก่อนจะกลายเป็นหลักฐานหนึ่งที่นำไปสู่การยุบ พรรคไทยรักไทย

นอกจากนี้ ในการชุมนุม นปช.ที่ผ่านมา เป็นบุคคลหนึ่งที่เกือบถูกเจ้าหน้าที่รวบตัวได้สำเร็จ ในคราวที่ไปปิดล้อมโรงแรมเอส ซี ปาร์ค แต่ก็สามารถหนีออกมาได้

ล่าสุด เจ๋ง ดอกจิก เข้ามอบตัวพร้อมๆ กับแกนนำเสื้อแดงคนอื่นๆ และถูกควบคุมตัวอยู่ จนได้รับประกันตัวในยุครัฐบาลเพื่อไทย

สมหวัง อัศราษี

ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์

เป็น นักธุรกิจเสื้อแดง มีบทบาทสนับสนุนการชุมนุมของ นปช.หลายครั้งในด้านต่างๆ เป็นประธานบริษัท สแกนเนอร์ อิเลคทริก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านแบรนด์มิซูชิต้า บริษัท กรุงสยามเครื่องดื่ม จำกัด ผู้ผลิตเครื่องดื่มชูกำลัง "หมี คอมมานโด" และชาเขียว "วายเจ" และดำรงตำแหน่งรักษาการรองประธาน นปช.

ถือเป็นนักธุรกิจที่มีตำแหน่งในองค์กรแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติเป็นคนแรก

ชนะ อัตถาวงศ์

ข้าราชการการเมือง

น้อง ชาย "สุภรณ์ อัตภาวงศ์" หรือแรมโบ้อีสาน แกนนำ นปช. ถูกออกหมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพราะเป็นแกนนำเคลื่อนไหวคนสำคัญ ที่นำกลุ่มเสื้อแดงก่อเหตุทุบรถนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯที่กระทรวงมหาดไทยในปี 2552 เข้ามาช่วยงาน นปช.ตามรอยพี่ชาย และมีบทบาทสำคัญในการคุมมวลชนในโอกาสต่างๆ

ชาญยุทธ เฮงตระกูล

ข้าราชการการเมือง

แกน นำคนเสื้อแดงพัฒนา เครือข่ายเสื้อแดงสำคัญที่มีบทบาทการชุมนุมที่พัทยาในปี 2552 ยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ สายของ ศักดา นพสิทธิ์ แกนนำเสื้อแดงชลบุรีผู้ใกล้ชิด นายยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำพรรคไทยรักไทย พิสูจน์ผลงานด้วยการเคลื่อนไหวล้มการประชุมอาเซียนซัมมิทที่โรงแรม รอยัล คลิฟบีช ได้ จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก

เพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล

ข้าราชการการเมือง

แกน นำเสื้อแดง จ.เชียงใหม่ สังกัด "กลุ่มรักเชียงใหม่ 51" เป็นกลุ่มที่มีอุดมการณ์ค่อนข้างรุนแรงและศรัทธาต่อ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นอย่างมาก เป็นแกนนำจัดตั้งทั้งมวลชนพื้นที่เชียงใหม่และจังหวัดภาคเหนือ จัดตั้งและดำเนินรายการวิทยุชุมชน และนำมวลชนเคลื่อน ไหวอย่างหนักหน่วงในพื้นที่ภาคเหนือในยุค คมช.

คารม พลพรกลาง

ข้าราชการการเมือง

ทนาย นปช.ที่ทำทุกเรื่อง ทุกคดี ทั้งแพ่ง หมิ่นประมาท การเมือง ของกลุ่ม นปช. ผ่านมือเขาทั้งหมด ถือเป็นทนายความที่มีบทบาทสำคัญมาก โดยมี มานิต จิตต์จันทร์กลับ อดีตหัวหน้าศาลฎีกา อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา แกนนำ นปช. เป็นหัวเรือใหญ่ทำคดีความ

ซึ่งมานิตเป็นมือขวา สุวรรณ วลัยเสถียร พงศ์เทพ เทพกาญจนา ไพฑูรย์ เนติโพธิ์ มือกฎหมายสำคัญตั้งแต่พรรคไทยรักไทย โดย "คารม" จะเป็นแนวหน้าที่ออกทำงานในฐานะคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคเพื่อไทย หลังๆ มักออกมาแถลงข่าวพร้อมกับนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยเป็นประจำ

(มติชนรายวัน ฉบับ 29 สิงหาคม2554 หน้า2)
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #135 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2554, 01:38:39 »

   วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7578 ข่าวสดรายวัน


นิยาม "คนดี" นิยาม อัน แปรเปลี่ยน ไปตาม ยุคสมัย




ไม่เคยมียุคใด สมัยใด ที่บรรดา "คนดี" ทั้งหลายจะถูกสังคมตั้งเป็นคำถามกระแทกกระทั้น รุนแรง และด้วยความแหลมคมเท่ากับยุคนี้ สมัยนี้

ยุคเปลี่ยนผ่านจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ไม่ว่าคนดีนั้นจะชื่อว่า นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ไม่ว่าคนดีนั้นจะชื่อว่า น.พ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานอนุกรรมการสอบสื่อ

ไม่ว่าคนดีนั้นจะชื่อว่า น.พ.พลเดช พลประทีป อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ไม่ว่าคนดีนั้นจะชื่อว่า นายสุริยะใส กตะศิลา อดีตเลขาธิการครป.

ที่ตั้งเป็นคำถามเพราะว่าสังคมเริ่มสงสัยในความเป็นคนดี สงสัยในนิยามแห่งความดีที่ท่านเหล่านี้ได้รับ

สังคมเริ่มไม่แน่ใจว่า "ดี" จริงหรือไม่

ครั้งหนึ่ง ในทางสังคมถือเอาสถานการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2516 เป็นเส้นแบ่งในทางความดีในทางความถูกต้องของความคิด

เช่นเดียวกับ สถานการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2519

เช่นเดียวกับ สถานการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535

กระนั้น เมื่อสังคมเปลี่ยนจากสถานการณ์การรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 เส้นแบ่งระหว่างความเป็นคนดี เรื่องดี ในทางความคิด ในทางการเมือง ก็เริ่มไม่แน่นอนเสียแล้ว

ใครจะนึกว่าคนดีอย่าง นายสุรพล นิติไกรพจน์ เห็นงามไปกับมาตรา 7

ใครจะนึกว่าคนดีอย่าง นางอมรา พงศาพิชญ์ ได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลจากสถานการณ์การรัฐประหารเดือนกันยายน 2549

ยิ่งผ่านสถานการณ์เดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 เส้นแห่งความดีก็ยิ่งหยิกหยอย

อาการหยิกหยอยของคนดี เรื่องดีมาจากการมองเข้าไปยังสถานการณ์การชุมนุมซึ่งเริ่มเมื่อเดือนมีนาคม 2553 แตกต่างกัน

