22 พฤศจิกายน 2567, 17:15:17
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: [1]   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมบรรยาย+เตรียมตัวก่อนตาย ไม่ได้นำมาเพื่อให้หดหู่ แต่เพื่อให้เป็นผู้รู้(พุทธ)  (อ่าน 28143 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« เมื่อ: 18 สิงหาคม 2552, 21:14:22 »

 

พระอาจารย์ มานพ อุปสโม

 gek gek gek

คนเราทุกคนหนีความตายไม่พ้น สักวันหนึ่งเราก็ต้องตาย

ค้นหาทางอินเตอร์เนต พบเวบ

ธรรมบรรยาย+เตรียมตัวก่อนตาย

จึงนำมาให้พวกเราฟัง และ พิจารณาว่า จะเชื่อหรือไม่

ธรรมบรรยายฟังแล้ว สรุปว่า

สอนให้ฝึกสติ ด้วยการฝึกสติปัฏฐาน ๔

ให้มีสติตลอดเวลา เมื่อตอนช่วงก่อนตาย จะปิดอบายภูมิได้

หนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเขียนไว้ว่า

ก่อนตายให้นึกถึงพระนิพพาน และ ให้ภาวนาว่า

“นิพพานัง ปรมัง สุขัง”

อย่างไรก็ตาม การมีสติตลอดเวลา ได้ประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน

ทำให้ไม่หลงลืม ทำงานได้ประสิทธิภาพมากขึ้น


รับฟังได้ที่

http://audio.palungjit.com/f12/สติปัฏฐาน-๔-ธรรมบรรยาย-เตรียมตัวก่อนตาย-504.html

 งง งง งง งง งง งง

      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #1 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2552, 08:15:05 »


อริยทรัพย์ ๗



อริยทรัพย์ คือ ทรัพย์อันประเสริฐ ทรัพย์คือคุณธรรมประจำใจ อย่างประเสริฐ

๑. ศรัทธา ความเชื่อที่มีเหตุผล มั่นใจในหลักที่ถือและในการดีที่ทำ

๒. ศีล การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย ประพฤติถูกต้องดีงาม

๓. หิริ ความละอายใจต่อการทำชั่ว

๔. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความชั่ว

๕. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก

๖. จาคะ ความเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

๗. ปัญญา ความรู้ความเข้าใจถ่องแท้ในเหตุผล ดีชั่ว ถูกผิด

คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้คิด รู้พิจารณาและรู้ที่จะจัดทำ

อริยทรัพย์ เป็นทรัพย์อันประเสริฐอยู่ภายในจิตใจ ดีกว่าทรัพย์ ภายนอก

เพราะไม่มีผู้ใดแย่งชิง ไม่สูญหายไปด้วยภัยอันตรายต่างๆ ทำใจให้ไม่อ้างว้างยากจน

และเป็นทุนสร้างทรัพย์ภายนอกได้ด้วย

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

ธรรม ๗ นี้ เรียกอีกอย่างว่า พหุการธรรม หรือ ธรรม มีอุปการะมาก เพราะ

เป็นกำลังหนุนช่วยส่งเสริมในการบำเพ็ญ คุณธรรมต่างๆ ยังประโยชน์ตน

และประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จได้อย่าง กว้างขวางไพบูลย์


เปรียบเหมือนคนมีทรัพย์มากย่อมสามารถใช้จ่าย ทรัพย์เลี้ยงตนเลี้ยงผู้อื่น

ให้มีความสุข และบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ ได้ เป็นอันมาก

***************************************

จาก

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต)

***************************************

ขยายความเกี่ยวกับอริยทรัพย์

ครูบาอาจารย์มักสอนเสมอว่า อริยทรัพย์ เป็นทรัพย์อันประเสริฐ

ที่สามารถติดตัวเราไปได้ทุกภพทุกชาติตราบเท่าที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด

อยู่ นอกไปจากนั้น ท่านยังสอนว่า สำหรับบุคคลอันเป็นที่รักเช่นพระอรหันต์

ในบ้านคือคุณแม่คุณพ่อ (หรือกับบุคคลใดๆ ก็ตามที่เราสามารถชี้แนะได้)

นอกจากเราจะตอบแทนพระคุณท่านด้วยการดูแลเอาใจใส่ ทะนุบำรุงท่าน

ทางกายและด้วยความรักและกตัญญูแล้ว

สิ่งที่เป็นการทดแทนพระคุณอันประเสริฐยิ่งอีกก็คือ การชี้แนะหรือชักชวน

ให้ท่านได้ทำบุญทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา อีกอย่างก็คือ ชักชวนหรือ

นำให้ท่านได้สะสมอริยทรัพย์ไว้มากๆ


**************************************

นำมาจาก

http://www.geocities.com/easydharma/dm004013.html

 gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #2 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2552, 08:46:39 »

 
 

