24 พฤศจิกายน 2567, 13:12:19
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1] 2  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เปิดเสรีลงทุนด้านการเกษตร..พี่น้องคิดอย่างไร  (อ่าน 14374 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« เมื่อ: 25 กันยายน 2552, 10:59:42 »

นับจากวันนี้   เหลืออีกไม่กี่วัน...ปฏิบัติการเปิดทางให้ต่างชาติเข้ามายึดเซ้งแผ่นดินไทย
แย่งที่ทำกินของคนไทยกำลังจะเป็นจริง

ด้วย การทำข้อผูกพันเปิดเสรีการลงทุนอาเซียนด้านเกษตร, ประมง, ป่าไม้
ให้ต่างชาติเข้ามาใช้พื้นที่เกษตรของไทยได้  และให้สิทธิถือหุ้นข้างมาก...ได้มากกว่าคนไทย

ต้นเดือนหน้า ตัวแทนประเทศจะเดินทางไปประชุมเจรจาเป็นรอบสุดท้าย
ที่ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อให้เสร็จทันก่อนจะมีการเซ็นลงนามในการประชุมอาเซียน
ซัมมิท ที่หัวหิน ในช่วงวันที่ 23-25 ต.ค.นี้

รายละเอียดในบทความไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/pol/35194


      บันทึกการเข้า
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 25 กันยายน 2552, 11:13:16 »

ความคิดเห็นของผม

หากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง
ผมต้องเพิ่มความจำต่อพรรคประชาธิปัตย์ในแง่ลบอีกหนึ่งอย่าง
(ส่วนแง่ดีมีอยู่แล้วหลายอย่าง)

อย่างแรกที่บันทึกไว้แล้ว คือ  การเปิดเสรีการเงิน(BIBF)
โดยไม่เตรียมพร้อมด้านอื่นๆ ให้แบงค์ชาติ สถาบันการเงินและคนไทย

อย่างที่สอง คือการห้าม ชาวบ้านกุดชุมใช้เบี้ยกุดชุม โดยขาดวิสัยทัศน์
และไม่คิดศึกษา

และถ้าบทความนี้ คืออย่างที่สาม
ผมขอแสดงความคิดไว้ตรงนี้เลย ไม่เห็นด้วย และจะเป็นรอยบาป
ที่พรรคประชาธิปัตย์ทำให้กับชาวไทยและประเทศไทย
แม้จะตกลงกันแบบแฟร์ๆให้เราไปลงทุนได้ก็ไม่คุ้ม

ดินดำน้ำชุ่มอย่างเมืองไทยนี้ คิดให้ดีหน่อยปะไร

หรือพี่น้องเห็นต่าง.....ช่วยกันหน่อยเถอะครับ



      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2 เมื่อ: 25 กันยายน 2552, 18:45:31 »

แต่หนิงเห็นสนามกอล์ฟของต่างชาติ
แพร่เข้ามาในเมืองไทยนานแล้วค่ะพี่ยังชิน
พื้นที่เหล่านั้นเคยเป็นที่เพื่อการกสิกรรมมาก่อน
เอามาให้กลุ่มคนหยิบมือเดียวได้ใช้ประโยชน์
แทนที่จะเพาะปลูกเลี้ยงคนหมู่มาก.
      บันทึกการเข้า


yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 26 กันยายน 2552, 17:48:08 »

สวัสดีหนุงหนิง

แบบที่หนิงว่านั้น ถ้าจะทำก็ยังต้องเป็นอีแอบ นั่นประการหนึ่ง(ซึ่งนับว่าเล็กๆ)
แต่การให้ต่างชาติใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นเรื่องใหญ่มากๆๆ

โลกอนาคต เกษตรกรรมจะเป็นหัวใจสำคัญที่จะแบกทั้งคนและเครื่องจักร

จะจัดการอะไรต้องคิดไปข้างหน้าไกลๆ

เราไม่อาจปิดกั้นกระแสทุนนิยม
แต่ต้องเข้าใจ และตระหนักว่า
ทุนและเงินนั้น ต้องใช้เพื่อสร้างความผาสุกและมั่นคง
ให้กับคนในประเทศเป็นหลัก

ขอบคุณที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นครับ
      บันทึกการเข้า
jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 26 กันยายน 2552, 18:11:13 »

เป็นข่าวร้ายอย่างที่สุด...................
มันจะทำลายล้างลูกหลานเราอย่างเลือดเย็น......
ทำไมข่าวสำคัญขนาดนี้ถึงเงียบสงัด....ถึงปานนี้
มันจะมีประชาพิจารณ์กันหรือไม่

มีข่าวว่า.....
ปัจจุบันเราเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตไปแล้ว....ใช่หรือไม่...
อธิปไตยไทย...มีนิยามอย่างไร ในปัจจุบัน
ถ้ามีกรณีพิพาททางกฏหมายระหว่างคนไทย บริษัทไทย กับ บริษัทต่างชาติ
จะต้องไปขึ้นศาลของประเทศสิงคโปร์.....
ข่าวนี้ใช่เรื่องจริงหรือไม่....
ใครช่วยหาข้อเท็จจริงที่เถอะค่ะ...
มันเจ็บปวดนะ..ถ้าใช่

แล้วยังจะมายกแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลกผืนนี้ให้เป็นทาสเงินทุนอีกหรือ....

ประชาธิปัตย์ ...อีกแล้วหรือ...

พรรคพลังธรรม มาแล้วไป แต่ฝากกฏหมายแจ้งแสดงทรัพย์สินไว้เป็นหอกทิ่มแทงนักการเมืองโกงได้อย่างสะใจ

80ปี 100 ปีประชาธิปัตย์ทำอะไรไบนแผ่นดินนี้บ้าง......น่าคิดนะ


      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #5 เมื่อ: 26 กันยายน 2552, 20:14:28 »

มาแสดงความเห็นด้วย กับ น้องYC และป้าแจ่ม

ประเทศไทย คงต้อง ปฏิวัติ กันใหม่หมด  ทั้งระบบ ความคิด ขึ้นเลย
ค่านิยมของสังคม ระบบการปกครอง ระบบการคัดสรรทางการเมือง
การยกระดับการมีส่วนร่วมของคนทั้งประเทศ ต่อแนวนโยบาย
และพันธะสัญญาต่างๆของประเทศ

ปวดใจ หรือ สะท้อนใจ กับคำทื่ว่า
เราเลือกท่านมา(นักการเมือง)ให้มา บริหารประเทศ
เพื่อดูแล สาระทุกข์ สุกดิบ ของพี่น้องประช่ชน
ไม่ใช่ ยกประเทศให้เป็นสมบัติ ส่วนตัวของท่าน(นักการเมือง) จ๊าากกก


      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #6 เมื่อ: 26 กันยายน 2552, 21:29:57 »




สั่งอุ้มราคาพืชผลก่อนปีใหม่

รัฐบาลดันประกันราคาพืชผลรับมือเขตการค้าเสรีอาเซียน

ป้องกันข้าว มัน ข้าวโพด เพื่อนบ้าน 0% ทะลักทุบราคาภายใน

......................................................................................

