คอลัมม์ "ถูกทุกข้อ" ของคุณสามวา สองศอก เพื่อตอบจดหมาย ศ.ระพี สาคริก
ทนไม่ไหวแล้วถูกทุกข้อ 17 พฤษภาคม 2553 - 00:00
รัฐบาล มัวแต่ คิดการุณย์
คุณสันติ คุณละมุน คุณละม่อม
จนวันนี้ หลายคน ต้องจำยอม
ให้พวกนาย ละม่อม มันยึดเมือง
รัฐบาล ทำไม ใจไม่กล้า
มัวแต่ทำ ชักช้า เหมือนแมวเชื่อง
ปล่อยไพร่แดง ท้าทาย อยู่เนืองเนือง
จนพวกมัน รุ่งเรือง ทั่วแผ่นดิน
ประชาชน ล้มตาย ไปหลายศพ
รัฐบาล ไม่สยบ พวกใจหิน
ปล่อยพวกมัน บิดเบือน เป็นอาจิณ
มันบ้าบิ่น โหดร้าย ไม่ปราณี
พอกันที นายละมุน นายละม่อม
รัฐบาล อย่ายอม เสียศักดิ์ศรี
รีบจัดการ กบฏแดง ในทันที
ประชาชี ทนไม่ไหว กันแล้วโว้ย
ลุงพร ณ บ้านโคกอีแร้ง
มีเหตุนั้นจึงมีเหตุนี้เรียน คุณสามวา สองศอกที่เคารพ
เมื่อวานซืนนี้ผมได้เขียนจดหมายถึงคุณแล้วครั้งหนึ่ง วันนี้ขออนุญาตเขียนมาถึงอีกฉบับหนึ่ง
ทั้งนี้เพราะเหตุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรานั้น บางทีเราก็ยังมองออกจากตัวเองด้านเดียว คิดว่าเมื่อไหร่มันจะจบ
ถ้าใช้หลักธรรมพิสูจน์ก็คงเห็นความจริงได้ว่า "เพราะมีเหตุนั้นจึงมีเหตุนี้"
ผมเคยพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า "เพราะเหตุที่เกิดขึ้นมันหมักหมมมานานมาก ดังนั้นจะให้มันจบสิ้นโดยเร็วคงเป็นไปได้ยาก"
เพราะคนที่ขึ้นไปอยู่ด้านบน หลงอยู่กับความสบายทางวัตถุ ทำให้ตกอยู่ในความประมาทจึง
ไม่ยอมลงมาสู่ด้านล่าง เพื่อสร้างความรักความเห็นใจ ให้มันลงรากฝังลึกอยู่ในพื้นฐานของเราเอง หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวว่า "เราทำกรรมไว้ก็ต้องชดใช้กรรมนั้น"
ผมเคยพูดแล้วว่าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ทั้งๆ ที่ท่านอยู่สูงสุดพระองค์ท่านยังลงทรงงานอยู่ที่พื้นดินร่วมกับชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรตาดำๆ ให้เห็นประจักษ์ชัดมาตลอด แล้วเราล่ะดีแต่พูดด้วยปาก หากไม่ลงมาทำจากความจริงที่อยู่ในใจตนเอง
ประชาธิปไตยคือรากฐานจิตใจที่อิสระ อิสรภาพไม่ใช่มองสู่ด้านนอก แต่ควรหวนกลับมามอง
ที่รากฐานจิตใจเราเอง ที่ปราศจากการยึดติดอยู่กับรูปวัตถุในระดับหนึ่ง เมื่อไม่ยึดติดก็ย่อมมีความ
สุข นี่คือความหมายของประชาธิปไตย ที่มีรากฐานเป็นของตนเอง
ผมเริ่มทำมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งแก่ก็ยังทำ เพราะรู้ว่าทำแล้วมีความสุข ไม่ใช่พูดแต่ปากหากทำจริงจนกระทั่งเชื่อมโยงความรักจากพื้นแผ่นดินไทยไปถึงเพื่อนมนุษย์จนแทบจะทั่วโลก
ดังนั้นเรื่องนี้เราจะมองแบบล้อมกรอบตัวเองอยู่แต่เพียงประเทศไทยไม่ได้ หากจิตใต้สำนึกความรักแผ่นดินควรจะมองให้ถึงสากลโลก แม้แต่ชาวต่างประเทศหลายชาติหลายภาษา ก็ยังให้ความเคารพรักแก่ผม
แต่คนไทยกลับมองเห็นหน้าผมแค่กล้วยไม้ ซึ่งมันตื้นเขินมากเกินไป คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่รู้จักตัวเองจึงมองได้ไม่ถึง ผมต้องขอกราบอภัยที่พูดตามตรง