ผมขอเสนอพวกเราสามารถใช้การนอนหลับเป็นสนามฝึก

เตรียมตัวไว้จนชำนาญ เมื่อวันนั้นมาถึงจะได้นำมาใช้ และ จากไปอย่างสงบ

ด้วยการฝึกสติปัฏฐาน ๔ นอนอย่างมีสติ ไม่กระวนกระวาย หลับอย่างสงบ


รับฟังได้ที่

http://audio.palungjit.com/f12/สติปัฏฐาน-๔-ธรรมบรรยาย-เตรียมตัวก่อนตาย-504.html

นอกจากการเตรียมตัวก่อนวันนั้นมาถึง ควรสร้าง

อริยทรัพย์ ๗ เป็นเสบียง

ที่สามารถติดตัวเราไปได้ทุกภพทุกชาติตราบเท่าที่

ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ดูอริยทรัพย์ ได้ที่

ตอบกระทู้ที่ ๑ ก่อนตอบกระทู้ที่ ๒ ที่เขียนนี้

ในทางพุทธศาสนายังเชื่ออีกด้วยว่า เมื่อใกล้ตายจะเกิดนิมิตสองประเภท คือ

กรรมนิมิต และ คตินิมิต

กรรมนิมิต หมายถึงภาพที่ปรากฏเกี่ยวกับกรรมที่ได้เคยกระทำไว้

หากทำความดีมาตลอด กรรมนิมิตจะเป็นในทางที่ดี

แต่หากทำชั่ว จะเกิดกรรมนิมิตที่น่ากลัว

ส่วนคตินิมิต หมายถึงนิมิต หรือ ภาพเกี่ยวกับภพหน้าที่ตนจะไปเกิด

คนที่ทำความดีจะเกิดคตินิมิตที่งดงาม

ส่วนคนทำชั่วจะพบเห็นนิมิตที่น่ากลัว

นิมิตที่ดีย่อมช่วยให้ผู้ใกล้ตายมีอาการที่สงบ

ในทางตรงข้ามนิมิตที่น่ากลัวย่อมมีผลให้ผู้ใกล้ตายกระสับกระส่าย ทุกข์ทรมาน

ความตายจึงไม่ใช่เป็นแค่วิกฤตของชีวิตเท่านั้น หากยังเป็นโอกาสในทางจิตวิญญาณ

ในทางพุทธศาสนาเชื่อว่าจิตที่สงบเป็นกุศล ไม่เพียงช่วยให้ตายอย่างไม่ทุกข์

ทรมานแล้ว ยังสามารถนำพาผู้ตายไปสู่สุคติ เป็นการยกระดับจิตใจให้เข้าสู่

ภพภูมิที่ดีกว่าเดิม ยิ่งผู้ใกล้ตายนั้นมีสติเต็มที่ เห็นโทษของความติดยึดในสังขารหรือ

ความสำคัญมั่นหมายในตัวตนจนสามารถละวางได้อย่างสิ้นเชิง ก็จะเข้าถึง

ความวิมุติหลุดพ้นคือนิพพานได้ทันที ดังพระสาวกหลายท่านได้กระทำไว้เป็นแบบอย่าง

นับเป็นตัวอย่างที่ชี้ว่าความตายสามารถเป็นปัจจัยให้เกิดพัฒนาการทางจิตวิญญาณ

อย่างถึงที่สุดได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงสมควรที่จะเตรียมตัวรับความตายแต่เนิ่น ๆ

ในขณะที่ยังมีเวลาอยู่ ทั้งนี้เพื่อใช้ความตายให้เป็นโอกาสในทางจิตวิญญาณ

ไม่ปล่อยให้ความตายนำชีวิตไปสู่วิกฤตหรือความแตกดับเท่านั้น

นำมาจาก เผชิญความตายด้วยใจสงบ พระไพศาล วิสาโล

http://web1.peacefuldeath.info/?q=node/58

 หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #3 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2552, 07:49:02 »




โซเกียล รินโปเช

การทำโพวาสำหรับผู้ใกล้ตาย

จากหนังสือเรื่อง ประตูสู่สภาวะใหม่ ของ โซเกียล รินโปเช

การทำโพวา คือ เป็นการน้อมนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือมาช่วยเยียวยา และ

เพิ่มพลังจิต โดยใช้การสร้างภาพให้ปรากฏในใจ

เลือกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือน้อมนำมา ๑ องค์

โพวา = ส่งจิต

*กระตุ้นเมตตากรุณาในใจเรา น้อมให้เกิดพลังโดยอาศัยศรัทธา



พระไพศาล วิสาโล  ประยุกต์กระบวนการทำโพวามาใช้ในการฝึกอบรม

“เผชิญความตายอย่างสงบ”  ของเครือข่ายพุทธิกา

ขั้นตอนการทำโพวาแบบประยุกต์สำหรับทำกับตัวเอง โดยน้อมใจตามคำกล่าว ดังนี้

๑.     ทำความสงบ ตามลมหายใจอยู่กับความสงบ ทำความรู้สึกผ่อนคลายทั้งกายใจ

น้อมจิตมาที่ลมหายใจ หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ ระลึกว่าขณะนี้มีเพียงลมหายใจ

ที่อยู่ในความรับรู้ของเรา ให้วางความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ลงชั่วขณะ

วางความกังวลหม่นหมอง ให้จิตรับรู้เพียงลมหายใจเข้าออก (ใช้เวลาสักพักเพื่อให้จิตสงบ)

๒.    จินตนาการว่าเรากำลังอยู่บนทุ่งหญ้า ที่โล่งกว้าง ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศบริสุทธิ์

เป็นท้องฟ้าที่กว้าง มีเพียงเราผู้เดียวที่อยู่ในทุ่งโล่งนั้น สัมผัสถึงความสงบ สงัด

ของบรรยากาศรอบตัว ทำใจให้โล่ง ไม่ต่างจากท้องฟ้าที่กว้างและโปร่งใส

 ๓.   น้อมใจนึกต่อไปว่า ที่ท้องฟ้าเบื้องหน้าเรา

ปรากฏสิ่งที่เราเคารพนับถือ อาจเป็น พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่เคารพ



ขอยก ตัวอย่าง พระที่มีประวัติประพฤติดี ประพฤติชอบ

หลวงปู่ดู่ วัดสะแก

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3702.0.html

รู้สึกในใจว่าท่านมาอยู่บนท้องฟ้าเบื้องหน้าเรา รอบกายเปล่งไปด้วยรัศมีที่เปล่งปลั่ง ให้

อธิษฐานในใจว่า ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้พระกรุณาของท่านช่วยให้จิตใจเรา

หายหม่นหมอง บำบัดความทุกข์โศก โรคภัย กิเลส อวิชชาในใจเรา ช่วยให้เรา

มีกำลังกาย กำลังใจที่เข้มแข็ง ให้รู้สึกถึงพระกรุณาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นที่อยู่เบื้องหน้าเรา

๔.    จินตนาการต่อไปว่ารัศมีเปล่งปลั่งนั้นแผ่ลงมาเป็นลำแสงที่ใส อ่อนโยน

ตรงมายังตัวเรา เป็นแสงแห่งกรุณาที่ช่วยเยียวยาความทุกข์ โรคภัยไข้เจ็บในตัวเรา

บำบัดปัดเป่าโรคทางวิญญาณ ความเศร้าหมองในใจ

๕.    ให้รู้สึกว่าลำแสงแห่งการุณย์นั้นได้ซึมซาบอาบตัวเรา ชำแรกไปทุกส่วนกาย

รู้สึกถึงผัสสะแห่งความอ่อนโยน เมตตาของลำแสง รู้สึกถึงการชำแรกอาบรดของลำแสง

จนร่างเราเรืองไปด้วยแสงเปล่งปลั่งเป็นร่างแสง

ลำแสงได้แผ่จนร่างเรากลมกลืนไปกับลำแสงนั้น

๖.     รู้สึกถึงทุกข์ที่เบาบางลงทั้งกายและใจ จินตนาการต่อไปว่า ร่างที่เรืองแสงนั้น