นำข่าวนี้มาให้พวกเราได้ทราบว่า

ในสังคมโลก ต้องเปิดเสรีให้มีการค้าขายกัน

ดังนั้นประเทศเราก็ต้องปฏิบัติตามกติกาด้วย

แต่ได้วางแผนช่วยเกษตรกร ให้ขึ้นทะเบียนเพื่อ

ประกันราคา ไม่ให้เกษตรกรขาดทุน

โดยต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกร และ รัฐบาลจะรับ

ผิดชอบในปริมาณหนึ่งที่พอเหมาะ เพื่อกันไม่ให้

มีผลผลิตมากเกินกว่าที่ตลาดต้องการ

ถ้าหมดโควต้ารับประกันแล้ว

ใครผลิตออกนอกโควต้าที่รัฐบาลรับได้

จะต้องรับความเสี่ยงเอง

ถ้าราคาสูงกว่าราคาประกัน ก็ได้กำไร

ถ้าราคาต่ำกว่าราคาประกันก็ต้องขาดทุนเอง เพราะ

ผลิตเกินโควต้าที่รัฐบาลคาดว่าอนาคตควรมีผลผลิตเท่าไร


นำข่าวมาจาก Post Today

http://money.impaqmsn.com/content.aspx?id=18310&ch=227

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 27 กันยายน 2552, 08:47:22 »

ขอบคุณพี่สมชายและพี่สำเริงมากครับ

ผลเกิดจากเหตุ...เห็นพ้องกับพี่สมชายครับ

ผมได้ตามเข้าไปอ่านในลิงค์ที่พี่สำเริงแปะไว้แล้วครับ
สาระตามลิงค์เป็นเรื่องการค้าเสรีที่ผูกโยงกับการประกันราคาสินค้าเกษตร

เป้าหมายหลักที่ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรของรัฐบาลตามลิงค์ คือป้องกันการลักไก่
ไม่ใช่ขึ้นทะเบียนเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งระบบ
ไม่ใช่ขึ้นทะเบียนเพื่อให้เกษตรกรยืนบนขาตัวเองได้อย่างภาคภูมิครับ

โลกทุนนิยม ต้องไม่ปิดตัวเอง ต้องเปิดเสรีทางการค้า...แต่
แต่..ไม่ใช่เปิดเสรีทางการผลิต
การผลิต...คือต้นทางเศรษฐกิจที่แท้จริง..เสมือนการสร้างสารอาหาร
การค้า..คือการทำให้ผลผลิตมีมูลค่า..เสมือนหลอดเลือด

ผมเห็นด้วยกับการเปิดเสรีทางการค้าครับ..(แต่ก็ต้องเตรียมเครื่องมือให้คนในประเทศ)
แต่ไม่เห็นด้วยกับการเปิดเสรีทางการผลิต..โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรรม

ขอบคุณพี่สำเริง ที่่แปะลิงค์ดีๆบ่อยๆ ทำให้เกิดปัญญาดีครับ

อ้าว...ลืมขอบคุณอ.แจ่มใส...ขอบพระคุณครับพี่แจ่ม  เหนื่อย  เหนื่อย

      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #8 เมื่อ: 27 กันยายน 2552, 10:07:14 »

ยิ่งอ่าน แนวคิดของ น้องYC ยิ่งประทับใจ

      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #9 เมื่อ: 28 กันยายน 2552, 06:43:52 »




 win win win

เป้าหมายหลักที่ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรของรัฐบาลตามลิงค์ คือ

ป้องกันการลักไก่

ถูกต้องครับ

ไม่ใช่ขึ้นทะเบียนเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งระบบ

ผมว่า เป็นการแก้ปัญหาทั้งระบบ เพราะ

ในตำราพิชัยสงครามของซุนหวู ว่า

การรู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง จะชนะร้อยครั้ง

การขึ้นทะเบียนเกษตรกร เป็นการทำตามตำราซุนหวู

สามารถ รู้เขา ทางอินเตอร์เนต ว่า

มีใครต้องการซื้ออะไร และ ต้องการคุณภาพอย่างไร

และ ทำให้ รู้เรา เมื่อขึ้นทะเบียนเกษตรกร จะรู้ยอดเกษตรกร

เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้ทำ ให้ได้ตามใบสั่งซื้อ

ไม่ทำนอกรายการสั่ง

เพราะ ผลิตไปโดยที่ตลาดไม่ต้องการ ก็จะไม่มีใครซื้อ

 bye bye bye bye bye bye
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 28 กันยายน 2552, 12:24:19 »

พี่สมชายชมผมบ่อย จนผมชาไปหมดแล้ว..แต่ก็ดีใจและขอบคุณครับ

เห็ฺนด้วยกับคำอธิบายของพี่หมอสำเริง เรื่องรู้เขารู้เราครับ
อยากให้รัฐบาลได้อ่านความเห็นนี้ของพี่สำิเริง
จะได้วางกรอบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

มีอีกสิ่งที่ผมอยากเห็นก็คือ
ไม่ใช่เพียง ใครต้องการซื้ออะไร และ ต้องการคุณภาพอย่างไร เท่านั้น
เพราะ ถ้าเราคิดเพียงเท่านี้ เราจะเป็น "ผู้ตาม" ตลอดเวลา
ผู้นำ ต้องเพิ่มการทดลองเข้าไปอีกว่า
"ใคร น่าจะซื้ออะไร และ ถ้าเป็นคุณภาพแบบนี้จะสนใจไหม"

อย่าเพิ่ง bye bye ซิครับพี่หมอ
 เค้าไม่ยอม  เค้าไม่ยอม เค้าไม่ยอม

      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #11 เมื่อ: 28 กันยายน 2552, 14:58:40 »

อยากให้ดู ประเทศมาเลเซีย แก้ปัญหา น้ำมันปาล์ม ล้นประเทศ
สมัย ท่าน มหาเธร์ เป็นนายก  นายกคนถัดๆมาก็ทำตาม

ไม่เคยงอมืองอเท้า ไม่เคยคิดจะลดการปลูกปาล์มเลย เพราะภูมิประเทศเหมาะสม
แต่กระตุ้นในการสร้างตลาด โดยเฉพาะตลาดยุโรป  และเน้นการแปรรูปเพื่อเก็บได้นาน
และแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม   กระตุ้นสร้างตลาดให้โตและมัความต้องการมากกว่าปัจจุบัน
นี่แหละวิธีการของเขาละ win


      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #12 เมื่อ: 28 กันยายน 2552, 15:13:44 »

ขอโทษที่ น้องYC  ชมมากไปจริงๆ ปิ๊งๆ
เพราะเหนือความคาดหมาย  ที่จบสายวิทย์
มาพูดเขียน เรื่องเศรษฐกิจ การเงิน การเมือง
รวมถึงความเป็นอยู่ ที่ประยุกต์ แบบแนวชาวพุทธ
มันเลยเหนือความคาดหมาย  ทึ่งมาก เท่านั้นเอง


      บันทึกการเข้า
jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 28 กันยายน 2552, 18:06:29 »

