พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #200 เมื่อ: 05 ธันวาคม 2554, 13:18:02 » |
|
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #201 เมื่อ: 05 ธันวาคม 2554, 18:07:39 » |
|
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้ที่มาเฝ้าฯ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 ความว่า “ขอขอบพระทัย และขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกัน มาให้พรวันเกิด รวมทั้งให้คำมั่นสัญญา โดยประการต่างๆ ข้าพเจ้าขอสนองต่อพรและไมตรีจิตทั้งนั้นด้วยใจจริงเช่นกัน ท่านทั้งหลายในที่นี้ ผู้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่สำคัญ ทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร ย่อมทราบแก่ใจอยู่ทั่วกันว่า ความมั่นคงของประเทศชาตินั้น จะเกิดมีขึ้นได้ ก็ด้วยประชาชนในชาติอยู่ดีมีสุข ไม่มีทุกข์ยากเข็ญ ทั้งนั้นการได้อ่านใดที่เป็นความทุกข์เดือดร้อนของประชาชน ทุกคน ทุกฝ่ายจึงต้องถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องร่วมมือกัน ปฏิบัติแก้ไขให้เต็มกำลัง โดยเฉพาะขณะนี้ ประชาชนกำลังเดือดร้อนลำบากจากน้ำท่วม จึงชอบที่จะร่วมมือกัน ปัดเป่าแก้ไขให้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว และจัดทำโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน อย่างเช่น โครงการต่างๆ ที่เคยพูดไปนั้นเป็นการแนะนำไม่ได้สั่งการ แต่ถ้าเป็นการปรึกษากันแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ คุ้มค่า และทำได้ก็ทำ ข้อสำคัญจะต้องไม่ขัดแย้ง แตกแยกกัน หากจะต้องให้กำลังใจ ซึ่งกันและกันเพื่อให้งานที่ทำบรรลุผลที่มีประโยชน์ เพื่อความผาสุกของประชาชน และความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย และอำนวยความสุข ความเจริญแก่ท่านทั่วกัน”
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #202 เมื่อ: 07 ธันวาคม 2554, 15:00:04 » |
|
"ฟองสนาน จามรจันทร์" เตือนหลัง7 ธ.ค. การเมืองเปลี่ยนแปลงใหญ่ แนะยิ่งลักษณ์ราไฟ วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 15:35:51 น. สถานการณ์การเมืองภายใต้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังเผชิญหน้ามหาอุทกภัย ตามด้วยถุงปลิดชีพ เป็นมรสุมการเมืองที่เข้ามาเป็นระลอก และร้อนฉ่าที่สุดด้วย พ.ร.ฎ. อภัยโทษ ทุกเรื่องร้อนแรง และสะสมความเดือดระอุไว้ภายใน จนเชื่อกันว่า ของจริงจะเห็นหลัง 5 ธันวาคม 2554 "ฟองสนาน จามรจันทร์ " ทำนายดวงเมือง หลัง 7 ธันวาคม 2554 ไว้ในศาสตร์แห่งโหร 2555 ของสำนักพิมพ์มติชน อย่างน่าสนใจ เธอแนะว่า ถ้า ยิ่งลักษณ์ ได้อ่านคำทำนายของเธอ ขอให้ หยุดสุมไฟ บัดนี้ได้เวลาราไฟ ได้แล้ว มิเช่นนั้นจะสายเกินแก้
ฟองสนาน บอกว่า นี่คือ สัญญาณที่สามของการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยของบ้านเมืองที่แท้จริง !!!! นักข่าวหมอดู ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มตั้งแต่ 7 ธันวาคม 2554 เมื่อพระเสาร์เดินหน้าจากราศีกันย์ยกเข้าราศีตุลย์ภพที่เจ็ดปัตนิเล็งลัคนาและอาทิตย์ดวงเมือง สำคัญคือเล็งพฤหัสบดีจรที่คอยอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว แล้วจะเริ่มเดินถอยหลัง13กุมภาพันธ์2555 จนกลับมาสถิตย์ราศีกันย์6 เมษายน2555 ร่วมกับราหูทำมุมปลายหอกใส่ลัคนาและพระอาทิตย์(๑) ในดวงเดิมอีกครั้ง
จากปรากฎการณ์นี้คาดว่าระหว่าง 7 ธันวาคม 2554-6 เมษายน 2555 จะมีเหตุสำคัญเกิดขึ้นคือ พระเสาร์จรสถิตราศีตุลย์ได้มาตรฐานอุจสูงส่ง เล็งใส่พฤหัสบดีจรได้มาตรฐานราชาโชคที่ราศีเมษ เข้มแข็งทั้งคู่ถึงลัคนาดวงเมืองและโดยตรง คาดว่าการเปลี่ยนแปลงจะไม่น้อยกว่าช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และช่วงปี 2475 และสิ่งที่ตำราโลกธาตุบอกไว้ว่าการเล็งกันของดาวสองขั้วคู่นี้เมื่อทำมุมร้ายต่อกันก็เกิดยุ่ง โลกก็เกิดยุ่ง เช่นแผ่นดินไหวประหลาด หรือเกิดความอัตคัดขาดแคลนไปทั่ว”
ปรากฎการณ์ธรรมชาติตามตำรานี้คาดว่าสาเหตุจะเกิดจากลมและไฟตามมา ต้องระวังเป็นพิเศษทั้งกรุงเทพฯปริมณทล รวมทั้งภาคอีสาน พระเสาร์จรเล็งลัคนาดวงเมืองเป็นดวงแตกหรือจุดช้ำของดวงชะตาหรือพินทุบาทว์จรให้โทษมีเหตุใหญ่เกิดขึ้นมีคนถูกขับออกจากตำแหน่งเพราะประพฤติผิดทำนองครองธรรมเปรียบได้กับพระยาโปริสาตร์ชอบกินเนื้อคนและหยุดไม่ได้ ราษฎร์จึงขับออกจากราชบัลลังค์ ตามโฉลก “เสาร์จรปะทะลัค- นานั้นจะหม่นหมอง เสียทรัพย์และสิ่งของ ครุเหตุจะพึงมี ดังโปริสาตร์ราษ ฏรเขาขับหนี จากขัติติยาศรี ศิริราชนคร” พระเสาร์จรยังเล็งใส่พระอาทิตย์(๑) อันหมายถึงผู้นำผู้มียศ มีตำแหน่งขององค์กรต่างๆของประเทศบุคคลประเภทนี้จะเป็นทุกข์ถูกใส่ร้ายป้ายสีตามโฉลก “เสาร์ทับ(เล็ง)พระอาทิตย์ ปฏิสนธิในชาติ ชนใดจะถึงฆาฏ บ่มิทรัพย์จะสาธารณ์ ถ้อยความจะถึงตู ศัตรูจะปองผลาญ แม้นหมิ่นประสาทการ ก็จะเป็นภยันตราย” พระเสาร์จรที่ได้มาตรฐานอุจ ส่งกระแสถึงพระเสาร์เดิมที่สถิตย์ราศีธนูบ่งบอกว่าการสูญเสียเกิดจากกรรมเก่าหรือการกระทำเก่าๆหรือโรคเรื้อรังดังโฉลกที่ว่า “เสาร์ถึงสถิตเสาร์ ปะทะกันและกันเอง โทษทุกข์แต่บางเพรง ก็จะก่อจะเกิดมี สิ่งสินระส่ายทรัพย์ ภยทับระทมทวี เกรงอายุชนม์ชี วพินาสประไลตู” พระเสาร์จรราศีตุลย์ส่งกระแสถึงพระจันทร์ (๒)ในดวงเดิมของดวงเมืองที่หมายถึงประชาชน ผู้มียศศักดิ์หรือตำแหน่งฝ่ายหญิง เป็นตัวแทนภพที่สี่หรือพันธุ์ของดวงเมือง หมายถึงพื้นดิน อาณาเขต ทรัพย์ในดินสินในน้ำ หลุมฝังศพบรรพบุรุษ ฯลฯ เป็นคู่พลัดพราก จึงต้องระวังการเสียดินแดน หรือผู้มียศศักดิ์ฝ่ายหญิง ประชาชนระทมขมขื่นมากๆตามมาตรฐานของพระเสาร์ ทางแก้ที่แนะนำไว้ในตำราโหรคือสวดมนต์ไว้พระขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองดังโฉลก “เสาร์ทับพระเคราะห์จันทร์ นรนั้นบ่มิสบาย ทรัพย์สินจะสูญหาย อุปสรรคจะมีมา ข้าคนและลูกเมีย ก็จะเสียและโศกา ขอคุณพระรักษา ชนชีพจะยืนนาน” พระเสาร์จรราศีตุลย์ส่งกระแสถึงพฤหัสบดี(๕)ในดวงเดิม เป็นสัญญาณที่สี่การตอกย้ำการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่ยากจะหลีกเลี่ยง เพราะก่อนหน้านี้พฤหัสบดีจรที่ราศีเมษส่งกระแสถึงพระเสาร์ในดวงเดิมอยู่ก่อนแล้ว เป็นปรากฎการณ์สมาสัปต์ หรือขวั้นเป็นเกลียวเชือก สิ่งดีร้ายจะเกิดขึ้นแน่นอนโดยไม่ต้องรอแสงจากพระอาทิตย์ ในกรณีนี้เมื่อดาวคู่การเปลี่ยนแปลงทำสมาสัปต์กัน บ่งบอกว่าการเปลี่ยนหรือวิวัฒนาการต้องเกิดขึ้นแน่นอน อย่างไรก็ตามแม้สถานการณ์บ้านเมืองเหมือนถูกบีบบังคับให้ต้องเปลี่ยนแปลงแต่วิวัฒนาการของดาวคู่นี้สุดท้ายน่าจะนำมามาซึ่งสิ่งดีๆที่จะผุดจากร้าย สิ่งที่เสียไปแล้วจะได้กลับมา เป็นไปดังโฉลกที่ว่า “เสาร์ทับ(ถึง)พฤหัส ศิริสวัสดิลาภา สิ่งสินและเงินตรา จะลุโดยสะดวกดาย ศัตรูจะอัปรา และวัตถาระส่ำระสาย สินทรัพยะสูญหาย ก็จะคืนจะคงเรือน” ระยะ 7 ธันวาคม 2554 ถึง 6 เมษายน 2555 อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามมา เพราะตามปูมโหรพระเสาร์ทับ หรือ เล็ง หรือถึงลัคนาดวงเมืองเคยมีเหตุการณ์ เช่น 12 มกราคม 2516 มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรียุบสภา เพราะความขัดแย้งในรัฐบาล ขณะนั้นพระเสาร์จรสถิตกรกฎ ส่งแสงถึงลัคนาและพระอาทิคย์ในดวงเดิมของดวงเมือง 19 มีนาคม 2526 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรียุบสภาเพราะสภาผู้แทนราษฎรขัดแย้งวุฒิสภา เรื่องแก้ไขรับธรรมนูญ ครั้งนั้นพระเสาร์จรสถิตราศีดุลย์เล็งลัคนาและพระอาทิตย์ในดวงเมือง 19 พฤษภาคม 2538 คุณชวน หลักภัย นายกรัฐมนตรียุบสภา เพราะเกิดความขัดแย้งในรัฐบาล ครั้งนั้นพระเสาร์เป็นกาลกณีจรสถิตราศีกุมภ์ส่งแสงถึงลัคนาและพระอาทิตย์ในดวงเดิมของดวงเมือง 9 พฤศจิกายน 2543 คุณชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรียุบสภา เพราะใกล้ครบวาระสภา ครั้งนั้นพระเสาร์จรสถิตราศีเมษ ทับลัคนาและอาทิตย์เดิมของดวดงเมือง 24 กุมภาพันธ์ 2549 พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรียุบสภาเพราะวิกฤตการณ์ทางการเมือง ครั้งนั้นพระเสาร์จรสถิต ราศีกรกฎ ส่งแสงถึงลัคนาและพระอาทิตย์ในดวงเมือง ฯลฯ พระเสาร์จรจะเริ่มถอยหลังในราศีในราศีตุลย์ลดกระแสเบียนให้โทษแก่ลัคนาดวงเมืองและพระอาทิตย์ตั้งแต่13 กุมภาพันธ์ 2555 และจุดที่น่าสนใจคือจะยกกลับเข้าราศีกันย์ยุติการเล็งกับพฤหัสบดีคู่เปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยใน 6 เมษายน 2555 ซึ่งตรงกับวันจักรีพอดี อย่างไรก็ตามทั้งพระเสาร์จรที่ราศีกันย์ และพระราหูจรที่ราศีพิจิกก็ยังจะช่วยกันบีบทำมุมปลายหอกใส่ลัคนาและพระอาทิตย์ต่อไป เป็นผลข้างเคียงไปถึง 7กันยายน 2555 ก่อนที่พระเสาร์จรจะยกเข้าราตุลย์เล็งลัคนาดวงเมืองอีกครั้งและอยู่ที่นี่อีกสองปีครึ่ง ครั้นวันที่11 ธันวาคม 2555 พระราหูจรจะยกราศีพิจิกเข้าราศีตุลย์ได้มาตรฐานราชาโชคไปสมทบกับพระเสาร์จรที่ได้มาตรฐานอุจที่รออยู่ก่อนแล้วเป็นคู่มิตรใหญ่เล็งใส่ลัคนาดวงเมือง เป็นปรากฎการณ์ที่ยากจะคาดหมายในปี2556เพราะดวงเมืองจะมีทั้งโชคและเคราะห์ใหญ่และคาดว่าการเปลี่ยนแปลงจะไปไปอย่างมโหฬารเกินจินตนาการ
....................................... รู้จัก ฟองสนาน จามรจันทร์ ฟองสนาน จามรจันทร์ ปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับสอง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (นิเทศศาสตร์รุ่นที่10) วิชาเอกประชาสัมพันธ์ วิชาโท วิทยุ-โทรทัศน์
ประวัติการทำงานในอดีต ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน, ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กระบี่, ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์,หัวหน้าข่าวการเมือง สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, ผู้จัดรายการบันทึกสถานการณ์ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย, ผู้จัดรายการคุยเฟื่องเรื่องข่าว เอฟ.เอ็ม. 101, ผู้จัดรายการชีพจรการเมือง ยูบีซี 7, ผู้เขียนหนังสือเม้าท์สนั่นลั่นสภาฯ, ผู้เขียนหนังสือเม้าท์สนุกกุ๊กกิ๊กการเมือง, ผู้เขียนหนังสือไม่แน่จริงไม่ข้ามน้ำชีมาหรอก, ผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย หนองบัวลำภู, ผู้ร่วมจัดรายการถอดรหัสชีวิต ถอดรหัสใจ FM 102 งานปัจจุบัน ผู้จัดรายการหมุนตามวัน สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย, ผู้เขียนคอลัมน์จัดฉากชีวิตลิขิตดวงดาว หนังสือพิมพ์คมชัดลึก, ผู้จัดรายการคันข่าว FM 98, ผู้ร่วมจัดรายการชะตาฟ้าลิขิต FM 92.25 วิทยุชุมชนปกป้องสถาบัน, ได้รับรางวัลสื่อมวลชนสตรีดีเด่น ปี 2551 ของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, เป็นโหรสมัครเล่น
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #203 เมื่อ: 07 ธันวาคม 2554, 15:13:47 » |
|
แต่งตั้งโยกย้าย 79 นายอำเภอ เด้ง 4 นภอ.บุรีรัมย์ พ้นพื้นที่ วันที่ 07 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 10:26:03 น. เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2554 นายพระนาย สุวรรณรัฐ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง (ย้าย) ข้าราชการตำแหน่ง นายอำเภอ (ผู้อำนวยการสูง) 6 ราย รวมทั้งลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง (ย้าย) ข้าราชการตำแหน่ง นายอำเภอ (ผู้อำนวยการสูง) ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 17 ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.2554 กำหนดให้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ ในวันที่ 13 ธ.ค.2554 ประกอบด้วย 1.นายวิชัย นิมิตรมงคล นอภ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เป็นนอภ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี 2.นายสันติ เหล่าบุญเสงี่ยม นอภ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เป็นนอภ.บ้านบึง จ.ชลบุรี 3.นายอดิศักดิ์ วรรณลักษณ์ นอภ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เป็นนอภ.เมืองตาก จ.ตาก 4.น.ส.ปาณี นาคะนาท นอภ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี เป็นนอภ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี 5.นายสมศักดิ์ แสนหิรัณย์ นอภ.เมืองศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ เป็นนอภ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ 6.นายพิสุทธิ์ บุษยพรรณพงศ์ นอภ.เมืองสกลนคร จ.สกลนคร เป็นนอภ.เมืองศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ ส่วนข้าราชการตำแหน่ง นายอำเภอ (ผู้อำนวยการสูง) ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย 1.นายไพฑูรย์ ไวยฉาย นอภ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี เป็นนอภ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ 2.นายวีรัส ประเศรษโฐ นอภ.สทิงพระ จ.สงขลา เป็นนอภ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี 3.นายสาธิต ธรรมประดิษฐ์ นอภ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นนอภ.สทิงพระ จ.สงขลา 4.นายลือชัย เจริญทรัพย์ นอภ.สายบุรี จ.ปัตตานี เป็นนอภ.หนองจิก จ.ปัตตานี 5.นายไกรศร วิศิษฐ์วงศ์ นอภ.เมืองปัตตานี จ.ปัตตานี เป็นนอภ.สายบุรี จ.ปัตตานี 6.นายอภิรัฐ สะมะแอ นอภ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เป็นนอภ.เมืองปัตตานี จ.ปัตตานี 7.นายศักดิ์ชัย ชัยเชื้อ นอภ.นาทวี จ.สงขลา เป็นนอภ.ชะอวด จ.นครศรีธรมราช 8.นายพงศว์เฑพ จิรสุขประเสริฐ นอภ.ควนขนุน จ.พัทลุง เป็นนอภ.นาทวี จ.สงขลา 9.