เมื่อมองแตกต่างกัน ความตาย การบาดเจ็บ การถูกจับ ก็ตีความแตกต่างกันไปด้วย

คนดีจากสถานการณ์เดือนตุลาคม 2516 เริ่มถูกมองด้วยสายตาแปลกแปร่งเมื่อผ่านสถานการณ์เดือนเมษายน พฤษภาคม 2553

มหากวีประชาชนบางคนก็เริ่มจะเป็นมหากวีของอำมาตย์ไป

คนดีอย่าง นางอมรา พงศาพิชญ์ คนดีอย่าง น.พ.ชูชัย ศุภวงศ์ คนดีอย่าง น.พ.วิชัย โชควิวัฒน จึงถูกมองอย่างสงสัย แคลงใจ กังขา

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นลักษณะแห่งอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอนของ "คนดี"

ครูบารุ่นเก่าสรุปอย่างรวบรัดว่า ในสังคมชนชั้นความเป็นคนล้วนกำหนดจากตราแห่งชนชั้น

ประเด็น คนดี เรื่องดี จึงมิได้ดำรงอยู่อย่างเลื่อนลอยหรือบนฐานอันว่างเปล่า ตรงกันข้าม เขาย่อมมีตราประทับว่าทำเพื่อใครรับใช้ใคร และมองเห็นหัวคนส่วนใหญ่หรือไม่ อย่างไร

คนดีจึงต้องถามว่าดีของใคร คนดีจึงต้องถามว่าดีเพราะรับใช้ใคร

หน้า 6
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #136 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2554, 17:43:47 »


 
เหนื่อย
 เหนื่อย  เหนื่อย
 เหนื่อย  เหนื่อย  เหนื่อย
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #137 เมื่อ: 11 กันยายน 2554, 02:20:47 »

   วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7591 ข่าวสดรายวัน


เทียบฟอร์ม2นายกฯ อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์ โฉ่งฉ่างกับนุ่มนวล เปลี่ยนตัว"ผบ.ตร."

คอลัมน์ รายงานพิเศษ



แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากพรรคประชาธิปัตย์อยู่บ้าง เรื่องการเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จากพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ซึ่งสมัครใจย้ายไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และเตรียมเสนอชื่อ พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร.อาวุโสสูงสุดขึ้นดำรงตำแหน่งแทน

แต่เสียงดังกล่าวก็บางเบาอย่างยิ่ง แม้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ พยายามออกมากรีดการโยกย้ายครั้งนี้ แต่ก็โดนสวนกลับอย่างหนักหน่วง

เพราะในสมัยนายอภิสิทธิ์ ก็ทำเรื่องกระทบวงการตำรวจอย่างรุนแรงด้วยการไม่มีผบ.ตร.ตัวจริงนานถึง 1 ปี ในช่วงพ.ศ.2552-2553 สาเหตุเพียงเพราะไม่สามารถตั้งคนที่ตัวเองต้องการได้ แม้จะใช้สารพัดกลเม็ดก็ตาม

สุดท้ายใช้วิธีตั้งคนที่ตัวเองต้องการรักษาราชการแทนผบ.ตร.ไปเรื่อยๆ จนเกษียณอายุราชการ จึงตั้งพล.ต.อ.วิเชียร เป็นผบ.ตร.ตัวจริงได้สำเร็จ

แม้แต่การจะวิพากษ์รัฐบาลที่ให้นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาฯ สมช. มาช่วยราชการสำนักนายกฯ เพื่อเปิดทางให้พล.ต.อ.วิเชียร มานั่งเก้าอี้ตัวนี้ ก็พูดได้ไม่เต็มปาก

เพราะสมัยนายอภิสิทธิ์ ก็สั่งเด้งพล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และพล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาฯ สมช. มาช่วยราชการ แล้วตั้งคนของตัวเองเข้าไปแทน

รวมทั้งการโยกย้ายอีกหลายกระทรวง และที่ถูกสับเละที่สุดคือปัญหาการโยกย้ายในกระทรวงมหาดไทย

พูดง่ายๆ ว่าสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ และพรรค ประชาธิปัตย์ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ เกี่ยวกับการโยกย้าย ล้วนแต่เป็นสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลประชาธิปัตย์ทำมาแล้วทั้งสิ้น!??

จนถูกฝ่ายรัฐบาลเหน็บกลับว่า "ความ จำสั้น"

โดยเฉพาะตำแหน่งผบ.ตร. หากเทียบไปแล้ว การเปลี่ยนตัวผู้นำสีกากีระหว่าง "นายกฯ หล่อ" กับ "นายกฯ สวย" แม้ผลจะเหมือนกัน แต่ขั้นตอนและความเรียบร้อยแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวก็ไม่ปาน

พลิกปูมมาร์คเด้งพัชรวาท

หลังจากนายอภิสิทธิ์ ได้ขึ้นเป็นนายกฯ ช่วงปลายปี 2551 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และ "งูเห่า" ภาค 2 เพราะ นายเนวิน ชิดชอบ ที่เคยอยู่พรรคพลังประชาชน พาส.ส.แยกออกมาตั้งพรรคภูมิใจไทย สนับสนุนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์

เก้าอี้ผบ.ตร.ของพล.ต.อ.พัชรวาท ก็ถูกเพ่งเล็งในทันที เนื่องจาก "ขาใหญ่ม็อบ" ไม่พอใจที่พล.ต.อ.พัชรวาท เอาจริงเอาจังเรื่องคดีความต่างๆ ทั้งการยึดทำเนียบ และสนามบินสุวรรณภูมิ

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่นายอภิสิทธิ์ ดึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ชายพล.ต.อ. พัชรวาท มาเป็นรมว.กลาโหม เพื่อเชื่อมกับกองทัพ ทำให้เก้าอี้ผบ.ตร.ยังนิ่งอยู่

กระทั่งวันที่ 17 เมษายน 2552 เกิดเหตุมือปืนยิงถล่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ มอบหมายให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. (ในขณะนั้น) กำกับดูแลคดีนี้ และให้รายงานความคืบหน้าถึงนายอภิสิทธิ์ โดยตรง จนถูกมองว่าไม่เหมาะสมเหมือนข้ามหัวผบ.ตร.

