23 พฤศจิกายน 2567, 12:21:38
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 [2] 3 4 ... 17  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องของเขา จะเล่าให้ฟัง  (อ่าน 289281 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 22 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #25 เมื่อ: 22 มกราคม 2553, 20:13:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ หนุ่ม2524 เมื่อ 22 มกราคม 2553, 10:48:19
เหตุเกิดที่ชานชลา 11 บี สถานีคิงครอส 


     เดลิเมล์ - ภาพหญิงสูงวัยขณะะก้าวขึ้นรถไฟภาพนี้ ไม่ใช่ภาพของสุภาพสตรีทั่วๆ ไป แต่เป็นสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ ซึ่งทรงซื้อตั๋วโดยสาร(ในราคาผู้สูงอายุ) เดินทางออกนอกเมือง เพื่อเตรียมฉลองเทศกาลคริสมาต์กับพระบรมวงศานุวงศ์ในแคว้นนอร์ฟอล์ก
   
   แม้ไม่มีหมายกำหนดการประกาศให้ประชาชนทราบอย่างเป็นทางการ แต่ผู้โดยสารที่กระจัดกระจายอยู่ที่สถานีคิงครอสในกรุงลอนดอน กลับมาออกันที่ชานชลา 11บี เมื่อทราบว่า หนึ่งในผู้โดยสารที่ตีตั๋วชั้นหนึ่งนั้น คือ พระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งกำลังจะเสด็จแปรพระราชฐานไปยังพระตำหนักแซนดริงแฮม ในช่วงคริสตมาส์นี้
   
   เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อเช้าวันพฤหัสบดี(17) ที่ผ่านมา แอนดรูวส์ สมิธ ผู้โดยสารเที่ยวเดียวกัน กล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า "เหลือเชื่อ ภรรยาผมคงไม่เชื่อผมแน่ๆ " ขณะที่นักเดินทางบางส่วนรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย เมื่อตำรวจปิดกั้นพื้นที่ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่พระองค์เพียง 5 นาทีก่อนที่รถไฟจะออกเดินทาง
   
   ประมุขแห่งอังกฤษ มีข้าราชบริพารติดตามเพียงไม่กี่คนในการเสด็จครั้งนี้ ทรงประทับนั่งในตู้โดยสารที่มี 8 ที่นั่ง โดยพระองค์ทรงพระองค์นั่งเคียงข้างองค์รักษ์ในห้องโดยสารที่มีบานประตูกั้นแยกจากที่นั่งห้องอื่นๆ ทรงมีท่าทางผ่อนคลายอย่างเป็นที่สุด ขณะที่มีปฏิสันถารกับองค์รักษ์ ในการเดินทางบนขบนรถไฟเฟิร์สแคปิตอลคอนเน็ค ไปยังสถานีคิงสลิน สถานีที่ใกล้กับพระตำหนักซานดริงแฮมที่สุด
   
   และมีเพียงเด็กน้อยคนเดียวเท่านั้นที่ฝ่าด่านความปลอดภัยเข้าไปได้ เมื่อเด็กน้อยวิ่งไปตามทางเดิน ขณะที่พ่อวิ่งไล่ตาม แต่เด็กน้อยก็ได้แต่เพียงชะเง้อหน้าขึ้นมองบานกระจกรถไฟ เขาตัวเล็กเกินไปที่จะเอื้อมกดปุ่มเปิดประตู อย่างไรก็ตาม เด็กชายได้รับรอยยิ้มสดใสจากสมเด็จพระราชินี ผู้มีพระชนมายุ 83 พรรษาแล้วในปีนี้
   
   เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถานียืนยันว่า สมเด็จพระราชีนีอลิซาเบธที่ 2 และข้าราชบริพารของพระองค์ทั้งหมดได้จ่ายเงินซื้อตั๋วโดยสาร โดยราคาตั๋วไป-กลับ(ยังไม่ระบุเที่ยวกลับ) สำหรับวันนั้น คือ 86 ปอนด์ (4,655 บาท)แต่เขากล่าวติดตลกว่า พระองค์จะทรงได้ประหยัดเงินมาก เพราะซื้อตั๋วในราคาผู้สูงอายุได้และจากการซื้อตั๋วล่วงหน้า ทั้งนี้ ราคาตั๋วล่วงหน้าสำหรับรถไฟชั้นหนึ่งในราคาลดแล้วอยู่ที่ 44.40 ปอนด์(2,403 บาท)
   
   ทั้งนี้ หลังจากถึงสถานคิงสลิน เมื่อเวลา 12. 20 น. รถแรนโรเวอร์ก็มารถรับพระองค์ต่อไปยังซานดริงแฮม การเดินทางครั้งนี้ พระองค์เสด็จเพียงลำพัง โดยดยุคแห่งเอดินเบอระ พระสวามี เสด็จเดินทางไปก่อนหน้านี้สองสามวัน โฆษกของเฟิร์สแคปิตอลคอนเน็ค ระบุว่า พระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ไม่ได้รับการปฏิบัติพิเศษเหนือกว่าผู้โดยสารธรรมดา และพระองค์ก็ซื้อตั๋วล่วงหน้าด้วย
   
   ด้านโฆษกสำนักพระราชวังบักกิงแฮม เผยว่า พระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงพระราชินีทรงเดินทางด้วยโรถไฟสาธารณะอยู่บ่อยๆ
   
   "เราต้องพิจารณาเรื่องต่างๆ เช่นความคุ้มค่าและความปลอดภัย และเราจะลองหากทุกอย่างเหมาะสม"
   
   แน่นอนว่า สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ ทรงมีสิทธิ์ใช้ขบวนรถไฟส่วนพระองค์ แต่การเดินทางแต่ละครั้งต้องใช้ภาษีของประชาชนถึง 57,142 ปอนด์ (3,090,000 บาท)เลยทีเดียว 

 
ก้าวนี้เป็นก้าวที่ช่วยประหยัดงบให้แก่ท้องพระคลังจำนวนไม่น้อย 

 
 

สาวน้อยถวายช่อดอกไม้ ขณะที่พระองค์มีพระพักตร์สดชื่น แจ่มใส 

 
 




       
 
ทรงทอดพระเนตรออกมาจากหน้าต่างชั่วขณะก่อนออกเดินทาง 

 
 




มีข้าราชบริพารติดตามมาไม่กี่คน 
  gek
 

หนุ่มมีเรื่องดีดีเข้ามาเล่าอีกนะคะเราจะเข้ามาอ่านบ่อยๆ ขอบคุณท่านทูที่ตั้งกระทู้นี้ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #26 เมื่อ: 29 มกราคม 2553, 18:19:56 »

นอกเครื่องแบบเป็นร้อยคะพี่!!
ทำยากนะ ใครบอกว่าง่าย
      บันทึกการเข้า


พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #27 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2553, 18:29:50 »

ทำไมนายกฯญี่ปุ่นต้องไปศาลเจ้ายะสุคุนิ?

คำถามจากผู้อ่านท่านหนึ่ง ถามถึงกรณีที่ผู้นำญี่ปุ่นหลายคน เดินทางไปบูชาศาลเจ้ายะสุคุนิในกรุงโตเกียว ทั้งที่ทราบว่าหลายประเทศที่เคยมีปัญหาถูกญี่ปุ่นรุกรานไม่ชอบการกระทำอย่าง นี้ ทำไมถึงยังทำ นิติภูมิมีคำอธิบายอะไรไหม?

ตอบ อันนี้เป็นพิธีกรรมของศาสนาชินโต ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ ญี่ปุ่นครับ คำว่าชินโตแปลว่าวิถีเทพเจ้า ศาสนาเดิมของคนญี่ปุ่นไม่มี
ชื่อ เรียก เป็นแต่เพียงพวกลัทธิต่างๆ ส่วนใหญ่ถือเวทมนตร์คาถาบ้าง เป็นลัทธิเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณธัญญาหารบ้าง เป็นการบูชาธรรมชาติบ้าง หรือเป็นการบูชาบรรพบุรุษบ้าง

ต่อมา อิทธิพลของหลายศาสนาจากจีนแผ่ขยายกระจายเข้ามาในญี่ปุ่น มีทั้งขงจื๊อ เต๋า และพระพุทธศาสนา คนญี่ปุ่นจึงปรับปรุงวิถีปฏิบัติให้เป็นแบบของตัวเอง เป็นศาสนาของตัวเอง และตั้งชื่อว่า "ศาสนาชินโต" และเพื่อให้มีความแตกต่างไปจากศาสนาอื่น ชินโตจึงเป็นศาสนาที่ไม่มีศาสดา

ชินโต เป็นศาสนาที่ไม่มีคำสอนเรื่องโลกหน้า ไม่มีเรื่องชีวิตหลังความตาย และไม่พูดถึงเรื่องการติดต่อกับวิญญาณของผู้ตาย คำสอนของชินโตเป็นเรื่องที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับชีวิตครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นชีวิตในโลกนี้เท่านั้น

ชินโตถือว่าวิญญาณ เป็นอมตะ เมื่อมนุษย์ตายแล้ว วิญญาณก็จะไปหาร่างใหม่ เหมือนเป็นการเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่ ส่วนดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่ไม่ได้ไปเกิดในร่างใหม่จะวนเวียนอยู่กับญาติ มิตร คอยร่วมสุขร่วมทุกข์อยู่ด้วยกันในครัวเรือน ถ้าต้องการให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นมีความสุข ญาติมิตรที่ยังไม่ตาย จะต้องทำความดี และผลแห่งความดีก็จะส่งถึงดวงวิญญาณนั้นการทำอย่างนี้ คนที่ปฏิบัติจะได้รับพรจากดวงวิญญาณเป็นการตอบแทน แต่คนที่ยังไม่ตายทำความชั่ว ผลแห่งความชั่วก็จะส่งถึงดวงวิญญาณ และดวงวิญญาณก็จะลงโทษ

ที่ผู้อ่านท่านถามมาเรื่องทำไมนายกรัฐมนตรี ของญี่ปุ่นต้องไปสักการะศาลเจ้ายะสุคุนิ? ขอตอบว่า เพราะศาลนี้เป็นศาลเจ้าที่สร้างเพื่อ อุทิศแก่วีรชนเป็นจำนวนมาก และคนญี่ปุ่นต้องทำพิธีกรรมตามหลักของศาสนาชินโตหลายอย่าง อย่างแรกเลยต้องบูชาธรรมชาติ ประชาชนคนญี่ปุ่นเชื่อว่าธรรมชาติทั้งหลายที่เทพเจ้าทรงสร้างขึ้นมานั้น ล้วนมีคะมิซึ่งเป็นวิญญาณของเทพเจ้าสถิตอยู่ด้วย ญี่ปุ่นจึงบูชาธรรมชาติและปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ลม พายุ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ภูเขา แม่น้ำ ทะเล น้ำตก ต้นไม้ ต้นหญ้า ก้อนหิน และสัตว์ ต่างๆ แม้แต่เครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพนี่ คนญี่ปุ่นก็ยังบูชาด้วย

นอกจากบูชาเทพเจ้าแล้ว พวกญี่ปุ่นยังบูชาบรรพบุรุษ บรรพบุรุษที่คนญี่ปุ่นบูชาเป็นสุริยเทพีที่มีพระนามว่าอะมะเตระสุ พระจักรพรรดิยิมมู ซึ่งเป็นจักรพรรดิพระองค์แรก และจักรพรรดิองค์ต่อๆมาทุกพระองค์

คนญี่ปุ่นต้องบูชาวีรชนคนที่ทำ ความดีทั้งหลาย ใครก็ตามที่ประกอบอาชีพซื่อสัตย์ ไม่หลอกลวงประชาชน ไม่คดโกงประชาชน คนญี่ปุ่นถือว่าเป็นคนดีที่ควรยกย่องและเป็นเทพเหมือนกันหมด ด้วยเหตุผลนี้นี่ยังไงละครับ คนญี่ปุ่นจึงสร้างศาลเจ้าที่อุทิศแก่วีรชนเป็นจำนวนมาก

ญี่ปุ่นเชื่อ ว่าพระจักรพรรดิและคนญี่ปุ่นทั้งหมดสืบเชื้อสายมาจากสุริยเทพี คนชาตินี้จึงถือว่าพวกตนเป็นเผ่าพันธุ์ของสวรรค์ และแผ่นดินของตัวเองเป็นแผ่นดินที่เทพเจ้าทรงสร้างประทานให้ ความเชื่ออย่างนี้เหมือนกับพวกยิวนะครับ ทำให้ทั้งยิวและญี่ปุ่นเป็นพวกรักชนชาติ รักแผ่นดิน ส่วนญี่ปุ่นนั้นก็จงรักภักดีต่อจักรพรรดิสูงมาก ศูนย์กลางของการบูชาในศาสนาชินโตได้แก่ศาลเจ้าอิซุโมะที่ชายทะเลญี่ปุ่นใกล้ แหลมเกาหลี และศาลเจ้าที่เมืองอีเสะซึ่งเป็นศาลแห่งสุริยเทพี

ศาลเจ้าของญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษก็คือ shrine ออกเสียงว่า "ฌไรน" ศาลทำด้วยไม้ มักจะมีห้องเดี่ยว หรือบางทีก็มีห้องโถงอยู่ห้องหนึ่ง เป็นห้องที่ยกพื้นสูงและมีขั้นบันไดเข้าทางด้านข้างหรือด้านหน้า ในห้องนี้จะมีกระจกเงา กระจกเงาคือเครื่องหมายแห่งปัญญาของสุริยเทพี มีดาบซึ่งเป็นอาวุธของเทพซูซาโนะโอะ ทั้งกระจกและดาบนี่แหละครับ เป็นเครื่องหมายสำคัญของศาสนาชินโต

คนสำคัญของญี่ปุ่นจำเป็นต้องไป สักการะศาลเจ้า "ยะสุคุนิ" เพราะเป็นสถานที่รำลึกนึกถึงทหารผ่านศึกที่เสียชีวิตตั้งแต่ก่อนและหลังสมัย "เมจิ" เรื่อยมาเป็นเวลากว่า 100 ปี จนกระทั่งถึงยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง จำนวนทหารและผู้เสียชีวิตอื่นๆที่ได้รับการบูชา ณ ศาลเจ้าแห่งนี้นับรวมได้กว่า 2,500,000 คน รวมทั้งบรรดา "อาชญากรสงคราม" ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองด้วยครับ.

นิติภูมิ นวรัตน์
ไทยรัฐออนไลน์

    * โดย นิติภูมิ นวรัตน์
    * 3 กุมภาพันธ์ 2553, 05:01 น.



tags:
ญี่ปุ่น ศาลเจ้ายะสุคุนิ เปิดฟ้าส่องโลก นิติภูมิ นวรัตน์ ทำไมนายกฯญี่ปุ่นต้องไปศาลเจ้ายะสุคุนิ?
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #28 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2553, 18:37:33 »

หนุ่มในฝันของสาวแขก


ถ้าสาวๆยุโรปยกย่องให้ "เจ้าชายวิลเลียม" รัชทายาทอันดับสองของอังกฤษ เป็นหนุ่มโสดที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลที่สุด และคู่ควรจะขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของราชวงศ์วินด์เซอร์ ลองไปถามสาวแขกทั่วโลกคงส่ายหน้า แล้วเถียงหัวชนฝาว่า เจ้าชายที่หล่อกระชากใจที่สุดต้องเป็น มกุฎราชกุมารหนุ่มแห่งดูไบ "ชีคฮัมเดน บิน มูฮัมหมัด บิน ราชิด อัล มาคทูม" พระโอรสองค์ที่สอง ของชีคมูฮัมหมัด บิน ราชิด อัล มาคทูม ผู้ปกครองดูไบ นายกรัฐมนตรี และรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งได้รับการวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากพระบิดา

"ชีคฮัมเดน" ปัจจุบันมีพระชนม์ย่าง 27 ชันษา ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่สองของ "ชีคมูฮัมหมัด" กับพระชายาองค์แรก ทรงมีแฟนคลับอยู่ทั่วทุกมุมโลก เพราะนอกจากจะทรงหล่อคมเข้มบาดจิตบาดใจแบบเจ้าชายอาหรับในเทพนิยายแล้ว ยังทรงมีคุณสมบัติเพียบพร้อมเหมาะจะเป็นประมุของค์ต่อไปของรัฐดูไบ ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ ประเทศอังกฤษ จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่ลอนดอน สกูล ออฟ อีโคโนมิกส์ หลังสำเร็จการศึกษาจากแดนผู้ดี ได้เสด็จกลับมาช่วยงานพระบิดา โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานสภาบริหารแห่งรัฐดูไบ ขณะพระชนม์เพียง 24 ชันษา ทำหน้าที่กำกับดูแลการบริหารแผ่นดินของรัฐบาล และกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ รวมถึงการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ขณะเดียวกัน ยังทรงรั้งตำแหน่งนายกสมาคมผู้นำทางธุรกิจรุ่นใหม่ และประธานคณะกรรมการด้านกีฬาของดูไบ

แม้องค์ประมุขผู้ปกครองดูไบจะ ทรงมีพระโอรสถึง 7 พระองค์ และพระธิดา 9 พระองค์ แต่ก็ทรงไว้ วางพระทัยในตัวพระโอรสองค์ที่สองเป็นพิเศษ เพราะเล็งเห็นถึงพระปรีชาสามารถอันโดดเด่นเกินวัย ทรงแต่งตั้งให้ "ชีคฮัมเดน" ดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมารดูไบเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2008 ขณะมีพระชนม์เพียง 25 ชันษา

ผลงานสร้างชื่อที่พิสูจน์ความมี กึ๋นของเจ้าชายสุดหล่อ ก็มีตั้งแต่การเป็นโต้โผร่วมร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนารัฐดูไบ ปี 2015 ซึ่งเริ่มประกาศบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2007 ตั้งเป้าไว้ 8 ปี ว่าจะพลิกผืนทะเลทรายให้เป็นเมืองแห่งอนาคต เมืองการค้าเสรี เมืองท่าเพื่อการส่งออกสินค้า เมืองแห่งการท่องเที่ยว ศูนย์กลางการเงินของโลก และมหานครโลกเทียบชั้นกับนิวยอร์ก...น่าเสียดายที่มาสะดุดเพราะฟองสบู่แตก เมื่อเร็วๆนี้ จนต้องปรับกระบวนยุทธ์ขนานใหญ่ เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของดูไบกลับคืนมา

"ชีคฮัมเดน" ยังทรงเป็นขวัญใจประชาชนระดับรากหญ้า ทรงสนพระทัยเรื่องการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการและผู้ด้อยโอกาสในสังคม โดยเมื่อปี 2006 ได้ทรงประกาศแผนการช่วยเหลือคนพิการให้มีชีวิตเฉกเช่น คนปกติ และสามารถอยู่ร่วมกับคนส่วนใหญ่ในสังคมได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้ ยังทรงริเริ่มโครงการขับขี่อย่างปลอดภัย ใส่ใจจราจร โดยทรงนำระบบหักแต้มใบขับขี่มาบังคับใช้ เพื่อรณรงค์ให้เกิดวินัยในการขับขี่บนท้องถนน

ยามว่างจากภารกิจ บริหารรัฐดูไบ "ชีคฮัมเดน" มักจะทรงทุ่มฝึกซ้อมขี่ม้าเป็นประจำ ทรงหลงใหลกีฬาประเภทนี้เช่นเดียวกับพระบิดา และผลจากความพากเพียรอย่างหนัก ทำให้สามารถคว้าเหรียญทองมาครองมากมายนับไม่ถ้วน รวมถึงเหรียญทองจากการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ปี 2006 ที่ประเทศกาตาร์ ไม่เพียงเท่านี้ ยังโปรดปรานการแข่งรถเป็นที่สุด ทรงสะสมรถสปอร์ตระดับซุปเปอร์คาร์มากมายหลายยี่ห้อมีครบหมด ทั้งเมอร์เซเดส เบนซ์, พอร์ช, แลมโบรกินี, เฟอร์รารี่ และรถจี๊ปไว้สำหรับขับลุยทะเลทราย

เห็นมาดเข้มดูเอาการเอางานแบบนี้ เชื่อหรือไม่คะว่ามกุฎราชกุมารดูไบทรงเป็นหนุ่มเจ้าบทเจ้ากลอนและโรแมนติก มากๆ ทรงใช้นามปากกาว่า "Fazza" ในการเขียนบทกวีออกเผยแพร่สู่สาธารณชน โดยเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักชาติ ความผูกพันในครอบครัว และมุมโรแมนติกตามประสาหนุ่มรูปงาม

ก็เพราะรูปหล่อพ่อรวยล้นฟ้าขนาดนี้ จึงได้รับการจัดอันดับให้เป็นราชนิกุลรุ่นใหม่ที่เซ็กซี่เร้าใจที่สุดเป็นอันดับต้นๆของโลก.