นายศุภกิจ จตุรพิตร นอภ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เป็นนอภ.ควนขนุน จ.พัทลุง 10.นายบุญไทย กาฬศิริ นอภ.รามัน จ.ยะลา เป็นนอภ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี 11.นายสมเกียรติ ศรีษะเนตร นอภ.บันนังสตา จ.ยะลา เป็นนอภ.รามัน จ.ยะลา 12.นายสมควร ขันเงิน นอภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็น นอภ.สิเกา จ.ตรัง 13.นายบุญฤทธิ์ งานสม นอภ.สิเกา จ.ตรัง เป็นนอภ.ห้วยยอด จ.ตรัง 14.นายเสรี พาณิชย์กุล นอภ.เมืองยะลา จ.ยะลา เป็นนอภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 15.นายวีรนันทน์ เพ็งจันทร์ นอภ.จอมบึง จ.ราชบุรี เป็นนอภ.เมืองยะลา จ.ยะลา 16.นายจำลอง ไกรดิษฐ์ นอภ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เป็นนอภ.สะเดา จ.สงขลา 17.นายเถกิงศักดิ์ ยกศิริ นอภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เป็นนอภ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ด้านนายสุกิจ เจริญรัตนกุล อธิบดีกรมการปกครอง โดยความเห็นชอบของรองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน ลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง (ย้าย) ข้าราชการตำแหน่ง นายอำเภอ (ผู้อำนวยการต้น) และผู้อำนวยการส่วน ประเภทวิชาการระดับชำนาญการพิเศษ จำนวน 48 ราย รวมทั้งลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง (ย้าย) ข้าราชการตำแหน่ง นายอำเภอ (ผู้อำนวยการต้น) ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 8 ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.2554 โดยกำหนดให้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ ในวันที่ 13 ธ.ค.2554 กรมการปกครองแต่งตั้ง (ย้าย) ข้าราชการตำแหน่ง นายอำเภอ (ผู้อำนวยการต้น) ประกอบด้วย 1.นายไชยยศ กองทอง นอภ.ปากชม จ.เลย เป็นนอภ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ 2.นายสมยศ รักษกุลวิทยา นอภ.จรุตพักตรพิมาน จ.ร้อยเอ็ด เป็นนอภ.ปากชม จ.เลย 3. นายปฤณิธาน สุนารัตน์ นอภ.โพธิ์ชัย จ.ร้อยเอ็ด เป็นนอภ.จตุรพักตรพิมาน จ.ร้อยเอ็ด 4.นายเธียรชัย พุทธรังษี นอภ.สำโรง จ.อุบลราชธานี เป็นนอภ.โพธิ์ชัย จ.ร้อยเอ็ด 5.นายนิวัฒน์ น้อยผาง นอภ.ทุ่งศรีอุดม จ.อุบลราชธานี เป็นนอภ.สำโรง จ.อุบลราชธานี 6. นายศักดิ์ชัย แตงฮ่อ นอภ.น้ำโสม จ.อุดรธานี เป็นนอภ.ทุ่งศรีอุดม จ.อุบลราชธานี 7. นายพงษ์พันธุ์ แสงสุวรรณ รองอธิการวิทยาลัยการปกครอง วิทยาลัยการปกครอง เป็นนอภ.น้ำโสม จ.อุดรธานี 8. นายเวรัชช์ ธาราสมบัติ นอภ.วังจันทร์ จ.ระยอง เป็นนอภ.แหลมงอบ จ.ตราด 9.นายทิวา พรหมอินทร์ นอภ.แหลมงอบ จ.ตราด เป็นนอภ.วังจันทร์ จ.ระยอง 10.นายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร นอภ.คลองหาด จ.สระแก้ว เป็นนอภ.สุขสำราญ จ.ระนอง 11.นายธวัชชัย เกตุพันธุ์ นอภ.เสาไห้ จ.สระบุรี เป็นนอภ.คลองหาด จ.สระแก้ว 12.นายสุวิช ภู่มาลี นอภ.บ้านคา จ.ราชบุรี เป็นนอภ.เสาไห้ จ.สระบุรี 13.นายชาตรี จันทร์วีระชัย นอภ.ลำสนธิ จ.ลพบุรี เป็นนอภ.บ้านคา จ.ราชบุรี 14.นายธานี มาลีหอม นอภ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี เป็น นอภ.ลำสนธิ จ.ลพบุรี 15.นายวิบูลย์ เลาหสุรโยธิน นอภ.วิหารแดง จ.สระบุรี เป็นนอภ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี 16.นายพูลสุข เพียรพิทักษ์ นอภ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี เป็นนอภ.วิหารแดง จ.สระบุรี 17.นายบัณฑิต นันทนาพรชัย นอภ.เบญจลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เป็นนอภ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี 18.นายเสรี หอมเกษร นอภ.สนม จ.สุรินทร์ เป็นนอภ.เบญจลักษ์ จ.ศรีสะเกษ 19.นายวัชรินทร์ รัตนบรรณกิจ นอภ.สร้างคอม จ.อุดรธานี เป็นนอภ.สนม จ.สุรินทร์ 20.นายไพฑูรย์ จิตต์สุทธิผล นอภ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู เป็นนอภ.สร้างคอม จ.อุดรธานี 21.นายวีระเกียรติ รัมณีย์รัตนากุล นอภ.สว่างอารมณ์ จ.อุทัยธานี เป็นนอภ.นาตาล จ.อุบลราชธานี 22.นายธำรงศักดิ์ มานะกุล นอภ.นาตาล จ.อุบลราชธานี เป็นนอภ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร 23.นายเศรษฐชัย ธนารักษ์ นอภ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร เป็นนอภ.จอมพระ จ.สุรินทร์ 24.นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ นอภ.จอมพระ จ.สุรินทร์ เป็นนอภ.โนนนารายณ์ จ.สุรินทร์ 25.นายเลอพงษ์ สุวานิช นอภ.โนนนารายณ์ จ.สุรินทร์ เป็นนอภ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี 26.นายกิติภพ ตราชูวณิช นอภ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี เป็นนอภ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี 27.นายไพรัช หอมกลิ่น นอภ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี เป็นนอภ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ 28.นายวิกรานต์ บุญเจริญ นอภ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ เป็นนอภ.แก้งสนามนาง จ.นครราชสีมา 29.นายภูริทัต สัจจะกานต์ นอภ.แก้งสนามนาง จ.นครราชสีมา เป็นนอภ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี 30.นายมานิต เพียรทอง นอภ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี เป็นนอภ.คุระบุรี จ.พังงา 31.นายมานะ จรุงเกียรติขจร นอภ.คุระบุรี จ.พังงา เป็นนอภ.ปลายพระยา จ.กระบี่ 32.นายสมชาย ลี้วงศกร นอภ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ เป็นนอภ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ 33.นายวิสิษฎ์ สกุลยืนยง นอภ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ เป็นนอภ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ 34.นายกิตติ หอวรรณภากร นอภ.เต่างอย จ.สกลนคร เป็นนอภ.หนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ 35.นายโสภณพงศ์ เหตานุรักษ์ นอภ.หนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ เป็นนอภ.เต่างอย จ.สกลนคร 36.นายโสภณ ห่วงญาติ นอภ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร เป็นนอภ.วังหิน จ.ศรีสะเกษ 37.นายปรีชา มณีวงษ์ นอภ.บัวลาย จ.นครราชสีมา เป็นนอภ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร 38.นายยงยุทธ ป้อมเอี่ยม นอภ.เทพารักษ์ จ.นครราชสีมา เป็นนอภ.บัวลาย จ.นครราชสีมา 39.ว่าที่ ร.ต.วรานนท์ ยิ้มมงคล นอภ.พระยืน จ.ขอนแก่น เป็นนอภ.เทพารักษ์ จ.นครราชสีมา 40.นายประพันธ์ ทองคำเปลว นอภ.โนนศิลา จ.ขอนแก่น เป็นนอภ.พระยืน จ.ขอนแก่น 41.นายธวัชชัย รอดงาม นอภ.นามน จ.กาฬสินธุ์ เป็นนอภ.โนนศิลา จ.ขอนแก่น 42.นางนิภา สุวรรณสุจริต นอภ.วังหิน จ.ศรีสะเกษ เป็นนอภ.นามน จ.กาฬสินธุ์ 43.นายดำรงค์ ดีสกูล นอภ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ เป็นผอ.ส่วนการเมืองและการเลือกตั้ง สำนักบริหารการปกครองท้องที่ 44.นายบัญญัติ พงษ์ศรีกูร นอภ.ตรอน จ.อุตรดิตถ์ เป็นนอภ.แม่พริก จ.ลำปาง 45.นายวีระกิตติ์ อินทรประสิทธิ์ นอภ.แม่เมาะ จ.ลำปาง เป็นนอภ.ตรอน จ.อุดรดิตถ์ 46.นายนรินทร์ วรรณมหินทร์ นอภ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี เป็นนอภ.แม่เมาะ จ.ลำปาง 47.นายณรชิต พุทธลา นอภ.แคนดง จ.บุรีรัมย์ เป็นนอภ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ 48.นายสุรพล ลีลาเลิศแก้ว นอภ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ เป็นนอภ.แคนดง จ.บุรีรัมย์ กรมการปกครองแต่งตั้ง (ย้าย) ข้าราชการตำแหน่ง นายอำเภอ (ผู้อำนวยการต้น) ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย 1.นายบรรจง ช่วยชู นอภ.ทุ่งหว้า จ.สตูล เป็นนอภ.บางกล่ำ จ.สงขลา 2.นายวัชรศักดิ์ จุลยานนท์ นอภ.ยี่งอ จ.นราธิวาส เป็นนอภ.ทุ่งหว้า จ.สตูล 3.นายไพโรจน์ จริตงาม นอภ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เป็นนอภ.ยี่งอ จ.นราธิวาส 4.นายวรเชษฐ พรมโอภาษ นอภ.สุคิริน จ.นราธิวาส เป็นนอภ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส 5.นายสาโรช กาญจนพงศ์ นอภ.ยะหา จ.ยะลา เป็นนอภ.สุคิริน จ.นราธิวาส 6.นายปรีชา ชนะกิจกำจร นอภ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เป็นนอภ.ยะหา จ.ยะลา 7.นายพิศาล อาแว นอภ.แม่ลาน จ.ปัตตานี เป็นนอภ.มายอ จ.ปัตตานี 8.นายธรรมรงค์ คงวัดใหม่ นอภ.มายอ จ.ปัตตานี เป็นนอภ.แม่ลาน จ.ปัตตานี
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #204 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2554, 21:47:24 » |
|
น้ำท่วม ใครได้ประโยชน์ _ เท่าที่พอๆจำได้ จากบรรยายที่หอขดหมายเหตุ โดย Woraphat Phucharoen เมื่อ 18 ธันวาคม 2011 เวลา 20:45 น. เขาให้พูด ๒๕ นาทีเอง ได้แค่นี้ ก็เยอะแล้ว :- คนได้ประโยชน์มีเยอะ
๑) คนโกง ย่อมฉวยโอกาส โกงได้เต็มที่ ได้ประโยชน์ส่วนตัวเต็มๆ โกงประชาชน แค่ ๑ บาท ตายไป ยมบาลท่านคูณ จำนวนประชากร ๘๐ล้าน ดังนั้น โกง ๑ บาท มีค่าเท่ากับโกง ๘๐ ล้านบาท _ โกงในยามเดือดร้อน อาจจะคูณเพิ่ม อีก ไม่มีลดหย่อน เร่งผลกรรมให้เข้ามาเร็วขึ้น
๒) อย่าไปเกลียดคนโกงเลยนะ เขาทำหน้าที่ของเขา คือ เป็นครูสอบอารมณ์ของเรา No mud , no lotus ไม่มีโคลน บัวก็ไม่งาม _ หมายความว่า คนชั่วเขาทำหน้าทีของเขา คนดีก็ทำหน้าที่ของเขา เราเกลียดเขามากๆ ชาติต่อไปก็ต้องเจอพวกเขาอีก
๓) คนไปนิพพาน คือ คนทำใจสงบ แต่ ไม่ขาดความรับผิดชอบ เป็นกลางที่ใจ ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย ทำตามหน้าที่ แต่ ไม่มีอคติ ไม่มีลำเอียง
๔) คนที่ออกไปทำงานจิตอาสา แม้นจะกลายเป็นผู้อพยพ ก็ยังแปลงร่างเป็นจิตอาสา เป็นคนที่ได้ประสบการณ์ได้เรียนรู้ หาก ท่วมแบบนี้อีก ก็เอาตัวรอดได้
๕) ถ้าธรรมชาติ คิดจะเอาคนชั่วออกไปจากโลกนี้ ภัยพิบัติ เช่น ไฟไหม้ ก็อาจจะพลาดไปโดนคนดีด้วย ลม ก็พลาดไปโดนได้ ดินถล่ม แผ่นดินไหว ก็พลาดไปโดนได้ สึนามิ ก็พลาดได้ แต่ ท่วมด้วยน้ำ ช้าๆ ขึ้นเรื่อยๆ _ คนโลภจะหวงของ หวงสมบัติจนตาย ถ้าท่วมถาวร คนชั่วที่รอดตาย ก็สติแตก เพราะ ทนไม่ได้กับการสูญเสีย _ คนที่ฝึกสติมาเท่านั้น ที่จะรอด _ จงฝึกสติ รณานุสติบ่อยๆนะ
๖) คนที่ฝึกสติมาดีแล้ว แม้นใกล้ตาย ก็ยังมีเวลาทำจิตให้สงบ อาจจะได้โสดาบัน ขณะตาย หรือ คน ทำทาน รักษาศีล ภาวนา ตายไป ก็ไม่กลัว ออกจากร่าง ก็ไปใน คติที่ดี _
๗) น้ำท่วมโลก ไม่น่ากลัว สำหรับผู้ฝึกสติ _
๘) ภัยธรรมชาติ ไม่น่าจะเบาลง เพราะ พฤติกรรมผู้คนไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเลย ยังทำลายธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง _ ดังนั้น ไม่ช้าก็เร็ว ภัยธรรมชาติเล่นงานทั่วโลกแน่นอน _ ถ้าพร้อมใจกัน ปิดไฟฟ้า งดแข่งกีฬา แข่งฟุตบอลตอนมืดค่ำ ปิดห้าง ๖ โมงเย็น ปลูกต้นไม้ หยุดตัดไม้ หยุดรถยนต์ เลิกอุตสาหกรรม หยุดโรงงาน ฯลฯ ซึงก็เป็นไปได้ยากส์สสสสสสสสส
๙) ผมว่าเรื่อง น้ำท่วมโลก วันโลกแตก มีโอกาสเกิดแน่นอนแม้น จะแค่ 1% แต่ก็เรียกว่าเกิด แต่ โอกาสเกิด 1% เราก็ควรเตรียมพร้อม 100% _ อุปมา คาดเข็มขัดนิรภัย มียางอะไหล่สำรอง เครื่องบินมี CPU 2ชุด เรือมีเรือเล็กสำรอง ใส่ถุงมือรักษาคนไข้เลือดไหล ไม่ใช้มีดโกนร่วมกัน ใส่ถุงยาง ฯลฯ
๑๑) ยอมเป็น "กระต่ายตื่นตูม"_ โดนคนแซวว่า ขี้ตื่น กลัวตาย หนีออกก่อน อพยพออกก่อน ดีกว่า เป็น "เสือตายอืด" _ ตายเพราะอวดเก่ง ประมาท ราคาคุย กลัวเสียฟอร์ม แถมพาคนรอบตัวตายตามไปด้วย
๑๒) คนอ่อนแอ คนแก่ อย่าอยู่ ในใครๆเป็นห่วงเลย คนเข้าไปช่วยเขาเหนือยเปล่า สงสารลูกหลานบ้าง อย่าแก่แล้วทำตัวให้ลูกหลานลำบากเลยนะ _ ไม่ต้องซ่อนทองเอาไว้ _ รีบ ย้ายไปอยู่เมืองอื่นๆ ที่สูงๆ ปลอดภัยดีกว่า _ เมืองใหญ่ไม่เหมาะสม อากาศเสีย อาหารไม่สะอาด แออัด ฯลฯ ชนบท มีอะไรดีๆมากมาย
๑๓) ชวนเยาวชนฝึก ทานผักพื้นเมือง ทานผักที่ไม่มีในห้างสรรพสินค้าบ้าง _ ชวนไปฝึกความรู้รอบตัว การเอาตัวรอดในป่า ทำน้ำสะอาด รักษาตนเอง ปฐมพยาบาล ฯลฯ เป็นกันหรือยัง
๑๔ ) คนได้ประโยชน์ คือ ใคร_ ก็คือ คนฝึกสติ
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
Lamai
|
|
« ตอบ #205 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2554, 21:53:56 » |
|
อืมมม....น่าคิดนะ
|
|
|
|
แจง-24
|
|
« ตอบ #206 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2554, 20:37:04 » |
|
No mud, no lotus.... ชอบ....
|
อยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูง
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #207 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2554, 22:20:06 » |
|
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7684 ข่าวสดรายวัน
ตลกแห่งปี
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม -วงค์ ตาวัน
มุขฮาเที่ยวล่าสุด ที่กำลังขบขันกันไปทั้งเมือง คือ เรื่องเล่าที่ว่า แผนปล้นบ้านปลัดสุพจน์ ทรัพย์ล้อมนั้น เป็นเล่ห์กลที่มีนักการเมืองว่าจ้างคนร้ายให้เข้าปล้น เพื่อสร้างเรื่องใส่ร้าย แล้วมาจัดฉากตามไล่จับโจร พร้อมกับนำเงินของกลางเข้ามายัดให้ดื้อๆ
คนที่เขียนมุขนี้ ดำเนินเรื่องว่า เงินในบ้านปลัดมีนิดเดียว แต่สร้างเรื่องปล้น แล้วเอาเงินมายัดเพื่อใส่ร้ายปลัด
สรุปว่าโจรปล้นเพื่อยัดเงินให้ปลัด
แทนที่ฟังแล้วจะได้แต่ขำ แต่มีคนเอาไปขยายต่อ
สังคมไทยเราในวันนี้ มีปัญหาใหญ่ คือ มีความเกลียดชังคนบางคน จนมองทุกอย่างผูกโยงมาจากคนๆนี้คนเดียว
ความอคตินี้ ได้ทำให้คนที่เคยปกติธรรมดา กลายเป็นคนที่เลิกค้นหาข้อเท็จจริง เลิกประเมินจากพื้นฐานความเป็นจริง!