ล่องลอยขึ้นเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปกคลุมไปด้วยบารมีแห่งกรุณาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น

พยายามประคองให้ร่างเรืองแสงนั้นอยู่เป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นให้นานที่สุด

๗.    เมื่อรู้สึกสมควรแก่เวลาก็ขอให้ลำแสงนั้นค่อยๆ เลือนหายไป สิ่งศักดิ์สิทธิ์

ที่อัญเชิญมาก็ค่อยๆ เลือนหายไป ตัวเราก็น้อมกลับมาสู่ที่เดิม

กำหนดลมหายใจเข้าออกด้วยความสงบ (ให้สัญญาณระฆังเลิก ๓ ครั้ง)

ระยะเวลา ประมาณ ๑๕ นาที

http://web1.peacefuldeath.info/?q=node/62

  sleep sleep sleep

นำมาให้พวกเราฝึกไว้ช่วงเวลานอน อีกวิธีหนึ่ง เมื่อวันนั้นมาถึงจะได้ทำได้ทัีนที

 หลั่นล้า หลั่นล้า หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
เพื่อนเดียว-69
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu69
กระทู้: 152

« ตอบ #4 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2552, 23:04:41 »

อนุโมทนากับเรื่องดีๆ ของพี่หมอ  sleep  sleep

การรักษา ศีล ให้ดี ก็เป็นการรักษาใจ

อยู่ก็ดี ไปก็เป็นสุข

พร้อมจะอยู่ พร้อมจะไป
      บันทึกการเข้า

หน้าที่ของมนุษย์ คือการศึกษาธรรม เรียนรู้ธรรม เพื่อยอมรับธรรม

ธรรม คือธรรมชาติของรูปนาม
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #5 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2552, 19:10:55 »


                                  

         คนเราทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย จะตายช้าตายเร็วก็ต้องตายแน่ แต่เมื่อใกล้จะตายนั้นจะมีกรรมมาปรากฏในช่วงนั้น ถ้าเราทำกรรมดี และกรรมชั่วไว้ กรรมดี และกรรมนั้น ๆ ก็จะมาปรากฏให้เห็นในช่วงสุดท้ายในชาตินี้ และจะสิ้นสุดเมื่อเข้าไปสู่ชาติใหม่ หรือภพใหม่
          emo4:))ขอแทรกคำสอนของหลวงปู่ดู่

         "สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือ กรรม"
        
         http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,4483.0.html

         ลักษณะของจิตที่จับกรรมเอาในขณะนั้น ในพระอภิธรรม เรียกว่า “ มรณาสันนวิถี ” หมายถึง วิถี(ทาง) ที่จิตใกล้จะตายไปยึดถือ ในขณะนั้นจิตจะเข้าสู่วิถีของมันที่จะเคลื่อนเข้าไปสู่ภพใหม่ คือ จุติ(การตาย) จิตจะปรากฏ เมื่อจุติจิตปรากฏแล้วปฏิสนธิจิต (การเกิด) ก็จะปรากฏต่อจากจุติจิต ปกติแล้ว จิตในขณะนั้นจะอยู่ในภวังค์เหมือนอย่างคนนอนหลับ แต่เมื่อมันจะเคลื่อนไหวไปเป็นจุติจิต มันจะรับอารมณ์ของกรรมก่อน คือ นำกรรมที่สั่งสมเอาไว้เข้าไปสู่โลก(ภพ)หน้า การที่นำกรรมที่สั่งสมไว้เข้าไปสู่ภพหน้า จิตนั้นจะต้องรับอารมณ์

         คำว่า “อารมณ์” ในที่นี้หมายถึง สิ่งที่จิตเข้าไปยึดไว้ ไม่ได้หมายถึง อารมณ์ดี,อารมณ์ร้ายอย่างที่ชาวโลกเขาใช้กันไม่ อารมณ์ในที่นี้ คือ สิ่งที่จิตเข้าไปยึดถือไว้ ท่านเรียกว่า “อารมณ์”

         อารมณ์จะมาปรากฏแก่จิตของผู้ใกล้จะตาย 3 อารมณ์ คือ
1. กรรม ถ้าเรียกให้ชัดตามคัมภีร์พระอภิธรรมก็เรียกว่า “กรรมอารมณ์ ๆ คือ กรรม”
2. กรรมนิมิต หรือ กรรมนิมิตอารมณ์ ๆ คือ กรรมนิมิต
3. คตินิมิต หรือ คตินิมิตอารมณ์ ๆ คือ คตินิมิต

         โดยทั้ง 3 นี้ จะมาปรากฏทางใจเมื่อใกล้จะตาย

กรรม นั้นหมายถึง การกระทำของเราเองซึ่งเราอาจจะทำทั้งกรรมดี และ กรรมชั่ว มันจะมาปรากฏให้เราเห็นเมื่อเราใกล้จะตาย

กรรมนิมิต นั้นหมายถึง เครื่องหมายของการทำกรรม เช่น ถ้าเราใช้อุปกรณ์อะไร อย่างไรทำ เมื่อจวนจะตาย อุปกรณ์ในการทำกรรมนั้น ๆจะเข้ามาปรากฏเป็นเครื่องหมายให้เราทราบ (นิมิต หมายถึงเครื่องหมาย)

คตินิมิต นั้นหมายถึง เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ให้เรารู้ว่าแดนที่เราจะไปเกิดที่ไหน /ภพไหน/ชาติไหน มันมีเครื่องหมายบ่งบอกให้เรารู้ว่า ผู้นั้นจะไปดี หรือไปชั่วให้ดูที่คตินิมิต

         มีเรื่องตัวอย่างชายคนหนึ่ง ตายด้วยการกรอกน้ำร้อนที่กำลังเดือดจัดเข้าในปากตัวเองซึ่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส กทม. ได้เล่าไว้ ว่า

         "คนขโมยของที่ถูกไฟไหม้"

         กล่าวกันว่า ได้เกิดไฟไหม้บ้านเรือนหลังหนึ่งขึ้น ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพฯ นี้เอง เมื่อหลายปีแล้ว คนในบ้านใกล้เคียงตกใจขนของหนีไฟเป็นการใหญ่