คุณ YC

มีเรื่องการเมือง อยู๋ 3 เรื่อง ที่ป้าคิดไม่เหมือนใครในเวลานั้นๆที่ได้ยินข่าว
1. การที่รัฐมนตรีศึกษาฯ แก้ปัญหาการศึกษาที่ภาคใต้ ในช่วงประมาณปี 2527 มั้ง
-ปัญหาว่าเด็กมุสลิมไม่อยากเรียนในโรงเรียนของรัฐ เพราะ มีการสวดมนต์หน้าเสาธงและมีพระพุทธรูปในโรงเรียน
-เขาแก้ปัญหาโดยให้สร้างโรงเรียนปอเนาะแยกให้เด็กมุสลิมไปเรียนโดยรัฐจัดครู หรือให้เงินแก่โรงเรียนไปจ้างครูสอนวิชาสามัญเอง
ผลคืออย่างไรล่ะ วัยรุ่นและวัยฉกรรณ์ ปัจจุบันคือ ผลพวงของการแยกกลุ่มคนตอนนั้นอย่างหนึ่งหรือไม่
...คนเราถ้าเคยเป็นเพื่อนกัน เรียนด้วยกัน เล่นด้วยกัน กินข้าวร่วมกัน ถูกครูทำโทษด้วยกัน ทำอะไรขำๆ บ้าๆ ด้วยกัน
แม้วันหนึ่งถึงจะหันปากกระบอกปืนมาจ่อกัน ก็คงต้องชงักบ้างล่ะ...และอีกอย่างก็มีข่าวไม่ใช่หรือว่านักเรียนและครูบางคนของโรงเรียนปอเนาะบางโรงเรียนคือหัวโจกของผู้ก่อการร้าย บางแห่งเป็นสถานบ่มเพาะ อบรมการทำลายผู้คน..ซึ่งน่าเศร้า.

2. วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ตอนคุณทักษิณขึ้นมาใหม่ๆ ถูกยกย่องเป็นอัศวินของเอเชีย ที่จะแก้ปัญหา ป้าเองก็ออกเสียงเลือกพรรคไทยรักไทย  มีข่าวแผนการแก้ไขเศรษฐกิจ ของไทย และของมาเลเซีย  ป้าบอกทุกคนว่า มาเลเวียจะแก้ไขได้ดีกว่าไทยและจะไม่บอบช้ำระยะยาว เพราะของไทยพึ่งต่างชาติเกือบทั้งหมด เหมือนใช้เงินทั้งหมดซื้อยามารักษาอาการเจ็บไข้ให้หายโดยเร็ว แต่มาเลเซียใช้เงินบางส่วนซื้อยารักษาให้อาการป่วยไข้ให้ดีขึ้นแล้ว เน้นใช้เงินส่วนหนึ่งมาสร้างเสริมสุขภาพให้ดี ดังนั้นถ้าฟื้นแล้วเขาก็ไม่ต้องใช้ทรัพยากรล่วงหน้าเหมือนไทย

3. BIBF เป็นโลกของการเก็งกำไร ต้องรู้เท่าทัน เชี่ยวชาญและมีระบบระเบียบการรักษาผลประโยชน์ชาติที่เข้มแข็งมากๆ ไว้ดูแลตัวเอง ถามผู้ที่จบการศึกษาปริญญาตรีขึ้นไป 10 คน มีเพียง 0.01 คนที่พอรู้เรื่อง แต่ก็ไม่เข้าใจนัก เหมือนเราขึ้นเวทีแข่งขันกีฬาอะไรสักอย่างที่เราเล่นไม่เป็น เหมือนถอดกลอนประตูให้โจรเข้าบ้านในขณะที่เก็บเงินไว้ในลิ้นชักธรรมดาเท่านั้น.....ไม่มีตู้นิรภัยเก็บเงินเลย...  แล้วเป็นไงล่ะ นักค้าเงิน นักลงทุนก็มาโกย มาบีบ มาหลอกล่อประเทศเราได้สารพัด ...เพียงแค่อยากดูดีดูทันสมัย..

คุณ YC เป็นคนหนึ่งที่มีความคิดความอ่านที่ดีต่อประเทศ
ไม่ต้องเขินหรอก ป้าแจ่มขอชื่นชม อีกคนค่ะ
ทุกวันนี้ สอนนิสิตนักศึกษา ได้แต่เศร้าใจ...ส่วนใหญ่ไม่เดือดร้อนหรอกว่าบ้านเมืองเป็นอย่างไร
...บางคนบอกว่า โกงก็ไม่เป็นไรขอให้ทำงานเก่ง..
...หลายคนบอกว่า ไม่อยากยุ่ง..ไม่ใช่พวกรัฐศาสตร์ ไม่เกี่ยวการเมือง
...หลายๆคน บอกว่า ไม่รู้เรื่อง...มีแต่วุ่นวาย ไม่ชอบ...

...คิดๆแล้วป้าก็ท้อถอยนะ
...ว่าที่บัณทิตพวกนี้ มันจะดูแลบ้านเมืองอย่างไรกันนะ..

      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 29 กันยายน 2552, 15:10:11 »

 
อ้างถึง   
มีเรื่องการเมือง อยู๋ 3 เรื่อง ที่ป้าคิดไม่เหมือนใครในเวลานั้นๆที่ได้ยินข่าว
1. การที่รัฐมนตรีศึกษาฯ แก้ปัญหาการศึกษาที่ภาคใต้ ในช่วงประมาณปี 2527 มั้ง
-ปัญหาว่าเด็กมุสลิมไม่อยากเรียนในโรงเรียนของรัฐ เพราะ มีการสวดมนต์หน้าเสาธงและมีพระพุทธรูปในโรงเรียน
-เขาแก้ปัญหาโดยให้สร้างโรงเรียนปอเนาะแยกให้เด็กมุสลิมไปเรียนโดยรัฐจัดครู หรือให้เงินแก่โรงเรียนไปจ้างครูสอนวิชาสามัญเอง
ผลคืออย่างไรล่ะ วัยรุ่นและวัยฉกรรณ์ ปัจจุบันคือ ผลพวงของการแยกกลุ่มคนตอนนั้นอย่างหนึ่งหรือไม่
...คนเราถ้าเคยเป็นเพื่อนกัน เรียนด้วยกัน เล่นด้วยกัน กินข้าวร่วมกัน ถูกครูทำโทษด้วยกัน ทำอะไรขำๆ บ้าๆ ด้วยกัน
แม้ วันหนึ่งถึงจะหันปากกระบอกปืนมาจ่อกัน ก็คงต้องชงักบ้างล่ะ..
.และอีกอย่างก็มีข่าวไม่ใช่หรือว่านักเรียนและครูบาง คนของโรงเรียนปอเนาะบางโรงเรียนคือหัวโจกของผู้ก่อการร้าย บางแห่งเป็นสถานบ่มเพาะ อบรมการทำลายผู้คน..ซึ่งน่าเศร้า.

