26 พฤศจิกายน 2567, 20:43:31
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1] 2 3 ... 17  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องของเขา จะเล่าให้ฟัง  (อ่าน 290253 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« เมื่อ: 05 มกราคม 2553, 18:42:01 »

เลิกนิสัยน่าเบื่อ รับปีเสือกันเถอะ
 

เพิ่งผ่านพ้นปีเก่าไปหยกๆ คุณผู้อ่านไปเที่ยวไหนกันมาบ้างฮ้า เพราะเห็นบางท่านได้หยุดยาวติดต่อกันหลายวันเชียว จนสามารถใช้เวลาในช่วงวันหยุดนี้ เที่ยวไปด้วย และทำบุญทำกุศลไปด้วย แหมหากได้ทั้งบุญและได้ทั้งความสนุกตื่นเต้นหยั่งงี้ก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยนะ จ๊ะ ส่วนใครถ้าเป็นคู่ที่เพิ่งเลิฟกันใหม่ๆ คงชวนกันออกเดท ไปนู่นไปนี่ เพื่อศึกษานิสัยใจคอกันและกันให้รู้ดีรู้ชั่ว...เอ๊ย...ให้ชุ่มฉ่ำ กับรสรักที่แสนหวานไปเลยสินะ อ่ะถ้าไม่มีใจให้กันแล้วจะอยากอยู่ใกล้ชิดกันเรอะ

ว่าแต่ขึ้นปีใหม่ ทั้งที คงมีท่านผู้อ่านหลายคนอยากปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในชีวิตให้ดี ขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาบ้างละน่า เพราะบางท่านหลังจากได้ทำการสำรวจตัวเองตลอดปีเก่าแล้ว เกิดพบว่า น่าจะปรับปรุงตัวเองให้ดีกว่านี้ได้นี่หว่า จึงจุดประกายให้อยากทำตัวให้ดีขึ้นน่ะซี หรือบางรายไม่ได้หันไปสำรวจตัวเองในปีเก่าที่ผ่านมาหรอก ทว่าอยากให้สัญญากับตัวเองว่า จะทำตัวให้ดีขึ้นหยั่งงั้นหยั่งงี้เพื่อต้อนรับปีใหม่ ก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดีไงจ๊ะ

ซึ่งพูดก็พูดเหอะ พอขึ้นปีใหม่ทีไรใครๆก็มักตั้งเป้าหมายให้ตัวเองมีพฤติกรรมหรือนิสัยใจคอ เป็นไปในทางที่ดีขึ้นทุกปีนั่นแหละ ยกตัวอย่าง เพื่อนที่ชื่อฝนให้ฟังก็ได้ หล่อนบอกว่า ตั้งใจไว้ว่าปีใหม่อยากจะเลิกเป็น "คนขี้วีน" สักที... เออแน่ะ แสดงว่ารู้ตัวด้วยแฮะ

เพื่อนบอก...ก็รู้นะว่าตัวเองเป็นสาว เจ้าอารมณ์ ที่หากใครเกิดทำอะไรให้หล่อนผิดใจเข้าให้ละก็ หล่อนก็พร้อมระเบิดอารมณ์ใส่คนนั้นทันที แต่ดีหน่อยตรงนิสัยขี้วีนของหล่อน เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผลพอสมควร ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จะวีนใครเค้าไปทั่ว แหม...หล่อนไม่ใช่คนแบบน้าน หรอกน่า

ก็ขออวยพรให้หล่อนสามารถระงับ อาการขี้วีนได้สมปรารถนาทีเถิด แต่ขอบอกหน่อยเหอะว่า ถ้าขี้วีนอย่างมีเหตุผล ยังถือเป็นการกระทำที่ไม่หนักหนาสาหัสกับคู่กรณีของเพื่อนหรอกจ้ะ

เพราะ คนขี้วีนแบบไม่มีเหตุผลต่างหากล่ะ ที่มักส่งผลให้ชาวบ้านชาวช่องหรือคนใกล้ตัวแทบประสาทกินไปตามๆกันมากกว่า เอ้ามีนะบางคนพอโกรธหรือโมโหโกรธาแบบนางร้ายในละครทีวีขึ้นมางี้ พี่แกยังพาลทำลายและขว้างปาข้าวของ อย่างที่เรียกกันว่า "วีนแตก" ยังมีเลย

ดังนั้น การพยายามระงับอาการขี้วีน จึงเป็นความตั้งใจที่ดีของเพื่อนที่น่าสนับสนุนอย่างยิ่ง

งั้นไหนๆก็ขึ้นปีใหม่แล้ว ลองมาตั้งใจทำให้ ชีวิตของพวกเรามีพฤติกรรมและนิสัยที่ดีขึ้นกว่าเดิมกันมะ เช่น....

1. เลิกขี้บ่นกะแฟนซะที

หาก แต่ก่อนคุณเกิดไม่สบอารมณ์กับการกระทำอะไรสักอย่างของแฟนขึ้นมา แล้วคุณก็มักนำสิ่งที่ไม่พอใจในตัวแฟนมาบ่นแล้ว บ่นอีก แบบว่า ทำไมเค้าไม่เคยจำได้สักทีว่า วันเกิดของคุณน่ะวันที่เท่าไหร่? หรือแม้แต่วันครบรอบความเลิฟของเราเค้าก็ไม่เคยแคร์เลยสักกะติ๊ด แหม...ถ้าเป็นงี้ก็น่าเห็นใจคุณเนอะ แต่ลองคิดดูเดะ ว่า เมื่อคุณบ่นเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร เค้าเคยทำท่าหันมาสนใจบ้างไหมล่ะ...ก็ไม่เคยใช่มะ ดังนั้น ทางที่ดีจึงควรเลิกบ่นกระปอดกระแปดกะแฟน แล้วหันมาใช้วิธีพูดคุยกันอย่างมีเหตุมีผล ละกัน...หรือถ้าสามารถพูดกันด้วยภาษาที่ไพเราะเสนาะหูซะมั่งก็จะดีมากจ้า

โดย คุณเกริ่นกะเค้าไว้ล่วงหน้าซะเลยสิว่า วันเกิดปีนี้ของเดี๊ยนน่ะ (บอกไปเลยว่าวันไหน อย่าใช้การลองใจว่าจำได้ไหม)....คุณอยากได้ของขวัญอะไรจากเค้า เช่น อยากให้เค้ามีเวลาว่างพาคุณไปฉลองวันเกิดที่ไหนก็ว่ากันไป, อยากให้เค้าพาไปเที่ยวต่างประเทศ, อยากให้เค้าชวนไปทำบุญตามสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือสถานดูแลคนชราและคน พิการ...ก็ระบุไปได้เลย

2. เลิกสอดรู้สอดเห็น แล้วหันมาไว้ใจแฟนให้มากขึ้นดีฝ่า


ก่อน หน้านี้ถ้าคุณเคยส่ออาการไม่ไว้ใจแฟนมาก่อน ด้วยเหตุที่คุณเป็นคนชอบระแวงขึ้นมาเอง ไม่ใช่เพราะเค้าเจ้าชู้เป็นปลาไหลใส่สเกตละก็ พอขึ้นปีใหม่ทั้งทีคุณจึงควรละเว้นพฤติกรรมและนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นใน เรื่องของแฟนว่า เค้าจะไปแอบจีบใครลับหลังคุณได้แล้ว เพราะการทำเช่นนี้ มีแต่จะทำให้คุณไม่สบายใจมากกว่า และถือเป็น "การทำร้ายตัวเอง" อย่างนึงนะเนี่ย

แต่หากแฟนคุณเป็นคนเจ้าชู้ตัวยงละก็ เห็นทีคุณต้องเปิดฉากปะฉะดะ...เจรจากะเค้าให้รู้เรื่องแล้วละว่า เค้าจะเจ้าชู้อีกนานมะ โห...แก่ป่านนี้แล้วยังเจ้าชู้อยู่ได้ ไม่เจียมตัวเอาซะเลยนะยะ แล้วดูสิว่า เค้าจะตอบโต้คุณกลับมาไหม? หรือบางทีเค้าอาจสำนึกขึ้นมาบ้างก็ได้นะ...ขอให้เป็นงี้เหอะว้า

3. เลิกวิพากษ์วิจารณ์แฟนให้ใครๆ ฟังสักที

แบบ ว่า ถ้าคุณเป็นคนช่างคุย ช่างจำนรรจาโดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ดีของแฟนให้ญาติสนิท มิตรสหายของคุณฟังละก็ หากเค้าเป็นคนที่โหลยโท่ยอย่างแท้จริง เช่น ชอบใช้กำลังทำร้ายร่างกายคุณ, ไม่เคยเจียดเงินเดือนมาให้คุณใช้บ้างเลย แม้จะอยู่ด้วยกันแล้วก็ตาม แต่ที่ผ่านมาต่างคนต่างก็ยังใช้เงินคนละกระเป๋าเหมียนเดิม เพราะเค้าไม่เคยคิดจะจุนเจือหรือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้คุณเลยแม้แต่ติ๊ด เดียวละก็

ขอแนะนะฮ้าว่า อย่าเสียเวลานำเรื่องที่ไม่ดีของเค้าไปเล่าให้คนรอบข้างฟังเลย มันเสียเวลาเปล่าๆ เพราะควรเลิกกะมันซะ...เอ๊ย บอกให้แฟนมีความรับผิดชอบกะคุณมากกว่านี้ไม่ดีเรอะ

4. เลิกตามใจปาก   เพื่อรักษาหุ่นเอาไว้ให้ เช้งกระเด๊ะไง

จริงอยู่เกิดมาทั้งที เราก็ควรมีอิสระที่จะรับ ประทานอะไรต่อมิอะไรที่ตัวเองชอบสิ แต่ช้าก่อน...

หาก คุณขยันกินจุกกินจิกมากเกินไปจนทำให้ตัวเองอ้วนเผละเป็นหมูพะโล้ล่ะก็ โหเท่ากับบั่นทอนความสวยและความสเลนเดอร์ของตัวเลยนะ แถมสังคมยังชอบมองและให้ความสำคัญกับสาวหุ่นผอมเพรียวซะด้วย ดังนั้น ไม่ต้องถึงกะอดหรอกหนู แค่ทานอาหารพอประมาณ คุณก็รักษาหุ่นได้แล้วจ้า.

@@@

เมอร์ลิน

      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #1 เมื่อ: 05 มกราคม 2553, 19:17:45 »

เค้าเรียก "Vorsatz"(Intention)ในภาษาเยอรมันค่ะ
      บันทึกการเข้า


พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 05 มกราคม 2553, 21:54:49 »

โภชนาการกับสุขภาพ
 
 
การที่คนเราจะมีสุขภาพดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเอง ส่วนที่นอกเหนือการควบคุมมีน้อย เช่น กรรมพันธุ์ ดังนั้นถ้าเราควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้เช่น การเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก การดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง คนส่วนใหญ่ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม ในครอบครัวมีความสงบสุขดีคือมีสุขภาพจิตดี และสิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การเอาใจใส่เรื่องโภชนาการ ถ้าสามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้หมด สุขภาพดีถ้วนหน้าก็คงจะไม่เกินความเป็นจริง

โภชนาการ หมายถึง อาหารที่เรารับประทานเข้าไป แล้วร่างกายนำเอาไปใช้ เพื่อการทำหน้าที่อย่างสม่ำเสมอของอวัยวะที่สำคัญ เช่น หัวใจ ปอด เป็นต้น นอกจากนี้ยังนำไปใช้เพื่อสร้างความเจริญเติบโตของร่างกาย การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เราสามารถแบ่งอาหารออกเป็นประเภท โดยอาศัยหลักทางโภชนาการ ได้เป็นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ และน้ำ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการทำงานของร่างกายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

โดย โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน เมื่อรับประทานเข้าไปร่างกายจะเผาผลาญทำให้เกิดพลังงานได้ ส่วนพวกวิตามิน เกลือแร่ และน้ำ จะเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญในการทำให้วงจรการทำงานต่างๆ ของร่างกาย ดำเนินต่อไปได้เป็นปกติ ดังนั้นเราทุกคนถ้าหวังที่จะให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดี ควรจะต้องสนใจที่จะเรียนรู้ และปฏิบัติตามวิธีการรับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ไม่มีใครมาช่วยท่านได้ ถ้าท่านไม่ลงมือปฏิบัติเอง

