บทความของวันที่ 4 พฤษภาคม
บทบรรณาธิการ
แก๊งอันธพาลเสื้อแดงต้องรับผิดชอบ กับความสูญเสียบุกโรงพยาบาลจุฬาฯ (บทบรรณาธิการ) สังคมไม่อาจให้อภัยกับเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจและความชิงชังต่อผู้คนทั้งประเทศเป็นอย่างมากก็คือกรณีที่กลุ่มกุ๊ยคนเสื้อแดงนำโดยนายพายัพ ปั้นเกตุ หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงยกกำลังติดอาวุธนับร้อยคนใช้อำนาจเถื่อนบุกเข้าไปภายในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์แล้วเข้าตรวจค้น ซึ่งสร้างความตี่นตระหนกตกใจและโกลาหลต่อบรรดาแพทย์ พยาบาล ตลอดจนเป็นอันตรายต่อชีวิตบรรดาผู้ป่วยอาการหนักจำนวนมากที่กำลังรับการรักษาเพื่อช่วยชีวิต
ความเลวทรามต่ำช้าและเหิมเกริมของเหล่ากุ๊ยเสื้อแดงทำให้โรงพยาบาลต้องขนย้ายผู้ป่วยซี่งมีทั้งคนชราและทารกที่อยู่ในอาการโคม่าอย่างทุลักทุเล ขณะเดียวกันก็หยุดให้บริการผู้ป่วยเนื่องจากเกรงความไม่ปลอดภัย ซึ่งสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนที่เจ็บไข้ได้ป่วยจำนวนมากที่รอรับการรักษาจากโรงพยาบาล
เหตุการณ์เลวร้ายครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกและร้ายแรงที่สุดสำหรับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งมากว่า 100 ปี และที่สำคัญก็คือโรงพยาบางแห่งนี้เป็นหน่วยงานในสังกัดสภากาชาดไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และที่น่าประณามเป็นอย่างยิ่งก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีต้องทรงรับสั่งให้ย้ายสมเด็จพระสังฆราชซึ่งประทับรักษาอาการพระประชวรที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ไปประทับรับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชแทนเพื่อความปลอดภัย
แม้ล่าสุดจากกระแสประณามกดดันของสังคมจะทำให้เหล่าแกนนำกุ๊ยเสื้อแดงยอมเปิดเส้นทางและคืนพื้นที่บางส่วนรอบโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่ก็ยังไม่สำนึกในความผิดของตัวเองโดยยังคงยึดพื้นที่บางส่วนตั้งเป็นบังเกอร์และด่านตรวจนอกกฏหมายซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางและคุกคามความปลอดภัยจนทำให้ผู้บริหารโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ตัดสินใจยังไม่เปิดบริการคนไข้จนกว่าเหล่ากุ๊ยคนเสื้อแดงจะคืนพื้นที่ไปจนถึงแยกสารสิน
จากเหตุกาณ์บุกโรงพยาบาลจุฬาฯของเหล่ากุ๊ยเสื้อแดงล่าสุดทำให้ผู้ป่วยอาการหนักที่ถูกขนย้ายในช่วงเกิดเหตุการณ์เสียชีวิตลงแล้ว 1 รายขณะที่อีกหลายรายมีอาการอยู่ในขั้นน่าเป็นห่วง
โดยผู้ป่วยที่เสียชีวิตคือนายเต็งเซี๊ยะ แซ่จู วัย 68 ปีที่ถูกย้ายออกจากโรงพยาบาลขณะกำลังเข้ารับการผ่าตัดรักษาโรงมะเร็งลำไส้ ขณะเดียวกันมีผู้ป่วยวัย 70 ปีอีกท่านหนึ่งซึ่งขณะย้ายจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ไปยังโรงพยาบาลเกษมราษฏร์ประชาชื่นเกิดหัวใจหยุดเต้นซึ่งแพทย์โรงพยาบาลเกษมราษฏร์ได้ปั๊มหัวใจกลับมาเต้นได้อีกครั้ง แต่ล่าสุดผู้ป่วยรายนี้กลับอาการทรุดหนักลงอีก นอกจากนี้ยังมีทารกแรกเกิดอีกอย่างน้อย 2 รายที่อยู่ในอาการน่าเป็นห่วงมาก
จากความสูญเสียที่เกิดขึ้นทำให้ขบวนการกุ๊ยเสื้อแดงทั้งหมดสมควรถูกประณามและจะต้องแสดงความรับผิดชอบ ขณะเดียวกันก็ถือเป็นความชอบธรรมที่รัฐบาลจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดสลายการชุมนุมของแก๊งอันธพาลเสื้อแดงที่ยึดย่านราชประสงค์เป็นแหล่งซ่องโจรคอยบ่อนทำลายชาติบ้านเมืองและคุกคามเป็นภัยต่อสาธารณชนโดยเร็วที่สุด
วันที่ 4/5/2010
http://www.naewna.com/news.asp?ID=209706 ไร้สำนึก • บทบรรณาธิการ 4 พฤษภาคม 2553 - 00:00
การเจรจาขอพื้นที่ถนนราชดำริจากแยกศาลาแดงไปจนถึงแยกสารสินคงไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากแกนนำคนเสื้อแดงยังมองประโยชน์ฝ่ายตนเป็นหลัก ไม่สนใจว่าสาธารณะจะได้ประโยชน์หรือไม่ เพราะแกนนำคนเสื้อแดงไม่ได้ใส่ใจเรื่องสิทธิมนุษยชนแม้แต่น้อย
เท่าที่ปรากฏเป็นข่าว แกนนำคนเสื้อแดงให้เหตุผลด้านความปลอดภัยของผู้ชุมนุมมากกว่าความสะดวกในการเข้าถึงโรงพยาบาลของผู้ป่วย และความสบายใจในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์
ทำไมแกนนำคนเสื้อแดงต้องการคงไว้ซึ่งบังเกอร์ตั้งแต่ริมถนนพระราม 4 รอบพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.6 ริมถนนราชดำริ ไปจนถึงจุดกลับรถจุดแรกบนถนนราชดำริ การรบกวนการรักษาพยาบาลเช่นนี้เกี่ยวข้องอะไรกับการต่อสู้ประชาธิปไตย และทำไมคนเสื้อแดงถึงถอยบังเกอร์ไปจนถึงสามแยกสารสินไม่ได้