ถ้าบอกว่าเป็นแผนร้ายจากคนที่เกลียดกลัวนั้น จะเชื่อทันทีว่าใช่
แล้วยิ่งถ้าเป็นเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อพ่อรูปหล่อ คนดี คนนั้น
จะยิ่งเสียสติไปกันใหญ่
คงเกรงว่าการปล้นจะเชื่อมโยงถึงโครงการงบประมาณมหาศาลในรัฐบาลยุคที่แล้ว
เริ่มต้นจากกลัวตรงนี้ กลัวว่าผู้นำคนดีจะแปดเปื้อน เลยไม่ยอมเชื่อ ไม่ยอมฟังข้อเท็จจริง
จึงเลือกฟังเลือกเชื่อเรื่องที่ทำให้รัฐบาลยุคที่แล้วปลอดพ้นข้อหาทุจริต!
เช่นนี้แล้วก็เลยกลายเป็นคนนำเรื่องตลกโปกฮาแห่งปีไปขยายความอย่างจริงจังขึงขัง เป็นนักเล่าเรื่องตลกกลางเมืองไปในที่สุด
ถึงเวลานี้คดีปล้นบ้านปลัดสุพจน์ยังดำเนินไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามปกติ มีตัวผู้ต้องหา มีความเชื่อมโยงเป็นวิทยาศาสตร์
มีอดีตเลขาฯคนสนิท เอาเรื่องไปเล่าต่อให้ลูกชาย แล้วเรื่องก็ไปถึงหูหัวหน้าโจร เลยเกิดแผนปล้น
ในนาทีเกิดเหตุ บังเอิญคนใช้หลุดไปโทรศัพท์หาเจ้านายได้ ตอนนั้นเจ้านายก็ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เลยรีบแจ้งตำรวจที่สนิทกัน
แต่ตำรวจนั้นเขาทำตามหน้าที่ โดยการแจ้งตำรวจท้องที่เข้าไปตรวจสอบ
กลายเป็นคดีที่ต้องดำเนินไป
ตำรวจตามไปจับกุมได้ พร้อมเงินของกลางที่ยึดมาจากโจรนั่นแหละ
ยึดได้มากขึ้นจากคนร้ายที่ทยอยจับได้
ไม่มีใครลงทุนเป็นโจรให้ถูกจับเข้าคุก
แล้วควักเงินหลายสิบล้านมายัดใส่เขาหรอก!
หน้า 2
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #208 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2554, 22:28:36 » |
|
วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 16:37 น. ข่าวสดออนไลน์
รองปลัดมท.โต้ข่าว‘พระนาย’บินพบแม้ว จิ้มโผผู้ว่าฯ
วันที่ 19 ธ.ค. นายประชา เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทยฝ่ายข้าราชการประจำ กล่าวถึงกระแสข่าวว่านายพระนาย สุวรรณรัฐ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อช่วงที่ผ่านมา เพื่อให้พิจารณารายชื่อบุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าฯ 16 ตำแหน่งที่เหลือ ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง สามารถเช็กตารางการเดินทางหรือเที่ยวบินในช่วงเวลาดังกล่าวได้ นายพระนายไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น และไม่รู้ว่าจะต้องเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษณเพื่ออะไร ดังนั้นไม่อยากให้สื่อนั่งเทียนเขียนข่าว ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนได้
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #209 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2554, 22:43:51 » |
|
วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 12:53 น. ข่าวสดออนไลน์
ยกฟ้อง “ ตู่ จตุพร ” ไม่ผิดหมิ่นประมาท “เทือก ”
เวลา 10.00 น. วันที่ 19 ธ.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ที่ห้องพิจารณา 913 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลพิพากษายกฟ้องคดีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 กรณีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2552 เวลา 14.00 และ 22.00 น.จำเลยแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า โจทก์เตรียมดำเนินการใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง โดยให้คนต่างด้าว 5,000 คน แฝงตัวชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ไปทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ บริเวณถ.ราชดำเนิน
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์–จำเลยนำสืบแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ดูแลความเรียบร้อยการชุมนุม ขณะที่โจทก์และจำเลย ต่างเป็นนักการเมือง ผลัดเปลี่ยนกันเป็นรัฐบาลบริหารประเทศและฝ่ายค้าน โดยเมื่อพรรคโจทก์เป็นรัฐบาลมีการชุมนุมให้ยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเห็นได้ว่าพฤติการณ์ของโจทก์และจำเลยต่างเป็นปฏิปักษ์ต่อกันที่สืบเนื่องจากอุดมการณ์และนโยบายการเมืองที่แตกต่างกัน เมื่อจำเลยซึ่งเป็นแกนนำ นปช. กล่าวต่อสื่อมวลชนว่า โจทก์เตรียมดำเนินการใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง โดยให้คนต่างด้าว 5,000 คน แฝงตัวชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ไปทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ บริเวณ ถ.ราชดำเนิน ซึ่งภายหลังนำเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ ย่อมทำให้บุคคลทั่วไปที่ได้รับฟังเกิดความสงสัยในตัวโจทก์ และอาจเข้าใจได้ว่าโจทก์ใช้อำนาจทำลายพรรคการเมือง การชุมนุม นปช. และคนเสื้อแดง ซึ่งทำให้โจทก์เสียหายจึงถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาท
แต่เมื่อพิจารณาทางนำสืบของโจทก์–จำเลย แล้วพล.ต.ต. วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ซึ่งรับผิดชอบดูแลความเรียบร้อยควบคุมการชุมนุม เบิกความว่า ทางการข่าวทราบว่ามีบุคคลต่างด้าวมาร่วมชุมนุมคนเสื้อแดง ซึ่งได้พยายามควบคุม ขณะที่ทางการสืบสวนสอบสวนพบว่าเหตุการณ์การชุมนุมบางครั้งสามารถถูกสร้างสถานการณ์ได้ทุกฝ่าย ซึ่งเจือสมสอดคล้องกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่า เมื่อโจทก์ให้สัมภาษณ์กล่าวอ้างถึงสถานการณ์ใด ก็มักจะเกิดสถานการณ์ขึ้นได้เสมอ การกระทำของจำเลยที่กล่าวอ้างถึงการเตรียมดำเนินการใส่ร้ายคนเสื้อแดง จึงเป็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำหน้าที่ของโจทก์ที่ติดตามดูแลความเรียบร้อยการชุมนุม ในฐานะของแกนนำ นปช. ซึ่งต้องป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อการชุมนุมของคนเสื้อแดง จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นเพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้ส่วนเสีย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 ซึ่งผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท จึงพิพากษายกฟ้อง
โดยวันนี้นาย จตุพร จำเลย เดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษา พร้อมคณะผู้ติดตาม ซึ่งมีกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งมาให้กำลังใจด้วย
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #210 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2554, 22:46:41 » |
|
วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 22:33 น. ข่าวสดออนไลน์
ผบ.ทหารเขมรขอโทษ-ยิง ฮ.ทหารไทย
วันที่ 18 ธ.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า พล.ร.ท.พงษ์ศักดิ์ ภูุรีโรจน์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนายวิกโยธิน กล่าวถึงการประชุมเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยและกัมพูชา กรณีทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนยิงเฮลิคอปเตอร์ เบลล์ 212 ของกองทัพเรือไทยจนได้รับความเสียหายบริเวณกองกำลังจันทบุรี-ตราด เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า การประชุมในครั้งนี้ไม่ถือว่าได้ข้อยุติอะไร โดยทางฝ่ายกัมพูชาส่ง พล.ต. ยอนมิน ผู้บัญชาการทหารประจำจังหวัดเกาะกง ซึ่งเขาดูแลและควบคุมทหารที่อยู่ติดเขตแดนของเรา
พล.ร.ท.พงษ์ศักดิ์ ระบุว่า สำหรับกรณีดังกล่าวมีการพูดคุย 3 เรื่อง คือ 1. ความผิดพลาดที่เกิดจากแผ่นที่ที่ใช้ไม่ตรงกัน ทำให้มีพื้นที่ทับซ้อนอยู่ประมาณ 500 เมตร 2. การติดต่อของฝ่ายกัมพูชา โดยหน่วยเหนือกับหน่วยรองจนไปถึงผู้ปฎิบัติ ไม่มีเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร เช่น เมื่อฝ่ายเราติดต่อไปว่าตอนบ่ายจะนำเฮลิคอปเตอร์บินปฎิบัติภาระกิจ เขาสื่อสารไปถึงลูกน้องของเขาไม่ทันเวลา 3. ฝ่ายกัมพูชา ตั้งแต่ที่มีการปะทะกันบริเวณประสาทพระวิหาร เขาได้สั่งกำชับว่าหากมีการรุกล้ำทางอากาศยานให้ใช้อาวุธได้ทันที เขาก็ยึดถือคำสั่งนั้น และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เกิดความเข้าใจผิด
ผบ.นาวิกโยธิน กล่าวว่า พล.ต.ยอนมิน ยอมรับและขอโทษที่ทางกำลังทหารฝ่ายกัมพูชาประมาทจนทำให้เกิด เหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ทหารไทยพูดคุยกับทางผบ.ทหารเกาะกง ว่าเราทั้ง 2 ประเทศ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เป็นเพื่อนบ้านกัน หากเราล้ำแดนของเขาจริงก็ให้ประท้วงก็ได้ ทำไมต้องยิงกัน ซึ่งทางผบ.ทหารเกาะกงก็บอกขอโทษทีที่ทำเกินกว่าเหตุ และเขาจะนำเรื่องทั้งหมดไปเรียนให้ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกัมพูชาให้รับทราบ เพื่อจะได้พูดคุยกับผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของไทย แล้วค่อยหารือกันอีกครั้งหนึ่ง
พล.ร.ท.พงษ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการนำ เฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินปฎิบัติภารกิจหรือการส่งสะเบียงในครั้งต่อไปนั้น เราก็มีการพูดคุยกัน โดยระยะเราต้องส่งทางเท้าไปก่อน ส่วนการนำ ฮ. ขึ้นไปในพื้นที่ทับซ้อน ต้องให้ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของทั้ง 2 ฝ่ายต้องคุยและตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบและแบ่งพื้นที่กันให้เหมาะสม เช่น ถ้าแผนที่ของเขากับของเราทับซ้อนกัน ก็ไม่ต้องเข้าพ้ืนที่นั้น หรือถ้าเข้าก็ต้องเข้าด้วยกันทั้ง2ฝ่าย ต้องมีการประสานงานเพิ่มมากขึ้นและต้องดูพื้นที่จริงกันอีกครั้ง ในส่วนที่ทางฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเครื่องมือสื่อสารไม่ดีนั้น ต่อไปคงต้องกำหนดเส้นทางการติดต่อและมีผู้ประสานงานกันโดยตรงโดยสารมารถติดต่อกับผู้ที่อยู่บริเวณตามแนวชายแดนได้ด้วย ทั้งนี้ได้รายงานให้ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร.ทราบแล้ว โดยท่านเป็นห่วงกำลังพลเกี่ยวกับขวัญและกำลังใจ และกำชับให้อยู่บนพื้นฐานความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้พิจารณาถึงเหตุผลเพราะเป็นเพื่อนบ้านกัน
เมื่อถามว่า ทางกัมพูชารับปากหรือไม่ว่าจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้อีก พล.ร.ท.พงษ์ศักดิ์ื กล่าวว่า ก็คุยกัน แต่ต้องให้ระดับผู้ใหญ่คุยกันอีกที แต่หน่วนปฎิบัติที่อยู่ในพื้นที่ต้องประสานงานกัน และคาดว่าจะไม่มีเหตการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก
ด้านพ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า กรณีนี้จะไม่มีผลกระทบต่อการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ จีบีซี ที่ประเทศกัมพูชา ในวันที่ 21 ธ.ค. นี้เนื่องจากพล.อ. ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ให้แนวทางการดำเนินการหากมีการกระทบกระทั่งกันระหว่างตามแนวชายแดน โดยให้ผู้บังคับหน่วยในพื้นที่รีบหารือในกรอบขั้นต้นกันก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาจนกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว อะไรที่ไม่เข้าใจหรือมีปัญหาให้มาพูดคุยกันและหารือร่วมกัน
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #211 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2554, 22:59:17 » |
|
[วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7690 ข่าวสดรายวัน
สิ่งดีๆที่เกิดขึ้น
คอลัมน์ สดจากจิตวิทยา นฤภัค ฤธาทิพย์/กรมสุขภาพจิต
หากเราลองคิดดูให้ดี ในช่วงวิกฤตที่เกิดขึ้นคงมีสิ่งที่ดีหลายสิ่งเกิดขึ้นกับตัวเราด้วยเช่นกัน
- หลายคนบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวได้อยู่ร่วมกัน ได้กินข้าวพร้อมหน้ากัน ได้พูดคุยปรึกษาหารือกัน ได้ช่วยเหลือกันและกัน ได้นอนร่วมกัน ในขณะที่หากเป็นช่วงเวลาปกติ แต่ละคนจะยุ่งแต่กับภาระหน้าที่หรืออยู่ในสังคมของตนเอง
- หลายคนได้รู้จักเพื่อนบ้านเพิ่มมากขึ้น ได้พูดคุยถามไถ่ ปรับทุกข์ ฝากบ้าน มีการช่วยเหลือแบ่งปันกันในชุมชน ได้เห็นน้ำใจของกันและกันทั้งที่เวลาปกติเราอาจได้แค่เดินสวนกันหรือยิ้มทัก ทายกัน
- ได้เห็นน้ำใจของคนไทยในสังคมที่แม้ไม่รู้จักกันแต่ยังแสดงน้ำใจให้ความช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยาก ไม่ว่าจะเป็นการให้อาศัยรถในการเดินทาง การบริจาคเงินและสิ่งของรวมถึงการช่วยบรรจุของเพื่อเตรียมส่งให้ผู้ประสบภัย การประสานงานและการช่วยเหลือคนในพื้นที่ ทั้งที่ผู้คนเหล่านี้ไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้ากันมาก่อน แต่ทุกคนก็มีน้ำใจพร้อมที่จะช่วยเหลือแบ่งปันกันในภาวะเช่นนี้
หน้า 2/color]
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #212 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2554, 23:11:44 » |
|
"คณะรัฐมนตรี"ไฟเขียวติดดาบ"กรมสอบสวนคดีพิเศษ"เพิ่มเติมอีก 9 คดีพิเศษ วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 19:10:36 น. นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 เพื่อกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติม ดังนี้ 1. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 3. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ 4. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยแร่ 5. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน 6. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องสำอาง 7. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย 8. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยยา 9. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาหาร
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #213 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2554, 23:22:51 » |
|
สำนวนคดี ฮิโรยูกิ สะท้อน ประสิทธิภาพ อภิสิทธิ์ ยิ่งลักษณ์ วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:00 น. (ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 19 ธันวาคม 2554)
เหตุปัจจัยอันใดทำให้การเสียชีวิตของ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จึงมีบทบาทและทรงความหมายสูงยิ่งทางการเมือง
1 เพราะว่าเขาเป็นคนญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ญี่ปุ่นซึ่งเป็นมหาอำนาจและทรงอิทธิพลเป็นอย่างสูงทั้งระดับโลกและระดับเอเชีย
1 เพราะว่าเขาเป็นช่างภาพในสังกัดของสำนักข่าวรอยเตอร์
สำนักข่าวรอยเตอร์เป็นสำนักข่าวเก่าแก่ได้รับการยอมรับนับถือไม่เฉพาะในยุโรป อเมริกา หากถือได้ว่าเป็นที่ยอมรับระดับโลก
การเป็นช่างภาพทรงความหมายอยู่แล้วในทางสากล การเป็นช่างภาพของสำนักข่าวรอยเตอร์ และการเป็นช่างภาพอาชีพชาวญี่ปุ่น ทำให้สถานะของ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ไม่ธรรมดาในสายตานานาชาติ
จึงไม่เพียงแต่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นเท่านั้นที่ให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง
หากประการสำคัญยิ่งกว่านั้น สำนักข่าวรอยเตอร์ ก็ยังให้ความสนใจถึงกับว่าจ้างให้นักสืบเอกชนเสาะหาข้อมูลและจัดทำเป็นรายงานลับ
ขณะเดียวกัน การสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ยังสะท้อนจิตสำนึกของรัฐบาลไทยอย่างสำคัญ
นับแต่ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ เสียชีวิตในปี 2553 มีการเคลื่อนไหวในลักษณะ "กดดัน" จากญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องและอย่างเป็นทางการ
รัฐมนตรีต่างประเทศถึงกับเดินทางมาคารวะในจุดที่เสียชีวิต
ขณะเดียวกัน ตัวแทนระดับอัครราชทูตพร้อมกับทูตทางด้านตำรวจยังถือเป็นภาระหน้าที่ต้องเดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอย่างไม่ลดละ
ไม่ว่าจะยุคของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ทั้ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ทั้ง นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ล้วนได้รับการทวงถาม
ทวงถามความคืบหน้าอย่างนอบน้อมเยี่ยงสุภาพบุรุษบูชิโด
ต่อเนื่องจากวันที่ 10 เมษายน 2553 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2554 ไม่มีความคืบหน้าในรูปคดี ทุกอย่างยังเป็นความดำมืด
กระทั่งรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าบริหารประเทศในเดือนสิงหาคม 2554
เดือนกันยายน 2554 เริ่มมีการส่งสำนวนชันสูตรพลิกศพจากกรมสอบสวนคดีพิเศษให้มาอยู่ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจนครบาล พอถึงวันที่ 16 ธันวาคม สำนวนคดีชั้นสูตรพลิกศพ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ จึงส่งถึงมืออัยการ
3 เดือนเศษในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทุกอย่างก็เรียบร้อย
มีเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังมาจากมหานครโตเกียว สะท้อนผ่านคำขอบคุณจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกรุงเทพมหานคร
แม้ว่าสำนวนคดีจะยังไม่ได้ส่งฟ้องร้องต่อศาลสถิตยุติธรรม
กระนั้น หากเปรียบเทียบกับความล่าช้า อืดอาด เหมือนเรือเกลือ อันเกิดขึ้นและดำรงอยู่ในรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
3 เดือนเศษย่อมเป็นความเรียบร้อยหากวางคู่กับ 1 ปีเศษ
ความเชื่อประการหนึ่งในวงการยุติธรรม คือ ความยุติธรรมที่ล่าช้าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เป็นโทษอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะต่อบรรดาญาติสนิทมิตรสหายของผู้ตาย ของผู้สูญเสีย
ไม่ว่าจะเป็นผู้สูญเสียชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นผู้สูญเสียชาวญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นผู้สูญเสียชาวอิตาเลียน เขาอยู่ในสถานะเดียวกัน
คือ ผู้ถูกกระสุนปืนเด็ดชีวิต พรากวิญญาณ
คำขอบคุณจากรัฐบาลญี่ปุ่นต่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แห่งประเทศไทย จึงเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ เพราะเท่ากับกระบวนการยุติธรรมไทยได้ช่วยลดขึ้นตอนความกังขา ข้องใจอันดำรงอยู่ให้หดสั้นและดำเนินไปได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน ย่อมเป็นการเปรียบเทียบกับกระบวนการในยุค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
มีความสงสัย มีความแคลงใจ ในภาวะผู้นำ ในประสิทธิภาพของการบริหารจัดการบ้านเมือง
เป็นความสงสัย แคลงใจ ในเชิงเปรียบเทียบระหว่างการบริหาร 2 ปีเศษ ของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับระยะเวลาเพียง 3 เดือนเศษ ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
คำตอบอันเด่นชัด 1 คือ สำนวนคดีชันสูตรพลิกศพ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ชาวญี่ปุ่น
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #214 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2554, 23:27:13 » |
|
น่าอับอายแทนประเทศไทย? วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:00 น.