มิสแซฟไฟร์
ไทยรัฐออนไลน์

    * โดย มิสแซฟไฟร์
    * 30 มกราคม 2553, 05:00 น.

 

tags:
หนุ่มในฝันของสาวแขก คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์ มิสแซฟไฟร์
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Uncle Na
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2524-2201
คณะ: นิเทศ
กระทู้: 4,957

« ตอบ #29 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2553, 07:44:13 »

- ความรู้ทั้งนั้น กระทู้ใหม่นี้  มาตามอ่าน
      บันทึกการเข้า

จิตใจที่จุดประกายแล้ว คือทรัพยากรที่ทรงพลังที่สุดบนพิภพ เหนือพิภพ และใต้พิภพ/จิตวิญญาณมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้/ โดย เอพีเจ อับดุล กาลัม/สุวิทย์ วิบูลเศรษฐ์  แปล
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #30 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2553, 17:12:29 »

ล้มความเชื่ออันเก่าแก่ หลงคิดว่าบุหรี่ป้องกัน โรคสมองเสื่อมได้
 

คณะ ผู้เชี่ยวชาญมหาวิทยาลัยซิดนีย์ แห่งออสเตรเลีย ได้ประกาศล้มล้างความเชื่อถือของคนส่วนใหญ่มาตั้งแต่นมนานกาเลที่ว่า การสูบบุหรี่อาจป้องกันโรคสมองเสื่อมในหมู่ผู้สูงอายุได้ ว่าไม่ใช่เช่นนั้น ความจริงยังปรากฏว่า ที่จริงแล้วบุหรี่กลับทำให้เสี่ยงกับสมองเสื่อมทรามลงได้มากถึง 2 เท่า

ศาสตราจารย์ เจอเกน กอตซ์ แห่งสถานวิจัยสมองและจิตใจซิดนีย์ ได้ศึกษาโดยการนำรายงานการศึกษาที่แล้วมา ทบทวนใหม่รวม 40 เรื่องด้วยกัน และเชื่อว่าพวกอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ อาจจะมีส่วนในการแพร่ขยายความเชื่อที่ผิดๆ อันนี้เขาสรุปว่า "ความเชื่อเรื่องนี้ได้ถูกศึกษาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่เป“นจริงทั้งในมนุษย์ สัตว์และระบบเซลล์ที่เพาะเลี้ยงขึ้น ตรงกันข้ามแล้ว นิโคตินกลับไปเร่งสมองให้เสื่อมเร็วขึ้น".
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #31 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2553, 14:30:16 »

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7022 ข่าวสดรายวัน


แฝด4สาวฝึกพยาบาล-ทดแทนคุณร.พ.เกิด



เมื่อ 18 ก.พ. เอเอฟพีเผยแพร่ภาพพร้อมเรื่องราวแฝดสาว 4 คนของเกาหลีใต้ วัย 21 ปี เมื่อหญิงสาวทั้งสี่เริ่มเข้าทำงานในฐานะพยาบาลฝึกหัดในโรงพยาบาลที่เกิด ตามสัญญาที่ให้ไว้กับผู้อำนวยการหญิงของโรงพยาบาล

แฝดทั้งสี่มีชื่อ ว่า ฮวาง เซอุล, ฮวาง เซโอล, ฮวาง โซล และฮวาง มิล เป็นแฝดสี่ชุดที่ 2 ของประเทศ หลังจากเคยมีชุดแรกเมื่อปี 2520 ทั้งสี่เกิดเมื่อปี 2532 ที่โรงพยาบาลกาชอน ยูนิเวอร์ ซิตี้ กิล ในเมืองอินชอน ฝั่งตะวันตกของกรุงโซล ในช่วงเวลานั้น นางลี กิลยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ยอมรับแม่เด็กไว้เป็นคนไข้ หลังจากคลินิกอื่นๆ บอกปัด เพราะรู้ว่าแม่เด็กฐานะไม่ดี ซึ่งต่อมาแม่เด็กแฝดสี่คลอดลูกๆ ออกมาอย่างปลอดภัย

ผู้อำนวยการลีผ่อน ผันค่าทำคลอดให้ และสัญญาจะให้เด็กๆ เรียนในระดับวิทยาลัย รวมถึงจะให้งานพยาบาลทำ หากทั้งสี่สอบผ่านการทดสอบระดับประเทศ ซึ่งแฝดสี่ แม้จะผ่านชีวิตที่ไม่ได้สุขสบาย เพราะปัญหาด้านการเงิน แต่ทั้งหมดก็สอบผ่านเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

"ขอชื่นชมแม่ของแฝดทั้ง สี่ ซึ่งหาได้ยากในโลก ที่เลี้ยงดูลูกๆ มาได้เป็นอย่างดีอย่างนี้ ดิฉันจะเฝ้ารอให้หญิงสาวทั้งสี่ได้เป็นนางพยาบาลที่ดีเหมือนฟลอเรนซ์ ไนติงเกล" ผู้อำนวยการกล่าว

ฮวาง เซอุล พี่คนโต กล่าวว่า แม้จะตื่นเต้นในวันฝึกวันแรก แต่จะตั้งใจฝึกให้หนัก และปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ เพื่อจะได้เป็นพยาบาลที่ดีที่สุด
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #32 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2553, 15:40:56 »

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 16:15:48 น.   มติชนออนไลน์

ดาราหนังโป๊อ้างท้องลูกไทเกอร์ วูด 2 ครั้งแต่ทำแท้งหมด สารภาพตกหลุมรัก"พ่อเสือ"

"เดลี่ เมล์"รายงานเมื่อวันที่ 14 ก.พ.ว่า โจสลิน เจมส์ ดาราหนังโป๊ วัย 32 ปี ซึ่งถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในชู้รัก 14 รายของไทเกอร์ วูด ยอดโปรกอลฟ์ชื่อดังของโลกผู้อื้อฉาว ได้เปิดเผยเรื่องราวของเธอทางสถานีโทรทัศน์สหรัฐแห่งหนึ่ง ระบุว่า เธอได้ตั้งท้องลูกของไทเกอร์ วูด ถึงสองครั้งสองครา แต่ทำแท้งทุกครั้ง โดยครั้งแรกเธอตั้งท้องพร้อม ๆ กับที่นางเอลิน ภรรยาของไทเกอร์ กำลังตั้งครรภ์ลูก เมื่อเดือนมิ.ย.ปี 2007 และครั้งที่สอง เธอตั้งท้องครั้งที่สองเมื่อช่วงใกล้เดือนก.พ.2009 ซึ่งเป็นช่วงที่นางเอลินให้กำเนิดลูกคนที่สองของไทเกอร์

 

ดาราหนังโป๊รายนี้ระบุว่า เธอมีความสัมพันธ์กับไทเกอร์ เป็นเวลา 3 ปี และไม่เคยใช้ถุงยางอนามัยเมื่อยามมีเพศสัมพันธ์กัน แต่เธอยืนยันว่า เธอไม่เคยบอกวูดว่าเธอท้อง เพราะไม่ต้องการทำลายชีวิตเขา อย่างไรก็ตาม เธออ้างว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอได้รับข้อความเสน่หาจากไทเกอร์ วูด เป็นจำนวนกว่าร้อยครั้ง และเธอมารู้ตัวว่า ตกหลุมรักเขาหลังจากทำแท้งลูกคนที่สองและว่า เพียงช่วงเดือนก.ย.ปีที่แล้ว วูดเพิ่งส่งเมสเสจมาหาเธอ บอกว่า ชีวิตที่เขามีเธอถือเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ และเธอทำในสิ่งที่ผุ้หญิงคนอื่นไม่สามารถทำให้เขาได้ และเขาจะไม่มีวันยอมสูญเสียมันไป นอกจากนี้ โจสลินบอกด้วยว่า เธอเชื่อว่า ไทเกอร์ วูด รักเธอ เพราะเธอและเขาอยู่ด้วยกันมานาน
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #33 เมื่อ: 05 มีนาคม 2553, 19:34:42 »

วันที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 14:01:35 น.   มติชนออนไลน์

จำคุกแล้วโปรดิวเซอร์เสือผู้หญิง"บีบีซี"ติดกล้องลอบถ่ายหญิงนับสิบขณะมีเซ็กส์ด้วย


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 5 มี.ค.ว่า นายเบนจามิน วิลกิ้นส์ โปรดิวเซอร์รายการของสถานีโทรทัศน์บีบีซีของอังกฤษ วัย 37 ปี ได้ถูกศาลพิพากษาสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน และถูกสั่งให้ถูกขึ้นบัญชีบุคคลผู้คุกคามทางเพศเป็นเวลา 10 ปี ภายหลังเป็นผู้ต้องหาคดีถ้ำมอง จากกรณีแอบติดกล้องวงจรปิดบันทึกภาพผู้หญิงซึ่งเป็นทั้งบุคคลในแวดวงผลิต รายการ และผู้ประกาศหน้ากล้อง เป็นจำนวนกว่า 10 ราย

รายงานระบุว่า ในการตัดสินคดีดังกล่าว ผู้พิพากษาได้กล่าวประนามนายวิลกิ้นส์ต่อพฤติกรรมของเขา ระบุว่า สิ่งที่เขากระทำเป็นเรื่องชั่วร้าย,เห็นแก่ตัว,และทรยศต่อความซื่อสัตย์ของ ผู้หญิงที่มีให้ต่อเขา และศาลไม่พิพากษาจำคุกเขาเพราะว่าความอยากทางเพศ แต่เพราะเขาทรยศต่อศรัทธาของผู้หญิงที่ยอมให้เขามีเพศสัมพันธ์ด้วย ขณะที่เหยื่อบางรายบอกว่า รู้สึกสะอิดสะเอียน และโสโครกต่อพฤติกรรมที่โปรดิวเซอร์รายนี้ได้กระทำ

ทั้งนี้ นายเบนจามิน ได้ถูกจับกุมหลังจากหญิงรายหนึ่งซึ่งกำลังจะกลายเป็นคู่ร่วมเตียงของเขา เกิดพบเทปบันทึกภาพเขามีเซ็กส์กับผู้หญิงคนอื่น ๆ ในบ้านพักของเขา ก่อนจะแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเขาเกิดถูกจับกุม เมื่อเดือนก.ค.ปี 2008 โดยตำรวจได้พบเทปวีดีโอบันทึกภาพเหตุการณ์เซ็กส์เป็นจำนวนกว่า 50 ชม.กับเหยื่อ 5 ราย ที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยตั้งแต่ปี 2005-2008 [/color]
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #34 เมื่อ: 05 มีนาคม 2553, 19:54:25 »

มือชา ปัญหาที่พบได้ในคนทำงานออฟฟิศ
 

มือ ชาเท้าชา เป็นปัญหาสุขภาพอย่างหนึ่ง ที่มักเกิดกับคนในวัยทำงาน หรือผู้ที่ต้องนั่งทำงานประจำออฟฟิศ ทำงานนั่งโต๊ะใช้คอมพิวเตอร์นานๆ นพ.กวี ภัทราดูลย์ ศัลยแพทย์ทางมือและจุลศัลยกรรม โรงพยาบาลเวชธานี ให้ข้อมูลว่า “คนที่ต้องนั่งทำงานอยู่ท่าเดิมนานๆ ก็อาจมีโอกาสเกิดอาการมือเท้าชาได้มากกว่าปกติบ้าง จากการที่เส้นประสาทโดนกดทับ ที่พบบ่อยคือ บริเวณข้อมือ จากการที่ข้อมืออยู่ในท่าแอ่น หรือ งอนานๆ เช่น การใช้เมาส์ หรือ พิมพ์งาน เป็นต้น

อาการมือเท้าชาในคนทำงานเกิดจากการที่เส้นประสาทที่พาด ผ่านบริเวณข้อมือถูกกดทับ ซึ่งเส้นประสาทนี้จะผ่านจากแขนไปยังข้อมือเพื่อไปรับความรู้สึกที่บริเวณมือ โดยทอดผ่านบริเวณข้อมือและลอดผ่านเอ็นที่ยึดบริเวณข้อมือ อาจมีสาเหตุบางประการที่ทำให้เส้นประสาทนี้ถูกกดทับได้ จึงทำให้มือชา ร่วมกับมีอาการปวดชาร้าวไปยังท่อนแขนหรือต้นแขนได้ และบางคนพบว่ามือข้างที่เป็นอ่อนแรงหยิบจับสิ่งของไม่ถนัด ถ้าทิ้งไว้จะพบว่า กล้ามเนื้อบริเวณโคนนิ้วหัวแม่มืออาจจะแฟบลงเมื่อเทียบกับมืออีกข้างหนึ่ง พบในเพศหญิงมากกว่าชาย ระหว่างวัย 30-60 ปี

ปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดอาการมือเท้าชาได้

-    การกระแทกที่บริเวณข้อมืออยู่เป็นประจำ เช่น ใช้เครื่องตัดหญ้า เครื่องเจาะสกรู กำไม้เทนนิส ไม้กอล์ฟ
-    กระดูกข้อมือหัก หรือการหลุดเคลื่อนของข้อ
-    โรคไขข้ออักเสบ เช่น รูมาตอยด์ เก๊าต์
-    คนที่เป็นเบาหวาน กลุ่มไทรอยด์บกพร่อง
-    ภาวะบวมน้ำจากโรคไต และตับ
-    ภาวะตั้งครรภ์
-    คนที่มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนจากการหมดประจำเดือน

ความอ้วนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการมือชาหรือไม่

เดิม เชื่อว่าความอ้วนน่าจะเป็นเหตุปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคด้วย แต่ปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานยืนยันชัดเจน จึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีความสัมพันธ์กัน

อาการมือเท้าช้าที่อาจสังเกต ได้ถึงความผิดปกติอย่างชัดเจน ซึ่งควรมาพบแพทย์ คือ อาการเริ่มแรกผู้ป่วยจะมีอาการชานิ้วมือ ซึ่งมักจะเป็นที่นิ้วกลางและนิ้วนาง รวมทั้งนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือชาได้ เริ่มแรกอาการมักจะชาตอนกลางคืน สะบัดข้อมืออาการจะดีขึ้น หรือชาตอนทำงาน ต่อมาอาการชาจะเป็นมากขึ้นและบ่อยขึ้น จนกระทั่งชาเกือบตลอดเวลา มักจะมีอาการปวดตื้อๆ ร่วมด้วยที่มือและแขน ร่วมกับอาการชานอกจากนี้ ผู้ป่วยจะไม่ค่อยมีแรง มีของหลุดจากมือโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าเป็นนานๆ โดยไม่ได้รับการรักษาจะมีอาการอุ้งมือด้านข้างลีบได้

รักษาอย่างไร

การ รักษาอาการมือชาที่มาจากการกดทับเส้นประสาทมีทั้งวิธีไม่ผ่าตัด และวิธีผ่าตัด โดยการรักษาวิธีเบื้องต้นโดยการไม่ผ่าตัด ลดความดันในโพรงข้อมือ ได้แก่

-    การดามข้อมือ พบว่า ถ้าให้ข้อมืออยู่นิ่งๆ ตรงๆ จะมีความดันในโพรงข้อมือต่ำสุด ซึ่งจะทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงเส้นประสาทดีขึ้น ถ้าเป็นระยะแรก (พังผืดยังไม่หนามากนัก จะได้ผลค่อนข้างดี)
-    ปรับการใช้ข้อมือในการทำงานและชีวิตประจำวันให้ถูกต้อง พบว่า การทำงานที่ต้องใช้ข้อมือกระดกขึ้น หรืองอข้อมือซ้ำๆ กันนานๆ รวมทั้งงานที่มีการสั่นกระแทก จะทำให้ความดันในโพรงข้อมือสูงขึ้นได้ การปรับอุปกรณ์การทำงานให้ถูกตามหลักอาชีวศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
-    การให้ยาต้านโรครูมาตอยด์จะช่วยลดความดันในบริเวณข้อมือได้ ในรายที่เป็นโรคนี้แบบทุติยภูมิ เช่น จากภาวะรูมาตอยด์ และมีเยื่อหุ้มเอ็นหนาตัวขึ้น
-    ถ้าอาการเป็นมากขึ้น แพทย์จะแนะนำให้ฉีดยาสเตียรอยด์ เข้าไปในบริเวณที่เส้นประสาททอดผ่าน ซึ่งยานี้จะแพร่กระจายไปยังบริเวณเยื่อบุผิวข้อ และเส้นเอ็นที่มีการอักเสบ และบวม ทำให้อาการบวมยุบลง การกดเส้นประสาทจะน้อยลง ปริมาณของยาที่ใช้ฉีดไม่มากนักและไม่มีอันตรายที่รุนแรง การรักษาด้วยวิธีการเหล่านี้จะได้ผลดีในกรณีที่เส้นประสาทไม่ถูกกดทับมากนัก ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด โดยตัดเอาส่วนของพังผืด เส้นเอ็นในส่วนที่กดทับเส้นประสาทออก หลังผ่าตัดอาการก็จะดีขึ้น อาการปวดลดลง อาการชาลดลง แต่อาจไม่ถึงกับหายสนิทยังจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง
-    ยารับประทานที่มักนิยมใช้คือ ยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์และยาบำรุงเส้นประสาท

อาการ มือชา ถ้าไม่รับการรักษาและปล่อยทิ้งไว้นานๆ จนส่งผลให้เกิดอาการรุนแรงได้นั้น คือ การที่กล้ามเนื้อบริเวณอุ้งนิ้วหัวแม่มือลีบไป และทำให้กำลังมือลดลง

คำแนะนำถึงวิธีบรรเทาอาการ หรือวิธีปฏิบัติตัวให้ห่างไกลจากอาการมือชา

-    หลีกเลี่ยงการใช้งานมือในลักษณะเกร็งนานๆ
-    ควบคุมหรือรักษาโรคประจำตัว โดยเฉพาะเบาหวานให้ดี
-    การใช้ยาลดอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ชนิดรับประทานมักจะได้ผลดี โดยอยู่ในดุลพินิจของแพทย์
-    บางรายอาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วยดามข้อมือชั่วคราว

อย่าง ไรก็ตาม อาการมือเท้าชาอาจมีสาเหตุมาจากระบบประสาท จึงควรเข้ารับการตรวจและพบแพทย์ที่ศูนย์เฉพาะทางสมองและระบบประสาทด้วย เพื่อหาแนวทางรักษาที่เหมาะสม

ศูนย์ศัลยกรรมทางมือ โรงพยาบาลเวชธานี
www.vejthani.com
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #35 เมื่อ: 05 มีนาคม 2553, 19:59:02 »

พระสยามเทวาธิราช 
ไทยรัฐออนไลน์       * โดย บาราย        * 28 กุมภาพันธ์ 2553, 05:00 น.