คำตอบจะง่ายมาก ถ้าการเรียกร้องของคนเสื้อแดง คือ การเรียกร้องให้ได้มีซึ่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่เพราะการเรียกร้องครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับประชาธิปไตย เป็นการเรียกร้องเพื่อให้มีการเปลี่ยนอำนาจ โดยมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายร่วมต่อสู้เป็นคู่ขนาน สำคัญไปกว่านั้น แกนนำคนเสื้อแดงถือเอาว่า ถนนราชดำริ คือ สนามรบ พวกเขาจึงไม่อาจถอยมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
สภาพโดยทั่วไปของบังเกอร์ที่คนเสื้อแดงร่วมกันสร้างขึ้นมา คือ สิ่งที่อธิบายได้ทั้งหมดว่า ทำไม ศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ต้องการให้คนเสื้อแดงถอยแนวบังเกอร์ไปจนถึงสามแยกสารสิน ซึ่งขณะนี้แนวบังเกอร์ทั้งหมดก็ยังคงอยู่คนละฟากถนนกับโรงพยาบาล นั่นคือ แนวรบที่คนเสื้อแดงวางเอาไว้ เป็นแนวรบที่ยังคงอยู่คนละฟากถนนกับโรงพยาบาล นี่คือ ความไม่สบายใจของบุคลากรทางการแทพย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
เหมือนมีแนวรบอยู่หน้าบ้าน หากมีการสลายการชุมนุม หรือบางคนอาจจะบอกว่าสงครามกลางเมือง ขี้นมาเมื่อไหร่ จุดนั้นคือแนวปะทะระหว่างทหาร-ตำรวจ กับ คนเสื้อแดง-กองกำลังไม่ทราบฝ่าย สิ่งที่จะตกเป็นข่าว คือ โรงพยาบาลถูกลูกหลง อาจจะเกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินขึ้น และไม่มีทางที่แกนนำคนเสื้อแดงจะออกมาแสดงความรับผิดชอบ ด้วยข้ออ้างไม่ใช่มติของแกนนำ และไม่รู้ไม่เห็นปฏิบัติการของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย
ในพื้นที่การชุมนุมของคนเสื้อแดง ณ เวลานี้ มีการใช้พื้นที่เกินความต้องการเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยอยู่มากพอสมควร บริเวณโดยรอบบรมราชานุสาวรีย์ ร.6 ถือเป็นพื้นที่ส่วนเกินด้วยซ้ำ หากแกนนำจะยุบส่วนนี้ถอยไปรวมกันหลังแนวแยกสารสิน ก็ไม่น่าจะส่งผลต่อการชุมนุมแต่อย่างใด เพราะพื้นที่ดังกล่าวยังอยู่ในสภาพหลวมๆ
นั่นคือ เหตุผลด้านสิทธิมนุษยชนที่ทางโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ต้องการให้เป็น เช่นเดียวกัน แกนนำคนเสื้อแดงก็มีเหตุผลในการตั้งรับการสลายการชุมนุม โดยไม่ให้น้ำหนักเรื่องสิทธิมนุษยชน ซ้ำร้ายแกนนำคนเสื้อแดงยังโจมตีด่ากราดว่า โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ร่วมมือกับรัฐบาลกดดันคนเสื้อแดงให้เลิกชุมนุม
คนเสื้อแดงไม่พอใจอย่างมากกับภาพการขนย้ายผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลอื่น รวมถึงไม่พอใจที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ยังไม่กลับมาให้บริการเต็มรูปแบบ แต่คนเสื้อแดงไม่เคยใส่ใจว่าตนเองเป็นต้นเหตุของปัญหาหรือไม่ ซ้ำร้ายยังมีพฤติการณ์ไร้สำนึกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มแรก
การอ้างว่ามีทหารอยู่ในโรงพยาบาลโดยยืนยันด้วยภาพถ่าย และพรรคเพื่อไทยนำภาพถ่ายนี้ไปขยายผลทางการเมือง ผลการพิสูจน์ก็ออกมาจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แล้วว่า เป็นรายการแหกตา ทั้งคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยนำความเท็จมาใช้ประโยชน์ทางการเมือง มีการพิสูจน์พบว่าภาพถ่ายที่คนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยนำมากล่าวอ้างนั้น เป็นภาพถ่ายของทหารบริเวณลานจอดรถอาคารชาญอิสระซึ่งอยู่คนละฟากถนนพระราม 4 กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
ภาพถ่ายนี้ถ้าคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยได้มาอย่างสุจริตและเชื่อโดยสุจริตใจว่า เป็นภาพที่ถ่ายได้ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จริงก็ควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่า สิ่งที่เชื่อนั้นคือความจริงหรือไม่ก่อนที่จะพาพวกบุกค้นโรงพยาบาล เพราะถ้าหากรู้จักค้นหาความจริงกันเสียบ้าง เหตุบุกค้นโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์คงจะไม่เกิดขึ้น และไม่ต้องมาแก้ตัวว่าไม่ใช่มติแกนนำ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงล้วนใช้ความเท็จเป็นที่ตั้ง
หากพวกเขารู้แต่ต้นแล้วว่า ภาพนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่ต้องการนำมาเป็นข้ออ้างในการเข้ารื้อค้นจะถือเป็นพฤติกรรมเลวทรามต่ำช้า ไร้สำนึกต่อส่วมรวมอย่างสิ้นเชิง ยากที่จะให้อภัย
แกนนำคนเสื้อแดงต้องออกมาชี้แจงเรื่องภาพถ่ายนี้ ต้องให้รายละเอียดว่า ที่แกนนำคนเสื้อแดงทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้น เกิดจากอะไร อย่าโยนความผิดที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเพียงว่า ฝีมือแดงเทียม หรือไม่ใช่มติแกนนำ ก่อนที่จะทำผิดมากไปกว่านี้.