ป้าแจ่มครับ...สาระนี้ผมยังไม่เคยรับรู้มา...แต่นับว่าน่าตกใจมากสำหรับการตัดสินใจแบบนั้น
แนวคิดของป้าแจ่ม..และความรู้สึกสามัญตามที่ผมเน้นตัวใหญ่นั้น
เป็นวิสัยทัศน์ที่ควรมีของผู้ที่จะนำประเทศนี้ครับ...


การแก้ปัญหาเรื่องการสวดมนต์ของต่างศาสนา
แก้ได้ง่ายๆโดยยกเว้นการสวด และแยกพิธีกรรมตามสมควร
พร้อมย้ำให้เด็กทุกศาสนาเคารพรักในสิทธิของกันและกัน
เพราะทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีทั้งนั้น

ขณะฝึกงานเภสัชฯ ผมมีเพื่่อนต่างสถาบันที่นับถือศาสนาอิสลาม
ช่วงเวลาสั้นๆ ผมยังประทับใจในมิตรภาพ และรู้สึกดีต่อศาสนานี้

 
อ้างถึง   
2. วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ตอนคุณทักษิณขึ้นมาใหม่ๆ ถูกยกย่องเป็นอัศวินของเอเชีย ที่จะแก้ปัญหา ป้าเองก็ออกเสียงเลือกพรรคไทยรักไทย  มีข่าวแผนการแก้ไขเศรษฐกิจ ของไทย และของมาเลเซีย  ป้าบอกทุกคนว่า มาเลเวียจะแก้ไขได้ดีกว่าไทยและจะไม่บอบช้ำระยะยาว เพราะของไทยพึ่งต่างชาติเกือบทั้งหมด เหมือนใช้เงินทั้งหมดซื้อยามารักษาอาการเจ็บไข้ให้หายโดยเร็ว แต่มาเลเซียใช้เงินบางส่วนซื้อยารักษาให้อาการป่วยไข้ให้ดีขึ้นแล้ว เน้นใช้เงินส่วนหนึ่งมาสร้างเสริมสุขภาพให้ดี ดังนั้นถ้าฟื้นแล้วเขาก็ไม่ต้องใช้ทรัพยากรล่วงหน้าเหมือนไทย

ข้อนี้ ผมคิดเห็นไปในทางเดียวกันเลยครับ..ตอนนั้นผมก็ชื่่นชมมาเลเซียครับ
       และโลกทุนนิยมนั้น หากนำทรัพยากรล่วงหน้ามาใช้ ต้องมีการมองไกลให้เห็น
       บางครั้งก็จำเป็นต้องใช้..แต่ถ้าไม่่เก่งจริง อย่าใช้ดีกว่า..

 
อ้างถึง   
3. BIBF เป็นโลกของการเก็งกำไร ต้องรู้เท่าทัน เชี่ยวชาญและมีระบบระเบียบการรักษาผลประโยชน์ชาติที่เข้มแข็งมากๆ ไว้ดูแลตัวเอง ถามผู้ที่จบการศึกษาปริญญาตรีขึ้นไป 10 คน มีเพียง 0.01 คนที่พอรู้เรื่อง แต่ก็ไม่เข้าใจนัก เหมือนเราขึ้นเวทีแข่งขันกีฬาอะไรสักอย่างที่เราเล่นไม่เป็น เหมือนถอดกลอนประตูให้โจรเข้าบ้านในขณะที่เก็บเงินไว้ในลิ้นชักธรรมดาเท่า นั้น.....ไม่มีตู้นิรภัยเก็บเงินเลย...  แล้วเป็นไงล่ะ นักค้าเงิน นักลงทุนก็มาโกย มาบีบ มาหลอกล่อประเทศเราได้สารพัด ...เพียงแค่อยากดูดีดูทันสมัย..

ข้อนี้ ผมยิ่งเห็นพ้องด้วยครับ
        หลายต่อหลายการกระทำ ที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้
        เลียนแบบเขามา โดยไม่เข้าใจอย่างท่องแท้ถึงที่มาที่ไป
        BIBF  เป็นสิ่งที่ต้องมี ถ้าไม่มีเรายิ่งเสียหาย  แต่ต้องทำอย่างที่ป้าแจ่มเขียนไว้นะแหละครับ


ความคิดเห็นของป้าแจ่มทั้งสามข้อ ทำให้ผมภูมิใจในสีชมพูขึ้นอีกโข

กราบคารวะอาจารย์แจ่มใสครับ

 
       
 

      บันทึกการเข้า
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #15 เมื่อ: 29 กันยายน 2552, 20:53:50 »

อ้างถึง
ข้อความของ yc เมื่อ 25 กันยายน 2552, 11:13:16
ความคิดเห็นของผม

หากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง
ผมต้องเพิ่มความจำต่อพรรคประชาธิปัตย์ในแง่ลบอีกหนึ่งอย่าง
(ส่วนแง่ดีมีอยู่แล้วหลายอย่าง)

อย่างแรกที่บันทึกไว้แล้ว คือ  การเปิดเสรีการเงิน(BIBF)
โดยไม่เตรียมพร้อมด้านอื่นๆ ให้แบงค์ชาติ สถาบันการเงินและคนไทย

อย่างที่สอง คือการห้าม ชาวบ้านกุดชุมใช้เบี้ยกุดชุม โดยขาดวิสัยทัศน์
และไม่คิดศึกษา

และถ้าบทความนี้ คืออย่างที่สาม
ผมขอแสดงความคิดไว้ตรงนี้เลย ไม่เห็นด้วย และจะเป็นรอยบาป
ที่พรรคประชาธิปัตย์ทำให้กับชาวไทยและประเทศไทย
แม้จะตกลงกันแบบแฟร์ๆให้เราไปลงทุนได้ก็ไม่คุ้ม

ดินดำน้ำชุ่มอย่างเมืองไทยนี้ คิดให้ดีหน่อยปะไร

หรือพี่น้องเห็นต่าง.....ช่วยกันหน่อยเถอะครับ


ถ้าจะทำจริง ก็เป็นอะไรที่งี่เง่าและเลวร้ายสุดๆเลยครับ  สองมาตรฐาน
ห้ามคนไทยใช้เบี้ย  แต่กลับยอมให้ต่างชาติเข้ามาถือครองทรัพย์สินของประเทศชาติ
ไม่ต่างกับที่คนหน้าเหลี่ยม เคยมีนโยบายให้แขกตะวันออกกลางมาถือครองที่นา
      บันทึกการเข้า

...
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #16 เมื่อ: 30 กันยายน 2552, 07:03:13 »




"White Ocean" ธุรกิจสีขาว ของ "ดนัย จันทร์เจ้าฉาย"

หมดเวลาที่จะลงไปแข่งเดือดในน่านน้ำสีเลือด หรือ สีคราม

เมื่อทะเลทั้งสองสี ต่างก็มีจุด “จบ” ไม่ต่าง

การคิดนอกกรอบกับศัพท์การตลาดถอดด้าม

“White Ocean” ของ “ดนัย จันทร์เจ้าฉาย” จะมาเปลี่ยนความคิดผู้ประกอบการไทย

ไม่ให้รอวันตายในแม่น้ำสีเดิมอีกต่อไป

“White Ocean Strategy” หรือกลยุทธ์ธุรกิจสีขาว คือ

ความคิดสดใหม่ ของผู้บริหารหัวใจ “ธรรมะ” ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