นอกจากนี้ควร รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ทุกคนควรชั่งน้ำหนักตนเองอย่างน้อยเดือนละครั้ง ถ้าผอมไปก็กินอาหารที่มีประโยชน์ น้ำหนักจะได้เพิ่ม ถ้าอ้วนไปก็กินให้น้อยลง ร่วมกับการออกกำลังกายให้มากขึ้น ไม่ละเลยตนเองถึงขั้นเกิดภาวะแทรกซ้อนจากอ้วน หรือผอมแล้ว

ความสำคัญของอาหารกับสุขภาพ

กิจกรรม ของมนุษย์ในแต่ละวันจำเป็นต้องใช้พลังงาน และสารอาหารที่ร่างกายได้รับจากการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ การรู้จักเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย จะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตอย่างเต็มที่สมบูรณ์ และมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง โภชนาการเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต หากสภาพร่างกายได้รับอาหารที่มีสารอาหารครบ และเพียงพอต่อความต้องการ ร่างกายสามารถนำสารอาหารเหล่านั้นไปใช้ได้อย่างเต็มที่ เรียกว่าภาวะโภชนาการที่ดี แต่ถ้าร่างกายได้รับสารอาหารที่ไม่ครบถ้วน และไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะเรียกว่าภาวะโภชนาการที่ไม่ดี หรือทุพโภชนาการ

ภาวะโภชนาการต่ำ เป็นสภาวะของร่างกายที่ขาดอาหาร ได้รับสารอาหารต่ำกว่าที่ร่างกายต้องการ หรือรับประทานอาหารไม่ได้เนื่องจากสาเหตุต่างๆ ทำให้เกิดโรคขาดสารอาหารภาวะโภชนาการเกิน เป็นสภาวะของร่างกายที่ได้อาหาร และสารอาหารเกินความต้องการของร่างกาย ทำให้เกิดการสะสมจนเกิดโทษแก่ร่างกาย

ผลทางร่างกายของภาวะโภชนาการ

ขนาดของร่างกาย ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อขนาดของร่างกาย ได้แก่ พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม พันธุกรรมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่สภาพแวดล้อม เช่น การรับประทานอาหาร เราสามารถปรับปรุงได้ โดยเลือกรับประทานอาหารให้เพียงพอ และเหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย ก็จะทำให้การเจริญเติบโตของร่างกายเป็นปกติ  

ภูมิต้านทานโรค


ผู้ที่ได้รับสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการของร่างกาย จะทำให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ได้ หรือหากได้รับเชื้อโรค ก็สามารถฟื้นตัวได้เร็ว  ไม่แก่ก่อนวัย และอายุยืน เมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรค ความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควรก็ลดน้อยลง

ผลต่อสติปัญญา และอารมณ์

การรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ มีส่วนให้เกิดพัฒนาการทางด้านสมอง มีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด อารมณ์แจ่มใส กระตือรือร้น ปรับตัวเข้ากับสังคมได้ง่าย ผิดกับผู้ที่รับประทานอาหารไม่มีประโยชน์จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ พัฒนาการทางด้านสติปัญญาลดน้อยลง อารมณ์หดหู่ ไม่แจ่มใส จนบางครั้งอาจไม่สามารถดำเนินชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้อย่างปกติสุข

การบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ

รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน ไม่รับประทานอาหารที่ซ้ำซาก ควรรับประทานอาหารที่หลากหลาย เพื่อให้ได้สารอาหารครบตามที่ต้องการ  รับประทานอาหารที่สะอาดและปลอดภัย เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสิ่งที่เป็นพิษที่มีอยู่ในอาหาร ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวผู้บริโภค อาหารปนเปื้อนได้จากหลายสาเหตุ คือ จากเชื้อโรค และพยาธิต่างๆ สารเคมีที่เป็นพิษหรือสารปนเปื้อน หรือโลหะหนักที่เป็นอันตราย ทั้งนี้อาจเกิดจากกระบวนการผลิต ปรุง ประกอบ และจำหน่ายอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น แผงลอยริมบาทวิถี การใช้สารปรุงแต่งอาหารไม่ได้มาตรฐาน การใช้สารเคมีในการถนอมอาหาร การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในปริมาณมาก เป็นต้น

หลักการในการเลือกกินอาหารที่สะอาด ปราศจากการปนเปื้อน ควรเลือกกินอาหารที่สด สะอาด ผลิตจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มีเครื่องหมายรับรองคุณภาพ มีกลิ่น รส และสีสันตามธรรมชาติ ในการปรุงอาหารในครัวเรือน ควรเลือกซื้ออาหารที่สด สะอาด มาปรุง ล้างทำความสะอาด ก่อนนำไปปรุงประกอบ ใช้ภาชนะอุปกรณ์ที่สะอาดปลอดภัย ล้างเก็บถูกสุขลักษณะ มีพฤติกรรมบริโภคที่ถูกสุขลักษณะ คือ ล้างมือก่อนบริโภค ใช้ช้อนกลาง

การเลือกซื้ออาหารปรุงสำเร็จ อาหารถุง ควรเลือกซื้อจากร้านจำหน่ายอาหาร หรือแผงลอยที่ถูกสุขลักษณะ ปรุงสุกใหม่ มีการปกปิดป้องกันแมลงวัน บรรจุในภาชนะที่สะอาดปลอดภัยมีการใช้อุปกรณ์หยิบจับ หรือตักอาหารแทนการใช้มือ  

รับประทานอาหารไขมันพอเหมาะ เพื่อป้องกันการสะสมไขมันมากเกินไป   รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยระบบการขับถ่าย และลดไขมันในเลือด ควรกินใยอาหารอย่างสม่ำเสมอ ใยอาหารทำให้การขับถ่ายอุจจาระเป็นไปตามปกติ และป้องกันโรคหลายชนิดด้วย  ระมัดระวังการรับประทานอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น อาหารประเภททอด ย่าง เผา หรืออาหารที่ไหม้เกรียม  ลดปริมาณ และระดับการรับประทานอาหารรสจัด เช่น หวานจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด เผ็ดจัด เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินอาหาร และอาจก่อโรค เช่น โรคอ้วย โรคเบาหวาน โรคไต โรคกระเพาะ เป็นต้น  หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลม เพราะเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคตับแข็ง โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคมะเร็ง ฟันผุ โรคเบาหวาน เป็นต้น

การดื่มเครื่องดื่มที่มี แอลกอฮอล์นำไปสู่
การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ตับแข็ง โรคกระเพาะ เป็นต้น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ได้แก่สุรา เบียร์ ไวน์ บรั่นดี กระแช่ ฯลฯ จึงควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มดังกล่าว ระวังเรื่องดื่มเหล้า แม้ว่าเหล้าที่กินจะถูกเผาผลาญให้กำลังงานได้ก็จริง แต่เราไม่จัดเหล้าเป็นสารอาหาร เพราะผลที่ได้ไม่คุ้มกับอันตรายที่เหล้าคุกคามสุขภาพ คนติดเหล้ามักเป็นโรคขาดสารอาหารได้หลายชนิด เช่น โรคขาดโปรตีน และแคลอรี โรคเหน็บชา เมื่อกินเหล้าไปนานๆ ตับถูกทำลาย ยิ่งทำให้การขาดสารอาหารรุนแรงมากขึ้น

กินอาหารให้ครบ 5 หมู่


กินอาหารหลัก 5 หมู่ให้ครบ ได้แก่ อาหารพวกเนื้อสัตว์ ไข่ นม และถั่วเมล็ดแห้ง อาหารประเภทนี้จะให้โปรตีน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ อาหารพวกข้าว เผือก มัน และน้ำตาล ให้กำลังงาน และโปรตีน แต่ปริมาณ และคุณภาพของโปรตีนด้อยกว่าพวกเนื้อสัตว์ เฉพาะน้ำตาลให้แต่กำลังงานอย่างเดียวผัก และผลไม้ให้วิตามิน และเกลือแร่หลายชนิดตลอดจนใยอาหารด้วย ส่วนไขมัน เป็นแหล่งอาหารที่ให้กำลังงานที่ดี และน้ำมันพืชบางชนิดให้กรดไลโนเลอิกด้วย ในแต่ละวันถ้ากินอาหารทั้ง 5 หมู่ ให้ครบถ้วนโอกาสที่จะขาดสารอาหารย่อมเป็นไปได้ยาก และไม่ต้องไปหายาบำรุงมากินให้เสียเงิน  กินอาหารแต่ละหมู่ให้หลากหลาย เพื่อให้ร่างกายรับสารอาหารต่างๆ ครบในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการ ถ้ากินอาหารไม่ครบทั้ง 5 หมู่ หรือกินอาหารซ้ำซากเพียงบางชนิดทุกวันอาจทำให้ได้รับสารอาหารบางประเภทไม่ เพียงพอหรือมากเกินไป หมั่นดูแลน้ำหนักตัว น้ำหนักตัวเป็นเครื่องบ่งชี้สำคัญที่บอกถึงภาวะสุขภาพ แต่ละคนจะต้องมีน้ำหนักที่เหมาะสมตามวัย และได้สัดส่วนกับความสูงของตนเอง

การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์โดยการกินอาหารให้เหมาะสมควบคู่ไปกับการออก กำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถ้าน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ หรือผอมไปจะทำร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย ประสิทธิภาพการเรียน และการทำงานด้อยลงกว่าปกติ หากมีน้ำหนักมากกว่าปกติหรืออ้วนไป จะมีการเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็งบางชนิด  ทุกคนควรชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง เดือนละครั้ง เพื่อประเมินว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ ในเด็ก ใช้ค่าน้ำหนักตามเกณฑ์อายุ หรือค่าน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน ในผู้ใหญ่ ใช้ดัชนีมวลกายเป็นเกณฑ์ ค่าระหว่าง 18.5-22.9 อยู่ในเกณฑ์ปกติ ค่าต่ำกว่า 18.5 ถือว่าผอม หรือน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ค่าอยู่ระหว่าง 23-29.9 น้ำหนักเกินหรืออ้วน ค่าตั้งแต่ 30 ขึ้นไป ถือว่าเป็นโรคอ้วน

ข้าวเป็นอาหารหลัก


ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย เป็นแหล่งอาหารสำคัญที่ให้พลังงาน สารอาหารที่มีในข้าว ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน โดยเฉพาะข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือจะมีสารอาหารโปรตีน ไขมัน ใยอาหาร แร่ธาตุ และวิตามินในปริมาณที่สูงกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว  อาหารประเภทแป้ง เช่น ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน บะหมี่ เป็นแหล่งอาหารที่ให้พลังงานเช่นเดียวกัน จัดว่าเป็นอาหารจานด่วน หรืออาหารจานเดียวแบบไทยๆ ที่ใยอาหารจากผักที่เป็นเครื่องปรุงมากกว่าอาหารจานเดียวแบบตะวันตก เช่น เบอร์เกอร์ พิซซ่า ซึ่งมีค่าสูงกว่ากันมาก

กินน้ำตาลแต่พอควร

การกินน้ำตาลมากๆ มีผลร้ายต่อสุขภาพได้ เด็กที่กินของหวานมาก อมลูกกวาด และทอฟฟี่ แล้วไม่แปรงฟัน จะเป็นโรคฟันผุซึ่งมีผลทำให้การกินอาหารเป็นไปได้ไม่ดี นอกจากนี้คนที่กินหวานมากๆ จะอ้วน และมีไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือด  พืช ผัก ผลไม้  พืชผัก และผลไม้เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย มีใยอาหารช่วยในการขับถ่าย ช่วยนำคลอเลสเตอรอล และสารพิษที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย  พืชผักผลไม้หลายอย่างให้พลังงานต่ำ จึงทำให้ไม่เกิดโรคอ้วน  ควรกินพืชผักทุกมื้อให้หลากหลายสลับกันไป ส่วนผลไม้ควรกินประจำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหลังกินอาหารแต่ละมื้อ และกินเป็นเป็นอาหารว่าง