จากนั้นเก้าอี้ผบ.ตร.ก็เริ่มร้อน เมื่อมีรายงานว่าผู้ยิ่งใหญ่บางคนใช้คดีนี้เขย่าบัลลังก์ผบ.ตร. โดยกล่าวหาว่าพยายามแทรกแซงคดี

พล.ต.อ.พัชรวาท ตัดสินใจลาพักร้อนช่วงปลายเดือนกรกฎาคม เพื่อให้ทำงานกันไปเต็มที่ ซึ่งปกติแล้วเมื่อผบ.ตร.ไม่อยู่ต้องให้รองผบ. ตร.อาวุโสสูงสุด รักษาราชการแทน แต่เนื่องจากรองผบ.ตร.อาวุโสสูงสุดชื่อ "พล.ต.อ. เพรียวพันธ์" ทำให้นายอภิสิทธิ์ตั้งพล.ต.อ. วิเชียร ขึ้นมารักษาการผบ.ตร.แทน

แม้พล.ต.อ.พัชรวาท เหมือนกับจะปล่อยวางแล้วเพราะตัวเองกำลังจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน แต่ก็ไม่วายโดนตามล้างตามเช็ดเมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดคดีอาญาและวินัยร้ายแรงจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551

นายอภิสิทธิ์ ฉวยดาบนี้สั่งเด้งพล.ต.อ.พัชรวาท มาช่วยราชการสำนักนายกฯ ในวันที่ 9 กันยายน พล.ต.อ.พัชรวาท จึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง และต่อสู้ตามกระบวนการจนพ้นความผิดเรื่องสลายม็อบ

มีรายงานว่าสาเหตุสำคัญที่พล.ต.อ.พัชรวาท โดนเด้งทั้งๆ ที่กำลังจะเกษียณในอีกไม่กี่วัน ไม่ใช่เพราะเรื่อง ป.ป.ช.ชี้มูลเท่านั้น แต่น่าจะมาจากเรื่องโผแต่งตั้งนายพล และการแต่งตั้งผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่ง พล.ต.อ.พัชรวาท ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับนายอภิสิทธิ์

ตั้งผบ.ตร.ยุคชุลมุน

นายอภิสิทธิ์ มีความพยายามจะดัน พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ มาเป็นผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งเป็นการแหกประเพณีของวงการสีกากีที่ปกติแล้วจะให้รองผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 ขึ้นมาเป็นผบ.ตร.

แต่พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ซึ่งเป็นรองผบ.ตร. อาวุโสสูงสุด ไม่ มีทางได้ขึ้นอยู่แล้วเพราะเป็นเครือญาติกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ

กระนั้นก็น่าจะเลือกรองผบ.ตร.อาวุโสรองๆลงมา แต่กลับโดดข้ามไปเลือกจเรตำรวจแห่งชาติแทน

ช่วงนั้นวิเคราะห์กันมากมายว่าเหตุใดพล.ต.อ.ปทีป จึงเข้าตานายอภิสิทธิ์ ทั้งๆ ที่ดูตามเส้นทางชีวิตแล้ว ทั้งคู่แทบไม่เคยรู้จักหรือสนิทสนมกันเลย

อีกทั้งประวัติการรับราชการของพล.ต.อ. ปทีป ก็ไม่ได้โดดเด่นกว่ารองผบ.ตร.คนอื่นๆ

จนมีรายงานว่าพล.ต.อ.ปทีป ได้แรงหนุนจากขาใหญ่ม็อบที่ตอนนั้นยังญาติดีกับนายอภิสิทธิ์

และที่สำคัญเชื่อว่านายอภิสิทธิ์ ถูกใจพล.ต.อ.ปทีป เพราะเก่งเรื่องการบริหารงบประมาณอย่างมาก!??

นายอภิสิทธิ์ เสนอชื่อพล.ต.อ.ปทีป ขึ้นเป็นผบ.ตร.คนใหม่ในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2552 แต่ก.ต.ช. เสียงข้างมากไม่เห็นชอบ!!!

นับเป็นว่าที่ผบ.ตร.คนแรกที่ถูกก.ต.ช. คว่ำชื่อกลางวงประชุม

สำหรับรายชื่อก.ต.ช.ในขณะนั้นประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี, นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย, นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม, นายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม, นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นก.ต.ช.โดยตำแหน่ง

ที่เหลืออีก 4 คนเป็นก.ต.ช.ผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย นายเรวัต ฉ่ำเฉลิม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย, นายปิยพันธุ์ นิมมานเหมินท์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านงบประมาณ, นายนพดล อินนา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านพัฒนาองค์กร และพล.ต.อ.สุเทพ ธรรมรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวางแผนหรือการบริหารจัดการ

มีคนที่โหวตเห็นด้วยเพียง 3 คนคือ นายพีระพันธุ์, นายถวิล และนายปิยพันธุ์

เบื้องหลังคว่ำชื่อปทีป

ก.ต.ช.เสียงส่วนใหญ่เห็นว่าผบ.ตร.คนใหม่น่าจะเป็นพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รองผบ.ตร. เพราะโดดเด่นทั้งงานบริหารและปราบปราม รวมทั้งมีสายสัมพันธ์อันดีกับคนในหลายแวดวง แม้แต่ในระดับสูง

นอกจากนี้ ก.ต.ช.เสียงส่วนใหญ่ได้ "ข้อมูลสำคัญ" ที่มิอาจเพิกเฉยได้ เป็นข้อมูลส่งผ่านนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ (ในขณะนั้น)

"ข้อมูลสำคัญ" นี้นอกจากก.ต.ช.ทุกคนจะรู้แล้ว นายอภิสิทธิ์ เองก็ทราบเช่นกัน แต่เหมือนไม่สนใจหรือไม่เชื่อ จึงดึงดันเสนอชื่อพล.ต.อ.ปทีป แทนที่จะเป็นพล.ต.อ.จุมพล

ผลที่ออกมาจึงคว่ำไม่เป็นท่า

บรรดาส.ส.รุ่นใหม่ของประชาธิปัตย์ ดาหน้าออกมาถล่มก.ต.ช.กันสนุกปาก เหมือนไม่รู้คำว่า "ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ"

ขณะที่ส.ส.รุ่นใหญ่แม้แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ยังต้องเงียบเสียง เพราะรู้ดีถึงที่มาของ "ข้อมูลสำคัญ"

หลังโดนสอนเชิงในก.ต.ช. แต่นายอภิสิทธิ์ยังแสดงบท "ดื้อ" ด้วยความพยายามจะส่งชื่อพ.ล.ต.อ.ปทีป เข้าที่ประชุมอีกครั้งในวันที่ 16 กันยายน

โดยก่อนหน้านั้นก็พยายามเดิมเกม "แย่งเสียง" ชนิดที่อึ้งกันไปทั้งบาง

แรกสุดที่เข้าทางคือพล.ต.อ.พัชรวาท ซึ่งถูกเด้งไปช่วยราชการจากคดีสลายม็อบ 7 ตุลาคม 2551 แล้วตั้งพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร.ขึ้นมารักษาราชการแทน

โดยนายอภิสิทธิ์ เลี่ยงที่จะตั้งพล.ต.อ.ปทีป ซึ่งเคยเป็นรักษาราชการแทนผบ.ตร.มาก่อนหน้านี้ เพราะต้องการให้พล.ต.อ.ธานี ใช้สิทธิ์ออกเสียงในก.ต.ช.ได้นั่นเอง

รายถัดมาคือ พล.ต.อ.สุเทพ ก.ต.ช.ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมีลูกชายเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจลาออกจากก.ต.ช.เพราะแบกรับความกดดันไม่ไหว

สุดท้ายคือนายกิตติพงษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งบังเอิญต้องไปราชการในวันเลือกผบ.ตร.พอดี ซึ่งคนที่มารักษาการแทนคือนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม

ตั้งเป็นรรท.ยันเกษียณ

หากดูเสียงตอนนี้เหมือนกับฝ่ายหนุนพล.ต.อ.จุมพล เหลือเพียง 4 เสียงนำโดย นายชวรัตน์ ส่วนฝ่ายนายอภิสิทธิ์ นอกจาก 3 เสียงเดิมแล้วยังเพิ่มพล.ต.อ.ธานี ที่มาแทนพล.ต.อ.พัชรวาท และนายชาญเชาวน์ รวมเป็น 5 เสียง

แต่ทว่าเมื่อถึงวันประชุมจริง นายอภิสิทธิ์ ก็โดนน็อกรอบ 2 เพราะก.ต.ช.ฝ่ายนายอภิสิทธิ์ อย่างน้อย 3 คนปิดห้องคุยกับนายกฯ ก่อนการประชุมก.ต.ช.ไม่นาน โดยระบุว่าไม่สามารถโหวตหนุนพล.ต.อ.ปทีป ได้

เนื่องจากได้รับรู้ถึง "ข้อมูลสำคัญ" ที่ย้ำมาอีกรอบ

นายอภิสิทธิ์ ตัดสินใจเลื่อนการแต่งตั้งผบ.ตร.ออกไปไม่มีกำหนด และใช้วิธีที่ไม่มีใครคาดคิดคือตั้งพล.ต.อ.ปทีป รักษาราชการแทนผบ.ตร.นานถึง 1 ปีเต็มๆ กระทั่งพล.ต.อ.ปทีป เกษียณอายุพร้อมพล.ต.อ.จุมพล ในเดือนกันยายน 2553

ผลจากนั้นนอกจากทำให้วงการตำรวจต้องติดขัดในการทำงาน เพราะไม่มีผู้นำตัวจริงแล้ว แม้แต่นายนิพนธ์ ยังต้องลาออกจากเลขาธิการนายกฯ เพื่อรับผิดชอบที่ไม่สามารถทำให้นายอภิสิทธิ์ ยอมรับฟัง "ข้อมูลสำคัญ" ได้

เมื่อพล.ต.อ.ปทีป เกษียณอายุราชการ คราวนี้ที่ประชุมก.ต.ช.ไม่มีปัญหาเมื่อนายอภิสิทธิ์เสนอชื่อพล.ต.อ.วิเชียร เพราะเห็นว่าเหมาะสมและที่สำคัญเป็นนายตำรวจราชสำนักประจำ มาอย่างยาวนาน

การบริหารงานเรื่องผู้นำตำรวจระหว่างนายอภิสิทธิ์ กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เพิ่งจบไปหมาดๆ ด้วยความเรียบร้อย และเป็นไปอย่างละมุนละม่อม

จึงเป็นภาพเปรียบเทียบที่ชัดเจนยิ่ง!??

หน้า 2
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #138 เมื่อ: 11 กันยายน 2554, 02:24:43 »

วันที่ 09 กันยายน พ.ศ. 2554 เวลา 02:59 น.  ข่าวสดออนไลน์


"ข่าวสด-มติชน"ลาออกจากสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ

"ข่าวสด-มติชน-ประชาชาติ" ลาออกจากสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติแล้วชี้เป็นที่ ประจักษ์ชัดว่ามี "อิทธิพลการเมืองภาย นอก" เข้าบิดเบือน-แทรกแซงการทำงานของสภาการหนังสือพิมพ์ฯ เป็นเหตุให้ภาคีสมาชิกตกเป็นเหยื่อการต่อสู้ทางการเมือง ทั้งยังต้องประสบกับข้อกล่าวหาเลื่อนลอยไร้สาระจากผลการสอบสวน กรณีอีเมล์สื่อ แต่สภาการหนังสือพิมพ์ฯ มิได้แสดงความกระตือรือร้นจัดการแก้ไข ไม่ส่งเสริมเสรีภาพ รวมถึงไม่ดำเนินการระงับความเสียหาย ยิ่งกลับแสดงท่าทีเหมือนเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม อย่างไรก็ตาม เครือมติชน-ข่าว สด จะยังคงธำรงรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานจรรยา บรรณแห่งวิชาชีพ ดังเช่นที่ยึดถือปฏิบัติมายาว นานกว่า 30 ปี และพร้อมทบทวนท่าที หากเจตนาเมื่อครั้งก่อตั้งสภาหนังสือพิมพ์ฯ ได้รับการฟื้นฟูสู่ปกติ

เมื่อวันที่ 7 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปิยะชาติ มงคลไชยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ยื่นหนังสือ 2 ฉบับ ลงวันที่ 7 กันยายน พ.ศ.2554 ให้แก่ประธานคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ โดยเป็นหนังสือ "แจ้งลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ" และ "ชี้แจงข้อเท็จจริง อ้างถึงหนังสือสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ที่ สนช.129/13/2554 วันที่ 19 สิงหาคม 2554" ตามลำดับ

สำหรับหนังสือ ฉบับแรก เรื่อง แจ้งลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกสภาการหนังสือพิมพ์ แห่งชาติ มีเนื้อหาดังนี้ "ในฐานะภาคีสมาชิก ผู้ร่วมก่อตั้งสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และให้ความร่วมมือกับการทำหน้าที่และกิจกรรม ของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติด้วยดีตลอดมา กระผมในฐานะตัวแทนของภาคีสมาชิกอันประกอบด้วยหนังสือพิมพ์มติชน หนังสือพิมพ์ข่าวสด และหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ขอแจ้งต่อคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ว่า หนังสือพิมพ์ทั้ง 3 ฉบับ ขอลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2554

สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติจัดตั้ง ขึ้นด้วยเจตนารมณ์เพื่อเป็นองค์กรควบคุมกันเอง และส่งเสริมเสรีภาพและความรับผิดชอบยกระดับ ผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์และกิจการหนังสือพิมพ์ให้ดียิ่งขึ้น แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในกรณีล่าสุดกับภาคีสมาชิกอย่างหนังสือ พิมพ์มติชนและหนังสือพิมพ์ข่าวสดสะท้อนว่าหลักการข้างต้นมิได้รับการธำรง รักษา ซ้ำยังถูกบิดเบือนด้วยอิทธิพลการเมืองจากภายนอก

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเป็นที่ประจักษ์ว่ามีอิทธิพลการเมืองภายนอกเข้าแทรกแซง และมีภาคีสมาชิกตกเป็นเหยื่อของการต่อสู้ทางการเมืองนั้น คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ยังมิได้แสดงความกระตือรือร้นจะจัดการแก้ไข รวมไปถึงดำเนินการระงับความเสียหายผู้ได้รับผลกระทบ ที่เสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศศักดิ์ศรีไปแล้วดังที่ควรปฏิบัติ กลับแสดงท่าทีเหมือน เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม

ตลอดเวลากว่า 30 ปี เครือมติชนได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความหนักแน่นมั่นคงในวิชาชีพ เป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากประชาชน ด้วยความเป็นมืออาชีพและวัตรปฏิบัติที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียด้านจรรยาบรรณ จนกระทั่งประสบกับข้อกล่าวหาที่เลื่อน ลอยไร้สาระเช่นนี้