http://www.thaipost.net/news/040510/21716 ข้อเสนอสุดท้ายก่อน"จับตายยกแก๊ง"• เปลว สีเงิน 4 พฤษภาคม 2553 - 00:00
พรุ่งนี้-๕ พฤษภาคม เป็นวันฉัตรมงคล วันที่ "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช"
เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติ ถ้านับจากวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ อันเป็นวันที่ "นายปรีดี พนมยงค์" เป็นผู้ประกาศในฐานะนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ถึง ณ วันนี้ก็ ๖๐ ปีพอดี
แต่ถ้านับจากวันประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เฉลิมฉลองเป็นทางการตามโบราณราชประเพณี และทรงใช้พระนามเต็มว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เมื่อทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๒๐ พรรษาบริบูรณ์ ณ วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ถึงวันนี้ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ก็สิริวัฒนาสถาพร ๖๔ ปีพอดี
ดังนั้น ทุกวันที่ ๕ พฤษภาคม ของทุกปี จึงเป็นวัน "ฉัตรมงคล" ฉัตร ๙ ชั้น "นพปฏลเศวตฉัตร" ณ รัชกาลที่ ๙ เรื่อยมา และตามพระราชพิธีฉัตรมงคลอันปรากฏต่อเนื่องมานั้น จะมี ๓ วัน คือ วันที่ ๓-๔-๕ ณ พระบรมมหาราชวัง ก็ที่ "วัดพระแก้ว" นั่นแหละครับ
เมื่อวานนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ แทนพระองค์ ทรงประกอบพระราชกุศลทักษิณานุประทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย อุทิศถวายแด่พระบรมราชบุรพการี
วันนี้ ที่ ๔ พฤษภาคม จะเริ่มพระราชพิธีฉัตรมงคล หัวหน้าพราหมณ์จะอ่านประกาศพระราชพิธี พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เย็น
และวันพรุ่งนี้ ที่ ๕ พฤษภาคม เป็นวันฉัตรมงคล มีงานเลี้ยงพระ และสมโภชเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ตอนเที่ยง ทหารบก-เรือ-อากาศ จะยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติฝ่ายละ ๒๑ นัด ที่ท้องสนามหลวง
ครับ...ก็เอามาบอกให้ทราบกันไว้เป็นประจำทุกปี สำหรับท่านที่จะไปเฝ้าแหนถวายความจงรักภักดีต่อพระองค์ และพระบรมวงศานุวงศ์ พร้อมทั้งเปล่งเสียงถวายพระพรชัย จะได้ไปกันถูกที่-ถูกเวลา
บ้านเมืองไทย เป็นเมืองมีเทพทุกเหล่าชั้นรักษาเป็นมหามงคลชัย ดังนั้น การสวดมนต์อันว่าด้วยการสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ ในพุทธศาสนา และการตั้งจิต-สงบใจเป็น "พลังบริสุทธิ์" ด้วยศรัทธาถึง "พระผู้เป็นเจ้า" อันยิ่งใหญ่ในแต่ละศาสนานั้น
พลังที่เกิดจากจิตเข้มแข็งมารวมกัน นั่นเรียกว่า "พลังมหาประชาชาติ" ย่อมมีฤทธานุภาพ "ปราบมาร" แน่นอน!
เอาในส่วนที่แนะนำได้นะครับ ด้วยบทสวดมนต์ที่ผมแจกไปเองบ้าง มาขอจึงแจกให้ไปบ้าง หวังว่าแต่ละท่านคงได้ใช้บทสวด อย่างน้อยก็บท อิติปิโส-พาหุง-มหากา สวดเป็นมนต์สงบจิต-รวมใจประจำวันต่อเนื่องกันดีอยู่นะครับ "สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน" หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ท่านเคยบอกกับญาติโยมอย่างนี้
ประเทศไทย-คนไทย ตอนนี้กำลังป่วย ฉะนั้น ถ้าใครยังไม่สามารถไปถึงขั้นยากิน ก็ใช้ยาทา คือการสวดมนต์ภาวนาไว้เป็นประจำ นั่นก็ช่วยให้หายโรค-พ้นภัยได้อยู่ อย่างหลายวันก่อน เจอท่าน "บรรพต หงษ์ทอง" อดีตปลัดกระทรวงเกษตรฯ ดูหน้าตาท่านผ่องใส ผิดกับข้าราชการเกษียณใหม่ๆ บางท่านที่เคยพบ
ถามตามมรรยาทว่า "สบายดีนะท่าน" ท่านก็ตอบว่า สบายดีมาก โดยเฉพาะใจ เกษียณแล้วก็ไม่ได้ไปทำอะไร นอกจากทำงานโครงการถวาย "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" จากนั้น แต่ละคืนก็สวดมนต์ก่อนนอน จะสวดพาหุง-มหากา แล้วต่อด้วย "มหาสมัยสูตร"
ผมก็ร้อง โอ้โฮ...ท่านสวดบท "มหาสมัยสูตร" เลยเชียวหรือ?
ท่านก็..."อืมมม พี่ ผมสวดทุกคืน ไหน.....ใครว่าเทวดาไม่มีจริง ในบทมหาสมัยสูตร สวดแล้วเทวดาเหาะลงมาฟังกันเยอะแยะเลย"
แสดงว่าท่านพูดจริง-ทำจริง และใช้บทสวดมหาสมัยสูตรที่มีคำแปลจึงทราบละเอียด แต่ถ้าสักแต่ว่าสวดโดยไม่ศรัทธาแน่วแน่ ท่านคงไม่เล่าให้ผมฟังเป็นตุเป็นตะ เพราะมหาสมัยสูตรนั้น นอกจากเป็นบทสวดที่ยาวมากแล้ว ยังยากในการอ่านด้วย ใครไม่มุ่งมั่น และไม่บากบั่นสวดเป็นประจำจนคล่องปากจริงๆ ต้องทิ้งกลางคันแน่นอน
ผมเคยแจกไปหลายรอบแล้วนะครับ สำหรับหนังสือสวดมนต์ทั้งฉบับที่มี "มหาสมัยสูตร" ของท่านพระมหาเทอด วงศ์ชะอุ่ม วัดสระเกศ และที่มีเฉพาะ พาหุง-มหากา โดยคุณแม่วาณี ล่ำซำ ท่านเป็นผู้จัดหามามอบให้ ฉะนั้น คงไม่ต้องนำเรื่องราว และอานิสงส์ของการ
สวดมนต์มาบอกอีก
ไหนๆ ก็คุยเรื่องนี้แล้ว เมื่อสัปดาห์ก่อน ท่านผู้ว่าฯ ททท. "คุณสุรพล เศวตเศรณี" และผู้หลักผู้ใหญ่อันเป็นคณะบริหารของท่านผ่านมาทางคลองเตย ท่านก็แวะเยี่ยม ปกติผมก็ไม่เคยพบท่าน แต่ชอบที่ท่านมองทะลุถึง "จุดแข็ง-จุดขาย" ที่ไม่มีวันตายของการท่องเที่ยวไทย คือ "วัด"
พอท่านขึ้นเป็นผู้ว่าฯ ททท.ท่านก็ชักชวนทั้งคนไทยและคนเทศด้วยโครงการ "ทัวร์ไหว้พระ ๙ วัด" เหมือนการตั้งนะโมก่อนจะทำงานให้เป็น "มงคลชัย" ของประเทศชาติ คือการประกอบพิธีกรรมทุกอย่างนั้น ถ้าท่านสังเกตจะเห็นว่าต้องเริ่มต้นด้วยการ "ตั้งนะโม" ก่อน ถ้าสวดอะไรไม่ตั้งนะโมก็ไม่ขลัง เขาถือกันอย่างนั้นนะครับ
นี่ก็เหมือนกัน ททท.เป็นหน่วยงานที่สร้างเงินเข้าประเทศโดยไม่ต้องลงทุนเป็นวัตถุคงที่ ถ้าเริ่มด้วยวัดสำคัญตามประวัติศาสตร์ชาติไทยเช่นนี้ เท่ากับผู้ว่าฯ ททท.คนใหม่ทำงานด้วยการตั้งนะโม "ยึดรากแก้ว" ประเทศไทย ย่อมมีชัย ทุกอย่างจะสำเร็จเป็นผลแก่ชาติตามเป้าหมายแน่นอน!