         ในขณะนั้นก็มีเรือลำหนึ่งเข้ามาเทียบเข้าไปแล้ว เจ้าของเรือก็ตะโกนบอกให้ขนของมาลงเรือ และใส่เต็มเรือแล้ว ชายเจ้าของเรือก็แจวเรือออกไปอย่างรวดเร็ว เป็นการโกงซึ่ง ๆ หน้า ในขณะที่คนอื่นเขาเดือดร้อนไม่รู้จะไปเรียกร้องเอาอะไรจากใครเขาก็นำของที่โกง หรือขโมยมานั้นไปเป็นของตัวเองอย่างสบายใจ โดยไม่คิดถึงความเดือดร้อนของคนอื่น

         ต่อมา ชายที่โกงเขาไปนั้นเกิดอาการเจ็บป่วยไม่สบายขึ้น อาการที่ปรากฏคือ ต้องการดื่มน้ำร้อนจัด ๆ ยิ่งร้อนเท่าไรก็ยิ่งชอบใจในที่สุดก็ไม่พอใจที่ลูก ๆ หาว่าเอาน้ำเย็นมาให้ดื่ม ทั้ง ๆ ที่เป็นน้ำร้อนเดือดจัดแท้ ๆ ในที่สุดแกเอาเตาถ่านและกาน้ำมาต้มที่ใกล้กับที่ที่แกนอนเจ็บอยู่ พอน้ำเดือดพล่าน มีควันพุ่งออกมาเต็มที่ แกก็จะลุกขึ้นยกกาน้ำร้อนเทใส่ปากดื่มทางพวยกา พอแกดื่มเสร็จก็ร้อง เฮ้อ…คล้ายกับว่าชื่นใจเหลือเกิน แล้วก็ตายไป

โดย พระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ) วัดโสมนัสวิหาร

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&month=12-2009&date=21&group=1&gblog=255

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

มาร่วมสร้าง กรรม ตาม โอวาทปาฏิโมกข์ หรือ แก่นคำสอนของพุทธศาสนา ด้วยการ
สร้างกรรมดี ละเว้นกรรมชั่ว และ ใจผ่องใส จากการสร้างกรรมทั้งสอง

 gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #6 เมื่อ: 19 มกราคม 2553, 13:18:32 »


                         อิสรภาพที่รอการค้นพบจากเรา
                                       โดย พระไพศาล  วิสาโล
  
                ดวงอาทิตย์เมื่อขึ้นสูงสุดแล้วก็ย่อมคล้อยต่ำจนลับขอบฟ้าไป  ดอกไม้เมื่อบานเต็มที่แล้วก็ย่อมโรยราเหี่ยวเฉาในที่สุด

                กาลเวลาย่อมเปลี่ยนผ่านจากวันเป็นคืน จากฤดูฝนย่อมเปลี่ยนเป็นฤดูหนาว และเคลื่อนสู่ฤดูร้อน ดินที่ชุ่มฉ่ำในที่สุดย่อมแห้งและแตกระแหง ธรรมชาตินั้นไม่เคยหยุดนิ่งหรือคงที่ มีแต่การเปลี่ยนแปลง  

               ชีวิตของเราก็เช่นกัน มิอาจหนีพ้นความเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า “อนิจจัง” ได้ วันนี้เราเป็นหนุ่มเป็นสาว แต่พรุ่งนี้เราย่อมแก่เฒ่า วันนี้เรามีสุขภาพดี แต่พรุ่งนี้เราย่อมล้มป่วย วันนี้เรายังมีลมหายใจ แต่พรุ่งนี้เราย่อมสิ้นลม

                        

               ชีวิตและความตายเป็นของคู้กัน ไม่ว่าจะร่ำรวยเพียงใด ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นความตายได้
  
                           นี้คือความเสมอภาคอย่างหนึ่งที่ทุกชีวิตมีเสมอเหมือนกัน
  
               อย่างไรก็ตามแม้ทุกคนต้องตายเหมือนกัน แต่ก็มิได้หมายความว่าเราจะตายเหมือนๆ กัน คนเราตายด้วยสาเหตุต่างๆ กัน และแม้จะตายด้วยสาเหตุเดียวกันก็ใช่ว่าจะตายด้วยอาการเดียวกัน บ้างก็ตายด้วยอาการทุรนทุราย บ้างก็ตายอย่างสงบ บ้างก็ตายด้วยอาการดิ้นรนขัดขืน บ้างก็ตายอย่างง่ายๆ ราวใบไม้ปลิดจากขั้ว

              ความตายนั้นนอกจากเราจะหนีไม่พ้นแล้ว เรายังไม่อาจเลือกได้ว่าตายเมื่อไร อย่างไร และที่ไหน คนที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายอาจตายเพราะหัวใจวาย คนที่มีสุขภาพดีอาจอายุสั้นกว่าคนที่เป็นเอดส์ เพราะไปประสพอุบัติเหตุ ส่วนคนที่พยายามฆ่าตัวตายอาจไปตายที่โรงพยาบาลก็ได้ ความตายนั้นสามารถจู่โจมเราได้ทุกเวลาทุกสถานที่และมีอาการต่างๆ กันชนิดที่เราไม่มีสิทธิ์เลือกได้

              แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราสามารถเลือกได้นั่นคือ เราจะเผชิญกับความตายอย่างไร เผชิญด้วยอาการยอมรับหรือต่อสู้ขัดขืน ด้วยความรู้สึกปล่อยวางหรือยึดยื้อสุดกำลังด้วยจิตที่ไร้สิ่งค้างคาหรือด้วยใจที่กราดเกรี้ยว ด้วยความสงบหรือตื่นตระหนก กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราสามารถเลือกได้ว่าจะเผชิญด้วย

                                                    สติหรือความหลง
 
             จำเพาะนักเรียนที่เตรียมตัวมาพร้อมแล้วเท่านั้นที่เดินเข้าห้องสอบด้วยความมั่นใจและไม่ตื่นกลัวข้อสอบ ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อวาระสุดท้ายใกล้เข้ามา ผู้ที่เตรียมใจไว้ดีแล้วย่อมไม่ตื่นตระหนก พร้อมเผชิญความตายเหมือนนักเรียนที่พร้อมจะทำข้อสอบ ใช่หรือไม่ว่าการเผชิญความตายนั้นที่จริงก็ไม่ต่างจากการทำข้อสอบ แต่เป็นการสอบที่ไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะชีวิตนี้เรามีโอกาสตายได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นหมายความว่าเราจำเป็นต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุด เพื่อพร้อมรับมือกับการสอบครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต

             การเตรียมตัวให้พร้อมเผชิญกับความตาย เราไม่ควรทำต่อเมื่อเจ็บหนัก แก่เฒ่า หรือเมื่อใกล้จะตายแล้วเท่านั้น หากควรเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ในขณะที่ยังมีสุขภาพดีหรือยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ยิ่งมีเวลาเตรียมตัวนานเท่าไร ความพร้อมก็เพิ่มพูนมากเท่านั้น เช่นเดียวกับนักเรียนที่ขยันเรียนและเตรียมตัวสอบมาตลอกทั้งปี ย่อมมีโอกาสที่จะผ่านการสอบได้ดี ใครที่ขยันเรียนเมื่อจวนเจียนจะสอบ ย่อมเสี่ยงต่อการสอบตก แต่ก็ยังดีกว่าคนที่เอาแต่เที่ยวเล่น ไม่สนใจการเรียน สำหรับนักเรียนกลุ่มหลัง การสอบ คือ ความหายนะเลยทีเดียว

            จะว่าไปแล้ว ชีวิตนี้ทั้งชีวิตมีขึ้นเพื่อการเตรียมตัวสำหรับวาระสุดท้าย ซึ่งอาจกินเวลาไม่กี่วินาทีหรือนานเป็นเดือน  ครั้งหนึ่งหลวงปู่ดูลย์ อตุโล  ซึ่งเป็นศิษย์คนสำคัญของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้ไปเยี่ยมพระรูปหนึ่งซึ่งอาพารธหนักใกล้จะมรณภาพ หลวงปู่ดูลย์ได้กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “การปฏิบัติทั้งหลายที่เราพยายามปฏิบัติมา ก็เพื่อจะใช้ในเวลานี้เท่านั้น” จากนั้นท่านก็ย้ำเตือนให้พระรูปนั้นทำใจปล่อนวาง ท่านกล่าวเพียงไม่กี่คำ แต่พระรูปนั้นเข้าใจแจ่มแจ้งเพราะได้เตรียมตัวไว้นานแล้ว

            ชีวิตกับความตายไม่อาจแยกจากกัน เรามีชีวิตอย่างไร ก็มักจะตายอย่างนั้น หากปรารถนาที่จะตายอย่างสงบ ไม่ทุรนทุรายพร่ำเพ้ออย่างที่คนโบราณเรียกว่า “หลงตาย” ก็ควรที่จะอยู่อย่างมีสติ ไม่ประมาท ทำใจให้เป็นบุญอยู่เสมอ แต่หากหลงใหลเพลิดเพลินกับความสนุกสนานจน “ลืมตาย” ไม่สั่งสมคุณงามความดีเอาไว้ ย่อมยากจะรักษาใจให้เป็นกุศลเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง

            แต่ถึงแม้ว่าจะปล่อยเวลาให้ผ่านไปค่อนชีวิตโดยไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้เลย ถ้าหากคุณยังสามารถอ่านมาถึงบรรทัดนี้ได้ หรือตราบใดที่คุณยังมีสติรู้ตัวอยู่ แม้จะนอนป่วยอยู่ ก็ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเตรียมตัวเผชิญความตาย  ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ การน้อมจิตให้เป็นกุศล วางใจได้ถูกต้อง พร้อมรับความตาย ก็ยังเป็นไปได้เสมอ

            ความตายนั้นก็เช่นเดียวกับความพลัดพรากสูญเสียทั้งหลาย จะทำให้เราเป็นทุกข์ได้ต่อเมื่อใจเราพร้อมจะเป็นทุกข์อยู่แล้ว

               แต่หากเราวางจิตวางใจให้ ถูกต้อง รู้ชัดในความเป็นจริงของชีวิต ปล่อยวางทุกสิ่ง ไม่ยื้อยุดอะไรไว้ ความตายย่อมไม่สามารถทำให้เราเป็นทุกข์ได้เลย

            ไม่มีใครหลีกหนีความตายได้พ้นก็จริง แต่เราสามารถรักษาใจไม่ให้ทุกข์ได้เมื่อความตายมาถึง นี้คืออิสรภาพทางใจที่ความตายไม่อาจแย่งชิงไปได้ อิสรภาพเช่นนี้ เราทุกคนสามารถบรรลุได้ เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในใจเรา เพียงแต่รอการค้นพบจากเราเท่านั้น

            อย่าปล่อยให้วันนี้ผ่านไปโดยคุณไม่ได้ทำอะไรเลยเพื่อค้นหาอิสรภาพดังกล่าว อย่ารอให้อาทิตย์ตกดินโดยคุณไม่ได้เตรียมใจไว้เลยในยามชีวิตอัสดง

            ที่สำคัญที่สุด คือ อย่ารอวันพรุ่งนี้เพราะวันพรุ่งนี้อาจมาไม่ถึงก็ได้

นำมาจาก กระทู้ที่พี่สิงห์(มานพ)โพสต์ไว้ที่

           manopkd สมาชิกกิติมศักดิ์ ระดับชั้นเหนือเซียน
เป็นนักกอล์ฟอาชีพผู้อาวุโสไทย เก่งคอนกรีตอัดแรง
รุ่น: เข้าจุฬาฯ รุ่น 2513 หรือ วศ.รุ่น 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,558

        Re: คุยกับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม 3 สมัยและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ชมรมฯ
« ตอบ #2680 เมื่อ: 18 มกราคม 2553, 13:05:16 »

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3055.0.html

            gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #7 เมื่อ: 26 มกราคม 2553, 19:26:35 »

ขอบคุณ หมอสำเริง
ที่นำเรื่องดีๆ มาให้ชาวซีมะโด่ง ได้อ่านอยู่เสมอ

เลยมา ตามอ่าน ตามดู ตามรู้   ตามไปเรื่อยๆนะครับ เหนื่อย
      บันทึกการเข้า
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #8 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2553, 18:01:09 »


         ไขปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย

                      

         มนุษย์และสัตว์มิได้สิ้นสุดที่ความตาย เพราะการ "ตาย" หมายถึง สภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งานต่อไปได้อีก วิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะบ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไปสุคติหรือลงสู่นรกภูมิ
 
1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ

2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว

3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์ 4 ชนิด

         สังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท
 
- ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)

- หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตาย หูจะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย

- จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ

- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอด จะเกิดเป็นสัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก

         เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน?

         ดวงวิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่

                  

         วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน

         วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์ หรือเรียกว่า "อนันตริยกรรม" มีอยู่ 5 อย่าง คือ

1.ฆ่าพ่อ 2. ฆ่าแม่ 3. ฆ่าพระอรหันต์ 4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก 5. ทำร้ายพระพทุธเจ้าห้อเลือด

         หลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้ว เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย

         7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี ในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพ

         เรามาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพังเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น

เจ็ดวันรอบแรก

         วิญญาณผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา

         ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉย ไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย

เจ็ดวันรอบที่ สอง

         เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่าน เมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานี และยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้น

         ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย

เจ็ดวันรอบที่ สาม

         เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้ และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม ยามมีชีวิตทำชั่วอะไร ภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ เสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิด ตอนนี้แต่ก็สายเสียแล้ว

         ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึง จะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆ และพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด

เจ็ดวันรอบที่ สี่

         เมื่อมาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์

เจ็ดวันรอบที่ ห้า

         วิญญาณผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลาน คนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตน ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์

เจ็ดวันรอบที่ หก

         เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิต หลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา

เจ็ดวันรอบที่ เจ็ด

         เมื่อวิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่า ผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกิเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว.

         ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้น เร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลก ตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ...

         อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ส่งต่อเมล์นี้นะครับ

         ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ

         ได้รับเมลล์นี้มา อ่านแล้วตื่นเต้น เร้าใจดี ทำให้กลัวบาป อยากทำความดี จึงนำมาให้พวกเราอ่านด้วย

         gek gek gek
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #9 เมื่อ: 20 มีนาคม 2553, 20:55:44 »


      

          หลวงปู่ดู่สอนศิษย์ : พื้นฐานการปฏิบัติที่คนสมัยนี้พากันละเลย คือ

การฝึกให้มีสติตลอดเวลา ท่านสอนให้ภาวนาคำภาวนาใด ตอนนอน เมื่อ

ถึงเวลาตื่น ก็ยังภาวนาคำนั้นต่อเนื่องได้


         ไม่เคยรู้มาก่อนการฝึกสติเวลานอนด้วยการภาวนาแบบนี้เป็นการฝึก

ที่ท้าทายให้ปฏิบัติดู อยากรู้เหมือนกันว่า ทำแล้วจะอ่อนเพลีย หรือ ไม่

         พวกเราใครทำได้ ตามคำสอนเป็นอย่างไรบ้าง โพสต์มาบอกกันได้

ผมคนแนะนำก็จะต้องลองด้วย ได้ผลอย่างไร จะมาโพสต์บอก


          gek gek gek           
        
                  หลวงปู่ดู่สอนศิษย์ : พื้นฐานการปฏิบัติที่คนสมัยนี้พากันละเลย
             
                      -----------------------------------------------------------

          

                              พื้นฐานการปฏิบัติที่คนสมัยนี้พากันละเลย

                                    -----------------------------------

         ในสมัยก่อนหลวงปู่จะให้ลูกศิษย์พากันหมั่นบริกรรมภาวนาไตรสรณคมณ์คือ

 "พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉรามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"

         หลวงปู่เคยสอนว่า

        "ถ้าแกหลับไปกับคำบริกรรมภาวนา แล้วตื่นมาพร้อมกับคำบริกรรม จึงจะใช้ได้"

         ซึ่งช่วงนั้น หลายคนที่พยายามฝึกฝนให้ได้อย่างนั้น และบางคนก็ทำสำเร็จ คือพอตื่นนอนขึ้นมา ความรู้สึกตัวเหมือนกับว่าในใจยังท่องบริกรรมภาวนาอยู่อย่างต่อเนื่อง

          สมัยนั้น ลูกศิษย์ที่รู้ (จำ) มาก ก็ตั้งข้อสงสัยว่าหลวงปู่เน้นสมถะมากเกินไปกระมัง หลวงปู่น่าจะเน้นด้านวิปัสสนาจึงจะถูก

          แต่แล้วประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมนานปีเข้า จึงทำให้เห็นความฉลาดหลักแหลมของผู้เป็นครูบาอาจารย์

          ใคร ๆ ก็บอกว่าจะฝึกสติ แต่อุบายของการฝึกสติกลับไม่ค่อยนึกถึง ซึ่งแท้จริงแล้ว การหมั่นบริกรรมภาวนานี้แหละคืออุบายการฝึกสติที่ดีมาก ๆ ฝึกให้เรารู้เนื้อรู้ตัวตลอด ไม่ให้จิตเพ่นพ่านออกไปอย่างขาดสติ

         บางคนก็บอกว่าต้องดูจิต หลวงปู่ก็สอนให้ดูจิต แต่ท่านก็รู้ว่าจิตเป็นของยากที่จะดู อุปมาจิตก็เหมือนลิงที่อยู่ในป่ากว้าง เราจะจับมันได้อย่างไร วิ่งไล่มันในป่าก็มีหวังหมดอายุขัยก่อนที่จะจับมันได้ ด้วยเหตุที่จิตเป็นของที่ดูยากรู้ยาก พระพุทธเจ้าจึงให้อุบายตะล่อมให้จิตมาอยู่ในขอบเขตที่แคบเข้า นั่นก็คือ กรรมฐาน ซึ่งพระองค์ก็ให้อุบายกรรมฐานมาตั้ง ๔๐ อย่าง ตามแต่อุปนิสัยของผู้ฝึก

         ดังนั้น ในการที่จะดูจิตจึงต้องอาศัยกรรมฐานเพื่อให้จับตัวจิตหรือจิตได้ง่ายเข้า ถนัดเข้า ถ้าจิตเป็นของดูได้ง่าย ๆ พระพุทธเจ้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องสอนกรรมฐาน ดังนั้น ไม่ว่าสายหลวงปู่มั่น สายหลวงพ่อวัดปากนั้น สายหลวงพ่อปาน ฯลฯ ก็ล้วนให้เพียรฝึกกรรมฐานก่อนทั้งนั้น เป็นแต่ใช้คำบริกรรมต่างกัน เช่น พุทโธบ้าง สัมมาอะระหังบ้าง นะมะพะทะบ้าง แต่สุดท้ายก็ไปสู่จุดเดียวกันคือความสงบตั้งมั่นของจิตเหมือนกัน ทีนี้ จะดูจิตดูอารมณ์ก็ดูไปให้มันถนัด

