ล้อมกรอบถูกทุกข้อ 15 พฤษภาคม 2553 - 00:00 จ.ม.ถึงนายกฯ (ฉบับที่ 16)
จดหมายถึงนายกฯ ฉบับสิบหก
ปวงชนยังหวาดวิตกไปทั่วหล้า
เมื่อไพร่แดงไม่ยึดกฎกติกา
ไม่หวั่นเรื่องอาญาจะตามตัว
เอาใจช่วยท่านนายกฯ มาตลอด
ให้ท่านรอดพ้นวิบากจากคนชั่ว
พวกคนถ่อยแดงไพร่อย่าไปกลัว
มวลชนยังเป็นรั้วคอยป้องกัน
ประเทศไทยวันนี้เหมือนมีกรรม
เพราะมีคนระยำคอยปลุกปั่น
ชาติบ้านเมืองเสียหายสะใจมัน
หวังผลักดัน "รัฐไทยใหม่" เพื่อไทยแลนด์
ท่านนายกฯ ออกโรดแม็พไว้ห้าข้อ
หวังจะก่อ "ปรองดอง" ให้แนบแน่น
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ทั่วดินแดน
นี่คือแผนหาทางลงให้ไพร่แดง
ทำไมท่านไม่ใช้ความเด็ดขาด
ทั้งที่มีอำนาจอันแข็งแกร่ง
แต่ยังปล่อยม็อบระยำทำรุนแรง
เที่ยวยุแยงป้ายสีเป็นรายวัน
ส่งสารามายังท่านนายกฯ
อย่ามัวแต่วิตกคิดหวาดหวั่น
เอาคนผิดมาลงโทษในเร็วพลัน
อย่าอ้างนี่อ้างนั่นกันอยู่เลย
สมบัติ จันทร์จำรัส
กวีร่วมสมัยจังหวัดพิษณุโลก
ปัญหาระยะยาว เรียน คุณสามวา สองศอก ที่เคารพ
ก่อนอื่นผมต้องกราบขอโทษที่เขียนจดหมายมารบกวนคุณอีกแล้ว ในขณะที่ปัญหาบ้านเมืองมันกำลังหนักหนา แม้มองเห็นด้านนอกอาจเข้าใจว่ามันลดลง แต่คนมีปัญญาควรจะมองให้ลึกยิ่งกว่านี้
ทั้งนี้เมื่อด้านบนลด ด้านล่างอาจมีกระแสที่รุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเก่า ประเด็นนี้คือหลักธรรมซึ่งมันเป็นธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง โดยใช้หลักธรรมเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ค้นหาความจริง
ด้านบนแม้จะลดลง แต่ก็เป็นผลจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งผมเห็นด้วยขอให้ทำดีที่สุด แต่โปรดอย่าให้เขาประณามว่า "คนไทยดีแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น" ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นมานาน จึงน่าเป็นห่วง "ถ้าขืนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้านเดียว โดยไม่สนใจที่จะแก้ระยะยาว ถ้ามันเกิดขึ้นอีกจะรุนแรงยิ่งกว่าเก่า" นี่คือธรรมชาติซึ่งหลักธรรมะก็ได้ชี้ไว้อย่างชัดเจน
การที่ถูกสังคมประณามว่า "
คนไทยส่วนใหญ่มักแก้ปัญหาระยะยาวไม่เป็น" น่าจะมีเหตุผลสืบเนื่องมาจากการที่คนไทยในยุคหลังๆ คุณธรรมและจริยธรรมภายในจิตใจของแต่ละคนมันลดลงไป ทั้งนี้ ถ้าคนส่วนใหญ่มีคุณธรรมประจำใจ ก็ย่อมมีปัญญาที่จะสามารถมองเห็นการณ์ไกลได้ไม่ยาก
นี่แหละครับผมมีของจริงที่จะนำมาเสนอให้พิจารณา "
ก่อนอื่นคงต้องกราบขออภัยที่นำเรื่องนี้มาเขียน กรุณาอย่าคิดว่าผมมุ่งร้าย ทั้งนี้เพราะติเพื่อก่อ"
ในยามที่บ้านเมืองกำลังเกิดปัญหาหนัก ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน เราจะต้องมีใจกว้างเข้าหากัน และพร้อมที่จะรับฟังคำวิจารณ์แม้ในทางลบ ถ้าแสดงออกด้วยความจริงใจแล้ว เห็นสมควรนำไปพิจารณาแก้ไข น่าจะเป็นผลดีแก่บ้านเมืองของเรา
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลายคนคงได้ทราบข่าว การที่ฝ่ายรัฐบาลได้จัดประชุมสัมมนาเรื่อง "การสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน" ขึ้นที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ โดยเหตุที่ต้องการระดมความคิดในขณะที่บ้านเมืองเกิดปัญหาหนัก