ใน หนังสือ เรื่อง เลาะเหลี่ยมโลก กับประภัสสร เสวิกุล (สำนักพิมพ์สยามบันทึก)...ประภัสสร เสวิกุล เขียนเรื่อง พระสยามเทวาธิราช เอาไว้ว่า...ในสมัยกรุงสุโขทัย คนไทยเชื่อว่า มีพระขะพุงผี เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง

ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาถึงรัตนโกสินทร์ ตอนต้น มีความเชื่อว่าเทวดาที่คุ้มครองบ้านเมือง มีพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และพระหลักเมือง

สมเด็จกรมพระยาดำรง ราชานุภาพทรงให้ ความหมายของพระเสื้อเมืองว่า คืออำนาจทางทหาร พระทรงเมือง คืออำนาจข้าราชการพลเรือน ส่วนพระหลักเมืองเป็นอำนาจตุลาการ

สาม อำนาจที่ว่านี้ สื่อแสดงว่า บ้านเมืองจะร่มเย็นได้ ก็ต้องประกอบด้วยความเข้มแข็งทางทหาร การปกครองที่ดีงาม และกระบวนการด้านความยุติธรรมอันถูกต้องเที่ยงตรง

แต่ชาวบ้านทั่วไป ก็ยังให้การเคารพยำเกรงพระแก้ว พระกาฬ จนมีคำสาบานที่อ้างพระแก้วพระกาฬติดปาก พระแก้วคือพระแก้วมรกต ซึ่งถือว่าเป็นของคู่บ้านคู่เมือง เพราะชื่อเมืองคือรัตนโกสินทร์ ซึ่งหมายถึงที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต

ส่วนพระกาฬ หรือพระกาฬไชยศรี ที่เป็นบริวารพระยม   มีหน้าที่นำดวงวิญญาณมนุษย์ไปยมโลก

ใน สมัย ร.4 ทรงพระราชดำริว่า ประเทศไทยมีเหตุการณ์ที่เกือบจะต้องเสียอิสรภาพมาหลายครั้ง แต่บังเอิญมีเหตุรอดพ้นภยันอันตรายมาได้เสมอ ชะรอยจะมีเทพยดาที่ศักดิ์สิทธิ์คอยอภิบาลรักษาอยู่ สมควรที่จะทำรูปเทพยดาองค์นั้นขึ้นสักการบูชา

โปรดเกล้าฯให้พระองค์ เจ้าพระประดิษฐวรการ ปั้นรูปสมมติขึ้น แล้วหล่อด้วยทองคำแท่ง มีลักษณะแบบเทวรูป มีความสูง 8 นิ้ว ทรงเครื่องอย่างเทพารักษ์ ทรงมงกุฎ ประทับยืน พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ พระหัตถ์ ซ้ายยกขึ้นในท่าจีบเสมอพระอุระ ประทับในเรือนแก้ว ทำด้วยไม้จันทน์ มีลักษณะแบบวิมานในเก๋งจีน

ถวายพระนามว่า พระสยามเทวาธิราช

โปรดเกล้าฯให้ประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งไพศาล ทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง

ร.4 ทรงเคารพบูชาพระสยามเทวาธิราชเป็นอย่างสูง ทรงถวายเครื่องสักการะเป็นประจำทุกวัน และทรงถวายเครื่องสังเวยทุกวันอังคาร และวันเสาร์ก่อนเวลาเพล กับโปรดให้จัดพิธีสังเวยเทวดาในวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 อันตรงกับวันปีใหม่ทางจันทรคติแบบโบราณ

มาถึงสมัย  ร.5  ทรงเคารพบูชาพระสยามเทวาธิราช เช่นเดียวกับพระราชบิดา นอกจากจะโปรดเกล้าฯให้สร้างพระบรมรูป ร.4 ในเครื่องทรงแบบพระสยามเทวาธิราชขึ้นองค์หนึ่ง ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต แล้ว

ยังโปรดเกล้าฯ ให้นำรูปพระสยามเทวาธิราชประทับนั่ง ใส่ในด้านหลังเหรียญกษาปณ์ ราคาเสี้ยว อัฐ และโสฬส ออกใช้ในรัชสมัยของพระองค์ด้วย

รัชกาล ปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดาฯ หรือพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ เสด็จแทนพระองค์ไปทรงถวายเครื่องสังเวยพระสยามเทวาธิราช ในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5

และระหว่างงานฉลองกรุงเทพฯ 200 ปี ในปี พ.ศ.2525 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระสยามเทวาธิราช ออกมาให้ประชาชนทั่วไปได้สักการบูชาเป็นครั้งแรก

ม.จ.หญิงพูนพิสมัย ดิสกุล ทรงบันทึกเรื่องพระสยามเทวาธิราชไว้ มีความตอนหนึ่งว่า

"เหตุการณ์ ต่างๆ ดังเราได้ประสบมาด้วยตัวเอง ยิ่งนานวันก็ยิ่งเห็นว่า พระสยามเทวาธิราชนั้นมีจริง  เราจงพร้อมใจกันอธิษฐาน  ด้วยกุศลผลบุญที่เราทำมาแล้วด้วยดี ขอให้เทพเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์พระองค์นี้ จงได้คุ้มครองป้องกันภัย และโปรดประสิทธิ์ประสาทความสมบูรณ์พูนสุขให้แก่ประชาชนชาวสยามทั่วกัน เทอญ..."

O บาราย O
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #36 เมื่อ: 06 มีนาคม 2553, 20:35:10 »

ขอให้พระสยามเทวาธิราชช่วยดลบันดาลให้พวกเราชาวไทยอยู่ร่วมกันโดยสันติสุขด้วยเถอะค่ะอย่าแตกแยกกันเลยค่ะ ...สาธุ
      บันทึกการเข้า
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #37 เมื่อ: 06 มีนาคม 2553, 20:50:18 »

อ้างถึง
ข้อความของ Kaimook เมื่อ 06 มีนาคม 2553, 20:35:10
ขอให้พระสยามเทวาธิราชช่วยดลบันดาลให้พวกเราชาวไทยอยู่ร่วมกันโดยสันติสุขด้วยเถอะค่ะอย่าแตกแยกกันเลยค่ะ ...สาธุ

ขอร่วมอธิษฐานด้วยคน ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า
jum2524
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,077

« ตอบ #38 เมื่อ: 11 มีนาคม 2553, 09:55:28 »

อ้างถึง
ข้อความของ Lamai เมื่อ 06 มีนาคม 2553, 20:50:18
อ้างถึง
ข้อความของ Kaimook เมื่อ 06 มีนาคม 2553, 20:35:10
ขอให้พระสยามเทวาธิราชช่วยดลบันดาลให้พวกเราชาวไทยอยู่ร่วมกันโดยสันติสุขด้วยเถอะค่ะอย่าแตกแยกกันเลยค่ะ ...สาธุ

ขอร่วมอธิษฐานด้วยคน ปิ๊งๆ

ขอร่วมอธิษฐานด้วย(อีก)คน
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #39 เมื่อ: 19 มีนาคม 2553, 00:00:29 »

ระยะไม่นานที่ผ่านมานี้ มีข่าวลือว่าน้ำจะท่วม คนจะตายกันครึ่งค่อนประเทศ ทำให้คนกลัวกันใหญ่ โดยเฉพาะมีหนังสือบางเล่ม คนเขียนขึ้นมามันขาดความรับผิดชอบ มันเขียนโดยเอาคำพยากรณ์ส่วนหนึ่งของหลวงพ่อวัดท่าซุงนำหน้า แล้วเอาตำนานเทพทำนายไปต่อไว้ข้างใน แล้วไปสรุปด้วยคำพูดของหลวงพ่ออีกทีหนึ่ง ก็เลยกลายเป็นว่าหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านทำนายว่าจะเกิดภัยพิบัติขนาดนั้น

เพราะฉะนั้นใครอ่านแล้วให้มีสติสัมปชัญญะด้วย ถ้ามันจะแย่อย่างนั้นจริง จะมากหรือน้อยขนาดไหนก็ตาม คนที่อยู่ใกล้ชิดต้องได้ยินจากหลวงพ่อท่านบ้าง

เรื่องของน้ำท่วมมันต้องท่วมอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวล เราลองมาคิดดูว่าในสมัยที่เทคโนโลยี เครื่องไม้เครื่องมือทุกอย่างมันพร้อมขนาดนั้น ถ้าเราเป็นรัฐบาล เราจะปล่อยให้ราษฎรตายขนาดนั้นเลยหรือ

ฉะนั้น ในเรื่องของการถือมงคลตื่นข่าว ถ้าหากว่าเรายังเชื่อถือและแตกตื่นก็แสดงว่าเราไม่มั่นคงในพระรัตนตรัยจริงๆ บุคคลที่ไม่มั่นคงในพระรัตนตรัยโอกาสที่เข้าถึงความ เป็นพระอริยเจ้าก็ยาก จึงกล่าวได้เต็มปากว่าถ้าเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปจะไม่ถือมงคล ตื่นข่าวอีกแล้ว

ใครว่าอะไรดีที่ไหน....ดีด้วย แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องตะเกียกตะกายไปจนถึงที่ เพราะว่าท้ายสุดแล้วหลักธรรมทุกอย่างมันอยู่ที่เรา ปฏิบัติเอง ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้

การศึกษาหลักธรรมเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเรียนมากไปก็เสียเวลา จับหลักอันใดอันหนึ่งได้แล้วรีบตะเกียกตะกายทำมันให้สำเร็จ เมื่อสำเร็จแล้วหากยังปีติน่าภูมิใจอยู่ เราก็ค่อยทำอย่างอื่นต่อไป ไม่ใช่ตีอวนจะเอาปลาทั้งทะเล ถ้าตีอวนจะเอาปลาทั้งทะเล โอกาสที่มันจะได้ก็ยาก เพราะมันหนักเกินกำลังของเรา ต่อให้สมัยนี้มีเครื่องมือดีๆ แบบพวกเรือประมงระดับโลก แต่ถ้าไปเอาปลาทั้งทะเล เครื่องมันก็จะหักจะพังเสียหมด

ดังนั้น ถ้าเราจับจุดใดจุดหนึ่งในศีล สมาธิ ปัญญาที่ชอบใจได้ ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำ ทำจนเกิดผล แล้วหลังจากนั้นถ้ายังมีอารมณ์จะทำต่อ ค่อยขยับไปที่อื่น เพียงแต่ว่าในเรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ถ้า เราทำเป็น...กองเดียวจริงๆ ก็จบ หัวข้อเดียวจบเลย ถ้าจบแล้วยังไม่หายคันก็เชิญทำอย่างอื่นต่อ แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นพระอริยเจ้าท่านหายคันตั้งแต่ยังไม่ทันจะจบเลย

เรียนรู้ไว้ดี แต่ถ้าหากความรู้ท่วมหัวแล้วจะเอาตัวไม่รอด บางทีจะโดนคนอื่นเขาเยาะเย้ยเอาเสียด้วย ที่เขาบอกว่า รู้มากยากนาน นั่นก็ดี นี่ก็น่าปฏิบัติ ว่าแล้วก็เล่นไปเรื่อย ไม่จบสักที มันก็เลยไปลงตรง รู้น้อยพลอยรำคาญ ความรู้ไม่ พอใช้งาน เอาแค่รู้พอดีๆ ถ้าหากว่ารู้พอดี ทำพอดี ทุกอย่างก็เกิดผลเร็ว


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ที่ บ้านอนุสาวรีย์
๗ มิถุนายน ๒๕๕๒


ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...read.php?t=614
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #40 เมื่อ: 18 เมษายน 2553, 20:40:06 »

Phra Paisal Visalo  หากวันนี้คุณ ใช้อำนาจในมือเพื่อพิมพ์คีย์บอร์ ดทำร้ายจิตใจผู้อื่น พรุ่งนี้ย่อมไม่ยากที่คุณจะใช้อำนาจในมือเพื่อทำลายชีวิตของผู้คน ความโหดเหี้ยมในวันพรุ่งตั้งเค้าแล้วในวันนี้ด้วยมือที่กำลังประดิษฐ์ถ้อยคำห้ำหั่นกัน
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #41 เมื่อ: 18 เมษายน 2553, 22:09:05 »

สวัสดีค่ะป๋าทู...เข้ามาอ่านเรื่องดีๆค่ะ
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #42 เมื่อ: 21 เมษายน 2553, 22:54:12 »

ซ่อน
Phra Paisal Visalo บางครั้งคำถามบอกอะไรเราได้มากกว่าคำตอบยิ่งนัก ข้างล่างเป็นคำถามหนึ่งที่บอกถึงสภาพของบ้านเมืองและจิตใจของผู้คนในแผ่นดินที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อ ว่า land of smile

What colors do you like? mom!
วันก่อนหลาน สาวอายุ 8-9 ขวบ ถามแม่ว่า "แม่ๆ หนูถามอะไรแม่หน่อยได้ไหม" แม่ของเธอบอกว่าได้สิลูก ถามได้เลย เธอจึงกระซิบถามเบาๆ ข้างหูแม่ว่า "หนูอยากรู้ว่าแม่อยู่สีอะไรเหรอ"
โดย: แปรง พันสาย
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #43 เมื่อ: 21 เมษายน 2553, 23:18:45 »

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 19:10:19 น.   มติชนออนไลน์

เสียงกระซิบจาก"คนเสื้อแดง" อยากบอกดังๆ มีเลือด มีเนื้อ "เจ็บ" เป็นเหมือนกัน

โดย "ชฎา ไอยคุปต์"

โปรดอย่าถามว่าแค้นไหม ?


ไม่ว่าจะ "ลูก เล็ก เด็ก แดง พ่อ แม่ พี่ น้อง" ที่สูญเสียคนในครอบครัวไปจากเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและผู้ชุมนุมที่ สูญเสียญาติไปในเหตุการณ์ "เมษาวิปโยค" ความโศกเศร้า เสียใจ ยังคงเกาะกุมจิตใจไปพร้อมกับความเคียดแค้นคับอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประชาชนธรรมดาคงไม่อาจภาคภูมิใจกับ การจากไปของลูกหลาน เยี่ยงชายชาติทหาร ที่ปฏิญาณตนว่าจะยอมพลีกายเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แม้จากไปยังมีลาภ ยศ คำสรรเสริญ เสียชีวิตในหน้าที่ ส่งต่อมาให้ครอบครัวให้พอคลายความเศร้าได้บ้าง สำหรับชาวบ้านคงไม่คิดว่าการมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ตามระบอบ ประชาธิปไตยจะต้องมากลายเป็นศพ นอนตายแบบหมาข้างถนน

นายสวาท วางาม อายุ 28 ปี  ผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ยืนถือธงสีแดงกลางวงคนเสื้อแดง  จู่ๆ ล้มลงท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จับจ้องภาพเลือดที่ไหลนองอยู่เต็มพื้นถนนกับศพ ที่ไม่ไหวติง หลังจากถูกซุ่มยิง จนเสียชีวิตระหว่างที่เจ้าหน้าที่รัฐเข้าสลายการชุมนุมเพื่อขอพื้นที่คืน

"เขาจะมาไล่พวกผมก็ต้องสู้ผลักดัน ทหารออกไป เขาใช้กระบองตีหน้าแข้งผม ยิงแก๊สน้ำตาใส่ ผมยืนสู้ร่วมกับพี่ชาย พวกเราตะลุยเข้าไปแบบไม่กลัว แต่ผมแสบตามากจึงออกมาหาน้ำล้างตา" นายวรเมธ วางงาม อายุ 15 ปี เล่านาทีก่อนที่พี่ชายนายสวาท จะเสียชีวิตว่าถ้าไม่กลับออกมาล้างตาและเจ็บขาเพราะถูกกระบองฟาดอาจจะไม่มี ชีวิตรอดกลับมาเช่นกัน เพราะจะอยู่ติดกับพี่ตลอดเพื่อทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ทหารบุกเข้ามาภายใน

รัฐบาลยังไม่ยอมยุบสภาจะมาไล่แบบนี้ใครจะยอม พวกเราจึงต้องออกมาสู้แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นยิงกันแบบนี้

 "พี่ผมต้องไม่ตายเปล่า"  นาทีที่ทหารบุกเข้ามาพวกเราล้มลุก คลุกคลาน แสบตา แต่ต้องสู้ ทหารมีโล่กำบังแต่พวกผมไม่มี แต่ผมไม่กลัวยิ่งเห็นทหารเอากระบองตียิงปืนใส่ผมลุยอย่างเดียว กล่าวเพียงเท่านี้เด็กชายที่เพิ่งจะก้าวข้ามมาใช้ "นาย"แสดงแววตาที่จริงใจแข็งกร้าวพร้อมกับชูภาพศพจากโทรศัพท์มือถือให้ดู

สำหรับผู้เป็นพ่อ นายสำราญ วางาม ชาวสุรินทร์  ต้องสูญเสียลูกชายที่เป็นแรงงานหลักของบ้านไปว่า เสียใจมาก ไม่คิดว่าลูกชายจะมาตายแบบนี้ ครอบครัวเราเป็นคนยากจน มีที่ดินแค่ 1 ไร่ แต่ทำกินไม่พอลูกจึงต้องมาทำงานในกรุงเทพฯใช้แรงงาน แต่วันนี้พวกเราไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว เหลือเพียงชีวิตแต่ก็ถูกพรากไปอีก ลูกชายผมเกิดวันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2525  แล้วมาตายในวันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2553

ประชาธิปไตยสำหรับคนยากจนอย่างผมอธิบายอะไรไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่ารัฐบาลต้องยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนได้เลือกผู้นำที่คน ส่วนใหญ่ต้องการมาเป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนี้พวกผมเดือดร้อน ไม่มีอะไรจะกิน ผมเสียลูกชายไป 1 คน ไม่ขออะไรมากขอแค่รัฐบาลอย่าได้ฆ่าประชาชนเหมือนผักเหมือนปลาอีกเลย ถ้าชีวิตลูกชายของผมยังมีค่าพอจะแลกกับตำแหน่งได้ ขอให้ "ยุบสภา"

"ลูกชายผมยังลืมตาค้างแบบตายวันแรก" ผมเป็นพ่อคงไม่อยากเห็นลูกนอนตายตาค้างแบบนี้ พวกเราจะสู้ต่อไปชุมนุมจนกว่าจะได้ประชาธิปไตยคืนมา เพื่ออนาคตของลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่

นางสาวอัมพิตา สมุทรติรัมย์ อายุ 28 ปี อุ้มท้อง 6 เดือน ภรรยานายสวาท วางาม อายุ 28 ปี ที่เสียชีวิตขณะถือธงต้านทหารถูกยิงที่ศีรษะเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ กล่าวว่า  เสียใจมากที่สามีไม่มีโอกาสได้ดูหน้าลูกสาวที่กำลังจะเกิดในอีก 4 เดือน สามีคงตายตาไม่หลับจนถึงตอนนี้ยังนอนตายตาค้าง ตอนนี้ครอบครัวของเราก็ลำบากมากขาดผู้นำครอบครัวไป โชคดีที่ยังมีน้าคอยดูแล ต่อไปคงต้องเลี้ยงลูกเอง ถ้าลูกคลอด ออกมาคงต้องอธิบายว่าทำไมถึงไม่มีพ่อ ซึ่งจะบอกเล่าให้ลูกฟังทั้งหมด

นางสุภารัตน์ ทองผุย ภรรยานายบุญธรรม คลองผุย ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวที่แยกคอกวัว กล่าวว่า ทุกครั้งที่มาชุมนุมนายบุญธรรม จะมาพร้อมลูกชายคนเล็ก แต่ครั้งนี้เขามาคนเดียว และบอกลูกชายว่า เดี๋ยวพ่อไปกลับ หลังจากนั้น ก็เห็นข่าวว่านายบุญธรรมเสียชีวิตแล้ว รู้สึกเสียใจมาก ยังช็อคไม่หายเลย