โดย ณัฏฐ์ หงษ์ดิลกกุล นักศึกษาปริญญาเอก คณะเศรษฐศาสตร์, Simon Fraser University
เหมือนเช้าทุกๆ วัน เมื่อผมตื่นขึ้นมาเมื่อวานสิ่งแรกๆ ที่ผมจะทำก็คือเปิดเฟซบุคเพื่อดูความเคลื่อนไหวและข่าวสารต่างๆ ตลอดวันในเมืองไทย และประเด็นร้อน ที่เพื่อนบนเฟซบุคของผมพร้อมใจกันแชร์ ก็คือคลิปการแถลงข่าวร่วมระหว่างนายกฯ และ Hillary Clinton จาก youtube พร้อมกับคำโปรยต่างๆ นานา จับความได้ว่า "นายกฯ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่อง น่าอับอายแทนประเทศไทย ฯลฯ" เมื่อฟังคำวิจารณ์เหล่านี้ผมก็เกิด "คัน" ขึ้นมา นึกสนุกอยากทดสอบว่าถ้าให้คนต่างชาติฟังเขาจะฟังรู้เรื่องกันกันรึเปล่า จึงทดสอบโดยการแชร์คลิปการแถลงข่าวร่วมนั้น และตั้งคำโปรยเพื่อเชิญเพื่อนซึ่งไม่ใช่คนไทยให้มาดูคลิป แล้วตอบว่าเข้าใจที่นายกฯ แถลงรึไม่
ผมทิ้งแชร์เอาไว้หนึ่งวัน มีเพื่อนมาตอบทั้งหมด 6 คน เกือบทั้งหมดใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรก และมิได้มีเพื่อนเป็นคนไทยนอกจากผมเท่านั้น (นั้นหมายความว่าไม่ได้คุ้นเคยกับสำเนียงแบบไทยๆ) ทุกคนตอบเป็นทิศทางเดียวกันว่า "เข้าใจแถลงการณ์ที่นายกฯ พูดได้เป็นอย่างดี มีปัญหาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น" เช่น บางคนตอบว่าเข้าใจ 95% บางคนตอบว่าไม่เข้าใจเฉพาะช่วงต้นๆ ของสุนทรพจน์ แต่โดยรวมเข้าใจได้ดี จากผลการทดสอบนี้ รวมกับข้อสังเกตของผมเอง ผมขอสรุปดังนี้ครับ 1) เป็นความจริงที่ว่าอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งก็ควรเป็นเช่นนั้นเพราะอดีตนายกฯ ใช้ชีวิตในต่างประเทศเป็นระยะเวลานานกว่า (แต่แน่นอนว่าแม้แต่อดีตนายกฯ ก็ยังมีสำเนียงไทย เมื่อพูดภาษาอังกฤษเช่นกัน) 2) แต่จากผลการทดสอบก็ยืนยันว่าคนต่างประเทศสามารถเข้าใจสุนทรพจน์ของนายกฯ ได้ ฉะนั้นภาษาอังกฤษของนายกฯ ถือว่าไม่มีปัญหาครับ มาตรฐานการพูดภาษาอังกฤษในปัจจุบันนั้นถือ จุดประสงค์สำคัญคือการสื่อสารให้เกิดความเข้าใจ ส่วนการพูดติดสำเนียง (accent) นั้นมิได้ถือเป็นปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นธรรมชาติที่เมื่อภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาสากลมากกว่าภาษาประจำชาติ การพูดติดสำเนียงจึงถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งท่ามกลางกระแสค่านิยมการไม่เลือกปฏิบัติ (nondiscrimination) ด้วยแล้ว มาตรฐานในโลกตะวันตก (อย่างน้อยก็เป็นมารยาทในสังคม) คือ การพูดติดสำเนียงไม่เป็นปัญหา แต่การดูถูกคนที่พูดติดสำเนียงนั่นแหละเป็นปัญหา 3) ย้อนกลับมาดูวิถีปฏิบัติของประเทศไทยเราเองบ้างก็จะเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมหลายๆ คนถึง "อายแทนประเทศไทย" กับกรณีการพูดภาษาอังกฤษสำเนียงไทยของนายกฯ คนไทยเรายังยึดค่านิยมว่า "สำเนียงกลางเท่านั้นที่ถูกต้อง" อย่างแข็งขัน เราเห็นตลกล้อเลียนภาษาไทยสำเนียงอื่นบ่อยครั้ง และที่แน่ๆ เราจะไม่มีทางได้เห็นพิธีกร ผู้ประกาศข่าว หรือแม้แต่นักแสดงพูดด้วยสำเนียงอื่นนอกจากสำเนียงมาตรฐานเลย (ยกเว้นมุ่งให้เกิดความตลก) น่าสังเกตว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าคนกรุงเทพฯ เอาวิธีวัด "ความถูกต้องทางภาษา" เช่นนี้ไปขยายผลกับ "ความถูกต้อง" ในกรณีอื่นๆ ด้วย 4) ถ้าจะเอาประเด็นเรื่องสำเนียงการพูดไปตัดสินคุณสมบัตินายกฯ ยิ่งไม่สมเหตุสมผลมากขึ้นไปอีกครับ ถ้าใช้ตรรกะเดียวกันแล้ว ประธานาธิบดีหู จิ่น เทา ของจีนสอบตกการเป็นประธานาธิบดี ตั้งแต่อยู่ที่มุ้งเลยครับ เพราะท่านมิได้พูดภาษาอังกฤษแม้แต่คำเดียวในพิธีการที่ต้องเกี่ยวข้องกับต่างชาติ ท่านจะใช้ล่ามตลอด แต่ประธานาธิบดีหู ก็ยังเป็นที่ยอมรับของคนจีนจำนวนมาก แน่นอนว่าการพูดภาษาอังกฤษได้แบบไม่ติดสำเนียงเลยย่อมถือเป็น "โบนัส" แต่จะถือเป็นคุณสมบัติจำเป็นของนายกฯ ไม่ได้ครับ 5) สุดท้ายแล้ว จากมุมมองที่คนต่างประเทศ เขาไม่ได้เห็นว่าสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์พูดไปในการแถลงการณ์ร่วมนั้นเป็นสิ่งที่น่าอับอายของประเทศไทยเลย "ความน่าอับอาย" นั้นเป็นสิ่งที่คนไทย "คิดไปเอง" โดยการเอาค่านิยมของตัวเองเป็นตัวตั้งครับ At Vancouver, Canada, Nov 18, 2011, 5:42 pm (GMT -8:00) ป.ล. ตามไปดูผลการทดสอบได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
http://www.facebook.com/natt.hongdilokkul/posts/312848618725340
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #215 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2554, 23:31:43 » |
|
รู้จักศัพท์ใหม่"ดอยของ" เกิดอะไรขึ้นที่ "ศูนย์พักพิงฯ มธ.?"และ "สงครามแฉ!" ในเว็บบอร์ด วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 16:59:47 น.
กลายเป็นประเด็นทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ ในโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กไปแล้ว สำหรับกรณีที่มีการโต้ตอบกันไปมาของอาสาสมัคร ศูนย์พักพิงช่วยเหลือผู้ประสบภัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ที่มีการพูดถึงการหยิบนำของที่ประชาชนบริจาคมาไปใช้เป็นของตัวเอง โดยเฉพาะพวกเสื้อผ้า สิ่งของ ที่อยู่ภายในศูนย์พักพิงภายหลังจากที่ทางศูนย์ฯมธ. ปิดตัวไปเมื่อปลายเดือนตุลาคมเนื่องจากน้ำได้ท่วมเต็มพื้นที่
ประเด็นดังกล่าวนี้ ถูกเปิดเรื่องมาจากเว็บไซต์พันทิบ โดยผู้ที่ใช้ ID.ชื่อว่า "ของเล่นเศรษฐี" ได้เขียนกระทู้ในห้องศาลาประชาคม ในหัวข้อ " ชีวิตอาสาสมัคร ณ ศูนย์พักพิงผู้ประสบอุทกภัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต (ตอนที่1) " เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีการโพสต์รูปถ่าย และเขียนข้อความการไปใช้ชีวิตเป็นอาสาสมัคร ของเจ้าของกระทู้ รวมถึงการทำงานในจุดต่างๆ ของอาสาสมัครคนอื่นๆ ภายในศูนย์พักพิงฯ มธ. ที่ตัวเขาเองเข้าไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 ต.ค. กระทั่งปิดศูนย์ฯเมื่อ 28 ต.ค. จำนวนหลายสิบภาพ ซึ่งตอนแรกๆ มีสมาชิกเว็บไซต์พันทิบเข้าไปแสดงความเห็นชื่นชม จากนั้นก็มีผู้เข้าไปตอบโต้ถึงการสร้างภาพ ไม่ทำงานของ "ของเล่นเศรษฐี" และเริ่มมีการชี้แจง ตอบโต้กันไปมา
ต่อด้วยมีผู้ใช้ ID. ในชื่อ Beamzter เขียนกระทู้ขึ้นมาเมื่อวันที่ 18 พ.ย. ในหัวข้อ "เรื่องเล่าอีกมุมหนึ่งจากอาสาสมัคร... ถึง พี่เปา,, ฝ่ายประสานงาน,, อาจารย์,, สยามพารากอน" ในห้องโต๊ะข่าว ซึ่งเป็นการบ่นถึงการทำงานในฐานะอาสาสมัคร ซึ่งตัวเขาเองเป็นฝ่ายคลังมธ. และความไม่พอใจในส่วนต่างๆ รวมถึงพาดพิงเนื้อหาส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่ กระทู้ของ "ของเล่นเศรษฐี" ซึ่งมีชื่อเล่นว่า เปา พร้อมทั้งมีการแฉว่า นายเปา หยิบนำของบริจาค จำพวกเสื้อผ้า ของใช้ต่างๆ ขึ้นเรือติดตัวไปเป็นของตัวเอง รวมถึงไม่ทำหน้าที่อาสาสมัครเท่าที่ควรเพราะมัวแต่ถ่ายรูป ซึ่งเนื้อหารายละเอียดยาวมาก พร้อมกับโพสต์รูปถ่ายที่เป็นภาพนายเปายืนหันหลังแล้วรอบตัวมีกล่องใส่สิ่งของ ที่ระบุว่า เป็นของบริจาคเพื่อรอเรือมารับซึ่ง Beamzter เขียนยอมรับว่า ของที่เห็นทั้งหมดไม่ใช่ของนายเปาเพียงคนเดียวแต่เป็นของอาสาสมัครคนอื่นๆที่ฝากให้เฝ้าไว้
ต่อมาวันที่ 20 พ.ย. นายเปา คนที่ถูกกล่าวหา ก็มาขึ้นกระทู้ตอบโต้ Beamzter ในหัวข้อ "จากพี่เปา ถึง ฝ่ายคลัง มธ. ประเด็น "ทำไมอาสาสมัคร มธ. ต้องแยกเสื้อผ้าแบรนด์เนมเก็บใว้ต่างหาก?" โดยเริ่มต้นเขียนว่า " จะเห็นได้ว่า จขกท. ออกมายอมรับว่ามีการ "ดอย" ของบริจาค ...คำว่า "ดอย" หมายถึงการ ขโมยแบบน่ารักๆเงียบๆ ผมได้ยินคำนี้มาจากอาสาสมัครคนนึง บนเวทีอาคาร บร.4 " รวมถึงชี้แจงถึงข้าวของที่ปรากฎในภาพที่ Beamzter นำมาโพสต์ ก่อนหน้านี้ โดย นายเปา ที่ใช้ชื่อID.ของเล่นเศรษฐี ได้ เขียนข้อความว่า ส่วนหนึ่งในกระทู้ว่า
"ทันใดนั้นเอง หลังจากผมส่องไฟไปบนเวทีที่ใช้เก็บเสื้อผ้า ผมได้ยิน อาสา มธ. คนนึงตะโกนด้วยความดีใจว่า ... "เจอแล้ว กล่องเสื้อผ้า Dapper!!!" ผมก็มองๆไปเรื่อยๆ จากนั้นก็เห็นเค้ารื้อของออกมาเช็คว่าในนั้นมีอะไรบ้าง และ ...