พอเห็นหน้า และเห็นดวงตาของท่านก็เข้าใจ ผมเลยค้น "หนังสือบทสวดมนต์" ฉบับที่มีคำแปลของพระมหาเทอดแจก เพราะท่านบอกว่า ปกติก็ชอบสวดมนต์ สวดแล้วหลับสบาย-ใจสงบ เจอผู้นำองค์กรสังคมงานถึงเป็นคนสมัยใหม่ แต่ใจมีแกนยึดในชาติ พระศาสนา และพระมหากษัตริย์ เช่นนี้
ผมไม่รู้จะแสดงออกซึ่งความถูกอก-ถูกใจแบบไหนดี มีหนังสือสวดมนต์นี่แหละแทนใจ-ให้ท่าน!
เอ้า...ก็คุยนอกหัวข้อสนทนาที่ท่านทั้งหลาย "ใจจด-ใจจ่อ" อยู่กับเรื่องกบฏบ้าน-กบฏเมืองใช่มั้ย วัน-สองวันนี้ พยายามทำใจให้ปลอดโปร่ง-โล่งสบายไว้เถอะครับ ปล่อยวางกันซะบ้าง ทุกอย่างที่มันหนักบนบ่า-คาอยู่ในใจ เพราะเราเอามาแบกไว้บนบ่าเองตะหาก เอาวางลงซะ มันก็หายหนักเองแหละ
คุณอภิสิทธิ์นั้น ด้วยความเป็นนายกฯ ของท่าน บนบ่านอกจากแบกศีรษะแล้ว ท่านยังแบกประเทศ และแบกเสียงด่าคนทั้งประเทศไว้ด้วย ไม่ให้กำลังใจ ก็เห็นใจคนอยู่ในฐานะนั้นบ้างเถอะครับ คนที่อยู่ในตำแหน่งบริหารนั้น การ "บริหารงาน" น่ะเรื่องขี้ผง แต่สิ่งที่นักบริหารทั้งโลกยอมรับว่า "ยากที่สุด" คือ
งาน "บริหารใจคน"!?
ถ้า "ขึ้นภูดูเสือกัดกัน" หลังจากพวกกบฏ "บุกโรงพยาบาลจุฬาฯ" ก็เห็นชัดว่า แพ้ราบคาบทั้งในสนามรบ และนอกสนามรบคือมวลชนทั่วไป ไม่เฉพาะคนไทย คนทั้งโลกเมื่อดูข่าว "ไม่มีใครเอาเสื้อแดงแล้ว"
มีทั้งอดีตนายกฯ ตั้ง ๒ คน มีทั้งนักวิชาการ มีทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ มีทั้ง ส.ส. ทั้งอดีตรัฐมนตรี ทั้งแพทย์ ทั้งพวกหัวโล้นห่มเหลือง มีทั้งตำรวจ มีทั้งทหาร มีทั้งอดีตตุลาการใหญ่ มีทั้งข้าราชการ "ใน-นอกราชการ" ที่รวมกันเป็นขบวนการกบฏภายในราชอาณาจักร "รับจ้างทักษิณ" ล่มเมือง
เรียกว่า "เป็นผู้เจริญแล้ว" ทางการศึกษา ทางหน้าที่การงานทั้งนั้น แต่ป่าเถื่อน เลวทราม "ทางด้านจิตใจ" หมามันยังใจประเสริฐกว่า ไม่เข้าไปกัดกันในเขตโรงพยาบาล แต่พวกกบฏทักษิณ "บุกโรงพยาบาล" โกลาหลอลหม่านถึงขั้น "ปิดโรงพยาบาล" ย้ายคนไข้ กระทั่ง "สมเด็จพระสังฆราช" ก็ยังต้องทรงย้ายทั้งสายยางไปประทับรักษา ณ โรงพยาบาลอื่น
ทั้งที่โรงพยาบาลจุฬาฯ นั้นเป็นสถานแห่ง "สภากาชาดไทย" แต่พวกไพร่สถุลทาสทักษิณ ถ่อย-เถื่อน ไม่รู้ความอะไรทั้งสิ้น ที่อ้างทวงหาประชาธิปไตย แต่ที่ทำลงไป มันบอกชัดว่า...นี่มันมหาโจร ไม่ใช่มาหาประชาธิปไตยตรงไหนเลย!
ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ประกาศแผนปรองดองด้วยกำหนดเลือกตั้ง ๑๔ พฤศจิกา คือกันยา."ยุบสภา" ตามเค้าโครง "๖ เดือนยุบสภา" และจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมเฉพาะ "คดีการเมือง" ให้นั้น ถือเป็น "รูให้ลอด" รูสุดท้าย
ถ้าพวกแกนนำทั้งหลายไม่ยอมคลานออกทางรูนี้ด้วยการ "ยุติการชุมนุม" บอกได้คำเดียว หลังวันที่ ๕ พฤษภา ไป
พวก "หัวโจก" โทษตายสถานเดียว!?
ส่วนชาวบ้านที่ถูกหลอกใช้ ไม่ต้องกลัวโทษภัย ฝนฟ้ามาแล้ว กลับบ้านไปผูกแอก-ผูกไถ คราด หว่าน ดำเนินชีวิตกันไปตามปกติเถิด!
