พิจารณาเอาเถิดพี่น้อง...ผองไทยเอ๋ย...
จริงก็มิรู้ ไม่จริงก็มิรู้...จะทำฉันใด.... ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นคือ
1. เร่งให้เกิดกระบวนการกว้านซื้อที่ดินและเช่าพื้นที่ทำการเกษตรโดยกลุ่มทุน จากต่างชาติ เช่น การเข้ามาสัมปทานปลูกป่าในพื้นเขตป่าสงวนเสื่อมโทรม พื้นที่ป่าชายเลน รวมถึงพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ เป็นการขยายความขัดแย้งปัญหาที่ดินและปัญหาการแย่งชิงน้ำในฤดูแล้งระหว่าง กลุ่มทุนกับชาวบ้านจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
2. กลุ่มทุนต่างชาติจะเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรพันธุกรรม เช่น พันธุ์ข้าวพันธุ์ไม้ผลเมืองร้อน พืชสมุนไพร ฯลฯ รวมถึงการจดทรัพย์สินทางปัญญาจากสายพันธุ์พืช ต่างชาติจะเข้ามาผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์พืช เช่น ข้าว ซึ่งจะสร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิตของเกษตรกรรายย่อยหลายล้านครอบครัว และต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศในระยะยาว
3. การเปิดเสรีการเพาะและขยายพันธุ์พืช ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ทุนขนาดใหญ่ข้ามชาติเข้ามายึดครองอาชีพและกิจการที่ คนไทยได้พัฒนามาเป็นเวลานานหลายทศวรรษ จนกลายเป็นอาชีพของคนไทยเป็นจำนวนมาก เช่น ธุรกิจกล้วยไม้ของไทย ทั้งนี้โดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่จะเข้ามาใช้ประโยชน์จากฐานพันธุกรรม ภาพลักษณ์ และฐานการตลาด เบียดขับผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้พัฒนามาเป็นลำดับให้สูญหายไปเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับร้านค้าปลีกรายย่อย 4. นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน ของประเทศ เช่น ชลประทาน การพัฒนาที่ดิน การส่งเสริมการเกษตร การอุดหนุนผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงการวิจัยในสาขาต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากภาษีอากรของประชาชน
ถ้าผล กระทบที่เกิดขึ้น เป็นไปตามที่ กลุ่มเอฟทีเอ วอชท์ ว่าเอาไว้ การเปิดเสรีการลงทุนครั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขการทำให้อาเซียนเป็นเขตเสรีการค้าและการลงทุน ก็เป็นเรื่องน่ากลัวกว่า กลุ่มเสื้อแดงหลายร้อยเท่า
เรื่อง แบบนี้ ไม่ค่อยจะได้รับความสนใจจากคนทั่วไปเท่าไรนัก หนึ่งเพราะเป็นเรื่องที่ยากต่อการทำความเข้าใจ และไมใช่เรื่องที่เห็นผลทันที สองเป็นเรื่องที่ยังมีความเห็นต่าง จากส่วนอื่นๆของสังคม โดยเฉพาะจากกลุ่มที่มีจุดยืนเห็นด้วยกับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี
ข้อ คัดค้านการเปิดเสรีการลงทุนด้านเกษตรและประมง ในกลุ่มอาเซียนนี้ ทำให้มองเห็นมิติที่เขตการค้าเสรีอาเซียน ถูกใช้เป็นกลไกหนึ่งของทุนนิยมโลก