         จับปลาช่อน มองดูเฉย ๆ ก็จับมันไม่ได้ จับมันแรงไปมันก็ลื่นปื๊ดหลุดมือไป จับเบาไปมันก็หลุดหนีไปอีก จึงต้องจับพอดี ๆ วางใจพอดี ๆ บังคับเหมือนกัน แต่บังคับพอดี ๆ ปลาช่อนหรือจิตมันจึงจะอยู่มือ หลังจากนั้นจะนำมาดัดมาฝึกก็ค่อยเริ่มจากจุดนี้

          การบริกรรมภาวนาให้ได้ตลอดทั้งวัน อย่างที่หลวงปู่บอกไว้ว่าให้ทำทั้งหลับตา ลืมตา เดิน ยืน นั่ง นอน ขึ้นรถ ลงเรือ หุงข้าว ทำแกง ฯลฯ แต่ละคืน ๆ ให้บริกรรมไปจนหลับ ตื่นมาก็สังเกตว่ารู้สึกตัวปุ๊บก็บริกรรมต่อเนื่องไปอีก

          แต่แน่นอนในยามที่ต้องมุ่งเน้นกิจกรรมเฉพาะหน้าเช่นหน้าที่การงาน การบริกรรมก็อาจต้องผ่อนลงมา แต่พอว่างจากกิจกรรมก็ทำให้หนักขึ้น ชัดขึ้นดังเดิมอีก ยอย่างนี้จึงจะเรียกว่า

         ทำด้วยอิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะ ความพอใจใครปฏิบัติ วิริยะ ความเพียรไม่ท้อถอยยอมแพ้ จิตตะ จดจ่อต่อเนื่องทุก ๆ อิริยาบท ไม่ขาดวรรคขาดตอน และวิมังสัง ใช้ปัญญาสอดส่องการวางใจหนักเบาตามควรแก่กาละเทศะ หรือสถานการณ์

         ทีนี้ก็จะได้ตระหนักถึงอุบายสร้างพื้นฐานการปฏิบัติธรรมที่สำคัญยิ่งที่หลวงปู่ท่านเมตตาให้ไว้ ซึ่งหากปฎิบัติได้ก็จะเป็นเหมือนฐานเจดีย์ที่พร้อมต่อการก่อสร้างหรือต่อยอดต่อไปได้อย่างมั่นคง มิให้ยอดเจดีย์ถล่มครืนลงมาได้โดยง่าย เพราะสติคือธรรมที่มีอุปการะมาก

         ***จากบทความของ คุณสิทธิ์
         http://www.watthummuangna.com/home/community/index.php/topic,684.0.html#lastPost    
                            
          win win win
 
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Kittiwit Pk
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 281

« ตอบ #10 เมื่อ: 20 มีนาคม 2553, 22:13:19 »

@ Dead before real death @@
      บันทึกการเข้า
เพื่อนเดียว-69
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu69
กระทู้: 152

« ตอบ #11 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2553, 23:07:49 »

ผิว่าความตายมาพราก (หลักใจสำหรับผู้ป่วย) ฟังดีมาก
http://www.ideaforlife.net/dhamma/book/03.html
      บันทึกการเข้า

หน้าที่ของมนุษย์ คือการศึกษาธรรม เรียนรู้ธรรม เพื่อยอมรับธรรม

ธรรม คือธรรมชาติของรูปนาม
Samrotri2517
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


จะเป็นด้านที่1และ2ของ3เหลี่ยมฯ เพื่อให้เกิดด้านที่3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: รหัสเข้า 17 รุ่น 57
คณะ: แพทยศาสตร์ จุฬาฯรุ่น 30
กระทู้: 1,915

« ตอบ #12 เมื่อ: 17 กันยายน 2553, 14:08:09 »


                              วันนี้คุณเตรียมตัวตายหรือยัง
               โดย น.พ.วิวัฒน์ วิริยะกิจจา รองอธิบดีกรมการแพทย์

                                ได้มาจากฟอเวอร์ดเมลล์

                                
        ผมไปงานศพของนายตำรวจยศพันตำรวจเอกท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นสามีของญาติผม เขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ขับรถเก๋งประสานงากับรถปิ๊กอัพ ทำให้คนขับเสียชีวิตทั้งคู่

         ผมเชื่อว่านายตำรวจท่านนี้คงเป็นห่วงลูกเล็กๆ สองคนภรรยาสาวสวย และ การงานที่กำลังจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายพล

         ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับญาติสาว ภรรยาของผู้เสียชีวิต จึงมอบความรู้เพื่อให้เธอก้าวข้ามห้วงแห่งความทุกข์ เพราะเป็นผู้หญิงคนเดียวแต่ต้องเลี้ยงลูกเล็กๆ สองคนในภาวะสังคมแบบนี้ ต้องยอมรับว่าลำบากมาก

         ผมให้แนวทางแก้ปัญหาว่า

๑. เข้าใจกฎของธรรมชาติ ทุกคนต้องตาย พรุ่งนี้เราอาจจะไม่มีชีวิตอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไม่เว้นกระทั่งปัญหาและความทุกข์ กาลเวลาจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง

๒. อยู่กับปัจจุบันขณะ ถามตัวเองว่า วันนี้ควรทำอะไร แล้วลงมือทำ อย่านึกถึงพรุ่งนี้ เพราะจะยิ่งให้เราเป็นทุกข์

๓. หากัลยาณมิตรมาช่วย คนเราควรมีเพื่อน แต่สำหรับผู้หญิงต้องระวังเรื่องการคบหาโดยเฉพาะเพื่อนต่างเพศ ซึ่งมีโอกาสสร้างปัญหาให้เราได้ง่าย และอย่าลืมคนในครอบครัวที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือเสมอ คือพ่อแม่ ญาติพี่น้อง

๔. ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด ผมบอกญาติว่า “ใจเย็นๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวทุกสิ่งทุกอย่างก็จะผ่านไปด้วยดี จำความรู้สึกนี้ไว้ให้ดีๆ แค่หลับตาเผลอแผลบเดี๋ยวก็จะผ่านไปสิบปีแล้ว”