ด้วยเหตุ นี้ กระผมในฐานะตัวแทนของภาคีสมาชิกทั้ง 3 จึงขอเรียนย้ำอีกครั้งว่า หนังสือ พิมพ์มติชน หนังสือพิมพ์ข่าวสด และหนังสือ พิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ขอลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ โดยหวังว่าการแสดงออกเช่นนี้จะทำให้เกิดการตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ และการเปลี่ยนแปลงที่จะนำสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติกลับไปสู่มาตรฐานของ เจตนารมณ์เมื่อครั้งก่อตั้งได้

หนังสือพิมพ์มติชน หนังสือพิมพ์ข่าวสด และหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ขอยืนยันว่า แม้จะมิได้เป็นภาคีสมาชิกของสภาการหนังสือ พิมพ์แห่งชาติแล้ว แต่หนังสือพิมพ์ทั้ง 3 ฉบับไปจนถึงกิจการอื่นๆ ในเครือ จะยังคงธำรงรักษา ซึ่งมาตรฐานจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ ดังเช่นที่ยึดถือปฏิบัติมาตั้งแต่ก่อนสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติจะถือ กำเนิด พร้อมจะให้สังคมตรวจสอบความสุจริตโปร่งใสในการปฏิบัติงานได้ทุกเวลา และพร้อมให้ความร่วมมือกระทำการในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประชาชน ส่วนใหญ่ ไปจนถึงการทบทวนสถานภาพและท่าที หากเจตนาและมาตรฐานเมื่อครั้งก่อตั้งสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้รับการ ฟื้นฟูกลับมาสู่ความเป็นปกติดังเดิม จึงเรียนมาด้วยความเคารพ ปิยะชาติ มงคลไชยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท มติชน จำกัด(มหาชน)"

ผู้สื่อข่าวระบุว่า ส่วนหนังสือฉบับที่สอง เรื่อง ชี้แจงข้อเท็จจริง อ้างถึงหนังสือสภาการหนังสือ พิมพ์แห่งชาติ ที่ สนช.129/13/2554 วันที่ 19 สิงหาคม 2554 มีเนื้อหาโดยละเอียดดังนี้ "หนังสือพิมพ์มติชนและข่าวสด ซึ่งเป็นภาคีสมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ขอเรียนชี้แจงคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติว่า ตามที่ คณะกรรมการมีมติเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2554 ให้ตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีข่าวอีเมล์ที่อ้างว่าเป็นของบุคคลในพรรคเพื่อไทยระบุว่ามีการจ่ายสินบน ให้กับสื่อมวลชน และแถลงผลการสอบสวนไปเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2554

หนังสือพิมพ์มติชน-ข่าวสด ได้ออกแถลง การณ์ ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ เพื่อชี้ให้เห็นความผิดปกติและความไม่ชอบมาพากลของการสอบสวนดังกล่าว ว่า

1.ดำเนินการไปโดยผิดหลักการ ไม่ว่าจะเป็น การตั้งหัวข้อสอบสวนตามชอบใจ เมื่อบุคคลไม่ผิดก็ขยายไปที่องค์กร ไปจนถึงการสอบสวนลับหลังโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจง ข้อเท็จจริง 2.วิธีการสอบสวนและการสรุปผลสอบสวนขาดตรรกะ และความรู้ความเข้าใจในการประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ 3.พฤติกรรมแห่งการสอบสวนและผู้สอบสวนมีเจตนาน่าเคลือบแคลง โดยเฉพาะความพยายามในการใช้ผลการสอบสวนนี้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของคน บางกลุ่ม

หนังสือพิมพ์มติชน-ข่าวสด เรียนย้ำว่าจะไม่ขอใช้สิทธิ์ในการอุทธรณ์ต่อสภาการหนังสือ พิมพ์แห่งชาติ เพราะยืนยันมาแต่ต้นแล้วว่าไม่ยอมรับผลการสอบสวนที่ผิดปกติของคณะอนุกรรม การได้ แต่การชี้แจงครั้งนี้ เนื่องจากการสอบสวนพาดพิงถึงองค์กรหนังสือพิมพ์ ซึ่งคณะอนุกรรม การและสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติมิได้เปิดโอกาสให้ได้แสดงข้อเท็จจริงมา ก่อน

ในฐานะภาคีสมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ หนังสือพิมพ์มติชน-ข่าวสด ขอยืนยันว่า ทั้งองค์กรและผู้ปฏิบัติงานของหนังสือพิมพ์ทั้งสอง ได้ประพฤติปฏิบัติตามกรอบจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพและข้อบังคับด้านจริยธรรมของ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติอย่างซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด

หนังสือพิมพ์มติชน-ข่าวสด หวังว่าคณะกรรม การสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติที่ประกอบไปด้วยผู้อาวุโสในวิชาชีพสื่อมวลชน และผู้ทรงคุณวุฒิจากวิชาชีพอื่นๆ จะพิจารณาเหตุที่เกิดขึ้นด้วยใจเป็นธรรมและแก้ไขความเสียหายให้กับภาคี สมาชิกที่ได้รับความเสื่อมเสียทั้งที่มิได้ประพฤติตามที่ถูกกล่าวหา จึงเรียนมาด้วยความเคารพ ปิยะชาติ มงคลไชยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท มติชน จำกัด(มหาชน)"

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สาเหตุที่ทำให้หนังสือ พิมพ์ในเครือมติชน ข่าวสด และประชาชาติธุรกิจ ลาออกจากภาคีสมาชิกสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สืบเนื่องมาจากกรณีสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ แต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งจดหมายอิเล็ก ทรอนิกส์ (อีเมล์) ของนักการเมืองระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวล ชน" กำหนดให้นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน เป็นประธาน และมีอนุกรรมการ ประกอบด้วย นางบัญญัติ ทัศนียะเวช, รศ.ดร.ดรุณี หิรัญรักษ์, ศ.พิเศษ สิทธิโชค ศรีเจริญ และดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ เป็นเลขานุการ

ต่อมาอนุกรรมการ ชุด น.พ.วิชัย สรุปผลการสอบสวนไม่พบว่ามีสื่อหรือบุคคลที่มีชื่อปรากฏในอีเมล์ของนักการ เมืองพรรคเพื่อไทยรับสินบน แต่อนุกรรมการกลับเปิดประเด็นใหม่ สอบลับหลังแล้วสรุปกล่าวหาว่า น.ส.พ.มติชน ข่าวสด และไทยรัฐ เอนเอียงเข้าข้างพรรคเพื่อไทย ที่สำคัญกระบวนการสอบของอนุกรรมการ ชุดนี้ผิดหลักปฏิบัติ ผิดมาตรฐานวิชาชีพหนังสือ พิมพ์ และผิดจรรยาบรรณสภาการหนังสือพิมพ์ฯ อาทิ เปิดเผยชื่อของคอลัมนิสต์ และใช้วิธีนั่งนับการลงรูปภาพโดยไม่พิจารณามูลเหตุแวดล้อมของเหตุการณ์ อีกทั้งพรรคประชาธิปัตย์ยังรีบรับลูกนำผลสรุปไปยื่นต่อกกต. เพื่อให้ยุบพรรคเพื่อไทย ขณะที่ตัวน.พ.วิชัยเองก็เร่งรีบไปให้ การเป็นประโยชน์ต่อคดียุบพรรคเพื่อไทยกับกกต. ทันทีที่แถลงผลสอบสวนเสร็จสิ้น ทำให้เครือมติชน-ข่าวสด ออกแถลงการณ์ 2 ฉบับแสดงจุดยืนไม่ยอมรับผลสอบฉบับนี้