ประธานบริหาร บริษัท ดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด

นักการตลาดและประชาสัมพันธ์แถวหน้าของไทย

ที่พิสูจน์กลยุทธ์นี้มาแล้วเมื่อครั้งยังสวมหมวกซีอีโอหนุ่มใน

บริษัทที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์ชั้นนำของโลก

“เอ็มดีเค คอนซัลแทนส์ (ประเทศไทย)”

ในวันที่ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ขององค์กรด้วยวัยเพียง 30 ต้นๆ

ดนัยเริ่มท้าทายการทำงานในบริษัทข้ามชาติ ด้วยการประกาศ

นโยบายงดเป็นที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าที่ทำธุรกิจอบายมุขทุกประเภท

สร้างวัฒนธรรม "องค์กรสีขาว" จนเป็นที่ประจักษ์

ด้วยชื่อของบริษัทที่มาจากคำว่า

“DC - Dharma Communications”  นั่นคือ การสื่อสารบนพื้นฐานของความจริง (ธรรมะ) นั่นเอง

คนที่ยังทำธุรกิจในโลกทัศน์ที่คับแคบ ชอบแหวกว่ายในทะเลสีเลือด

ที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน แก่งแย่งแบ่งฐานลูกค้ากันเอง

องค์กรที่ได้เปรียบ คือ องค์กรที่มีศักยภาพสูง เท่านั้น

สำหรับดนัย การแข่งขันใน  Red Ocean ผู้ประกอบการต้องทุ่มเททำอะไรสักอย่าง

เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามมา และเมื่อหมดทรัพยากร โอกาส“เพลี่ยงพล้ำ” จึงมีสูง

ศาสตร์ใหม่จึงแนะให้ผู้ประกอบหนีไปหา “Blue Ocean” น่านน้ำสีครามคราม

อาณาจักรที่ธุรกิจสมัยใหม่อยากว่ายไปให้ถึง ด้วยการ

คิดนอกกรอบ สร้างตลาดใหม่ ฐานลูกค้าใหม่ สร้างความต้องการใหม่ๆ

คิดในสิ่งที่ไม่มีใครคิดมาก่อน เพื่อหนีจากทะเลสีเลือด

แล้วปัญหาอยู่ที่ไหน ดนัยบอกว่า แม้จะอยู่ในตลาด Blue Ocean แต่ทำไปไม่นาน

ทุกอย่างก็จะกลับไปสู่จุดเดิม คือ

เมื่อมีผู้เล่นรายใหม่ๆ อยากเข้ามาร่วมในตลาดเดียวกันมากขึ้น

ฉุดตลาดใหม่ให้ไปสู่ Red Ocean อีกครั้ง

“เมื่อไรก็ตามที่เรามองว่า Customer is the king เราจะอยู่ในทะเลสีเลือด เพราะ

เมื่อเราคิดแบบนี้ได้ คู่แข่งก็คิดได้เช่นกัน สุดท้ายก็แข่งกันอยู่ในตลาดเดิมๆ

จึงต้องมองว่าลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า แต่ “ไอเดีย” และความคิดดีๆ ต่างหาก คือ พระเจ้า

คำตอบไม่ใช่ทั้ง Red Ocean หรือ Blue Ocean แต่เป็น White Ocean

“White Ocean” เกิดจากแนวคิดที่มองว่าโลกใบนี้ไม่ได้คับแคบ และ

ไม่ใช่โลกของการแข่งขันเท่านั้น แต่เป็นโลกของโอกาสและความอุดมสมบูรณ์

หากองค์กรร่ำรวยขึ้นมา ก็เป็นผลมาจาก “สังคม”

การมีอยู่ขององค์กรจึงไม่ใช่เพื่อตัวองค์กรเอง ไม่ใช่อยู่เพื่อทำกำไรสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น

หรือกอบโกยผลประโยชน์ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่

ต้องเป็นไปเพื่อสร้างผลกำไร สร้างความมั่งคั่งสูงสุดให้กับส่วนรวม

การทำธุรกิจบนแนวทางของ White Ocean


ผู้บริหารนักคิดบอกว่า อยู่ที่สมการ 3 P คือ

People (คน)

Planet  (ทรัพยากร)

และ Profit (ผลกำไร)

เริ่มจาก “People” หมายรวมถึง พนักงานในองค์กร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญ

ที่จะสร้างความอยู่รอดให้องค์กร ผู้บริหารต้องสร้างจิตสำนึกที่ดี

เพื่อสร้างความแข็งแกร่งภายในองค์กรให้ได้

P ตัวนี้ยังรวมถึงลูกค้าทางตรงและทางอ้อม ไปจนถึงสาธารณชน

ต่อมาคือ “Planet” คือทรัพยากรโดยรวมทั้งหมด

ที่ผ่านมาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ขององค์กรได้ใช้ทรัพยากรไปมากน้อยแค่ไหน และทรัพยากรที่มีอยู่ทำให้เกิดประโยชน์กับสาธารชนได้หรือไม่ มากหรือน้อยอย่างไร

“องค์กรไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เราต้องมี

ทรัพยากรที่เอื้อเฟื้อให้ผู้คนที่รายล้อมองค์กรได้ด้วย

ซึ่งอาจไม่ต้องใช้งบประมาณอะไรมากมาย เพียงแต่เป็นการเสียสละบางอย่างที่เรามี เช่น

องค์กรเรามีหอประชุมพุทธคยา เราเปิดให้ทำกิจกรรมทางศาสนา 2 วันต่อสัปดาห์

เพื่อให้คนทั่วไปได้เข้ามาศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมได้ที่นี่”

สุดท้ายเพื่อให้องค์กรอยู่รอดได้ก็ต้องมาตอบที่ “Profit” ได้ด้วย

แล้วแนวคิด White Ocean จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้จริงหรือ?

ดนัยพิสูจน์มาแล้ว โดยนอกจากปรากฎการณ์ของการทำธุรกิจสีขาว เมื่อ 17 ปีก่อน

ในบริษัทประชาสัมพันธ์ข้ามชาติ  กับ

นโยบายการงดเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทที่ทำธุรกิจอบายมุข

สิ่งที่เกิดขึ้น ดนัยเรียกว่า “ธรรมะจัดสรร” คือ

การดึงดูดลูกค้าดีๆ องค์กรดีๆ มาร่วมผนึกกำลังให้องค์กรแข็งแกร่ง

“เมื่อเราเข้มแข็งไม่ทำบางสิ่งบางอย่างด้วยความบริสุทธ์ใจ

ไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นเขาสรรเสริญ แต่เพราะเจตนาที่แท้จริง"