นางสุภารัตน์  กล่าวว่า ก่อนหน้าเกิดเหตุร้ายก็ฝันว่าสามีถูกตามฆ่า เชื่อว่าเป็นฝันบอกเหตุ ต่อมาก็ได้รู้ว่าสามีเสียชีวิตแล้ว เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งอยู่กับสามีคนแรก ก็ฝันว่า สามีคนแรกถูกฆ่าต่อมาสามีคนแรกก็ตายเหมือนกัน จึงเชื่อในความฝันมาก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการเสียชีวิตของสามีเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ทหาร ไม่เกี่ยวกับชายชุดดำ ทั้งนี้ รัฐบาลไม่น่าสลายการชุมนุม เพราะแค่คำว่า "ขอยุบสภา" ไม่น่าจะพูดยาก

เมื่อถามว่า หากรัฐบาลยอมยุบสภาแล้ว จะเป็นไรต่อ นางสุภารัตน์ กล่าวว่า ต้องมีการเลือกตั้งอย่างยุติธรรม ให้ได้รัฐบาลขึ้นมา เมื่อถามต่อว่า หากได้รัฐบาลขึ้นมาแล้ว มีบางกลุ่มไม่เห็นด้วยและออกมาเรียกร้องให้ยุบสภาอีก นางสุภารัตน์ กล่าวว่า ก็ต้องดูกันอีกที

คุณยายคำกอง ทองผุย แม่ของนายบุญธรรม  อายุ 77 ปี บอกว่ายังรู้สึกเสียใจกับการจากไปของลูกชาย แต่ก็รู้สึกภูมิใจที่ลูกชายต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย  ภูมิใจมาก   รู้สึกโกรธแค้นเช่นกันที่ลูกชายต้องมาเสียชีวิตลงจากเหตุการณ์ครั้งนี้

คิดว่าทางออกที่ดีที่สุดของประเทศตอนนี้คืออะไร

คุณยายคำกองบอกว่า รัฐบาลต้องยุบสภา เพราะตนเชื่อว่า จะทำให้ชาติสงบสุข อีกทั้งระบุว่า รัฐบาลชุดนี้ ตนไม่ได้เลือกตั้งมา อยากให้รัฐบาลที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรี กลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง  เนื่องจากสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี เด็กในหมู่บ้านไม่มีคนดมกาว และโจร ขโมยก็ไม่เยอะ

ได้รับเงินช่วยเหลือค่าทำศพรวมทั้งหมดเท่าไหร่

ยายคำกองกล่าวว่า ตนยังไม่เห็นเงินช่วยเหลือเลยสักบาท เนื่องจากลูกสะใภ้ (นางสุภารัตน์) เป็นคนจัดการทั้งหมด  ซึ่งตอนนี้ ตนมาพักอยู่กับลูกอีกคนที่มีบ้านอยู่ที่จ.ปทุมธานี โดยที่มาวันนี้ ทางพรรคเพื่อไทยก็เป็นคนส่งรถไปรับถึงบ้านพร้อมกับพาไปรับประทานอาหาร และก็เดินทางมาพร้อมกับลูกสะใภ้และหลานชายเพื่อมาขอความเป็นธรรมดังกล่าว
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #44 เมื่อ: 22 เมษายน 2553, 05:43:47 »

ช่างภาพอิสระ โดนกลุ่มคนหลากสีทำร้าย เนื่องจากใส่ปลอกแขนสีเขียวของคนเสื้อแดง ทำให้เกิดการเข้าใจผิด ขณะผู้สื่อข่าวต้องระวังในการทำงานมากขึ้น...

บรรยากาศ การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ ช่วงหลังเที่ยงคืน วันที่ 22 เม.ย. 2553 มีกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมากต่างทยอยกันมา สมทบที่เวทีราชประสงค์มากขึ้น และได้มีช่างภาพอิสระ ชื่อ นายภู ดาลัมพก อายุ 38 ปี เป็นช่างภาพของฟรีแม็คทาวเวอร์ ได้รับบาดเจ็บอาการฟกช้ำบนใบหน้า และศีรษะโน เนื่องจากช่างภาพคนดังกล่าว ซึ่งสวมปลอกแขนสีเขียว และสกรีนคำว่า “นักรบไซเบอร์” และ มีป้ายสีแดงห้อยคอ ได้เข้าไปถ่ายรูปในกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อหลากสี ที่ใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ศาลาแดง ซึ่งเป็นจุดที่กลุ่มคนเสื้อหลากสีชุมนุม ทำให้เกิดการเข้าใจผิดว่าคนเสื้อแดงเข้ามาถ่ายภาพกลุ่มคนเสื้อหลากสี จึงได้เข้ามาทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ แต่เจ้าหน้าที่ทหารได้เข้ามาห้ามไว้ แล้วได้นำตัวช่างภาพไปส่งคืนยังกลุ่มคนเสื้อแดงที่ตั้งฐานชุมนุมอยู่ที่หน้า ลานพระบรมรูป ร.6 สวนลุมพินี และทางกลุ่มคนเสื้อแดงได้พาตัวช่างภาพกลับมายังเวทีราชประสงค์แล้ว

จาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำให้ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวทุกช่องต้องระวังมากขึ้น เพราะปลอกคล้องแขนที่ทางผู้สื่อข่าวใช้นั้น ทางกลุ่มคนเสื้อแดงได้ทำออกมา 3 แบบ คือ 1.ปลอกคล้องแขนสีขาวมีคำว่ายุบสภา จะเป็นแขกวีไอพี 2.ปลอกคล้องแขนสีเขียวมีคำว่ายุบสภา จะเป็นของผู้สื่อข่าว และ 3.ปลอกคล้องแขนสีแดง จะเป็นของพวกการ์ดเสื้อแดง ซึ่งปลอกคล้องแขนของผู้สื่อข่าวที่มีคำว่ายุบสภานั้น ทางผู้สื่อข่าวได้มีการทักท้วง ว่า ไม่น่าจะมีคำว่ายุบสภาติดไว้ เพราะผู้สื่อข่าวจะต้องวางตัวเป็นกลาง ถ้าติดปลอกคล้องแขนที่มีคำว่ายุบสภาไปยังจุดอื่น จะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้ว่าไปเข้าข้างกลุ่มคนเสื้อสีแดงได้

ขณะ นี้ ผู้สื่อข่าวจึงต้องระมัดระวังกันมากขึ้น และผู้สื่อข่าวที่มาทำข่าวเป็นประจำในจุดเวทีราชประสงค์จะรู้จักและสนิทกับ การ์ดเสื้อแดง จึงขอทางการ์ดไม่ต้องสวมปลอกคล้องแขนที่มีคำว่ายุบสภา เพื่อเป็นการสะดวกในการไปทำข่าวนอกเวทีราชประสงค์ด้วย
ไทยรัฐออนไลน์

    * โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
    * 22 เมษายน 2553, 02:15 น.

 

tags:
เสื้อแดง ช่างภาพอิสระ ปลอกแขน คนหลากสี
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #45 เมื่อ: 23 เมษายน 2553, 16:05:19 »

จาก link

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9530000052655&Page=1

 

 

ชื่อของ “อี้ เอกชัย บูรณผานิต" เริ่มเป็นที่รู้จักเมื่อเกือบ 10 ปีก่อนในฐานะนักแสดงดาวรุ่ง ก่อนจะห่างหายไปจากวงการและโผล่มาอีกครั้งกับชื่อใหม่ “อี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ” ในฐานะพิธีกรรายการของเวิร์คพอยท์หลายรายการ อาชีพพิธีกรของอี้กำลังก้าวหน้าไปด้วยดี ถึงขั้นมีการวางตัวจะให้เป็นตัวตายตัวแทนของ “ปัญญา นิรันดร์กุล” เจ้าพ่อเวิร์คพอยท์เลยด้วยซ้ำ
     
      แต่เหตุการณ์ที่อี้นำ 84 องค์กรเครือข่ายต้านคอรัปชั่นไปยื่นถวายฎีกาไม่เอา “สมัคร สุนทรเวช” เป็นนายกเมื่อปี 2551 ก็ทำให้ชีวิตในการทำงานของอี้พลิก ผันอีกครั้งตามสไตล์ดาราที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเมือง ที่มักจะถูกนายทุนติดเบรก เป็นเหตุให้ไม่มีดาราคนไหนกล้าแสดงจุดยืน เรื่องการเมืองสักเท่าไหร่
     
      หลังจากสร้างประวัติศาสตร์คนบันเทิงโดยการยื่นถวายฎีกาแล้ว อี้ แทนคุณ ก็หายไปจากวงการกลับไปทำงานภาคพลเมืองให้กับองค์กรต่างๆ เหมือนที่เคยทำมา ก่อนจะมาปรากฏเป็นข่าวอีกครั้ง เมื่อเจ้าตัวโผล่มาเป็นนักวิเคราะห์ข่าวและทำหน้าที่สัมภาษณ์ บุคคลต่างๆ ในรายการ “ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า” ช่อง 11 สทท. ซึ่งเป็นรายการเฉพาะกิจที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ “ม็อบเสื้อแดง” ประกาศรวมพลใหญ่ เพื่ออธิบาย คลี่คลาย สถานการณ์บ้านเมืองให้ประชาชนเข้าใจ
     
      กับการทำหน้าที่ครั้งนี้ อี้ได้สร้างความตกตะลึงในวงการข่าวฟรีทีวี ด้วยการกล้าพูด กล้าถาม กล้าอธิบาย ในสิ่งที่ผู้สื่อข่าว ผู้ประกาศข่าวช่องต่างๆ ไม่กล้าทำ เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตราย จนเป็นเหตุให้ม็อบเสื้อแดงถึงกับขึ้นบัญชีดำ อะไรที่ทำให้เขากล้า และต้องใช้ความบ้าซักเท่าไหร่ ไปทำความรู้จักตัวตนของ อี้ แทนคุณ กัน
     
      “จริงๆ เรื่องการเมืองเป็นเรื่องที่ผมสนใจมานานแล้ว และผมก็ทำงานภาคพลเมืองมานานตั้งแต่สมัยผู้ว่าอภิรักษ์ตอนนั้นรณรงค์ เรื่องการไปเลือกตั้งใช้ชื่อว่า บิ๊กแบงบางกอก แล้วก็ไปทำกับกลุ่มเยาวชนต่างๆ กลุ่มคนพิการ กลุ่มระมัดระวังตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่น และก็ร่วมกับอีกหลายๆ กลุ่มในการรณรงค์เรื่องต่างๆ และก็มีกลุ่มสื่อของตัวเอง ชื่อกลุ่มสื่อธรรมะเพื่อเยาวชน แต่ไม่เคยไปปรากฏตัว ผมคิดว่าภาคพลเมืองเรา ควรจะทำให้มันดีไม่ต้องเด่น”
     
      “แต่ภาพมันพึ่งจะชัดเจนเมื่อตอนที่ไปยื่นฎีกา ครั้งนั้นที่ตัดสินใจไปยื่นเพราะมีความรู้สึกว่า มันแย่ พรรคการเมืองพึ่งพาไม่ได้แล้ว ขณะนั้นผลการตัดสินของศาลก็ออกมาแล้วทุก คนก็ควรที่จะเคารพ ไม่ว่าจะถูกใจหรือไม่ถูกใจ เพราะมันเป็นขบวนการยุติ ยุติโดยธรรม ความถูกต้องมันต้องมาก่อน”
     
      “แต่ที่สุดแล้วนักการเมืองก็ไม่จบ เขาไม่สนใจ เขารู้สึกว่าอยากจะทำอะไรก็ได้ มันคือกลียุคแห่งความคิด คิดว่าพวกพ้องของตัวเองเป็นใหญ่ เห็นแก่ตัวตามประสานักการเมือง ซึ่งความคิดเหล่านี้มันปรากฏชัดเจนตอนยุคของคุณทักษิณ ที่คิดรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เลยทำให้พรรคพวกกลุ่มผลประโยชน์ใช้ วิธีคิดแบบเดียวกัน ซึ่งผมคิดว่ามันน่ากลัวมาก ขอเพียงให้เขาได้อำนาจฐานจากเสียงจากประชาชน แล้วเขาจะทำอะไรยังไงก็ได้ ซึ่งเบื้องหลังก็รู้กันอยู่ ว่ามันได้มาโดยใสสะอาดบริสุทธิ์มากนัก การที่เขาถูกยุบพรรคอะไรต่างๆ มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว”
     
      “เพราะฉะนั้นผมก็มีความรู้สึก ว่า มันต้องช่วยทำอะไรบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้อำนาจมันไหลเลื่อนไปทาง นักการเมืองและก็ปกครองแบบนี้ ประชาธิปไตยมันไม่ใช่คนที่ต้องอยู่ ใต้ปกครอง มันต้องร่วมปกครอง และคนที่เป็นนักการเมืองก็ต้องรู้สึก ตระหนักว่า พลังของประชาชนมันไม่ได้จบที่การให้อำนาจเป็นตัวแทนประชาชน แล้วคุณจะไปทำอะไรยังไงก็ได้ โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความดีงามที่ ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าพวกฉันใหญ่พวกฉันมาก จนเกิดวาทกรรมประมาณว่า โกงแล้วได้ แต่แบ่งกูด้วย” (ยิ้ม)
     
      “คือโกงก็ได้ แล้วก็แบ่งเศษเงินเศษทองให้กับประชาชน คือแทนที่ประชาชนจะได้รับเต็มเม็ด เต็มหน่วย แต่เขาแบ่งสรรให้พวกเราเพียงน้อยนิด (กำลังจะหมายถึงนโยบายประชานิยมหรือ เปล่า) คืออันนี้น่ากลัวที่สุด เมื่อนักธุรกิจมาทำการเมือง เขาก็เลยใช้ระบบมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งมันไม่ยั่งยืน คำนึงถึงผลกำไรเป็นตัวตั้ง และมีการสร้างภาพว่ามันเป็นผลสำเร็จ ความสวยงามดูดี ทำให้ภาพความเป็นจริงไม่ถูกแสดงออกมา งบประมาณบางส่วนก็ถูกนำมาใช้เพื่อการ โปรโมทตัวเอง มีผลงานอะไรก็แถลงข่าวใหญ่โต ด้านมืดด้านลบอะไรก็ไม่บอก”
     
      “ลึกๆ ผมมีความเจ็บปวดกับรัฐบาลของคุณทักษิณมาก ทั้งๆ ที่เดิมทีผมรู้สึกศรัทธาคุณทักษิณในระดับหนึ่ง เขาเป็นคนเก่ง ยุคควบคุมสื่อเริ่มจากยุคเขาเป็นยุคแรก ตอนแรกๆ ผมทำรายการของหลวงปู่พุทธอิสระ ช่อง 9 รายการออกทุกวัน หลวงปู่ท่านก็วิพากษ์วิจารณ์ตรงๆ ซึ่งตอนนั้นท่านไม่ได้โฟกัสห รอกว่าเป็นคุณทักษิณ แต่ท่านพูดถึงนักการเมืองที่โกงกิน ตอนหลังรายการก็เลยถูกยุบ ถามจากวงในทำให้ทราบว่า เราวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเกินไป”
     
      “อย่างไรก็ตาม อันนี้ก็ไม่ได้เป็นเหตุที่อคติต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลคุณสมัคร แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่ง ขนาดเราคิดว่า เราไม่ได้ทำร้ายใคร พูดอะไรเขายังไม่ฟังเลย แล้วคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ต้องถูกครอบงำ ความคิดถูกเปลี่ยนแปลงทัศนะคติ ถูกครอบงำหรือถูกหลอกใช้หลอกลวง มากขึ้น การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงก็เป็นปรากฏการณ์ที่มันสะสมมาทีละนิดๆ ใส่ข้อมูลว่าเขาดีๆ มากขึ้นๆ จนคนมองไม่เห็นความชั่วของเขา นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ให้คิดว่า เราต้องรวมตัวกัน”
     
      “ซึ่งหลังจากยื่นไปแล้วก็มีผู้ใหญ่มาบอกว่า ผมขึ้นแบล็คลิสต์ ของกลุ่มเสื้อแดง ทำอะไรก็ต้องระวังตัวหน่อย เพราะเป็นศัตรูเขา ถามว่ากลัวไหม ก็กลัว ทำไมต้องคุกคาม แต่โดยส่วนตัวผมไม่ได้คิดว่าเขา เป็นศัตรูนะ ผมแค่รู้สึกว่า ทำไมไม่ทำให้ถูกต้อง หาคนอื่นมาเป็นนายกไม่ได้เหรอ ทำไมจะต้องเอาคุณสมัครซึ่งถูกตัดสินแล้ว การที่คนในพรรคยังเลือกคุณสมัครมาเป็น ทั้งๆ ที่ถูกตัดสินแล้ว ก็แปลว่าเขาไม่เห็นหัวประชาชนเลย”
     
      “หลังจากที่ผมออกมาครั้งนั้น ก็มีหลายคนมาเตือน เพราะผมค่อนข้างออกหน้ามาก จากนั้นผมก็หายไป แต่ก็ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ ผมเองก็ยังทำหน้าที่ภาคพลเมืองอ ยู่ อย่างไรก็ตามช่วงนั้นมันก็ยังไม่ชัดเท่าช่วงนี้”
     
      “ม็อบอยู่...ผมอยู่ เพื่อคลี่คลายความจริง”
      “จริงๆ แล้วต้องบอกว่าผมไม่ใช่นักข่าวมืออาชีพ แต่จุดเริ่มต้นมาจากตอนที่ผม ทำเครือข่ายศึกษาและพัฒนาสันติวิธีของมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นที่ปรึกษาของกลุ่มเยาวชน และวันนั้นก็ไปจัดกิจกรรมกันที่อนุสรณ์ สถาน 14 ตุลา ก็มีท่านว.วชิรเมธีโฟนอินเข้ามา และก็มีพระพยอม ผมก็พูดเรื่องธรรมะศาสนาและก็เรื่องการเมือง การเมืองจะต้องเสียสละ เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง”
     
      “จากนั้นทางช่อง 11 ก็ติดต่อเข้ามาว่า อยากใช้แนวทางสันติวิธีแบบนี้ช่วยมาเป็นพิธีกรให้ หน่อย ผมก็เลยบอกว่า ผมมีจุดยืนของตัวเองคือ ไม่เป็นเครื่องมือของรัฐบาล จะให้มานั่งบอกว่ารัฐบาลดีอย่างโน้นอย่างนี้ไม่เอา สอง ผมจะเชื่อในสิ่งที่ผมคิดว่าใช่ ถ้าผมตรวจสอบแล้วว่ามันถูกต้อง ผมจะช่วยเต็มที่ อันไหนผิดถูกผมจะบอกเต็มที่”
     
      “ผมเริ่มทำรายการตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม คือพอเขาชุมนุมผมก็เริ่มทำเลย เป็นรายการเฉพาะกิจ(เหมือนเขาปั้นเราขึ้นมาต่อสู้กับเสื้อแดง) มันก็คล้ายๆ อย่างนั้นครับ(หัวเราะ) แต่อย่างว่าใจผมมันมาเกินร้อย วันแรกผมสัมภาษณ์ท่านไพศาล วิสาโล ทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น”
     
      “เข้า ใจอย่างแรกก็คือ เรื่องทั้งหมดมันเกิดจากคุณทักษิณจริงๆ เขาเป็นคนที่ไม่ยอมรับกติกาเพราะอุปนิสัย ใครที่ทำให้เขาผิดเป้าหมาย เขาจะมองเป็นศัตรูหมด ใครที่เป็นคู่แข่งกับเขาจะเป็นคู่แค้นด้วย หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ขัดขวางผลประโยชน์ของเขา เขาจะทำร้ายล้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วไอ้ความคิดแบบนี้มันได้เข้าไปครอบคลุมกลุ่มพรรค การเมืองเพื่อไทย”
     