ผมเป็นคนหนึ่งซึ่งได้รับเชิญให้ไปร่วมประชุมด้วย เช้าวันนั้นผมไปแต่เช้า เพราะตัวเองมีนิสัยที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ไม่ต้องการให้คนรุ่นหลังต้องมารอเรา สู้ไปล่วงหน้าและเราไปรอเขาจะดีกว่า
เช้าวันนั้นผมไปถึงที่ประชุมประมาณกว่า 08.30 น. เล็กน้อย เห็นคนนั่งอยู่ไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นคนมาจากต่างจังหวัดบ้าง แต่เขาก็รู้จักผมดี ผมไม่เห็นผู้ใหญ่ที่ควรจะเป็นหลักนั่งอยู่ตรงนั้นแม้แต่ท่านเดียว
ผมไปนั่งอยู่ครู่ใหญ่ มองเห็นเอกสารแผ่นสองแผ่นที่วางอยู่ตรงหน้า มีข้อความประโยคหนึ่ง ซึ่งสะดุดใจผมมากๆ ในนั้นได้บอกเอาไว้ว่า "
ให้พูดได้คนละไม่เกิน 3 นาที"
เรื่องนี้ผมนึกทันทีว่าคนทำขาดศิลปะ เมื่อขาดศิลปะก็ย่อมขาดประสบการณ์ ความจริงแล้วการกำหนดให้คนพูดแบบนี้ไม่ควรจะเขียนเอาไว้ "
หากอยู่ที่ศิลปะของผู้คุมการพูด ซึ่งยืดหยุ่นได้มากกว่า" สิ่งที่ผมกล่าวมาแล้วทั้งหมดเมื่อนำมาสรุปกันเข้า ก็คงขออนุญาตพูดว่า "แบบผักชีโรยหน้า"
ผมต้องกราบขออภัยที่พูดเรื่องนี้ ความจริงไม่มีเจตนาจะว่าร้ายใคร แต่ขออนุญาตสอนคนที่รับผิดชอบในการทำ ซึ่งแสดงว่าไม่ได้ทำงานลงมาสู่ด้านล่าง จากจิตวิญญาณที่ให้ความรักความเมตตาแก่ชนรุ่นหลังอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นแล้วเรื่องเช่นนี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์ในการบริหารและจัดการย่อมอ่านเกมออก
นี่แหละคือเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ผมต้องหวนกลับมาพิจารณาตัวเองว่า ผมควรจะเลือกเดินทางไหน ซึ่งมีงานที่จำเป็นมากกว่า
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเลือกกลับบ้าน เพื่อมาทำงานที่สำคัญมากกว่า
ในขณะที่บ้านเมืองกำลังเดือดร้อนหนัก ผมมีงานล้นมืออยู่แล้ว โดยเฉพาะมีหลักสำคัญอยู่บท
หนึ่งว่า "การสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนซึ่งเป็นคนระดับล่างนั้น คนระดับบนควรมีวิญญาณในการนำตัวเองลงมาเน้นการปฏิบัติอยู่ที่พื้นดิน"
การสร้างความเข้มแข็งให้แก่รากฐานจิตใจคน ยิ่งเป็นคนระดับล่างซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญด้วยแล้ว การมานั่งประชุมกันอยู่ในห้องมันไม่ได้ผลอะไรมากนัก แต่ควรจะลงมาทำงานร่วมกับคนระดับล่าง ด้วยความรักความจริงใจย่อมได้ผลมากกว่า
อนึ่ง คงขออนุญาตนำเอาประเด็น "สร้างความเข้มแข็ง" ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ผมถือหลักธรรมบทหนึ่งซึ่งกล่าวไว้ว่า "ถ้าเราต้องการสร้างความเข้มแข็งที่รากฐาน โดยเฉพาะคนระดับล่างซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคม คนที่อยู่ด้านบนควรจะมุ่งปฏิบัติ โดยเน้นความสำคัญลงมาสู่ด้านล่างมากกว่า ไม่เช่นนั้นแล้วการแก้ไขปัญหามันก็เป็นแบบผักชีโรยหน้า หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวว่าอาจแก้ได้แต่ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น"