อาหารโปรตีน

กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นประจำ ปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้ง เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญ โดยเฉพาะปลาเป็นโปรตีนที่ดีย่อยง่าย มีไขมันต่ำ หากกินปลาแทนเนื้อสัตว์เป็นประจำจะช่วยลดปริมาณไขมันในโลหิต ในปลาทะเลมีสารไอโอดีนป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน ส่วนเนื้อสัตว์ควรเลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดมันเพื่อลดการสะสมไขมันในร่างกาย ไข่เป็นโปรตีนราคาถูก ปรุงง่าย เด็กควรกินไข่วันฟอง ผู้ใหญ่ที่มีภาวะโภชนาการปกติควรกินไข่สัปดาห์ละ 2-3 ฟอง และควรกินไข่ที่ปรุงสุกแล้ว ถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์จากถั่วเช่น เต้าหู้ เต้าเจี้ยว น้ำนมถั่วเหลือง ขนมถั่วกวน ก็เป็นแหล่งโปรตีนราคาถูกเช่นกัน

ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย

นม เป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับเด็ก และผู้ใหญ่ ประกอบด้วยแร่ธาตุสำคัญ คือ แคลเซียม และฟอสฟอรัส ช่วยให้กระดูก และฟันแข็งแรง มีโปรตีน และวิตามินต่างๆ ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต ทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ทำหน้าที่ปกติ หญิงตั้งครรภ์ เด็กวัยเรียน วัยรุ่น ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ควรดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายจะทำให้กระดูกแข็งแรง ชะลอการเสื่อมสลายของกระดูก

ระวังอาหารไขมัน

กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร ไขมันให้พลังงาน และความอบอุ่น ให้กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยการดูดซึมของวิตามินที่ละลานในไขมันคือ วิตามินเอ ดี อี และเค แต่ไม่ควรกินไขมันมากเกินไปเพราะจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม อ้วน และเกิดโรคอื่นๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เป็นต้น วิธีประกอบอาหารมีส่วนทำให้ปริมาณไขมันในอาหารเพิ่มขึ้น เช่น ทอด ชุบแป้งทอด ผัดน้ำมัน และอาหารที่มีกะทิ จึงควรกินแต่พอควร การประกอบอาหารโดยวิธีต้ม นึ่ง ปิ้ง ย่าง จะมีไขมันน้อยกว่า กินไขมันในขนาดที่พอเหมาะ ไม่กินไขมันมากเกินไป และต้องกินน้ำมันพืชที่ให้กรดไลโนเลอิกเป็นประจำด้วย

หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด

การกินอาหารรสจัดมากจนเป็นนิสัย จะเกิดโทษต่อร่างกาย เช่น รสหวานจัด เค็มจัด การรับประทานหวานจัดเป็นนิสัยทำให้ได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นใน เด็กจะทำให้ความอยากอาหารลดลง เบื่ออาหาร ฟันผุ การกินอาหารรสเค็มจัดที่ได้จากเกลือแกงมากกว่า 1 ช้อนชาต่อวัน จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูง จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและหลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุงรส

ไม่กินโซเดียมมาก

โซเดียม มีมากในเกลือนอกจากนี้ยังพบในอาหารธรรมชาติ เช่น เนื้อสัตว์ นม สารบางชนิดที่ใช้ในการปรุงอาหาร เช่น ผงชูรส ผงฟู ผู้ที่กินโซเดียมมาก ๆ มีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงได้มากกว่าผู้ที่กินโซเดียมน้อย.

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
http://www.bangkokhospital.com
http://www.bangkokhealth.com

      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 07 มกราคม 2553, 19:11:40 »

“ชั่งหัวมัน”

ได้กลับบ้านเกิดในวันหยุดยาววันพ่อ คุณพ่อก็ชวนขับรถเที่ยว

อำเภอเล็กๆ ในจังหวัดเพชรบุรี อย่างอำเภอท่ายาง ไม่ได้มีที่เที่ยวน่าสนใจไปกว่า ชะอำ หัวหิน จึงนึกไม่ออกว่าจะขับรถไปเที่ยวที่ไหนได้อีกนอกจากสองที่นั้น

คำเชิญชวนต่อมาของพ่อชวนให้รู้สึกสนใจขึ้นไปอีก เพราะพ่อบอกว่า "ไปดูไร่ที่ในหลวงซื้อเอาไว้ไหม"

พ่อเล่าต่อว่า ไร่นั้นอยู่ห่างไกลความเจริญ ถนนราดยางยังเข้าไม่ถึง ไฟฟ้าไม่มี แต่พระองค์ท่านทรงปลูกบ้านอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว

บ้านมีสองหลัง หลังแรกของในหลวง หลังที่สองของพระเทพฯ ราชการทูลเกล้าถวายเลขที่บ้าน เลขที่ 1 กับเลขที่ 2 ให้

ฟังทีแรกก็ไม่เข้าใจว่าพระองค์ท่านจะไปซื้อที่ดินในที่ธุรกันดาร แถมยังปลูกบ้านไว้ที่นั่นทำไม ในเมื่อปัจจุบันพระองค์ท่านก็อาศัยอยู่ที่หัวหินเป็นกิจลักษณะแล้ว

แถมพ่อยังบอกอีกว่า ขับรถเข้าไปในที่ดินได้เลยนะ ทหารเขาให้เข้า ก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ว่าเราจะเข้าไปขับรถเล่นในเขตพระราชฐานกันได้ยังไง ด้วยความอยากรู้ อันนี้ก็ต้องพิสูจน์ ไปกันดู

จากตัวอำเภอท่ายาง ขับเลี้ยวเข้าไปทางตำบลเขากระปุก ถนนเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยไร่นา

นั่งมองต้นไม้ไปได้สักครู่ สองข้างถนนก็เริ่มมีธงชาติ ธงเหลือง ธงฟ้า และธงม่วง พร้อมตราสัญลักษณ์ของแต่ละพระองค์ (ราชาศัพท์เรียกอะไร??) ติดเต็มไปตลอดทาง

ดูจากเสาธงก็รู้ว่าเป็นธงที่ชาวบ้านช่วยกันทำขึ้นอย่างตั้งใจเพื่อรับเสด็จ ข้างๆ ธงมีร่องรอยตะเกียงน้ำมันอย่างง่าย (หรืออาจเรียกได้ว่าคบไฟ) เพื่อรอรับเสด็จในเวลากลางคืน ทั้งธงและคบไฟบ่งบอกได้ว่าข่าวของพ่อไม่ผิด เรากำลังเคลื่อนที่เข้าใกล้ไร่ของในหลวงเข้าไปทุกขณะ

ในขณะที่นั่งชมทิวธงและคบไฟไปได้จนเริ่มง่วง ถนนราดยางก็เปลี่ยนเป็นถนนลูกรัง ฝุ่นคลุ้งตลบ แต่เราคงมาไม่ผิดทางแน่ เพราะทิวธงยังคงอยู่

มองไปแต่ไกลเห็นภูเขาขนาดย่อมอยู่ตรงหน้า กังหันผลิตไฟฟ้าประมาณสิบกว่าต้น สูงเด่น มีรถทะเบียนกรุงเทพฯ วิ่งสวนมาเป็นระยะ ฝุ่นฟุ้งกระจายเต็มถนนแคบ

รั้วลวดหนามทอดตัวยาวไกล ต้นไม้หลากหลายชนิดเรียงตัวเป็นระเบียบอยู่ในนั้น เขื่อนดินขนาดใหญ่ พร้อมศาลาเก้าเหลี่ยมสูงเด่น เราเดินทางมาถึงไร่ของในหลวงกันแล้ว

เมื่อแลกบัตรที่ป้อมทหาร และเลี้ยวรถเข้าไป ก็เพิ่งถึงบางอ้อ
ที่ดินจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ว่า ไม่ใช่ไร่ที่ซื้อเอาไว้หลบหนีความวุ่นวายในเมืองหลวง หรือใช้ตากอากาศ แต่มันคือที่ดินเพื่อใช้เป็น โครงการในพระราชดำริ ที่มีชื่อมันๆ ว่า "โครงการชั่งหัวมัน"
 
 

ดูจากวันที่ตั้งโครงการ คาดว่าน่าจะเป็นโครงการล่าสุดเลยทีเดียว
พอได้เดินเข้าไปในโครงการก็เกิดอาการซาบซึ้ง เพราะไม่นึกว่าในหลวงที่เราเห็นในทีวีที่แทบไม่มีแรงยกมือ กลับยังมีใจ + มีไฟ ริเริ่มโครงการใหม่ๆ ในถิ่นที่อยู่ห่างไกลความเจริญอยู่ตลอดเวลา ไม่มีหยุด



ดูจากบอร์ดภายในโครงการ อธิบายว่า โครงการนี้เป็นเสมือนแปลงทดลองปลูกพืชเศรษฐกิจในท้องถิ่น อันได้แก่ มะนาว มะพร้าว ชมพู่เพชร และพืชไร่ พืชสวน อะไรอีกจิปาถะมากมายที่ไม่รู้จัก หรือไม่มีความรู้พอจะเขียนถึง

มีการขุดบ่อ (หรือในโครงการคือเขื่อน) เพื่อเก็บกักน้ำ มีกังหันและโซล่าเซลเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า เหมือนจะเป็นแบบทดลองตัวอย่างแก่เกษตรกรโดยรอบ เพื่อเพิ่มคุณภาพให้ผลผลิต แบบพึ่งพาตัวเอง

และเหนือสิ่งอื่นใด พอมีข่าวในหลวงเสด็จมาตั้งโครงการปั๊บ ชาวบ้านแถวนั้นก็ดีใจกันยกใหญ่ หลายคนถวายแรงกายแรงใจ เข้ามาช่วยงานในโครงการฟรี ชาวบ้านบางคนที่ทำงานอยู่ในนั้น พูดอวดใครต่อใครที่มาเยือนว่าได้ก้มลงกราบฝ่าพระบาทถวายตัวรับใช้งาน พูดไปน้ำตาไหลไป มีความภาคภูมิใจในถิ่นที่เกิดและอาชีพของตัวเอง

นี่คือเรื่องราวๆ ดีๆ เพียงไม่กี่เรื่องในรอบปีที่ได้รู้แล้วก็อยากเอามาเล่าต่อ

ในขณะที่กลุ่มแอนตี้รอยัลลิสต์ ที่เขียนโจมตีโครงการในพระราชดำริในเว็บบอร์ดของตัวเองว่าเป็นโครงการที่ไม่เคยผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย

วันนี้อยากพูดกรอกหูคนเหล่านั้นว่า อย่างน้อยโครงการนี้ก็เป็นโครงการที่เกิดจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ มีประโยชน์เพื่อการพัฒนารากเหง้าของชาวบ้านที่แท้จริง ไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับมาตรฐานฝรั่ง แต่เอารากที่เมืองไทยมี คือการเกษตร มาพัฒนา ไม่ต้องพึ่งพาพลังงานน้ำมัน ไม่ต้องตามตลาดโลก ไม่ต้องป่าวประกาศ ไม่ต้องออกข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ทำอย่างเงียบๆ ทำดีอย่างที่ในหลวงบอกคนไทยเสมอว่าเป็นการ "ปิดทองหลังพระ" อย่างแท้จริง
และงานแบบนี้ ถ้าในหลวงไม่ทำ ก็อย่าหวังว่ารัฐบาลชุดไหนจะมาทำให้คนไทย รับรองได้ว่าไม่มีแน่ๆ
แถมท้าย

หลังจากกลับมาค้นข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนี้ในอินเตอร์เน็ต

ก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับชื่อที่มาของโครงการว่า

ตอนที่ในหลวงเสด็จมาที่ที่ดินนี้ครั้งแรกๆ มีชาวบ้านเอาหัวมันมาถวาย

แต่ยังไงไม่รู้ ในหลวงทรงลืมเอาหัวมันกลับไปด้วย พอกลับมาที่ที่ดินนี้อีกที หัวมันนั้นก็เริ่มงอกขึ้นมาเป็นต้น

เมื่อถึงเวลา ก็พระราชทานชื่อโครงการนี้ว่า "โครงการชั่งหัวมัน"

ถ้าใครได้ติดตามผลงานของในหลวงมาตลอด ก็จะรู้ว่า ในหลวงท่านทรงมีเอกลักษณ์ในการตั้งชื่อแบบนี้ ชื่อไทย+จำง่าย+ มีอารมณ์ขัน

หลายคนต่างก็ตีความคำว่า ชั่งหัวมัน ไปต่างๆ นานา แต่การตีความไปได้ต่างๆ ก็เป็นเสน่ห์ที่ดีอีกอย่างหนึ่งของการตั้งชื่อ ดังนั้น แล้วแต่ใครจะไปคิดเป็นอะไรก็แล้วกัน

แต่ส่วนตัวของกระผม คิดว่าพระองค์ท่านน่าจะมีความสุขทีเดียวที่ได้ทำงานนี้ การได้เลี้ยวรถจากหัวหินมาแวะที่โครงการชั่งหัวมัน ถ้ามันสร้างความสุขให้พระองค์ท่านได้ สร้างความสุขให้กับชาวบ้านแถวนี้ได้ ผลผลิตทางการเกษตรก็ถือเป็นของแถมไปแล้ว

โครงการชั่งมัน ตั้งอยู่ที่ บ้านหนองคอกไก่ ต.เขากระปุก อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี

ภาพข้างล่างคือ บ้านพักส่วนพระองค์ของในหลวง บ้านเลขที่ 1 เด่นเป็นสง่าภายในโครงการ
 

      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4 เมื่อ: 07 มกราคม 2553, 19:24:46 »

อุ๊ย,ภาพข้างบน
แปลงสัปปะรดนี่
      บันทึกการเข้า


พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 07 มกราคม 2553, 20:09:43 »

ได้อ่านไปก็เป็น แพรว-รายปักษ์ (ฉบับย้อนหลัง)
ฉบับที่ 678 ปักษ์หลังประจำวันที่ 25 พ.ย. 50
คอลัมน์ "พ่อผู้พอเพียง"
เห็นว่าน่าประทับใจ และน่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
จึงขอนำมาแบ่งปันกัน ณ โอกาสนี้

.............................