      “อย่างที่สอง คนเสื้อแดงถูกบิดเบือนข้อมูลเยอะมาก ถูกบิดเบือนว่ารัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เป็นรัฐบาลที่เกิดจากทหาร และการยุบพรรคก็เกิดจากอำมาตย์ เขามองว่ามันเชื่อมโยงกันหมด การตัดสินของศาลไม่ยุติธรรม เขามองว่าเป็นการใช้อำนาจครอบงำศาล ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือเขาไม่ดูที่เหตุ แต่เขาดูที่ผล ถ้าผลออกมาไม่ถูกใจเขาก็จะบอกว่าไม่ถ ูกต้อง”
     
      “หลังจากสัมภาษณ์เทปแรกเสร็จ ผู้ใหญ่ทางช่องก็บอกว่า ผมมีเซ้นส์ทางการเมือง ผมก็บอกว่า ถ้ามันผิดผมก็จะบอกว่าผิด ถ้าถูกก็จะบอกว่าถูก ซึ่งผมเองก็มองว่าคุณทักษิณคือต้นเหตุทั้งหมด ผู้ใหญ่ทางช่องก็ถามว่า พร้อมจะช่วยไหม เพราะไม่ค่อยมีผู้ประกาศคนไหนที่กล้าจะพูดแบบนี้ ผมก็บอกว่า ไม่มีปัญหา ถ้าการที่ผมออกมาแล้ว มันทำให้บ้านเมืองสงบได้และคลี่คลายได้”
     
      “คือตอนนี้สถานการณ์มันค่อนข้างวิกฤติมาก ข้อมูลทุกอย่างถูกบิดเบือน และมันก็ลุกลามไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้โดยเด็ดขาด ผู้ใหญ่ก็บอกว่า มันเสี่ยงนะ มันอาจจะมีผลตามมา ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก คือถ้าเรามีส่วนเล็กๆ น้อยๆ ทำให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ มันสื่อออกไปทั่วประเทศและทำให้มีคนเข้าใจอะไรมากขึ้นได้ผมก็ยินดี”

 

“การทำงานเวลาไม่แน่นอน ช่วงที่เกิดสถานการณ์ใหม่ๆ ผมจะรายงานทั้งวันเลยตั้งแต่บ่ายไปจนดึก ก็จะสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือม็อบอยู่ผมอยู่ แต่เป้าหมายของผมเนี่ย ไม่ใช่ต้องการจะโจมตีคุณทักษิณตามล่าตามล้าง แต่อยากจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้ทุกคนเข้าใจ เราก็ไม่ได้คิดถึงขั้นคุกคาม ไม่งั้นเราจะไม่แตกต่างกับคนที่คิดคุกคาม คนอื่น”
     
      “กับการที่ผมพยายามอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ ผมก็โดนแบล็คลิสต์เลย หาว่ารับใช้พวกอำมาตย์ เลวชั่วต่ำช้า ก็โอเคไม่เป็นไร(ยิ้ม) ทุกคนก็โทร.มาเตือนผม ไม่ว่าจะเพื่อนๆ หรืออาจารย์ ทุกคนก็ให้กำลังใจ ให้ระวังตัว เขาบอกว่า ผมพูดอะไรตรงเกินไป แต่ผมว่าทุกวันนี้มันเห็นชัดนะครับ ว่าคุณทักษิณคือคนที่เป็นต้นเหตุ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งมวลในสังคมไทย การที่เขาไม่ได้ผลประโยชน์ ทำให้เขาต้องปลุกระดม พยายามล้างสมอง กระตุ้นเร้าอารมณ์คนให้คล้อยตาม เขา ม็อบนี่เป็นม็อบของเขาพรรคของเขาที่ได้เงินเขามา และรับใช้เขา”
     
      “ถึงผมจะไม่ใช่สื่อมวลชนที่เป็นนัก ข่าว แต่ผมก็เป็นคนทำงานด้านสื่อในเรื่องการสัมภาษณ์ เวลาที่เกิดปัญหาในเรื่องการบิดเบือนข้อมูล สิ่งหนึ่งที่เราควรจะต้องทำคือไม่หลบหนีความจริง เช่น วาทกรรมเรื่องอำมาตย์ ไพร่ ผมก็ได้มีการหยิบยกขึ้นมาถามอาจารย์ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ปราโมทย์ นาครรทรรพ ผมก็ถามตรงๆ ว่า ชนชั้นพระมหากษัตริย์ทำให้ไม่เกิดความเป็นประชาธิปไตยจริงไหม ที่ต้องถามเพราะว่ามีคนอีกเยอะมาก ที่พร้อมจะเอนเอียงไปทางเขา ถ้าเราไม่เปิดใจกว้างพูดคุยเรื่องนี้ในอนาคตก็อาจจะมีปัญหา”
     
      “ท่านอาจารย์ปราโมทย์ก็ได้ตอบว่า ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด คำนึงที่ผมยิ่งสะเทือนใจและตอกย้ำว่า เราจะต้องทำหน้าที่ตรงนี้ เราจะต้องทำนะ เราจะต้องสู้ และถ้าจะเอาชีวิตเข้าแลกก็ต้องทำก็คือ ท่านอาจารย์บอกว่า ในหลวงทรงรู้ว่ามีคนที่ไม่อยากให้มีสถาบัน ท่านก็พยายามบอกผ่านคนทำงานของท่านว่า ขอให้บอกเรานะ อยากให้เราปรับตัวอะไรบ้าง ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ ให้โอกาสในการที่เราจะปรับตัวด้วย นี่คือสิ่งที่เราสัมภาษณ์ออก โทรทัศน์กันสดๆ เลย”
     
      “ผมฟังแล้วแบบ....รู้สึก ว่าท่านโดดเดี่ยว และก็รู้สึกว่า ถ้าประชาชนไม่ช่วยกันปกป้องท่าน ท่านก็ไม่มีพระราชอำนาจอะไรที่จะบังคับความรักความศรัทธาของผู้คน ให้รักเรานะ จงรักภักดีกับเรา แต่ตรงกันข้าม พระองค์กลับพยายามบอกว่า มีอะไรให้ปรับตัว ยินดีที่จะช่วยเหลือประชาชนทุกคน ท่านเป็นในหลวงที่ เหนื่อยที่สุดในโลก ทรงงานหนักมาขนาดนี้ แต่กลับถูกคนที่เห็นแก่ตัวไม่กี่คนปลุกระดมคน ฉะนั้นถ้าผมจะทำอะไรได้ จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม”
     
      “นอกจากนั้นแล้ว อาจารย์ก็ยังเชื่อมโยงให้เห็นว่า ที่ประเทศอื่นๆ เขามีสำนักพระราชวัง สำนักราชเลขานุการคอยตอบโต้เวลาที่มีใครโจมตี แต่ในหลวงไม่มี คือในหลวงทรงเสียเปรียบเวลาที่ถูกพาดพิง คนที่ไม่เคยศึกษาไม่เคยรู้ว่าท่านทรงงานทำอะไร ก็จะคล้อยตามสิ่งที่โจมตีท่าน สังคมไทยถ้าเป็นแบบนี้มันน่ากลัว เพราะคำว่าผลประโยชน์ และความไม่รู้”
     
      “ศัตรูของประเทศไทยในวันนี้ไม่ใช่ ทักษิณ แต่มันคือความไม่รู้ ทุกวันนี้เรามีสื่อที่ทันสมัยมากมาย แต่วิธีคิดของสื่อที่เจริญแล้วเนี่ยมันแฝงไว้ด้วยอำนาจ ความชิงชัง ความเกลียด อคติ ผลประโยชน์ ผมเรียกว่าเป็นยุค ไอซีทีกาลียุค กาลิกาลี แปลว่า เหลือ 1 ส่วน 4 ความจริงเหลือน้อยลง ก็กลายเป็นว่าความจริงถูกบิดเบือนไป”
     
      “ตอนนี้มี 3 กลุ่มที่เป็นปัญหา คุณทักษิณ ,พรรคการเมืองสส.เพื่อไทย ที่ถวายตัวรับใช้ และก็แกนนำเพราะเขาได้ผล ประโยชน์ อย่างวันนั้นที่เจรจาก็เกิดศัพท์แสลงคำว่าเหวง เพราะชวนเสียเรื่อง แต่พอเจรจาเสร็จกลับมาเวทีก็ประกาศเลยว่า พี่น้องของเราจะต้องไม่ตายฟรี อันนี้เป็นการบิดเบือนข้อมูลอย่างร้ายกาจ เป็นการหลอกลวงและการหลอกใช้”
     
      “พอเรานั่งดูแล้วแบบ....ทำไมถึงมีคนที่ทำอะไรได้เลวขนาดนี้ เลวชนิดที่ว่าไม่ต้องอธิบายกันแล้ว สังคมมีคนที่เลวและดี เราก็ไม่ใช่ว่าดีเลิศ ทุกคนมันต้องมีบาดแผลแต่ก็ไม่ควรทำให้คนอื่นติด เชื้อไปด้วย ทุกวันนี้มันเป็นการเมืองแบบหมาหางด้วน คือหมาตัวหนึ่งมันหางด้วน และมันก็กลัวว่ามันจะถูกด่า มันก็เลยเที่ยวไปโฆษณาว่า หางด้วนสิดี เธอหางยาวไม่ดีนะ มาตัดหางด้วนอย่างฉัน”
     
      “คุณทักษิณกำลังสร้างประชาธิปไต ย หรือการเมืองแบบหมาหางด้วน เขากำลังสร้างค่านิยมแบบผิดๆ คือตัวเองหางด้วนแล้ว ตัวเองโกงแล้ว ก็เลยมองว่า คนโกงถ้าทำประโยชน์ให้คนพอใจ ก็จะได้คะแนนเสียง เลือกตั้งใหม่ก็จะได้อีก เขาก็จะพยายามเรียกร้องให้ยุบสภาๆ เพราะเขาก็จะมีกลโกงอีก”
     
      “เมื่อก่อนเรารู้ว่าเขา โกงอะไรบ้าง แต่ก็ยังพูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำ แต่พอคำตัดสินมันออกมา ทุกอย่างมันชัดเจนมาก กับการทำหน้าที่สื่อหลายๆ คนต้องบอกว่า เป็นกลางๆ แต่ผมบอกตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานที่ช่อง 11 เลยว่า ความเป็นกลางก็คือความเป็นธรรม ความถูกต้อง หน้าที่เราก็คือการอธิบายให้ทุกคน ทราบข้อเท็จจริง”
     
      “เรื่องการเมืองเป็นเรื่องสำคัญที่ สุด ทุกคนต้องมีส่วนร่วม อย่ามาบอกว่าฉันเป็นกลาง กลางผมมองว่าการเลือกข้าง หรือการทำตัวเป็นกลางมันก็คือการแบ่งแยกเหมือนกันนะ กลางมีสองอย่าง กลางคลี่คลายช่วยเหลือแก้ไข กับกลางแบบเอาให้ทะเลาะกันไปแล้วค่อยออกมา แสดงว่าฉันเป็นกลาง เราควรจะเป็นกลางแบบเข้าไปคลี่คลายอาจจะเจ็บตัว หน่อย แต่ว่ามันก็ทำให้ประเทศดีขึ้น คือมันไม่ได้ทำเพื่อตัวเองนะ(ยิ้ม) ก็ไม่รู้จะเชื่อหรือเปล่า คือถ้าทำด้วยตัวเองนะ อยู่เฉยๆ สบายกว่าเยอะ ไม่ต้องเดือดร้อนขนาดนี้”
     
      “มีวันหนึ่ง ผู้ใหญ่ที่เป็นตำรวจโทร.มาบอกว่า ตอนนี้สถานการณ์ผมค่อนข้างจะน่าเป็น ห่วง เขาก็ถามว่าอยากให้ช่วยอะไรไหม ผมก็บอกว่า ถ้าช่วยก็ขอให้มีรถตำรวจมาดูแลบ้านผมหน่อย ผมยืนยันนะครับ ว่าไม่ได้เกลียดคนเสื้อแดงเพราะเขาก็เป็นคนไทยเหมือนกัน ผมขอแค่อย่าคุกคาม เจอกันไม่ชอบหน้าผม ก็ด่าบ้างก็ไม่เป็นไร แต่จะเอาชีวิตกันจะเข่นฆ่ากันมันก็.....”
     
      “อย่างวันนั้นผมสัมภาษณ์อดีตแม่ทัพภาค 4 ก็มีระเบิดที่ช่อง 11 ตอนนั้นเลย แว๊บแรกที่ผมคิดก็คือจะมีคนตายไหม จะมีลูกสองลูกสามตามมาไหมเพราะเสียงมันดังมาก แต่ผมก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด(คิดว่าเขาจงใจหรือเปล่าต้องยิงช่วง ที่อี้ออกอากาศ) ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมแค่พยายามชี้แจงให้ทุกคนได้รู้ความ จริง ผมไม่ใช่นักข่าวที่จะต้องมานั่งรายงาน ผมต้องวิเคราะห์วิพากษ์ให้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งหลายคนบอกว่ามันแรงดีนะ มันกล้าดีนะ แต่ผมก็ต้องทำ และอีกอย่างที่ผมทำไปพร้อมๆ กันในเชิงคู่ขนานก็คือ กระบวนการหาทางออก”
     
      “ผมอยากเห็นคนไทยเถียงกันได้ เห็นต่างกันได้ นั่งเถียงกันเสร็จ ได้แสดงได้โชว์แลกเปลี่ยนจบเป็นจบ อย่าแค้นอย่าฝังใจอย่ามาขู่ว่า เฮ้ย...เห็นต่างเดี๋ยวมึงตาย แล้วก็อยากให้สังคมไทยหมดจากเรื่องโกงซักที เคยฟังทางเสื้อแดงพูดรัฐบาล อำมาตย์ รัฐบาลทหาร ซึ่งผมว่าการปฏิวัติโดยที่ไม่มีการเสียเลือดเนื้อ กับการโกงกินสูบเลือดสูบเนื้อ สิ่งหลังมันเลวร้ายกว่า การสูบเลือดสูบเนื้อแม้แต่คนที่ลำบากยากจนไม่มีหนทางทำมาหากิน คนรากหญ้าก็ยังถูกเอามาใช้เป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่โกงกิน เพื่อให้ได้มาซึ่งขั้วอำนาจของตัวเอง”
     
      นักวิชาการหัวหด ไม่กล้าแสดงความเห็น
      “อีกอย่างที่น่ากลัวก็คือ คนที่รู้แต่ไม่กล้าออกมาพูด หรือแสดงออกให้สังคมได้รับรู้ ที่ผ่านมาผมพยายามเชิญกลุ่มอาจารย์มาใน รายการ ให้ช่วยมาพูด ให้ช่วยมาบอกความจริงกับสังคม เพราะผมคนเดียวคงไม่มีปัญญา ทำอะไรได้มาก ท่านก็บอกว่าได้สิ แต่พอถึงเวลาออกรายการท่านก็เปลี่ยน ไม่กล้าพูด ผมขอไม่แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ เราก็เข้าใจว่าต่างคนต่างต้องการอยากจะปกป้องตัวเอง “
     
      “นักวิชาการบางคนที่มีความคิด มีความเข้าใจแต่ไม่มีความกล้าหาญทาง จริยธรรมในการออกมาแสดงออก และวิพากษ์วิจารณ์อย่างเปิดกว้าง เพื่อหาทางออกให้กับสังคมจริงๆ ผมเชื่อในสันตินะ แต่ผมไม่เชื่อว่าสันติมันจะเกิดขึ้นเองโดยลอยๆ สันติเถอะๆ สมานฉันท์เถอะ แค่ออกมาเดินๆ รณรงค์แล้วพูดแบบนี้มันเป็นเรื่องปลาย เหตุ มันไม่สามารถแก้ปัญหาได้ มันเหมือนฝุ่นใต้พรมที่ถูกหมักหมมเอาไว้ ไม่มีใครไปกวาดให้คลี่คลาย”
     
      “รัฐบาลต้องเข้าไปมีส่วนร่วม ไม่ใช่การแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญเท่า นั้น แต่เป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างสังคม อย่างน้อยต้องมีคณะกรรมปฏิรูปประเทศไทยที่หมอประเวส วะสี ทำ เอาคนกลางที่น่าเชื่อถือหลายๆ ฝ่ายหลายๆ ภาคส่วน มาร่วมกันใช้เวลา 3 – 4 เดือน ทำเลยทั่วประเทศ ผ่านอบต.อบจ. กระจายอำนาจไปเพื่อให้มันมีทาง แก้ไขอย่างตกผลึก ดีกว่ามานั่งประชาพิจารณ์ มานั่งถาม ลงมือทำเลยดีกว่า มีปัญหาอะไรจะได้แก้ไข”
     
      “ปัญหาเรื่องสองมาตรฐาน ถ้ามองว่าทางองคมนตรี พล.อ.เปรม ผิด ก็แยกออกมาเป็นตัวบุคคล ไม่ใช่เหมารวมสถาบันองคมนตรี และไม่ควรจะเหมาสถาบันพระมหากษัตริย์โดย เด็ดขาด แล้ว คนที่อยู่ในกลุ่มเสื้อแดง ถ้าบริสุทธิ์ใจจริงต้องถอยออกมาแล้วก็บอกว่า ถ้าโจมตีพระมหากษัตริย์ไม่เอาด้วยนะ”
     
      “ยุทธศาสตร์การชูประเด็นของเสื้อแดง ตอนนี้มันไม่ชัด อำมาตย์ ไพร่ สองมาตรฐาน ยุบสภา มันคนละเรื่องกัน คือเขามองแค่วันนี้จะต้องดิสเครดิตรัฐบาลให้ได้ โจมตีทุกวิถีทางเพราะเขาคิดว่า ถ้ายุบสภาเลือกตั้งใหม่เขาจะได้เสียง ข้างมาก เพราะเขาจะใช้เงินซื้อพรรคเหมือนที่เขาเคยทำ แล้วเขาจะกลับ และเขาก็จะเรียกมันว่านี่คือประชาธิปไตย อันนี้น่ากลัวที่สุด เพราะคนจะคิดว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง”
     
      “รัฐบาลสองสมัยที่ผ่าน มา ทั้งรัฐบาลคุณสมัครและคุณสมชาย ก็มาจากรัฐธรรมนูญชุดเดียว ส.ส.ชุดเดียวกันกับของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งถ้าจะพูดว่าไม่ยอมรับรัฐบาล อภิสิทธิ์ มันก็ควรจะมีการพูดถึงการมาของคุณสมัครและคุณสมชายด้วย แต่ทุกอย่างมันไม่ใช่มันเกิดจาก การปลุกระดมปลุกเร้า มันเป็นการครอบงำทางความคิด เหมือนยาพิษที่ค่อยๆ ซึมเข้าไป จนคนที่ป่วยเป็นโรคก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรค และกำลังแพร่เชื้อต่อไป แต่ด้วยความเคารพนะครับตอนนี้นอกจากหากระ บวนการเพื่อดึงมวลชนไปรักษาเยียวยาบำบัดแล้ว การกระจายรายได้ การกระจายเศรษฐกิจให้กับพวกเขาก็เป็นสิ่งสำคัญ พวกเขาจะได้สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องคิดจะพึ่งพานักการเมือง”