๕. หาข้อดีจากข้อเสีย การที่เสียสามีไป ทำให้ได้ข้อคิดอะไรบ้าง

๕.๑ เตือนให้เรารู้ว่าความตายเป็นของแน่นอน วันนี้เราเตรียมตัวตายหรือยัง

๕.๒ ความทุกข์จะบีบคั้นให้พัฒนาตนเอง เพื่อหาหนทางแก้ทุกข์ เมื่อแก้ทุกข์ให้ตัวเองได้แล้ว กรุณาช่วยผู้อื่นด้วย

๕.๓ ได้รู้รสชาติของชีวิต ถ้าไม่รู้จักความทุกข์ จะรู้จักความสุขได้อย่างไร

         ผมดูภาพยนตร์เรื่อง “กำเนิดสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี” ตอนที่ท่านฝึกอสุภกรรมฐาน นั่งอยู่กับศพ ๔ ศพ ท่านท่องว่า

         “ตายแน่ๆ สักวันหนึ่งเราต้องตายแน่ๆ กลายเป็นผีเหมือนศพ ๔ ศพนี้”

๖. เร่งสร้างกุศลกรรม อยู่ในศีลในธรรมให้มากขึ้น แล้วชีวิตจะพบกับความสุขอย่างแน่นอน

๗. หมั่นรักษาจิตใจของตนเองให้ดี ต้องตรวจตราดูใจของตนเองว่าจิตตกหรือไม่ ถ้าจิตตก ต้องรีบหาวิธีจัดการให้กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
ทีนี้เรามาดูเรื่องการเตรียมตัวตายกันดีกว่า ซึ่งผมตั้งปณิธานไว้ว่า

         ผมจะตายอย่างมีความสุข เราสามารถทำได้ คือ

๑. เตรียมร่างกาย

ในอนาคตเราจะป่วยเป็นโรคอะไร สามารถทราบได้โดยอาศัยหลัก ๕ ประการ คือ

๑.๑ พ่อแม่เป็นโรคอะไร เรามีสิทธิ์เป็นโรคนั้นสูงมาก

๑.๒ เช็คจากผลตรวจสุขภาพ เช่น ระดับน้ำตาลในเลือด ไขมันในเลือด

๑.๓ ตรวจพิเศษ เดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถตรวจหาโรคจากพันธุกรรมได้ ผมเคยไปตรวจเลือดเพื่อหาพันธุกรรมของโรคสมองเสื่อมปรากฏว่า โชคดีที่ไม่พบ ซึ่งหากใครตรวจพบ จะมีโอกาสเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่าคนอื่น ๒๖ เท่า นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีต่างๆ อีกมากมาย

๑.๔ ตรวจจากธาตุเจ้าเรือนตามหลักแพทย์แผนไทย

๑.๕ วิเคราะห์พฤติกรรมต่างๆ เช่น ขับรถเร็ว เมาแล้วขับ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่

         พอรู้ว่าเราอาจจะป่วยเป็นอะไร มาจากสาเหตุอะไร ก็จัดการกับสาเหตุนั้นๆ เพื่อป้องกันปัญหา เพราะเราไม่จำเป็นต้องเป็นโรคเบาหวานเหมือนพ่อแม่

๒. เตรียมจิตใจ ต้องนึกว่าเราจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว ผิดพลาดต้องรีบแก้ไข

ผิด = ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ

พลาด = ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ

         ทำอะไรที่ไม่ควรทำไปแล้วก็รีบเลิกเสีย อะไรที่ควรทำแล้วยังไม่ได้ทำรีบทำ เสีย เช่น

         พาพ่อแม่ไปเที่ยว ไปทำบุญ ไปกินอาหาร ไปหาเพื่อน เป็นการสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ เพราะ พ่อแม่คือพระอรหันต์ในบ้าน ทำบุญกับพระอรหันต์ได้บุญยิ่งใหญ่

๓. เตรียมสังคม ต้องเตรียมจัดการทรัพย์สมบัติ หนี้สิน ภาระหน้าที่ให้คนรอบตัว หากเราตายไปจะได้ไม่เป็นปัญหา

         ไมเคิล แจ๊คสัน เขาไม่คิดว่าจะต้องตาย เมื่อตายไป ทรัพย์สมบัติจึงกลายเป็น “อสรพิษ” ฆ่าลูก เมีย และญาติพี่น้อง

         ดังนั้นเรามาทำ“อสรพิษ”ให้กลายเป็นต้นไม้เพื่อปกป้องยังความสุขให้วงศ์ตระกูลต่อไปดีกว่า

๔. เตรียมบอกหมอและญาติ ให้ ทราบเจตนา ว่า เมื่อเจ็บป่วยใกล้ตาย ขอตายอย่างมีความสุข อย่ายื้อชีวิตให้เกิดความทรมาน ต้องบอกเจตนานี้ให้คนอื่นๆ รอบข้างทราบไว้ด้วย

๕. เตรียมความปรารถนา ยอดความปรารถนาของทุกคนคือ มีชีวิตอย่างแข็งแรง เดินเหินได้ ช่วยเหลือตัวเองได้จนอายุ ๑๐๕ ปี พอถึงเวลาอันสมควรก็ขอให้นอนหลับแล้วจากไปอย่างสงบ

๖. เตรียมชีวิต การมีชีวิตที่ยืนยาวไม่สำคัญเท่ากับ

         การมีชีวิตเพื่อสร้างคุณค่าคุณประโยชน์ต่อสังคม คุ้มค่ากับการเกิดมาชาติหนึ่ง

มาเตรียมตัวตาย “ตายแน่ๆ สักวันหนึ่งเราต้องตายแน่ๆ เหมือนศพ ๔ ศพที่หลวงตาโตพิจารณา”

                    รักนะ รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า

3 เหลี่ยมเขยื้้อนภูเขา เสนอโดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านให้ความรู้กับกลุ่มคน ด้านที่ 2 กลุ่มคน ที่ได้รับความรู้ เห็นด้วย สร้างวัฒนธรรมไม่มีบทลงโทษถ้าไม่ทำ ด้านที่ 3 ด้านการเมือง เป็นด้านออกกฏหมาย มีบทลงโทษถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้ามีครบ 3 ด้านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง
  หน้า: [1]   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><