 

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา
เคยเล่าถึงความพอเพียงของพระองค์ท่านผ่านแพรวว่า

“เมื่อปี 2524 ผมได้รับการมอบหมายจากรัฐบาลให้ไปตามเสด็จฯถวายงานเป็นครั้งแรก

"ผมพยายามจ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างถึงพระราชจริยวัตรต่างๆ

"เครื่องใช้ต่างๆของพระองค์ท่าน

“จนกระทั่งทรงรู้สึกพระองค์ว่าผมจ้องดูข้อพระหัตถ์ว่าทรงใช้นาฬิกาอะไร

"ก็ทรงยื่นให้ดูเลย ผมจึงจำแบบและรุ่นไว้

"แล้วไปดูที่ร้านขาย ปรากฏว่า 750 บาทเอง

“นี่คือพระเจ้าแผ่นดินไทยนะ

"ผมตกใจว่าทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

"สามารถมีของใช้สารพัด ราคาแพงแค่ไหนก็ได้ แต่ไม่ทรงใช้


“เวลาเสวย เครื่องเสวยก็เรียบง่าย ธรรมดา

"ไม่ทรงใส่พระราชหฤทัยว่าบนโต๊ะเสวยมีอะไรบ้าง

"ไม่เคยทรงปรุงหรือแต่งเติมอะไร

"ดูๆแล้วพระองค์ท่านทรงเหมือนพระ ละซึ่งอะไรต่างๆแล้ว

"เสวยของเรียบง่าย อาจมีบ้างที่มีรับสั่งว่า นั่นอร่อยนะ”


ตรงกับคำบอกเล่าของนายทหารท่านหนึ่ง
ที่เคยตามเสด็จฯพระองค์ท่านไปตามที่ทุรกันดารว่า

“สมัยที่พระองค์ท่านเสด็จฯพื้นที่กันดาร

"มีราษฎรคนหนึ่งนำถั่วฝักยาวมาถวาย

"พระองค์ท่านให้แม่ครัวเอาไปผัดน้ำมันกระเทียม แล้วก็เสวยจนหมด

“ต่อมารับสั่งให้ผัดอีก คราวนี้ทางห้องเครื่องใส่กุ้งใส่หมูมาด้วย .

"พระองค์ท่านทรงมีรับสั่งว่า ไม่เอา แบบนี้เป็นอาหารของพระยา”




คุณสมภพ หลุยลาภประเสริฐ
เจ้าของร้านยูไลย ซอยศาลาแดง
ผู้ถวายงานตัดฉลองพระองค์สืบต่อมาตั้งแต่รุ่นพ่อเล่าว่า

“ตั้งแต่สมัยคุณพ่อ (ยูไลย หลุยลาภประเสริฐ) เป็นเจ้าของร้าน

"คุณชูพาศน์ ชูโต ซึ่งเป็นผู้ถวายงานดูแลด้านฉลองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เป็นลูกค้าตัดเสื้อกับร้านเราอยู่ก่อน

“วันหนึ่งท่านพามิสเตอร์วัตสัน ช่างตัดฉลองพระองค์ชาวอังกฤษพร้อมชุดฉลองพระองค์มาให้คุณพ่อผมลองแก้ไข

“ปรากฎว่าพอมิสเตอร์วัตสันเห็นผลงานก็พอใจ
"นำความไปกราบบังคมทูลพระองค์ท่านว่า ช่างร้านยูไลยทำงานได้ละเอียด

“พระองค์ท่านทอดพระเนตรแล้วก็โปรดว่าคุณพ่อแก้ไขได้เรียบร้อยดี จึงทรงให้ทดลองตัดดู

"และจากนั้น (ปี 2500) ร้านเราก็ได้ตัดถวายมาตลอด ทั้งฉลองพระองค์ สูท ชุดทหาร ชุดบรรทม



“ฉลองพระองค์ชุดแรกที่ผมตัดถวายเป็นฉลองพระองค์สูทสีเข้ม

"เฉลี่ยแล้วฉลองพระองค์ชุดหนึ่งพระองค์ท่านทรงใช้อยู่ประมาณ 8 – 10 ปี

"เรียกว่าถ้าทรงแล้วยังดีอยู่ก็จะทรงหมุนเวียนกลับมาทรงเรื่อยๆ

“จะทรงยอมตัดใหม่เฉพาะในโอกาสพิเศษ
"หรือมีงานสำคัญต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเท่านั้น

“อย่างฉลองพระองค์ชุดบรรทม พอนานปีเข้ายางยืดที่บั้นพระองค์ยืด

"ก็ทรงให้เปลี่ยนยางยืดใหม่ เรียกว่าต้องชำรุดจริงๆถึงจะทรงเปลี่ยน

“หรือพระสนับเพลาบางองค์ก็เป็นรู

"เพราะเวลาทรงเล่นกับสุนัขทรงเลี้ยง เขาก็จะกัด

"ผมเห็นแล้วก็กราบทูลว่าอยากตัดถวายให้ใหม่

"พระองค์ท่านก็ทรงรับฟังเฉยๆ เสร็จแล้วก็ยังทรงใส่ตัวเดิมที่เป็นรูนั่นละ


“ตั้งแต่ถวายการรับใช้มา พระวรกายเปลี่ยนแปลงน้อยมาก

"มีระยะหลังที่พระวรกายสมบูรณ์ขึ้น

"ก็โปรดเกล้าฯให้ผมนำฉลองพระองค์ชุดเก่าไปขยายให้พอดี แล้วทรงนำไปใช้ต่อ

“เพราะฉะนั้นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านจึงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผมเลย

"พระองค์ทรงปฏิบัติมานานก่อนที่จะพระราชทานแนวพระราชดำริให้คนไทยได้รู้กันด้วยซ้ำ

“ทั้งๆที่พระองค์ท่านไม่จำเป็นต้องทรงทำแบบนี้ก็ได้

"ถ้าจะทรงใช้ฉลองพระองค์แบรนด์ดังๆก็ทรงทำได้

"แต่พระองค์ท่านก็ยังทรงประหยัด มัธยัสถ์

“ทำให้ผมคิดว่า ขนาดพระองค์ท่านซึ่งยังเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินยั้งทรงปฏิบัติพระองค์แบบนี้

"เราในฐานะพสกนิกรก็ควรเดินตามรอยท่าน

"อะไรที่ไม่จำเป็น อะไรที่เกินตัวก็ไม่ควรทำ”





ด้านคุณศรไกร แน่นสีนิล หรือ “ช่างไก่”
เจ้าของร้าน ก.เปรมศิลป์ ย่านสี่แยกพิชัย
ก็เล่าถึงงานซ่อมฉลองพระบาทถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า

“ปี 2545 เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังท่านหนึ่งได้ถือพานใส่ร้องเท้าเดินเข้ามาในร้าน

"ก่อนยื่นให้ผมแล้วค่อยก้มลงกราบพาน ผมก็ตกใจ ถามว่าเอาอะไรมาให้

“เขาบอกว่าเป็นฉลองพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่โปรดมาก แต่เก่าแล้ว ไม่รู้จะเอาไปซ่อมที่ไหน

“โอ้โห...ผมขนลุกซู่ ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกอย่างไร ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมีโอกาสดีๆแบบนี้

"เพราะร้านดังๆมีเยอะแยะ แต่กลายเป็นเราที่ได้รับโอกาสสำคัญทำงานนี้


“จำได้ว่าบนพานนั้นเป็นฉลองพระบาทหนังสีดำ

"สภาพชำรุดทรุดโทรมจากการใช้งานมาหลายสิบปี หนังข้างนอกหลุดลุ่ย

"ส่วนภายในก็ผุกร่อนหลุดลอกหลายแห่ง ถ้าเป็นคนทั่วไปคงทิ้งไปแล้ว

"แต่พระองค์ท่านกลับให้เจ้าหน้าที่นำมาซ่อมเพื่อใช้งานต่อ


“ผมใช้เวลาซ่อมเกือบเดือน ทั้งที่จริงแล้วทำไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จ

"แต่เพราะอยากให้อยู่บ้านเรานานๆ (หัวเราะ)


“ที่ประทับใจสุดคือ

"ตอนที่เลาะพื้นด้านในออกมาแล้วเห็นรอยพระบาท ตื่นเต้นมาก

“เคยเห็นภาพข่าวพระราชกรณียกิจในทีวีมีคนไปรับเสด็จฯแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าปูให้ทรงเหยียบ

"แต่นี่เราเห็นรอยพระบาทปรากฏชัด จะทิ้งได้อย่างไร

“ผมก็เลยเอาใส่กรอบแล้วตั้งเอาไว้บนหิ้งสูงสุด ตกแต่งอย่างดี มีพานและผ้าคลุมพานสีเหลือง

“ลูกค้าเห็นเข้าก็ถามว่าอะไร

"พอรู้ว่าเป็นฉลองพระบาทของพระองค์ท่าน ก็ขออนุญาตเอามาเทินหัวกันใหญ่


“หลังจากนั้นผมมีโอกาสซ่อมฉลองพระบาทให้พระองค์ท่านอีก 4 คู่

“คู่แรกเป็นฉลองพระบาทลำลองซ้ายที่ถูกคุณทองแดงกัดขาด ผมก็ปะตรงรอยที่ขาด

“คู่ที่สองเป็นฉลองพระบาทแคชชูส์ผูกเชือกสีดำ ส่งมาแปะแผ่นกันลื่น

“คู่ที่สามเป็นฉลองพระบาทบู๊ต ส่งมาเปลี่ยนยางยืดด้านข้างและจัดทรงใหม่

“และคู่ที่สี่เป็นฉลองพระบาทบู๊ตสั้น ส่งมาเปลี่ยนพื้นด้านล่างทั้งสองข้าง


“ฉลองพระบาทของพระองค์ท่านเป็นตัวอย่างหนึ่งของความพอเพียงที่พสกนิกรของพระองค์ควรดำเนินรอยตาม

“สารภาพก็ได้ว่า ก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยอยากมีอยากได้ อยากรวย

"แต่ตอนนี้ใจเบาขึ้นเยอะ เพราะรู้จักพอ ไม่ปรารถนามากกว่านี้

“ถึงปัจจุบันร้านจะมีชื่อเสียง ผู้คนรู้จัก แต่ผมก็ไม่คิดจะขยายให้ใหญ่โต เปิดสาขา เพราะมีเท่านี้ก็พอแล้ว

“เงินมีไม่มาก แต่มีความสุข เพราะผมมีสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตอยู่ในบ้าน

"นั่นคือรอยพระบาทของพระองค์ท่าน ซึ่งผมถือว่าสูงสุดในชีวิตเราแล้ว”