นอกจากนั้น จากการตรวจสอบยังพบว่า น.พ.วิชัยมีสายสัมพันธ์กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในสมัยนายอภิสิทธิ์ดำรงตำแหน่งนายกฯ น.พ.วิชัยเคยเขียนจดหมายส่วนตัว ส่งไปถึงนายอภิสิทธิ์ฝากฝังให้แต่งตั้งน.พ.ชูชัย ศุภวงศ์ ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพราะเป็นผู้ที่ทุ่มเททำงานให้พรรคประชาธิปัตย์ยาวนาน หลังจากนั้น เมื่อน.พ.ชูชัยทำหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและสรุปผล สอบเหตุปราบคนเสื้อแดงจนมีคนตาย 91 ศพ บาดเจ็บอีกเกือบ 2,000 ราย ช่วงปี 2553 ชี้ว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้ละเมิดสิทธิฯ ผู้ชุมนุมใดๆ ทั้งสิ้น

ต่อมา นางยุวดี ธัญญสิริ นักข่าวอาวุโสทำเนียบรัฐบาล และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสภาการหนังสือพิมพ์ฯ วิพากษ์อนุกรรมการชุดหมอวิชัยเช่นกันว่าสรุปผลเร็วขาดความรอบคอบ ชี้ ที่ผ่านมาตลอดห้วงวิกฤตการเมือง 2 ปี "ข่าวสด" เป็นตัวแทนต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้ ผู้บาดเจ็บ-ล้มตายจากเหตุปราบคนเสื้อแดง ด้านผศ.ดร.ทวีศักดิ์ เผือกสม อาจารย์มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ส่งอีเมล์ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการของหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์สุขภาพไทย ที่มีน.พ.วิชัยร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วย เนื่องจากรับไม่ได้กับการตรวจสอบมติชน-ข่าวสด ของน.พ. วิชัย โดยระบุว่ามีอคติไม่เป็นธรรม

ขณะที่นายฐากูร บุนปาน ผู้จัดการทั่วไป บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ย้ำถึงสาเหตุที่ไม่ยอมรับผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการ กับผู้สื่อข่าวแตกประเด็น ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ว่า "กระบวนการทั้งหมดนี้ รวมอยู่กับตัวบุคคลซึ่งถูกสอบ ท่านไม่เคยบอกก่อนว่าจะตรวจสอบองค์กรด้วย ไม่มีตรงไหนของหนังสือที่แจ้งมาว่า เนื่องจากผลสอบไม่พบพฤติกรรมของบุคลากรรวมถึงองค์กรคุณด้วยนะ ไม่มี ไม่ได้บอก เราถึงตั้งข้อสงสัยว่าเลยธงหรือเปล่า วิธีการสอบสวนของคณะอนุกรรมการมีปัญหาในตัวมันเอง ท่านมองปัญหาเป็นจุด ไม่มองที่มาที่ไป ว่าก่อนเลือกตั้งเป็นไง หลังเลือกตั้งแล้วเป็นไง จับมาจุดเดียวแล้วลงมติว่า ผมเป็นคนอย่างไร" และยืนยันว่า ไม่มีใครคนใดคนหนึ่ง จะสามารถกำหนดทิศทางใดทิศทางข่าวในแต่ละวันเพียงคนเดียวได้ เพราะการคัดเลือกข่าวของ มติชน-ข่าวสด เป็นไปตามระบบวิชาชีพผู้ประกอบ การหนังสือพิมพ์ ด้านนายสมหมาย ปาริจฉัตต์ รองประธานกรรมการบริษัทมติชน ส่งหนังสือถึงกรรมการผู้จัดการบริษัท มติชน เพื่อแสดงความประสงค์ขอถอนตัวออกจากการเป็นผู้แทนองค์กร และกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติกลุ่มผู้แทนองค์กร เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2554

 
   
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #139 เมื่อ: 14 กันยายน 2554, 04:08:05 »

เจอข่าวเพื่อนจากถุงกล้วยแขก มาลองอ่านกันขอรับ







      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #140 เมื่อ: 14 กันยายน 2554, 04:36:26 »











      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
suphot
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,467

« ตอบ #141 เมื่อ: 14 กันยายน 2554, 10:48:51 »

การบริหารงานเรื่องผู้นำตำรวจระหว่างนายอภิสิทธิ์ กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เพิ่งจบไปหมาดๆ ด้วยความเรียบร้อย และเป็นไปอย่างละมุนละม่อม

จึงเป็นภาพเปรียบเทียบที่ชัดเจนยิ่ง!??

 ปิ๊งๆ แน่ใจหรือครับว่าเป็นไปอย่างละมุนกับละม่อม....ก็เห็นยังรักษาการอยู่เลย...มันต่างกันตรงไหน
ถ้าจบ มันต้อง เป็นได้ในวันที่ 1 ตุลานี้...ถ้ายัง....ก็ไม่แตกต่างกันหรอก...อยากรู้ต้องไปถามพี่ถวิล... เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า
Pete15
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,460

« ตอบ #142 เมื่อ: 14 กันยายน 2554, 11:17:57 »

สวิล ยังไม่เปลียนสี(ศรี)
      บันทึกการเข้า
suphot
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,467

« ตอบ #143 เมื่อ: 14 กันยายน 2554, 11:50:51 »

อ้างถึง
ข้อความของ Pete15 เมื่อ 14 กันยายน 2554, 11:17:57
สวิล ยังไม่เปลียนสี(ศรี)
ครับพี่่ปี๊ด...พี่ถวิล...แกไม่ยอมเปลี่ยนง่ายหรอกครับ...ถ้าข้าราชการ
ประจำต้องมานั่งก้มหัวให้นักการเมืองแบบนี้....ประชาชนจะไปหวังพึ่งอะไรจากใครได้...โดยเฉพาะ
นักการเมืองจอมเทคนิค...ปากอย่างใจอย่าง....เพื่อนผมมันถึงได้เดือดร้อน....เพราะข้าราชการประจำ
หัวหดไม่สู้.....ต้องคอยเลีย...ข้าราชการการเมือง...ไม่ว่าฝ่ายไหนพรรคไหน...มันก็ต้องให้ความเป็นธรรม
กับข้าราชการการเมืองก่อน....ยังไม่ได้ทำงานเลย...มันบอกไม่ใช่พวกมัน...ทำงานร่วมกันไม่ได้......
อ้าว...อย่างนี้ไม่ต้องย้ายกันทั้งประเทศเลยหรือครับ...ฮ่วย!
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #144 เมื่อ: 20 กันยายน 2554, 22:38:05 »

ย้าย"วิเชียร"ช่วยราชการสำนักนายกฯ ตั้ง"พระนาย สุวรรณรัฐ"รักษาการปลัด มท.
 
