22 พฤศจิกายน 2567, 16:27:06
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: แนะคนไม่เป็นโรคหัวใจห้ามกินแอสไพรินหวังป้องกัน  (อ่าน 5488 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2552, 19:51:58 »




แนะคนไม่เป็นโรคหัวใจห้ามกินแอสไพรินหวังป้องกัน

สนุกดอทคอม วันอังคาร ที่  3 พ.ย. 52

นักวิจัยในอังกฤษแนะว่า ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินเพื่อหวังป้องกันโรคหัวใจและ

หลอดเลือดสมองให้แก่คนที่ ไม่เคยเป็นโรคดังกล่าวมาก่อน

วารสารยาและการบำบัดโรคเผยผลการ ศึกษาว่า

แอสไพรินทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหารและลำไส้อย่างรุนแรง

นอกจากนี้ยังไม่ให้ผลป้องกันการเสียชีวิตเพราะโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ

ดังนั้นแพทย์จึงควรตรวจสอบประวัติคนไข้ทุกคนที่กำลังรับประทานแอสไพริน

รายงานระบุว่า ปี 2548-2551 มีการออกคำแนะนำ 4 ชุด

ให้ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการของโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจรับประทานแอสไพริน

เพื่อป้องกันไว้ก่อน ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยอายุ 50 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และ

ผู้มีความดันโลหิตสูงด้วย


แต่ผลการทดลอง 6 ครั้ง ครอบคลุมผู้ป่วย 95,000 คน ที่เผยแพร่ในวารสารแลนเซท

เมื่อไม่นานมานี้ ไม่สนับสนุนให้ผู้ป่วยเหล่านี้รับประทานแอสไพรินเป็นประจำ

เพราะเสี่ยงทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหารและลำไส้อย่างรุนแรง

อีกทั้งไม่พบว่าสามารถหยุดยั้งการเสียชีวิตเพราะโรคหัวใจได้

ปัจจุบัน มีการใช้แอสไพรินปริมาณน้อยกับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจหรือ

โรคหลอดเลือดสมอง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกำเริบ วิธีนี้ได้รับการยืนยันและ

ยอมรับว่าให้ผลดีจริง แต่คาดว่ามีชาวอังกฤษจำนวนมากรับประทานยาขนานนี้

ทั้งที่ไม่มีอาการเพื่อหวัง ผลป้องกัน พยาบาลอาวุโสที่มูลนิธิโรคหัวใจอังกฤษแนะว่า

วิธีที่ดีที่สุดที่จะลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจคือการไม่สูบบุหรี่

เลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว รับประทานผักและผลไม้ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

นำมาจาก สนุกดอทคอม

http://news.sanook.com/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99-mcot-843737.html

 gek gek gek

รายงานระบุว่า ปี 2548-2551 มีการออกคำแนะนำ 4 ชุด

ให้ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการของโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจรับประทานแอสไพริน

เพื่อป้องกันไว้ก่อน ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยอายุ 50 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และ

ผู้มีความดันโลหิตสูงด้วย

ความเชื่อเดิม ข้างต้น ได้มีงานวิจัยตามข่าว

ถ้าทานอยู่โดยที่ไม่มีข้อบ่งใช้ เรื่องโรคหลอดเลือดอุดตัน

ควรหยุดทาน หรือ ปรึกษาแพทย์ผู้ให้ยานี้มาทานว่าควรทานต่อ หรือ ไม่


 gek gek gek

 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #1 เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2552, 21:05:37 »




เมื่อเดือนที่แล้วมีคนไข้ทานยาแอสไพริน เพราะ มีข้อบ่งใช้เป็นโรคหัวใจขาดเลือด

อ้วน เบาหวาน และ ความดันโลหิตสูง ประสบอุบัติเหตุ ส่งต่อรักษา ร.พ.จังหวัด

ปรากฏว่าเกิดช็อค พบว่า มีเลือดออกในช่องท้องจากมีการบาดเจ็บแต่ เพราะ

ทานแอสไพรินทำให้เลือดไม่แข็งตัว เลือดออกในช่องท้องไม่หยุดพยายามช่วยชีวิต

อย่างเต็มที่แล้วก็เสียชีวิต

ดังนั้นถึงแม้มีข้อบ่งชี้ให้ทานก็ตาม ต้องระวังตนเองอย่าให้เกิดบาดแผล

เพราะ เลือดจะไหลไม่หยุดได้ตามปรกติ และ ถ้าเกิดอุบัติเหตุต้องเตือนแพทย์

ผู้ให้การรักษาได้ทราบว่าทานยาแอสไพริน อยู่เพื่อให้การป้องกัน และ

เฝ้าระวังไม่ให้เกิดเลือดออกไม่หยุดเมื่อประสบอุบัติเหตุด้วย

เหนื่อย เหนื่อย เหนื่อย
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #2 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2553, 19:29:15 »


ค้นหาความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยการตรวจแคลเซี่ยมในหลอดเลือดหัวใจ
ขอขอบคุณเวบเดลินิวส์ วันอาทิตย์ ที่ 30 พฤษภาคม 2553 ที่เอื้อเฟื้อข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=518&contentID=68714

การตรวจแคลเซียมในหลอดเลือดแดงของหัวใจ

จากผลการสำรวจของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งในประเทศไทย ประเทศแถบตะวันตก และในสหรัฐอเมริกา
พบตรงกันว่า โรคหัวใจเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต อยู่อันดับที่ 1 ใน 3 เสมอ และ
เราทราบกันดีว่าบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจตีบ ได้แก่

ผู้เป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ ผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย
สม่ำเสมอ และผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ และ

เป็นเรื่องที่น่าตกใจเมื่อมีข้อมูลว่า 62% ของผู้ชาย และ 46% ในผู้หญิง  มาโรงพยาบาลครั้งแรก
ที่ศูนย์หัวใจด้วยอาการหลอดเลือดหัวใจตีบฉับพลัน โดยไม่มีอาการเตือนมาก่อน หรือ
บางครั้งเมื่อตรวจหาภาวะเสี่ยงของโรคหัวใจแล้วกลับพบว่า
ไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเลย  
  
ปัจจุบันมีเทคโนโลยี ที่สามารถตรวจสภาพของหลอดเลือดหัวใจที่เรียกว่า
การตรวจ แคลเซียมหรือหินปูนในหลอดเลือด (Coronary artery calcium) โดยใช้



เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เราพบว่าคนที่มีแคลเซียมเกาะ อยู่ในหลอดเลือดปริมาณมาก
มีโอกาสที่จะเกิดโรคหัวใจขาดเลือดและเสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงกว่าคนที่ไม่มี

แคลเซียมเหล่านี้เกิดจากการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดงซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนเกิดอาการ
ของโรคหัวใจนานหลายปี

จากการศึกษาพบว่าปริมาณแคลเซียมนี้สามารถทำนายโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้เพิ่มเติม
นอกเหนือจากการพิจารณาปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น
โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือการสูบบุหรี่

win win win

    
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><