 

 

 

อ่านแล้วแอบคิดถึงตัวเอง “ เราทำอะไรอยู่  ดิ้นรนกันเสียมากมาย ”
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6 เมื่อ: 11 มกราคม 2553, 04:13:29 »

อ่านเกือบจบแล้วคะ
อีกนิด
      บันทึกการเข้า


พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 11 มกราคม 2553, 04:32:13 »


มหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง
สุดแสนจะภูมิใจที่ลูกชาย
วัยห้าขวบของเขากำลังจะได้
เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง
ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น

โดยส่วนตัวของเขาเอง
ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก
ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน
ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียวไป
ท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ
แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่อง
”ความยากจน”
เพราะเขามีความเชื่อว่า
ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน
เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง
และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา
มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่า
ลูกชายได้อะไรบ้างจากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน
ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดา ว่า
เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนา
และพักแรมที่นั่น
ซึ่งทำ ให้เขาได้พบว่า....
ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่
ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง
แต่ก็ยังน้อยกว่าห้องทำงานของชาวนา

อาหารที่ชาวนารับประทานสามารถหาได้ตลอดเวลา
รอบๆบริเวณบ้านโดย ไม่ต้องซื้อหา
ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้น ที่เป็นที่เก็บอาหาร
เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อน
คุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหาร
กับโต๊ะอาหารที่ยาวเกือบสิบเมตร
และ มีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

ลูกชาวนา ที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา
ต้องกอดเอวพ่อให้แน่น
เพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน

แต่เขาเอง ต้องนั่งในรถที่ใหญ่โต
อยู่ข้างหลังเพียงลำพังโดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟ
ส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืนโดยไม่ขาดแคลน
แต่เขา ก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน
......... ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่
ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีดหิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

เขาขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำให้เขารู้คำตอบว่า.....
จริงๆ แล้ว.......เรายากจนกว่าชาวนามาก
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #8 เมื่อ: 11 มกราคม 2553, 04:50:41 »

งั้นมาแลกที่กันคะ
      บันทึกการเข้า


Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #9 เมื่อ: 11 มกราคม 2553, 20:52:39 »

ขอบใจจ่ะป๋าทูนำเรื่องดีๆมีคุณค่่าน่านำเสนอให้พี่น้องผองเพื่อนจ่ะเอาอีกเอาอีกนะจ๊ะท่่านป๋าทู
      บันทึกการเข้า
khwan24
Full Member
**


ชีวิตที่อิสระ เป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่หา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2524
คณะ: นิเทศศาสตร์
กระทู้: 978

« ตอบ #10 เมื่อ: 11 มกราคม 2553, 23:06:49 »

ท่านทู เราเพิ่งเข้ามาดูครั้งแรกมีเรื่องดีดี มีสาระ ตัวหนังสือใหญ่ๆน่าอ่านดีกว่าตัวเล็กนะ ขอบคุณหลายๆๆแล้วจะแวะมาใหม่นะ
      บันทึกการเข้า
jum2524
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,077

« ตอบ #11 เมื่อ: 12 มกราคม 2553, 13:22:10 »

อ้างถึง
ข้อความของ khwan24 เมื่อ 11 มกราคม 2553, 23:06:49
ท่านทู เราเพิ่งเข้ามาดูครั้งแรกมีเรื่องดีดี มีสาระ ตัวหนังสือใหญ่ๆน่าอ่านดีกว่าตัวเล็กนะ ขอบคุณหลายๆๆแล้วจะแวะมาใหม่นะ

ทั่นทูเค้าเข้าใจวัยหยั่งเราๆจ้ะขวัญ... ปิ๊งๆ

      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 12 มกราคม 2553, 15:54:09 »

กัลยาณมิตร

แนวคิดนี้น่าอ่านมากจริงๆ  อ่านแล้วขบให้แตกนะจ๊ะ

แนวคิดดีๆแด่เพื่อนพ้องน้องพี่ทุกๆคนๆๆๆๆๆ บันทึกช่วยจำของ“เหลียงจี้จาง”
“เหลียงจี้จาง”เป็นพิธีกรดังของ TVB ในฮ่องกงและเป็นนักเขียนด้วย
บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนให้ลูกได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างเมื่อไม่นานมานี้
นอกจากแสดงถึงความห่วงหาอาทรที่พ่อมีต่อลูกเฉกเช่นคุณพ่อทั่วๆไป
มุมมองของเขาบางเรื่อง(ในแบบสังคมฮ่องกง)แม้บางคนจะเคยประสบมาบ้างเหมือนกัน
อ่านแล้วก็ยังอดอึ้งไม่ได้  เลยถ่ายทอดสู่กันฟัง...



ลูกรัก..

ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบ ับนี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ
1. สรรพสิ่งล้วนอนิจัง จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้
พ่อจึงคิดว่า  บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า
2. เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอกลูก
ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก

3. สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้
ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา
มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนรู้มันอีก


ในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ให้ดี


1. คนที่ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก
ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา ยกเว้นพ่อกับแม่ของลูก  สำหรับคนที่ดีกับลูก นอกจากลูกต้องหวงแหนและขอบคุณเขาแล้วยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วย เพราะคนเราทุกคน  ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์ เขาทำดีกับลูก ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบลูกเสมอไป ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี  อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็วเกินไป

2.ไม่มีคนที่ทดแทนกันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้
  ถ้าเข้าใจจุดนี้หากวันใดคนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป  หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป ลูกจะได้เข้าใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย

3. ชีวิตนี้แสนสั้น  หากลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า
พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิตจะหลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น  ดังนั้นยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด  เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้นหาความสุขเสียแต่วันนี้  ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน

4. ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล
ความรักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ  โดยความรู้สึกนี้ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและอารมณ์  หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป ขอให้รอคอยอย่างอดทน  ให้เวลาช่วยชะล้าง  ให้จิตใจค่อยๆตกตะกอน แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆจางหายไป..  อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไป และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ

5.แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง แต่ไม่ได้หมายความว่า หากไม่ขยันเรียน แล้วจะได้ดี
ความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย แต่ไม่มีทางรวยได้ หากปราศจากอาวุธสู้.. จำไว้

6.พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ  เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูกเช่นกัน
เมื่อลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน หลังจากนั้นไป  ลูกจะนั่งรถเมล์หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์  จะกินหูฉลามหรือจะกินบะหมี่ยำๆ
ลูกต้องเลือกเอง

7. ต้องทำดีต่อผู้อื่นแต่อย่าหวังว่าผู้อื่นต้องทำดีต่อเรา
เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร มิได้หมายความว่าผู้อื่นก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน..
ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้ จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น

8.พ่อซื้อล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต ยังยากจนเหมือนเดิม
แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย นี่เป็นบทพิสูจน์ว่า  คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้น
ในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้องเสียตังค์ (No free lunch)

9. ญาติ มิตร หรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว
ฉะนั้นจงหวนแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันและแสนมีค่านี้ เพราะในชาติหน้า  ไม่ว่าท่านจะรักใครหรือชังใคร ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก (หมายเหตุ
ถึงพบกันก็ไม่รู้)

ถึงแม้นไม่เห็นด้วยแต่อยากให้ช่วยกันคิด
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 12 มกราคม 2553, 16:17:12 »

"หนูดี" เจ้าของความสุข 360 องศา
 
                 โด่งดังข้ามปีในฐานะ เจ้าของสโลแกนคุ้นหู “อัจฉริยะสร้างได้” สำหรับสาวเก่ง “หนูดี” วนิษา เรซ ที่นอกจากบุคลิกหน้าตาที่ชวนมองแล้ว เชื่อว่าหากใครได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเธอแล้ว คงต้องหลงใหลในเสน่ห์ของสาวผมยาว ตากลมคนนี้แน่ คอนเฟิร์ม!!!
               และ เพื่อลบภาพเด็กเนิร์สของอัจฉริยภาพของโลก อย่างอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ชายแก่ภายใต้แว่นตาหนาเตอะ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ว่าแท้จริงแล้ว คนที่จะเป็นอัจฉริยะอาจจะเป็นคนหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนคนทั่วไปก็ได้ เราจึงไม่พลาดมาหาคำจากสาวเก่งผู้นี้ พร้อมตอกย้ำแนวคิดอัจฉริยะสร้างได้ของสาวอัจฉริยะ ที่บอกว่าสร้างได้ง่ายๆ เพียงแค่รู้จักหาวิธีในการดูแลและพัฒนาตัวเองอย่างถูกต้อง
                 มาดูกันสิ ว่าสาวเก่งในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดคนแรก ของไทยจะมีไลฟ์สไตล์ และวิธีการดำเนินชีวิตให้มีความสุขกับชีวิตได้ในทุกๆ วัน โดยเฉพาะในสังคมที่เต็มไปด้วยความเครียดแบบนี้
                วันนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" นัดพบกับสาวเก่งที่โรงเรียนวนิษาของเธอ หนูดีปรากฏตัวในชุดสีส้ม สีสันบาดตา ขับกับผมยาวดำสลวยของเธอ ทำให้ในวันนี้หนูดีดูสวยมีเสน่ห์ สะท้อนออร่าออกมาเป็นประกายไม่แพ้มุมมองและทัศนะของเธอ ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่รอช้าที่จะไขความลับความดูดีแบบสมบูรณ์ของหนูดี

 
ดูแลตัวเองแบบ 3 มิติ
                  หนูดีมองว่า เราต้องดูแลทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ไปควบคู่กัน เพราะร่างกาย เป็นที่อยู่ของจิตใจ ถ้าร่างกายอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อม ก็ยากที่จะทำให้มีจิตใจที่ดี ขณะที่ต่อให้ร่างกายพร้อมแค่ไหน แต่จิตใจเราไม่โอเค ก็ไม่มีประโยชน์ การดูแลจิตใจในที่นี่ คือ การไม่พูดอะไรให้ใครเสียใจ ไม่ทำอะไรให้ตัวเองรู้สึกแย่ ส่วนอีกมิติหนึ่งที่สูงขึ้นไป คือ จิตวิญญาณ มันเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งที่เราสามารถเข้าไปเยือนมันได้เรื่อยๆ แต่การที่เราจะไปเยือนโลกตรงนั้น มันต้องมีคนที่ชี้เส้นทางให้เราเข้าไป เพราะบางครั้งให้เราเดินเองเราไม่รู้จะเดินเข้าไปยังไง เช่น บางทีเวลาที่เราโกรธมากๆ เราไม่รู้จะระงับความโกรธยังไง ถ้าผิดหวังมากๆจะจัดการยังไง ทุกข์ใจ เศร้าใจ คืออันนี้เป็นความรู้สึกของมนุษย์อย่างเรา แต่จะไปนั่งเรียนในห้องเรียนจิตวิทยาบางทีมันบอกได้ไม่หมด แต่พอเข้ามาในโซนของศาสนา หรือการปฏิบัติธรรม มันเหมือนสิ่งที่ทุกคนที่เข้ามาต้องทำเป็นหน้าที่ มันก็เหมือนไปได้ทุกมิติแล้ว พอมิติหนึ่งล่ม เช่น ร่างกายป่วย ก็มีมิติจิตใจมาช่วย ซึ่งหนูดีรู้สึกว่ามันดีมาก แต่เราไม่จำเป็นต้องแบ่งเวลาว่าตอนนี้ต้องทำมิตินี้ ทำอันนี้ แต่พอมีเวลาว่างทำอันไหนได้ก็ทำ ออกกำลังกายช่วงนี้ได้ออก หรือถ้ามีเวลาไปปฏิบัติธรรมก็ไป
สร้างอัจฉริยะด้วย 2 มือ
                    หนูดีแบ่งวิธีในการพัฒนาสมองของคนเราเป็น 2 ส่วน คือ การกินอาหารดี ไม่ได้หมายถึงอาหารเสริม เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เราฉลาดหรืออัจฉริยะ เพียงแต่ช่วยให้โครงสร้างทางร่างกายและโครงสร้างทางเคมีในสมองพร้อมที่จะ เรียนรู้เท่านั้นเอง
 