การเมืองช่วงนี้ปล่อยเป็นเรื่องการเมืองเขา ดีไหมครับ ส่วนชาว FB ทั้งหลาย ใน ๒ วันนี้ ไปช่วยกันทำหน้าที่ "ลูกที่ดีของประเทศชาติ" เนื่องในวันฉัตรมงคลกันเถอะ หนังเรื่องนี้ยังไม่จบ เพียง "หยุดพักครึ่งเวลา" ด้วยเงื่อนไขนิรโทษกรรมเฉพาะคดีการเมืองจะถูกยกมาเป็นเรื่อง "หาเหตุ" ประเภทม้าอารี และนี้คือ "ช่วงครึ่งหลัง" ฉะนั้น ถ้าหวังสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ.
http://www.thaipost.net/news/040510/21717 พักยก...ไปตามหาเรือโนอาห์• ท่านขุนน้อย
4 พฤษภาคม 2553 - 00:00
มาถึงขั้นนี้...เห็นทีคงเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องทะลุออกไปนอกโลก นอกจักรวาล กันบ้างแล้ว เนื่องจากถ้าหากยังคงวนไป วนมา อยู่กับเรื่องของบ้านเมือง ยังไงๆ ก็คงอดไม่ไหวที่จะต้องละลาบ ละล้วง จ้วงจาบ ไล่จิก ไล่ด่า ตั้งแต่ท่านนายกรัฐมนตรี ลงมายันถึงมนุษย์พันธุ์พิเศษอย่างผู้บัญชาการทหารบก ผู้ซึ่งสามารถอยู่เฉยๆ เบิ่งตาดูฟ้าถล่ม ดินทลายโดยไม่ได้คิดจะขยับเขยื้อนอะไรเลย ปานประดุจอวัยวะทุกๆ ส่วนในร่างกาย ได้แปรสภาพเป็น สากกะเบือ ทั้งแท่งไปเรียบร้อยแล้ว...
--------------------------------------
เอาเป็นว่า...เพื่อไม่ให้ต้องเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง วันนี้ลองเตลิดเปิดเปิงหันไป ตามหาเรือโนอาห์ กันดีกว่า อันเนื่องมาจาก ข่าวคราวที่รายงานโดยสำนักข่าวต่างประเทศในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และเว็บไซต์ คมชัดลึก ได้นำมาถ่ายทอดเอาไว้แต่เพียงสั้นๆ โดยระบุว่าคณะสำรวจชาวฮ่องกงและชาวตุรกีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าประกอบไปด้วยใครต่อใครกันบ้าง แต่อ้างว่าสามารถค้นพบ ซากเรือโนอาห์ ที่ถูกเล่าขานเป็นตำนานปรัมปราเอาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล ว่าด้วยเหตุการณ์น้ำท่วมโลกเมื่อยุคอดีตบริเวณพื้นที่เทือกเขา อารารัต อันมีที่ตั้งอยู่ระหว่างพรมแดนประเทศตุรกีและประเทศอิหร่านในทุกวันนี้...
------------------------------------------
สำหรับตำนานเรื่องเรือโนอาห์ในพระคัมภีร์ไบเบิลนั้น...โดยสรุปคร่าวๆ ก็คงประมาณว่า ในยุคอดีตอันไกลโพ้นซึ่งจะเป็นช่วงไหนก็มิอาจสรุปได้โดยชัดเจน พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลก และสร้างมนุษย์ขึ้นมา จู่ๆ ก็ทรงบังเกิดความเศร้าเสียใจแบบสุดๆ เพราะรู้สึกว่ามนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นมานั้น นับวันจะเป็นอะไรที่ชั่วร้าย เลวทราม อาจพอๆ กับมนุษย์ในยุคนี้หรือไม่? เพียงใด? ก็มิอาจทราบได้ หรือ ทรงเห็นว่าความชั่วช้าของมนุษย์ มีมากมายบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขา ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องร้ายเสมอไป พระองค์จึงตัดสินใจ ที่จะกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก ด้วยการทำให้น้ำท่วมโลก ยกเว้นแต่ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า โนอาห์ เท่านั้น ที่พระองค์ยังเห็นว่าเป็นผู้ประพฤติดี มีศีลธรรม เป็นที่โปรดปรานในสายตาของพระเจ้า จึงทรงมาบอกให้ โนอาห์ ต่อเรือขึ้นมา เพื่อนำพาตัวเอง และครอบครัว ตลอดไปจนฝูงสิงสาราสัตว์เข้าไปอยู่ในเรือ ก่อนจะดลบันดาลให้น้ำท่วมโลกทั้งโลก...
-------------------------------------------------
ลักษณะเรือของโนอาห์ ซึ่งสร้างขึ้นมาตามคำแนะนำของพระเจ้า ถูกบรรยายเอาไว้ดังนี้ เจ้าจงต่อนาวาด้วยไม้สนโกเฟอร์ แล้วทำเป็นห้องๆ และยาชันทั้งข้างใน ข้างนอก จงต่อนาวาตามแบบนี้คือ ยาวสามร้อยศอก กว้างห้าสิบศอก สูงสามสิบศอก จงทำช่องข้างบนนาวาให้สูงศอกหนึ่ง จงตั้งประตูนาวาที่ด้านข้าง และทำดาดฟ้าที่ชั้นล่าง ชั้นที่สอง และชั้นที่สาม และด้วยเรือลำนี้นี่เอง ที่นำพาโนอาห์ ครอบครัว ตลอดไปจนถึงฝูงสัตว์ชนิดต่างๆ ลอยเท้งเต้งไปในช่วงตลอดระยะเวลา 150 วันระหว่างที่เกิดน้ำท่วม จนเมื่อถึง ณ วันที่สิบเจ็ดของเดือนที่เจ็ด นาวาก็ค้างอยู่บนเทือกเขาอารารัต และน้ำนั้นก็ลดลงเรื่อยไปจนถึงเดือนที่สิบ ยอดภูเขาก็โผล่ขึ้นมา
-------------------------------------------------
ตำนานเรื่องนี้จะมีเค้าโครงความจริงหรือไม่? อย่างไร? ก็ยากที่จะพิสูจน์ได้ชัดๆ แต่พอจะเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า เรื่องราวว่าด้วยเหตุการณ์น้ำท่วมโลกในยุคอดีตนั้น เป็นเรื่องที่มักถูกนำมาเล่าขานในทุกๆ สังคม หรือทุกๆ อารยธรรม โดยเฉพาะในอารยธรรมสุเมเรียน อันถือเป็นอารยธรรมเริ่มแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์ ก็มีเรื่องราวที่ถอดแบบกันมา ในชนิดแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกันกับเรื่องราวของเรือโนอาห์ ซึ่งได้ถูกบันทึกเอาไว้ใน มหากาพย์กิลกาเมช เพียงแต่ชื่อของตัวละคอน อาจจะแตกต่างกันไปตามลักษณะภาษา...