เหมือนเค้ากำลังจะเอาไป ไม่ทันขาดคำ ก็มีคนอื่นๆไปช่วยรื้อ พร้อมกับเรียกผมเข้าไปส่องไฟ เพื่อช่วยดูขนาดเสื้อผ้าที่ตัวเองจะเลือก
ผมก็เข้าไป จากนั้นคำว่า "ดอย" ก็เรื่อยได้ยืนบ่อยขึ้นเรื่อยๆ "ดอยของ", "เรามาขึ้นดอย" และอื่นๆ เป็นระยะ (รวมถึงตัวผมเอง ถึงตอนนั้นก็ต้องพูดคำว่า "ดอย" ไปด้วยเช่นกัน เพราะคนส่วนใหญ่ทำกัน "ทั้งวัน" ไม่ว่าจะเสื้อ รองเท้า หมวก กระเป๋า ฯลฯ) หลังจากนั้นทุกคน "เกิน10คน" จะมีกระเป๋าที่ไป "ดอย" มาเป็นของตัวเองใว้ใส่เสื้อผ้าและของต่างๆ บางคนก็มีหมวกใส่กันแดดบนหัว (อันนี้ผมไม่ว่าอะไร ถือว่า "ดอย" มาแล้วยังได้ใช้ประโยชน์ทันที)
ส่วนผมยอมรับว่าเดินหา กระเป๋า ใส่ของนานอยู่เหมือนกัน ก็ประกฏว่าไม่เจอกระเป๋าเหลือแล้วเพราะ อาสา มธ. "ดอย" ไปหมดแล้ว
ผมก็เอาประเป๋าผ้าใบลายม้าลายขาวดำ ตามรูป ... ใส่ของที่ผม "ดอย" มาเหมือน อาสา มธ. คนอื่นๆ ลงในกระเป๋า
ปรากฏว่า เพื่อนผมหลายคน ที่ไปก็เอาของมาฝากเช่นกัน กระเป๋ามันเลยดูใหญ่กว่า อาสา มธ. คนอื่นๆ"
โดยท้ายกระทู้นายเปาได้ลงชื่อเต็มของตัวเอง ระบุว่า ขอบคุณทุกคนที่รับฟังครับ นิพิฐพนธ์ พิชัยเดชพงศ์ (ม.มหิดล) "
ซึ่งประเด็นนี้ส่งผลให้ในเว็บไซต์ ดราม่า สำนักข่าวที่เสือกสาระแนแม่ยิ้มที่สุดในประเทศไทย www.drama-addict.com นำประเด็นดังกล่าวที่มีการตอบโต้กันไปมา ขึ้นพาดหัวเลียนแบบคล้ายหนังสือพิมพ์ว่า "ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันลักประชาชน" พร้อมกับมีการนำกระทู้จากทั้งของ "ของเล่นเศรษฐี" และ " Beamzter " มาแตกประเด็น และแสดงความคิดเห็นเป็นช็อตๆ ซึ่งมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมายทั้งจากเว็บไซต์เองและจากในเฟซบุ๊ก Drama-addict ต่อมาก็มีผู้ที่ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า Waw Daw ที่อ้างตนเป็น หัวหน้าฝ่ายคลัง มธ. มาชี้แจงประเด็นที่มีการตั้งคำถามกับอาสาสมัครของมธ. เรื่องของบริจาคด้วย ประเด็นดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นเรื่องเป็นราวอย่างมากในเว็บบอร์ดต่างๆของสังคมโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. วันที่ 21 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์ จึงได้โทรศัพท์สอบถามข้อเท็จจริงกับ ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ผู้อำนวยการศูนย์พักพิงผู้ประสบอุทกภัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งก็ได้รับคำชี้แจงว่า โดยหลักการแล้ว ศูนย์พักพิงฯมธ. นั้น อนุญาตให้อาสาสมัครช่วยงาน สามารถนำเสื้อผ้า ที่ได้รับการบริจาคจากประชาชนไปใส่ได้ชั่คราว เนื่องจากอาสาสมัครหลายๆคนไม่ได้กลับบ้าน และบางคนก็บ้านถูกน้ำท่วม รวมถึงต้องมาช่วยงานทุกวัน ซึ่งเมื่อมีการนำไปใช้แล้ว ก็ให้มีการซักแล้วนำไปบริจาคต่อ ให้กับประชาชนที่เดือดร้อนขาดแคลนต่อก้เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาลักหรือดอยตามที่มีการกล่าวหากันอย่างใด
ส่วนเรื่องที่มีการโต้ตอบกันไปมา เรื่องการลักของบริจาคภายในศูนย์ฯ บนเว็บบอร์ดของ เว็บไซต์พันทิบ นั้น ผู้อำนวยการศูนย์พักพิงฯมธ. กล่าวว่า ตนเพิ่งทราบเรื่องเมื่อเช้า และก็ได้ทำการหาเบอร์โทรศัพท์ไปพูดคุยกับทั้ง นายเปา ที่ใช้ชื่อ"ของเล่นเศรษฐี" กับ "Beamzter" ฝ่ายคลังมธ.ที่มาตอบโต้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสรุปได้ว่า ทั้งสองเข้าใจสื่อสารกันคลาดเคลื่อน ไม่เคยมีการพูดคุยกันซึ่งๆหน้า มีแต่ตอบโต้กันทางเว็บบอร์ดเท่านั้น โดยทั้ง 2 ฝ่าย ได้ขอโทษในเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมยอมรับกับตนว่า รู้สึกไม่สบายใจ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของคนที่ไปโพสต์วิจารณ์ตอบโต้กันไปมาเท่านั้น ด้านนายเปาก็ยอมรับว่า เขาได้นำเสื้อผ้าที่ได้รับการบริจาคมาไปใส่จริง แต่เพื่อการทำงาน เพราะเขามาช่วยงานทุกวันไม่ได้กลับบ้านเลย ส่วนข้าวของอื่นๆที่ปรากฎในรูปถ่ายที่มีนายเปายืนอยู่นั้นก็ระบุไม่ได้ว่า เป็นของที่นายเปาเอาไปทั้งหมด เพราะบางส่วนอาจเป็นของเจ้าตัวจริงๆและบางส่วนก็เป็นของอาสาสมัครคนอื่นๆ ดร.ปริญญากล่าวต่อว่า ในเรื่องที่นายเปามีการตอบโต้ว่า นักศึกษามธ.ที่เป็นอาสาสมัครก็มีการคัดเอาเสื้อผ้ายี่ห้อดังๆไปใช้นั้น ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับ อาสาสมัครบางคนเห็นของมียี่ห้อสวยงามก็อยากจะเอาไปใช้บ้าง แต่นั่นเป็นเพียงคนส่วนเล็กน้อย ซึ่งตามที่ตกลงเมื่อทุกคนได้กลับไปบ้านแล้วต้องนำเสื้อผ้าไปบริจาคต่อ ทั้งนี้ จากการสอบถามกับนักศึกษาฝ่ายคลังก็ได้รับการชี้แจงว่า มีการแยกพวกเสื้อผ้าแบรนด์เนมเอาไว้ต่างหาก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซึ่งอาจจะมีการปะปนรวมๆ กันอยู่บ้าง และจะมีการนำไปบริจาคต่อ ซึ่งต้องยอมรับว่า พวกเสื้อผ้าเป็นของบริจาคที่มีมากที่สุดในศูนย์ฯมธ. และขณะนี้ก็ยังไปบริจาคไม่หมด เพราะเยอะมากและคัดแยกลำบาก ทั้งๆที่เราพยายามกระจายสิ่งของออกตลอด ส่วนข้าวของเครื่องใช้อื่นๆได้กระจายไปยังศูนย์ต่างๆ เรียบร้อยแล้ว และเมื่อเสื้อผ้าไปบริจาคไม่หมด จากนี้ไปเมื่อน้ำลดทางมหาวิทยาลัยก็จะนำไปแจกจ่ายให้ประชาชนผู้ประสบภัยหนาวต่อไป
ขณะที่ กรณีกล่องเสื้อผ้า ยี่ห้อ Dapper ที่มีปัญหา ถูกระบุว่า อาสาสมัครมธ.มีการคัดเก็บไว้เป็นของตนเองนั้น ผู้อำนวยการศูนย์พักพิงฯมธ. ก็ชี้แจงว่า ในส่วนนี้จากการสอบถามนักศึกษาก็ได้รับข้อมูลว่า ได้รับบริจาคมาที่หลัง หลังจากศูนย์พักพิงใน ยิมเนเซี่ยม 1 ของมธ.เต็ม ฝ่ายคลังเขาก็ได้ ขนเอาไปเก็บที่ บร.4 และเมื่อ มธ.ปิดศูนย์ฯ ไปแล้ว ต่อมาก็มีการนำไปไว้ที่ศูนย์รับบริจาค ห้างสรรพสินค้า สยามพารากอน ทั้งหมดแล้ว
"เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการสื่อสารที่ไม่เข้าใจของคนทั้ง 2 ฝ่าย เอง ที่อาจมีเรื่องบาดหมางใจกันมาก่อน ไม่ชอบใจกัน จึงวิจารณ์ตอบโต้กันไปมา เป็นธรรมชาติของคนในเว็บบอร์ดที่ต้องขัดแย้ง เขียนข้อมูลฝ่ายเดียว สุดท้ายแล้ว นายเปาเองเขาก็ยอมรับว่าตัวเขาเองเข้าใจข้อมูลคลาดเคลื่อน จึงได้เขียนกระทู้ตอบโต้รุนแรง และไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด เพียงแต่คิดและเข้าใจไปเอง รวมทั้งยอมรับว่าเอาเสื้อผ้าไปใส่จริง แต่จากนี้เขาก็จะนำไปบริจาคต่อ ส่วนที่ว่าอาสาสมัครคัดเอาเสื้อผ้าแบรนด์เนมหรือเสื้อผ้าดีๆไปใส่ก็มีบ้าง แต่น้อยมาก อาจมีการหยิบเอาของที่ชอบไปใช้แต่ยืนยันไม่ใช่การลักอย่างแน่นอน คำว่าลัก หรือดอย ไม่ว่าคำไหนก็เป็นคำที่รุนแรงทั้งนั้น แต่พวกเขาไม่ได้เอามาเป็นสมบัติของตัวเอง เพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายเราก็ได้บอกแล้วว่า เมื่อนำไปใช้ให้ซักคืนแล้วนำไปบริจาคต่อ เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กไม่ควรจะทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นแค่เรื่องของคนบางคน ดังนั้นเราจึงขอย้ำว่า เสื้อผ้าที่อยู่ในศูนย์ฯเราอนุญาตให้อาสาสมัครนำไปใส่ได้และค่อยนำไปบริจาคต่อ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ ได้เคลียร์กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีอะไรแต่อย่างใด เรื่องนี้ไม่มีอะไรแล้ว " ดร.ปริญญา ทิ้งท้าย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1321869129&grpid=01&catid=02&subcatid=0202
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #216 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2554, 23:43:33 » |
|
จัดโผผู้ว่าฯ 16 จังหวัด จับตาอำนาจพิเศษล้วงลูก ? วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 12:24:20 น.
นายยุงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการเสนอรายชื่อผู้ที่คาดว่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด (ผวจ.) ที่ว่างอยู่อีก 16 ตำแหน่ง ว่าจะยังไม่มีการเสนอรายชื่อในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ เพราะยังอยู่ระหว่างการพิจารณารายชื่อบุคคลที่มีความเหมาะสม และคาดว่าจะสามารถเสนอรายชื่อได้ในการประชุม ครม. ในวันที่ 27 ธันวาคม รายงานแจ้งว่า การเสนอรายชื่อแต่งตั้ง ผวจ. เข้าสู่ที่ประชุม ครม. ที่ต้องเลื่อนออกไปนั้นทั้งที่กระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาคัดเลือกรายชื่อครบ 16 ตำแหน่ง ตามตำแหน่งที่ว่างแล้ว เนื่องจากได้มีการส่งรายชื่อไปยังนายชานนท์ สุวสิน และ นายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช คนใกล้ชิด พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อตรวจสอบรายละเอียดและเป็นการลดข้อครหาที่เคยเกิดขึ้นว่า นายยงยุทธไม่ปฎิบัติตามคำของของ สส.ในพรรคเพื่อไทย เชื่อว่า กรณีนี้จะสามารถขจัดความขัดแย้งในพรรคเพื่อไทยได้ ล่าสุด มีบทวิเคราะห์ เรื่อง "จัดโผผู้ว่าฯ" เขียนโดย สิงห์แดง น้ำเงิน อยู่ใน มติชน หน้า 6 การแต่งตั้งผู้ว่าฯในปีนี้ ล่าช้ากว่ากำหนด อาจเป็นเพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาล และผู้มีอำนาจกำลังสาละวนอยู่กับการแก้ปัญหาอุทกภัย ตำแหน่งผู้ว่าฯว่างอยู่ 16 จังหวัด ผู้ตรวจกระทรวงอีก 3 ตำแหน่ง รวม 19 ตำแหน่ง รองผู้ว่าฯ รองอธิบดี ที่เข้าหลักเกณฑ์และมีสิทธิสอบคัดเลือกประเมินผล ส่วนใหญ่ดำรงตำแหน่งมาแล้ว ตั้งแต่ 3-7 ปี เหลือเวลาราชการมากกว่า 1 ปี ทั้งหมด 73 คน คนที่ได้รับการแต่งตั้ง ความรู้ความสามารถคงแตกต่างกันไม่มากนัก แต่ที่สำคัญมากคือพวกใคร เส้นใครมากกว่า ข่าวว่ามีการแบ่งโควตา ออกเป็น 5 กลุ่มคือ โควตากลาง โควตาภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ เริ่มที่โควตากลาง จะเป็นรองอธิบดี มีด้วยกัน 4 คน คือ บุญส่ง เตชะมณีสถิตย์ รองอธิบดีกรมการปกครอง เคยเป็นผู้ว่าฯมุกดาหารมาก่อน โดนพิษเผาศาลากลางจังหวัด ต้องเข้ามาเป็น รองอธิบดี ได้แรงหนุนจากหมอสุชัย เจริญรัตนกุล คงได้ออกไปเป็นผู้ว่าฯอีกครั้ง บุญเชิด คิดเห็น รองอธิบดีกรมที่ดิน ศิษย์รักรองนายกฯ เฉลิม อยู่บำรุง และ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ มีความกล้าในการบริหารจัดที่ดิน จะได้เป็นผู้ว่าฯตั้งแต่ท่านเฉลิมเป็น มท.1 แต่พลาดไปเพราะเปลี่ยน มท.1 เสียก่อน เที่ยวนี้ได้แน่ 100% และได้ไปอยู่ในจังหวัดที่ดินราคาแพงคือ ภูเก็ต ฉัตรป้อง ฉัตรภูติ รองอธิบดีกรมป้องกันสาธารณภัย แสดงฝีมือเป็นที่ประจักษ์เมื่อครั้งเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ รับผิดชอบการจัดซื้อสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั้งหมด จนเป็นที่พอใจของนาย มณฑล สุดประเสริฐ รองอธิบดีกรมโยธาและผังเมือง มีความสามารถในการประสานประโยชน์ จัดการสร้างเขื่อนกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง เที่ยวนี้โผมีแน่ แต่กล้าตั้งหรือไม่ ไม่แน่ใจ เนื่องจากเป็นรองอธิบดีแค่สองปี วีระวัฒน์ ชื่นวาริน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สายภูมิใจไทย คนมหาดไทยส่วนใหญ่ คิดว่า จะโดนแป้ก แต่ด้วยฝีมือจัดสรรงบประมาณท้องถิ่น ประสานผลประโยชน์ทุกฝ่ายลงตัว กลับได้ดีในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โควตาภาคเหนือ เป็นถิ่นของพรรคเพื่อไทย ที่ทุกคนเฝ้าจับตามองกันว่าน่าจะได้มากถึง 5 คน ก็เป็นไปตามคาด ไล่เรียงมาจากเหนือสุด แม่ฮ่องสอน มีรองผู้ว่าฯ 2 คน ทวีศักดิ์ วัฒนธรรม อาวุโสมาก คนเสื้อแดงภาคเหนือให้การสนับสนุน ส่วน ธานินทร์ สุภาแสน อาวุโสน้อยกว่า แต่เป็นเพื่อนเจ๊แดง เลยต้องดึงเข้าป้ายทั้งสองคน นฤมล ปาลวัฒน์ รองผู้ว่าฯเชียงใหม่ เจ้าแม่เชียงใหม่ชอบและยอมรับในฝีมือ ครั้งนี้นอนมาม้วนเดียวจบ วุฒิสิทธิ สุราษฎร์ รองผู้ว่าฯตาก เป็นรองผู้ว่าฯ 7 ปีแล้ว อาวุโสทำงานดีฝีมือเด็ดขาด รอบจัดในทุกด้าน จะได้เป็นผู้ว่าฯตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่เนื่องจากเคยขัดแย้งกับท่านรองนายกฯสุเทพ เลยไม่ได้เป็น ครั้งนี้ โดยการอุ้มชูของ ก่อแก้ว พิกุลทอง ขึ้นผู้ว่าฯตากอย่างสบายๆ คณิต เอี่ยมระหงษ์ รองผู้ว่าฯอุตรดิตถ์ ด้วยการผลักดัน รมต.สำนักนายกฯ กฤษณา สีหลักษณ์ และ ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ส.ส.อุตรดิตถ์ ขึ้นเป็นผู้ว่าฯอุตรดิตถ์ โควตาภาคอีสาน ได้ส่วนแบ่งเพียง 3 คน วิเชียร จันทรโณทัย รองผู้ว่าฯสุรินทร์ ขณะนี้ช่วยราชการอยู่กับ อารี ไกรนรา เลขาฯ มท.1 รับผิดชอบจัดการการเงินหลายเรื่อง แต่ที่กล่าวขานคือการจัดมวยการกุศลในรามฯ เที่ยวนี้ได้ไปเป็นผู้ว่าฯสุรินทร์ สุรพล แสวงศักดิ์ รองผู้ว่าฯหนองคาย ในสมัยเนวินคุมมหาดไทย เข้ามาเป็นที่ปรึกษาด้านการปกครอง 10 เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล ทุกคนคิดว่าจะตกกระป๋อง ไม่รู้ไปทำเอาท่าไหน มีโทร.นอกประเทศ ขอให้เป็นผู้ว่าฯ อนุกูล ตังคณานุกูลชัย รองผู้ว่าฯขอนแก่น เติบโตมาทางสาย บุรีรัมย์ ครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนที่เป็นลูกเขยซีพี วัฒนา เมืองสุข ได้เป็นผู้ว่าฯ โควตาภาคกลาง ได้ 3 ตำแหน่ง นิมิต จันทร์วิมล รองผู้ว่าฯนครปฐม ขึ้นเป็นผู้ว่าฯนครปฐม ตามข้อเสนอของเจ้าถิ่น ถือว่าโชคดีมาก เพราะเป็นจังหวัดใหญ่ ชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณะ รองผู้ว่าฯกาญจนบุรี ได้เป็นผู้ว่าฯกาญจนบุรี เนื่องจากเลือกตั้งที่ผ่านมา ผู้ว่าฯ ณฐพลษ์ วิเชียรเพริศ ช่วยเหลืออยู่ข้าง สันทัด จีนาภักดิ์ แห่งพรรคภูมิใจไทย ส่วนรองชัยวัฒน์ ช่วยเหลือ พล.ต.ศรชัย มนตริวัต แห่งพรรคเพื่อไทย หลังศรชัยชนะ เลือกตั้ง...ผู้ว่าฯก็ต้องไปเป็นผู้ตรวจกระทรวง ส่วนรองผู้ว่าฯรับรางวัล ขึ้นเป็นผู้ว่าฯแทน อภินันท์ จันทรังษี รองผู้ว่าฯประจวบ ได้รับแรงสนับสนุนจากพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงปฏิเสธไม่ได้ โควตาภาคใต้ 3 ตำแหน่ง ดูไบมอบให้ วันมูหะมัดนอร์ มะทา สรรหา ยุติได้ว่า เหนือชาย จิระอภิรักษ์ รองผู้ว่าฯสตูลขึ้นมาเป็นผู้ว่าฯสตูลแทน ด้วยแรงหนุน ของ ภูมิธรรม เวชยชัย ประมุข ละมุล รองเลขาฯ ศอ.บต. หลายฝ่ายให้การสนับสนุน แต่ที่แน่ๆ ด้วยข้อเสนอของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ผอ.ศอ.บต. จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผ่านขึ้นเป็นผู้ว่าฯยะลา ลอยลำ วิทยา พานิชพงศ์ รองผู้ว่าฯยะลา เป็นคนดีอาวุโสมาก รมต. วันนอร์ และทหารในพื้นที่ให้การสนับสนุน ก่อนหน้านี้ ในที่ประชุมพรรค ส.ส.ได้ซักถาม มท.1 ว่าทำไมปล่อยให้ ธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล ผู้ว่าฯสุราษฎร์ฯ, ตรี อัครเดชา ผู้ว่าฯภูเก็ต, ระพี ผ่องบุพกิจ ฯลฯ คนของพรรคประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย ยังลอยนวล ไม่ย้ายไปเป็นผู้ตรวจกระทรวง คำตอบ คือ รู้มั้ยว่าเป็น คำสั่งของใคร การแต่งตั้งในครั้งนี้ ผู้ว่าฯดังกล่าวต้องหนาวๆ ร้อนๆ อีกครั้ง หลังจากมติ ครม.แต่งตั้ง ผวจ.ออกมา ก็ลองตรวจสอบว่า ตรงกับโผที่เล็ดลอดมานี้หรือไม่ ถ้าตรงกัน ทำให้เห็นว่าในยุคเจ้าคุณ น.หนู คุมกระทรวงมหาดไทย ถูกกล่าวหาว่า การแต่งตั้ง เล่นพรรคเล่นพวก ทำให้กระทรวงตกต่ำที่สุด ครั้งนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าพอๆ กัน หากการแต่งตั้งเปลี่ยนแปลงไปจากนี้หลายคน แสดงว่ามีอำนาจพิเศษ มากดดันให้ปลัดมหาดไทย และ มท.1 แข็งข้อ ให้คอยติดตามดู ว่าอะไรจะเกิดขึ้น !