   

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 20 กันยายน ที่กระทรวงมหาดไทย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกคำสั่งให้นายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และตนได้ลงนามแต่งตั้งนายพระนาย สุวรรณรัฐ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทยแล้ว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิเชียรได้เดินทางมาเก็บของออกจากห้องทำงานปลัดกระทรวงฯทั้งหมดแล้ว โดยนายวิเชียรกล่าวเพียงสั้นๆ ว่าเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เป็นข้าราชการต้องมีระเบียบวินัยที่จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #145 เมื่อ: 21 กันยายน 2554, 22:40:06 »

แต้วเก่งจัง Ibis เราก็เคยไปพัก

      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #146 เมื่อ: 26 กันยายน 2554, 22:31:44 »

เมื่อวันอาทิตย์ ที่ผ่านมา นายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มาลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทยหลังจากพ้นจากตำแหน่ง มีผู้มาร่วมพิธีประมาณ ๑๐ คน ต่างจากวันเข้ารับตำแหน่ง และ ปลัดกระทรวงท่านอื่นอย่างชัดเจน ยังกับว่า คนมหาดไทยเขื่อว่าอีก ๕ ปี ที่ยังเหลือ ท่านจะไม่ย้อนมามหาดไทย
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Leam
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 23,776

« ตอบ #147 เมื่อ: 28 กันยายน 2554, 00:16:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 26 กันยายน 2554, 22:31:44
เมื่อวันอาทิตย์ ที่ผ่านมา นายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มาลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทยหลังจากพ้นจากตำแหน่ง มีผู้มาร่วมพิธีประมาณ ๑๐ คน ต่างจากวันเข้ารับตำแหน่ง และ ปลัดกระทรวงท่านอื่นอย่างชัดเจน ยังกับว่า คนมหาดไทยเขื่อว่าอีก ๕ ปี ที่ยังเหลือ ท่านจะไม่ย้อนมามหาดไทย

แล้วน้องป๋าเชื่ออย่างไรครับ?
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #148 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2554, 01:53:44 »

จุดต่าง 2 รัฐบาล อภิสิทธิ์ กับ ยิ่งลักษณ์ ′พูด′ กับ ′ทำ′
วันที่ 03 ตุลาคม พ.ศ. 2554 เวลา 19:00:59 น.


(ที่มา : มติชน รายวัน ฉบับวันที่ 3 ต.ต.2554)
 

หากประเมินจาก "น้ำเสียง" ของ นายเทพไท เสนพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี "เงา" พรรคประชาธิปัตย์

ถือว่า รายการ "นายกฯยิ่งลักษณ์พบประชาชน" สอบผ่าน

เป็นการสอบผ่านบนบรรทัดฐาน "การพูดของนายกรัฐมนตรี วันนี้เป็นเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี"

เป็นบรรทัดฐานอัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้กำหนด

เป็นบรรทัดฐานอัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เองก็ยึดกุมอย่างมั่นคงตั้งแต่แรกที่เปิดตัวในฐานะผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย

รูปธรรมในเบื้องต้น คือ การนำเสนอสิ่งที่จะทำโดยผ่าน "นโยบาย"

รูปธรรมในเบื้องกลางเมื่อได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 3 กรกฎาคม คือ การจะทำตามคำมั่นอันให้ไว้ในระหว่างรณรงค์หาเสียง

รูปธรรมอันสัมผัสได้ผ่านรายการ "นายกฯ ยิ่งลักษณ์พบประชาชน" คือ การได้ลงมือทำ

ทั้งหมดนี้ยืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สำเหนียกในจุดแข็งของพรรคเพื่อไทย สำเหนียกในจุดแข็งของตนเอง ที่ซึ่งสำแดงและนำเสนอให้ประชาชนพิจารณาเสมอมา

นั่นก็คือ "ทำ" ให้ได้อย่างที่ "พูด"

มีความแตกต่างอย่างแน่นอนระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แม้ว่าจะมาจากบิดา มารดา คนเดียวกันก็ตาม

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงท่าที ไม่ลดราวาศอก

ไม่ว่าเมื่อแรกเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ไม่ว่าเมื่อแรกเข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคไทยรักไทย

จุดเด่นคือ ตอบโต้ทุกเม็ด ไม่ยอมใครง่ายๆ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เหมือนกับเป็นคนอ่อน แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วก็ดำรงจุดมุ่งหมายของตนอย่างมั่นแน่ว

เพียงแต่ด้วยท่าทีอันนุ่มนวล อาศัยความเป็นผู้หญิงให้เป็นประโยชน์

สิ่งที่ประชาชนเห็นมาโดยตลอดก็คือ ไม่ยินยอมเข้าไปในสนามรบหรือเวทีที่ตนเองไม่ได้เป็นฝ่ายกำหนด

นั่นก็คือ หลีกเลี่ยงการปะทะกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ไม่ว่าจะถูกเย้ายั่ว ไม่ว่าจะถูกโจมตีทั้งต่อหน้าและลับหลังอย่างไร ก็ยิ้มรับแต่ก็มิได้หมายความว่าจะยอมรับหรือเห็นด้วย ตรงกันข้าม กลับอาศัยจุดแข็งของตนมาเป็นประโยชน์และสามารถเอาชนะในตอนปลายได้ในที่สุด

จุดแข็งที่สำคัญเป็นอย่างก็คือ ความพยายามในการไม่ตอบโต้ ไม่ปะทะด้วยกำลัง

เวลา 1 เดือนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจถูกเยาะเย้ย หยามหมิ่น จากฝ่ายตรงกันข้าม อย่างรุนแรงและร้ายกาจ

เล่นเรื่อง "ส่วนตัว" เสียๆ หายๆ ก็มี

พูดผิดเพียงนิดเดียว แถลงผิดเพียงนิดเดียว ก็ถูกนำไปขยายด้วยวาทกรรมหะรูหะราอย่างชนิดไม่รู้จักแล้วไม่รู้จักเลิก

ทั้งยังเป็นการเล้าเหลืออันมาจากประดา "ผู้ชาย" ทั้งท่อน

ปรปักษ์บางคนสรุปอย่างไม่ลังเลว่าเละยิ่งกว่าเละ ปรปักษ์บางคนสรุปอย่างมั่นใจว่าไม่น่าจะอยู่ได้เกิน 6 เดือน

ตรงกันข้าม คำน้อยจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่เคยตอบโต้

ตรงกันข้าม สิ่งที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยืนหยัดแสดงออกคือ การลงมือทำงานตามคำมั่นที่ได้ประกาศให้ไว้กับประชาชน

ไม่ว่าการลดราคาน้ำมัน ช่วยค่าครองชีพประชาชน

ไม่ว่าบ้านหลังแรก ไม่ว่ารถยนต์คันแรก ไม่ว่าเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท และไม่ว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือก และเดินหน้าต่อไปในเรื่องการปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ให้กับผู้ใช้แรงงาน