------------------------------------------------------
อย่างไรก็ตาม...ข่าวคราวการค้นพบซากเรือโนอาห์ในพื้นที่ที่เรียกกันว่าภูเขา อารารัต นั้น อันที่จริงก็ไม่ได้เพิ่งจะมาเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เพราะตั้งแต่เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว หรือเมื่อประมาณปี ค.ศ.1959 เคยมีนายทหารชาวตุรกีรายหนึ่ง ชื่อว่า ลฮาน ดูรูพินาร์ (Llhan Durupinar) ผู้มีหน้าที่ตรวจสอบแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศในอาณาบริเวณต่างๆ ของประเทศตุรกี ได้เคยค้นพบภูมิทัศน์รูปทรงแปลกๆ ที่มีลักษณะคล้ายๆ ลำเรือ มีขนาดใหญ่พอๆ กับสนามฟุตบอล ลาดเอียงอยู่บริเวณแนวหินขรุขระของเทือกเขาอารารัต ในระดับความสูงประมาณ 6,300 ฟุตจากน้ำทะเล และตัดสินใจส่งภาพถ่ายเหล่านี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่ง ชื่อว่า ด.ร. แบรนเดนเบอร์เกอร์ (Brandenburger) แห่งมหาวิทยาลัยโอไฮโอ ผู้มีชื่อเสียงมาจากกรณี การค้นพบที่ตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ของสหภาพโซเวียตในประเทศคิวบา ได้จากแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศในช่วงยุคสงครามเย็น เพื่อให้ช่วยพิสูจน์ตรวจสอบกันอีกเที่ยวหนึ่ง...
-------------------------------------------
และจากข้อสรุปของ ด.ร. แบรนเดนเบอร์เกอร์ ก็ได้ก่อให้เกิดข่าวคราวฮือฮาระดับโลกมาแล้วครั้งหนึ่ง ถึงขั้นที่นิตยสารซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง ไลฟ์ แมกกาซีน นำเอาภาพเหล่านี้ไปขึ้นปก พร้อมกับคำพาดหัวว่า นี่คือเรือโนอาห์จริงๆ หรือเปล่า??? เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญรายนี้ได้ ฟันธง ลงไปทันทีว่า ภูมิทัศน์ดังกล่าวไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่เป็นร่องรอยของซากเรือ อันเป็นสิ่งที่เกิดจากฝีมือมนุษย์อย่างไม่พึงต้องสงสัย คณะสำรวจชาวอเมริกันและนายทหารตุรกีอย่าง ดูรูพินาร์ จึงร่วมเดินทางเข้าไปสำรวจพื้นที่บริเวณดังกล่าวในช่วงปี ค.ศ.1960 โดยพยายามค้นหาร่องรอย หลักฐานใดๆ ก็ตาม ที่สามารถใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า รูปร่างลักษณะภูมิทัศน์ดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ ไม่ใช่เป็นแค่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้พบหลักฐานใดๆ พอที่จะใช้เป็นข้อพิสูจน์ ยืนยันถึงสมมุติฐานดังกล่าวได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ข่าวคราวเหล่านี้ก็เลยค่อยๆ จางหายไปจากความสนใจของสาธารณชนมานับตั้งแต่นั้น...
------------------------------------------------
จนกระทั่งเมื่อถึงปี ค.ศ.1977 ได้มีคณะสำรวจอีกกลุ่มหนึ่ง นำโดยนาย รอน ไวแอทท์ (Ron Wyatt) ได้รับอนุญาตจากทางการตุรกี ให้เข้ามาสำรวจหาร่องรอยเรือโนอาห์พื้นที่ในบริเวณนี้กันอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้คณะสำรวจชุดดังกล่าว ได้ตระเตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ มาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ตรวจจับวัตถุโลหะ เครื่องเรดาร์สแกนวัตถุใต้พื้นดิน ที่เรียกกันว่า GPR (Ground Penetrating Radar) รวมทั้งการตรวจวัตถุด้วยกระบวนการทางเคมี ฯลฯ เรียกว่า..ได้นำเอาห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้ในการพิสูจน์ สิ่งที่เชื่อว่า เป็นซากเรือโนอาห์อย่างเป็นระบบ และรายงานผลพิสูจน์ ซึ่งคณะสำรวจชุดนี้ค่อยๆ ทยอยสรุปออกมา ในแต่ละช่วง แต่ละระยะ ได้ก่อให้เกิดความตื่นตะลึงต่อสาธารณชนมาก่อนหน้าที่ คณะสำรวจชาวฮ่องกงจะประกาศว่าได้ค้นพบเรือโนอาห์ ตามข่าวซึ่งปรากฏไปเมื่อวันสองวันมานี้...ส่วนรายละเอียดดังกล่าวจะเป็นไปเช่นไร? ชัวร์ หรือ มั่วนิ่ม คงต้องไปว่ากันต่อในวันพรุ่งนี้อีกที...
-------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก จี.เฮอร์เบิร์ต...ความเป็นคนใหญ่คนโต...กับ...ความเป็นคนดี มักไม่เหมือนกัน...
------------------------------------------------
http://www.thaipost.net/news/040510/21697แตงโม-มะเขือเทศ• ถูกทุกข้อ 4 พฤษภาคม 2553 - 00:00
ทหารแตงโมตำรวจมะเขือเทศ
มันทุเรศสิ้นดีพี่น้องเอ๋ย
ปล่อยเกียร์ว่างการงานพาลละเลย
เหมือนจะเย้ยท้าทายกฎหมายไทย
ปล่อยให้รถนำไม้ไผ่เต็มคันรถ
มาให้พวกกบฏคิดการใหญ่
ปล่อยไพร่แดงนำยางรถมาทำไม
เป็นเชื้อไฟอย่างดีหวังเผาเมือง
ปล่อยไพร่แดงย่ำยีข้อกฎหมาย
ทั้งท้าทายถากถางสร้างปมเขื่อง
ก่อแต่เรื่องเลวร้ายอยู่เนืองเนือง
แล้วบ้านเมืองจะอยู่ได้อย่างไรกัน
"เอาหูไปนา เอาตาไปไร่"
ไม่ใส่ใจกฎหมายให้แข็งขัน
คนทำผิดยังกล้าท้าประจัญ
ยอมพวกมันทุกอย่างไม่ทำอะไร
ความแตกร้าวลามไปทุกถิ่นฐาน
ตำรวจและทหารรู้บ้างไหม?