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1324271439&grpid=01&catid=&subcatid=
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #217 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2554, 23:54:46 » |
|
"ดร.ไชยันต์ ไชยพร" วิเคราะห์แผนพ้นคุกของ "ทักษิณ" นับถอยหลัง 10 ปี ประชาธิปัตย์ฟื้นชีพ บนกระดานการเมืองปี 2554 ครบเครื่อง ถึงพริกถึงขิง
กลับด้าน เปลี่ยนหัว เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี
โครงสร้างอำนาจถูกปรับ จัดแถวใหม่
มีตัวแปรการเมือง สมมติฐานหลายปัจจัยที่จะส่งผลต่อกระดานการเมืองในปี 2555
วาระ "ทักษิณ" ยังเป็นแกนกลางของสังคมการเมือง
"ดร.ไชยันต์ ไชยพร" นักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์โฉมหน้าการเมืองปีหน้า
เผ็ดร้อนทั้งเรื่องทักษิณและพวก-การฟื้นชีพของพรรคประชาธิปัตย์ และอำนาจของฝ่ายกองทัพ
- กระดานการเมืองปี 2555 มีทั้งมิติพรรคการเมือง มิติทักษิณ มิติปรองดอง การกลับมาของ 111 จะเป็นอย่างไร
ถ้าพูดถึงการเมืองปีหน้า โดยที่ยังไม่พูดถึง factor (ปัจจัย) เรื่องคุณทักษิณ ชินวัตร ก็หมายความว่าพรรคเพื่อไทยมีคะแนนเสียง 265 รวมกับพรรคร่วมรัฐบาลเป็น 300 เสียง บวกกับสถานการณ์และความนิยมของประชาชน ยังไง ๆ ก็ควรจะต้องอยู่ถึง 4 ปี แต่ปัญหาของพรรคเพื่อไทยที่เราเห็นชัดมากตั้งแต่ช่วงน้ำท่วม คือปัญหาเกิดจากภาวะผู้นำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร นายกรัฐมนตรี) เอง พรรคร่วมรัฐบาลยังไงเขาก็ไม่อยากให้ยุบสภา หากจะมีการปรับเปลี่ยนอะไร ก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี
แต่เมื่อในความเป็นจริง หากนำ factor คุณทักษิณเข้ามา เมื่อเปลี่ยนตัวนายกฯ ต่อให้เอาใครก็ได้ในพรรค เพื่อไทยมาเป็นนายกฯ ไม่ว่าจะเป็น คุณเฉลิม (อยู่บำรุง รองนายกฯ) คุณประชา (พรหมนอก รมว.ยุติธรรม) หรือคุณยงยุทธ (วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย) คุณทักษิณก็ คงยอมไม่ได้ เพราะเขาเคยให้คุณสมัคร (สุนทรเวช) มาเป็นนอมินีเขา แต่เมื่อถึงเวลาเมื่อคุณสมัครไม่สามารถทำในสิ่งที่คุณทักษิณต้องการโดยเร็วได้ ทำให้หลังจากคุณสมัครพ้นตำแหน่ง เขาก็ไม่เลือกคุณสมัคร กลับเลือกคนที่ใกล้ตัวเข้ามาอีกคือ คุณสมชาย (วงศ์สวัสดิ์) เขาก็เลือกคนที่ใกล้ตัวที่สุด ต้องเป็นคนที่เขาไว้ใจและคุมได้
ต่อให้ 3 คนนี้เก่งแค่ไหน แต่อำนาจการคุมและตัดสินใจไม่มี เพราะ ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยทุกคนเห็นแล้วว่า คุณเฉลิม คุณประชา คุณยงยุทธ เป็นแค่นอมินี ต่อให้เก่งแค่ไหนเขาก็ไม่สนใจ พวกนี้เขาจะวิ่งตรงเข้าหาคุณทักษิณ ทำให้ในช่วง ม.ค.-พ.ค.นี้ หากเปลี่ยนตัวนายกฯก็ยังมีปัญหาอยู่
ดังนั้นสิ่งที่เร็วที่สุดคือทำอย่างไร ให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ออกมาก่อนที่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะพ้นจากการถูก เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน เช่น ถ้า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกมาปุ๊บ แล้วยุบสภาทันที เพื่อดูว่าประชาชนจะเอาเขาไหม และ ยังทำลายแรงต้านของการชุมนุมด้วย อย่างนี้ถือว่าสวย เพราะเมื่อนิรโทษกรรมได้แล้วก็หมายความว่า คุณทักษิณก็เล่นการเมืองได้ แล้วบ้านเลขที่ 111 ก็เล่นการเมืองได้อยู่แล้ว ทำให้คนที่จะมาเป็นนายกฯก็คือ คุณทักษิณ นี่คือสูตรที่ สวยที่สุด ที่คุณทักษิณคิดว่าควรจะเป็น แล้วมีสมาชิกบ้านเลขที่ 111 เป็นรัฐมนตรี มันคือพรรคไทยรักไทยเก่า คนที่เชียร์คุณทักษิณก็จะแฮบปี้มากเลย ว่านี่มันคือสุดยอดเลย เพราะยอดฝีมือแต่ละคนไม่ต้องพูดถึง ประเทศไทยหลังจากนี้คงดีแน่เลย นี่คือสูตรที่คุณทักษิณอยากให้เป็นมากที่สุด
แต่ปัญหาคือหาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกบังคับใช้ไม่ได้ แล้วไม่มีการยุบสภา เมื่อบ้านเลขที่ 111 ที่ช่วยพรรคมาตลอดพ้นโทษออกมา แล้วได้เป็นเพียงแค่รัฐมนตรี หรือรองนายกฯ ผมว่านี่เป็นปัญหามากเลย เพราะคนที่อยู่ ในบ้านเลขที่ 111 ซึ่งไม่ใช่มือระดับ พระกาฬ เขายินดีเป็นรัฐมนตรี รองนายกฯ ภายใต้คุณยิ่งลักษณ์ ภายใต้คุณเฉลิม คุณประชา แต่คงไม่ใช่คุณหญิงสุดารัตน์ คุณจาตุรนต์ ฉายแสง ไม่ใช่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คนเหล่านี้ไม่ ยอมเป็นแค่รัฐมนตรีธรรมดา แต่ถ้าเป็น ก็ต้องเป็นรัฐมนตรีให้คุณทักษิณคนเดียวเท่านั้น
เป็นปัญหาของคุณทักษิณ ที่จะทำอย่างไรให้การปรับ ครม. ช่วงหลังเดือน พ.ค.2555 เมื่อสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กลับมา จะปรับให้มันลงตัว หล่อเลี้ยงให้คน 111 ยังอยู่พรรคเพื่อไทย ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันยากมากเลย
เพราะขณะนี้คนในพรรคเพื่อไทยถือว่าเป็นรุ่นที่ 3 ต่อจากพวก 111 และพวก 109 ซึ่งคนรุ่นที่ 3 ของพรรค เพื่อไทย เขาก็ถือว่าเขา fight (ต่อสู้) มาขนาดนี้ ผมจึงยังมองไม่ออกว่า คุณทักษิณจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
- แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่า พ.ร.บ. นิรโทษกรรม การถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ และพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เมื่อมีการแตะชื่อของคุณทักษิณ มักจะถูกอีกฝ่ายหนึ่งมาต่อต้าน
ถ้าเป็นพระราชกฤษฎีกาก็จะมีปัญหา เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ แล้วเขาพยายามลักไก่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องพระราชทานอภัยโทษทุกปี แต่เรื่องนี้ออกโดยรัฐมนตรีมันไม่ควร อาจมีคนต่อต้าน ได้ แต่ถ้าออกโดยกระบวนการรัฐสภา ซึ่งมีความชอบธรรมมากที่จะออก พ.ร.บ. นิรโทษกรรม แล้วมันก็สอดคล้องกับแนวคิดกระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน
ฉะนั้นการนิรโทษกรรมก็คือ นิรโทษกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย ผมคิดว่ากระแสสังคมก็ต้องคิดว่าเรื่องอาจจะจบ กระแสที่ไม่เอาเหลือง ไม่เอาแดง ก็อาจจะบอกว่าจบสักทีดีกว่า
แล้วเรื่องในอนาคตที่สำคัญอีกประการคือ เรื่อง 91 ศพ หากตัดสินแล้วมีปัญหา ไม่ถูกใจตามที่พี่น้อง เสื้อแดงคาดหวังเรื่องนี้ก็จะถูกจับ มาเชื่อมโยงกับเรื่องอากง ก็จะโยงเป็น ภาพรวมเดียวกันทั้งหมดว่านี่คือผลพวงของระบอบอำมาตย์ เมื่อศาลตัดสิน เรื่อง 91 ศพ ไม่ถูกใจ รวมถึงอากง เรื่องฎีกามันก็จะเป็นปัญหาพรรค เพื่อไทยเขาไม่ได้แฮบปี้กับตรงนี้เลย เรื่องคดีอากงเขาไม่อยากยุ่ง เรื่อง 91 ศพ หากตัดสินไม่ดี เขาก็ไม่สนใจ เพราะรัฐบาลอยากอยู่ในอำนาจนาน ๆ แต่คนที่จะออกมาคือพี่น้องเสื้อแดง เพื่อเรียกร้องคดี 91 ศพ คราวนี้พี่น้องเสื้อแดงก็จะตั้งคำถามรัฐบาลพรรค เพื่อไทยว่า จะเกี้ยเซียะกับอำมาตย์เพื่ออยู่ในอำนาจ หรือทำเพื่อมวลชนเสื้อแดง
- มวลชนเสื้อแดงก็จะกลายเป็นก้าง ตำคอรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ก็เป็นหอกข้างแคร่ทันที คราวนี้ก็ยืนดูเขาตีกันจริง ๆ
- ความรุนแรงจะเกิดขึ้นเหมือนก่อนหน้านี้หรือไม่
โอ้โห...ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันนะ การที่มวลชนเสื้อแดงมีปัญหากับพรรคเพื่อไทย ก็จะซ้ำรอยกับกลุ่มพันธมิตรฯที่มีปัญหากับพรรคประชาธิปัตย์ มันเป็นอย่างนี้ตลอด ผมเห็นชัดยังไงก็มีความขัดแย้ง 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากรัฐบาลเป็นฝ่ายปฏิบัติงาน แต่มวลชนขับเคลื่อนโดยขบวนการ เมื่อคุณเป็นรัฐบาลก็ต้องประสานประโยชน์ ประนีประนอมที่จะอยู่ ผมคิดว่าทำตามอุดมการณ์ อุดมคติ ไม่ได้หรอก
แต่ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าคุณ ยิ่งลักษณ์สลัดคุณทักษิณทิ้ง แล้วเป็นผู้นำขึ้นมาจริง ๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แต่ผมไม่แน่ใจ เพราะพอถึงจุดจุดหนึ่ง คุณก็รู้ว่าอำนาจอยู่ในมือ ใคร ๆ ก็รักคุณ พี่น้องเสื้อแดงก็รักคุณ อำนาจอยู่ในมือแล้ว แม้จะดูอ่อนแอ กตัญญูพี่ชาย แต่ถึงเวลาคุณแข็งเพื่อเอาประเทศก่อน เวลานั้นบ้านเลขที่ 111 ก็ต้องพึ่งคุณ เพราะประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยเพราะคุณยิ่งลักษณ์ และคุณทักษิณ แต่พอถึงคราวนี้คุณยิ่งลักษณ์เป็นตัวของตัวเอง บอกว่าเรื่องพี่ชายให้พักไว้ก่อน แล้วหันมาคุมบ้านเลขที่ 111 ได้ ผมคิดว่าก็เป็นอีกสูตรหนึ่งที่เป็นทางออก แต่ถ้าบอกเป็นไปได้มันก็ยาก แต่ในประวัติศาสตร์บางครั้งคนที่ดูอ่อนแอที่สุด มันก็สร้างปาฏิหาริย์ได้เหมือนกัน แต่ถ้าทำไม่ได้ บ้านเมืองก็จะยุ่ง
- เป็นไปได้หรือไม่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะก้าวข้ามปัญหา พ.ต.ท.ทักษิณ
งานนี้สนุก ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ทำแบบนี้ได้ มวลชนก็จะปวดหัวเลย สมมติว่าคุณทักษิณให้คนบ้านเลขที่ 111 เป็นนายกฯ แต่ยังคุมได้ทุกอย่าง แล้วยังสามารถ พาประเทศเดินหน้าไปได้ ประชาชน จะต้องการคุณทักษิณไปอีกทำไม ประชาชนส่วนหนึ่งอาจบอกว่า พ.ต.ท. ทักษิณกลับมาแล้วยุ่ง อย่ากลับเลย
- สมมติฐานที่นายกฯจะตัดสินใจชิงลาออกก่อนเวลาเป็นไปหรือไม่
ถ้าลาออกก็หมายความว่า ต้องมีคนที่ขึ้นมาแทน ซึ่งจะเป็นใคร คุณยงยุทธตัดทิ้งได้เลย อ่อนกว่าคุณยิ่งลักษณ์อีก คนบ้านเลขที่ 111 ไม่เอาคุณเฉลิม เพราะเขาถือว่ามาตีกิน ชุบมือเปิบ คุณประชาก็ไม่ได้อีก เพราะไม่ใช่ ไทยรักไทยแท้
ฉะนั้นเรื่องของเรื่องมันจึงอยู่ที่ตัวคุณยิ่งลักษณ์ และหากคุณทักษิณลดอัตตาตัวเองได้ พอถึงเดือนพฤษภาคม 2555 บ้านเลขที่ 111 ออกมาแล้ว และบอกให้น้องปู (น.ส.ยิ่งลักษณ์) ยุบสภาซะ เพราะที่ผ่านมาบริหารงานง่อนแง่น เมื่อถึงเวลาก็ยุบสภา ปล่อยให้บ้านเลขที่ 111 เข้ามา โดยคุณทักษิณสั่งการในพรรค คนก็ต้องวิ่งเข้าหาแก
- ทางแก้คือให้คุณทักษิณกลับมาเป็นนายกฯเสียเอง แล้วจัดการใหม่ทั้งหมด
นี่คือสูตรที่คุณทักษิณคิด และคุณ ยิ่งลักษณ์ก็คิด เป็นสูตรที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายในสายพรรคไทยรักไทย และพรรคเพื่อไทย เพราะต้องยอม กันว่าหากคุณทักษิณกลับมาแล้วก็ จะ select (เลือก) ว่าเอา 111 คนไหนมาวางตำแหน่งนี้ แล้วคนที่ไม่ใช่ 111 แต่ทำงานดีก็เอามา คราวนี้ก็จะแน่นปึ้กเลย
- แต่คุณทักษิณจะกลับมาด้วยเงื่อนไข พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีแรงต้านหรือแรงเสียดทาน เลยหรือ
ก็คือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทุกฝ่าย เท่ากับล้างหมดเลย เหมือนที่กลุ่ม นิติราษฎร์เสนอ ก็นำมาเขียนเป็นกฎหมาย เป็น พ.ร.บ. แล้วล้างให้หมดเลย เพราะแดง เหลืองมีไม่เยอะ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้เป็นแดงและเหลือง ฉะนั้นดูแล้วพวกคนกลาง ๆ น่าจะเอา แล้วก่อนที่จะนำ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เข้าสภา น่าจะประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับประชาชนว่ามันจะเป็นทางออกของประเทศ และขึ้นอยู่กับคนที่อาจจะ เบื่อความขัดแย้งที่ผ่านมามากแล้ว อยากให้มันจบ ๆ ไป
- มองปรากฏการณ์ในพรรคประชาธิปัตย์อย่างไร
การปรับเปลี่ยนในพรรคประชาธิปัตย์มันเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเมื่อถึงเวลา หลังจากคุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ) นำพรรคล้มเหลวในการเลือกตั้ง ก็ต้องเลือกเลขาธิการชุดใหม่เข้ามาทำ แต่ก็สู้กระแสของพรรคเพื่อไทยไม่ได้ เพราะสามารถเอาคำว่าประชาธิปไตยมาอยู่ฝั่งเขาได้ เวลานี้มันเป็นการแย่งชิงคำว่าประชาธิปไตยอยู่กับใคร ตราบใดที่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงยังดึงได้ อยู่ พรรคประชาธิปัตย์ก็คงยาก ต่อให้ ชูประชานิยมอย่างไรก็กลายเป็นไปชูประชานิยมเก่าอยู่ดี
พรรคประชาธิปัตย์ ความจริงเขาก็รู้ตัวว่าจะต้องเป็นฝ่ายค้านถึง 4 ปี แต่เนื่องจากน้ำท่วม เขาก็มีความหวังขึ้นมาว่ามีประชาชนจะออกมาปั่นป่วน เสื้อแดงที่รับผลกระทบอาจเกิดความไม่พอใจ จนในที่สุดแล้วรัฐบาลคุมไม่ได้ ก็จะมีการยื่นถอดถอน แต่ความหวังของพรรคประชาธิปัตย์เป็นความหวังที่ยืน อยู่บนความฟลุกของน้ำท่วม เรื่องทหาร ไม่ต้องห่วง ยังไงทหารก็พยายามอยู่ ในกรอบในร่องในรอย
- นอกจากจะรอให้ประชานิยมล่มสลายแล้ว จะมีปัจจัยอะไรอีกหรือไม่ที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์คืนชีพอีกครั้ง
10 กว่าปีมั้งกว่าจะฟื้น ผมบอกได้เลย รอไปเลย เพราะการเมืองสมัยนี้มีแนวโน้มเป็นเช่นนั้นเสมอ ดูสิงคโปร์มีพรรคครองอำนาจยาวนาน 50 กว่าปี อังกฤษ 10 กว่าปีถึงจะเปลี่ยนรัฐบาล การเมืองไทยจะเข้าสู่โหมดแบบนั้น แต่ไม่ใช่โหมดเผด็จการเหมือนพม่า แต่เป็นโหมดนโยบายที่ออกมาแล้วติดกระแสสังคมและต้องการก็จะอยู่ยาว พรรคประชาธิปัตย์จะขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเกิดความแตกแยกในพรรคเพื่อไทยเอง หากคุณทักษิณยังอยู่ก็คงเป็นไปไม่ได้
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1324138939&grpid=no&catid=04
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #218 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2554, 00:02:10 » |
|
"3 นักวิชาการ" มองมุมต่างจากบทความ "อากงปลงไม่ตก" ของโฆษกศาลยุติธรรม วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20:30:00 น. สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม
สาวตรี สุขศรี /พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์
คดี "อากงส่งเอสเอ็มเอส" ก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างกว้างขวาง กระทั่งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม ได้เขียนบทความชื่อ "อากงปลงไม่ตก" ซึ่งถูกนำไปเผยแพร่ในสื่อมวลชนออนไลน์-ออฟไลน์จำนวนมาก
เช่นกันกับ "คดีอากง" บทความของโฆษกศาลยุติธรรมได้นำไปสู่ "ความเห็นต่าง" อย่างหลากหลาย มติชนออนไลน์จึงขออนุญาตนำความเห็นบางส่วนเหล่านั้น มาเผยแพร่ ณ ที่นี้ เพื่อให้สอดคล้องกับที่นายสิทธิศักดิ์เขียนไว้ในบทความว่า
"ศาลและกระบวนการยุติธรรมไม่เคยขัดขวางการแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดๆ ขอเพียงการแสดงออกตั้งอยู่บนฐานคติที่ปราศจากอคติ ภายใต้หลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักนิติธรรม หลักเหตุผล หรือหลักความเชื่อส่วนตนที่สุจริตมีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์"
นักวิชาการนิติราษฎร์ชี้ โฆษกศาลฯ ไม่ได้พูดถึง "ประเด็นสำคัญ" ของการตัดสินคดี
นางสาวสาวตรี สุขศรี นักวิชาการจากคณะนิติราษฎร์ แสดงทัศนะต่อประเด็นนี้ไว้ในงานเปิดตัวหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว" เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ว่าบทความที่เขียนโดยโฆษกศาลยุติธรรม ถึงแม้จะมีการชี้แจงในเรื่องต่างๆ เช่น อากงจะถูกสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์จนกว่าจะถูกตัดสินถึงที่สุด เนื่องจากในขณะนี้คดียังอยู่ในศาลชั้นต้นและสามารถอุทธรณ์ได้ อย่างไรก็ตาม จากท่าทีของบทความ กลับสะท้อนว่า ผู้เขียนบทความเองได้ปักใจเชื่อไปแล้วว่า อากงเป็นผู้กระทำความผิดจริง นอกจากนี้ ยังไม่มีการพูดถึงหลักการของภาระการพิสูจน์ความผิด ทั้งๆ ที่เป็นประเด็นที่สำคัญในการตัดสินคดีนี้