ผมขออนุญาตพูดด้วยความเคารพรัก และความจริงใจที่มอบให้กับทุกคน ไม่ได้คิดประสงค์ร้ายกับท่านผู้ใดทั้งสิ้น โดยเฉพาะผู้บริหารงาน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ความคิดของผม แต่เป็นสัจธรรมซึ่งมันไม่ใช่ของใครทั้งนั้น หากเป็นประเด็นธรรมชาติของมนุษย์และสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรและอยู่ที่ไหน ถ้าใครปฏิบัติจากใจจริงย่อมได้ผลทุกเรื่อง
แม้แต่เรื่องนี้ที่ผมนำมาพูด เกิดจากการปฏิบัติซึ่งตัวเองได้ทำมาแล้ว และได้ผลแล้วจึงนำมา
พูด
เมื่อไม่นานมานี้ผมเดินทางไปร่วมชีวิตกับกลุ่มชาวนาซึ่งทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ที่นครสวรรค์ และนำเด็กนักเรียนไปร่วมมือเกี่ยวข้าวในนาด้วยกันกับเขาทั้งหลาย ความจริงไม่ใช่เขาจะได้ประโยชน์เท่านั้น แต่ผมคิดว่าตัวเองได้ประโยชน์มากกว่า เพราะใช้ชีวิตอยู่ในเมือง แต่ลงไปทำนาร่วมกับชาวบ้านอยู่บนพื้นดิน ย่อมช่วยให้มีโอกาสเรียนรู้ความจริงจากใจตนเอง อันหมายถึงการเรียนรู้ธรรมะ
ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อไม่กี่วัน ผมก็เดินทางไปร่วมกับเจ้าหน้าที่เขตการศึกษา ซึ่งทำงานอยู่ในชนบทโดยเฉพาะขึ้นไปอยู่บนเขาร่วมกับชาวปกากะญอ ที่อำเภอสะเมิงใต้ บ้านสบลาน
"
เพราะมีเหตุนั้น จึงมีเหตุนี้" เพราะผมขึ้นไปที่นั่นด้วยความรักความเมตตา อีกทั้งความเห็นใจคนระดับล่าง เขาจึงมอบความรักให้กับผมอย่างเป็นธรรมชาติ สิ่งนี้คือการปฏิบัติธรรมที่เห็นผลได้อย่างชัดเจน
ผมกลับมาแล้วยังนำมาเขียนให้หลายคนเรียนรู้ว่า ตัวเราเองอยู่ในสังคม ควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรถึงจะได้รับความสุขอย่างแท้จริง
ถ้าคุณไม่ลงทุน ไฉนเลยจะได้รับผล เราพูดถึง "นายทุน" ผมก็เป็นนายทุน แต่ไม่ใช่ทุนเรื่องทรัพย์สินเงินทอง หากเป็นทุนความดีความงามที่ควักเอาออกมาจากใจตัวเอง ทุนลักษณะนี้ยิ่งควักออกมาใช้ เราก็ยิ่งได้รับเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า ผมรับรองว่าการลงทุนแบบนี้ไม่มีทางขาดทุน มีแต่ได้กำไร โดยเฉพาะกำไรที่หมายถึง ก็คือความสุขที่เกิดจากใจตนเอง
ผมขออนุญาตเชิญชวนให้ทุกคนลงทุนแบบนี้ ยิ่งใครว่าคุณเป็นนายทุนก็ยิ่งควรภูมิใจมากกว่า เพราะกำไรที่ได้รับนั้นคือความยั่งยืนของวัยวุฒิ นี่คือภาษาจากใจซึ่งทุกคนมีอยู่แล้ว
ผมรับรองว่าใครปฏิบัติได้ ย่อมควรแก่การเคารพรักจากผู้อื่นอย่างแท้จริง โดยไม่มีใครจะตำหนิคุณได้ เมื่อตำหนิไม่ได้ "ก็ย่อมมีแต่การชื่นชม" นี่ก็คือหลักธรรมอีกบทหนึ่ง
สิ่งที่ผมกล่าวมาแล้วทั้งหมด ผมขออนุญาตฝากไว้เป็นบทสุดท้ายว่า "เพราะเราไม่อยากได้ เราจึงได้" เพราะฉะนั้นขอให้นำปฏิบัติอย่างมีความสุขก็พอแล้ว
ขอกราบทุกคนมาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
ระพี สาคริก
ตอบ อาจารย์ระพี
แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ปัญหาระยะยาวมันก็ลากมาถึงวันนี้ และไม่รู้ว่ามันจะต้องแก้ปัญหาไปอีกนานแค่ไหน ประเทศไทยถึงจะกลับมาสุขสงบอีกครั้ง
สามวา สองศอก
http://www.thaipost.net/news/150510/22217