ขณะนี้คนไทยฆ่าคนไทย
เป็นเพราะใครคอยให้ท้ายพวกไพร่แดง
ทหารแตงโมตำรวจมะเขือเทศ
เป็นแค่เศษคนกาลีที่แอบแฝง
รัฐบาลต้องเร่งรัดเข้าจัดแจง
อย่ามัวแต่ตะแบงกันอยู่เลย
กวี สองแคว
ฟังเด็กคุยเรื่องม็อบแดง
เรียน คุณสามวา สองศอกค่ะ
เมื่อวันก่อนมีโอกาสขึ้นรถประจำทางปรับอากาศสาย 508 จากศูนย์การค้าเอ็มโพเรียมช่วงเวลาบ่ายสองโมง ดีใจเป็นพิเศษที่รถว่างมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน สามารถเลือกที่นั่งได้สบายใจชอบ (มีผู้โดยสารไม่ถึง 10 คน) แล้วสายตาก็เห็นเด็กชายสองคนวัย 6 ขวบและ 4 ขวบหน้าตาน่าเอ็นดูนั่งแถวเดียวกัน โดยมีแม่อุ้มลูกสาว (วัยไม่กี่เดือนกำลังหลับปุ๋ยอย่างน่าเอ็นดู) นั่งคุมลูกชายจอมซนสองคนอยู่ด้านหน้า
รถวิ่งไปได้พักใหญ่ลูกชายคนโตก็บอกว่า แม่ แม่..ปวดฉี่ ผู้โดยสารได้ยินเสียงเด็กก็ช่วยกันลุ้นว่า แม่ลูกสามในวัยซนไล่เลี่ยกันจะแก้ไขปัญหาอย่างไร จะลงจากรถโดยสารก็ทุลักทุเลเหลือเกิน ปรากฏว่าแม่ส่งถุงพลาสติกให้ แล้วสั่งลูกชายให้ฉี่ใส่ถุงพลาสติก แล้วแม่ก็ผูกปากถุงเรียบร้อยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วให้ลูกชายเจ้าปัญหาถือไว้
ปรากฏว่าลูกชายวัย 4 ขวบก็แสดงความเห็นว่า เหมือนซุปเลยนะท่าทางจะอร่อยดี แล้วเด็กสองคนก็คุยกันกะหนุงกะหนิง หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ระหว่างนั้นแม่ซึ่งง่วงมากก็นอนหลับแบบสัปหงกคือหลับๆ ตื่นๆ เพราะกลัวลูกสาวคนเล็กตกหล่นจากสองมือลงมา
รถแล่นไปได้อีกพักใหญ่และมาติดหนักในช่วงที่เข้าเส้นทางถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เพื่อจะผ่านเส้นทางถนนราชดำริ มองเห็นซอยเล็กๆ ที่เชื่อมไปสู่เส้นทางถนนราชดำริ เด็กวัย 6 ขวบผู้พี่ถือถุงพลาสติกซุปสีเหลืองของตัวเอง ก็ชี้ชวนให้น้องชายวัย 4 ขวบ มองออกไปนอกหน้าต่างที่มีม็อบเสื้อแดงชุมนุมกันอยู่ มีแนวยางรถยนต์กั้นเป็นบังเกอร์อยู่บนพื้นถนน
"ดูโน่น...เสื้อแดง...รู้เปล่า..เสื้อแดงเขาจะล้มเจ้า" คราวนี้ผู้โดยสารที่อยู่บนรถโดยสารแอบหัวเราะถึงคารมคมคายของเด็กวัย 6 ขวบบอกน้องวัย 4 ขวบ แล้วก็แอบมองแม่ว่าจะพูดอย่างไร ปรากฏว่าแม่นอนคอพับคออ่อนด้วยความอ่อนเพลีย
เด็กชายวัยซนทั้งสองเริ่มเบื่อหน่ายที่รถติดนานมากๆ คราวนี้ปลุกแม่ แม่ แม่ครับ เมื่อไหร่จะถึงบ้านเราล่ะ แล้วแม่จะพาไปเที่ยวไหน แม่ก็งัวเงียตื่นบอกว่า แม่จะต้องพาน้องกลับไปนอนที่บ้านก่อน เราจะต้องกลับบ้านแล้ว เด็กชายสองคนก็คะยั้นคะยอต่ออีกว่า แล้วเมื่อไหร่จะถึงบ้าน แม่ก็บอกว่าใกล้จะถึงแล้ว
ด้วยความซุกซนของเด็กชายทั้งสอง เด็กชายวัยซน 6 ขวบแขวนถุงซุปของตัวเองไว้ข้างๆ รถ แล้วก็รีบไปปีนเสากลางที่ใช้เป็นหลักในรถโดยสารสำหรับผู้โดยสารโหน คราวนี้แม่ก็ชี้ให้ลูกชายคนเล็กไปโหนอีกเสาหนึ่งที่ไม่ไกลกันนัก เด็กสองคนจึงมีที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ภายในรถโดยสารปรับอากาศสาย 508 โดยไม่มีใครว่ากล่าวแต่อย่างใด คนขับรถและกระเป๋ารถก็หันมายิ้มให้อย่างอารมณ์ดี
เด็กทั้งสองเล่นอยู่พอสมควรก็เริ่มเบื่อหน่ายอีก คราวนี้ก็ตั้งคำถามกับแม่อีกว่าเมื่อไหร่จะถึงบ้านสักทีหนึ่ง แม่ก็ตอบว่าใกล้จะถึงแล้ว พร้อมกับพูดคำขาดว่าจะไปเที่ยวกับแม่หรือจะไปอยู่กับพ่อ เท่านั้นเองเด็กชายทั้งสองก็เงียบฉี่ในทันที เป็นที่คาดหมายว่าพ่อคงจะดุมาก จนเด็กทั้งสองเปลี่ยนอิริยาบถกลายเป็นเด็กเรียบร้อยภายในเฉียบพลัน
อีกสักพักหนึ่งก็ถึงเส้นทางไปวัดพลับพลาไชย ทั้งแม่และลูกก็ถือสัมภาระ โดยลูกชายวัย 6 ขวบไม่ลืมซุปของตัวเองลงจากรถโดยสาร โดยมีผู้โดยสารด้านหน้ากุลีกุจอช่วยจูงเด็กๆ ลงจากรถโดยสาร และมีผู้รอรถโดยสารที่ป้ายช่วยกันจูงเด็กลงจากรถโดยสาร แล้วแม่ก็จัดการทิ้งถุงซุปของลูกชายวัย 6 ขวบ ลงถังขยะสีเขียวบริเวณริมป้ายรถประจำทาง
ทั้งหมดคือบรรยากาศในช่วงม็อบแดงเข้ามาเยี่ยมกรายผู้คนที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนนในวันธรรมดาๆ บ่ายวันพุธที่ 28 เมษายน 2553 เห็นเป็นเรื่องสนุกสนานจึงส่งมาให้อ่านคลายเครียด เพื่อจะบอกให้รู้ว่าเด็กวัย 6 ขวบยังรู้เรื่อง ว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้านนี้เมืองนี้...