(ที่มา "Fearlessness Talk: เสวนาเพื่อก้าวข้ามความกลัว" เว็บไซต์ประชาไท)
"พิชญ์" ตั้งคำถามทำไมไม่มองว่า "เราเข้าใจไม่ตรงกัน"
ด้านนายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แสดงความเห็นไว้ในรายการเวค อัพ ไทยแลนด์ ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมวอยซ์ ทีวี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ว่าจะขอวิพากษ์วิจารณ์บทความของโฆษกศาลยุติธรรม ในฐานะการแสดงความเห็นส่วนตัวของนายสิทธิศักดิ์ ไม่ใช่ความเห็นของศาล ซึ่งตามมุมมองของตนบทความดังกล่าวมีปัญหา อาทิ เมื่อมีการยืนยันว่าอากงยังถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด แต่เหตุใดเขาจึงไม่ได้รับสิทธิประกันตัวในระหว่างการต่อสู้คดี
นอกจากนั้น อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้ตั้งคำถามว่า ทำไมท่าทีของบทความนี้จึงไม่พิจารณาว่า ปรากฏการณ์การถกเถียงเกี่ยวกับคดีอากงเกิดขึ้นมาเพราะ "เราเข้าใจไม่ตรงกัน" แต่กลับระบุว่า อีกฝ่ายมิได้รู้เห็นข้อเท็จจริงอย่างถ่องแท้ ซึ่งเท่ากับเป็นการชี้ให้เห็นว่า "เราไม่เท่ากัน" นั่นเอง
(ที่มา อ.พิชญ์ เห็นต่างบทความโฆษกศาลยุติธรรม)
อาจารย์ประวัติศาสตร์ มช. ชี้บทความสะท้อน 2 ปัญหาใหญ่ในสังคมไทย
ขณะเดียวกัน นายสิทธิเทพ เอกสิทธิพงษ์ อาจารย์สาขาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขียนบทความ "บทสะท้อนสังคมไทย" ผ่านคำชี้แจงของโฆษกศาลยุติธรรมต่อคดีอากง โดยระบุว่า ข้อเขียนของโฆษกศาลยุติธรรม เป็นภาพสะท้อนความคิดของคนในสังคมไทยจำนวนไม่น้อย ซึ่งมีปัญหาทางตรรกะวิธีคิดและความเชื่ออยู่ 2 ประเด็นใหญ่ คือ
1.ความเป็นไทยกับการแก้ปัญหาแบบไทย ๆ
นักวิชาการจำนวนมาก ได้พูดถึงความคิดความเชื่อของคนไทยว่า คนไทยมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล "ความเป็นไทย" มีความเฉพาะแตกต่าง ที่พวกฝรั่งไม่มีทางเข้าใจ อะไรที่เกิดในประเทศนี้เป็นเรื่องของไทย ฉะนั้นท่านทั้งหลาย "กรุณาอย่างยุ่ง" ในแถลงการณ์ของท่านโฆษกศาลได้กล่าวถึงกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีเมื่อปี พ.ศ. 2539 ท่านได้กล่าวว่ากติกาดังกล่าวสอดคล้องกับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 45 ซึ่งต่อมาท่านได้พัฒนาตรรกะวิธีคิด เพื่อเชื่อมโยงสู่ความคิดที่ว่า "ประเทศไทยให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน มีกฎหมาย ที่ความก้าวหน้าทันสมัยทัดเทียมอารยประเทศ เพียงแต่ภายใต้ระบอบการปกครองบ้านเมืองที่แตกต่างกัน ทุกประเทศจึงควรที่จะต้องให้เกียรติเคารพในความต่างที่เป็นจุดแข็งทางวัฒนธรรมและสังคมของแต่ละประเทศ" นายสิทธิเทพระบุว่า ตนไม่ปฏิเสธเรื่องความต่างระหว่างไทยกับประเทศอื่น ๆ เพราะยอมเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่จริงแน่ ๆ ปัญหาคือวิธีคิดในเรื่องความแตกต่างดังนี้ ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะกลบเกลื่อน "ความเหมือน" กับมนุษย์คนอื่น ๆ ในโลก ซึ่งนำไปสู่การปฏิเสธ "คุณค่าในเรื่องสิทธิมนุษยชน" สากล โดยอ้างว่า "ต้องบริหารจัดการกันเองบนความต่างแบบไทย ๆ" ทั้งนี้ คุณค่าบางอย่างมีความเป็นสากลที่มนุษย์ทั่วโลกรับรู้ได้เหมือนกัน ความรู้สึก เจ็บปวด ทรมานทางกายภาพและจิตใจ จากการถูกลิดรอนอิสรภาพด้วยการคุมขัง ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วโลกมีร่วมกัน การอ้างความเฉพาะแบบไทย ๆ โดยไม่ฟังเสียงวิจารณ์จากมนุษย์คนอื่นที่ไม่ใช่คนไทยไม่สามารถกลบเกลื่อนลบเลือนความเหมือนนี้ได้
นอกจากนี้วิธีคิดที่ปฏิเสธคุณค่า ความคิด ความรู้บางอย่าง เพราะไม่ใช่ของไทย เมื่อเอามาใช้แล้วจึงไม่เหมาะสมกับไทย เพราะประเทศไทยมีสังคมวัฒนธรรมเฉพาะของตัวก็เป็นวิธีคิดที่มีปัญหา หากคิดเช่นนั้นอะไรที่เป็นฝรั่งก็ต้องปฏิเสธให้หมด ไม่เว้นแม้แต่การแพทย์แผนตะวันตก 2. ความรู้ประวัติศาสตร์แบบมักง่าย และขี้ลืม คนไทยจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า ความรู้ประวัติศาสตร์คือการกล่าวถึงสิ่งที่เป็นจริง "จริง ๆ" แน่นอนว่าความเข้าใจดังกล่าวย่อมไม่ผิด แต่แท้จริงหัวใจของการศึกษาประวัติศาสตร์ในโลกสมัยใหม่คือการ "ตั้งคำถาม" และคิดอย่างวิพากษ์โดยมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา ปัจจุบันวงการประวัติศาสตร์เกิดการตั้งคำถามถึงความจริงว่ามีได้หลายมุมมอง เช่น ประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลักที่ไม่มี "สามัญชน" อยู่ในประวัติศาสตร์ก็เริ่มถูกตั้งคำถามจากนักประวัติศาสตร์ จนนำไปสู่การศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ที่เป็น "ประวัติศาสตร์สังคม" ซึ่งเป็นการมองความจริงจากจุดยืนของคนสามัญ การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยจึงไม่ใช่เรื่องของการท่องจำว่าใครทำอะไรที่ไหนเท่านั้น หากแต่ต้องมีทัศนะวิพากษ์ที่ทำให้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์อย่างสลับซับซ้อน เพราะการท่องจำโดยปราศจากความเข้าใจย่อมนำมาสู่การจำถูกจำผิดได้ เช่น "ประเทศไทยมีเอกราชทางการปกครองและการศาลมาช้านาน" ผมอยากจะเตือนความทรงจำว่าเราเสีย "สิทธิสภาพนอกอาณาเขต" ไปในสมัยรัชกาลที่ 4 ภายใต้สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ประเทศไทยเพิ่งได้รับเอกราชทางการศาลกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ.2481 ด้วยความพยายามของคณะราษฎรภายหลังการปฏิวัติ โดยคณะราษฎรได้ทำการต่อสู้เพื่อให้ไทยได้รับเอกราชทางการศาลอย่างสมบูรณ์ ประจักษ์พยานหรือหลักฐานที่สะท้อนถึง "ความจริง จริง ๆ" ดังกล่าวคือ "อาคารศาลฎีกา" ที่ตั้งตระหง่านแถวสนามหลวง โดยเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในปีพ.ศ.2481 ได้บันทึกถึงเหตุผลในการก่อสร้างอาคารศาลนี้ไว้เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2481 มีความตอนหนึ่งว่า ".....บัด นี้ประเทศสยามได้เอกราชในทางศาลคืนมาโดยสมบูรณ์แล้ว จึ่งเป็นการสมควรที่จะมีศาลยุติธรรมให้เป็นสง่าผ่าเผยเยี่ยงประเทศที่เจริญ แล้วทั้งหลาย เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการที่ได้อำนาจศาลคืนมา....."
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1324124768&grpid=01&catid=&subcatid=
คุยกับคนทำหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว" (Free Akong) - อ่านบทความ "อากงปลงไม่ตก" โดยโฆษกศาลยุติธรรม วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20:45:00 น.
ปวิน สิทธิศักดิ์
จากคดีจำคุกชายชราวัย 61 ปี ในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นำมาสู่การรณรงค์โครงการ "ฝ่ามืออากง" ซึ่งได้ผลตอบรับเกินคาด มีผู้เข้าร่วมโครงการโดยวิธีส่งภาพถ่ายฝ่ามือ ที่เขียนตัวอักษร "อากง" มาหลายร้อยรูปภายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ กระทั่งสามารถรวบรวมเป็นสมุดภาพได้อย่างรวดเร็ว สมุดภาพเล่มนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดผู้ริเริ่มเคลื่อนไหวคนแรกคือ "ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์" นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์ กระทั่งการรวบรวมภาพนั้น นำมาผนวกเข้ากับบทความและคำนิยมของนักวิชาการคนสำคัญ อย่าง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ธงชัย วินิจจะกูล และ David Streckfuss กลายเป็นหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว" (Thailand’s Fearlessness: Free Akong) "ปวิน" เปิดเผยกับ "มติชนออนไลน์" ว่า ตอนนี้มีผู้ส่งรูปถ่ายมาเข้าร่วมโครงการมากกว่า 500 รูป หลังจากเริ่มรณรงค์วันแรกทางเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 30 พ.ย. โดยไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์อะไรมาก
"ขอให้เขียนชื่ออากงบนฝ่ามือ และถ่ายรูปเต็มตัวให้เห็นหน้า ′เพื่อชี้ว่าเราได้ก้าวข้ามความกลัว′ แต่ก็มีบางคนที่มีไอเดียอย่างอื่น ก็ไม่เป็นไรครับ ผมรับทุกรูป ผมดีใจที่เห็นเพื่อนๆ ให้ความสนใจ และตื่นตัวกับปัญหาที่มากับมาตรา 112 นี้ บางคนก็ส่งความเห็นมาครับ ส่วนใหญ่มาเป็นการบรรยายประกอบภาพ ส่วนใหญ่ตระหนักดีว่ามาตรานี้ก่อให้เกิดปัญหามาก และต้องการเห็นสังคมไทยเดินหน้าต่อไป บนพื้นฐานของความยุติธรรม"
สำหรับความคาดหวังต่อโครงการนี้ เขาบอกว่า การเริ่มต้นในการเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนออกมาเคลื่อนไหวเป็นสาระสำคัญ
"ผมไม่อยากคาดหวังอะไรที่เกินไปกว่าความเป็นจริง ผมจึงยังไม่รู้ว่า โครงการอากงนี้จะลงเอยอย่างไร แต่ผมยังไม่ยอมยุติเพียงเท่านี้ และคิดว่าจะมีกิจกรรมเพิ่ม ผมหวังว่า กรณีอากงและโครงการของผมเป็นแรงบันดาลใจให้อีกหลายคนออกมาร่วมการเคลื่อนไหว ผลักดันให้รัฐบาลนำเรื่องนี้ไปพิจารณาอย่างจริงจัง จุดหมายปลายทางอยู่ที่การแก้ไขมาตรานี้เป็นอย่างน้อย"
สำหรับผลตอบรับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการนี้ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อข้อกล่าวหาเหมารวมว่าไม่จงรักภักดีนั้น "ปวิน" บอกว่า ได้รับเสียงสะท้อนในแง่บวกมากๆ และสิ่งที่ทำตั้งอยู่บนเจตนาดี
"เรามีความจงรักภักดี เราจึงอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี และเชื่อผมเถอะ การแก้ไขกฎหมายหมิ่นฯ จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของการรักษาไว้ซึ่งสถาบัน" ปวินกล่าว ผู้สนใจการรณรงค์สมุดภาพเล่มนี้ สามารถร่วมงานเปิดตัวหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว" (Thailand’s Fearlessness: Free Akong) และชมนิทรรศการภาพถ่ายได้ ในวันพฤหัสที่ 15 ธันวาคม 2554 ณ ลานปรีดี หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เวลา 17:30 – 20:00 น. รายได้จากการขายหนังสือทั้งหมด (หลังหักค่าจัดพิมพ์) มอบให้ครอบครัวของ "อากง"
กำหนดการงานเปิดตัวหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว"
17:30 น. เปิดให้เข้าชมนิทรรศการภาพถ่าย สื่อมวลชนลงทะเบียนเพื่อรับหนังสือ และ VCD
18:15 น. ฉายวีดีทัศน์ "อภยยาตรา" และรับฟังเพลง "แดนตาราง" นิธินันธ์ ยอแสงรัตน์ ขับร้อง บรรเลงไวโอลีนโดย ฌส นิยมทรัพย์
18:30 น. แถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว" โดย ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ และชวนสนทนาว่าด้วยการก้าวข้ามความกลัว กับ สาวตรี สุขศรี นักวิชาการคณะนิติราษฎร์, วรพจน์ พันธุ์พงศ์ นักเขียนอิสระ และ วันรัก สุวรรณวัฒนา อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
----------
"อากงปลงไม่ตก" โดยสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม
หมายเหตุ : สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม ได้เขียนและเผยแพร่บทความแสดงความเห็นเกี่ยวกับ "คดีอากงส่งเอสเอ็มเอส" ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้
อากงปลงไม่ตก
พลันสิ้นคำอ่านคำพิพากษาศาลอาญาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.311/2554 ระหว่างพนักงานอัยการฯ โจทก์ นายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) จำเลยอายุ 61 ปี ข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นแสดง ความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์พระราชินีฯ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(2)(3) เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 หรือที่ผู้คนทั่วไปเรียกว่า "คดีอากง" กระแสสังคมเกือบทุกสาขาอาชีพต่างให้ความสนใจเหมือนกระแสน้ำที่ไหลบ่ามาท่วมศาลและกระบวนยุติธรรมเช่นน้ำท่วมกรุงเทพฯที่ผ่านมารวมทั้งต่างชาติบางประเทศก็ให้ความสนใจแสดงความห่วงใยวิพากษ์วิจารณ์ ศาลยุติธรรมไทยในทางไม่สร้างสรรค์นัก
แต่ไม่ว่าความเห็นของสังคมจะสื่อสารในทางใดก็ตาม ศาลและกระบวนการยุติธรรมไม่เคยขัดขวางการแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดๆขอเพียงการแสดงออกตั้งอยู่บนฐานคติที่ปราศจากอคติ ภายใต้หลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักนิติธรรม หลักเหตุผล หรือหลักความเชื่อส่วนตนที่สุจริตมีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ดูเหมือนหลายคนที่วิจารณ์ผลคดีข้างต้นในทางลบยังมิได้รู้เห็นพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงในสำนวนความอย่างถ่องแท้ ซึ่งการนิ่งเฉยของศาลและกระบวนยุติธรรมมิได้มีค่าเป็นตำลึงทองเสียแล้ว
ผู้เขียนจึงขออนุญาตนำความจริงบางประการในท้องสำนวนคดีนี้ ประกอบกับประเด็นที่สังคมตั้งข้อสงสัยมานำเฉลยเอ่ยความ เพื่อเป็นข้อมูลแลกเปลี่ยนกับท่านผู้อ่านที่เคารพ ซึ่งมีประเด็นใหญ่ๆ ที่ผู้คนกล่าวขานกันดังนี้
1. อากงไม่ได้กระทำความผิด เหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุก
2. ศาลลงโทษจำคุก 20 ปี เป็นโทษที่หนักเกินไป
3. อากงอายุมากแล้วควรได้รับการลดโทษ ปล่อยตัวไป หรือได้รับการประกันตัว
4. ศาลไทยไม่มีมาตรฐานสากล ควรรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคล
5. ควรยกเลิกความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายคอมพิวเตอร์
ในข้อแรก ผู้ที่เห็นว่าอากงมิได้กระทำความผิดนั้น หากเป็นการตัดสินกันเองโดยบุคคลกลุ่มคนนอกศาลและกระบวนการยุติธรรม คงจะหาเหตุผลรองรับความชอบธรรมยากสักหน่อย เพราะเป็นความเชื่อส่วนตนที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ขณะที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เป็นอัตวิสัยที่อาจปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุน ในขณะที่คดีนี้ผ่านกระบวนการสอบสวน การกลั่นกรองจากอัยการ แล้วเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่ อันเป็นหลักการสากลและหลักกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อสู้คดีอย่างเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นธรรม