Tags : White Ocean • ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

นำมาจาก

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/hr/20081223/2495/White-Ocean-%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2.html

 gek gek gek

ยกมาจากกระทู้เดิมนี้ ข้อความว่า

ในตำราพิชัยสงครามของซุนหวู ว่า

การรู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง จะชนะร้อยครั้ง

การขึ้นทะเบียนเกษตรกร เป็นการทำตามตำราซุนหวู

สามารถ รู้เขา ทางอินเตอร์เนต ว่า

มีใครต้องการซื้ออะไร และ ต้องการคุณภาพอย่างไร

และ ทำให้ รู้เรา เมื่อขึ้นทะเบียนเกษตรกร จะรู้ยอดเกษตรกร

เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้ทำ ให้ได้ตามใบสั่งซื้อ

ไม่ทำนอกรายการสั่ง

เพราะ ผลิตไปโดยที่ตลาดไม่ต้องการ ก็จะไม่มีใครซื้อ

 gek gek gek

ถ้าคิดตามแนวคิดของคุณดนัย

การทำตามใบสั่่งซื้อ ไม่ทำนอกรายการสั่ง

จะเป็นการคิดเพื่อลงสู่   น่านน้ำสีเลือด หรือ สีคราม

ในที่สุดจะเกิดปัญหาขึ้นอีก

ควรเปลี่ยนแนวคิดมาสู่น่านน้ำสีขาว ไม่ทำตามคำสั่งซื้อ

แต่ผลิตสิ่งที่ เป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย ไม่ส่งเสริมความอยาก

จึงจะเป็นไปตามแนวคิด น่านน้ำสีขาว White Ocean นั่นเอง


 หลั่นล้า หลั่นล้า gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2552, 17:48:45 »

บทความจากไทยรัฐ เรื่องเปิดเสรีลงทุนการเกษตร

http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/38920


ถ้าเข้าใจเรื่่่อง "เงินกระดาษ"  ก็จะรู้ว่า เราควรจะจัดการทรัพยากรของเราอย่างไร

ว้าเหว่...ว้าเหว่...ขอรับ
      บันทึกการเข้า
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2552, 13:05:02 »

 
อ้างถึง   
อีกไม่กี่วัน พิธีการทำให้ข้อผูกพันเปิดการลงทุนเสรีอาเซียนมีผลใช้บังคับในปี 2553...จะเกิดขึ้นในการประชุมอาเซียน ซัมมิท ครั้งที่ 15 ที่หัวหิน

ปีหน้าเราจะเปิดเสรีการลงทุนใน 3 สาขา เพาะและขยายปรับปรุงพันธุ์พืช, เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ, ทำป่าไม้จากป่าปลูก

คนไทยจะถูกแย่งที่ทำกิน จะหมดอาชีพ พันธุ์พืชพันธุ์ไม้พันธุ์ข้าวของไทย จะถูกต่างชาติมาชุบมือเปิบฮุบไปครอบครอง

ทั้ง ที่ส่งผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่าการเปิดการค้าเสรีอาเซียนหลายเท่า... แต่หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบ ไม่เคยนำข้อมูลมาเปิดเผยให้คนไทยได้รับรู้ แต่อย่างใด

ไม่เคยนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเพื่อขอความเห็น ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190

การ ดำเนินการเจรจาที่ผ่านมาเป็นไปแบบหมกเม็ด ปกปิดข้อมูล ไม่ให้เกษตรกรคนไทยได้รับรู้ชะตากรรมของชาติบ้านเมืองและตัวเอง... เหมือนมีวาระซ่อนเร้น

หลังจาก "สกู๊ปหน้า 1" หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้นำเรื่องราวมาตีแผ่ ให้คนไทยได้ตื่นตัวรับรู้...ขบวนการคิดขายชาติ เปิดทางยกแผ่นดินให้ต่างชาติมาใช้ประโยชน์ ผวากลัวจะมีความผิดแบบเดียวกับเขาพระวิหาร

ปฏิบัติการปัดความผิดให้ พ้นตัวเริ่มเกิดขึ้น ด้วยการลักไก่ใช้เส้นทางลัดนำเรื่องเข้าสู่รัฐสภาเป็นการฉุกเฉิน...อ้าง เหตุผลเป็นเรื่องเร่งด่วน เหลือเวลาไม่ถึง 10 วัน การประชุมอาเซียน ซัมมิทจะเกิดขึ้นแล้ว

เพื่อจะได้นำมาใช้เป็นข้ออ้าง ลบล้างความผิดให้กับตัวเอง ในแบบพอมีเข่งผักให้ใช้สีข้างเข้าถูได้...ทั้งที่ความผิดนั้นได้เกิดขึ้นมา แล้ว

เพราะขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190...ก่อนจะไปยื่นข้อผูกพันเปิดเสรีการลงทุน คณะรัฐมนตรีต้องชี้แจงข้อมูลให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบทราบก่อน พร้อมกับทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน จากนั้นถึงนำเรื่องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา

เมื่อรัฐสภาเห็นชอบแล้ว...คณะเจรจาถึงจะมีสิทธิ มีอำนาจ นำข้อผูกพันเปิดเสรีการลงทุนไปยื่นต่ออาเซียนได้

ไม่ใช่ไปยื่นก่อน แล้วมาขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาทีหลัง

แต่ร่างข้อผูกพันเปิดการลงทุนเสรี คณะเจรจาได้ยื่นไปก่อนแล้วหลายเดือน และเพิ่งจะมาสรุปผลเมื่อวันที่ 4-9 ต.ค.ที่ผ่านมา

ทำผิดขั้นตอนรัฐธรรมนูญไม่พอ...ยังเร่งรัดให้  ครม.  รัฐสภาพิจารณาแบบเร่งรีบ

ผลที่ตามมา ครม. และรัฐสภาจะพิจารณาแบบลวกๆ รับรู้ข้อมูลได้ไม่รอบด้าน...ผ่านความเห็นชอบไปแบบถูกมัดมือชก

กลายเป็น...ครม.ปล่อยหลุด...รัฐสภาตรายาง



และเป็นเครื่องมือให้แก๊งขายชาติขายแผ่นดิน

ปัญหา สำคัญขนาดนี้ จะพิจารณากันแบบหยาบๆลวกๆไม่ได้...อย่าคิดมองตื้นๆ  แค่เพียงเปิดให้ชาติอาเซียนลงทุนเสรีได้  ปัญหาคงไม่สาหัสอย่างที่เกรงกัน

เพราะ นักลงทุนชาติอาเซียนคงไม่มีเงินหนา พอที่จะมายึดที่ยึดทาง อะไรในบ้านเราได้มากนัก...ถ้าเปิดเสรีให้ชาตินอกอาเซียน ฝรั่ง แขกอาหรับ ก็ว่าไปอย่าง

"เราเปิดเสรีให้กับเฉพาะอาเซียนก็จริง แต่อย่าลืมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ไปตกลงเจรจาเปิดการค้าเสรีแบบทวิภาคี หรือแบบสองต่อสองกับประเทศอื่นๆ ไว้หลายประเทศ เช่น ไทย-จีน, ไทย-ออสเตรเลีย ฯลฯ