แล้วผู้ใหญ่ล่ะจะจัดการแก้ไขปัญหาบ้านนี้เมืองนี้อย่างไร..
ลูกแม่โดมท่าพระจันทร์
ตอบ คุณลูกแม่โดมฯ
อ่านเรื่องคุณแม่ลูกสามโดยสารรถประจำทางปรับอากาศสาย 508 ที่คุณลูกแม่โดมท่าพระจันทร์เขียนมาเล่าสู่กันฟังแล้ว มีความรู้สึกเหมือนได้นั่งรถเมล์แอร์สาย 508 เที่ยวนั้นด้วย ต้องชมคุณแม่ลูกโดมฯ ที่มีพรสวรรค์ในการเล่าเรื่อง ขนาดเด็กแค่ 6 ขวบยังให้มาช่วยระบายความรู้สึกคับแค้นใจได้
คนที่เขียนมาด่าม็อบเสื้อแดงด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เปลี่ยนมุมมองมาเขียนแบบคุณลูกแม่โดมฯ ก็คงจะดีนะครับ
โม้เพื่อชาติ
เรียน คุณสามวา สองศอกที่รักและนับถือ
ผม "ตะรังตัง" ตั้งใจจะหยุดไม่เขียนอะไรสักพัก เพราะสมองมันเหนื่อยเฉื่อยช้ามีทีท่าจะเป็นอัลไซเมอร์ แต่เมื่อดูๆ พฤติกรรมของพวกเสื้อแดง มันยิ่งกำแหงเหิมเกริมยิ่งขึ้น ประพฤติตนเป็นพวกโจรก่อการร้าย ผมจึงหมดความอดทนลุกขึ้นจับปากกา ขออนุญาต "โม้" ให้หนำใจสักวันเถอะครับ
คำว่า "โม้" พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้คำจำกัดความว่า "พูดเกินความจริง"
เอาละครับผมจะโม้เกินความจริงหรือไม่โปรดฟัง...ผมจะสลายม็อบเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์โดยใช้ไม้นวม จะไม่มีคนเจ็บคนตายแม้แต่คนเดียว ผมจะใช้วิธีสลายม็อบด้วยน้ำ แต่ไม่ใช่แบบเล่นสงกรานต์นะครับ
ถ้าผมมีอำนาจ (นี่ก็โม้แล้ว) ผมจะสั่งรถดับเพลิงมาอย่างน้อย 6 คันก่อน พนักงานประจำรถแต่งเครื่องแบบเหมือนออกผจญเพลิง นำรถดับเพลิงไปจอดที่ดูว่าเหมาะ รายล้อมม็อบเสื้อแดงโดยแบ่งหน้าที่กันทำ 3 คันฉีดน้ำลงพื้นที่ม็อบชุมนุม กะฉีดให้น้ำท่วมพื้นที่ทั้งหมด ระวังอย่าฉีดไปถูกคนรากหญ้า ฉีดจนน้ำท่วมนองไปที่บริเวณชุมนุม
อีก 3 คันฉีดขึ้นอากาศเหนือม็อบ ความมุ่งหมายคือทำเป็นฝนตก ถ้าเจอรถคันที่แกนนำใช้เป็นเวทีปราศรัยฉีดได้ทันทีปล่อยเต็มที่ มีรถบรรทุกน้ำสำรองมาเพิ่มเติมฉีดจนกว่าม็อบจะสลาย พื้นล่างน้ำท่วมข้างบนฝนตก โดนเข้าแบบนี้คงทนอยู่ไม่ได้ แล้วถ้ายังทนอยู่ได้คงไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแล้ว เป็นพวกผีปิศาจ เปรต อสุรกาย แต่ผมก็คงทนอยู่ไม่ได้แน่
เป็นไงครับ คุณสามวา สองศอก "ลูกโม้" ของผม ผมพูดเกินความจริง? หรือลงมือปฏิบัติความจริงมันเป็นไปได้ สามแกนนำ วีระ จตุพร ณัฐวุฒิ ออนเหวง อ่านพบข่าวนี้จะหนาวสะท้านไปตามกัน เกรง ผบ.ทบ.กับนายกฯ อภิสิทธิ์นำไปใช้ และผมก็มีความเห็นว่าสมควรใช้ เพราะปลอดคนล้มป่วยล้มตายคือไม่มีใครป่วยใครตาย เพียงเปียกปอนมะล่อกมะแล่ก
ตะรังตัง
ตอบ คุณตะรังตัง
เรื่องเอาน้ำฉีดเพื่อสลายม็อบเสื้อแดงนั้น เคยมีคนเขียนติงมาแล้วว่าไม่ควรทำอย่างนั้น
เพราะเดือนเมษายนบ้านเราร้อนมากๆ เอาน้ำไปฉีดม็อบพวกนี้ก็ยิ่งชอบใจ ที่เมืองหนาวเขาใช้น้ำฉีดม็อบเพราะน้ำที่เปียกเสื้อผ้าจะกลายเป็นน้ำแข็ง รับรองว่าพวกม็อบต้องหนาวตายแน่
ถ้าขืนเอาน้ำไปฉีดให้น้ำเป็นฝอยเหมือนน้ำฝน และส่วนหนึ่งก็ไปนองอยู่ที่พื้น พวกม็อบเสื้อแดงคงจะเล่นน้ำกันเพลินเลยล่ะ ว่างๆ หาเรื่องโม้มาได้อีกนะครับ
สามวา สองศอก
http://www.thaipost.net/news/040510/21695