หวนกลับไปนึกถึงอดีต ผมยังจำได้ว่าระหว่างช่วง 70 กว่าปีมาแล้ว ซึ่งขณะนั้นผมยังเป็นเด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบ มองเห็นฝรั่งเดินควงคู่กันสองคน เราก็รู้สึกว่าเป็นมนุษย์ประหลาด เพราะรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณ รวมทั้งภาษาพูดก็ไม่เหมือนเรา ผมและเพื่อนๆ อีก 2-3 คนจึงวิ่งตามดู ได้ยินเสียงพูดตามประสาเด็ก ทำให้รู้สึกว่าเป็นสำเนียง "ฟุต ฟิต ฟอ ไฟ" นี่แหละคือที่มาของคำนี้ซึ่งผมจำได้ดี
ครั้นมาถึงช่วงนี้ผมอดไม่ได้ ที่จะหวนกลับมาถามตัวเองว่า "ประเทศนี้เมืองนี้มันเป็นของใครกันแน่ แถมยังมีสิทธิ์มาจดทะเบียนเป็นเจ้าของที่ดิน ถ้าแต่งงานกับผู้หญิงไทย"
นี่แหละที่มันเกิดเรื่อง ยิ่งรากฐานจิตใจคนไทยมันอ่อนนุ่ม ขณะนี้ยิ่งกว่ามะเขือเผาเสียอีก เห็นเงินตาโต มีรถยนต์รูปแบบใหม่ๆ ก็ไปแย่งกันซื้อ โดยไม่ได้คิดว่ามันถึงเวลาหรือยัง
นอกจากนั้นคำโบราณได้บอกไว้ว่า "เงินเข้าที่ไหน วัตถุเข้าที่ไหน ย่อมทำให้สังคมแตกแยกความสามัคคีที่นั่น เพราะคนหลงอยู่กับความสบายทำให้ลืมตัว โดยไม่รู้จักคำว่าพอเพียง สังคมย่อมเกิดความแตกแยกจนแทบไม่เป็นชิ้นดี แต่ตัวผมเองก็ยังมั่นคงเข้มแข็งอยู่เหมือนเดิม"
"เพราะจิตใจเข้มแข็ง ร่างกายก็ย่อมแข็งแรงเป็นธรรมดา อันเป็นสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ทุกคน"
ผมไม่อยากจะคิดว่า "ปลาใหญ่กินปลาเล็กเสมอไป" ดูแต่ประเทศเล็กๆ หลายๆ ประเทศ ถูกประเทศใหญ่ๆ เอาไปเป็นเหยื่อเศรษฐกิจทรัพยากรก็หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตใจตนก็หมด ความแปลกแยกก็เกิดขึ้นแทบทุกหนทุกแห่ง แต่หลักธรรมชาติก็ได้ชี้ไว้ว่า "ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น แม้เพียงหนึ่งเดียว"
ซึ่งสิ่งนี้ก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างกันมาแล้ว แต่จิตใจคนไทยส่วนใหญ่ก็ยังคิดได้ไม่ถึง เมื่อคิดไม่ได้ก็ย่อมทำไม่ได้แต่ก็ไม่เสมอไป ดูแต่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ แพ้สงครามโลกครั้งเดียว เขายังฟื้นตัวได้เร็วมาก แม้ถูกปิดกั้นด้วยกำลังอาวุธ แทนที่จะซ้ำร้ายกลับกลายเป็นซ้ำดี
หลักธรรมได้ชี้ไว้ว่า "เพราะไม่มีเหตุนี้จึงมีเหตุนั้น" เพราะถูกปิดกั้นกำลังอาวุธ เขาจึงหาทางออกด้วยเศรษฐกิจ
วิญญาณคนญี่ปุ่นเข้มแข็งมาก ดังจะเห็นว่าคนส่วนใหญ่มีศิลปะ "เมื่อถูกปิดด้านนี้ก็หาทางออกด้านโน้น"
ในหลวงพระองค์นี้ท่านได้ทรงรับสั่งเตือนผมว่า "งานศิลปะอย่าทิ้งนะ" ถ้าผมจะบอกว่าการศึกษาของเรา "เรียนศาสตร์ทุกสาขาไม่ได้ใช้ศิลปะเป็นพื้นฐาน" จิตใจจึงแข็งกร้าว เมื่อแข็งกร้าวเกิดปัญหานิดเดียวก็ฆ่ากันได้ แทนที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนเข้าหากันและพูดจากันได้โดยดี "คนญี่ปุ่นมีรากฐานจิตใจที่อิสระเสรี เมื่อมีจิตใจอิสระก็ย่อมมีความอดทนสูง"
นี่แหละครับคือที่มาที่ไปของเหตุที่มันเกิดขึ้น ไม่ใช่ในครั้งนี้เท่านั้นแต่สิ่งที่เป็นมาแล้วผมอยากกล่าวว่า "มันเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มันก็ยังไม่ทำให้เราเข้าถึงจุด ที่ควรจะจดจำจากใจจริง"