                    บางคนบอกว่าความฉลาดคือการต้องเรียนรู้หรือฝึกฝนบ่อย หนูดียอมรับว่ามีส่วน แต่นั่นเป็นเพียงความฉลาดในเชิงทักษะ เช่น การจะทำงานหนึ่งให้ประสบความสำเร็จ มันต้องมีเป้าหมาย และทักษะที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น แต่ปัญหาคือ บางคนเป็นแต่ตั้งเป้าหมาย แต่ไม่มีทักษะ เช่น เด็กสมัยนี้อยากเป็นดาราดัง อันนั้นคือเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ทักษะที่จะไปถึงตรงนั้นล่ะ คนเป็นดาราต้องทำอะไร ต้องร้องเพลงได้ไหม ต้องกล้าอยู่ต่อหน้าที่ชุมชนไหม ต้องมีทักษะการแสดงไหม  นั่นคือเรื่องที่ต้องไปฝึก ซึ่งส่วนนั้นแหละคือทักษะที่ต้องไปฝึกฝนบ่อยๆ แต่ว่าในการที่จะไปฝึก ก็ต้องอยู่ในสภาพที่พร้อม เช่น สมองพร้อมไหม สมองต้องไม่อยู่ในภาวะขาดน้ำ ขาดอาหาร ร่างกายพร้อมไหม ไม่อยู่ในสภาพเจ็บป่วย คือทั้งหมดเป็นองค์ประกอบเอื้อกัน

อย่ามองอนาคตตัวเองเกิน 5 ปี
                  หนูดีมองว่า เราจะทำอะไรก็แล้วแต่ต้องเริ่มจากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนก่อน แต่หนูดีไม่เห็นด้วยว่าเมื่อคนเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ต้องพยายามทำให้ได้ในทุกกรณี เพราะคนเราตั้งเป้าหมายอย่างหนึ่งด้วยความคิดอย่างหนึ่ง ด้วยวัยๆ หนึ่ง ที่สำคัญเป้าหมายใหญ่ๆ มักเกิดในอดีต ซึ่งถ้าอดีตมันทำให้เราไม่มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามาในปัจจุบันได้ ก็เหมือนเราทิ้งโอกาสไป สำหรับหนูดีมองว่า การตั้งเป้าหมายดีก็จริง แต่เราต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนได้เสมอ ถ้ามีอะไรที่ดีกว่า ดร.การด์เนอร์ อาจารย์ของหนูดีเคยบอกว่า บอกว่าคนเราไม่ควรรู้อนาคตอีก 5 ปี เพราะถ้าเราวางแผนอนาคตในอีก 5 ปีข้างหน้า เท่ากับเรากำลังปฏิเสธโอกาสดีๆ ในอนาคตทั้งหมด เพราะไม่มีวันที่เราจะรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง แต่ถ้าเราเป็นคนคิดเก่ง เราจะพัฒนาตัวเองทุกปี เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคิดว่าเราทำได้ในปีนี้ อีก 3 ปีข้างหน้ามันอาจจะไม่ใช่ เราอาจจะเป็นคนที่เก่งมากขึ้น เมื่อเราเก่งมากขึ้น ประตูมันเปิดอีกเยอะ เหมือนวันที่หนูดีเดินเข้าไปเรียน ป.โท หรือวันที่เรียนจบ โอกาสมันต่างกันเยอะเลย เพราะปริญญาดีๆ ใบหนึ่งมันเปิดประตูให้เราได้อีกตั้งหลายบาน ทั้งที่ก่อนหน้าเราได้ปริญญามาเราไม่สามารถเดินเข้าไปบริษัทดีๆในอเมริกา หรือทั่วโลกได้

โอกาสที่เข้ามาเหมือนน้ำที่ทะลักเข้าเขื่อน
                  โดยส่วนตัวหนูดีเป็นคนเลือกมาก เราผ่านช่วงชีวิตหนึ่งที่มีหลายคนเสนอโอกาสมาให้ วันหนึ่งอาจมีเป็นสิบๆ แต่คนที่เสนอโอกาสเข้ามาให้หนูดี ไม่มีใครที่รู้จักตัวหนูดีมากกว่าตัวหนูดีเอง เพราะฉะนั้นมันไม่ผิดที่เขาเสนออะไรที่ไม่เหมาะกับตัวหนูดี เพราะหนูดีต้องเป็นคนตัดสินใจว่าจะเลือกอะไร ไม่เลือกอะไร เหมือนกับน้ำที่ทะลักเข้ามาเขื่อนของเรา เราต้องเลือกที่จะตักเองว่าอันไหนเป็นน้ำดีเป็นน้ำเสีย แต่ทั้งนี้เวลาตักก็ตักแบบพอประมาณ ตามศักยภาพของตัวเรา ไม่ใช่หนูดีเงยหน้ามาอีกที แม่บอกว่าไม่ได้เห็นหน้าเรา น้องเรามีปัญหา หรือเพื่อนบอกเราไม่มีเวลาเลย แบบนั้นก็ไม่ได้ เพราะคนเหล่านี้มีผลต่อมิติทางจิตใจ ถ้าไม่มีคนเหล่านี้ สภาพจิตใจของหนูดีก็ไม่อยู่ในสภาพที่ปกติ
                  โดยส่วนตัวหนูดีไม่เห็นด้วยกับการคว้าทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่เห็นด้วยว่าเราควรดูและพิจารณาทุกโอกาสอย่างใกล้ชิด แม่หนูดีเคยพูดว่าก่อนจะปฏิเสธอะไร ต้องดูว่าเรากำลังปฏิเสธอะไรอยู่ ไม่ใช่แค่ดูว่าไม่น่าจะเข้ากับเรา แล้วก็ปฏิเสธไปเลย
พอใจและประสบความสำเร็จในทุกๆ วัน   ประสบความสำเร็จเรื่อยๆ เพราะบางคนบอกว่าต้องตั้งเป้าใหญ่ โดยไม่มองความสำเร็จระหว่างทาง แต่สำหรับหนูดีจะมีเป้าเล็กๆในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละไตรมาส เพราะฉะนั้นเท่ากับว่าหนูดีสามารถประสบความสำเร็จทุกวัน แต่ละวันมีเป้าหมายต่างกัน ขึ้นอยู่กับงานในวันนั้นๆ
                  ทุกวันนี้หนูดีพอใจ กับชีวิตมาก บางคนอาจคิดว่าเหมือนเราไม่ทะเยอทะยาน แต่หนูดีมองว่าเป็นคนละเรื่อง คือ แม้จะพอใจ แต่ก็ยังมีแรงผลักดันในตัวเอง ที่อยากพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ ชีวิตคนเรามันจะไม่มีความสุขขนาดไหน ถ้าเราไม่พอใจในชีวิตตัวเอง ยกตัวอย่าง คนที่มองตัวเองในกระจกแล้วไม่ชอบตัวเอง ไม่ชอบหน้าตัวเอง ไม่ชอบสิ่งที่เห็นอะไรในตัวเองก็แล้วแต่ มันจะเป็นชีวิตที่มีความสุขไม่ได้ เพราะเราไม่ยอมรับ หรือไม่ชอบในสิ่งที่เราเป็นเจ้าของ เช่นเดียวกับที่เราไม่พอใจในชีวิต ตรงนู้นไม่พอใจ ตรงนี้ไม่พอใจ มันจะเป็นชีวิตที่มีความขัดแย้งอยู่สูงมาก แล้วทำให้เราต้องลุกขึ้นทำนู่นทำนี่เยอะมาก เพราะหนูดีคิดว่าการที่คนเราจะมีความสุข มันต้องเป็นความสามารถที่จะอยู่นิ่งกับตัวเองได้ แล้วบอกตัวเองว่าเราชอบตัวเรา และถ้าไม่มีอันนี้ต่อให้ทำอะไรทั้งโลก ก็ไม่สามารถมีความสุขอย่างแท้จริงได้ เพราะเป็นการวิ่งหนีตัวเอง
 

ขอบคุณทุกความล้มเหลว
                  หนูดีเจอเรื่องที่ล้มเหลวมาเยอะ ซึ่งหนูดีเลือกที่จะยอมรับและขอบคุณมัน แต่ที่พูดนี้ไม่ได้ทำกันง่ายๆนะ (หัวเราะ) อย่างตอนแรกๆ ที่เจอ ด้วยความเป็นเด็ก มันเหมือนเราตกลงไปในหลุมมืด ก็ร้องไห้ เสียใจ แต่พอโตขึ้น เจอปัญหามากขึ้น เราก็เริ่มหาที่ยึดเหนี่ยว หาไอดอลที่เขาเคยล้มเหลวมามากกว่าเรา มาเปรียบเทียบกับว่าเรื่องที่เราเจอมันเล็กมาก เหมือนเป็นการหาจิตวิทยาเชิงบวกมาปลอบใจตัวเอง ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น จนเดี๋ยวนี้ กลายเป็นเรื่องง่ายที่เราจะบอกกับคนใกล้ตัวว่าเราล้มเหลวเรื่องนี้นะ ใจเรามันตกหลุมเหมือนแต่ก่อน แม้ภายนอกจะล้มเหลวแต่ใจเรายังเป็นอิสระ

เคล็ดลับความสำเร็จ
               ก่อนนอนทุกวัน หนูดีจะวาดภาพวันพรุ่งนี้ไว้ในหัวก่อน ว่าพรุ่งนี้เราจะทำอะไร ทำแบบไหน ด้วยอารมณ์ไหน จะใส่ชุดไหน เตรียมงานไว้ประมาณไหน ที่สำคัญต้องจินตนาการไว้แบบประสบความสำเร็จด้วยนะ แล้วหนูดีเชื่อว่าวันนั้นของหนูดีจะจบลงแบบมีความสุข
                หนูดีคิดว่าคน เราควรอยากตื่นขึ้นมาเจอกับทุกวัน อย่างตัวหนูดีเลือกทำในงานที่เราทำแล้วมีความสุข หนูดีคิดว่าการที่เราได้เห็นชีวิตตัวเองล่วงหน้า 3 เดือน หรืออย่างน้อย 1 วัน มันเหมือนเราได้มีชีวิต 2 ครั้ง ซึ่งหลักการนี้มีงานวิจัยรองรับเยอะมาก ส่วนใหญ่หนูดีจะใช้เวลาช่วงก่อนนอนในการจินตภาพเหตุการณ์ เพราะเป็นเวลาที่หนูดีคิดว่าวิเศษมาก เป็นเวลาที่เรารู้สึกเป็นส่วนตัวมาก และเป็นของเราอย่างแท้จริง

จบบทสนทนาของเราในวันนี้ นึกสงสัยก่อนจากโรงเรียนวนิษาว่า สงสัยอัจฉริยะจะสร้างได้จริงๆอย่างที่เธอบอก แต่ความเป็นอัจฉริยะของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน แล้วแต่ใครจะเลือกตีความอย่างไร...
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 12 มกราคม 2553, 22:40:40 »


              ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร  ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก  ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง  แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล  จากลำธารกลับสู่บ้าน  จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็ม ที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง
              ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึกอับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง  มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้นมา หลังจากเวลา 2 ปีที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น   วันหนึ่งที่ข้างลำธารมันได้พูดกับคนตักน้ำว่า       "ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะ รอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้าทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทาง ที่กลับไปยังบ้านของท่าน"
คนตักน้ำตอบว่า "เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่ ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า และทุกวันที่เราเดินกลับ...เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเล็ดพันธุ์เหล่านั้น เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ  เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว...เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้"

       คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้  สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็นและมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง

                มองโลกหลาย ๆ ด้าน เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #15 เมื่อ: 12 มกราคม 2553, 23:02:19 »

 ป๋าทูจ๋าาาาาเอาอีก เอาอีกจ่ะ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 17 มกราคม 2553, 02:37:10 »

ตั้งเรือนจำทันสมัยเป็นแห่งแรกของโลก เฉพาะผู้แปลงเพศ
 

รัฐบาลเมืองมักกะโรนีเปิดเรือนจำ เฉพาะนักโทษซึ่งเป็นผู้แปลงเพศแห่งแรกของโลก เริ่มด้วยนักโทษทั้งเรือนจำรุ่นแรกเพียง 2 คน แต่มีเจ้าหน้าที่ถึง 22 คน

ปัจจุบัน อิตาลีมีนักโทษที่เป็นผู้แปลงเพศด้วยกัน 60 คน โดยแยกย้ายฝากขังเอาไว้ตามเรือนจำสตรีต่างๆ เป็นที่คาดว่านักโทษส่วนใหญ่ของเรือนจำแห่งใหม่ ซึ่งอยู่ที่เมืองปอซซาเล ใกล้กับเมืองฟลอเรนซ์ จะเป็นนักโทษในคดียาเสพติดและโสเภณี

ตาม รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์รายวันอิตาลีฉบับหนึ่ง เผยว่า เรือนจำสามารถควบคุมนักโทษ 30 คน มีห้องสมุด ศูนย์พักผ่อนหย่อนใจ สนามฟุตบอล และแปลงเพาะปลูก เพื่อผลิตน้ำมันมะกอกและทำไวน์ด้วย นักโทษแต่ละคนมีห้องเฉพาะของตัว และมีแผนการฝึกอบรมเฉพาะตนด้วย.
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Lamai
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,712

« ตอบ #17 เมื่อ: 17 มกราคม 2553, 14:09:33 »

อยากไปเป็นนักโทษที่นี่จัง!!!!!! เหอๆๆ เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 18 มกราคม 2553, 17:37:54 »

ป้องกันเด็กสายตาสั้นได้หากให้โดนแดดวันละสัก 2 ชม.