ต่อไปประเทศเหล่านี้จะนำกรณีนี้มาเป็นข้ออ้าง เจรจาต่อรอง ขอให้เราต้องเปิดให้กับเขาด้วย ในฐานะเป็นประเทศที่มีสนธิสัญญาเหมือนกัน จะต้องได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกัน เราจะให้สิทธิแต่เฉพาะอาเซียนไม่ได้"


นายภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์

นายภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์ สมาชิกสภาที่ปรึกษาและสังคมแห่งชาติ ให้ความห่วงกังวลถึงปัญหาที่จะตามมา

แน่ นอนยกเหตุผลนี้ขึ้นมา ฝ่ายที่ต้องการยกแผ่นดินให้ต่างขาติ มีข้ออ้างให้ หักล้างได้ว่า...คงเปิดเสรีให้ประเทศเหล่านั้นไม่ได้ เพราะประเทศไทยมีกฎหมายห้ามต่างชาติเป็นเจ้าของกิจการในธุรกิจหลายประเภท

แต่นั่นเป็นเพียงข้ออ้างแบบหมกเม็ด ขายผ้าเอาหน้ารอด...ความจริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น

ด้วย การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเมื่อ 14 ส.ค. 2552 ที่กรุงเทพฯ... ได้มีตัวแทนประเทศไทย ที่ไม่ใช่รัฐมนตรี กับเด็กฝึกงานเจรจา เข้าไปนั่งในตำแหน่งแทน รมว.พาณิชย์ไทย

ไปพูดสัญญากับรัฐมนตรีอา เซียนอีก 9 ชาติ...ประเทศไทยให้ความมั่นใจกับอาเซียนว่า จะแก้ไขกฎหมายให้ทุกประเทศในโลกเข้ามาใช้ผลประโยชน์จากความตกลงว่าด้วยการลง ทุนอาเซียน และจะปลดออกจากข้อสงวนโดยไม่มีเงื่อนไข

ไปพูดให้สัญญา...ทั้งๆ ที่ 9 ชาติอาเซียนไม่ได้บังคับให้พูดในที่ประชุมแต่อย่างใด

กระนั้นฝ่ายที่ทำผิดทำพลาด พูดสัญญาแบบไม่มีจิตสำนึกต่อแผ่นดินเกิด ยังมีข้ออ้างได้อีกว่า...คงยากจะเป็นจริงได้

เพราะในทางปฏิบัติ กว่าจะแก้กฎหมายเสร็จ ต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี... เหตุผลก็พอน่าจะฟังขึ้น

แต่ ฝรั่งผมแดง มหาเศรษฐีแขกมาดูควายไถนาที่สุพรรณบุรี  ยังมีอีกช่องทาง ที่สามารถฮุบที่ดินในประเทศไทยได้...ไม่ต้องเสียเวลารอการแก้กฎหมาย

เสีย เวลาแค่รอการประชุมอาเซียน ซัมมิท ที่หัวหิน ให้ผู้นำประเทศอาเซียนประกาศรับรองข้อผูกพันเปิดการลงทุนเสรีอาเซียน 3 สาขา ที่จะมีผลบังคับใช้ปีหน้า

สามารถเข้ามาได้เลย ด้วยการสวมตอ สวมตัวเป็นนักธุรกิจชาติสมาชิกอาเซียน

สวมตัวเป็นนักลงทุน เจ้าของกิจการจากสิงคโปร์...ง่ายและเนียนที่สุด

ด้วย สิงคโปร์เป็นประเทศที่เปิดกว้างให้นักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลกเข้ามาทำธุรกิจ ได้เสรีมากที่สุดในอาเซียน เนื่องจากประเทศเป็นแค่เกาะเล็กๆ ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติใดๆพอจะให้หวงแหนได้

ถ้าไม่เปิดกว้างให้ต่างชาติมาลงทุนได้ง่ายๆ สิงคโปร์จะไม่สามารถดึงดูดให้นักลงทุนมาทำธุรกิจเพื่อเก็บภาษีไปพัฒนาประเทศได้เลย

ไม่ เหมือนกับไทยและชาติอื่นๆในอาเซียน ที่มีที่ดิน มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ที่จะต้องออกกฎหมาย ออกกฎกติกาหวงแหนไว้ให้คนในชาติ ไม่ให้ต่างชาติมาชุบมือเปิบเอาไปใช้ประโยชน์ได้ง่ายๆ

สิงคโปร์เป็นประเทศเปิดเสรีมากที่สุด...อยากให้ชาติอาเซียนอื่นเปิดเสรีมากที่สุดเช่นกัน

อา เซียนเปิดเสรีการลงทุน ต่างชาติจากทุกมุมโลกจะยิ่งแห่มาจดทะเบียนเป็นบริษัทลงทุนทำธุรกิจมากขึ้น ...สิงคโปร์ยิ่งจะเก็บภาษีได้มากขึ้น เพราะกฎกติกาเปิดกว้างให้ต่างชาติจดทะเบียนตั้งบริษัทได้เสรีมากกว่าชาติ อื่นในอาเซียน

ทุกวันนี้ไม่ว่าชาติไหนๆ จะฝรั่งตะวันตก จีน ญี่ปุ่น อาหรับ ล้วนแต่มีบริษัทจดทะเบียนทำธุรกิจเป็นบริษัทถือสัญชาติสิงคโปร์ทั้งนั้น

เมื่อ ประเทศไทยยอมรับการเปิดการลงทุนเสรีอาเซียน...นักธุรกิจจากทุกมุมโลกจะสวม หน้ากากสัญชาติสิงคโปร์ เข้ามาฮุบแย่งทรัพยากรจากแผ่นดินไทยได้

และเมื่อเข้ามาแล้ว...เราจะบังคับ ห้ามเขาทำนั่นทำนี่ไม่ได้

ด้วยกฎกติกา "ความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน (ACIA)...ข้อ 5 เรื่องการปฏิบัติเยี่ยงคนในชาติ



เนื้อหาใจความโดยสรุปบัญญัติไว้ว่า...เมื่อนักลงทุนจากชาติอาเซียน เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เราต้องปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นคนไทย

ชาตินอกอาเซียนสวมหน้ากากเป็นอาเซียน...ย่อมมีสิทธิเยี่ยงคนไทยด้วย

เหมือน คนไทยทั้งในเรื่อง การจัดตั้งบริษัท, การครอบครอง, การขยายกิจการ, การจัดการ, การดำเนินการ, การปฏิบัติการ, การขาย และการจำหน่ายจ่ายโอนอื่นๆ ของการลงทุนในดินแดนของตน

คนไทยเป็นเจ้าของที่ดินได้...ต่างชาติย่อมได้เหมือนคนไทย

อย่างนี้จะเรียกได้หรือไม่ว่า...ขายชาติ ขายแผ่นดิน.