“รัฐบาลของคุณทักษิณ ได้สร้างร่องรอยของการครอบงำด้วยระบบนายทุน ทำให้เกิดระบบประชานิยม ทำให้คนที่มาเป็นรัฐบาลต่อไปก็ต้องใช้ระบบนี้ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อที่จะได้ใจประชาชน เป็นการกระตุ้นและทำลายเศรษฐกิจพอเพียง คุณทักษิณหรือพรรคเพื่อ ไทยบอกว่า รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์พยายามก็อบปี้นโยบายของเขา แต่จริงๆ แล้ว คุณทักษิณนั่นแหละเป็นนักก็อบปี้ตัวพ่อเลย(ยิ้ม) เพราะนโยบาย 30 บาท เป็นความคิดของหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ซึ่งท่านบอกว่าประเทศไทยยังไม่พร้อม ต้องรออีก 8 ปีถึงจะพร้อม แต่เขาก็ไม่เชื่อก็เอามาใช้ แล้วมันก็ขาดๆ แหว่งๆ หมอสงวนเจ็บปวดมากที่ความคิดของท่านถูกเอาไปใช้เป็นผลประโยชน์ ของนักการเมือง เอาไปบอกว่า เป็นความคิดของตัวเอง หลักประกันสุขภาพเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่มันต้องมีเมื่อถึงเวลาที่สมควร”
     
      กล้าหยิบคำว่า อำมาตย์ กับ ไพร่ ขึ้นมาพูดในฟรีทีวีครั้งแรก
     
      “คือถ้าเราไม่กล้า ทุกคนก็ไม่มีใครกล้าหมด มันก็ไม่มีความจริงให้ปรากฏขึ้นมา ผมรับไม่ได้กับสิ่งที่เขาบอกว่า ความจริงวันนี้เพราะมันคือความเท็จ ทั้งนั้น ผมมีความรู้สึกอึดอัดใจมาก หลายๆ คนเตือนว่าระวังนะเว้ย ซึ่งเราก็ไม่ได้เจ๋งไม่ได้เก่งอะไร แต่ในเมื่อโอกาสมันมาแล้ว จังหวะมันมาแล้ว และถ้าเราไม่ช่วย เราไม่สู้เราก็จะเสียใจไปตลอดชีวิต เราจะต้องละอายใจไปตลอดชีวิต ถ้ามัวแต่คิดถึงตัวเอง ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ”
     
      “ผมทำเพราะอยากช่วยประเทศ ไม่ได้อยากเด่นอยากดัง อย่างครั้งที่ยื่นถวายฎีกาไม่เอาคุณสมัครเสร็จ ผมก็ไม่ได้มานั่งแถลงข่าวหรือมานั่งเปิดตัวเป็นผลงานของเรา เพราะจริงๆ ผมก็เห็นว่า เราไม่ควรจะทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นมันไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ผมกลัวว่ามันจะเกิดการนองเลือด ถ้าคุณสมัครกลับมาเป็นนายกอีก”
     
      “ผมไม่คิดว่า คุณทักษิณจะหยิบเอาประเด็นพระมหากษัตริย์มาใช้เป็นประเด็นการ เมืองอย่างล่อแหลมรุนแรงขนาดนี้ มันน่ากลัวมาก ตอนนี้อาจจะมีแค่คนกลุ่มน้อยที่คิดล้มเจ้า แต่มันถูกพ่วงไปกับกระบวนการปลุกเร้าต่างๆ พูดทุกวันย้ำทุกวันจนเขาเชื่อว่า สถาบันพระมหากษัตริย์มีปัญหา”
     
      “ผมบอกตรงๆ ว่า ที่ออกมาครั้งนี้เพราะในหลวง ผมอยากจะช่วยท่านจริงๆ แต่ไม่ได้อยากหยิบยกเอามาเป็นประเด็นคุณงามความ ดี แต่อยากช่วยท่านบ้าง อยากช่วยอธิบายให้คนได้ฟังได้คิด จะให้ทำยังไงก็ได้ ให้ทุกคนได้กลับจิตกลับใจและถอยออกมา ผมไม่อยาก ให้ดึงประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นประเด็นการเมือง เรื่องไพร่เรื่องอำมาย์อย่าเอามาพูด คุณทักษิณจะพูดบ่อยมาก อำมาตย์ กับ ประชาชน”
     
      “อำมาตย์ กับ ประชาชน เรารู้กันดีว่าเขาหมายถึงใคร คุณทักษิณนี่หลุดออกมาหลายครั้ง เขาพยายามปลุกสงครามชนชั้นขึ้นมา ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมันไม่เคยมี พระมหากษัตริย์ทรงมีคุณูปการในการ เปลี่ยนผ่านการแก้ปัญหาวิกฤติบ้านเมืองมามากมาย แล้วตอนนี้เราจะปล่อยให้คนแค่บางคน บางกลุ่ม ซึ่งมีไม่เกิน 0.01 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไปพูดเป็นแกนนำ ที่มีสื่อ มีเงิน มีทุน ขยายกระจายเสียงออกไป แล้วสื่อหลักๆ ก็ไม่กล้าที่จะอธิบายทั้งที่รู้ว่าควรทำยังไง ไม่ต้องตำหนิ ไม่ต้องด่าคุณทักษิณเลยก็ได้ แต่ช่วยอธิบายหน่อยว่า วาทกรรมที่เขาพูดนี่มันเป็นยังไง”
     
      “ซึ่งเวลาที่ผมสัมภาษณ์ ผมก็จะถามตรงๆ และให้อธิบาย ซึ่งในเว็บไซต์แห่งหนึ่งก็จะมีการขึ้นแบล็คลิสต์ผม มีการด่า หาว่าผมรถชนแล้วสมองเสื่อม พาดพิงมั่วไปหมด ขอให้ลูกขอให้ครอบครัวมีอันเป็นไป เยอะไปหมด ก็รู้สึกว่าลึกๆ แล้วมันก็มีความเศร้าสลด แต่ถ้าเรามัวแต่คิดว่า เรารอดเว้ย เซฟตัวเองดีกว่า พูดอย่างนี้ดีกว่า มันไม่ได้”
     
      “อาจารย์ หลายคนก็เตือนว่า ทำไมเราจะต้องไปพูด ทำไมไม่ให้วิทยากรเขาพูดเอง ผมก็จะอธิบายให้ฟังว่า ผมทำรายการนี้ด้วยจิตสำนึก ถ้าผมเอาแต่โยนให้แขกรับเชิญพูด แล้วผมนั่งยิ้ม พูดแล้วเว้ย เข้าทางกูแล้วเว้ย ผมเท่ากับโยนบาปให้เขา ฉะนั้นไหนๆ ผมเชิญเขามา ถ้าจะมีการแสดงความคิดเห็นผมจะต้องพูดก่อน ผมต้องแสดงความจริงใจก่อนว่า ผมกล้าพูดนะ”
     
      “ซึ่งบางคนก่อนเข้ารายการก็คุยกัน แล้วว่ากล้าพูด แต่พอเราถามปุ๊บไม่กล้าพูด ตรงนี้เราก็ต้องเคารพและฝึกความ เป็นประชาธิปไตย เพราะเราทำรายการที่เกี่ยวกับประชาธิปไตย เราต้องเคารพ แต่บางทีมันก็จี๊ดเหมือนกันนะ ตอนแรกคุยกันแบบนี้ พอเอาเข้าจริงๆ บอกต้องรักษาความเป็นกลาง คนก็เลยเข้าใจว่า เอออย่าไปแตะนั่นมาก อย่าไปลงลึก อย่าไปจี้”
     
      “แต่จริงๆ แล้ว เราต้องลงรายละเอียดลึกๆ เพราะตอนนี้ประเทศเหมือนคนที่ป่วยหนัก มากๆ ถ้าไม่ให้ยาแรงๆ มันไม่หาย มันต้องชัดเจนกล้าพูด แล้วเดี๋ยวนี้มันเลยไปถึงพระสงฆ์แล้ว มีพระสงฆ์เข้าร่วมม็อบด้วย ในภาคประชาชนตอนนี้มันได้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว วิถีชีวิตระบบอุปถัมภ์ ที่พ่อแม่ช่วยเหลือลูก คนในสังคมเกื้อกูลกัน มันกำลังเปลี่ยนเป็นเสรีทุนประชาธิปไตย ลูกไม่ต้องกตัญญูพ่อแม่ ทำไมต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ พ่อแม่ก็เลี้ยงดูตัวเองได้ มันถึงได้มีคำถามว่า ทำไมเราถึงจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ วิถีอุปถัมภ์ตอนนี้มันหายไปแล้ว เพราะเราไม่ได้รับการปลูกฝัง”
     
      “ปรากฏการณ์เสื้อแดงมันซ้อนทับกันหลายเรื่อง เรื่องการศึกษาที่ไม่สอนความจงรักภักดี ครูบางโรงเรียนก็เปลี่ยนรูปในหลวง ออก ก็กลายเป็นไม่ได้ปลูกฝัง ในขณะเดียวกันก็ยังถูกบิดเบือนไปในทางที่ ไม่ถูกต้อง ผมคิดว่าภาครัฐจะต้องรีบดำเนินการอะไรบางอย่างกับสื่อที่ ปลุกเร้า ถ้ามันไม่เข้าข่ายสันติวิธีหรืออารยะขัดขืนก็ต้อง จัดการ“
     
      “ต่อไปนี้ประเทศไทยเราจะน่ากลัวขึ้น เรื่อยๆ คนมันจะเข่นฆ่ากันได้เพราะไม่มีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ในหลวงที่ดีที่สุดในโลก ที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้เลียนแบบ แต่เยาวชนกลับไม่ได้รับการปลูกฝัง จะหาใครที่ดีอย่างในหลวงของเรา สิ่งที่ผมประทับใจ มากๆ ก็คือ เวลาที่ท่านเสด็จไปไหนเห็นประชาชนนั่งอยู่ท่านก็จะคุกเข่าราบ กับพื้น แล้วก็ถามประชาชน ภาพนั้นคือภาพที่ผมจดจำมาตลอดชีวิต นี่เหรอคือสิ่งที่คุณมองว่าเป็นชนชั้น”
     
      “60 ปีที่ท่านครองราชย์ ท่านพยายามมากๆ ในการที่จะลดช่องว่าง ท่านทรงตรัสว่า เสรีที่แท้จริงจะยังไม่เกิดขึ้น ถ้าประชาชนเรายากจน ท่านก็พยายามช่วยประชาชน แต่ความยากจนมันไม่ใช่ปุบปับจะเปลี่ยนแปลงได้ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่คุณทักษิณกลับพูดว่า จะไม่ยอมให้ประชาชนยากจนอย่างพอ เพียง วิธีคิดนี้เป็นวิธีคิดแบบผูกขาดทุนนิยม”
     
      ทางออก ประเทศไทย
     
      “สำหรับทางออกผมคิดว่า ท่านนายกจะต้องอดทนและเฉียบขาด ผิดเป็นผิดถูกเป็นถูก อะไรต่างๆ ที่เคยเป็นข้อผิดพลาด คนรอบตัวท่าน ปัญหาที่เคยเกิดขึ้น ท่านต้องดำเนินการให้เฉียบขาด และต้องปรามการใช้ความรุนแรง ระเบิดเอ็ม 79 ต่างๆ ท่านต้องหยุดให้ได้ จับให้ได้ และควบคุมการปลุกระดมการชุมนุมที่ ไม่สันติ”
     
      “รวมไปถึงด้านสื่อด้วย ต้องใช้สื่อให้เป็น ปัจจุบันสื่อก็เป็นอาวุธนะ น่ากลัวกว่าระเบิดด้วยซ้ำไป เพราะสื่อทำให้เกิดระเบิดได้ สื่อสามารถทำให้เกิดความเครียดแค้นชิงชัง ได้ แต่รัฐบาลชุดนี้ใช้สื่อน้อยเพราะขี้เกรงใจ เพราะมีข้อครหาที่ดักทางไว้ว่า ครอบงำแทรกแซงสื่อ ท่านนายกใช้วิธีคิดแบบอ๊อกซฟอร์ด คือเป็นวิธีคิดที่ให้เกียรติคน ให้ความเชื่อมั่นใจวิถีประชาธิปไตย ตราบใดที่ยังอยู่ในกฏหมาย ซึ่งมันก็เป็นมาตรฐานที่ดี ถ้าสันติจริงๆ”
     
      “ท่านนายกเป็นคนที่ใจกว้างมาก ยอมแม้กระทั่งลงมาคุยกับแกนนำ ซึ่งหลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะ เหมือนแกนนำมีเครดิต เป็นรัฐหนึ่งที่นายกต้องมาเจรจา แต่ก็มีคนให้ทัศนะว่า ยอดคนก็เหมือนกับยอดข้าวที่น้อมผ่อนลงมาหาคนที่ลำบาก ซึ่งท่านก็พูดชัดตั้งแต่แรกว่า ท่านรับฟังทุกเสียงถึงแม้จะเป็นเสียง ที่ไม่ได้เลือกท่าน คนที่ไม่ชอบท่านก็ต้องช่วย ผมว่านี่คือสปิริตของผู้นำ ผมไม่ได้ผลประโยชน์อะไรจากการมาชื่นชม แต่ผมคิดว่าท่านเป็นต้นแบบนักการ เมืองที่ดี และก็ดีใจที่เรามีนายกแบบนี้”
     
      “อีกอย่างที่ผมอยากจะฝากไว้ก็คือ การหยิบยกสถาบันมาเป็นข้ออ้าง ฝั่งนี้รักมาก ฝั่งนี้ไม่รักมาก แล้วฝั่งไม่รักมากจะต้องไม่ใช่คนไทย คือเขาแค่หลง เราต้องให้ความรู้ความจริงกับคนที่โดนกรอกข้อมูล ซึ่งผมกำลังทำตรงนั้นอยู่ และก็อยากให้ทุกคนร่วมกันเผยแพร่ความจริง”
     
      “ผมยืนยันจะทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด ถามว่ากลัวตายไหม ก็กลัวเหมือนกัน ผมรู้ว่าเราทำแล้วมันน่ากลัว แต่ผมไม่รู้จะทำยังไง เราก็ต้องสู้ และก็ทำแบบหมดใจ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นห่วงเหมือนกัน เพราะทุกวันนี้เวลาที่มีให้กับครอบครัวก็น้อยลง เหนื่อยก็เหนื่อยมาก กว่าจะได้นอน ก็ต้องตื่นแต่เช้ามาเล่นกับลูกเพราะผมอยากใช้เวลากับเขา ให้ได้มากที่สุด และบ้านผมก็มีผมเป็นเสาหลักคนเดียว แต่ผมบอกได้เลยว่า ผมไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ถ้าตรงนี้จบ ผมก็จะถอยไปทำงานภาคพลเมืองต่อ แต่วันนี้มันวิกฤติจริงๆ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนกล้า แต่มันอาจจะไม่มีคนบ้าพอ”
     
      “ถ้าผมไม่มี โอกาสได้พูดอีก ก็อยากจะพูดเลยว่า ผมจะให้อภัยคนที่ทำกับผม เพราะผมรู้สึกว่า มันเป็นบุญสุดท้ายที่ผมจะทำได้ ที่ผ่านมาก็มีสิ่งเป็นสัญญาณเตือนบางอย่าง ก็อยากจะบอกว่า ผมให้อภัยคนที่ทำ และก็อยากฝากให้ช่วยดูแลครอบครัวผมหน่อย เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ผมยังห่วงอยู่”
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #46 เมื่อ: 23 เมษายน 2553, 18:30:04 »

วันที่ 22 เมษายน 2553 19:36
ฉาย"โฮเต็ล รวันดา"เตือนสติก่อนนองเลือดอีก

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

16องค์กรภาคประชาชน เร่งจัดฉายภาพยนตร์สะท้อนสงครามกลางเมือง 2เผ่าปลุกระดมชวนเชื่อจับอาวุธฆ่ากันตายนับล้านศพ หวังเตือนสติคนไทยก่อนสายเกินไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา 12.00 น. ศุกร์วันที่ 22 เม.ย. ภาคประชาชน 16 องค์กร จะจัดฉายภาพยนตร์เรื่อง "Hotel Rwanda" ผ่านจอ LED ขนาด 200 นิ้วกลางสถานีรถไฟหัวลำโพง กรุงเทพฯ เพื่อรั้งสติคนไทยให้หยุดคิดก่อนที่คนชาติเดียวกันจะต้องประหัตประหารกัน เอง

โดยกิจกรรมจะเริ่มขึ้นพร้อมกัน ณ จุดประชาสัมพันธ์สถานีรถไฟหัวลำโพง จากนั้นตัวแทน 16 องค์กรภาคประชาชน จะแถลงข่าวและฉายฉายภาพยนตร์ดังกล่าว

ทั้งนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าความจริงเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในสงครามกลางเมือง ระหว่างชนพื้นเมืองชาวตุดซี(Tutsi) และชนพื้นเมืองชาวฮูตู(Hutu) เสียชีวิตไปประมาณ 800,000 - 1,071,000 คน โดยมีกองกำลังทหารบ้านหัวรุนแรงชาวฮูตู 2 กลุ่มเป็นผู้ลงมือสังหารหมู่เผ่าตุดซี ในช่วงเวลา 100 วัน ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายนไปถึงกลางเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2537


ซึ่งสาเหุตมาจากการปลุกระดมผ่านสื่อสาร มวลชนให้เห็นอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงแค่เดรัจฉาน ไร้ค่าเหมือนแมลงสาป
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #47 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2553, 19:39:04 »

วันที่ 03 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 10:31:46 น.   มติชนออนไลน์

ปรากฎการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ในเครือข่ายสังคมออนไลน์

ปรากฏการณ์ การชุมนุมของคนเสื้อหลากสี หรือกลุ่มมั่นใจว่าคนไทยเกิน 1 ล้านคนต่อต้านยุบสภา เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นภาพความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สำคัญ ที่เกิดขึ้นในโลกเครือข่ายออนไลน์ (social media network) ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ การสื่อสารความขัดแย้งทางการเมืองในเครือข่ายสังคมออนไลน์ แสดงให้เห็นถึงอำนาจของสื่อใหม่ (new media) ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทและพลังในการกำหนดความเป็นไปต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม นับว่าเป็นพฤติการณ์ที่น่าสนใจทางนิเทศศาสตร์ ท่ามกลางกระแสวิกฤติการเมืองที่มีสื่อกระแสหลักอย่างหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์และวิทยุ ที่ถูกตั้งคำถามเรื่องจรรยาบรรณและมาตรฐานวิชาชีพสื่อ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องอคติ ความไม่เป็นธรรมและการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง


การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจ ตรวจสอบ ปรากฏการณ์การใช้สื่อออนไลน์ในการสื่อสารความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาของการชุมนุมระหว่างวันที่ 12 มีนาคม – 30 เมษายน 2553 ด้วยวิธีการวิจัยเนื้อหา (content analysis) ผ่าน 4 กลุ่มช่องทางสื่อใหม่อย่างเว็บเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ เว็บบอร์ดพันทิป และการใช้ฟอร์เวิร์ด เมล์

 

ผลการศึกษา พบว่า มีการใช้พื้นที่สื่อออนไลน์เพื่อการสื่อสารทางการเมืองในระดับกว้าง และสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม ในสื่อไมโครเว็บอย่าง “เฟซบุ๊ค”. ซึ่งมีลักษณะของการรวมกลุ่มรณรงค์ต่อต้านการชุมนุมและสนับสนุนรัฐบาลไม่ให้ ยุบสภาค่อนข้างสูงมากกว่ากลุ่มสนับสนุนเสื้อแดง การเชื่อมโยงจับกลุ่มทางออนไลน์ยังนำไปสู่การรวมตัวกันในโลกจริง เพื่อทำกิจกรรมรณรงค์และแสดงพลังทางการเมืองหลายด้าน