สภาวิจัยเมืองจิงโจ้แสดงความแปลกใจที่เด็กๆของชาติเอเชียตะวันออกพากันสายตา สั้นกันมาก ศึกษาวิจัยพบเหตุส่อว่า อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยได้ตากแดด แนะให้ควรจะออกมาโดนแดดกลางแจ้ง นานวันละไม่น้อยกว่า 2 ชม.

ศาสตราจารย์ เอียน มอร์แกน แห่งสภาวิจัยออสเตรเลีย กล่าวว่า ได้ศึกษาพบหากเด็กได้มีโอกาสถูกแสงสว่างไสวทุกวัน  วันละสัก  2-3  ชม.  จะช่วยควบคุมการเติบโตของตา ป้องกันการเกิดสายตาสั้นได้อย่างน่าทึ่ง

อาจารย์ เอียนเล่าว่า ปัญหาสายตาสั้นมักเป็นกับผู้ที่เล่าเรียนสูง และก็พบว่าเด็กๆตามชาติเอเชียตะวันออก เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น และจีน พากันเป็นกันมาก ยิ่งคนสิงคโปร์ เมื่อออกจากโรงเรียน ล้วนแต่ต้องใส่แว่นกันมากถึงร้อยละ 90 แม้แต่เด็กอายุแค่ 6-7 ขวบ ก็ใส่แว่นกันถึงร้อยละ 30 แล้ว "เทียบกับเด็กออสเตรเลีย ที่เป็นกันอยู่เพียงร้อยละ 20 ซึ่งเรารู้สึกแปลกใจมาก" เขากล่าวต่อไปว่า "ได้พบว่าเด็กสิงคโปร์มีโอกาสได้ออกมาเจอแดดข้างนอกน้อย เฉลี่ยแค่วันละ 30 นาทีเท่านั้น เทียบกับเด็กออสเตรเลีย ซึ่งออกมาอยู่กลางแจ้งวันละ 2 ชม."

เขาสรุปว่า "อาจจะเทียบได้ว่าการศึกษาเล่าเรียนทำให้สายตาสั้น แต่การออกมาอยู่กลางแจ้งอาจจะเป็นเครื่องช่วยชะลอเอาไว้ได้".

 
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #19 เมื่อ: 19 มกราคม 2553, 14:21:03 »

บทความนี้ให้ใช้ปัญญาในการอ่าน
'สมิทธ-โสรัจจะ'ฟันธง กลางปีเกิดสึนามิ โดนไทยเต็มๆ
 

ดร.สมิทธ ธรรมสโรช  -  โสรัจจะ นวลอยู่

อดีต ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กับ โหรชื่อดังฉายา "นอสตราดามุสเมืองไทย" ทำนายตรงกัน กลางปีนี้ประเทศไทยเจอสึนามิถล่มหนักแน่ๆ...

หลังจากเป็นที่ฮือฮากับรายงานข่าวจากต่างประเทศ เมื่อคณะผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาจากประเทศไอร์แลนด์เหนือ นำโดย ศาสตราจารย์จอห์น แมคคลอสคีย์ สถาบันวิจัยนิเวศวิทยาแห่งมหาวิยาลัยอัลส์เตอร์ ไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิชาการที่ขึ้นชื่อว่าทำนายเหตุการณ์สึนามิได้แม่นยำมากที่ สุด ได้ส่งจดหมายเตือนภัยว่าอาจจะเกิดคลื่นยักษ์ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวถล่ม ชายฝั่งเกาะสุมาตราในอนาคตอันใกล้

คำเตือนที่ว่านั้นยิ่งสร้างความ สะพรึงกลัวให้กับคนไทย เมื่อมันมาตรงกับคำทำนายของนักวิชาการและโหราศาสตร์ชื่อดังก่อนหน้านี้ ที่ว่าสึนามิจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ที่สำคัญประเทศไทยจะได้รับความเสียหายมากมายกว่าสึนามิเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547

ผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์สอบถามไปยัง ดร.สมิทธ ธรรมสโรช อดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ผู้ที่เคยทำนายว่าประเทศไทยจะเกิดสึนามิครั้งใหญ่อีกครั้งในอนาคตอันใกล้ โดยเขาเห็นด้วยกับคำเตือนของศาสตราจารย์สถาบันวิจัยนิเวศวิทยาแห่งมหาวิยา ลัยอัลส์เตอร์ ไอร์แลนด์เหนือ และว่าถ้าเกิดสึนามิครั้งนี้ ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบผู้คนจะล้มหายตายจากมากมายกว่าครั้งที่แล้วมาก

"ปี ที่แล้วผมมีโอกาสเข้าไปร่วมประชุมกับนักวิจัยญี่ปุ่น ซึ่งเขาก็พูดถึงเรื่องของศาสตราจารย์จอห์น แมคคลอสคีย์ ออกมาบอกว่าอีกไม่นานจะเกิดสึนามิอีกครั้ง ในส่วนประเทศไทย จะได้รับผลกระทบมากๆ เพราะว่ารอยเลื่อนแผ่นดินที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 มันเลื่อนแค่เศษ 1 ส่วน 4 เท่านั้น ดังนั้นจะเหลืออีกเศษ 3 ส่วน 4 ที่ยังไม่เกิด ซึ่งแผ่นดินมันค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาทางเหนือระหว่างเกาะนิโคบาและเกาะอันดามัน โดยการเลื่อนในครั้งนี้มันจะเขยิบเข้ามาใกล้กับชายฝั่งของประเทศไทยมากขึ้น จากครั้งที่แล้ว"

ดร.สมิทธ กล่าวต่อว่า ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้อง 9 ริกเตอร์เหมือนกับครั้งที่แล้ว เรียกว่าขอให้เกิดสึนามิขึ้นเมื่อใด ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมหาศาล

"คำนวณง่ายๆ ว่าสึนามิครั้งที่แล้วมันไกลจาก 6 จังหวัดภาคใต้ถึง 1,200 กิโลเมตร แต่รอยเลื่อนอีกเศษ 3 ส่วน 4 มันอยู่ใกล้ประเทศไทยเพียง 300-400 กิโลเมตา ดังนั้นถ้าเกิดสึนามิขึ้นไม่ว่าจะกี่ริกเตอร์ ประเทศไทยจะได้รับความเสียหายมากกว่าครั้งที่แล้วแน่นอน"

ถามว่าจังหวัดไหนบ้างที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ดร.สมิทธ  กล่าวว่า คงไม่พ้น 6 จังหวัดที่โดนสึนามิครั้งที่แล้วถล่ม

"ที่ น่ากลัวที่สุดก็ไล่ไปตั้งแต่ จ.ระนอง, พังงา, ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง และสตูล และเรื่อยลงไปอีกซึ่งมันจะกินพื้นที่มากๆ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดปัจจัยหลักก็ต้องดูจุดเกิดสึนามิที่แน่นอนอีกที ซึ่งไม่มีใครพยากรณ์ได้ตรงเป๊ะๆ แต่รวมๆ แล้ว 6 จังหวัดที่ว่าโดนผลกระทบมหาศาลมากๆ ถ้าไม่เฝ้าระวัง ซึ่งเรื่องนี้ในการประชุมเรื่องสึนามิที่ประเทศไทยเมื่อปีที่แล้วเราพูดกัน เยอะ แต่ก็เขาก็ไม่ได้บอกชัดเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทย ระบุแต่ถ้าเกิดสึนามิอีกครั้ง ตั้งแต่พม่าโดนหมด อย่างแผ่นดินไหวที่เฮติในครั้งนี้ บางคนก็พยากรณ์ว่าอีกนานจะเกิด 10-100 ปี แต่ผมเชื่อว่ามันพยากรณ์ไม่ได้ อยู่ๆ มันเกิดตูมขึ้นมา ภายใน 1-5 ปีนับจากนี้อาจไม่เกิดก็ได้ หรืออาจจะเกิดพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่มีใครพยากรณ์ได้ ประเทศไทยก็เหมือนกัน แต่เราก็ทำได้แค่ระวังตัว"

สำหรับ วิธีป้องกัน อดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยก็ต้องมีระบบเตือนภัยที่ดี ซึ่งอาจจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ซึ่งเห็นคนในพื้นที่บอกว่า ทุ่นเตือนภัยก็แบตฯ หมด หอเตือนภัยก็ใช้การได้ไม่หมด ทั้งนี้ ตนคงพูดอะไรไม่ได้มาก เพราะโดนรัฐฟ้องอยู่ข้อหาหมิ่นประมาท

"สิ่งที่ผมทำได้ก็คือ ปัจจุบันผมทำมูลนิธิเตือนภัยโดยไม่หวังกำไรทำงานคู่ขนานไปกับศูนย์เตือนภัย พิบัติแห่งชาติของรัฐ โดยมูลนิธิเรามีหน้าที่เตือนภัยทำเหมือนกับศูนย์เตือนภัยพิบัติทุกๆ อย่าง โดยเรามีเครือข่ายจากลูกทุ่งเน็ตเวิร์คกระจายเสียงทั้งหมด 81 สถานี ทั้งเอฟเอ็ม เอเอ็มทั่วประเทศที่จะติดตามความเหตุการณ์พร้อมกับเตือนภัยได้ 24 ชั่วโมง โดยมีสถานีวิทยุให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายสนุนค่าใช้จ่าย"

สุด ท้าย ดร.สมิทธ ฝากไปถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยว่า มูลนิธิจะพยายามเตือนให้ทราบล่วงหน้าว่า ภัยธรรมชาติชนิดไหนจะเกิดขึ้นที่ไหน เราจะทำให้ดีที่สุดขอให้ติดตามรับฟังเครือข่ายและสถานีวิทยุของเรา โดยสามารถสอบถามและแจ้งเหตุได้ที่ โทร.0-2888-2215 ได้ 24 ชั่วโมง

ด้านโหรชื่อดัง นายโสรัจจะ นวลอยู่ ฉายานอสตราดามุสเมืองไทย ผู้ที่เคยทำนายประเทศไทยจะเกิดสึนามิใหญ่ อีกทั้งยังฟันธงอีกว่า กลางปีนี้ประเทศไทยจะมีสึนามิอีกครั้ง กล่าวว่า

"ตามดวง ดาวจริงแล้วมีเกณฑ์กลางปีนี้ 100% ซึ่งผมดูจากดวงดาวแล้ว กลางปีนี้ค่อนข้างจะน่าเป็นห่วงมากๆ เพราะว่าดาวที่สำคัญอย่าง ดาวเสาร์ อยู่ในภพอริของดวงเมือง อีกทั้งราหูมาอยู่ในภพที่ 9 ซึ่งตรงนี้มีผล มากๆ คือดาวสองดวงนี้ทำมุมกัน แล้วดาวพฤหัสก็เกี่ยวกับน้ำ พฤหัสอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยดี อย่างไรก็ดี ผมก็คิดว่าเป็นไปได้ว่าประเทศไทยมีโอกาสใกล้เคียงจะเกิดทั้งแผ่นดินไหวแล้ว ก็เกิดสึนามิด้วย โดยเฉพาะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมชายฝั่ง หรือแถบอันดามันตั้งแต่ระนองลงไปอันตรายมากๆ"