เป็นข้อเขียนจากไทยรัฐ วัีนนี้ ครับ
http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/39105

ขอบคุณไทยรัฐมากๆเลยที่ขยายเรื่่องนี้
      บันทึกการเข้า
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #19 เมื่อ: 14 ตุลาคม 2552, 14:14:46 »

สงสัยว่า เบี้ยกุดชุม มันหนักหัวใครหรือเปล่าครับ ?  ทำไมภาครัฐจึงมีท่าทีเหมือนไม่พอใจ?
เค้าก็มีกติกาแล้วว่า ใช้เฉพาะพื้นที่ในหมู่บ้าน ห้ามเอามาซื้อของข้างนอกพื้นที่ ห้ามเอาไปแลกเงินบาทโดยพละการ
เพราะถ้าเค้าไม่ทำตามกติกา ระบบเงินตราของเค้านั่นแหละจะพังก่อน ไม่กระทบระบบเงินส่วนกลางของชาติเท่าไหร่
      บันทึกการเข้า

...
yc
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557

เว็บไซต์
« ตอบ #20 เมื่อ: 15 ตุลาคม 2552, 17:21:55 »

ขอบคุณน้องAj.O ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น
เข้าใจว่าตอนนี้เขายอมให้ใช้เบี้ยกุดชุม(บุญกุดชุม)กันแล้ว
แต่ความกลัวที่เคยเกิดขึ้นสมัยถูกห้ามยังมี และไม่ได้รับความสนใจจากภาครัฐ
จึงไม่ค่อยได้รับความสนใจจากชาวบ้านครับ

วันนี้บุรีรัมย์ร้องเพลงชาติ ขอไปร้องเพลงชาติก่อนนะครับ
      บันทึกการเข้า
jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #21 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2552, 11:46:10 »

อ่านข้อความจากไทยรัฐที่ คุณ YC นำมาลงแล้วข้างต้น
มันหนาวนะ...หนาวลึกๆในหัวใจ....
..มีคู่แต่งงาน บางคู่ บอกป้าแจ่มว่า..จะไม่มีลูกเพราะ วันข้างหน้า มันน่ากลัว..
.........สภาพเศรษฐกิจ และสังคมจะแข่งขัน เข่นฆ่ากันได้ง่ายดาย ...บางครั้งเพื่ออยู่รอด อาจต้องทำร้ายผู้อื่น..
..หรือมีการนำสัญชาตญานสัตว์ มาใช้กันมากขึ้น ในทุกระดับชั้นของสังคม ..
ความดีเป็นเรื่องเชย หรือโง่เง่า...ผลประโยชน์ตนและชัยขนะคือทุกสิ่งที่น่าเทอดทูน....
....
..ถามตัวเองอย่างสิ้นหวังว่า.....ฉันจะทำอะไรได้.....ฉันจะทำอะไรดี...
...เอาเถอะน่า...มันต้องมีสิ่งดีๆอยู่บ้าง...แต่ตอนนี้คิดไม่ออก บอกไม่ถูกจริงๆ
....................
      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #22 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2552, 10:01:04 »

ตอนนี้ได้ข้อมูลมาอีกแง่มุมหนึ่ง  ยังไม่อยากตื่นข่าว แค่เฝ้าระวังไว้ก่อน
http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=14194

อ้างจาก: Canthai
เรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน ไม่ได้ยิน ( มีกฎหมายการถือครองที่ดินของคนต่างด้าวป้องกันอยู่แล้ว ที่น่ากลัวคือพวกนอมินี )

ถ้าได้ยินน่าจะเป็นเรื่อง "การค้าเสรี" ที่สินค้าของอาเซี่ยนจะเปิดเสรี ซึ่งอาจมีผลกระทบกับอาชีพเกษตรไทย

อ้างจาก: Solidus
มาในรูปปอบ นอมินี น่ากลัวกว่าครับ เพราะถ้ามาตรง ๆ มันทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเช่าที่นาแล้วทำเอง หรือจ้างคนไทยให้ทำแทน ยังไงมันก็ถือว่าทำอยู่ดี
      บันทึกการเข้า

...
jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #23 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2552, 18:29:04 »

การประชุมเอเชี่ยน ซัมมิท

ป้าได้รับข้อมูลมา.....กรุณาตรวจสอบ...ถ้าเป็นจริง...
กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ และพรรคประชาธิปัตย์ จะภาคภูมิใจในผลที่จะเกิดกับลูกหลานในอนาคตมากมั้ย
จะรับผิดชอบไหวหรือไม่.....

การประชุมครั้งนี้ จะมีการลงนามในเอกสารประมาณ 20 ฉบับ ที่สำคัญคือ บันทึกความเข้าใจการจัดตั้งศูนย์อาซียน – จีน และข้อตกลงเอกสิทธิ์และคุ้มกันทางการทูต ซึ่งไทยจะต้องนำเข้ารัฐสภา ให้ความเห็นชอบ ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญด้วย
       
       หนึ่ง ในความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้น คือ ความเคลื่อนไหว ของภาคประชาชน ที่คัดค้านการเปิดเสรีการลงทุน ใน 3 สาขาคือ การเพาะ และขยายพันธุ์พืช การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการทำป่าไม้จากป่าปลูก โดยนักลงทุนในอาเซียน และนักลงทุนต่างชาติที่มีกิจการอยู่ในอาเซียนและต้องการขยายการลงทุนใน ประเทศสมาชิกอาเซียน
สามารถเข้ามาลงทุนและถือหุ้นใหญ่ในกิจการทั้ง 3 ประเภทได้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป
       
       กลุ่ม เอ็นจีโอด้านเกษตร และกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ วอชท์ ได้ยื่นหนังสือต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ทบทวนการเปิดเสรีใน 3 สาขาดังกล่าว

 
 
      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #24 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2552, 18:34:12 »

ต่ออีกค่ะ..ป้า link ไม่เป็น เลยใช้วิธีนี้....

โดยทั่วไป ข้อตกลงการเปิดเสรีการค้า และการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงระดับไหน จะมีข้อยกเว้น ไม่จำเป็นต้องเปิดเสรีหมด หากเห็นว่า อุตสาหกรรมใดยังไม่พร้อม หรือเห็นว่า ถ้าเปิดเสรีให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ จะมีผลกระทบต่อประเทศอย่างรุนแรง ก็สามารถที่จะ ขอยกเว้นได้ โดยจัดให้เป็นอุตสาหกรรมหรือกิจการในสาขาที่ได้สงวนเอาไว้(Temporary Exclusion List-TEL) และสาขาที่อ่อนไหว (Sensitive List-SL) หรือข้อยกเว้นทั่วไป
       
       
 sorry....แต่ ประเทศไทยกลับไปถอน กิจการการเกษตรและการประมง ออกจากการเป็นกิจการที่อยู่ในข้อยกเว้นเสียเอง โดย คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ซึ่ งมีการประชุมเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 โดยมีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นประธาน ให้ยกเลิกข้อสงวนของประเทศไทย 3 รายการคือ 1) การทำประมง เฉพาะการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 2) การทำป่าไม้จากป่าปลูก และ 3) การทำกิจการเพาะขยายหรือปรับปรุงพันธุ์พืช โดยให้ถอนข้อสงวนดังกล่าวออกจากรายการเพื่อให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามา ลงทุนได้ภายในปี พ.ศ. 2553 ตามข้อเสนอของบีโอไอ
 จ๊าากกก
      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
  หน้า: [1] 2  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><