เป็นการ "ทำ" โดยมีการ "พูด" เพื่อขยายรายละเอียดตามมาพอสมควร

จุดต่างระหว่างรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คืออะไร

เพียงเวลา 1 เดือนประชาชนก็เริ่มมองเห็น จากการเปรียบเทียบระหว่างความสันทัดอันมาจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ ความสันทัดอันมาจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เป็นความสันทัดอันแตกต่างกันระหว่าง "การพูด" กับ "การทำ" อย่างแน่นอน

Notice: Undefined index: subcatid in /mnt/public_html/news_detail.php on line 195
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
suphot
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,467

« ตอบ #149 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2554, 11:50:40 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 04 ตุลาคม 2554, 01:53:44
จุดต่าง 2 รัฐบาล อภิสิทธิ์ กับ ยิ่งลักษณ์ ′พูด′ กับ ′ทำ′
วันที่ 03 ตุลาคม พ.ศ. 2554 เวลา 19:00:59 น.


(ที่มา : มติชน รายวัน ฉบับวันที่ 3 ต.ต.2554)
 

หากประเมินจาก "น้ำเสียง" ของ นายเทพไท เสนพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี "เงา" พรรคประชาธิปัตย์

ถือว่า รายการ "นายกฯยิ่งลักษณ์พบประชาชน" สอบผ่าน

เป็นการสอบผ่านบนบรรทัดฐาน "การพูดของนายกรัฐมนตรี วันนี้เป็นเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี"

เป็นบรรทัดฐานอัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้กำหนด

เป็นบรรทัดฐานอัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เองก็ยึดกุมอย่างมั่นคงตั้งแต่แรกที่เปิดตัวในฐานะผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย

รูปธรรมในเบื้องต้น คือ การนำเสนอสิ่งที่จะทำโดยผ่าน "นโยบาย"

รูปธรรมในเบื้องกลางเมื่อได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 3 กรกฎาคม คือ การจะทำตามคำมั่นอันให้ไว้ในระหว่างรณรงค์หาเสียง

รูปธรรมอันสัมผัสได้ผ่านรายการ "นายกฯ ยิ่งลักษณ์พบประชาชน" คือ การได้ลงมือทำ

ทั้งหมดนี้ยืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สำเหนียกในจุดแข็งของพรรคเพื่อไทย สำเหนียกในจุดแข็งของตนเอง ที่ซึ่งสำแดงและนำเสนอให้ประชาชนพิจารณาเสมอมา

นั่นก็คือ "ทำ" ให้ได้อย่างที่ "พูด"

มีความแตกต่างอย่างแน่นอนระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แม้ว่าจะมาจากบิดา มารดา คนเดียวกันก็ตาม

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงท่าที ไม่ลดราวาศอก

ไม่ว่าเมื่อแรกเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ไม่ว่าเมื่อแรกเข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคไทยรักไทย

จุดเด่นคือ ตอบโต้ทุกเม็ด ไม่ยอมใครง่ายๆ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เหมือนกับเป็นคนอ่อน แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วก็ดำรงจุดมุ่งหมายของตนอย่างมั่นแน่ว

เพียงแต่ด้วยท่าทีอันนุ่มนวล อาศัยความเป็นผู้หญิงให้เป็นประโยชน์

สิ่งที่ประชาชนเห็นมาโดยตลอดก็คือ ไม่ยินยอมเข้าไปในสนามรบหรือเวทีที่ตนเองไม่ได้เป็นฝ่ายกำหนด

นั่นก็คือ หลีกเลี่ยงการปะทะกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ไม่ว่าจะถูกเย้ายั่ว ไม่ว่าจะถูกโจมตีทั้งต่อหน้าและลับหลังอย่างไร ก็ยิ้มรับแต่ก็มิได้หมายความว่าจะยอมรับหรือเห็นด้วย ตรงกันข้าม กลับอาศัยจุดแข็งของตนมาเป็นประโยชน์และสามารถเอาชนะในตอนปลายได้ในที่สุด

จุดแข็งที่สำคัญเป็นอย่างก็คือ ความพยายามในการไม่ตอบโต้ ไม่ปะทะด้วยกำลัง

เวลา 1 เดือนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจถูกเยาะเย้ย หยามหมิ่น จากฝ่ายตรงกันข้าม อย่างรุนแรงและร้ายกาจ

เล่นเรื่อง "ส่วนตัว" เสียๆ หายๆ ก็มี

พูดผิดเพียงนิดเดียว แถลงผิดเพียงนิดเดียว ก็ถูกนำไปขยายด้วยวาทกรรมหะรูหะราอย่างชนิดไม่รู้จักแล้วไม่รู้จักเลิก

ทั้งยังเป็นการเล้าเหลืออันมาจากประดา "ผู้ชาย" ทั้งท่อน

ปรปักษ์บางคนสรุปอย่างไม่ลังเลว่าเละยิ่งกว่าเละ ปรปักษ์บางคนสรุปอย่างมั่นใจว่าไม่น่าจะอยู่ได้เกิน 6 เดือน

ตรงกันข้าม คำน้อยจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่เคยตอบโต้

ตรงกันข้าม สิ่งที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยืนหยัดแสดงออกคือ การลงมือทำงานตามคำมั่นที่ได้ประกาศให้ไว้กับประชาชน

ไม่ว่าการลดราคาน้ำมัน ช่วยค่าครองชีพประชาชน

ไม่ว่าบ้านหลังแรก ไม่ว่ารถยนต์คันแรก ไม่ว่าเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท และไม่ว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือก และเดินหน้าต่อไปในเรื่องการปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ให้กับผู้ใช้แรงงาน

เป็นการ "ทำ" โดยมีการ "พูด" เพื่อขยายรายละเอียดตามมาพอสมควร
...
จุดต่างระหว่างรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คืออะไร

เพียงเวลา 1 เดือนประชาชนก็เริ่มมองเห็น จากการเปรียบเทียบระหว่างความสันทัดอันมาจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ ความสันทัดอันมาจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เป็นความสันทัดอันแตกต่างกันระหว่าง "การพูด" กับ "การทำ" อย่างแน่นอน

Notice: Undefined index: subcatid in /mnt/public_html/news_detail.php on line 195

สักแต่ว่าทำ เค้าเลยเรียกว่าทำแก้บน...ทำไม่ได้อย่างที่พูดกระทบกระเทือนไปหมด
ทำไม่รู้จักเวลาว่าตอนไหนควรตอนไหนไม่ควร...เรียกว่าทำตามโพยมากกว่าใช้สมองตัวเอง...ไอ้เรื่องหลีกเลี่ยง
การปะทะกับอภิสิทธิ์ เค้าเรียกว่าเอาตัวรอด...สัญญาอะไรไว้กับประชาชน...ไม่ทำก็ไม่รอด..ก็คงอยู่ได้...
แต่...ไม่นาน....
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 17  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><