เมื่อถามถึงวิธีป้องกัน โหรชื่อดังกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะว่ามันเป็นกฎแห่งดวงดาว ที่มาบรรจบกับภัยธรรมชาติ

"สิ่ง ที่เตือนได้นอกจากการทำบุญแล้ว ผมอยากให้ภาครัฐใส่ใจตรวจสอบเครื่องเตือนภัยต่างๆ ให้สมบูรณ์แบบ ส่วนประชาชนก็ต้องคอยระมัดระวังฟังศูนย์เตือนภัย ซึ่งอาจจะทำให้เหตุการณ์ที่หนักหนาสาหัสในกลางปีนี้ทุเลาลงไปได้" นายโสรัจจะกล่าว.
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
SC (ก้าน 24)
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 981

« ตอบ #20 เมื่อ: 19 มกราคม 2553, 20:30:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ Lamai เมื่อ 17 มกราคม 2553, 14:09:33
อยากไปเป็นนักโทษที่นี่จัง!!!!!! เหอๆๆ เหอๆๆ

ไปแปลงเพศสิจ๊ะ ละไม

 เหอๆๆ เหอๆๆ เหอๆๆ
      บันทึกการเข้า

My Website <== คลิกเพื่อชม MV โดยไม่มีโฆษณาคั่น คลิกเล่นแล้ว คลิกขยายให้เต็มจอ อย่าคลิก YouTube
SC (ก้าน 24)
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 981

« ตอบ #21 เมื่อ: 19 มกราคม 2553, 20:31:28 »

สวัสดีนายทู
สบายดีนะตั้งแต่วันนั้น


 บ่ฮู้บ่หัน
      บันทึกการเข้า

My Website <== คลิกเพื่อชม MV โดยไม่มีโฆษณาคั่น คลิกเล่นแล้ว คลิกขยายให้เต็มจอ อย่าคลิก YouTube
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #22 เมื่อ: 19 มกราคม 2553, 22:21:50 »


"ใบหม่อน-มะละกอ" ล้างไขมันลำไส้

ไขมัน ที่เคลือบอยู่ตามผนังลำไส้สามารถล้างออกได้ด้วยวิธีธรรมชาติแบบง่ายๆ คือ ให้เอา "ใบหม่อน" แบบแห้งจำนวน 15 กรัม กับผล "มะละกอ" ดิบ ผ่าขวางครึ่งผลเล็กหรือใหญ่แล้วแต่จะซื้อหาได้ จากนั้นนำเอาทั้ง 2 อย่างไปต้มกับน้ำสะอาดกะจำนวนพอเหมาะจนเดือดแล้วดื่มขณะอุ่นครั้งละครึ่ง แก้ว 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น ต้มดื่มทุกวันไม่มีอันตรายอะไร จะช่วยทำหน้าที่ละลายไขมันที่เคลือบอยู่ตามผนังลำไส้ และช่วยดูดซับไขมันส่วนที่ไม่มีประโยชน์ได้ดีมาก

หม่อน หรือ WHITE MULBERRY, MUL-BERRY TREE, MORUS ALBA LINN. อยู่ในวงศ์ MORACEAE ประโยชน์ทางอาหาร ยอดอ่อนใส่แกงแทนผงชูรส  ผลรสอมเปรี้ยวทำแยม  ไวน์  ใบเลี้ยงตัวไหม ปลาดุก  ทำชาใบหม่อน สรรพคุณทางสมุนไพร ใบแก้ไอ ระงับประสาท  หรือต้มเอาน้ำล้างตา  แก้ตาแดง  ตาแฉะ หรือตาฝ้าฟาง  ต้นและใบแห้งมีขาย  ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 21 แผง "คุณพร้อมพันธุ์" ราคาสอบถามกันเอง

มะละกอ หรือ CARICA PAPAYA  LINN. อยู่ในวงศ์ CARICACEAE มีผลวางขายตามตลาดสดทั่วไป  ประโยชน์ทางอาหาร ใบกินกับตำกล้วยตานี เมี่ยง ผลใช้ตำส้มตำ แกง นึ่ง สรรพคุณทางยา ยางใช้กัดหูด ตาปลา และเป็นยาระบาย เมล็ดสด กินแก้ลมเดิน ขับลม แต่ผลงานวิจัยระบุว่า เมล็ดสดหากกินมากๆ จะก่อให้เกิดมะเร็งได้ การใช้สอยอื่นๆ ยางใช้หมักไก่ ต้มเนื้อให้ยุ่ย ทำครีมทากันส้นเท้าแตก  ใช้ซักผ้าแต่มีข้อยกเว้นซักผ้าห่มไม่ได้

ครับ หนังสือ "สมุนไพรไม้ประดับหายาก" เล่มที่ 4 ของ "นายเกษตร" พิมพ์สี่สีทั้งเล่ม หนา 256 หน้า มีสูตรยาและไม้ดอกไม้ผลหายากมากกว่า 150 ชนิด เหลือน้อยลงเรื่อยๆ ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติ ซื้อสั่งจ่าย  "คุณนงลักษณ์  ศรีอัชรานนท์" ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901   ระบุที่ส่งกลับให้ชัดเจน   หรือ สอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพรตรีผลา ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ผงยาโบราณ แก้สิวแผ่นหลังตุ่มหนองใส  ลมพิษต่างๆ,  ขมิ้นชัน  สูตรรักษาแผลในกระเพาะอาหารลำไส้,  แห้วหมูแคปซูลลดความดันโลหิต,  เพชรสังฆาต  แคปซูลแก้ริดสีดวงทวารอุจจาระมีเลือดติด,  ครีมโลดทะนง  รักษาสิวฝ้าทำให้หน้าเนียนใสรูขุมขนตีบลง,  ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อยแก้เกาต์  ลดเบาหวาน  บำรุงไตบำรุงกำลัง,  คอลลาเจนบริสุทธิ์  ทำให้หน้ากระชับรอยย่นจางหาย  โทร. 0-2275-2692 ครับ.

"นายเกษตร"
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
หนุ่ม2524
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
กระทู้: 1,042

« ตอบ #23 เมื่อ: 22 มกราคม 2553, 10:48:19 »

เหตุเกิดที่ชานชลา 11 บี สถานีคิงครอส  



     เดลิเมล์ - ภาพหญิงสูงวัยขณะะก้าวขึ้นรถไฟภาพนี้ ไม่ใช่ภาพของสุภาพสตรีทั่วๆ ไป แต่เป็นสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ ซึ่งทรงซื้อตั๋วโดยสาร(ในราคาผู้สูงอายุ) เดินทางออกนอกเมือง เพื่อเตรียมฉลองเทศกาลคริสมาต์กับพระบรมวงศานุวงศ์ในแคว้นนอร์ฟอล์ก
  
   แม้ไม่มีหมายกำหนดการประกาศให้ประชาชนทราบอย่างเป็นทางการ แต่ผู้โดยสารที่กระจัดกระจายอยู่ที่สถานีคิงครอสในกรุงลอนดอน กลับมาออกันที่ชานชลา 11บี เมื่อทราบว่า หนึ่งในผู้โดยสารที่ตีตั๋วชั้นหนึ่งนั้น คือ พระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งกำลังจะเสด็จแปรพระราชฐานไปยังพระตำหนักแซนดริงแฮม ในช่วงคริสตมาส์นี้
  
   เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อเช้าวันพฤหัสบดี(17) ที่ผ่านมา แอนดรูวส์ สมิธ ผู้โดยสารเที่ยวเดียวกัน กล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า "เหลือเชื่อ ภรรยาผมคงไม่เชื่อผมแน่ๆ " ขณะที่นักเดินทางบางส่วนรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย เมื่อตำรวจปิดกั้นพื้นที่ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่พระองค์เพียง 5 นาทีก่อนที่รถไฟจะออกเดินทาง
  
   ประมุขแห่งอังกฤษ มีข้าราชบริพารติดตามเพียงไม่กี่คนในการเสด็จครั้งนี้ ทรงประทับนั่งในตู้โดยสารที่มี 8 ที่นั่ง โดยพระองค์ทรงพระองค์นั่งเคียงข้างองค์รักษ์ในห้องโดยสารที่มีบานประตูกั้นแยกจากที่นั่งห้องอื่นๆ ทรงมีท่าทางผ่อนคลายอย่างเป็นที่สุด ขณะที่มีปฏิสันถารกับองค์รักษ์ ในการเดินทางบนขบนรถไฟเฟิร์สแคปิตอลคอนเน็ค ไปยังสถานีคิงสลิน สถานีที่ใกล้กับพระตำหนักซานดริงแฮมที่สุด
  
   และมีเพียงเด็กน้อยคนเดียวเท่านั้นที่ฝ่าด่านความปลอดภัยเข้าไปได้ เมื่อเด็กน้อยวิ่งไปตามทางเดิน ขณะที่พ่อวิ่งไล่ตาม แต่เด็กน้อยก็ได้แต่เพียงชะเง้อหน้าขึ้นมองบานกระจกรถไฟ เขาตัวเล็กเกินไปที่จะเอื้อมกดปุ่มเปิดประตู อย่างไรก็ตาม เด็กชายได้รับรอยยิ้มสดใสจากสมเด็จพระราชินี ผู้มีพระชนมายุ 83 พรรษาแล้วในปีนี้
  
   เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถานียืนยันว่า สมเด็จพระราชีนีอลิซาเบธที่ 2 และข้าราชบริพารของพระองค์ทั้งหมดได้จ่ายเงินซื้อตั๋วโดยสาร โดยราคาตั๋วไป-กลับ(ยังไม่ระบุเที่ยวกลับ) สำหรับวันนั้น คือ 86 ปอนด์ (4,655 บาท)แต่เขากล่าวติดตลกว่า พระองค์จะทรงได้ประหยัดเงินมาก เพราะซื้อตั๋วในราคาผู้สูงอายุได้และจากการซื้อตั๋วล่วงหน้า ทั้งนี้ ราคาตั๋วล่วงหน้าสำหรับรถไฟชั้นหนึ่งในราคาลดแล้วอยู่ที่ 44.40 ปอนด์(2,403 บาท)
  
   ทั้งนี้ หลังจากถึงสถานคิงสลิน เมื่อเวลา 12. 20 น. รถแรนโรเวอร์ก็มารถรับพระองค์ต่อไปยังซานดริงแฮม การเดินทางครั้งนี้ พระองค์เสด็จเพียงลำพัง โดยดยุคแห่งเอดินเบอระ พระสวามี เสด็จเดินทางไปก่อนหน้านี้สองสามวัน โฆษกของเฟิร์สแคปิตอลคอนเน็ค ระบุว่า พระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ไม่ได้รับการปฏิบัติพิเศษเหนือกว่าผู้โดยสารธรรมดา และพระองค์ก็ซื้อตั๋วล่วงหน้าด้วย
  
   ด้านโฆษกสำนักพระราชวังบักกิงแฮม เผยว่า พระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงพระราชินีทรงเดินทางด้วยโรถไฟสาธารณะอยู่บ่อยๆ
  
   "เราต้องพิจารณาเรื่องต่างๆ เช่นความคุ้มค่าและความปลอดภัย และเราจะลองหากทุกอย่างเหมาะสม"
  
   แน่นอนว่า สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ ทรงมีสิทธิ์ใช้ขบวนรถไฟส่วนพระองค์ แต่การเดินทางแต่ละครั้งต้องใช้ภาษีของประชาชนถึง 57,142 ปอนด์ (3,090,000 บาท)เลยทีเดียว  

 

ก้าวนี้เป็นก้าวที่ช่วยประหยัดงบให้แก่ท้องพระคลังจำนวนไม่น้อย  
 


สาวน้อยถวายช่อดอกไม้ ขณะที่พระองค์มีพระพักตร์สดชื่น แจ่มใส  
      


ทรงทอดพระเนตรออกมาจากหน้าต่างชั่วขณะก่อนออกเดินทาง  



มีข้าราชบริพารติดตามมาไม่กี่คน
 
  gek
 
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #24 เมื่อ: 22 มกราคม 2553, 17:10:04 »

ขอบคุณมากหนุ่มที่เอาเรื่องดี ๆ มาแบ่งปันกันอ่าน
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
  หน้า: [1] 2 3 ... 17  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><