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า อากงหรือจำเลยมีความผิด เพราะศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องของอัยการโจทก์จริงแต่ถ้าจำเลยไม่เห็นด้วยไม่พอใจในผลคำพิพากษาก็ยังสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้ตามกฎหมาย ซึ่งในอดีตมีคดีที่ศาลสูงเห็นต่างจากศาลชั้นต้นพิพากษากลับ หรือแก้คำพิพากษาศาลล่างก็ไม่น้อย ดังนั้นเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด การจะด่วนสรุปว่าอากงเป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยเสร็จเด็ดขาดนั้น ก็ยังมิใช่เป็นเรื่องที่แน่แท้เสมอไป ดังที่บางคนมีความเชื่อและเข้าใจในทำนองนั้น แท้จริงแล้วอากงยังถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ข้อต่อมาที่ว่าเหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษถึงจำคุก ปกติการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นบุคคลธรรมดาที่เป็นการดูหมิ่นใส่ความทำให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงเกียรติคุณอย่างร้ายแรงกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดมีโทษถึงจำคุก
ศาลยุติธรรมก็เคยลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษมาแล้ว
สำหรับคดีนี้ มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายแสดงความอาฆาตมาดร้าย จาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์และพระราชินีด้วยถ้อยคำภาษาที่ป่าเถื่อนและต่ำทรามอย่างยิ่ง เกินกว่าวิญญูชนคนทั่วไปจะพึงพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กระทำต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์พระประมุขของประเทศ อันเป็นที่เคารพยกย่องเทิดทูนของปวงชนชาวไทยและทั่วโลก ในหลวงทรงครองสิริราชย์มาเป็นเวลากว่า 65 ปี ทรงครองแผ่นดินด้วยหลักทศพิธราชธรรม ห่วงใยทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎร์ตลอดเวลา แม้ในยามทรงพระประชวร พระองค์ก็ยังทรงงานเพื่อแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชนเช่นอุกทุกภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทุ่มเทพระวรกายตลอดพระชนม์ชีพ ทรงงานเพื่อความผาสุกของประเทศชาติและประชาชนทุกหมู่เหล่า ในกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ก็บัญญัติว่า "องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมิใช่คู่กรณีที่มีความขัดแย้งสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่จำเลยแม้แต่น้อยนิดรวมทั้งพระองค์ท่านทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองจากมวลชนทุกหมู่เหล่าจึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยหรือบางคนจะพยายามบิดเบือนว่า คดีนี้มาจากมูลฐานทางการเมือง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นธรรมและห่างไกลจากความเป็นจริง
ข้อสอง คดีนี้มีข้อเท็จจริงบางประการที่ผู้วิจารณ์อาจยังรู้ไม่ครบถ้วนและเข้าใจคลาดเคลื่อนคือ นอกเหนือจากพฤติการณ์แห่งคดีหรือข้อความหมิ่นประมาทที่มีความรุนแรงและร้ายแรงอย่างมากแล้ว ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า ผู้กระทำไม่ได้กระทำความผิดแค่ครั้งเดียว แต่มีการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ ด้วยถ้อยคำดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายถึง 4 ครั้ง มีถ้อยคำที่แตกต่างกันทุกครั้ง แสดงถึงเจตนาที่จงใจกระทำผิดกฎหมายอย่างท้าทายไม่ยำเกรงอาญาแผ่นดิน ไม่มีจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธมาตลอดจนถึงในชั้นศาลจึงไม่มีเหตุลดโทษบรรเทาโทษตามกฎหมาย ซึ่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กฎหมายระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี
ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยในความผิดแต่ละครั้งจำคุกกระทงละ 5 ปี ตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นโทษบทหนักนั้น เป็นการลงโทษสูงกว่าโทษขั้นต่ำของกฎหมายเพียง 2 ปี ยังเหลืออัตราโทษอีก 10 ปีที่ศาลมิได้นำมาใช้ เมื่อนำโทษทั้ง 4 กระทงมารวมกันเป็น 20 ปี คนทั่วไปที่ไม่รู้จึงเข้าใจผิดคิดว่าศาลลงโทษครั้งเดียว 20 ปี เห็นว่าโทษหนักไป แต่ถ้าเทียบกับพฤติการณ์ความร้ายแรงแห่งคดีแล้ว หลายคนที่รู้จริงเห็นตรงข้ามว่าโทษเบาไปหรือเหมาะสมแล้วก็มี
ข้อสาม แม้สังคมทั่วไปจะเรียกจำเลยว่า "อากง" ฟังดูประหนึ่งว่าจำเลยชราภาพมากแล้ว แต่ตามฟ้องจำเลยอายุ 61 ปี มิได้แก่ชราจนต้องอยู่ในความอนุบาลดูแลของผู้ใด สามารถเข้าใจและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ แสดงว่าเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และมิได้แก่เฒ่าคราวปู่ทวด
สำหรับบุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคมสถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความหลงผิดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีใครอยากให้คนเช่นนี้ลอยนวลอยู่ในสังคมเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่องหรือแก่ผู้อื่นอีก เพราะสักวันคนใกล้ตัวของคนเหล่านี้อาจตกเป็นเหยื่อด้วยก็ได้ มาตรการที่เหมาะสมจึงควรตัดโอกาสในการกระทำผิด ลงโทษให้หลาบจำสาสมไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่กระทำความผิดคิดวางแผนไตร่ตรองในการกระทำความผิดอย่างแยบยลแนบเนียนด้วยแล้ว ก็ยิ่งสมควรใช้วิธีการที่เหมาะสมในการคุ้มครองรักษาความสงบสุขของประเทศชาติและประชาชนด้วย จึงไม่แน่แท้เสมอไปว่าชราชน ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับการลดโทษ ลงโทษน้อย หรือปล่อยตัวไปเสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อหาความผิด ความเสียหายและพฤติการณ์การกระทำแต่ละคดีที่ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป ส่วนการจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็นเรื่องๆ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108, มาตรา 108/1
ข้อสี่ ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (International Covenant on Civil and Political Rights) ICCPR ได้บัญญัติรับรองในข้อ 19 ว่า
1) บุคคลมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากแทรกแซง
2) บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา ได้รับและสื่อสารข้อมูลและความคิดทุกชนิด โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ไม่ว่าด้วยวาจา เป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยการพิมพ์ ในรูปแบบของศิลปะหรือโดยสื่อประการอื่นใดที่บุคคลดังกล่าวเลือก
3) การใช้สิทธิตามวรรคสองของข้อนี้ต้องประกอบด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบอันเป็นพิเศษ ดังนั้น สิทธิดังกล่าวจึงอาจอยู่ภายใต้ข้อจำกัด บางประการ แต่ข้อจำกัดนั้นต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติและเท่าที่จำเป็น
(ก) เพื่อเคารพต่อสิทธิหรือชื่อเสียงของบุคคลอื่น เพื่อคุ้มครองความมั่นคงแห่งชาติ ความสงบเรียบร้อยของประชาชนสาธารณสุขหรือศีลธรรมอันดี นอกจากนั้น กติการะหว่างประเทศฯ ยังได้ให้ความคุ้มครองสิทธิของบุคคลในการที่จะไม่ถูกล่วงละเมิดทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเกียรติภูมิไว้ด้วยตามข้อ17 ซึ่งกำหนดว่า
"1. ไม่มีบุคคลใดที่จะต้องตกอยู่ภายใต้การแทรกแซงตามอำเภอใจหรือโดยมิชอบด้วยกฎหมายต่อความเป็นส่วนตัว ครอบครัวหรือการติดต่อสื่อสาร หรือการโจมตีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อเกียรติภูมิและชื่อเสียง
2. บุคคลมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายจากการแทรกแซงหรือการโจมตีเช่นว่านั้น"
ฉะนั้นแม้การแสดงความคิดเห็นถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่กติการะหว่างประเทศฯให้การยอมรับแต่ในขณะเดียวกัน กติการะหว่างประเทศฯ ก็ได้กำหนดไว้ด้วยว่าการใช้สิทธิดังกล่าวต้องทำด้วยความสำนึกรับผิดชอบและไม่ล่วงละเมิดสิทธิของบุคคล เนื่องจากบุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิในการรักษาชื่อเสียงและเกียรติภูมิของตนและต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายด้วยเช่นกัน
กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองหรือICCPR เป็นสนธิสัญญาพหุภาคี ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ให้การรับรองเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2509 และมีผลใช้บังคับเมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ. 2519 สนธิสัญญานี้ให้คำมั่นสัญญาว่าภาคีจะเคารพสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของบุคคล ซึ่งรวมถึงสิทธิในชีวิต เสรีภาพในศาสนา เสรีภาพในการพูด เสรีภาพ ในการรวมตัว สิทธิเลือกตั้ง และสิทธิในการได้รับการพิจารณาความอย่างยุติธรรม จนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 กติการะหว่างประเทศนี้มีประเทศลงนาม 72 ประเทศและภาคี 167 ประเทศ ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญานี้โดยการภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2539 และมีผลบังคับใช้กับไทย เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2540 อันสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 45 ที่ว่า "บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การพิมพ์และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น แต่เสรีภาพดังกล่าวก็ยังถูกจำกัดได้โดยกฎหมายหากเป็นไปเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิ หรือความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน..."
นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 5 บัญญัติว่าในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต และมาตรา 421ก็บัญญัติว่าการใช้สิทธิ ซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีมาตรฐานเช่นเดียวกับหลักการสากลข้างต้น อันแสดงว่าประเทศไทยให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน มีกฎหมายที่ความก้าวหน้าทันสมัยทัดเทียมอารยประเทศ เพียงแต่ภายใต้ระบอบการปกครองบ้านเมืองที่แตกต่างกัน
ทุกประเทศจึงควรที่จะต้องให้เกียรติเคารพในความต่างที่เป็นจุดแข็งทางวัฒนธรรมและสังคมของแต่ละประเทศ หากผู้วิจารณ์คนใดยังศึกษาภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ไม่ลึกซึ้งถึงแก่นแท้หรือมีข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วนเพียงพอไม่เข้าใจในขนบธรรมเนียมประเพณี สังคมประเทศใดแล้ว การแสดงความเห็นว่าศาลหรือกระบวนการยุติธรรมของประเทศอื่นในทำนองห่วงใยว่าจะไม่มีมาตรฐานสากลนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง และหมิ่นเหม่ต่อการกล่าวหากันอย่างไม่เป็นธรรม อาจทำให้คิดไปว่าผู้วิพากษ์เจือปนด้วยอคติที่ผิดหลงมีวาระซ่อนเร้น ประเทศไทยมีเอกราชทางการปกครองและการศาลมาช้านาน และประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ข้อห้า กฎหมายทุกฉบับออกหรือตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นผู้แทนมาจากปวงชนชาวไทยสามารถแก้ไขปรับปรุงและยกเลิกได้ ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าล้าสมัยไม่เหมาะสม ศาลเป็นเพียงผู้ใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์ที่สภานิติบัญญัติตราขึ้น มีกฎหมายหลายฉบับเขียนให้ศาลแทบใช้ดุลพินิจไม่ได้ หรือต้องลงโทษสถานหนักในบางข้อหาเช่น ผลิตนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภท 1 แม้เพียง 1 เม็ดหรือ ข้อหาฆ่าบุพการี ต้องประหารชีวิตสถานเดียว เป็นต้น แม้การแก้ไขยกเลิกกฎหมายจะกระทำได้ก็ตาม แต่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ความสงบเรียบร้อยของสังคมและผลกระทบข้างเคียงอื่นที่อาจตามมาด้วย อย่าให้อารมณ์หรือกระแสแห่งการปลุกปั่นยั่วยุชักจูงไปในทางที่เสียหายได้
คดีอากงเป็นแค่ปฐมบทในการพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลยตามครรลองแห่งเสรีภาพที่กฎหมายเปิดช่องไว้ตราบใดที่คดียังไม่ถึงที่สุด
การด่วนรวบรัดตัดความกล่าวโทษบุคคลหรือองค์กรที่ทำหน้าที่รักษากติกาสังคมอาจยังไม่เป็นธรรมนัก อย่างไรก็ตาม คนทุกชาติ ทุกภาษา ต่างหวงแหนรักในแผ่นดินเกิดของตนเองเคารพและศรัทธาในศาสดาที่เป็นผู้นำทางศาสนาของตนเอง ความแตกต่างทางความคิดเชื้อชาติศาสนาการปกครองบ้านเมืองศิลปวัฒนธรรม ประเพณี มิใช่สิ่งผิดปกติในสังคมโลก แต่การกล่าวร้ายใส่ความ แสดงความอาฆาตมาดร้ายศาสดาของศาสนาอื่น เป็นพฤติการณ์ที่ผู้เจริญมิสมควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะน้ำผึ้งหยดเดียวอาจกลายเป็นความหายนะของชาติได้
ดังนั้น หากท่านผู้อ่านอยากรู้ปัจจุบันและอนาคตของชาติใด ขอจงศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศนั้น
สำหรับชาติไทยดำรงคงเอกราชมีเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย เป็นที่ชื่นชมยกย่องของคนทุกชาติทุกภาษา เพราะผู้คนในสังคมไทยยังมีความรักสามัคคี มีน้ำใจ เอื้ออาทรผ่อนปรนเข้าหากัน ไม่ก้าวร้าวรุนแรง โดยขาดสติไร้เหตุผลรักหวงแหน เทิดทูนในชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์จากรุ่นสู่รุ่น และปลูกฝังถ่ายทอดเป็นมรดกสู่ลูกหลานจนถึงปัจจุบัน หากคนไทยยังรักและภูมิใจในแผ่นดินเกิด ขอได้โปรดช่วยกันรักษาสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ การจะติชมวิพากษ์เป็นเสรีภาพที่กระทำได้ ขอเพียงมีจิตเป็นกลาง ไม่มีอคติ และบนฐานคติที่สร้างสรรค์ พึงอย่าได้ใช้สิทธิส่วนตนเกินส่วนจนเกินขอบเขตก้าวล้ำสิทธิเสรีภาพผู้อื่น อย่าได้แสดงความพยาบาทอาฆาตมาดร้าย ประหัตประหารด้วยอาวุธ ลมปากและความเท็จต่อผู้อื่น โดยอ้างเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุอื่นมาสร้างความชอบธรรมแก่ตนเอง
อย่าให้ลูกหลานในอนาคตเหลือแค่ความทรงจำแห่งความภาคภูมิในอดีตบนซากปรักหักพังของชาติไทย ที่ผองชนรุ่นปัจจุบันได้ทำลายล้างไปอย่างตั้งใจและมิได้ตั้งใจ
สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1323869789&grpid=01&catid=02&subcatid=0202
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #219 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2554, 23:47:50 » |
|
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #220 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2554, 00:18:37 » |
|
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #221 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2554, 01:16:18 » |
|
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #222 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2554, 02:38:55 » |
|
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์
รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842
|
|
« ตอบ #223 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2554, 13:43:10 » |
|
|
เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
|
|
|
ตี้ถาปัด
|
|
« ตอบ #224 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2554, 19:50:55 » |
|
พูดจาไม่สุภาพ
|
2437041
|
|
|
|