เฟซบุ๊คได้กลายมาเป็นพื้นที่แห่งการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างกลุ่ม ที่ตรงข้ามกัน มีการเข้าไปตรวจสอบความคิดเห็นทางการเมืองแต่ละฝ่าย การตรวจสอบเนื้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ และนำเอามาถ่ายทอดต่อในกลุ่มของตนเพื่อแจ้งข่าวสารยังสมาชิก ในลักษณะประจาน ประณามและขอให้ช่วยกันลงโทษทางสังคมออนไลน์ และมีการนำข้อมูลส่วนตัวของบุคคลดังกล่าวไปเผยแพร่ต่อในอีเมล์,  เว็บบอร์ด เพื่อให้รับรู้กันในสาธารณะ ซึ่งมีกรณีที่นำไปสู่การจับกุม การไล่ออกจากสถานที่ทำงาน และการไม่คบค้าสมาคม-ปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง


ขณะที่สื่อทวิตเตอร์นั้น โดดเด่นไปการใช้งานเพื่อติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างเกาะติด ต่อเนื่อง โดยมีนักข่าว/ผู้สื่อข่าวเป็นผู้ทรงอิทธิพลในข่าวสารมากกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะผู้สื่อข่าวในเครือเนชั่น


ส่วนพื้นที่เว็บบอร์ดสาธารณะในพันทิป ก็มีการตั้งกระตู้หลายพันกระทู้ในช่วงเกิดเหตุการณ์ชุมนุม และได้กลายเป็นพื้นที่วิวาทกรรมทางความคิดการเมือง พื้นที่แห่งการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางความขัดแย้งทางการเมืองหลายๆ กรณี มีการเชื่อมโยง ระดมข้อมูลข่าวสารจากพลเมืองเน็ตมากมายเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง การใช้ความรู้ ข้อเท็จจริงมาหักล้างซึ่งกันและกันอย่างเสรี ขณะที่การแสดงความคิดเห็นบางส่วนก็มีทั้งช่วยกันเสริมสร้างความสมานฉันท์ ความเข้าใจและส่วนหนึ่งก็ได้กลายเป็นพื้นที่วิพากษ์ วิจารณ์ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างดุดัน แบ่งฝักแบ่งฝ่าย และสะท้อนความเกลียดชัง ผ่านภาษาเชิงเหยียดหยาม ประณาม


และยังมีการใช้ฟอร์เวิร์ดเมล์เพื่อ การสื่อสารให้ข้อมูลทางการเมืองในลักษณะชี้แจง แฉ วิพากษ์วิจารณ์ เบื้องลึกเบื้องหลังเหตุการณ์การชุมนุมของคนกลุ่มเสื้อแดง, พฤติกรรมของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ในการตีตนเสมอเจ้าหรือการกระทำที่คิดล้มล้างสถาบัน-คดีคอร์รัปชั่นในอดีต, เบื้องหลังความรุนแรงของการชุมนุมของคนเสื้อแดง, กลุ่มบุคคล-องค์กร-สื่อเว็บไซต์ ที่เผยแพร่ความคิดล้มสถาบันกษัติรย์


การศึกษาพบว่า การใช้สื่อออนไลน์เพื่อการสื่อสารความขัดแย้งทางการเมือง กลายเป็นพื้นที่ของการโต้ตอบ ต่อสู้ เอาชนะกันทางการเมือง ระหว่างคนชนชั้นกลางและกลุ่มผู้ชุมนุม, ระหว่างผู้สนับสนุนรัฐบาลและผู้ต่อต้าน แม้จะมีเนื้อหาจากฝั่งกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง/นปช. บ้าง แต่ก็พบค่อนข้างน้อย ซึ่งอาจมาจากสาเหตุที่รัฐควบคุม หรือสั่งปิดเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาท ปลุกระดม และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และสะท้อนว่าผู้คนที่ใช้สื่อออนไลน์ในเชิงสันติวิธี การหาทางออกและข้อเสนอแนะของวิกฤติปัญหาทางการเมืองนั้นยังอยู่ในระดับที่ ไม่เข้มข้น


ผลการศึกษา แบ่งออกเป็น 4 ประเด็น ดังนี้


1. กลุ่มรณรงค์ทางการเมืองผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ “facebook” พบ 45 เว็บไซต์ โดยกลุ่มที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดคือ กลุ่ม “มั่นใจว่าคนไทยเกิน 1 ล้านคนต่อต้านการยุบสภา” เป้าหมายหลักของการตั้งกลุ่มการเมืองผ่านเว็บเฟซบุ๊ค คือการสื่อสารรวมกลุ่มความคิดทางการเมือง การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การรายงานข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวของการชุมนุม และจุดเด่นคือการวิพากษ์วิจารณ์อภิปรายและจัดกิจกรรมแสดงพลังทางการเมือง


กลุ่มความคิดทางการเมืองหลัก คือ “กลุ่มที่ไม่สนับสนันกลุ่มคนเสื้อแดง” และมีกิจกรรมทางสังคม/การเมืองที่หลากหลายกว่า เช่น การนัดรวมตัวกันทำกิจกรรมต่างๆ


การใช้ภาษาที่มีระดับตั้งแต่สุภาพไปจนระดับหยาบคาย รุนแรง และมีกรณีการประณาม ประจาน กลุ่มผู้ที่ให้ข้อมูลในเชิงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยการเชื่อมโยงกับอีเมล์และส่งต่อๆ กันไป นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับกลุ่ม “Social Sanction” ที่เน้นปฏิบัติการประณาม ประจาน และสืบค้นข้อมูลส่วนตัวเพื่อนำมาเผยแพร่ และ ลงโทษทางสังคมออนไลน์


ขณะที่กลุ่มสนับสนุนคนเสื้อแดงก็มีการใช้ข้อมูลโต้ตอบกับฝ่ายตรงข้าม และพยายามให้ข้อมูลเชิงบวกต่อกลุ่มคนเสื้อแดงกันเอง รวมทั้งอาจมีการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของสื่อไทยและต่างประเทศ และยังมีเว็บเฟซบุ๊คที่เน้นกระบวนการเชิงสันติวิธี เช่น เครือข่ายสันติวิธี ที่ออกแถลงการณ์และทำกิจกรรมเฝ้าระวังการสื่อข่าวการชุมนุมอย่างแข็งขัน


กลุ่มอื่นๆ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสื่อสารเชิงเสียดสี ประชดประชันกิจกรรมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในลักษณะเน้นผ่อนคลายบรรยากาศ เช่น กลุ่มคนเสื้อใน, กลุ่มคนเสื้อแพง, กลุ่มคนอย่าเอาสีเสื้อไปโยงกับการเมืองได้มั๊ย ในตู้เสื้อผ้าไม่เหลืออะไรให้ใส่แล้ว


การสื่อสารในเว็บเฟซบุ๊คค่อนข้างเป็นไปอย่างรุนแรง มีลักษณะการแบ่งแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน มีการด่าทอ ประณาม ตำหนิ วิพากษณ์วิจารณ์ฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นไปตามวัตถุปะสงค์ของการตั้งกลุ่ม พบว่ามีการตักเตือนเรื่องการใช้ภาษาบ้าง แต่ก็อาจถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีข้อความสื่อสารทั้งในเชิงสมานฉันท์และสร้าง ความเกลียดชังไปพร้อมๆ กัน

 

2. ผู้ทรงอิทธิผลข่าวสารทางการเมืองข้อมูลข่าวสารผ่านไมโครเว็บ “twitter” จาก 20 อันดับ ผู้ที่ถูกอ้างอิงมากที่สุดในทวิตเตอร์ (ข้อมูลจาก lab/thaitrend) เป็นนักข่าวทั้งหมด 10 คน สังกัดเครือเนชั่นมากที่สุดถึง 8 คน ที่เหลือเป็นบุคคลจากวงการต่างๆ เช่น ดารา นักร้อง นักเขียน ฯลฯ โดยมีสุทธิชัย หยุ่น เป็นผู้ที่คนอ้างอิงมากที่สุด


เนื้อหาที่พบในการท วิตเตอร์ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มคือ 1. กลุ่มเนื้อหาที่เน้นเผยแพร่ข่าวการเมือง  ส่วนมากเจ้าของทวิตเตอร์ที่เน้นเนื้อหากลุ่มนี้พบว่าเป็นนักข่าวหรือองค์กร สื่อ 2. กลุ่มเนื้อหาที่เน้นวิพากษ์วิจารณ์การเมือง แต่มีเนื้อหาด้านอื่นสอดแทรก เช่น การพูดคุย ทักทายเรื่องทั่วไปในกลุ่มผู้ที่ติดตาม การพูดคุยเรื่องกีฬา เรื่องชีวิตประจำวันทั่วไป 3. กลุ่มเนื้อหาที่เน้นข้อมูลการจราจร เช่น ศูนย์วิทยุ จส.100 4. กลุ่มเนื้อหาที่เน้นด้านธรรมะ และ 5.กลุ่มเนื้อหาที่เน้นพูดคุยทั่วไปและ ความคิดเห็นทางการเมือง


เป้าหมายของการสื่อสาร เพื่อ 1) สื่อข่าวให้ประชาชนทั่วไปที่ใช้ทวิตเตอร์ได้รับข้อมูลข่าวสารทางการเมือง และ 2) ใช้เพื่อแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ


ลักษณะการใช้ภาษาในทวิตเตอร์ คือ 2 รูปแบบ 1. ใช้ภาษาสนทนาทั่วไป หมายถึงใช้ภาษาพูดคุยทั่วไปและ 2. ใช้ภาษาในรูปแบบพาดหัวข่าว ซึ่งส่วนมากพบในทวิตเตอร์ของนักข่าว


การจัดกลุ่มของผู้ใช้ทวิตเตอร์ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) ใช้ทวิตเตอร์ในนามส่วนตัว แต่ไม่บอกถึงสถานะการทำงานของตน  2) ใช้ทวิตเตอร์ในนามส่วนตัวและองค์กร เช่น สุทธิชัยหยุ่น นักข่าว, บรรณาธิการข่าวเครือเนชั่น, และ 3) ใช้ทวิตเตอร์ในนามองค์กร เช่น  ศูนย์วิทยุ จส.100, ทวิตเตอร์ของไทยรัฐ, ทวิตเตอร์ของผู้จัดการของกรุงเทพธุรกิจ เป็นต้น


กลุ่มคำที่นิยมใช้ใน การสื่อสารผ่านทวิตเตอร์ในช่วงการชุมนุมทางการเมือง ได้แก่ อภิสิทธิ์, เสื้อแดง, ยุบสภา, ชุมนุม, ฝนตก, ทักษิณ, เลือกตั้ง, ราชประสงค์, รถติด, เหวง, ปชป, สีลม


3. กระบวนการทางการเมืองผ่าน “เว็บบอร์ ดสาธารณะ” พันทิป ดอตคอม แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มเนื้อหาสำคัญ

 

 1) กระทู้เพื่อแจ้งข่าวสารเหตุการณ์ทั่วไป
 2) กระทู้ที่เปิดโอกาสให้แสดงข้อมูล สืบค้น แสวงหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์
 3) กระทู้ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสื่อสารกันภายในกลุ่ม
 4) กระทู้ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อพูดคุย เสนอแนะทางออกอย่างสันติวิธี/รณรงค์สร้างความสมานฉันท์
 5) กระทู้ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อโจมตี วิพากษ์วิจารณ์ฝั่งตรงข้าม


พื้นที่ของเว็บบอร์ดพันทิปได้กลายเป็นเวทีสาธารณะทางความคิดเห็นทาง การเมืองขนาดใหญ่ที่สุดในโลกออนไลน์ จำนวนกระทู้ที่ถูกตั้งขึ้นหลายพันกระทู้ และหลายๆ กระทู้ที่โดดเด่นด้านการสืบค้น เสาะหา ตรวจสอบข้อเท็จจริง จากเหตุการณ์การปะทะ ระหว่างทหารและกลุ่มผู้ชมุนม หรือเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองอื่นๆ ได้สร้างปรากฏการณ์ “นักข่าวไซเบอร์” (cyber journalism) ให้เกอดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

 

4. ฟอร์เวิร์ดเมล์การเมือง จากการสำรวจ พบฟอร์เวิร์ดเมล์ที่มีเนื้อหาทางการเมืองที่ถูกส่งต่อกันในช่วงที่มี เหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง แบ่งเป็น 3 ลักษณะเนื้อหา 1. วิพากษ์วิจารณ์ รณรงค์ต่อต้านกลุ่ม นปช. และทักษิณ ชิณวัตร 2. ความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ และ 3. วิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่หมิ่นสถาบันเบื้องสูง


ข้อเสนอแนะจากโครงการฯ สำหรับประชาชนและสื่อ: ควรมีความตระหนักและรู้เท่าทันการใช้สื่อออนไลน์ ดังนี้


1.ความน่าเชื่อถือของข้อมูล : พึงตระหนักว่าผู้ที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ เว็บบอร์ด อาจไม่ได้เป็นผู้ที่เห็นเหตุการณ์นั้นจริง หรือมีวัตถุประสงค์อยู่เบื้องหลัง และสถานะ หรืออาชีพของบุคคลของผู้โพสต์ข้อความ ไม่ใช่สิ่งยืนยันความน่าเชื่อถือของข้อมูล โดยเฉพาะผู้สื่อข่าว ควรตระหนักและเข้าใจว่า ข้อความที่ตนเองโพสต์ไว้ในที่ต่างๆ นั้น ย่อมมีความน่าเชื่อถือมากกว่าคนทั่วไป จึงควรมีความระมัดระวัง แยกแยะให้ชัดเจนระหว่างข้อเท็จจริงกับความคิดเห็นส่วนตัว


2.ความรวดเร็วของข้อมูล : พึงตระหนักว่า ความรวดเร็วของข้อมูลที่โพสต์ในในสื่อออนไลน์ อย่างรวดเร็วนั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อมูลบางอย่างอาจไม่มีการตรวจสอบในเบื้องต้น อาจเป็นข่าวลือที่บอกต่อๆ กันมา ควรใช้วิจารณามากกว่าที่จะเชื่อถือเพียงเพราะความรวดเร็วของข้อมูล


การรับข่าวสารจากทวิตเตอร์ ควรใช้วิจารณญาณ ไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดในการหาประโยชน์โดยตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อข้อ ความในทวิตเตอร์ เนื่องด้วยทวิตเตอร์เป็นสื่อใหม่ที่มีการแสดงความคิดเห็นได้รวดเร็ว ทำให้ข้อมูลข่าวสารอาจเป็นข้อมูลเท็จ ข้อมูลที่ผิดพลาด หรือข้อมูลที่เอื้อ
ประโยชน์ ให้แก่ฝ่ายใด ดังนั้นก่อนเชื่อถือข้อมูลข่าวสารในทวิตเตอร์ ควรตรวจสอบก่อน โดยเปรียบเทียบกับสื่ออื่น เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เว็บไซต์


3.การหมิ่นประมาทและการละเมิดสิทธิ ส่วนบุคคล: พึงตระหนักว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่ควรสงวนเอาไว้เพื่อปกปิด เช่น ชื่อ ที่อยู่ อาชีพ ประวัติการทำงาน การศึกษา เป็นสิ่งที่จะละเมิดหรือนำเอาไปใช้เพื่อการสร้างความคุกคาม ข่มขู่ มิได้ ผู้เผยแพร่ด้วยการ เจาะสืบ (แฮคเกอร์) ผลิต ส่งต่อ เผยแพร่อาจมีความผิดตามพระ ราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550


4. การแสดงความคิดเห็นบนพื้นที่ สาธารณะ: พึงตระหนักว่าความคิดเห็นของผู้ใช้ อาจสร้างความรู้สึกเกลียดชัง การแบ่งแยก การสร้างความขัดแย้ง ผ่านการประณาม ด่าทอ การเหยียดหยามและหมิ่นประมาทผู้อื่น โดยภาษาหรือการตั้งกระทู้ที่ไม่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ และพึงตระหนักว่า พื้นที่สื่อออนไลน์อย่างเว็บบอร์ดสาธารณะ เว็บไซต์ส่วนตัวอย่างเฟซบุ๊ค ไฮไฟว์ ทวิตเตอร์ ฯลฯ เหล่านี้คือพื้นที่/ช่องทางการสื่อสารสาธารณะ ข้อมูลความคิดเห็นของผู้โพสต์จะไม่เป็นข้อมูลส่วนตัวอีกต่อไป การแสดงความคิดเห็นควรกระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจและสุภาพ และตระหนักในผลที่จะเกิดขึ้นตามมาทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น


 1) ควรรณรงค์ให้เกิดกระทู้เพื่อพูดคุย เสนอแนะทางออกอย่างสันติวิธี/รณรงค์สร้างความสมานฉันท์ เป้าหมายเพื่อการรณรงค์สันติ ไม่ให้เกิดความแตกแยกแบ่งฝ่ายของกลุ่มคนต่างๆมากกว่าที่เป็นอยู่


 2) เว็บมาสเตอร์หรือผู้ดูแล ควรมีการควบคุมในการแสดงความคิดเห็นที่โต้แย้ง-โจมตีกันให้มากขึ้น มากกว่าการให้สมาชิกเป็นผู้ควบคุมกระทู้กันเอง เพื่อไม่ให้เกิดการแบ่งกลุ่ม สร้างความเกลียดชัง แตกแยกภายในเว็บบอร์ด


 3) ควรมีการควบคุมตรวจสอบข้อเท็จจริงของการแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะการพาดพิงถึงบุคคลที่อื่น หรือในกระทู้ที่เปิดโอกาสให้แสดงข้อมูล สืบค้น แสวงหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ ว่าข้อมูลที่ถูกนำเสนอ มีความถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน เพียงพอหรือไม่ หรือถูกบิดเบือนข้อมูลอย่างไร


 4) ควรรณรงค์ให้เรียกชื่อ หรือสรรพนามนำหน้าชื่อบุคคลที่ถูกพูดถึงอย่างสุภาพ แสดงความให้เกียรติกับผู้ที่ถูกกล่าวถึง งดเว้นการใช้ฉายาที่ไม่สุภาพหรือคำที่แสดงถึงการดูถูก เหยียดหยาม


5. อคติ ความเกลียดชัง ความรุนแรง: พึงตระหนักว่า พื้นที่สื่อออนไลน์นั้นเต็มไปด้วยข้อมูลหลากหลาย และไร้การควบคุมระดับความรุนแรงของเนื้อหา หน่วยงานรัฐหรือองค์กรอิสระด้านวิชาชีพสื่อหรือองค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอาจไม่สามารถดูแลควบคุมได้ทั้งหมด ข้อมูลเนื้อหาจึงอาจแฝงไว้ด้วยเจตนาปลุกระดม สร้างอคติ ความเกลียดชังแก่บุคลหรือกลุ่มบุคคลใด จึงจำเป็นที่ต้องใช้วิจารณญาณอย่างสูง


6. บทบาทสื่อใหม่ในการเสริมสร้าง คุณภาพของความรู้ ความคิดเห็นเสรีที่หลากหลาย และการส่งเสริมการสร้างความสมานฉันท์ ปรองดอง: เจ้าของสื่อ ผู้ก่อตั้ง ทั้งในระดับองค์กรขนาดใหญ่ หรือส่วนบุคคล ผู้ให้บริการเนื้อหา เจ้าช่องทางการสื่อสาร  และผู้ใช้สื่อออนไลน์ในระดับปัจจเจกชนทุกคน ควรมีความตระหนักรู้ถึงอิทธิพลและความสามารถของสื่อใหม่ และผลกระทบจากการใช้สื่อ ควรมีความเข้าใจร่วมกันว่า สื่อใหม่สามารถนำไปใช้ในทางที่จะเกิดประโยชน์ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ รวดเร็ว หลากหลาย เป็นพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ เปิดโอกาสให้ความคิดเสรีได้ประจักษ์ ให้ความจริงได้ถูกแสวงหา ตรวจสอบ และนำเสนอ แต่เสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกเหล่านี้ล้วนดำรงอยู่ได้ก็ด้วยสำนึกแห่ง ความรับผิดชอบและจรรยาบรรณ ตลอดจนสำนึกแห่งความดี คุณธรรมและความถูกต้องเพื่อประโยชน์ของสังคม