ผมจึงกล่าวเตือนสติเพื่อนไทยทุกคนว่า "ระวัง! แม้ครั้งนี้จะจบสิ้นลงไม่ว่าจะยาวนานแค่ไหน วันหนึ่งข้างหน้ามันอาจเกิดขึ้นอีก และหนักยิ่งกว่าเก่าก็เป็นได้" ถ้าคนไทยยังหลงอยู่กับความสบายแบบนี้
"ในน้ำมีปลาในนามีข้าว" คือคำเตือนให้เราได้สติ มีของดีก็ควรรักษาเอาไว้ให้ดีที่สุด แต่ตรงกันข้ามกลายเป็นความประมาท โดยที่คิดว่า "ข้าวปลาอาหารมีถมเถไป เราดีกว่าคนชาติอื่นจะใช้เท่าไหร่มันก็ไม่หมด มาถึงบัดนี้มันหมดแล้วหรือยัง นอกจากนั้นหมดไปโดยไม่เหลือหลอ แถมยังเป็นหนี้เป็นสิ้นเขาอีก" นี่แหละครับคือความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านก็ทรงใช้หลักธรรม "เตือนให้เรารู้จักพอเพียง" เตือนสติพสกนิกรด้วยความเมตตาปราณี แต่บัดนี้เราก็ดีแต่อ้างด้วยปาก แต่น้อยคนที่จะปฏิบัติได้จากใจจริงของตัวเอง
ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ก็ได้เสนอความคิดอย่างง่ายๆ ว่า "สิ่งใดที่มันเกิดปัญหากลับทิศทางเสียได้ มันก็จะแก้ปัญหาได้ด้วยตัวของมันเอง"
คนไทยส่วนใหญ่ปากก็บอกว่าเป็นชาวพุทธ "พุทธธรรมไม่ใช่พุทธศาสนา ทุกศาสนาก็คือพุทธ" พุทธแปลว่าความจริง ทุกศาสนาคือความจริงทั้งนั้น
โปรดสังเกตดูให้ดีว่า "ทุกศาสนายกความสำคัญที่มุ่งนำเราลงสู่พื้นดิน ดังนั้นพื้นดินคือความจริง"
"ตราบใดที่เราแต่ละคนมีจิตใต้สำนึก ที่หยั่งรู้ความจริงได้ว่าทุกคนเกิดมาก็มาจากพื้นดิน ตายไปก็ลงสู่พื้นดิน" เหตุไฉนระหว่างมีชีวิตอยู่ขาดวิญญาณความรักพื้นดิน กลายเป็นรังเกียจพื้นดินได้ยังไง
โปรดอย่าคิดว่าคนชาติอื่นเขาเอาวัตถุมาครอบงำเรา ถ้าเรารู้ว่าสัจธรรมของการดำเนินชีวิต มีอยู่ว่า "ร้ายกลายเป็นดี" จึงควรรู้ว่า "ยิ่งเขาเอาวัตถุมาครอบงำ ก็ควรจะยิ่งทำให้รากฐานจิตใจเราเองเข้มแข็งยิ่งขึ้น"
นั่นหมายความถึงการดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาทหลังจากพบปัญหา ก็ควรต่อสู้กับใจตนเองให้ได้ นี่คืออาวุธซึ่งทุกคนมีอยู่ในจิตใจของตัวเองแล้ว โปรดอย่ามองข้ามขอให้นำออกมาใช้ประโยชน์ได้ทุกโอกาส
เพราะความประมาททำให้ขาดสติ เมื่อขาดสติก็ย่อมตกเป็นทาสความสบาย อย่างที่โบราณเขาพูดว่ายอมแพ้กันตั้งแต่ในมุ้งแล้ว
นี่แหละสิ่งที่ผมพูดมันไม่ใช่ของผม แต่มันเป็นของทุกคนที่มีอยู่แล้ว ภายในจิตใจตนเองมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาครั้งใด โปรดอย่าแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย จนกระทั่งทำให้ฆ่ากันตายเองอย่างน่าเศร้าใจที่สุด
ถ้าทุกคนปลดเอาเงื่อนไข ที่แบ่งแยกออกจากใจเป็นฝักเป็นฝ่ายให้ได้ หลังจากนั้นจึงคิดทบทวนตัวเองเพื่อค้นหาความจริงภายในรากฐานจิตใจ เราควรจะหันหน้าเข้ามาจับมือและกอดคอกันได้ โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งที่ทุกคนต่างก็เป็นคนเหมือนกัน เรามารักกันสามัคคีกันมิดีกว่าหรือ เพราะจะทำให้บังเกิดความสุขสมปรารถนา
ด้วยความเคารพรักอย่างยิ่งที่มอบให้กับทุกคน
ระพี สาคริก
ตอบ อาจารย์ระพี
มีผู้เสนอแนะว่าควรนำจดหมายและบทความของอาจารย์ระพีมาพิมพ์รวมเป็นเล่ม ไม่ทราบว่าแฟนคอลัมน์ถูกทุกข้อและลูกศิษย์อาจารย์ระพีจะว่ายังไง
สามวา สองศอก
http://www.thaipost.net/news/170510/22277