   ( หมายเหตุ วิจัยโดย โครงการศึกษาเฝ้าระวังสื่อและพัฒนาการเรียนรู้เท่าทันสื่อเพื่อสุขภาวะของ สังคม :Media Monitor )


      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #48 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2553, 21:15:22 »

ลายเซ็นที่ แพงที่สุดในโลก (Most expensive Autograph)นั้น เป็นของ.....
วิลเลียม เช็คสเปียร์ (William Shakespeare)



ซึ่งลายเซ็นของ เขามีเพียง 6 อันเท่านั้น เท่าที่มีการค้นพบดังต่อไปนี้

(a)เซ็นในปี 1612 ในเอกสารให้การเป็นพยานในศาล

(b)เซ็นในปี 1612 ในโฉนดที่ Blackfriars

(c)เซ็นในปี 1612 ในเอกสารจำนองโฉนดที่ Blackfriars

(d)เซ็นในปี 1615 ในพินัยกรรมที่หน้าแรก

(e)เซ็นในปี 1615 ในพินัยกรรมที่หน้าสอง

(f)เซ็นในปี 1615 ในพินัยกรรมที่หน้าสาม

หากมีการขายในปัจจุบัน คงมีราคาไม่ต่ำกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 175 ล้านบาท)

แต่ยังมีการค้นพบลายเซ็นของ วิลเลียม เช็คสเปียร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และยังคงมีการตรวจสอบกันอยู่อีกมากมาย

 

ที่มา http://wowboom.blogspot.com


      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #49 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2553, 21:04:48 »

รถเมล์เปลี่ยนเลขสาย
สาย 1 ท่าเตียน-ถนนตก เปลี่ยนเป็นสาย 601                                                               
สาย 5 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-จักรวรรดิ เปลี่ยนเป็นสาย 603                                     
สาย 8 ถนนนิมิตรใหม่-สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า เปลี่ยนเป็นสาย 606 และตัดระยะทางเหลือถนนนิมิตรใหม่-เซ็นทรัลลาดพร้าว   
สาย 9 อู่กัลปพฤกษ์-สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ เปลี่ยนเป็นสาย 609 และตัดระยะทางเหลือ อู่กัลปพฤกษ์-สถานีรถไฟบางซื่อ     
สาย 10 ท่าน้ำภาษีเจริญ-นางเลิ้ง เปลี่ยนเป็นสาย 610                                                         
สาย 12 ห้วยขวาง-ปากคลองตลาด เปลี่ยนเป็นสาย 611                                                       
สาย 14 ศรีย่าน-โรงเรียนนนทรีวิทยา เปลี่ยนเป็นสาย 612                                                     
สาย 15 เดอะมอลล์ท่าพระ-สีลม-บางลำพู เปลี่ยนเป็นสาย 613 และตัดระยะเหลือ เดอะมอลล์ท่าพระ-สีลม                   
สาย 18 ท่าอิฐ-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 614                                                       
สาย 18 ทางด่วน ท่าอิฐ-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 658                                                 
สาย 19 วงกลมสถานีรถไฟบางกอกน้อย-บางลำพู เปลี่ยนเป็นสาย 615 และตัดระยะเหลือ วงกลมสถานีรถไฟบางกอก           
น้อย-อรุณอัมรินทร์                                                                                     
สาย 20 ป้อมพระจุลจอมเกล้า-ท่าน้ำท่าดินแดง เปลี่ยนเป็นสาย 616                                               
เพิ่ม สาย 617 ท่าน้ำท่าดินแดง-ท่าน้ำพระสมุทรเจดีย์                                                           
                                                                                                   
สาย 21 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย-วัดคู่สร้าง เปลี่ยนเป็นสาย 618                                                 
สาย 23 สำโรง-สี่เสาเทเวศร์ (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 619 และตัดระยะเหลือ สี่เสาเทเวศร์-สำโรง (เอกมัย)           
สาย 620 สี่เสาเทเวศร์-สำโรง (ทางด่วน)                                                                 
สาย 24 ประชานิเวศน์ 3-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 621                                               
สาย 24 ประชานิเวศน์ 3-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทางด่วน เปลี่ยนเป็นสาย 622                                         
สาย 25 อู่สายลวด-ท่าช้าง เปลี่ยนเป็นสาย 624 ขึ้นทางด่วน                                                     
สาย 26 มีนบุรี-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 625 และตัดระยะทางเหลือ มีนบุรี-อู่บางเขน                         
สาย 29 มธ.ศูนย์รังสิต-หัวลำโพง เปลี่ยนเป็นสาย 644 และตัดระยะเหลือ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-สถานีรถไฟหัว 
ลำโพง                                                                                             
สาย 32 ปากเกร็ด-วัดพระเชตุพนฯ เปลี่ยนเป็นสาย 631                                                       
สาย 34 รังสิต-พหลโยธิน-หัวลำโพง เปลี่ยนเป็นสาย 633 และตัดระยะเหลือ สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต-รังสิต                   
สาย 36 อู่โพธิ์แก้ว-สี่พระยา เปลี่ยนเป็นสาย 635 และตัดระยะทางเป็น ห้วยขวาง-ท่าน้ำสี่พระยา                         
                                                                                                   
สาย 37 มหานาค-แจงร้อน เปลี่ยนเป็นสาย 636                                                             
สาย 39 มธ.ศู นย์รังสิต-สนามหลวง เปลี่ยนเป็นสาย 627 และตัดระยะทางเป็น สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-มธ.ศูนย์ 
รังสิต                                                                                             
เพิ่ม สาย 628 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-สถานีขนส่งสินค้าคลองหลวง                                   
                                                                                                   
สาย 42 วงกลมท่าพระ-เสาชิงช้า เปลี่ยนเป็นสาย 638                                                         
สาย 43 โรงเรียนศึกษานารี 2-เทเวศร์ เปลี่ยนเป็นสาย 668 และตัดระยะเป็นสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า-โรงเรียนศึกษานารี 2   
สาย 44 ตลาดแฮปปี้แลนด์-ท่าเตียน เปลี่ยนเป็นสาย 640                                                       
สาย 45 สำโรง-ท่าน้ำสี่พระยา เปลี่ยนเป็นสาย 641                                                           
เพิ่ม สาย 642 ขึ้นทางด่วน                                                                             
สาย 48 วิทยาเขตรามคำแหง-วัดพระเชตุพน เปลี่ยนเป็นสาย 643                                                 
สาย 53 วงกลมเทเวศร์ เปลี่ยนเป็นสาย 648                                                               
สาย 56 วงกลมสะพาน กรุงธน เปลี่ยนเป็นสาย 650                                                           
สาย 57 วงกลมธนบุรี เปลี่ยนเป็นสาย 651                                                                 
สาย 60 อู่สวนสยาม-ปากคลองตลาด เปลี่ยนเป็นสาย 652 ขึ้นทางด่วน                                             
สาย 62 สาธุประดิษฐ์-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 653                                                   
สาย 63 อ.ต.ก.3-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 630 และตัดระยะทางเป็น สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-นนทบุรี
                                                                                                   
                                                                                                   
สาย 64 วงกลมสนามหลวง-รัตนาธิเบศร์ เปลี่ยนเป็นสาย 655 และตัดระยะเป็น วงกลมสนามหลวง-นครอินทร์                 
เพิ่ม สาย 721 สนามหลวง-ท่า  น้ำนนทบุรี                                                                 
สาย 67 วัดเสมียนนารี-เซ็นทรัลพระราม 3 เปลี่ยนเป็นสาย 656                                                 
สาย 68 บางลำพู-สมุทรสาคร เปลี่ยนเป็นสาย 657                                                           
สาย 69 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-รัตนาธิเบศร์-ท่าอิฐ เปลี่ยนเป็นสาย 654 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-กองสลากสนามบินน้ำ               
สาย 70 สนามหลวง-ประชานิเวศน์ 3 เปลี่ยนเป็นสาย 660                                                     
เพิ่ม สาย 661 ประชานิเวศน์ 3-สถานีรถไฟบางซื่อ                                                           
สาย 72 สี่เสาเทเวศร์-ท่าเรือคลองเตย เปลี่ยนเป็นสาย 662                                                   
สาย 73 อู่โพธิ์แก้ว-สะพานพุทธ เปลี่ยนเป็นสาย 663 ขึ้นทางด่วน                                                 
สาย 75 วัดพุทธบูชา-หัวลำโพง เปลี่ยนเป็นสาย 664                                                           
สาย 79 อู่บางแค (วัดม่วง)- ราชประสงค์ เปลี่ยนเป็นสาย 666 และตัดระยะเหลือ อู่พุทธมณฑลสาย 2-ราชประสงค์           
สาย 81 สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า-พุทธมณฑลสาย 5 เปลี่ยนเป็น สาย 667                                         
สาย 82 พระประแดง-บางลำพู เปลี่ยนเป็นสาย 669                                                           
สาย 85 วัดแจงร้อน-หัวลำโพง เปลี่ยนเป็นสาย 670                                                           
สาย 88 วัดคลองสวน-ลาดหญ้า เปลี่ยนเป็นสาย 671 และตัดระยะเหลือ อาคารสงเคราะห์ กทม. (ทุ่งครุ) -ลาดหญ้า           
                                                                                                   
สาย 90 ท่าน้ำบางพูน-ย่านสินค้าพหลโยธิน เปลี่ยนเป็นสาย 647 ตัดระยะทางเป็น สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต-ปทุมธานี               
สาย 92 การเคหะชุมชนร่มเกล้า-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 607 และตัดระยะทางเป็น การเคหะชุมชนร่มเกล้า-เซ็นทรัล 
ลาดพร้าว                                                                                           
สาย 93 หมู่บ้านนักกีฬาแหลมทอง-สี่พระยา เปลี่ยนเป็นสาย 675                                                   
สาย 95 รังสิต-ม.รามคำแหง เปลี่ยนเป็นสาย 676 และตัดระยะเป็น แฮปปี้แลนด์ - รังสิต                               
สาย 96 สวนสยาม-สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต เปลี่ยนเป็นสาย 712 และเพิ่มระยะทางเป็น สวนสยาม-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ           
สาย 97 กระทรวงสาธารณสุข-โรงพยาบาลสงฆ์ เปลี่ยนเป็นสาย 678 และตัดระยะทางเป็น โรงพยาบาลสงฆ์-ท่าน้ำนนทบุรี       
สาย 102 ปากน้ำ-อู่สาธุประดิษฐ์ (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 679                                                 
สาย 104 ปากเกร็ด-ถนนติวานนท์-สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) เปลี่ยนเป็นสาย 680                         
สาย 105 คลองสาน-ตลาดมหาชัยเมืองใหม่ เปลี่ยนเป็นสาย 604 และตัดระยะเหลือ สถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่-มหาชัยเมืองใหม่   
สาย 111 วงกลมตลาดพลู-บุคคโล เปลี่ยนเป็นสาย 683                                                         
สาย 113 มีนบุรี-หัวลำโพง เปลี่ยนเป็นสาย 682 หัวลำโพง-คลองกุ่ม                                               
สาย 116 วัดหนามแดง-สาทร เปลี่ยนเป็นสาย 686                                                           
                                                                                                   
สาย 166 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-เมืองทองธานี (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 711                                       
สาย 117 กทม.2-อ.ต.ก.3 เปลี่ยนเป็นสาย 687 และตัดระยะเหลือ กทม.2-ท่าน้ำนนทบุรี                               
สาย 120 คลองสาน-ถนนเอกชัย-สมุทรสาคร เปลี่ยนเป็นสาย 639 และตัดระยะเหลือ วงเวียนใหญ่-สมุทรสาคร               
เพิ่ม สาย 681 สะพานตากสิน-มหาชัยเมืองใหม่                                                               
สาย 123 ท่าราชวรดิฐ-พุทธมณฑลสาย 2-อ้อมใหญ่ เปลี่ยนเป็นสาย 688                                             
สาย 124 สนามหลวง-สถานีขนส่งสินค้าพุทธมณฑล เปลี่ยนเป็นสาย 689 และตัดระยะเหลือ สนามหลวง-สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล 
วิทยาเขตศาลายา                                                                                     
เพิ่ม สาย 690 สนามหลวง-โรงเรียนกาญจนาภิเษก นครปฐม                                                     
สาย 129 บางเขน-สำโรง (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 691                                                     
สาย 131 อู่คลองกุ่ม-หนองจอก เปลี่ยนเป็นสาย 692                                                           
เพิ่ม สาย 693 คลองกุ่ม-สำนักงานขนส่งเขตพื้นที่ 4                                                           
สาย 134 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-หมู่บ้านบัวทองเคหะ เปลี่ยนเป็นสาย 694                             
สาย 136 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-ท่าเรือคลองเตย เปลี่ยนเป็นสาย 696                               
สาย 137 วงกลมรามคำแหง-ถนนรัชดาภิเษก เปลี่ยนเป็นส าย 697                                               
สาย 138 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-ท่าน้ำพระประแดง (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 699                     
เพิ่ม สาย 698 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-อู่พระประแดง (ทางด่วน)                                   
                                                                                                   
สาย 139 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-วิทยาเขตรามคำแหง (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 637                   
สาย 140 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-ตลาดมหาชัยเมืองใหม่ (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 700                                 
สาย 141 จุฬา-แสมดำ (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 665 แสมดำ-สวนลุมพินี                                         
เพิ่ม สาย 709 ท่าเรือคลองเตย-จุฬา สาย 142 เคหะชุมชนธนบุรี-สมุทรปราการ (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 701             
สาย 145 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-สมุทรปราการ เปลี่ยนเป็นสาย 703 และตัดระยะทางเป็น แฮปปี้แลนด์-สมุทร   
ปราการ                                                                                           
สาย 146 วงกลมบางแค-ถนนกาญจนาภิเษก เปลี่ยนเป็นสาย 704                                                 
เพิ่ม สาย 710 วงกลมอรุณอัมรินทร์-ถนนกาญจนาภิเษก                                                         
สาย 150 ปากเกร็ด-มหาวิทยาลัยรามคำแหง เปลี่ยนเป็นสาย 705 มีนบุรี-ปากเกร็ด                                   
สาย 154 เคหะชุมชนออเงิน-เคหะชุมชนวัชรพล-คลองเตย เปลี่ยนเป็นสาย 706                                       
และตัดระยะเหลือ ท่าเรือคลองเตย-สำนักงานเขตสายไหม                                                       
สาย 156 วงกลม โรงเรียนสตรีวิทยา 2 -ถนนนวมินทร์ เปลี่ยนเป็นสาย 708                                         
สาย 168 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-ถนนพระราม 9 -สวนสยาม เปลี่ยนเป็นสาย 729 ตัดระยะทางเป็น มีนบุรี-อสมท.               
สาย 169 วงกลมบางขุนเทียน-ปิ่นเกล้า-วงเวียนใหญ่ เปลี่ยนเป็นสาย 713                                           
                                                                                                   
สาย 175 ท่าน้ำภาษีเจริญ-อ.ต.ก.3 เปลี่ยนเป็นสาย 714                                                       
สาย 178 วงกลมสุคนธสวัสดิ์-เกษตรนวมินทร์ เปลี่ยนเป็นสาย 715                                                 
สาย 179 อู่พระราม 9 -สะพานพระราม 7 เปลี่ยนเป็นสาย 716                                                 
สาย 183 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-พุทธมณฑลสาย 2 -อ้อมใหญ่ เปลี่ยนเป็นสาย 605 ตัดระยะทางเหลือ พุทธมณฑลสาย 2-วงเวียนใหญ่ 
สาย 187 หมู่บ้านเอื้ออาทรคลอง 3 -ท่าน้ำสี่พระยา เปลี่ยนเป็นสาย 717 ตัดระยะทางเป็น อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-หมู่บ้านเอื้ออาทร   
คลอง 3                                                                                           
สาย 191 อู่โพธิ์แก้ว-กระทรวงพาณิชย์ เปลี่ยนเป็นสาย 719                                                     
สาย 193 วงกลมถนนกัลปพฤกษ์-ถนนพระราม 2 เปลี่ยนเป็นสาย 720                                               
สาย 204 กทม.2-ท่าน้ำราชวงศ์ เปลี่ยนเป็นสาย 649 และตัดระยะเหลือ วงกลมท่าน้ำราชวงศ์-อาคารสงเคราะห์ห้วยขวาง       
สาย 205 คลองเตย-ถนนรัชดาภิเษกตอนล่าง เปลี่ยนเป็นสาย 722                                                 
สาย 206 ม.เกษตรศาสตร์-ประเวศ เป ลี่ยนเป็นสาย 723 และตัดระยะเหลือ ม.เกษตรศาสตร์-อู่ศรีนครินทร์                 
สาย 207 ม.รามคำแหง-วิทยาเขตรามคำแหง เปลี่ยนเป็นสาย 724                                               
สาย 505 ปากเกร็ด-สวนลุมพินี เปลี่ยนเป็นสาย 726                                                           
                                                                                                   
สาย 509 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-อู่บางแค เปลี่ยนเป็นสาย 727 และตัดระยะเหลือ อู่บางแค-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 
สาย 510 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-ตลาดไท เปลี่ยนเป็นสาย 629 ตัดระยะทางเป็น สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-ตลาดไท 
สาย 511 ปากน้ำ-สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (ตลิ่งชัน)เปลี่ยนเป็นสาย 728                                       
สาย 513 สำโรง-รังสิต เปลี่ยนเป็นสาย 736 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-ปากน้ำ (ทางด่วน)                                 
สาย 514 มีนบุรี-ถนนรัชดาภิเษก-สีลม เปลี่ยนเป็นสาย 730 มีนบุรี-สีลม (ทางด่วน)                                   
สาย 515 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-หมู่บ้านเอื้ออาทร-ศาลายา เปลี่ยนเป็นสาย 731                                       
สาย 516 เทเวศร์-หมู่บ้านบัวทองเคหะ เปลี่ยนเป็นสาย 732                                                     
สาย 517 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร)-ลาดกระบัง  เปลี่ยนเป็นสาย 733 และตัดระยะเหลือ พระจอมเกล้าลาดกระ   
บัง-อู่พระราม 9                                                                                     
สาย 522 รังสิต-งามวงศ์วาน-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 734                                             
                                                                                                   
สาย 528 อ.ไทรน้อย-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นสาย 735 และตัดระยะเหลือ สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต-อ.ไทรน้อย           
สาย 523 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-ม.เทคโนโลยีราชมงคล คลอง 6 เปลี่ยนเป็นสาย 738 และตัดระยะเหลือ ถนนศรี               
อยุธยา-ม.เทคโนโลยีราชมงคล คลอง 6                                                                   
สาย 537 ศรีอยุธยา-บางพลี เปลี่ยนเป็นสาย 737 และตัดระยะเหลือ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-บางพลี                         
สาย 543 บางเขน-ลำลูกกาคลอง 9 เปลี่ยนเป็นสาย 740                                                       
สาย 549 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-มีนบุรี เปลี่ยนเป็นสาย 742                                                   
สาย 550 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-แฮปปี้แลนด์ เปลี่ยนเป็นสาย 743                                               
สาย 551 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-สยามพารากอน (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 744                                   
สาย 552 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-คลองเตย เปลี่ยนเป็นสาย 745                                                 
สาย 553 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-สมุทรปราการ เปลี่ยนเป็นสาย 747                                             
เพิ่ม สาย 746 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ปากน้ำ                                                               
สาย 554 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-รังสิต (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 749                                           
สาย 555 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ท่าอากาศยานกรุงเทพ (ทางด่วน) เปลี่ยนเป็นสาย 748                               
สาย 558 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-สะพานพระราม 9 -เซ็นทรัลพระราม 2 เปลี่ยนเป็นสาย 750       
[/color]
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
  หน้า: 1 [2] 3 4 ... 17  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><